ความหวาดกลัวของผลกระทบของ Learning Loss ทำให้พ่อแม่ต้องการเสริม เติม เพิ่ม และอุดรอยโหว่ของพัฒนาการที่หายไป
ป้าปอยและแม่ดอยชวนคุยแลกเปลี่ยนมุมมองกัน และการทำแบบนี้เป็นการแก้ปัญหาหรือเพิ่มปัญหากันแน่ ฟังแนวคิดจากนักวิชาการด้านการศึกษา ผศ.ดร.ยศวีร์ สายฟ้า รองคณบดี คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Apple Podcast:https://apple.co/3m15ytB
Spotify:https://spoti.fi/3cvAVcX
Youtube:https://bit.ly/3cxn31u
#รักลูกPodcast#รักลูกTheExpertTalk#Moms_Issues
การท่องเที่ยวทางการแพทย์ในประเทศไทยกลายเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้นสำหรับผู้ที่ต้องการรับการรักษาทางการแพทย์ที่มีคุณภาพในประเทศไทย โดยที่ไทยเป็นที่รู้จักในระดับสากลว่าเป็นประเทศที่มีระบบการแพทย์ที่เชื่อถือได้และคุณภาพสูง นอกจากนี้ การท่องเที่ยวทางการแพทย์ในประเทศไทยยังมีความเป็นไปได้ที่จะรับบริการทางการแพทย์ในสถานพยาบาลที่ทันสมัยและมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกมากมาย การผสมผสานระหว่างการรักษาทางการแพทย์และการเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามของประเทศไทย ทำให้มีความน่าสนใจและเป็นประสบการณ์ที่หลากหลายสำหรับผู้ที่เดินทางมาที่นี่ เจ้าของคาสิโนระดับโลก เช่น The Venetian Macao, Lockdown168, Cosmolot เป็นต้น ก็มีส่วนร่วมในการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเช่นกัน เนื่องจากเป็นเรื่องปกติทั่วโลกและสำหรับประชากรทุกกลุ่ม
นอกจากประเด็นเรื่องความยากง่ายของการบ้านมีสิ่งที่มากไปกว่านั้นคือ ระดับการเรียนรู้ที่เหมาะสมของเด็ก หากเด็กเรียนรู้สิ่งที่ยากเกินไปส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของเด็กอย่างไรบ้าง
รวมไปถึงหลากหลายประเด็นที่คาใจพ่อแม่ ทั้งการเรียนที่ยากและการบ้านที่ต้องทำ
ฟังมุมมองนักวิชาการด้านศึกษา ผศ.ดร.ยศวีร์ สายฟ้า
อาจารย์สาขาวิชาประถมศึกษา ภาควิชาหลักสูตรและการสอน คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ติดตามรายการรักลูก podcast ได้ที่
Apple podcast : Rakluke Podcast
Spotify : Rakluke Podcast
YouTube Channel : Rakluke Club
ไขข้อข้องใจ ช่วยคลี่คลายความกังวลให้กับพ่อแม่ หลากหลายคำถามจะฉีดวัคซีนดีไหมนะ ปลอดภัยแล้วหรือยัง? เปิดเทอมแล้วจะพาลูกไปโรงเรียนดีไหม?
แม่ดอยและป้าปอยมาชวนคิด ชวนคุย แบ่งปันมุมมอง และนำข้อมูลจากคุณหมอมาช่วยให้คุณพ่อคุณแม่ได้ข้อมูลเพื่อตัดสินใจได้อย่างรอบด้าน และสังเกตอาการ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการด้านอื่นๆ
ติดตามรายการรักลูก podcast ได้ที่
Apple podcast : Rakluke Podcast
Spotify : Rakluke Podcast
YouTube Channel : Rakluke Club
ลูกเรียนออนไลน์ไม่ได้เปิดแค่โปรแกรมเรียนเท่านั้น เพราะหลายครั้งจะต้องใช้เว็บไซต์ค้นหาความรู้ไปด้วย จะให้ลูกท่องเว็บยังไงให้ไกลจากบรรดาเว็บไม่เหมาะสม ทั้งเว็บโป๊ เว็บพนัน เว็บขายของหลอกลวง พร้อมการป้องกันที่ดีที่สุดคือการให้ลูกมี Digital Literacy จะสอนและทำได้อย่างไร แม่ดอยและป้าปอยมีวิธีการบอก
ติดตามรายการรักลูก podcast ได้ที่
Apple podcast : Rakluke Podcast
Spotify : Rakluke Podcast
YouTube Channel : Rakluke Club

Q&A มีลูกหัวปี ท้ายปี ลูกคนที่สองจะไม่แข็งแรง พัฒนาการไม่ดีจริงไหม
Q: เพิ่งคลอดลูกชายไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ค่ะ พอพฤศจิกายนมีอาการแปลกๆ เลยไปตรวจ ปรากฏว่าตั้งท้อง ตอนนี้เครียดมาก เพราะลูกก็ยังเล็กและติดแม่มาก แล้วเขาบอกว่ามีลูกติดกันแบบหัวปีท้ายปีแบบนี้ ร่างกายแม่ยังไม่ฟื้นเต็มที่ จะทำให้ลูกคนที่สองไม่แข็งแรง พัฒนาการไม่ดีจริงหรือเปล่าคะ
A:ความจริงแล้วคุณแม่ควรตั้งครรภ์ห่างกันอย่างน้อย 2 ปี เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวจากการตั้งครรภ์แรก รูปร่างและน้ำหนักตัวเริ่มเข้าที่ หรือลูกคนแรกก็อาจจะเริ่มเข้าโรงเรียน ทำให้คุณแม่ไม่รู้สึกว่าทรุดโทรมหรือเหนื่อยมากจนเกินไป เพราะลูกคนแรกช่วยเหลือตนเองได้แล้ว อีกทั้งเสื้อผ้าเครื่องใช้ก็ใช้ต่อด้วยกันได้ ไม่ต้องซื้อหาใหม่ ประหยัดเงินได้อีกด้วย ลูกไม่รู้สึเหงาเพราะวัยไล่เลี่ยเป็นเพื่อนเล่นกันได้
แต่ในกรณีนี้ที่ท้องแล้วก็ไม่เป็นไรครับ ดูแลเขาให้ดีที่สุดดีกว่า การเครียดต่างหากที่อาจจะทำให้ลูกไม่แข็งแรงได้ คุณแม่ควรฝากท้องทันทีเมื่อรู้ว่าท้อง ดูแลตัวเองในด้านโภชนาการให้ดี รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่เพื่อให้ร่างกายมีการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ควรเน้นอาหารที่มีโปรตีนและแคลเซียมสูง ลดอาหารจำพวกแป้งและไขมัน ทานยาบำรุงเลือดตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด หลีกเลี่ยงอาหารหมักดอง บุหรี่ และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด
ท้องสองคุณอาจจะรู้สึกว่าน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเร็วกว่าปกติโดยเฉพาะคุณแม่ที่เพิ่งคลอดบุตรคนแรกไม่กี่เดือน ทั้งนี้เป็นเพราะร่างกายยังไม่กลับเข้าสู่สภาวะเดิม ดังนั้นจึงควรควบคุมอาหารให้ดี อย่าให้น้ำหนักตัวเพิ่มมากเกินไป พยายามให้น้ำหนักตัวเพิ่มทีละน้อยตามเกณฑ์ แต่ในบางรายคุณแม่อาจจะรู้สึกเหนื่อยมากจากการเลี้ยงดูลูกคนแรกทำให้เบื่ออาหาร ทานไม่ลง ซึ่งจะทำให้เกิดผลเสียต่อทารกในครรภ์ได้ คุณแม่ที่มีภาวะโภชนาการที่ดีจะมีน้ำหนักตัวขึ้นตามเกณฑ์ปกติ ถ้าน้ำหนักตัวไม่ขึ้นตามที่ควรจะเป็นก็ควรเพิ่มปริมาณสารอาหารตามความเหมาะสม
