
การผ่าคลอดมักเกิดขึ้นในกรณีที่การคลอดธรรมชาติอาจเป็นอันตรายกับแม่และลูก สาเหตุและสัญญาณเตือนของการผ่าคลอดเพราะโรคและอาการผิดปกติมีอะไรบ้าง เรามีคำตอบค่ะ
7 สัญญาณเด็กผ่าคลอด โรคและอาการผิดปกติที่ทำให้แม่ท้องต้องผ่าตัดคลอดลูก
-
เด็กผ่าคลอดเพราะเกิดปัญหาโรคหัวใจ
โรคหัวใจบางชนิด เช่น โรคหัวใจรั่ว เป็นข้อบ่งชี้ว่าคุณแม่ต้องผ่าคลอดค่ะ เพราะเวลาที่เบ่งคลอดจะทำให้เกิดอาการแทรกซ้อน คือการทำงานของหัวใจแย่ลง การผ่าตัดคลอดจึงเป็นวิธีที่ปลอดภัยสำหรับแม่และทารกมากกว่า แต่ไม่ได้หมายความว่าจะคลอดเองไม่ได้นะคะ ถ้าช่วงระหว่างตั้งครรภ์ดูแลสุขภาพอย่างดี อยู่ในความดูแลของคุณหมอ และไม่มีอาการแทรกซ้อนที่น่าเป็นห่วง ก็สามารถคลอดเองได้
-
เด็กผ่าคลอดเพราะกระดูกอุ้งเชิงกรานผิดปกติ
การคลอด คุณแม่จะต้องมีโครงสร้างกระดูกอุ้งเชิงกรานค่อนข้างสมบูรณ์ เพื่อให้การคลอดอยู่ในเกณฑ์ปกติ เพราะถ้าโครงสร้างกระดูกอุ้งเชิงกรานมีความผิดปกติ ผิดรูป หรือแคบลง การที่ทารกจะผ่านออกมาก็เป็นไปได้ยาก ออกไม่ได้ และทำให้ทารกที่คลอดออกมามีความผิดปกติได้ ดังนั้น ช่องทางคลอดต้องกว้างพอให้ทารกออกมาได้ แต่ถ้ามีการประเมินแล้วว่าช่องทางคลอดไม่น่าจะปลอดภัย และไม่เหมาะสมกับตัวของทารก ก็อาจจะต้องเปลี่ยนแปลงจากการคลอดตามธรรมชาติ ไปเป็นแบบผ่าคลอด เพื่อความปลอดภัยของลูกน้อยค่ะ
-
เด็กผ่าคลอดเพราะภาวะติดเชื้อในช่องคลอด
คุณแม่ที่มีการติดเชื้อ เช่น เริม หูดหงอนไก่ หรือเชื้อเอชไอวี (HIV) หากคลอดเองตามธรรมชาติ จะทำให้ทารกในครรภ์มีการติดเชื้อผ่านทางช่องคลอด การผ่าตัดคลอดก็จะช่วยลดภาวะของการติดเชื้อจากแม่สู่ลูกได้ค่อนข้างมาก
-
เด็กผ่าคลอดเพราะภาวะรกเกาะต่ำ
เป็นข้อบ่งชี้ในการผ่าตัดคลอดอย่างแน่นอน เพราะถ้ามีรกมาขวางช่องคลอด ทารกก็ไม่สามารถออกมาได้ ซึ่งคุณแม่ที่มีภาวะรกเกาะต่ำ จะมีอาการเลือดออกตั้งแต่ระยะไตรมาสที่ 2 ซึ่งพบได้ 30-40% ในแม่ท้อง ซึ่งคุณหมอวินิจฉัยได้ตั้งแต่ก่อนคลอด ด้วยการตรวจอัลตร้าซาวนด์ ถ้าปล่อยให้คุณแม่เจ็บท้อง คลอดเองก็อาจจะเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น การตกเลือด ฉะนั้นถ้าคุณแม่มีปัญหาเรื่องเลือดออก ควรให้คุณหมอตรวจเพิ่มเติมว่าเป็นสาเหตุจากรกเกาะต่ำหรือไม่ ซึ่งถ้าเป็นจริงๆ ก็เป็นข้อบ่งชี้ในการที่จะต้องผ่าตัดคลอดเหมือนกันค่ะ
