ในโลกแห่งยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ผู้ที่เป็นพ่อแม่ย่อมอยากสร้างพื้นฐานการศึกษาควบคู่กับสร้างทักษะการใช้ชีวิตที่ดีในอนาคตให้ลูก ซึ่งโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยรังสิต เป็นโรงเรียนที่มีจุดมุ่งหมายในการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตให้เด็ก เราจึงอยากพาไปทำความรู้จักโรงเรียนแห่งนี้ จาก ดร.อภิรมณ อุไรรัตน์ CEO, Satit Rangsit พร้อมแล้วเปิดประตูรั้วเข้าสู่โรงเรียนแห่งนี้ไปพร้อมๆ กัน
อยากเชิญชวนผู้ปกครองมาทำความรู้จัก SBS ให้มากขึ้น เพราะเรามีหลักสูตรที่เหมาะสมสำหรับเด็กยุคนี้ ต้องเป็นหลักสูตรที่เตรียมความพร้อมเด็กสำหรับในอนาคต ซึ่ง SBS ไม่เพียงแต่เตรียมเด็กเข้ามหาวิทยาลัยเท่านั้น เรายังเตรียมความพร้อมสำหรับการใช้ชีวิต การทำงานและการดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข เพื่อให้เด็ก ๆ ประสบความสำเร็จในชีวิต หากผู้ปกครองสนใจที่จะหาโรงเรียนที่เหมาะกับตัวตนของลูก และให้เด็กได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขก็อยากให้เข้ามารู้จัก SBS ของเราค่ะ
ด้วย SBS มีจุดมุ่งหมายที่จะเตรียมนักเรียนให้พร้อมสำหรับอนาคต เราจึงมองหาหลักสูตร ว่าหลักสูตรอะไรที่จะเตรียมให้เด็ก ๆ พร้อม ซึ่งต้องเป็นหลักสูตรที่เหมาะกับการศึกษาของประเทศไทย และต้องเป็นหลักสูตรที่เตรียมพร้อมกับการเรียนระดับนานาชาติด้วย เพราะฉะนั้นเราจึงผสมผสานหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการกับหลักสูตรของเรา นั่นคือถ้าเป็นระดับชั้นอนุบาล และประถมศึกษา จะเป็นหลักสูตร IB PYP ส่วนระดับชั้นมัธยมศึกษาจะเป็นหลักสูตร Cambridge เพื่อที่เด็ก ๆ จะได้มีโอกาสไปศึกษาต่อต่างประเทศได้
จุดมุ่งหมายของ SBS เราต้องการเตรียมความพร้อมสำหรับการใช้ชีวิต และการทำงานในอนาคตให้เด็ก ๆ อย่างเด็ก ๆ ระดับชั้นอนุบาลเราจะเตรียมเรื่องพื้นฐานให้พร้อม คือเราเป็น International Bilingual Curriculum การสอนในห้องเรียนเราจะเป็นแบบ Bilingual จริง ๆ เพื่อที่เวลาเด็ก ๆ โตไปแล้วเขาสามารถจะเป็น Bilingual อย่างแท้จริง ก็คือพูดทั้ง 2 ภาษาได้อย่างคล่องแคล่ว ซึ่งพื้นฐานเรื่องภาษาสำคัญ เพราะจะสามารถเปิดโลกให้เขามีศักยภาพในการแข่งขันกับคนอื่น ๆ ในนาคต ทั้งเรื่องการเรียนและในการทำงานในอนาคตได้
SBS มีหน้าที่ในการเตรียมนักเรียนให้พร้อมสำหรับทุก ๆ อย่างในการใช้ชีวิตในอนาคต เพราะฉะนั้นถ้าจะให้มองด้านวิชาการอย่างเดียวมันไม่เพียงพอ แต่เราจะต้องเตรียมองค์ประกอบอื่น ๆ ที่สำคัญให้เด็ก ๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นทักษะขั้นพื้นฐานในการใช้ชีวิต ทักษะการสื่อสาร การทำงานร่วมกับคนอื่น การเป็นผู้นำ มันเป็นองค์ประกอบสำคัญที่เด็ก ๆ จะต้องได้รับการพัฒนาควบคู่ไปด้วยระหว่างการเรียน ซึ่งทักษะการใช้ชีวิตเหล่านี้สำคัญ เพราะเป็นการเตรียมความพร้อมให้เขาเป็นวัยรุ่น เป็นผู้ใหญ่ที่ดีในอนาคต