เมื่อรู้ว่าท้องคุณแม่อาจจะเกิดความลังเล ความกังวลใจ ความไม่พร้อม ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดความเครียดขึ้นมาจนทำให้คุณแม่รู้สึกไม่สดชื่นไม่สบายใจในการท้องครั้งใหม่ คุณแม่ต้องพยายามปรับตัวเตรียมใจให้พร้อมที่จะต้อนรับสมาชิกใหม่ มั่นใจต่อการท้องครั้งนี้ให้มาก อาจมองในแง่ดีว่าเป็นความโชคดีที่เคยมีประสบการณ์จากท้องแรกมาแล้ว และหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะส่งผลเสียต่อตัวคุณแม่และลูกน้อย
คุณแม่ควรมีเวลาพักผ่อนให้มากกว่าตอนที่ท้องแรกเพราะจะเหนื่อยจากการเลี้ยงลูกคนแรก คุณพ่อควรช่วยเลี้ยงลูกในเวลากลางคืน ให้คุณแม่มีเวลาพักผ่อนมากขึ้น การออกกำลังกายจะช่วยให้คุณแม่คลายความเครียด รู้สึกสดชื่น กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ทำให้สุขภาพจิตดีขึ้น อาจเป็นการเล่นโยคะ กายบริหารเล็กน้อย แต่ถ้าคุณแม่ไม่มีเวลาออกกำลังกายก็สามารถเลือกใช้เวลาระหว่างการดูแลลูกคนแรกมาออกกำลังกายร่วมด้วย เช่น การพาลูกคนแรกนั่งรถเข็นเดินเล่น
นอกจากสภาพร่างกายที่คุณแม่จะต้องดูแลเป็นพิเศษแล้ว สภาพจิตใจก็เป็นส่วนสำคัญที่ต้องคำนึงถึง เพราะด้วยสภาพร่างกายของคุณแม่ท้องที่เริ่มมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย อยากพักผ่อน แต่ขณะเดียวกันหากลูกคนแรกยังเล็กก็ต้องการการดูแลเอาใจใส่จากคุณแม่ ซึ่งกรณีนี้จะทำให้คุณแม่รู้สึกอ่อนเพลีย หงุดหงิดง่าย เป็นสาเหตุให้อารมณ์แปรปรวน ทั้งยังไม่มั่นใจกับสภาพร่างกายตัวเอง กังวลว่าสามีจะเบื่อหน่าย ซึ่งภาวะเช่นนี้อาจจะทำให้คุณแม่เกิดภาวะซึมเศร้าได้ ซึ่งไม่ดีแน่สำหรับคุณแม่ที่ท้องและต้องเลี้ยงลูกเล็กครับ
รศ.ดร.นพ.ดิฐกานต์ บริบูรณ์หิรัญสาร
ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล
คุณแม่หลายคนที่เชื่อว่าการอาบน้ำลูกน้อยเป็นแค่การทำความสะอาด คงเริ่มสงสัยกันแล้วใช่ไหมคะว่าการอาบน้ำแนวใหม่ให้สมาร์ทๆ เป็นอย่างไร ถึงเวลาแล้วค่ะ ที่จะเปิดรับมุมมองใหม่ลองมาฟังเกร็ดความรู้จากคุณหมอและคุณแม่ที่จะเผยให้เห็นพัฒนาการที่ลูกน้อยจะได้รับจากช่วงเวลาอาบน้ำที่หลายคนนึกไม่ถึงกันดีกว่าค่ะ

"หลายคนเชื่อว่าการอาบน้ำให้ลูกน้อยเป็นแค่เรื่องการทำความสะอาด" แต่ทราบไหมคะการอาบน้ำนี่แหละเป็นอีกช่วงเวลาหนึ่งที่ช่วยสร้างสายใยแม่ลูกและยังช่วยกระตุ้นประสาทสัมผัสทั้ง 4 ของลูกน้อยไม่ว่าจะเป็น การได้ยินเสียงแม่ร้องเพลงหรือเล่านิทานที่จะนำไปสู่พัฒนาการด้านการฟังและการเรียนรู้ให้ลูกน้อยมีคลังคำศัพท์ที่ใหญ่ขึ้น หรือการมองเห็นที่จะช่วยให้ลูกน้อยฝึกทักษะการใช้สายตาสังเกตเสริมพัฒนาการด้านการคิดอย่างเป็นระบบเมื่อโตขึ้น รวมทั้งการสัมผัสตัวต่อตัวและการได้กลิ่นหอมอ่อนๆในช่วงเวลาอาบน้ำด้วยการรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 4 เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญสำหรับการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆและการพัฒนาศักยภาพของลูกน้อยต่อไปในอนาคตดังนั้นการอาบน้ำลูกน้อยจึงให้อะไรมากกว่าที่คิดค่ะ”
พญ. ปิ่นประภาธรรมวิภัชน์
กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรม รพ. รามคำแหง
คราวนี้มาดูเรื่องราวน่ารักๆ ของน้องคริสกันค่ะ
น้องคริสอายุ 1ขวบกับ 1 เดือน เรียนรู้ไวมากค่ะ คุณแม่เองจบทางด้านการศึกษาปฐมวัยโดยตรง แต่ก็ยังหาข้อมูลต่างๆรอบด้านและปรึกษาคุณหมอด้วยน้องคริสเป็นเด็กซนกระตือรือร้นช่างสังเกตเดินได้ทั้งวันโดยไม่เหนื่อย
เรื่องการอาบน้ำตอนแรกกังวลมากค่ะ แต่คุณหมอบอกว่าไม่ต้องกังวลยิ่งน้องคริสได้อาบน้ำก็ยิ่งได้กระตุ้นประสาทสัมผัสต่างๆ ไปด้วย ซึ่งจะนำไปสู่พัฒนาการที่ดีตั้งแต่เขาอายุได้ 3 เดือนคุณแม่ก็เริ่มอาบน้ำให้เค้าคล่องค่ะ เขาชอบอาบน้ำมากบางวันจะอาบให้ถึง 3 ครั้งๆ ละ 15 นาทีเพราะเขาาเล่นและเดินได้ตลอดทั้งวันค่ะ
เวลาอาบน้ำคุณแม่จะร้องเพลงที่เกี่ยวกับการอาบน้ำโดยเฉพาะ อยากช่วยเสริมพัฒนาการด้านการฟังของเขา และให้เขาได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆไปด้วยน้องคริสชอบหมดค่ะ ทั้งตีน้ำเล่นฟองสบู่เล่นลูกบอลคุณแม่ก็จะสอนเรื่องการไหลของน้ำโดยใช้ถ้วยตักน้ำให้เขามองตามและสังเกต ซึ่งตรงนี้คุณหมอสนับสนุนบอกว่าจะทำให้เขาพัฒนาการใช้สายตาและการคิดอย่างเป็นระบบ และมีทักษะเรื่องเหตุและผลเมื่อโตขึ้น คุณหมอแนะนำว่าสิ่งเหล่านี้ในช่วงเวลาอาบน้ำนอกจากจะทำให้ครอบครัวผูกพันมากขึ้นแล้วยังช่วยกระตุ้นให้น้องคริสมีพัฒนาการสมวัยด้วยค่ะ”
คุณนิตยา ยงรัตนมงคล (คุณแม่น้องคริส)
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.facebook.com/JohnsonsBabyClub
(พื้นที่เพื่อการโฆษณาและประชาสัมพันธ์)
ในงานของขวัญเด็กไทย 'สิ่งเล็กๆที่สร้างลูก' เครื่องมือดูแลลูกยุคใหม่ ที่อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดสิ่งเรียนรู้ 5 เครื่องมือที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการลูก หนึ่งในนั้นคือ หนังสือนิทานจ๊ะเอ๋
พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร กุมารแพทย์เวชศาสตร์วัยรุ่น บอกว่า พัฒนาการที่ดีเริ่มต้นที่พ่อแม่และผู้ปกครอง จึงไม่อยากให้กังวลว่าการที่ลูกจะมีพัฒนาการที่ดีจะต้องลงทุนด้วยเงินจำนวนมากหรือมีเวลาที่มาก แต่มีจุดเริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ ใกล้ตัวในชีวิตประจำวัน ด้วยกิจกรรมธรรมดาที่เติมความรัก ความเข้าใจ ความเอาใจใส่และความสม่ำเสมอในทุกๆ วัน เช่น เล่นกับลูก อ่านหนังสือกับลูก การชวนลูกคุยเพราะยิ่งชวนลูกคุยมากขึ้นเท่าไหร่ก็จะช่วยสะสมคลังศัพท์มากขึ้น การชวนให้ลงมือทำงานบ้านร่วมกัน และพาลูกออกไปเที่ยวเพื่อเรียนรู้สิ่งแวดล้อมนอกบ้าน