-
เด็กผ่าคลอดเพราะมะเร็งปากมดลูก
หากเป็นมะเร็งปากมดลูกขณะตั้งครรภ์ก็มีโอกาสทำให้การคลอดมีปัญหาได้ แต่โดยทั่วไปถ้าคุณแม่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ก็ไม่น่าห่วงเท่าไหร่ แต่อาจส่งผลในเรื่องการรับประทานอาหารไม่ดี เบื่ออาหาร ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ไม่ดีจากการที่คุณแม่รับประทานอาหารได้น้อย
-
เด็กผ่าคลอดเพราะเนื้องอกในมดลูก
คุณแม่ที่เคยตรวจพบว่ามีเนื้องอกในมดลูก ถึงแม้จะยังไม่ได้ผ่าตัดเนื้องอกออกไป แต่ก็เป็นตัวบ่งชี้ของการผ่าคลอด เพราะถ้าเนื้องอกมีขนาดใหญ่ และมาขวางช่องทางการคลอด จะส่งผลให้ทารกไม่กลับศีรษะลง และเกิดการอุดตันปิดขวางช่องทางการคลอด ทำให้ทารกไม่สามารถคลอดออกมาได้
-
เด็กผ่าคลอดเพราะภาวะเบาหวาน
คุณแม่ท้องที่รับประทานอาหารไม่มีประโยชน์ พบว่ามีภาวะเบาหวานแทรกซ้อนในระยะตั้งครรภ์มากขึ้น ถ้าคุณแม่ควบคุมเบาหวานได้ไม่ดี หรือบางคนไม่รู้ตัวมาก่อนว่าเป็นเบาหวาน เพราะไม่ได้รับการตรวจวินิจฉัยคัดกรอง จะส่งผลให้ทารกในครรภ์มีขนาดใหญ่ มีน้ำหนักมากกว่าปกติ มีผลทำให้คลอดยาก หากคุณหมอประเมินแล้วว่าทารกในครรภ์น้ำหนักเกิน 4.2- 4.5 กิโลกรัม ก็เป็นข้อบ่งชี้ตัวหนึ่งว่าควรจะผ่าตัดคลอด เพราะถ้าปล่อยให้คลอดเองจะทำให้ช่องคลอดเกิดการฉีกขาด รวมถึงภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นระหว่างการเบ่งคลอดได้
เรียบจากบทสัมภาษณ์ นพ.ภูมิพร อัจฉรารัตนโสภณ สูตินรีแพทย์ เวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ โรงพยาบาลเวชธานี

เนื่องจากเด็กที่คลอดธรรมชาติจะมีโอกาสได้รับจุลินทรีย์สุขภาพจากช่องคลอดของแม่ ผ่านทางปากเพื่อไปเป็นภูมิต้านทานตั้งต้นในลำไส้ และช่วยให้ลูกน้อยไม่เจ็บป่วยง่ายเพื่อรองรับทุกพัฒนาการ และการเจริญเติบโตในอนาคต การคืน “ภูมิต้านทาน” ให้ลูกน้อยที่ผ่าคลอดจึงเป็นสิ่งสำคัญที่คุณแม่ควรดูแลอย่างดีที่สุด เพื่อให้ลูกน้อยมีพื้นฐานสุขภาพที่ดีในระยะยาว จะด้วยวิธีใดอย่างไรบ้าง มารู้จักกับแหล่งกำเนิดภูมิต้านทานของลูกน้อยกันค่ะ
