facebook  youtube  line

รักลูก The Expert Talk Ep.53 : Toxic Stress รู้ก่อนลูกเครียดเป็นพิษ

 

 

รักลูก The Expert Talk Ep.53 : Toxic Stress รู้ก่อนลูกเครียดเป็นพิษ

 “ความเครียด” เป็นอาการที่ฟังดูแล้วไม่เป็นมิต แต่คุณพ่อคุณแม่รู้ไหมว่า มีความเครียดประเภทที่เกิดขึ้นแล้วดี!! และก็มี “ความเครียดที่เป็นพิษ” ที่เมื่อเกิดกับลูกแล้วส่งผลกระทบแน่นอน

ชวนฟังความเครียด 3ประเภท เพื่อเรียนรู้ เตรียมพร้อมและรับมือเพื่อไม่ให้กระทบกับสมองและพัฒนาการ โดย The Expert ผศ. ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร อาจารย์ประจำสถาบันแห่งชาติ เพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล

ความเครียดเป็นเรื่องใกล้ตัวเรามากเวลาที่เราเกิดความเครียด เวลาที่เราวิตกกังวล กลัว หวาดระแวง คิดมาก นอนไม่หลับ เป็นเรื่องที่ไม่ปกติ ทั้งเราไม่ปกติและเหตุการณ์ไม่ปกติ แต่ความเครียดไม่มีเลยไม่ได้ความเครียดเป็นสิ่งที่อยู่กับเรา มองความเครียดดีๆ ความเครียดมีหลายประเภท ความเครียดหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราต้องมีความเครียดเพราะเป็นความรู้สึกที่ทำให้เราเติบโตและพัฒนาตัวเอง เติบโตจากข้างใน Mindset เราเติบโตได้เมื่อเราผ่านพ้นปัญหาและอุปสรรคไปได้ หรือสิ่งที่ทำให้เราเครียด ทำใจเลยว่าเครียดอยู่กับเรา และความเครียดเป็นเรื่องที่ดี เหตุการณ์ที่เข้ามากระทบเราควบคุมไม่ได้ แต่ความเครียดเราควบคุมได้

ความเครียดแบ่งได้ 3 ประเภท

ความเครียดคือเวลาที่เราต้องคิดมาก ปวดหัว คิดไม่ตก ระแวง กลัว คิดมาก เป็นสิ่งที่เกิดกับด้านจิตใจ และที่เกิดกับด้านสรีระเรา เป็นการตอบสนองต่อเหตุการณ์ แล้วร่างกายมุนษย์สามารถตอบสนองต่อความเครียดได้ โดยใช้วงจรประสาทอัตโนมัติ คือ เวลาที่เราเจอความเครียด กลัว กังวล ประสาทอัตโนมัติ จะส่งสัญญาณกัน จากนั้นต่อมหมวกไตจะหลั่งสารเครียดออกมาคือ อะดรีนาลีนและคอร์ติซอล ทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้น ม่านตาขยาย เลือดลมสูบฉีด ระดับน้ำตาลสูงขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมให้เรารับมือกับภัยที่กำลังคุกคามกายหรือจิตใจเราอยู่ นี่คือการตอบสนองร่างกายเมื่อรู้สึกเครียด

หากความเครียดนั้นเรารับมือ มีปัญหาในชีวิตประจำวัน รับมือและผ่านไปได้ คือการตอบสนองความเครียดแบบบวก Positive Stress หมายความว่า เมื่อผ่านพ้นความเครียด ปัญหาถูกแก้ไข ระดับจิตใจเราสูงขึ้น ปัญญาเราสูงขึ้น เกิดความภาคภูมิใจในตัวเองมากขึ้น เช่น เด็กคนหนึ่งตอนที่เราจะเข้ามหาวิทยาลัยเกิดความเครียด เราวางแผนต่างๆ พอเข้าได้ความเครียดหาย พอเราผ่านพ้นเหตุการณ์ไปแล้วจะเกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง เกิดการเรียนรู้ ชีวิตพัฒนาก้าวไปข้างหน้า นี่เป็นระดับความเครียดจากสถานการณ์ในชีวิตประจำวันที่เกิดการเปลี่ยนแปลงแล้วเราปรับตัวได้
ตอนเกิดการเปลี่ยนแปลงร่างกายก็จะหลั่งสารเครียดออกมา เพื่อให้เราสามารถตื่นตัว เหมือนเวลาที่งานไม่เสร็จก็จะกระตุ้นให้งานเสร็จได้ ทำให้เราเตรียมพร้อม รับมือ แล้วก็ผ่านไปได้ ผลหลังจากนั้นก็เป็นทางบวก เราก็ได้กับมัน