เราเตรียมเด็กไว้สำหรับอนาคต เตรียมเด็กสำหรับ 20 ข้างหน้า ฉะนั้นการเรียนการสอนและหลักสูตรมันต้องก้าวหน้าไปมาก แต่ถ้ากระบวนการสอนของเรา หลักสูตรของเรามันล้าหลังเราจะไม่สามารถเตรียมเด็กให้เขาแข่งขันให้ทันโลกได้ เราจึงได้ปรับเรื่องหลักสูตร และกระบวนการสอนต้องปรับด้วย และสิ่งสำคัญที่สุดคือคนที่อยู่กับเด็กในห้องเรียนก็คือครู ต้องมีการปรับและสนับสนุนการเรียนของเด็กได้อย่างดี
เราพยายามเตรียมความพร้อมของเด็ก ๆ ในทุกองค์ประกอบ เพราะเรามองว่าโลกในศตวรรษที่ 21 เด็ก ๆ ต้องมี Skill ดังนั้นรูปแบบการเรียนต้องเปลี่ยนแปลงจากรูปแบบเดิม เราได้มีการพัฒนารูปแบบการเรียนให้สอดคล้องกัน เช่น เราทำ Maker space ขึ้นมา เพื่อให้เด็กได้ปลูกไผ่ซึ่งเป็นพืชการเกษตรที่สำคัญของบ้านเรา ซึ่งในกระบวนการก็จะสอดแทรกการเรียนรู้เรื่องวัฒนธรรมไปด้วย แต่ขณะเดียวกันก็จะได้เรียนรู้เรื่องการคัดเลือกพันธุ์ และเมื่อปลูกเสร็จเด็ก ๆ ก็นำมาผลิตเป็นชิ้นงาน เป็น Product และเรียนต่อในด้าน Business ว่าจะเอาไปทำตลาดอย่างไร ทำแผนธุรกิจอย่างไร เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการ และที่สำคัญในกระบวนการนี้ได้สอดแทรกทุกองค์วิชาความรู้เข้าไปด้วย
การจะสอนให้ได้คุณภาพ สิ่งสำคัญคืออยู่ที่บุคลากรด้วย ซึ่งโรงเรียนของเราชั้นอนุบาลและประถมศึกษาใช้หลักสูตร IB PYP เพราะฉะนั้นบุคลากรทุกคนที่อยู่ในห้องเรียนต้องผ่านกระบวนการการเทรนนิ่งให้ได้มาตรฐานของ International Baccalaureate จึงมั่นใจได้เลยว่าบุคลากรของเราจะดูแลเด็ก ๆ ได้อย่างดีแน่นอน
ส่วนในระดับมัธยมศึกษาเราใช้หลักสูตร Cambridge คุณครูทุกคนที่มาสอนต้องสามารถสอนในหลักสูตรของ Cambridge ได้ และเราเป็น PDQ Center คือเป็นศูนย์สอบและศูนย์พัฒนาครูของ Cambridge คุณครูที่ SBS เป็นเทรนเนอร์ให้กับครูอื่น ๆ อีกที ดังนั้นมั่นใจได้เลยว่าบุคลากรที่มาอยู่กับเรามีคุณภาพที่ดีแน่นอน
ในยุคปัจจุบัน เป็นยุคที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว โรงเรียนที่ดีทั่วไปให้ความรู้ด้านวิชาการ แต่ SBS เรามองว่าการที่เราจะเตรียมเด็กคนหนึ่งให้พร้อมต่ออนาคต ทุก ๆ อย่างมันต้องอยู่ในรายละเอียด เพราะฉะนั้นการเรียนของเราจึงเป็นการเรียนแบบ Personalized เรียนในสิ่งที่ตัวเองสนใจ ซึ่งคุณครูจะมีการวางแผนการเรียนและดูแลนักเรียนเป็นรายบุคคล ดูแลถึงความต้องการของเขา พัฒนาการด้านต่าง ๆ ที่เขาควรจะได้รับ ซึ่งการเรียนแบบนี้จะเห็นเลยว่า นักเรียนของเราจะมีความสุขกับการเรียน
ซึ่งการสอนของเราจะไม่ได้เป็นการสอนแบบรายวิชา แต่เราเรียนเป็นธีม ซึ่งธีมที่เราเรียนจะเป็นธีมที่อยู่ในชีวิตจริง โดยเป็นการสอนแบบ Real world problem เช่น ปัญหาที่อยู่ในโลกตอนนี้คืออะไร ก็จะหยิบเรื่องนั้นมาเป็น Current issue ของการเรียน ซึ่งการเรียนแบบนี้เรียกว่า Unit of enquiry ใน 1 เทอมก็อาจจะมี 4 Unit และที่มากกว่านั้นคือ เด็กแต่ละคนมีความสนใจไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นในห้องเรียน 1 ห้อง ก็จะมี Station ให้นักเรียนเลือกเรียน เขาสามารถเลือกได้ว่าจะเรียนแบบไหนที่เหมาะกับตัวเอง เหมาะกับความสนใจของตัวเอง ซึ่งคุณครูของเราก็จะคอยสนับสนุนความสนใจของเด็ก ๆ แต่ละคนได้อย่างดี ซึ่งการเรียนแบบนี้เด็กจะสามารถสัมผัส จดจำ และเชื่อมโยงได้ว่าสิ่งที่เขาเรียนกับชีวิตจริงเขาจะนำไปใช้อย่างไร
ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ทุกคนต้องปรับตัว โดยโรงเรียนเรามีการปรับตัวในเรื่องการเรียนออนไลน์ด้วย ซึ่งสิ่งสำคัญของการเรียนออนไลน์ที่คิดว่าเป็นสูตรสำเร็จ คือ การที่ครูมี Attention to detail และ Personalized approach ในเรื่องของการเรียนให้กับเด็กเป็นรายบุคคลทำให้เด็กสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับครู ก็จะทำให้เด็กไม่เบื่อ แต่เมื่อไหร่ที่ครูยังสอนแบบเดิมเหมือนในห้องเรียนแบบโบราณ คือเลคเชอร์อย่างเดียว แล้วพอไปสอนออนไลน์ก็ทำเหมือนเดิม เด็กก็จะเบื่อทันที เพราะเขาต้องนั่งจ้องจอเป็นเวลาหลายชั่วโมง ดังนั้น การเรียนในหนึ่งชั่วโมง ครูต้องแบ่งกิจกรรมเป็นช่วง ๆ เช่น 15 นาทีแรกเป็น Interaction ช่วงต่อไปให้เด็กทำกิจกรรมร่วมกันกับเพื่อนเป็นกลุ่ม ๆ โดยให้เด็กเข้ามาร่วมพูดคุยแสดงความคิดเห็นกันในกลุ่มของตัวเองและกับครู เพื่อให้ได้ผลสรุปต่อไป และดูความเหมาะสมของแต่ละวิชาว่าจะสามารถทำกิจกรรมแบบไหนผ่านทางออนไลน์ได้บ้าง
ซึ่งการเรียนออนไลน์ในช่วงแรก ๆ ที่มีการปรับเปลี่ยน เราพบว่ามันไม่มีปัญหา เพราะครูของเรา พยายามดึงความสนใจของเด็ก ในทุก ๆ บทเรียน เพราะฉะนั้นพอเขา เด็ก ๆ ก็จะสนุก และมีความสุข ไม่รู้สึกว่ามันน่าเบื่อจังเลย
ปฎิเสธไม่ได้ว่าการเรียนในปัจจุบันต้องเรียนผ่านทางออนไลน์มากขึ้น แต่สิ่งสำคัญก็ขึ้นอยู่กับช่วงวัยด้วย ถ้าเป็นระดับมัธยมปลายหรือมหาวิทยาลัยการเรียนออนไลน์ก็อาจจะเหมาะกับเขามากกว่า แต่ถ้าเด็กเล็ก การมาโรงเรียนเพื่อที่เด็กได้มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน มีการติดต่อสื่อสารด้วยกัน โดยเฉพาะการมาเจอครูที่จะคอยหล่อหลอมและช่วยเช็คตัวตนของเด็กยังมีความจำเป็นอยู่มาก
แต่ที่ SBS เราให้ทางเลือกับนักเรียนด้วย เขาสามารถเลือกเรียนได้ว่าจะเรียนออนไลน์หรือมาโรงเรียน เราให้เด็ก ๆ ได้เลือกของเขาเอง และที่สำคัญเรากับผู้ปกครองจะมีการทำ workshop ด้วยกันตลอด ว่ารูปแบบการเรียนจะเป็นแบบไหน อยู่ที่บ้านต้องดูแลเด็กอย่างไร และในส่วนที่ผู้ปกครองไม่สามารถดูแลเด็ก ๆ ในช่วงเรียนออนไลน์ที่บ้านได้ เราจะมีคณะครูไปที่บ้าน เพื่อที่จะช่วยดูแลเด็กด้วย เพราะฉะนั้นผู้ปกครองหมดกังวลได้
ที่ SBS เราดีไซน์หลักสูตรการเรียนขึ้นมาเพื่อที่เด็กจะสามารถไปเรียนต่อที่ไหนก็ได้ สิ่งนี้คือหัวใจหลักที่โรงเรียนทำเลย เด็กที่จบจากเราสามารถสอบเข้าแพทย์ได้ ในขณะที่เด็กอินเตอร์ส่วนใหญ่ทำไม่ได้เพราะเขาไม่เข้าใจภาษาไทย เขาไม่สามารถทำข้อสอบภาษาไทยได้ แต่เด็กของเราสามารถทำได้ และในขณะเดียวกันยังสามารถสอบ IGSE และ A level ได้ A เพื่อที่จะไปเรียนต่อต่างประเทศได้ แต่เด็กที่เรียนหลักสูตรไทยต้องไปเรียนพื้นฐานกันใหม่หมด เพราะเขาไม่ได้จบหลักสูตร Cambridge
ฉะนั้นทำไมเราไม่ทำหลักสูตรที่เปิดโอกาสให้กว้างสำหรับเด็ก เพราะการเรียนของเด็กต้องเปิดโอกาสให้กว้างขึ้นเรื่อย ๆ แต่หลักสูตรที่มีอยู่ในบ้านเราส่วนใหญ่เรียนแล้วตีกรอบให้แคบลง ดังนั้นการสร้างโอกาสทางการศึกษาของนักเรียนให้เขาสามารถเลือกเรียนได้หลายทางจึงเป็นหัวใจสำคัญของหลักสูตรที่ SBS ค่ะ
ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่>> www.sbs.ac.th