และพญ.จิราภรณ์ ได้ตัวอย่าง เช่น การเล่นจ๊ะเอ๋กับลูก ซึ่งแฝงความมหัศจรรย์ที่ช่วยให้สมองและพัฒนาการของเด็กในหลายด้านถูกกระตุ้นอย่างที่ผู้ใหญ่คาดไม่ถึง การเล่นจ๊ะเอ๋ช่วยให้เด็กในช่วง 2 ขวบปีแรก ช่วยให้เด็กได้เรียนรู้เรื่องการคงอยู่ของสิ่งต่างๆ จากการที่ผู้ใหญ่ปิดตาหรือซ่อนแอบ ช่วยกระตุ้นพัฒนาการด้านการสื่อสารระหว่างกัน ฝึกการจดจำข้อมูล โดยเด็กจะจำว่าผู้ปกครองชอบโผล่ทางไหนและคาดเดาว่าครั้งต่อไปจะเป็นทิศทางใด ฝึกให้รู้จักรอคอย ช่วงเวลาที่ปิดหน้าหรือซ่อนหลังสิ่งของ เด็กจะรู้จักรอคอยว่าเมื่อไหร่จะเปิดตาหรือโผล่ขึ้นมา และเกิดสายสัมพันธ์ความผูกพันในหัวใจของลูกเพราะเป็นช่วงเวลาที่เด็กเป็นศูนย์กลาง การสบตา การใช้เสียงสูงต่ำ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะทำให้ถักทอสายสัมพันธ์ในครอบครัว เป็นต้น

จากเด็กอนุบาลสู่ประถม Transition Period ช่วงเปลี่ยนผ่านก้าวใหญ่ที่พ่อแม่ห้ามละสายตา
ช่วงที่ลูกเรียนอนุบาลก็ว่าดูแลยากแล้ว แต่พอลูกเข้าสู่โรงเรียนประถมเท่านั้นแหละ เปิดโลกคุณพ่อคุณแม่มาก ๆ โดยเฉพาะการเติบโตด้านร่างกาย สมอง อารมณ์และสังคม ช่วงนี้เวลานี้เรียกว่า Transition Period ที่พ่อแม่ยิ่งต้องจับตาเป็นพิเศษ เพราะเป็นจุดเปลี่ยนผ่านสำคัญที่สร้างตัวตนของลูกได้ชัดเจนขึ้นอีกระดับ
ช่วงเปลี่ยนผ่าน Transition Period คืออะไร
ช่วงเปลี่ยนผ่าน Transition Period คือ ช่วงเวลาที่เด็กกำลังเปลี่ยนผ่านจากช่วงวัยหนึ่งไปสู่อีกช่วงวัยหนึ่ง เช่น อายุ 6-7 ปี (ช่วงอนุบาลสู่ประถม) อายุ 11-12 ปี (ช่วงเข้าสู่วัยรุ่น) ซึ่งเป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญทั้งทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม โดยช่วงเปลี่ยนผ่านอาจทำให้เด็กมีความรู้สึกสับสน ไม่มั่นใจ หรือเกิดพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม คุณพ่อคุณแม่จึงต้องสังเกต เข้าหา และช่วยให้ลูกผ่านช่วงเวลานี้ไปได้อย่างมีความสุข
ช่วงเปลี่ยนผ่านมักมาพร้อมกับสิ่งต่อไปนี้
- ความกดดันและคาดหวังจากพ่อแม่ ครู
- เรื่องเรียนเป็นหลัก เรื่องเล่นเป็นรอง
- มีกฏระเบียบชัดเจนมากขึ้น
- มีความรับผิดชอบมากขึ้น
- มีผิดมีถูกที่ชัดเจน มีรางวัลและบทลงโทษที่ชัดเจน
Transition Period สำคัญอย่างไร
ช่วงเปลี่ยนผ่านของเด็ก ๆ เป็นช่วงสำคัญที่ลูกจะสร้างตัวตน (Self) อย่างชัดเจน หากลูกรับมือได้ ปรับตัวเป็น เขาก็จะมีแนวทางที่ชัดเจนในการใช้ชีวิต การเรียนรู้ และอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข แต่หากลูกตั้งรับปรับตัวไม่ทันก็อาจทำให้เขาเกิดความอ่อนไหวทางจิตใจและอารมณ์ ซึ่งส่งผลต่อการเรียนรู้
ช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านนี้สังเกตได้ดังนี้ค่ะ
- ด้านร่างกาย - การเปลี่ยนแปลงอาจไม่ชัดเจนมากนัก แต่ลูกจะรู้สึกได้ถึงความแตกต่างและหลากหลายในสังคมใหม่ เพื่อนแต่ละคนมีรูปลักษณ์ ลักษณะที่แตกต่างกัน
- ด้านอารมณ์ - เริ่มมีอารมณ์ไม่มั่นคง อ่อนไหวต่อการกระตุ้นจากภายนอก บางคนแสดงออกถึงความเศร้าด้วยการเงียบ ไม่กล้าพูด บางคนแสดงออกด้วยการดื้อเงียบ รับฟังแต่ไม่รับทำ
- ด้านสมอง - ลูกจะต้องเรียนรู้สิ่งที่ซับซ้อนมากขึ้น มีวิชาการมากขึ้น สมองทำงานมากขึ้น
- ด้านสังคม - ลูกจะเริ่มปรับตัวเข้ากับเพื่อน มีเรื่องเพื่อนมาเล่าให้ฟังทุกวัน บางคนขี้อาย บางคนไม่ชอบเข้าสังคม
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ พ่อแม่ต้องสังเกตและจับตามองให้ดี เพื่อช่วยส่งเสริมและช่วยให้ลูกก้าวผ่านช่วงนี้นี้ไปให้ได้ อย่ามองเป็นเรื่องปกติ แต่ให้มองว่านี่คืออีกหนึ่งสนามใหญ่ที่ลูกกำลังออกไปวิ่งเล่นได้มากขึ้นค่ะ
Transition Period พ่อแม่ควรส่งเสริมและช่วยลูกอย่างไร
- ช่วยฝึกฝนให้ลูกช่วยเหลือและดูแลตัวเองเป็น เพราะเมื่อลูกอนุบาลก้าวสู่ระดับประถม กิจวัตรประจำวันหลาย ๆ อย่าง ลูกจะต้องทำเองได้ เช่น เข้าห้องน้ำและทำความสะอาดตัวเองได้ เก็บของของตัวเองได้ แต่งตัวเองได้ เป็นต้น
- ช่วยลูกทบทวนบทเรียนในแต่ละวัน เพื่อกระตุ้นให้ลูกคิดได้ซับซ้อนและจดจำได้มากขึ้น โดยพ่อแม่ต้องใจเย็นและใช้ความอดทนสูง เพราะเป็นเรื่องที่ลูกไม่เคยเรียนและไม่รู้มาก่อน จึงต้องให้เวลาเขาได้คิด ไม่เร่ง ไม่ควรเอาความคาดหวังจากสิ่งที่ตัวเองรู้สึกว่าง่ายไปกดดันลูก
- สอนลูกเรื่องความแตกต่าง เพื่อให้ลูกเปิดใจ ยอมรับ และไม่รู้สึกถูกเปรียบเทียบ ซึ่งจะช่วยสร้าง Self ของลูกให้แข็งแรง
- ช่วยให้ลูกเข้ากับสังคมเป็น มีวิธีมีเพื่อนใหม่ ซึ่งพ่อแม่สามารถช่วยลูกได้แต่ระดับอนุบาลด้วยการเปิดโอกาสให้ลูกได้เล่นนอกบ้าน ไปเที่ยว ไปรู้จักคนใหม่ ๆ และมอบหมายงานที่ช่วยให้เขาได้แสดงออก เช่น ให้ลูกลองถือเงินไปจ่ายซื้อของเอง ให้ลูกทักทายคนรอบตัว เป็นต้น
- พูดคุยกับลูกทุกวันหลังเลิกเรียนด้วยคำถามสนุก น้ำเสียงเป็นมิตร เช่น วันนี้ได้เพื่อนใหม่บ้างไหม ข้าวกลางวันอร่อยไหม ชอบคุณครูคนไหน เป็นต้น เพื่อให้ลูกรู้สึกผ่อนคลาย อุ่นใจ ปลอดภัย ที่จะกล้าเล่าเรื่องราว ๆ ให้ฟังได้
- คอยสังเกตว่าลูกมีอารมณ์หรือพฤติกรรมที่ผิดปกติไปจากเดิมไหม เช่น ไม่ร่าเริงเหมือนเดิม พูดน้อยลง ซึมเศร้า เป็นต้น เพื่อหาสาเหตุและแก้ไข เพราะหากรับมือไม่ทัน ปล่อยปละไปนาน ๆ ลูกจะติดอยู่กับอารมณ์และพฤติกรรมนี้ไปจนโต ซึ่งจะมีผลต่อการเรียนรู็และการใช้ชีวิตใจอนาคตด้วย
คุณครูช่วยอะไรลูกได้บ้างในช่วง Transition Period
คุณพ่อคุณแม่ต้องรู้ก่อนนะคะว่าเราไม่สามารถฝากความหวังในช่วงนี้ไว้ที่คุณครูได้ 100% ช่วงเปลี่ยนผ่านของลูกอนุบาลไปสู่ระดับประถมเป็นการทำงานร่วมกันของ 3 ฝ่าย คือ พ่อแม่ ครู และเด็ก
- บทบาทของพ่อแม่ คือ ช่วยฝึกฝนทักษะพื้นที่ฐานในการดูแลตัวเอง การเข้าสังคม และการเรียนรู้ ในขณะเดียวกันก็เป็นผู้สังเกตการเปลี่ยนแปลงของลูกว่ามีความผิดปกติหรือไม่ เพื่อให้รู้ทัน ช่วยเหลือลูกได้อย่างตรงจุด