ความเครียดแบบ Positive Stress ทิ้งร่องรอยไว้?
ไม่ทิ้ง เพราะทางจิตใจเราก็รู้สึกภาคภูมิใจและฟิน เมือฟินสารเครียดก็กลับเข้าไป ไม่อยู่ ไม่สะสม กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ไม่ได้เป็นการทำงานของระบบความเครียดอีกต่อไป

ความเครียดระดับที่ทนได้ ตอบสนองความเครียดระดับที่เราทนได้ เมื่อเราต้องไปเจอกับสถานการณ์ที่ไม่ถูกใจ ไม่ใช่เรื่องที่เกิดในชีวิตประจำวัน หรือปรับเปลี่ยนในช่วงวัย เช่น วัยเด็กที่ต้องเข้าอนุบาล เราสามารถพอจะเดาออกและรับมือได้ หรือการเกิดปัญหาในชีวิตประจำวันเล็กๆ น้อย หาอะไรไม่เจอแล้วต้องใช้ ลืมของไว้ที่รร. นี่คือประเภทที่1 ส่วนประเภทที่2 จะวิกฤตขึ้นมา เช่น การสูญเสีย แมวตาย การแยกจาก การสูญเสียพ่อแม่ ญาติ หรือการที่ต้องแยกจากไปจากพ่อแม่ แบบกะทันหัน เป็นความเครียดที่เกิดขึ้นผ่านไปได้ ถ้ามีคนมาช่วยซัพพอรท์ทางด้านอารมณ์ จิตใจของเรา

หากเกิดสถานการณ์รุนแรง ร้ายแรงในครอบครัว ต้องบอกว่าการตอบสนองความเครียดเหมือนเดิม แต่ไม่อยู่นานถ้าพ่อแม่ ซัพพอร์ต อยู่ข้างๆ ขณะหนึ่งเพื่อให้ผ่านสถานการณ์นั้นไปได้ เป็นความเครียดที่ทนได้ เป็นการตอบสนองต่อความเครียดที่เราทนได้ ผลหลังจากนั้นคือเราได้เรียนรู้ว่าเหตุการณ์ร้ายๆ เราสามารถอยู่ได้รอดได้ เพราะฉะนั้นในครั้งต่อไป หากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ความสามารถของเราจะรับมือได้ง่ายขึ้น เมื่อเรารู้ว่าเกิดสถานการณ์แบบนี้ จะรับมือยังไง มีอยู่สองอย่างคือ เมื่อเกิดสถานการณ์เลวร้ายเกิดขึ้น ประสบการณ์เดิมเรียนรู้แล้วว่า จะมีใครสักคนอยู่ข้างๆ ที่จะผ่านพ้นไปได้ เราเคยผ่านเรื่องนี้มา และนี้เป็นอีกเรื่องที่เราจะผ่านไปได้และเราเคยใช้วิธีการอะไรเมื่อก่อน ครั้งนี้ก็จะทำได้ เป็นประสบการณ์เดิมที่ทนได้ เพราะเราผ่านมันมาได้แล้ว

ความเครียดที่ทนได้ ใช้ได้กับสถานการณ์ที่ผ่านมา ทั้งภัยพิบัติ ช่วงโควิดเป็นช่วงที่พ่อแม่เองก็ต้องการคนมาซัพพอร์ทให้ผ่านพ้นวิกฤต ลูกเองก็จำเป็นต้องมีพ่อแม่หรือคนใกล้ชิดมาซัพพอร์ทไปได้ด้วย ไม่ทิ้งร่องรอยแต่ทิ้งประสบการณ์เดิมที่มีคุณภาพให้ใช้ในอนาคตแล้วก็ทนได้

Toxic Stress

การตอบสนองความเครียดแบบเป็นพิษ ดู 3 เรื่องคือ เป็นความเครียดแบบรุนแรง สถานการณ์ทำให้เครียดมาก