ลูกผ่าคลอดอาจมีโอกาสป่วยมากกว่าปกติ 20% คุณแม่ควรดูแลอย่างไร
น้ำนมแม่... ภูมิต้านทานธรรมชาติที่ดีที่สุด ถึงจะผ่าคลอด แต่คุณแม่ก็คืนภูมิต้านทานให้ลูกน้อยได้ด้วยนมแม่โภชนาการที่ดีที่สุด ซึ่งมีจุลินทรีย์สุขภาพ (โพรไบโอติก) และอาหารของจุลินทรีย์สุขภาพ (พรีไบโอติก) ที่ทำงานร่วมกันแบบ ซินไบโอติก ส่งเสริมภูมิต้านทานให้กลับคืนมา ช่วยให้ลูกไม่เจ็บป่วยง่าย
โภชนาการที่เหมาะสมสำหรับลูกน้อยผ่าคลอด ศาสตราจารย์แพทย์หญิงจรุงจิตร์ งามไพบูลย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แนะนำว่าการเพิ่มภูมิต้านทานให้ลูกน้อย ควรให้ลูกได้ดื่มนมแม่อย่างน้อย 6 เดือนหลังคลอด หากคุณแม่ไม่สามารถให้ได้หรือต้องให้นมผสม จำเป็นต้องใช้นมสูตรพิเศษที่ช่วยพัฒนาระบบภูมิต้านทาน
ผลพิสูจน์ทางการแพทย์พบว่า การให้นมสูตรเสริมจุลินทรีย์สุขภาพ (บิฟิโดแบคทีเรีย เบรเว เอ็ม 16 วี) และอาหารของจุลินทรีย์สุขภาพ (กอส แอลซีฟอส อัตราส่วน 9:1) ที่ทำงานร่วมกันเรียกว่า ซินไบโอติก (Synbiotic) เอกสิทธิ์เฉพาะ จะมีประโยชน์ช่วยพัฒนาระบบภูมิต้านทาน ปกป้องลูกน้อยให้มีโอกาสเจ็บป่วยน้อยลง โดยลดอาการคล้ายหอบหืดลงหลังติดตามผลเป็นระยะเวลา 1 ปี (2)
อย่างไรก็ตาม สำหรับคุณแม่ที่สามารถให้นมลูกได้ตามปกติ และถึงช่วงที่ต้องการเริ่มให้ลูกดื่มนมชง คุณแม่ควรค่อยๆ ปรับให้ลูกดื่มทีละน้อย และควรเริ่มหลังจากลูกเริ่มหย่านมแม่ เพราะเด็กๆ ในช่วง 6 เดือนแรกหลังคลอดจะต้องได้รับนมแม่เป็นอาหารหลักและต่อเนื่อง ซึ่งจะดีที่สุดสำหรับทารกแรกเกิด
ทารกผ่าคลอดมีโอกาสเจ็บป่วยมากกว่าปกติ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นทุกคนนะคะ ดังนั้นคุณแม่ไม่ควรกังวลมากเกินไป เพียงมั่นสังเกตพัฒนาการและสุขภาพของเขาอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง หากพบความผิดปกติจะได้ป้องกันและดูแลได้ทันถ่วงที ซึ่งเรื่องสุขภาพของลูกเล็กเป็นพื้นฐานสำคัญในการต่อยอดไปสู่การเรียนรู้และการเติบโตอย่างมั่นคงในอนาคตค่ะ
ข้อมูลอ้างอิง :
1.Yap et al. Evaluationn of stool microbiota signatures in two cohorts of Asian (Singapore and Indonesia) newborns at risk of atopy. BMC Microbiology. 2011,11:193.