- บทบาทของครู คือ ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ใหม่ ๆ ให้เด็ก และเป็นผู้สังเกตการณ์ระดับมืออาชีพ ที่จะสังเกตได้ว่าเด็กแต่ละคนเป็นอย่างไร มีความสุขกับอะไร หรือกำลังมีปัญหาเรื่องอะไร เพื่อช่วยแก้ปัญหาเบื้องต้น และแจ้งให้พ่อแม่รับทราบเพื่อเป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญในการดูแลได้อย่างถูกต้อง
- บทบาทของลูก คือ ทำหน้าที่และใช้ชีวิตตามวัยของตัวเอง กล้าพูด แสดงออกในสิ่งที่ตัวเองชอบและไม่ชอบให้พ่อแม่รับรู้ พ่อแม่เองก็ต้องมั่นถาม รู้จักตั้งคำถามที่ช่วยให้ลูกรู้สึกผ่อนคลาย
อย่าปล่อยให้ลูกต้องรับมือกับช่วงเปลี่ยนผ่านนี้เพียงลำพังค่ะ ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องเรียน เรื่องวิชาการเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องสำคัญอื่น ๆ อีกมากที่ "เป็นเรื่องใหม่เรื่องใหญ่" สำหรับลูก พ่อแม่จึงต้องช่วยประคองลูกทั้งร่างกายและจิตใจให้เข้ากล้าก้าวเข้าไปสู่อีกสังคมที่ใหญ่ขึ้น ซับซ้อนมากขึ้นด้วย Self ที่แข็งแรงค่ะ

โรคซึมเศร้าในเด็ก สังเกตอย่างไร ก่อนจะสายไป
โรคซึมเศร้า สุดอันตรายนี้ ถ้าใครคิดว่าเด็กเป็นโรคซึมเศร้าไม่ได้ ขอบอกว่าเป็นได้นะคะ แต่ถ้ารู้ทัน สังเกตดี ๆ จะมองง่ายมากกว่าผู้ใหญ่ด้วย เพราะเด็กจะเก็บอาการไม่อยู่ แสดงออกตามสิ่งที่รู้สึก และหากพ่อแม่กังวลว่าลูกเราเข้าข่ายหรือไม่ ลองเช็กตามนี้เลยค่ะ เพื่อเป็นการรับมือให้ทันกับอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของลูก
โรคซึมเศร้า (depression) เป็นโรคทางอารมณ์ชนิดหนึ่ง ที่อารมณ์ซึมเศร้าจะมีมากกว่าปกติ เศร้าติดต่อกันเกือบทั้งวัน ติดต่อกันทุกวันนานเกิน 2 สัปดาห์
สาเหตุของโรคซึมเศร้าในเด็ก
เกิดจากพันธุกรรม ถ้ามีประวัติโรคซึมเศร้าในครอบครัว ก็จะทำให้เด็กมีโอกาสป่วยด้วยโรคซึมเศร้า มากกว่าเด็กทั่วไป ยาบางชนิดสามารถทำให้เป็นโรคซึมเศร้าได้
ประกอบไปด้วย ความเครียดหรือรู้สึกไม่ชอบ กลัว กังวล กับบุคคลรอบข้าง หรือ เด็กขาดความมั่นใจในตนเอง กลัวการแข่งขัน

ลูกเข้าข่ายเป็นโรคซึมเศร้าหรือไม่ สังเกตได้ดังนี้
- ลูกจะมีอารมณ์ที่ซึมเศร้าลง เบื่อหน่ายมากขึ้น หรืออาจมีอารมณ์หงุดหงิดบ่อยทั้งวัน
- ชอบแอบร้องไห้
- ลูกไม่มีความสุข ความเพลิดเพลินเมื่อทำกิจกรรมที่ชอบ เช่น เคยชอบวาดรูป แต่กลับเกลียดการวาดรูป
- ลูกไม่อยากอาหาร น้ำหนักลดลง หรือในขณะที่เด็กบางรายก็ทานอาหารมากเกินไป
- ลูกจะนอนไม่หลับ หลับ ๆ ตื่น ๆ หรือตื่นเร็วกว่าปกติ หรือนอนทั้งวัน
- ลูกทำอะไรก็เฉื่อยชาไปหมด
- เริ่มเก็บตัว ไม่ค่อยพูดเหมือนก่อน
- ลูกไม่มีสมาธิในการเรียน ความจำแย่ลง
- ชอบรู้สึกผิด โทษตัวเอง รู้สึกไร้ค่า สุดท้ายพูดเรื่องการตาย อยากฆ่าตัวตาย
วิธีรับมือ เมื่อลูกเป็นโรคซึมเศร้า
- พ่อแม่ควรหมั่นพูดคุยกับลูก สังเกตพฤติกรรม สอบถามอาการสารทุกข์สุกดิบ ถามถึงความสุขของลูก เพื่อช่วยแก้ปัญหาในเบื้องต้น ก่อนที่ลูกจะตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า
- การทำกิจกรรมร่วมกับลูก ไปทำกิจกรรมใหม่ ๆ บรรยากาศใหม่ ๆ เพื่อให้เด็กมีความสุขเพิ่มขึ้น แต่ต้องเป็นกิจกรรมที่ไม่ทำให้แย่ลงไปกว่าเดิม พูดคุยกับลูกโดยเหตุและผล
- ไม่ใช้อารมณ์ ให้ความเอาใจใส่และความอบอุ่นแก่ลูกอยู่เสมอ เปิดโอกาสให้ลูกได้เล่าปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่เร่งรัด ให้บรรยากาศที่ผ่อนคลาย ไม่ตึงเครียด คอยสำรวจพฤติกรรมหรือขอความช่วยเหลือจากคุณครู ให้ช่วยสอดส่องพฤติกรรมของลูก และเปิดเผยพูดคุยกับคุณครูเพื่อแลกเปลี่ยนปัญหาของลูกที่พบที่บ้านและโรงเรียน เพื่อร่วมมือกันแก้ไขปัญหาอย่างใกล้ชิด หากอาการไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาจิตแพทย์โดยด่วนเพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้องต่อไป
เรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
พ่อแม่ 5 ประเภท ที่ผลักลูกเผชิญโรคซึมเศร้าตั้งแต่เด็ก
ขอบคุณข้อมูลจาก : พญ. กมลวิสาข์ เตชะพูลผล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชศาสตร์ สาขาจิตเวชเด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลพญาไท 2
แค่ลูกทารกกินนมอิ่ม นอนหลับสบายอาจจะยังไม่พอค่ะ พ่อแม่ต้องสังเกตุพัฒนาการตามวัยของทารกรกด้วย และถ้ามีสัญญาณดังต่อไปนี้อาจบอกได้ว่าลูกของเรากำลังมีพัฒนาการผิดปกติ
พ่อแม่ต้องสังเกต! 5 สัญญานเตือนพัฒนาการทารกที่อาจผิดปกติ
- ลูกทารกหน้าบึ้ง ไม่ยิ้ม เป็นธรรมดาของทารก 0-3 เดือน จะยิ้มเก่งเป็นปกติ เนื่องจากกล้ามเนื้อปากยังไม่ค่อยแข็งแรงค่ะ แต่พอเวลาผ่านไป 3 เดือนลูกเริ่มมองเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น ถ้าลูกยังยิ้มเล่นสดใสก็ยังปกติอยู่ค่ะ แต่เมื่อไหร่เวลาพ่อแม่มาเล่นหรือคนแปลกหน้ามาอยู่ใกล้ๆ ลูกทำหน้านิ่ง บึ้งตึงไม่ยิ้มเมื่อตอนแรกเกิดใหม่ ๆ นั่นเป็นเพราะลูกไม่ไว้ใจคนรอบข้าง น้องเลยรู้สึกหวาดกลัวนะคะ
สิ่งเดียวที่พ่อแม่ทำได้คือการสังเกตว่าลูกกลัวอะไร แล้วนำสิ่งนั้นออกไปให้ห่างจากตัวลูกค่ะ ถ้าปล่อยไว้ ลูกจะร้องไห้และหลวดกลัวตลอดเวลา จะส่งผลให้ลูกเติบโตมามีนิสัยก้าวร้าว ขี้กลัว ไม่มั่นใจตนเองและไม่ช่วยเหลือผู้อื่นอีกด้วยนะคะ
- ลูกทารกหน้างอคอหัก คอไม่ตั้ง วัย 4-6 เดือน ทารกจะเริ่มพลิกตัวแล้วนะคะ และเริ่มมีการพลิกคว่ำได้ดี ชันคอได้ เพราะกล้ามเนื้อบริเวณส่วนกลางของลำตัว กล้ามเนื้อคอเริ่มมีความแข็งแรงขึ้นค่ะ เมื่อพลิกตัวคว่ำจะสามารถชันคอโชว์พ่อแม่ได้
ในกรณีที่ลูกถ้ายังชันคอไม่ได้ เวลาคุณแม่อุ้มแล้วคอยังเอียงไปเอียงมา ต้องคอยจับอยู่ตลอด อาจเป็นสัญญาณบอกว่ากล้ามเนื้อมีปัญหา หรืออาจมีปัญหาเรื่องสมองอ่อนแรงค่ะ ส่งผลให้พัฒนาการกล้ามเนื้อล่าช้าด้วย ทางที่ดีคุณแม่ต้องปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญนะคะ
- ลูกทารกไม่ยอมนั่งเด็กวัย 7-9 เดือน ช่วงวัยนี้เด็กจะเริ่มลุกนั่งได้เองแลล้วค่ะ โดยที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องคอยประคองแล้ว เริ่มยันแขนหมุนตัวเองให้นั่งได้
แต่ถ้าลูกไม่สามารถนั่งเองได้ คุณแม่ต้องระวังนะคะ เป็นสัญญาณบอกว่ากล้ามเนื้อมัดใหญ่บริเวณหลังอาจเกิดความผิดปกติ อาจมีปัญหากล้ามเนื้ออ่อนแรง และจะส่งผลต่อพัฒนาการขั้นอื่นต่อไปต้องปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญนะคะ
- ลูกทารกมือเบาหวิว กล้ามเนื้อมือยังไม่แข็งแรง เด็กวัย 7-9 เดือน ช่วงวัยนี้ลูกจะหยิบจับหรือคว้าสิ่งของได้แม่นยำมากขึ้นค่ะ สามารถควบคุมนิ้วมือเล็กๆ ให้จับของได้มั่นคง เป็นการเรียนรู้เรื่องระบบประสาทสัมผัสที่ดี
กรณีถ้าลูกยังหยิบจับของเล่นเองไม่ได้ หยิบของเล่นแล้วหล่น หรือมือไม่มีแรงหยิบ อาจเป็นเพราะกล้ามเนื้อมือยังไม่แข็งแรงพอค่ะ ลองหาของเล่นนิ่มให้เขาบีบจับบ่อยๆ เพื่อเป็นการบริหารกล้ามเนื้อมือให้แข็งแรงขึ้น
- ลูกทารกไม่ยอมยืนเด็กวัย 9-10 เดือน ช่วงนี้เด็กๆ จะเริ่มเหนี่ยวตัวเองเกาะสิ่งของที่อยู่รอบตัว แล้วยกตัวเองขึ้นมาเกาะยืนและค่อยๆ เกาะเดิน จะเป็นช่วงล้มลุกคลุกคลานนะคะ สามารถยืนได้เอง เวลาเดิน จะเดินได้ 2-3 ก้าวแล้วล้มนั่งลง เหมือนตุ๊กตาล้มลุกให้ลูกได้ฝึกลุกนั่ง แต่ต้องหาที่เหมาะๆ นะคะหาหมอนมาวางรอบๆ ตัวด้วยนะคะเพื่อความปลอดภัย
ในกรณีลูกไม่ลุกยืน วัยนี้ยังไม่ผิดปกติอะไรมากค่ะ เพราะพัฒนาการช่วงนี้เด็กแต่ละคนจะช้าเร็วแตกต่างกัน แต่ถ้าเลยขวบครึ่งไปแล้วยังไม่ยอมลุกเดิน แสดงว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้น ซึ่งอาจเกิดจากกล้ามเนื้อขามีความผิดปกติ หรืออาจเกี่ยวกับระบบประสาทมีความผิดปกติและส่งผลให้การทำงานของกล้ามเนื้อมีความผิดปกติเกิดขึ้น

กล้ามเนื้อมัดเล็กที่มือของลูกก็ต้องได้รับการฝึกฝนเป็นประจำเพื่อให้แข็งแรง หยิบจับอยู่มือ เรามีวิธีส่งเสริมพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กที่มือลูกแรกเกิด - 6 ปี มาแนะนำค่ะ
พัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กให้ลูกเล็กหยิบจับของได้อยู่มือ
กล้ามเนื้อมัดเล็ก คือ ส่วนนิ้วมือ นิ้วเท้า ข้อมือ ฯลฯ ซึ่งจะต้องพัฒนาไปพร้อมกับสายตา แขน ขา และอวัยวะส่วนอื่นๆ หากกล้ามเนื้อมือพัฒนาล่าช้าก็อาจส่งผลให้พัฒนาการด้านอื่นๆ ช้าตามไปด้วย ดังนั้นมาดูกันสิคะ ว่าลูกมีพัฒนาการกล้ามเนื้อมือในแต่ละช่วงวัยเป็นอย่างไรกันบ้าง
วิธีพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก
- กล้ามเนื้อมัดเล็กลูกวัย 0 - 3 เดือน : นิ้วมือจะค่อยๆ ยืดและเหยียด ลูกจะเริ่มกำและกางนิ้วมือได้ และสามารถคว้าจับสิ่งของใกล้ตัวได้
กระตุ้นกล้ามเนื้อมัดเล็ก : หาของเล่นชิ้นใหญ่ๆ นุ่มๆ ให้ลูกได้ลองสัมผัส จับ กำ ขยำ หรือแม้แต่เวลาดื่มนมแม่ คุณแม่อาจให้ลูกกำนิ้วแม่ จับหน้าแม่
- กล้ามเนื้อมัดเล็กลูกวัย 3 - 6 เดือน : กล้ามเนื้อมือของลูกจะแข็งแรงมากขึ้น ลูกจะเริ่มคว้าจับสิ่งของใกล้ตัวด้วยมือทั้ง 2 ข้างได้ เช่น ของเล่นที่มีเสียง ฯลฯ
กระตุ้นกล้ามเนื้อมัดเล็ก : หาของเล่นมีเสียงมาเขย่าให้เขามืองตาม แล้วนำไปยื่นให้ใกล้ๆ เพื่อให้ลูกลองคว้าจับ โดยของเล่นควรมีชิ้นใหญ่ เพื่อให้ลูกได้ลองจับทั้งสองมือไปพร้อมๆ กัน และหากยังจับไม่อยู่มือ คุณแม่ก็ควรหยิบมาลองให้ลูกจับบ่อยๆ อย่าเพิ่งท้อ เพราะเขาเองก็อยากจับเล่นให้อยู่เหมือนกันคะ
- กล้ามเนื้อมัดเล็กลูกวัย 6 - 9 เดือน : ลูกเริ่มเคลื่อนไหวมือได้คล่องแคล่วขึ้น สามารถหยิบจับของชิ้นเล็กๆได้ เช่น เมล็ดถั่ว ลูกปัด ฯลฯ
กระตุ้นกล้ามเนื้อมัดเล็ก : เพิ่มของเล่นให้หลากหลายมากขึ้นทั้งขนาดและผิวสัมผัส เพราะลูกจะได้ลองขยับมือจับได้ตามขนาดของเล่น จดจำได้ว่าของเล่นชิ้นไหนควรจับอย่างไร มีสัมผัสอย่างไร เป็นการช่วยเรื่องความจำและการเรียนรู้ได้มากขึ้นด้วยค่ะ
- กล้ามเนื้อมัดเล็กลูกวัย 9 เดือน - 1 ปี : ลูกจะสามารถบังคับนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้หยิบของจากพื้น และปล่อยให้หลุดจากมือได้ตามต้องการ วัยนี้เรียกว่า "วัยทิ้งของ"
กระตุ้นกล้ามเนื้อมัดเล็ก : ช่วงนี้ลูกจะจับแล้วปล่อยของเล่นหลุดมือตลอดเวลา เขาไม่ได้กำลังแกล้งแม่นะคะ แต่กำลังสนุกกับร่างกายตัวเองที่สามารถหยิบของและปล่อยของได้ ดังนั้นคุณแม่อาจจะเหนื่อยหน่อยกับการเก็บของขึ้นๆ ลงๆ คุณแม่จึงควรเน้นของเล่นที่หล่นไม่แตกหัก น้ำหนักเบา และช่วงนี้ให้ลูกลองใช้มือยืดเกาะขอบโซฟานุ่มๆ หรือขอบเตียงให้มั่นเพื่อตั้งไข่ได้เลย จะช่วยเพิ่มกำลังที่มือและแขนขาด้วยค่ะ
- กล้ามเนื้อมัดเล็กลูกวัย 1 - 3 ปี : ลูกจะสามารถจับดินสอขีดเขียนหรือลากเส้นตรง เส้นโค้ง วงกลมตามรอยปะได้ และสามารถพับกระดาษให้เป็นชิ้นเล็กๆ ได้
กระตุ้นกล้ามเนื้อมัดเล็ก : หาดินสอสีให้ลูกลากเส้นเล่นได้เลยค่ะ หรือให้เขาของหยิบจับของใช้ในบ้านช่วยแม่ด้วยก็ได้ เช่น ขยำผ้ามาช่วยถูพื้น หยิบไม้กวาดเล็กๆ มาช่วยกวาดบ้านเลียนแบบแม่
- กล้ามเนื้อมัดเล็กลูกอายุ 3 - 6 ปี : สามารถควบคุมนิ้วมือ และมือได้มากขึ้น ลูกจะชอบเล่น หรือทำกิจกรรมที่ต้องใช้นิ้วมือ เช่น แกะชิ้นส่วนของเล่น วาดภาพระบายสี ฯลฯ
กระตุ้นกล้ามเนื้อมัดเล็ก : ลูกอนุบาลหยิบจับของได้อยู่มือแล้ว กล้ามเนื้อมัดเล้กแข็งแรงมากแล้วค่ะ นอกจากการหยิบจับดินสอเพื่อขีดเขียนหนังสือ หรือวาดรูปแล้ว คุณแม่อาจจะมอบหมายงานบางอย่างให้เขาลองทำ เช่น กรอกน้ำใส่ตู้เย็น ยกจานข้าวเบาๆ ก็ช่วยให้เขาพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กที่มือได้ดี รวมทั้งฝึกความรับผิดชอบได้ด้วยค่ะ