  1. ความเข้มข้นของความเครียด
  2. ความถี่ เจอบ่อยๆ ไม่หมดสักที เดี๋ยวก็มาให้เครียด เรื่องเดิมๆ ซ้ำ
  3. ระยะเวลายาวนาน เครียดอยู่อย่างนั้น เพราะทุกครั้งที่เราเครียดร่างกายเราจะตอบสนองโดยประสาทอัตโนมัติ หลั่งสารเครียดออกมาเพื่อให้เราตื่นตัว หากเครียดแบบนั้นนานๆ ก็อยู่แบบนั้นนานๆ นี่ละที่เป็นพิษ เมื่อเกิดแบบนั้นม่านตาขยาย นอนไม่หลับ ตื่นตัว หัวใจเต้นแรง ความดันสูง ระดับน้ำตาลสูง เพื่อให้ตัวเราเกิดความระวัง ระแวง คิดมาก ตื่นตัวตลอดเวลา ไม่ได้เข้าโหมดความผ่อนคลายเลย เครียดนานจนเป็นนิสัย ไม่สามารถเข้าสู่ภาวะปกติได้ นี่คือความเป็นพิษ ร่างกายที่ตื่นตลอดเวลาจะทำให้เหนื่อยนี่คือทางสรีระ ส่วนทางจิตใจว้าวุ่นขนาดไหนเมื่อต้องอยู่ในเหตุการณ์ที่เครียดนานๆ จนเป็นพิษ เพราะฉะนั้นการตอบสนองต่อความเครียดแบบเป็นพิษจะเกิดขึ้น เมื่อเกิดเหตุการณ์วิกฤตในชีวิตและไม่มีใครมาช่วยซัพพอร์ททางอารมณ์และจิตใจ คอยช่วยผ่อนคลาย

แบบไหนเรียกว่า “เครียดเป็นพิษ"

เช็กว่าลูกกำลังอยู่ในสภาวะ Toxic Stress

-มีเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียด

-พ่อแม่ไม่ได้ซัพพอร์ตลูกทางอารมณ์

-ปล่อยปละละเลยทางด้านร่างกายและอารมณ์ ด้านร่างกายอาจจะไม่ห่วง แต่ในช่วงโควิดที่ผ่านมาพ่อแม่อาจจะปล่อยปละละเลย เพิกเฉยอารมณ์ของลูก

ช่วงนี้ครูหม่อมมีพ่อแม่มาปรึกษาเรื่องลูก ครูจะถามว่าเวลา wfh กับลูกและลูกเรียนที่บ้าน

1.เวลาที่ลูกวิ่งมาหาแล้วเบรคลูก เดี๋ยวก่อนอย่าเพิ่ง ห้ามเข้าห้อง ห้ามเข้ามากำลังประชุม คือลูกเล็กทั้งวัน บางทีคิดถึง พอวิ่งเข้าไปก็โดนห้าม หากว่าเคย บ่อยไหม ถ้าไม่บ่อยไม่เป็นไร แต่ถ้าอยู่แบบนั้นนานๆ ความถี่ๆ บ่อย สะสมเป็นระยะเวลานาน นี่คือเกิด Toxic Stress เด็กจะเกิดคำถามว่าทำไมหาพ่อแม่ไม่ได้ ทำไมพ่อแม่ปฏิเสธมา

2.ถูก Abuse ทางร่างกายและจิตใจ ทางเพศ ถ้าลูกประสบสถานการณ์แบบนี้ ถ้าไม่รู้แล้วไม่มีใครมาซัพพอร์ทก็เกิด Toxic Stress ได้ แต่ถ้าช่วยซัพพอร์ท ก็จะกลายเป็นความเครียดที่ทนได้

3.ดูคนในครอบครัวว่ามีใครมีปัญหาสุขภาพจิตไหม มีคนใช้สารเสพติดหรือเปล่า หรือว่ามีการแยกจากแบบกะทันหัน หย่าร้าง หากไม่มีคนไปซัพพอร์ตก็จะเกิด Toxic Stress

 

Apple Podcast:https://apple.co/3m15ytB

Spotify:https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube:https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

รักลูก The Expert Talk Ep.54 : Toxic Stress เสี่ยงลูกป่วยและกระทบพัฒนาการ

 

รักลูก The Expert Talk Ep.54 : Toxic Stress เสี่ยงลูกป่วยและกระทบพัฒนาการ

ความเครียดเป็นพิษส่งผลกระทบกับพัฒนาการและทำให้ลูกป่วย

พบวิธีการรับมือเพื่อลดผลกระทบพัฒนาการลูก เช็กสัญญาณแบบนี้ลูกกำลังเครียด / อาการแบบนี้แหล่ะ ที่หนูเครียด / พัฒนาการและพฤติกรรมด้านไหนพังบ้างหากหนูเครียดเป็นพิษ / Stress Management ฉบับเจ้าหนู แม่รู้ไว้สอนหนูได้ โดย The Expert ผศ. ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร อาจารย์ประจำสถาบันแห่งชาติ เพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล

 

การรับมือกับความเครียดในร่างกายจะใช้ระบบประสาทอัตโนมัติระดับล่าง ยังไม่ใช้สมองระดับสูง ซึ่งการใช้สมองระดับสูง ที่เราเรียกว่า EF หรือสมองส่วนหน้าที่เป็นเรื่องของเหตุผล การควบคุมอารมณ์ การวางแผน การคิด การวิเคราะห์ การตัดสินใจแบบมีเหตุผล เมื่อไหร่ที่ลูกใช้สมองระดับล่างนานๆ นั้นแปลว่าสมองระดับสูง EF ไม่ได้ถูกใช้งาน พอไม่ได้ใช้ก็จะส่งผลให้พัฒนาการ การใช้เหตุผล การยับยั้งชั่งใจ การควบคุมอารม์ของลูกหายไป

พ่อแม่จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกเครียด

หากพ่อแม่สังเกตได้ง่ายๆ ที่เรามองไม่เห็นเพราะว่าเราไม่ได้มอง ถ้าเราดูตัวเราเองเราเครียดก็ไม่รู้ตัว เพราะว่าเราไม่ได้กลับไปสังเกตลูก สัญญาณลูกเครียด

1.เมื่อหลับเป็นอย่างไร หลับยากไหม ฝันร้ายหรือเปล่า หรือตื่นตัวแต่งัวเงีย ตื่นอยู่แต่ไม่ง่วง แต่ซึม ไม่มีแรงทำอะไร

2.เมื่อตื่นเป็นอย่างไร เงียบลง ไม่ค่อยพูด ถอนหายใจ ไม่ร่าเริงเหมือนเคย ไม่ค่อยแสดงความคิดเห็น ซึ่งบ้านไหนที่มีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันเด็กจะค่อยๆ ปลีกวิเวกไป หงุดหงิดง่าย ต่อต้านแบบไร้เหตุผล EF ไม่ทำงานเพราะว่าเครียดอยู่

3. เมื่อกิน กินอย่างไร อยากอาหารไหม และกินอิ่มไหม กินหวาน กินแต่ขนม เพราะว่าเวลาเครียดเหมือนร่างกายขาดน้ำตาลเพราะต้องการความสดชื่นอย่างรวดเร็ว

4.เมื่อเข้าห้องน้ำ ท้องผูก อุจจาระราด ฉี่ราด ฉี่รดที่นอน ถดถอยจากทักษะเดิม เคยเข้าได้เป็นเข้าไม่ได้ วิตกกังวลมาก เลยฉี่บ่อยๆ
พฤติกรรมที่ไม่เหมือนเดิม ให้ลองสังเกตดูเลยว่า ลูกเริ่มมีเรื่องเครียดอะไรหรือเปล่า แค่พ่อแม่ดู มันจะกลายเป็นการตอบสนองความเครียดแบบทนได้

จุดตัดอยู่ตรงนี้คือ จะกลายเป็น Toxic ลูกอยู่ในภาวะนั้นนานๆ ใช้วงจรความเครียดนานๆ แล้วไม่มีใครช่วยออกจากความเครียดได้ ค่อยดูและสังเกตลูกเมื่อตื่น เมื่อหลับ เมื่อกินเป็นยังไง ความเครียดทำให้เกิดโรค NCDs โรคไม่ติดต่อ โรคเรื้อรัง หายยาก เป็นแล้วกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น เบาหวาน หัวใจ ความดัน และการใช้สารเสพติด