2. Bager P, Wohlfahrt J, Westergaard T, Caesarean delivery and risk of atopy and allergic disease: meta-analyses. Clin Exp Allergy. 2008;38:634-642
(พื้นที่เพื่อการโฆษณาและประชาสัมพันธ์)

แม่ผ่าคลอดคุณพร้อมมั้ย? เริ่มต้นได้ด้วยนมแม่ เพื่อพัฒนาการเด็กสมองไว
การผ่าคลอด อาจเป็นความจำเป็น สำหรับแม่หลายคนในปัจจุบัน ดังนั้นแล้วแม่ที่ต้องผ่าคลอด ควรเริ่มเตรียมความพร้อมต่าง ๆ และศึกษาหาข้อมูลเพื่อเด็กผ่าคลอด จะได้เติบโตและมีพัฒนาการที่ดี พร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์
ลูกแข็งแรงหลังคลอดคือสิ่งที่แม่ทุกคนปรารถนา
แม่ทุกคนหวังเพียงลูกสุขภาพแข็งแรงตั้งแต่เกิด แต่สำหรับ “เด็กผ่าคลอด” ซึ่งไม่ได้เป็นการคลอดตามธรรมชาติจะมีความแตกต่างออกไปเพราะการผ่าคลอดจะทำให้ลูกไม่ได้รับเชื้อจุลินทรีย์ที่ดีจากช่องคลอดแม่ที่จะเป็นตัวช่วยส่งเสริมภูมิคุ้มกันให้ลูก ลดความเสี่ยงกับการเจ็บป่วยและโรคภูมิแพ้บางชนิดเมื่อลูกเริ่มโตขึ้น ดังนั้นแล้วสำหรับเด็กผ่าคลอด การให้นมแม่จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะในนมแม่มีสารอาหารมากกว่า 200 ชนิด เช่น สารอาหารที่ช่วยพัฒนาสมอง รวมถึงจุลินทรีย์ที่ดีหลายสายพันธุ์ ที่สามารถช่วยให้เด็กแข็งแรง และส่งเสริมภูมิคุ้มกัน
ภูมิคุ้มกันแรกหลังคลอดจากนมแม่เพื่อ “เด็กผ่าคลอด”

นมแม่มีสารอาหารมากกว่า 200 ชนิด ช่วยทั้งเรื่องภูมิคุ้มกัน และสมองของเด็กผ่าคลอด เพราะเด็กทารก โดยเฉพาะเด็กผ่าคลอดจะพลาดโอกาสได้รับจุลินทรีย์ที่ดี จากช่องคลอดของแม่ระหว่างคลอด ดังนั้นการได้รับจุลินทรีย์สุขภาพที่มีในนมแม่ เช่น โพรไบโอติกบีแล็กทิส่จะช่วยส่งเสริมภูมิคุ้มกันในช่วงเริ่มต้นให้กับเด็กผ่าคลอดได้ ลดโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ภาวะภูมิแพ้ เพื่อลูกน้อยแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยบ่อย
อีกสิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าการเสริมเกราะภูมิคุ้มกันให้ลูก คือต้องไม่ลืมเสริมสร้างพัฒนาการทางสมอง ให้ลูกน้อยตั้งแต่ขวบปีแรกด้วย เพราะขวบปีแรกเป็นขวบปีทองสำหรับการพัฒนาสมองของลูก ดังนั้นสารอาหารเสริมสร้างพัฒนาการสมองของลูกในนมแม่ จึงขาดไม่ได้สำหรับเด็กแรกเกิด
2สารอาหารในนมแม่เพื่อ “เด็กผ่าคลอด” สมองไว ส่งเสริมภูมิคุ้มกัน

ในน้ำนมแม่มีสารอาหารมากกว่า 200 ชนิดเช่น โปรตีน แคลเซียม ดีเอชเอ รวมไปถึงสารอาหารสมองอย่างสฟิงโกไมอีลิน (Sphingomyelin) ที่ช่วยสร้างสมองไวและจุลินทรีย์สุขภาพหลายสายพันธุ์ เช่น โพรไบโอติก บี แล็กทิส (Bifidobacterium lactisหรือB.lactis) ที่สามารถส่งเสริมภูมิคุ้มกันให้ลูกแข็งแรง
1.สฟิงโกไมอีลิน สำคัญต่อระบบประสาท ช่วยลูกสมองไว
สฟิงโกไมอีลิน เป็นสารอาหารที่สำคัญในการสร้างปลอกไมอีลินของระบบประสาทในสมอง ซึ่งไมอีลินช่วยให้สมองสามารถส่งสัญญาณประสาทได้อย่างรวดเร็ว