พัฒนาการของอวัยวะส่วนต่าง ๆ มีความสำคัญต่อการเรียนรู้ของลูก หากคุณแม่ส่งเสริมให้กล้ามเนื้อมือของลูกแข็งแรง อวัยวะส่วนอื่นๆ ก็จะมีการพัฒนาที่ดีตามไปด้วยค่ะ

ลูกวัย 1 ขวบมีพัฒนาการอะไรที่โดดเด่นบ้าง พ่อแม่ต้องส่งเสริมพัฒนาการเด็กวัย 12 เดือนอย่างไรให้สมวัย และพร้อมพัฒนาต่อยอด เรามีคำแนะนำค่ะ
พัฒนาการเด็ก 1 ขวบ ลูกวัย 12 เดือนมีพัฒนาการอะไรที่โดดเด่น พร้อมวิธีเสริมพัฒนาการเด็ก 1 ขวบ
พัฒนาการทางร่างกายเด็กวัย 1 ขวบ
เมื่อลูกอยู่ที่บ้านอาจจะเดินเล่นได้อย่างเพลิดเพลิน เพราะว่าอยู่ในสถานที่ที่คุ้นเคย สามารถเดินชะลอเพื่อสำรวจสิ่งที่ตนเองสนใจ และสามารถหยุดมอง นั่ง และเล่นได้อย่างเบิกบานมีความสุข เพราะว่าเขาสามารถเคลื่อนตัวเองไปยังจุดที่น่าสนใจได้ ด้วยตนเองโดยไม่ต้องพึ่งพิงใคร แต่เมื่ออยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยลูกอาจจะไม่ยอมเดิน อยู่เกาะติดกับคุณแม่ และมีความรู้สึกกลัวเข้ามาแทรกทั้งๆ ที่อยู่บ้านเคยทำได้ อย่างเช่น จะคลานแทนทั้งๆ ที่เคยเดินได้คล่องแคล่ว ลูกสามารถใช้มือทั้งสองข้างได้ อย่างคล่องแคล่วว่องไว โดยเฉพาะนิ้วโป้งและนิ้วชี้ที่จะสามารถหยิบของต่างๆ ได้เต็มมือ มีการหยิบวางอย่างบรรจงและแม่นยำ ถือของต่างๆ ได้เหนียวแน่นและตกยาก
พัฒนาการทางร่างกายของเด็กวัย 1 ขวบ ได้แก่
- ยืนได้เอง และยืนได้ตรง
- ย่อตัวลงนั่งได้แข้งขัน
- เดินได้ แต่ก็ยังชอบคลาน
- ชอบคลานขึ้นลงบันได
- ใช้มือขณะเดินได้ อย่างเช่น เดินไปพร้อมกับเล่นของเล่น เดินพร้อมกับโบกมือ ชอบใช้มือข้างเดียว และอีกข้างก็สามารถทำอย่างอื่นได้
- ใช้นิ้วชี้สิ่งของและผลักของ ถอดเสื้อผ้าออกได้เอง
- ชอบเปิดฝากล่องและฝาขวด
- ทำท่าเหมือนว่ายน้ำในอ่างอาบน้ำ
พัฒนาการทางอารมณ์ จิตใจ เด็กวัย 1 ขวบ
ลูกจะเริ่มกลับมาติดแม่อีกครั้ง โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสิ่งแวดล้อมข้างนอก การติดแม่แจในวัยนี้ลูกจะไม่ยอมเล่นกันใคร จนทำให้คุณแม่หลายคนคิดมาก แต่พฤติกรรมนี้จะค่อย ๆ หายไปเองเมื่อโตขึ้น ลูกจะรู้สึกว่าเริ่มอยู่ได้เมื่อปราศจากแม่ เขาจะปรับตัวและจัดการอารมณ์ของตนเอง เพื่อนำไปสู่พัฒนาการทางอารมณ์ที่จะเข้มแข็งขึ้นทีละน้อย โดยเฉพาะเวลาที่ลูกโกรธหรือโมโห ต้องปล่อยให้ลูกได้เรียนรู้อารมณ์ตรงนี้และสงบได้ด้วยตนเอง
พัฒนาการทางอารมณ์ จิตใจของเด็กวัย 1 ขวบที่เด่นชัด ได้แก่
- มีปฏิกิริยารุนแรงเมื่อจับแยกจากแม่
- มีอารมณ์ขัน
- มีอารมณ์แห่งการปฏิเสธมากขึ้น อย่างเช่น ไม่กิน ไม่ไป ยืนยันความต้องการของตนเอง
พัฒนาการทางภาษาเด็กวัย 1 ขวบ
ลูกยังไม่สามารถพูดเป็นภาษาได้ แต่ก็สามารถฟังคุณพ่อคุณแม่และแปลความหมายที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ในชีวิตประจำวันได้อย่างแม่นยำ
การพัฒนาด้านภาษาของลูกขึ้นอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ โดยพูดและอธิบายให้ลูกฟังบ่อย ๆ ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ โดยเริ่มจากของใกล้ตัวที่สุดคืออวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายของเขา อย่างเช่น มือ เท้า ท้อง เพื่อให้ลูกได้เรียนรู้คำศัพท์ และรู้จักบอกความต้องการของตนเองได้ โดยเฉพาะเมื่อตนเองเกิดเจ็บปวดขึ้นมา
พัฒนาการทางภาษาของเด็กวัย 1 ขวบที่เด่นชัด ได้แก่
- จับโทนเสียงบ่งบอกอารมณ์ได้
- พูดเสียงอื่น ๆ ได้มากขึ้น
- พยายามพูดเสียงต่าง ๆ บางครั้งใช้การแผดเสียงเพื่อเรียนรู้ลำดับของโทนเสียง
พัฒนาการทางสังคมเด็กวัย 1 ขวบ
แม้ลูกจะมีความผูกพันกับคุณแม่มาก แต่กลับมักออกฤทธิ์และมีพฤติกรรมที่ไม่น่ารักออกมาเมื่ออยู่กับคุณแม่ ราวกับว่าไม่กลัวใครเมื่อมีคุณแม่อยู่ด้วย อย่างเช่น ชอบตีพี่เลี้ยง สั่งอะไรก็ไม่ยอมทำ เป็นต้น กลับกันคุณจะเห็นว่าเมื่อฝากลูกไว้ กับคุณตาคุณยายหรือพี่เลี้ยงเพียงลำพังโดยที่คุณแม่ไม่ได้อยู่ด้วย ก็มักจะได้ยินเสียงบอกเล่าว่าลูกเป็นเด็กน่ารัก ให้ทำอะไรก็เชื่อฟัง แต่พอมาอยู่กับคุณแม่อีกครั้งกลับเป็นเหมือนเดิม สั่งอะไรก็ไม่ยอมทำตามแถมอาจจะก้าวร้าวอีกด้วย พฤติกรรมนี้จะค่อย ๆ หายเมื่ออาการติดแม่มีน้อยลงไปเมื่อเขาโตขึ้น
พัฒนาการทางสังคมของเด็กวัย 1 ขวบที่เด่นชัด ได้แก่
- แสดงอารมณ์มากขึ้น และก็เข้าใจอารมณ์คนอื่นมากขึ้น
- ระแวงคนแปลกหน้าและสถานที่ใหม่ ๆ
- เข้าใจการเล่นเกมง่าย ๆ เป็นกลุ่ม ใครขอของเล่นก็จะให้บ้าง บางครั้งก็แยกตัวเล่นคนเดียว
- จะทำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีเมื่อมีคนชมเชยอยู่ข้าง ๆ
พัฒนาการทางสมองเด็กวัย 1 ขวบ
เมื่อลูกมีพลังงานเยอะเหลือเฟือและโลกใบใหม่ก็น่าสนุกและน่าเรียนรู้ ทำให้เจ้าหนูวัยนี้ส่วนใหญ่นอนยาก และไม่ชอบที่จะเข้านอนสักเท่าไร ทั้ง ๆ ที่การนอนเป็นส่วนหนึ่งการพักผ่อนเพื่อให้ร่างกายได้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และผลิต Growth Hormones ออกมาเพื่อช่วยในการเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นหากอยากให้ลูกแจ่มใสคุณพ่อคุณแม่จะต้องจัดตารางเวลาการนอนของลูกให้ดี รวมทั้งสร้างบรรยากาศการนอนที่เป็นสุข ไร้แสงสว่างกวนตาและเสียงรบกวนด้วย
พัฒนาการทางสมองของเด็กวัย 1 ขวบที่เด่นชัด ได้แก่
- ชอบจับของแยกออกจากกัน อย่างเช่น แกะห่อของเล่น
- เรียนรู้เรื่องการแทนที่ การหมุน และการกลับหัวกลับท้ายของสิ่งของ
- ค้นหาของเล่นที่มองไม่เห็น แต่จำได้ว่ามีอยู่
- จดจำเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้นานขึ้น และจำรายละเอียดได้มากขึ้น
- เริ่มรู้ว่าตนเองใช้มือถนัดด้านไหน
- เมื่อเกิดปัญหาหรือความผิดผลาด จะหาทางแก้ปัญหา
- สามารถแยกของเล่นตามสีและรูปร่างได้
- รู้ว่าตัวเองแตกต่างจากสิ่งของ
- เลียนแบบกิริยาท่าทางได้ดีขึ้น