Stress Management จัดการรับมือความเครียด

1.สอนลูกให้รู้จักความเครียด มองว่าความเครียดเป็นเรื่องที่มาแล้วก็ไปได้ แต่ต้องเห็นก่อนว่ามีความเครียดมา แล้วจัดการให้ออกไป อยู่กับความเครียดยังไง รู้ว่าเรากำลังเครียดเรื่องนี้อยู่ แต่ยังมีเรื่องอื่นที่สบายใจ เพราะฉะนั้นเวลาสอนลูกสอนให้ลูกรู้จักอารมณ์ตัวเองสำคัญมาก อยากให้ดู EPที่ครูบอกว่าให้ปลอบก่อน สอนทีหลัง (รักลูก The Expert Talk EP.10: เลี้ยงลูกเชิงบวก ตอน ชวนพ่อแม่เป็น "ผู้ประคอง" แทนผู้ปกครอง) การปลอบก่อน สอนทีหลังทำให้ลูกรู้จักอารมณ์ตัวเอง และในขณะที่เราบอกลูกว่า แม่เข้าใจว่าหนูกำลังรู้สึกอะไร นอกจากจะได้รู้คลังคำศัพท์ชื่อของอารมณ์แล้วเขายังรู้ด้วยว่าแม่อยู่ข้างเขานะ เพราะฉะนั้นมันจะไม่สามารถพัฒนาไปเป็น Toxic Stress ได้แน่นอนสอนให้รู้ว่าอารมณ์นี้คืออะไร

2.ปลอบเสร็จ สอนทีหลัง สอนลูกเลยว่าหนูจะจัดการยังไง พ่อแม่ไม่ต้องกังวลหรือบอกว่าเวลาหนูกำลังโกรธให้หนูหายใจยาวๆ นับ 1 2 34 ยังไม่ต้องสอน แต่ให้ถามเราสอนด้วยการถามลูก ถามว่า หากหนูกำลังเสียใจอยู่ กำลังโกรธอยู่ แทนการเขวี้ยงของ ตีคนอื่น เก็บไว้ข้างใน หนูมีวิธีการระบายอารมณ์นั้ันออกไปอย่างไร อีกเรื่องที่เราจะสอนได้

3.สอนให้ลูกมีเป้าหมายในชีวิต จะทำให้เกิดความเครียดแบบบวก เพราะว่าตื่นมาแล้วจะมีเป้าหมายแล้วว่าจะไปทำอะไร ต้องวางแผน ตัดสินใจ จัดบริหารเวลา ซึ่งการตัดสินใจ บริหารเวลา ควบคุมอารมณ์ ใช้สมอง EF

4.พาลูกไปเปิดโลกกว้าง ให้รับข้อมูลและดูว่าเขาสนใจอยากทำอะไร ลองคิดดูว่าทุกเช้าที่ตื่นมาแล้ว เช้านี้รู้ว่าเขาจะไปทำอะไรที่ชอบ จะรู้สึกคลายเครียด แค่คิดก็สนุก เวลาที่คนเรามีปัญหาอะไร ถ้าเป็นปัญหาที่เรารู้ว่าจะข้ามมันไปได้ พอข้ามไปแล้วจะรู้สึกภูมิใจกับมัน ทำให้เกิดเชิงบวกกับเรา ทำให้ระดับจิตใจดี สูงขึ้น รู้ว่าตัวเองมีความสามารถอะไร ทำให้รู้ว่าปัญหามีไว้แก้ ไม่ได้มีไว้กลุ้ม

พฤติกรรมของลูกเมื่อเครียด

1.สมยอม ไม่ค่อยพูดกับพ่อแม่ ไม่เสวนา ไม่โต้เถียง สมยอม ทำเพราะตัดรำคาญ ไม่อยากให้พ่อแม่บ่นเยอะ ทำเพราะกลัว จับทางพ่อแม่ได้ เพราะถ้าไม่ทำพ่อแม่จะดุว่าตะโกนใส่ หรืออาจจะแสดงพฤติกรรมที่ลูกคิดว่าพ่อแม่ไม่รัก เรียกว่าสมยอม ทำเพราะตัดรำคาญ ทำเพราะพ่อแม่ไม่รัก

2.ดื้อเงียบ ไม่ทำ ไม่เถียง ไม่เสวนา

3. สู้ ต่อต้าน เถียง เอาชนะ หงุดหงดใส่ พ่อแม่พูดอะไรก็ผิด พอจะเริ่มสอนก็ไม่อยากฟัง มันคือ Defense Mechanism Mode กลไลกปกป้องตัวเอง เพราะเวลาที่ลูกเครียดแล้วรู้ว่าลูกเป็นที่มาของความเครียด คือพ่อแม่ไม่ปลอดภัย ลูกก็ไม่อยากจะยุ่งด้วย เพราะฉะนั้นลองดูว่าถ้าลูกไม่เสวานากับเราไม่ว่ารูปแบบไหน แบบไม่พูดแต่ยอมทำตาม สมยอม ทำตามเพราะกลัว แบบถอย ดื้อเงียบ พูดไปแต่ไม่ทำต่อต้านคือสู้ทุกอย่าง ถ้าเป็นแบบนี้ คือเริ่มเป็นไปได้ว่าเราเป็นที่มาของความเครียดของลูก