นักวิจัยพบว่าแขนงประสาทที่มีปลอกไมอีลินห่อหุ้มจะสามารถส่งสัญญาณประสาทได้เร็วกว่าใยประสาทที่ไม่มีกว่า 100 เท่า
สมองจึงสามารถประมวลผลได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เด็กเกิดการเรียนรู้ จดจำ คิดวิเคราะห์ และพัฒนาสมองอย่างรวดเร็ว
2. โพรไบโอติกส์ บี แล็กทิส (B.lactis)เสริมภูมิคุ้มกัน “เด็กผ่าคลอด” ให้แข็งแรง
เพราะการผ่าคลอด ทำให้เด็กพลาดโอกาสสัมผัสและได้รับจุลินทรีย์สุขภาพจากทางช่องคลอดแม่ ที่เป็นตัวช่วยส่งเสริมภูมิคุ้มกัน ดังนั้น การได้รับสารอาหารและจุลินทรีย์สุขภาพจากนมแม่จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ในนมแม่นั้น มีจุลินทรีย์สุขภาพหลายสายพันธุ์ เช่นบี แล็กทิส ที่ช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคต่าง ๆ ลดการติดเชื้อบางชนิด ช่วยปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ได้ดี โดยเฉพาะในเด็กทารกที่ยังมีระบบทางเดินอาหารที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ จุลินทรีย์นี้จะช่วยส่งเสริมภูมิคุ้มกันในลำไส้ได้
เสริมทัพให้ลูกแข็งแรง และ เรียนรู้ดี สมองไว

- กินนมแม่ นอกจาก สฟิงโกไมอีลิน และ จุลินทรีย์สุขภาพ เช่น บี แล็กทิส (B. lactis) แล้ว นมแม่มีสารอาหารที่มีประโยชน์เพื่อช่วยพัฒนาสมอง เสริมการเรียนรู้ และสร้างภูมิคุ้มกันอีกมากมาย เช่น แกงกลิโอไซด์ ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้จดจำสิ่งต่าง ๆ แอลฟาแล็คตัลบูมิน โคลีน ช่วยส่งเสริมการทำงานของสมอง Prebiotic(2'FL)โอลิโกแซคคาไรด์ในนมแม่ (HMO) ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ซึ่งทั้งหมดนี้แม่สามารถส่งผ่านให้ลูกได้ทางนมแม่
- เล่นฝึกทักษะสมอง การเล่นกับลูกเป็นอีกสิ่งสำคัญในวัยนี้ที่จะช่วยส่งเสริมพัฒนาการทั้งทางร่างกายและสมองของเด็ก คุณแม่ลองเลือกกิจกรรมตามนี้
- เลือกของเล่นสีสันสดใสเช่น บล็อกสี ของเล่นที่มีสีสันสดใส เพื่อกระตุ้นการมองเห็นของทารก ประสาทสัมผัสและการเรียนรู้
- ชวนคุย ร้องเพลง เสียงพูดของพ่อแม่ หรือ การชวนลูกร้องเพลงด้วยกัน ระหว่างทำกิจกรรมต่าง ๆ ตอนอาบน้ำ เปลี่ยนผ้าอ้อมจะช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษาและการเรียนรู้
- อ่านนิทานให้เลือกนิทานที่มีภาพสีสันสวยงามและเรื่องราวที่น่าสนใจเพื่อดึงดูดความสนใจของเด็ก ส่งเสริมพัฒนาการทางภาษา
- นอนเป็นเวลา นอนให้เพียงพอการนอนสำคัญมากในช่วงทารก มีผลกระทบต่อพัฒนาการทั้งทางร่างกาย และสมอง การนอนเป็นเวลาเพื่อให้ร่างกายและสมองได้พักผ่อนและพัฒนา และยังส่งเสริมการเจริญเติบโตของทารกด้วย
- มีพื้นที่ปลอดภัย การมีสภาพแวดล้อมที่ดี สะอาด อากาศถ่ายเท ปลอดโปร่ง แสงสว่างเพียงพอ เสียงไม่ดังเกินไป จะช่วยสร้างเสริมการเจริญเติบโตและการเรียนรู้ของทารกได้อย่างเหมาะสม