- ไม่ค่อยยอมนอน


พัฒนาการทารก 2 เดือน เด็กอายุ 2 เดือน พ่อแม่ต้องดูแลอะไรบ้าง มีวัคซีนเด็กอะไรต้องฉีด พัฒนาการอะไรที่เด่นชัดกว่าตอนอายุ 1 เดือน มาเช็กกันค่ะ
พัฒนาการเด็กวัย 2 เดือน พัฒนาการทารก 2 เดือน มีเรื่องไหนบ้างที่แม่ต้องดูแลและส่งเสริม
พัฒนาการทางร่างกายของทารกอายุ 2 เดือน และการส่งเสริมพัฒนาการตามวัย
ลูกวัย 2 เดือนจะมีตัวหนักขึ้นจากเมื่อตอนอายุ 1 เดือนประมาณ 1 กิโลกรัม เริ่มบังคับศีรษะโงนเงนไปมาได้ สามารถเงยขึ้น 45 องศา เพื่อมองสิ่งแวดล้อมรอบๆ ได้ประมาณ 2-3 นาที ลูกจะกินนมเป็นเวลามากขึ้น ประมาณ 4 ชั่วโมงต่อครั้ง เฉลี่ย 35 ออนซ์ต่อวัน และหากไม่ได้ดั่งใจก็จะแผดเสียงร้องลั่นบ้าน
เด็กบางคนอาจจะนอนหลับเพลินจนลืมเวลากินนม เพราะเมื่อมีอายุเลย 5 อาทิตย์แล้ว จะนอนตอนกลางคืนได้ยาวนานขึ้นรวดเดียวถึง 7 ชั่วโมง และในตอนกลางวันจะอยู่ในภาวะตื่นมากขึ้นเป็น 10 ชั่วโมงต่อวัน เด็กจะเริ่มเรียนรู้ร่างกายตนเอง ชอบถีบขายืดแขน หันหน้าหันหลังพลิกตัวไปมาอย่างสนุกสนาน ยิ่งหากมีคนอื่นๆ อยู่ด้วยเจ้าหนูจะโชว์ท่าทางเป็นพิเศษ
ด้านการมองเห็นในเดือนที่ 2 เลนส์ของตาจะปรับระยะตามความห่างของวัตถุ แต่ประสาทของตากับหูยังไม่สัมพันธ์กันมากนัก อาจจะไม่ค่อยหันตามเสียงแต่จะหันตามของเล่นสีสดใสหรือแสงวิบวับแทน อย่างไรก็ตามลูกจะชอบใบหน้าของคนมากกว่าสิ่งของอยู่ดี และการเรียนรู้ของลูกมักจะเป็นการเรียนรู้ด้วยปากและพอใจกับการได้ดูดนมหรือนำนิ้วเข้าปากมากกว่าเรียนรู้ด้วยสายตา
พัฒนาการทางร่างกายที่เด่นชัดของทารก 2 เดือน ได้แก่
- ตื่นนอนกลางวันราว 10 ชั่วโมง
- แขนขายังกระตุก มีสะดุ้งตกใจบ้าง
- การเคลื่อนไหวนุ่มนวลขึ้นกว่าเดือนแรก
- เมื่อนอนคว่ำผงกศีรษะได้ 45 องศา แต่ได้เพียงชั่วครู่
- เมื่อจับนั่งศีรษะจะตั้งขึ้นแต่โงนเงนอยู่
- การหยิบฉวยจะเป็นตามคำสั่งสมองมากกว่าปฏิกิริยาสะท้อนกลับ
- พยายามคว้าของและหยิบฉวยได้นาน 2-3 นาที
- เริ่มมองเห็นว่าลูกมีความถนัดข้างใด
- สามารถทำได้อย่างเดียวในเวลาเดียว
- มองเงามือตนเองโดยคิดว่าเป็นสิ่งของ
- มองสิ่งต่างๆ ด้วยสายตาที่เลื่อนลอย
- มองตามแสง และเห็นภาพชัดในระยะ 7-8 นิ้ว
พัฒนาการทางอารมณ์ จิตใจของทารก 2 เดือน และการส่งเสริมพัฒนาการตามวัย
อารมณ์ของลูกจะเป็นเหตุผลมากขึ้น เช่น ร้องเพราะได้ยินเสียงดัง โกรธ โมโห หรือหิว เมื่อร้องไห้จะอาละวาดถีบขาและแกว่งแขนจนสั่นไปหมด อีกทั้งจะเริ่มสังเกตความเป็นตัวตนของลูกมากขึ้น เช่น เด็กนิสัยเรียบร้อยก็จะนิ่งๆ เงียบๆ หากเด็กนิสัยกระตือรือล้นก็จะซุกซนกว่าปกติ
เด็กบางคนก็จะมีชั่วโมงแห่งความหงุดหงิด โดยเฉพาะช่วงเย็นและช่วงค่ำ เขามักร้องไห้พร้อมกับกลั้นหายใจหรือเรียกว่า “ร้องดั้น” จนหน้าเปลี่ยนสี แม้จะให้นมหรือปลอบโยนก็มักจะหยุดเพียงชั่วครู่ แล้วก็จะร้องใหม่อีกครั้ง การร้องแบบนี้บ่งบอกถึงความไม่สบายใจและความไม่สบายกาย รู้สึกถึงความไม่สมดุลของระบบประสาทและร่างกายของตนเอง เมื่อลูกโตขึ้นก็จะคลายลง แต่ลูกก็สามารถทำให้ตนเองรู้สึกสงบลงได้ด้วยการดูดนิ้ว สำหรับช่วงเวลาที่ลูกอารมณ์ดีที่สุดคือช่วงที่ลูกเพิ่งกินนมเสร็จประมาณครึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งชั่วโมง และมีปฏิกิริยาตอบโต้สูง
พ่อแม่ควรดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อมที่จะช่วยให้ลูกอารมณ์ดี หลีกเลี่ยงเสียงดัง เปิดเพลงเบาๆ หรือแม้แต่การเล่นกับลูกบ่อยๆ ก็เป็นการพัฒนาพัฒนาการทางอารมณ์ของลูกได้
พัฒนาการทางภาษาของทารก 2 เดือน และการส่งเสริมการส่งเสริมพัฒนาการตามวัย
ลูกน้อยยังใช้การร้องไห้เป็นการสื่อสารหลัก เสียงส่วนใหญ่จะออกมาเป็นเสียงอ้อแอ้ คูๆ ไม่เหมือนเสียงพูดของผู้ใหญ่สักเท่าไรนัก แต่ว่าจะสนใจฟังเสียงต่างๆ และจดจำเสียงนั้นไว้ หากคุณพ่อคุณแม่พูดคุยกับลูกบ่อยๆ ลูกจะอ่านริมฝีปากและหัดพูดไปในตัวด้วย
พัฒนาการทางสังคมของทารก 2 เดือน และการส่งเสริมพัฒนาการตามวัย
เริ่มมองคนและส่งยิ้มหวานให้ และจะยิ้มเป็นพิเศษเมื่อคนๆ นั้นมักตอบสนองในทางบวกได้ เช่น เข้ามาคุยด้วย หรือเอานมมาให้ หรือแม้แต่พี่น้องที่เข้ามาเล่นซุกซนด้วยกันเขาก็จะรู้สึกอยากเล่นด้วย
พัฒนาการทางสังคมที่เด่นชัดของทารกวัย 2 เดือน ได้แก่
- เริ่มแสดงอารมณ์ หงุดหงิด ดีใจ ตื่นเต้น ยิ้มแย้ม
- สงบอารมณ์ตัวเองด้วยการดูดนิ้ว
- ตื่นตัวเวลามีคนจ้องมอง
- หยุดฟังและจับจ้องใบหน้าคน
- จะตื่นนานเมื่อมีคนมาเล่นด้วย
- เมื่อมีคนพูดด้วยจะชะงักและทำหน้าตาว่าได้ยิน
พัฒนาการทางสมองของทารก 2 เดือน และการส่งเสริมพัฒนาการตามวัย
ลูกจะยังไม่สามารถจดจำหน้าแม่หรือแยกใบหน้าแม่ออกจากกลุ่มคนได้ แต่เขาจะสามารถแยกแยะได้จากกลิ่นกายและลักษณะท่าทางการอุ้ม อีกทั้งหากคุณแม่ลองแตะรสชาติเค็ม เปรี้ยว หรือขม ที่ริมฝีปากลูก ลูกจะสามารถตอบสนองความไม่พอใจใจออกมาในรูปแบบปิดปาก สำลัก หน้าแดง ขบกราม แต่หากเป็นสิ่งใดที่ลูกชอบ เขาจะสนใจและกระตือรือล้นยิ้มให้เอง
นอกจากนั้นเด็กบางคนมีลักษณะชอบทำอะไรด้านเดียว เช่น นอนตะแคงขวา ดูดมือขวา เอียงคอทางขวา หรือแม้แต่ดูดนมด้านขวา สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่อาการผิดปกติ แต่เป็นลักษณะความถนัดของลูกที่ก่อตัวมาตั้งแต่อยู่ในครรภ์
ทารกวัย 2 เดือนนี้จะเริ่มเชื่อมโยงพฤติกรรมบางอย่างที่พ่อแม่ทำให้และตีความหมายได้บ้างแล้ว เช่น ถ้าวางลูกลงบนเปลในท่าทางพร้อมนอน แต่ลูกยังไม่อยากนอน เขาก็อาจจะแผดเสียงออกมาได้ การส่งเสริมควรพูดคุยกับลูกบ่อยๆ ตอบสนองความต้องพื้นฐานของเขาโดยเฉพาะเรื่องกินและเรื่องความเปียกชื้น ที่เป็นต้นตอของความหงุดหงิดจนทำให้ลูกเสียเวลาในการเรียนรู้ได้
พัฒนาการทางสมองที่เด่นชัดของทารก 2 เดือน ได้แก่
- แยกความแยกต่างของคน เสียง รส และวัตถุได้