ลูกน้อยจะคลอดตามธรรมชาติหรือผ่าคลอด อาจเป็นเงื่อนไขที่แม่เลือกไม่ได้ แต่แม่ผ่าคลอดสามารถเลือกที่จะให้ลูกน้อยเติบโตอย่างแข็งแรง สมองไว มีพัฒนาการก้าวกระโดดได้ตั้งแต่วันนี้ด้วยนมแม่ที่ช่วยสร้างสมองไวให้เด็กผ่าคลอด พร้อมเสริมภูมิคุ้มกันเพราะมีสารอาหารที่สำคัญหลากหลายเช่น โปรตีน แคลเซียม ดีเอชเอ รวมไปถึงสารอาหารที่เกริ่นไปก่อนหน้าอย่าง สฟิงโกไมอีลิน และจุลินทรีย์สุขภาพอย่าง บีแล็กทิส ซึ่งช่วยเสริมสร้างกระบวนการการทำงานของสมองให้ลูกสมองไว และส่งเสริมภูมิคุ้มกันลูกให้แข็งแรง เพียงเท่านี้ก็เป็นสุขที่สุดของคนเป็นแม่แล้ว
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สร้างสมองไวให้เด็กผ่าคลอด พร้อมเสริมภูมิคุ้มกัน | S-Mom Club
อ้างอิง
- Bentley J, et al. Pediatrics. 2016; 138:1-9.
- Susuki K. Nature Education. 2010;3(9):59.
- Deoni S.C., et al. AJNR Am J Neuroradiol. 2019 Jan;40(1): 169–177.
- Chevalier N, et. al., PLoS One. 2015 Oct 6;10(10):e0139897
- Floch MH,et al.J Clin Gastroenterol 2015;49:S69-S73
- https://www.vibhavadi.com/Health-expert/detail/368
แม่ผ่าคลอดต้องรู้ให้ลึก สารอาหารสำคัญสำหรับเด็กผ่าคลอดช่วยลูกสมองไว
การผ่าคลอดนั้นเด็กจะถูกนำตัวออกมาผ่านหน้าท้องของคุณแม่ ทำให้เสียโอกาสที่จะได้รับจุลินทรีย์สุขภาพผ่านทางช่องคลอดของคุณแม่ ส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการระบบภูมิต้านทานตั้งต้นที่แตกต่างจากเด็กที่คลอดธรรมชาติ จึงมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ และเจ็บป่วยได้ง่ายกว่า นอกจากนี้ยังพบว่าเด็กผ่าคลอดมีความเสี่ยงด้านพัฒนาการทางสมองอีกด้วย ดังนั้นคุณแม่ผ่าคลอดควรเตรียมความพร้อมของลูก เพื่อให้ลูกมีพัฒนาการทางสมองและภูมิต้านทานที่ดี
สมองและการเรียนรู้ของเด็กผ่าคลอด
มีการศึกษาของ Deoni S.C. et al. เกี่ยวกับพัฒนาการทางสมองของเด็กผ่าคลอด พบว่าสมองของเด็กผ่าคลอด ที่อายุ 2 สัปดาห์ มีการเชื่อมโยงการทำงานของสมองแตกต่างจากเด็กที่คลอดธรรมชาติ และพัฒนาการทางสมองส่วนคอร์ปัส คาโลซัม (Corpus Callosum) ซึ่งเชื่อมโยงการทำงานระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวาของเด็กอายุตั้งแต่อายุ 3 เดือนจนถึง 3 ปี มีการสร้างเยื่อหุ้มไมอีลินในสมองที่แตกต่างกัน
นมแม่ ภูมิคุ้มกันแรกเกิดสร้างลูกสมองไวและเสริมภูมิคุ้มกันให้เด็กผ่าคลอดแข็งแรง

นมแม่คืออาหารที่ดีที่สุดสำหรับเด็กทารก เปรียบเหมือนภูมิคุ้มกันที่แม่สร้างให้ลูกตั้งแต่แรกเกิด เพราะในนมแม่มีสารอาหารที่มีประโยชน์มากกว่า 200 ชนิด สารอาหารหลัก เช่น โปรตีน น้ำตาล ไขมัน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน แร่ธาตุ ต่าง ๆ ยิ่งให้ลูกกินนมแม่ตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 เดือน หรือยาวนานที่สุด ยิ่งช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางร่างกาย สมอง และภูมิคุ้มกันให้ลูกแข็งแรง ซึ่งนมแม่สามารถป้องกันและลดความรุนแรงของโรคติดเชื้อในเด็กได้หลายโรค อาทิ โรคมือเท้าปาก โรคปอดอักเสบ โรค RSV เป็นต้น
สฟิงโกไมอีลินและ B. lactis เป็นอีก 2 สารอาหารสำคัญในนมแม่ที่มีบทบาทในการพัฒนาสมองและเสริมภูมิคุ้มกันให้ลูก
โดยสฟิงโกไมอีลิน ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิดมีความสำคัญในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งเจ้าปลอกไมอีลินนี้เป็นส่วนที่ห่อหุ้มเส้นใยประสาท ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งสัญญาณประสาท ทำให้สมองส่งสัญญาณประสาทได้เร็วแบบก้าวกระโดด และทำให้สมองมีการประมวลผลอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
มีการศึกษาพบว่าแขนงประสาทนำออกที่มีปลอกไมอีลินห่อหุ้มจะส่งสัญญาณประสาทได้เร็วกว่าที่ไม่มีถึงกว่า 100 เท่า ซึ่งกระบวนการสร้างปลอกไมอีลินในสมองของลูกนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่อยู่ในครรภ์และยังคงมีการพัฒนาต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ จนคลอดและเติบโตขึ้นตามวัย
ขณะที่ B. lactis จุลินทรีย์สุขภาพบิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (Bifidobacterium lactis หรือ B. lactis) คือจุลินทรีย์สุขภาพที่พบมากในนมแม่ และลำไส้ของเด็กที่คลอดธรรมชาติ ซึ่งบี แล็กทิส จะช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ลดการติดเชื้อ ลดการอักเสบ ช่วยเรื่องระบบย่อยอาหาร บรรเทาอาการท้องผูก ช่วยปรับสมดุลในลำไส้ได้ดี ป้องกันอาการท้องเสียเฉียบพลันในทารก และอาการลำไส้แปรปรวนได้ด้วย
กิจกรรมกระตุ้นพัฒนาการสมองของเด็กทารก

การจะเสริมสร้างพัฒนาการสมองให้เด็กผ่าคลอด นอกจากกินนมแม่แล้วคุณแม่จะต้องกระตุ้นการทำงานของสมองให้ลูกด้วยกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งในบ้านและนอกบ้านตามวัยของลูกด้วย เช่น เล่นปูไต่ จ๊ะเอ๋ เล่นตบมือ ร้องเพลงให้ลูกฟัง พาลูกออกไปเดินเล่นดูต้นไม้ดอกไม้ เล่นต่อบล็อกต่อจิ๊กซอว์ เล่านิทานให้ลูกฟัง เล่นบ่อทราย ฯลฯ
และในระหว่างที่พ่อแม่เล่นกับลูก หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ นั้น ควรพูดคุย สบตา ยิ้ม กอด กับลูกด้วย เพราะการมีปฏิสัมพันธ์ที่ดี จะส่งผลให้สมองลูกน้อยมีพัฒนาดีอย่างรอบด้านไปด้วยค่ะ
ดังนั้นแล้วคุณแม่ควรให้ลูก ๆ ทานนมแม่ เพราะนมแม่ดีที่สุด และเป็นแหล่งของสารอาหารที่สำคัญหลากหลายชนิด เช่นสารอาหารสร้างสมองไวอย่างสฟิงโกไมอีลินและจุลินทรีย์สุขภาพบีแล็กทิสที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้เด็กผ่าคลอด จะช่วยให้ลูกสมองไวเรียนรู้ได้เร็ว และมีภูมิคุ้มกันดี ลดโอกาสเจ็บป่วยบ่อยได้ด้วยค่ะ
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สร้างสมองไวให้เด็กผ่าคลอด พร้อมเสริมภูมิคุ้มกัน | S-Mom Club