- เชื่อมโยงคนกับการกระทำได้ เช่น แม่กับอาหาร
- เคลื่อนไหวร่างกายตอบโต้การกระตุ้น

ทารก 6 เดือนมีพัฒนาการเด็กอย่างไร พ่อแม่ต้องรู้และส่งเสริมพัฒนาการทารก 6 เดือนอย่างไร ลองมาเช็กกันตรงนี้จะได้ดูแลลูกได้อย่างถูกต้องค่ะ
พัฒนาการเด็กวัย 6 เดือน พัฒนาการทารก 6 เดือน ลูกโตแค่ไหน พ่อแม่ต้องส่งเสริมอย่างไร
พัฒนาการทางร่างกายทารก 6 เดือน และการส่งเสริมพัฒนาการตามวัย
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของเจ้าหนูวัย 6 เดือนคือ การนั่งได้นานยิ่งขึ้น โดยมีสิ่งของให้พิงบ้าง หรือบางครั้งไม่มีของพิงกล้ามเนื้อหลังก็สามารถพยุงตัวให้นั่งคงที่ได้แล้ว เว้นแต่ว่าเมื่อเอื้อมมือหยิบของ เขาจะเอนเอียงจนต้องใช้มืออีกข้างพยุงตัวบ้าง ที่น่าดีใจไปกว่านั้นคือการเริ่มหัดคืบของเขา โดยเขาจะยกขากระดกเพื่อถีบตัวไปข้างหน้า แต่บางครั้งก็เคลื่อนผิดทิศไปด้านหลังแทน นอกจากนั้นเขาชอบให้คุณพ่อคุณแม่จับตัวพยุงเดินเพื่อจะได้เห็นโลกใบใหม่ในมุมมองที่เปลี่ยนไป
พัฒนาการทางร่างกายของลูกจะทำให้คุณพ่อคุณแม่เข้าใจลูกมากขึ้นว่าลูกนั้นมีลักษณะนิสัยชอบหรือไม่ชอบอะไร เช่น เด็กบางคนจะชอบเคลื่อนไหวตลอดเวลา แต่บางคนกลับชอบสนใจของเล่นในมือเป็นเวลานาน ๆ เป็นต้น ดังนั้นการฝึกพัฒนาการของตนเองจะเป็นลักษณะเฉพาะและความถนัดของแต่ละคน
ฟันซี่แรกเริ่มขึ้นแล้ว เจ้าหนูจะมีอาการเข็ดฟันและคันเหงือกบ้าง คุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องหายางกัดสำหรับเด็กหรือแตงกวาชิ้นเล็ก ๆ ไว้ให้ลูกขบเล่น เพื่อกระตุ้นการขึ้นของฟันได้ดีขึ้นด้วย และสำหรับคุณแม่ที่ยังให้นมลูกอยู่ เมื่อลูกฟันขึ้นแล้วลูกอาจจะขบกัดหัวนมทำให้เกิดอาการเจ็บปวด คุณแม่สามารถใช้ขวดนมแทนโดยใช้ท่าทางการอุ้มเช่นเดียวกับการให้นมแม่
พัฒนาการทางร่างกายของทารก 6 เดือนที่เด่นชัด ได้แก่
- หันหน้าเอี้ยวตัวไปมาได้ดี
- พลิกคว่ำได้คล่องแคล่ว อาจพลิกคว่ำมาเป็นท่าทางกึ่งนั่งได้
- คืบไปข้างหน้าหรือข้างหลัง
- ทรงตัวได้ดีแต่ต้องมีสิ่งช่วยพยุง เพราะอาจจะหน้าคว่ำหรือหงายท้องได้
- ถือขวดนมเองได้
- จับของเล่นและถ่ายของจากมือหนึ่งไปอีกมือหนึ่งได้
- เอื้อมมือหยิบของทันทีที่อยากได้
- ดื่มนมจากถ้วยได้
- ใช้มือแย่งช้อนเวลาป้อนอาหารเสริมให้ลูก
- นอนหลับสนิทตลอดคืน เฉลี่ยนอนวันละประมาณ 12 ชั่วโมง
พัฒนาการทางอารมณ์ จิตใจทารก 6 เดือน และการส่งเสริมพัฒนาการตามวัย
อารมณ์ดี ๆ ของลูกมักมาจากการเล่นที่บ้างครั้งแม้ว่าการเล่นนั้นดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่ลูกก็สามารถยิ้มแย้มและเอิ๊กอ๊ากจนน้ำลายไหลได้ บางทีเจ้าหนูก็ร้องไห้อยู่แท้ๆ แต่เมื่อเจอสิ่งที่น่าสนใจเขาก็สามารถพลิกกลับมาหัวเราะได้ทันที สำหรับเกมที่สามารถทำให้เจ้าหนูอารมณ์ดีได้ง่ายๆ คือ เกมจ๊ะเอ๋ ปิดหน้าเราด้วยมือหรือผ้าแล้วเล่นจ๊ะเอ๋กับเขา ลูกจะรู้สึกตื่นเต้นและหัวเราะจนเรามองเห็นเหงือกเกือบทั้งหมดเลย
ร่างกายของลูกก็มีเรื่องเกี่ยวพันกับอารมณ์ของเจ้าหนูได้เหมือนกัน เด็กที่อ้วนจะมีผลทำให้เฉื่อยชา อึดอัดเวลาเคลื่อนไหวทำให้พัฒนาการทางร่างกายพัฒนาไปได้น้อย ความสนุกสนานและการเรียนรู้โลกกว้างก็น้อยตามไปด้วย
พัฒนาการทางภาษาของทารกวัย 6 เดือน และการส่งเสริมพัฒนาการตามวัย
เสียงของคุณพ่อคุณแม่เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดในการฝึกภาษาให้ลูก แม้ว่าลูกจะฟังดนตรีอยู่แต่เมื่อได้ยินเสียงคุณแม่ เขาก็จะหยุดและเพ่งความสนใจมาที่แม่ทันที และตั้งอกตั้งใจฟังสิ่งที่คุณแม่พูดราวกับรู้เรื่องทั้งหมด และบางครั้งอาจจะดต้ตอบด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้กลับด้วย หรือมักจะเรียกคุณด้วยน้ำเสียงที่อ้อนแม้ว่าตนเองจะไม่ได้ต้องการอะไรก็ตาม
พัฒนาการทางภาษาของทารก 6 เดือนที่เด่นชัด ได้แก่
- ส่งเสียงเป็นพยัญชนะได้มากขึ้น
- ควบคุมเสียงได้ดีขึ้น แต่ว่ายังไม่เป็นภาษา
- ชอบส่งเสียงคุย และส่งเสียงจ้อตอบเสียงที่น่าสนใจ โดยเฉพาะเสียงผู้หญิง
- ส่งเสียงบอกอารมณ์ต่างๆ ของตัวเอง
พัฒนาการทางสังคมทารก 6 เดือน และการส่งเสริมพัฒนาการตามวัย
ลูกได้เรียนรู้ว่าจะมีปฏิกิริยาตอบกลับจากสิ่งแวดล้อมได้อย่างไรบ้าง มีการปักใจในสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวด้วยการมองสังเกต อดทนทดลองเล่นไปเรื่อยๆ เผื่อว่าจะมีสิ่งใดแปลกใหม่สะท้อนกลับมา คุณพ่อคุณแม่บางคนเริ่มให้ลูกนั่งรถเข็นเดินเล่นในระแวกบ้าน ก็จะทำให้เขาพบเจอลุงป้าน้าอามากมาย ที่สำคัญเขาจะเรียนรู้ความแตกต่างของแต่ละบุคคลได้
พัฒนาการทางสังคมของทารก 6 เดือนที่เด่นชัด ได้แก่
- ยิ้มให้กับเงาตนเองในกระจก สามารถแยกตัวเองกับกระจกเงาได้
- พยายามเลียนแบบการแสดงอารมณ์ทางสีหน้า
- หันหน้ามามองเมื่อได้ยินคนเรียกชื่อตัวเอง
- ยิ้มและเอื้อมไปจับเด็กแปลกหน้า
- ร้องเรียกพ่อแม่เพื่อขอความช่วยเหลือ
- ชอบเล่นกับคนอื่น โดยเฉพาะเมื่อมีเกม
พัฒนาการทางสมองของทารก 6 เดือน และการส่งเสริมพัฒนาการตามวัย
ลูกจะเข้าใจหน้าที่ของของเล่นและของใช้ต่างๆ ได้อย่างดี เรียนรู้และเชื่อมโยงกับกิจกรรมประจำวันได้อย่างรวดเร็ว ลูกจะรับรู้กิจวัตรประจำวันและเรียงลำดับได้อย่างแม่นยำ ส่วนด้านการทำงานของระบบประสาทจะมีความแม่นยำขึ้นมาก ไม่ว่าจะเป็นการหยิบจับ การเคลื่อนไหว รวมทั้งการเรียนรู้ที่เริ่มเลียนแบบกิริยาท่าทางรวมทั้งภาษาที่ได้ยินอยู่เป็นประจำด้วย
พัฒนาการทางสมองของทารก 6 เดือนที่เด่นชัด ได้แก่
- รู้ความสัมพันธ์ระหว่างมือและของที่อยู่ในมือ
- เมื่อถือของอยู่ จะใช้อีกมือหยิบของเล่น และมองของชิ้นที่ 3
- ระบบประสาทสัมพันธ์กันมากขึ้น คว้าสิ่งของด้วยความแม่นยำ ไม่มีกระตุก หรือแกว่งไปมา
- ฮึมฮัมตามเพลง หรือหยุดร้องเมื่อได้ยินเสียงเพลง