 

Apple Podcast:https://apple.co/3m15ytB

Spotify:https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube:https://bit.ly/3cxn31u

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

ดาวน์โหลดเรื่องราว Facebook ออนไลน์

รักลูก The Expert Talk Ep.55 : “ไข้หวัดใหญ่” โรคต้องระวัง เป็นแล้วกระทบสุขภาพระยะยาว

 

 

รักลูก The Expert Talk Ep.55 : “ไข้หวัดใหญ่” โรคต้องระวัง เป็นแล้วกระทบสุขภาพระยะยาว

 

หนึ่งในสี่ของโรคที่เด็กมักเป็นบ่อยโดยเฉพาะช่วงวัยอนุบาล คือโรคไข้หวัดใหญ่ เป็นแล้วมีโอกาสเป็นซ้ำอีก นั้นเพราะตัวเชื้อไข้หวัดใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงตลอด การรู้ธรรมชาติของโรค และการดูแลสุขอนามัยเป็นสิ่งที่จำเป็นที่จะช่วยป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ได้

 

ฟังวิธีการรับโรคไข้หวัดใหญ่ โดย The Expert รศ.นพ.พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์

รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรม

 

ไวรัสไข้หวัดใหญ่

ไข้หวัดใหญ่ก็เป็นการติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง มีอยู่สามชนิดด้วยกันที่พบบ่อยๆ คือ ไข้หวัดใหญ่ชนิดA ชนิดB และชนิดC ซึ่งชนิดC พบได้น้อยแล้วไม่ค่อยรุนแรง เพราะฉะนั้นคนก็จะไม่ค่อยให้ความสําคัญ ส่วนชนิดA และB จะเจอกันได้บ่อยกว่า และชนิดA จะมีความรุนแรงมากกว่า

ซึ่งเชื้อไข้หวัดใหญ่จะมีการพัฒนาการตัวเองตลอดเวลา เราจะเห็นว่าเคยเป็นแล้วก็เป็นได้อีกหรือแม้กระทั่งรับวัคซีนไปแล้วปีหน้าก็ต้องรับวัคซีนอีกเพราะว่าตัวเชื้อ มีการเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพราะฉะนั้นภูมิคุ้มกันที่เรามีครั้งหน้าก็อาจจะไม่สามารถป้องกันเชื้อตัวนี้ได้อีกแล้ว จึงทําให้เป็นแล้วเป็นอีก

โรคไข้หวัดใหญ่เป็นโรคติดต่อผ่านระบบทางเดินหายใจ เช่น การไอ จามอยู่ในพื้นที่ปิดก็มีโอกาสติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้ง่าย ส่วนใหญ่ที่ติดกันง่ายๆ ก็จะเป็นสายพันธุ์ทั้งAและB สำหรับการจะดูว่าเป็นไข้หวัดใหญ่หรือไข้หวัดทั่วไป คือ -ไข้หวัดใหญ่จะมีไข้สูงประมาณ 38.5-39ขึ้นไป -ปวดกล้ามเนื้อ ปวดตัว ซึ่งถ้าเด็กเล็กเป็นจะบอกยากเพราะเวลาที่ไม่สบายก็จะร้องไห้ งอแงก็อาจจะไม่รู้ว่าอาการที่เป็นนั้นคืออะไรบ้าง แต่เด็กโตหรือผู้ใหญ่ก็จะบอกอาการได้

ปัจจุบันนี้วิทยาการทางการแพทย์ก็มีความก้าวหน้า มีการตรวจภูมิคุ้มกันติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ แต่จริงๆ แล้วจะตรวจหรือไม่ตรวจถ้าหากว่าอาการชัดเจนและไม่รุนแรง จะรักษาเหมือนไข้หวัดทั่วไป ซึ่งสำหรับเด็กเล็กๆ หากมีอาการป่วยไม่ว่าจะเป็นไข้หวัดธรรมดาหรือไข้หวัดใหญ่ และมีไข้สูงกินยาลดไข้ และเช็ดตัวไข้ไม่ลง สิ่งหนึ่งที่มักจะเกิดขึ้นคือมักจะเกิดจากภาวะการขาดน้ำ การให้สารน้ําทดแทน เช่น ดื่มน้ําให้มากขึ้นก็จะทําให้อาการของโรครุนแรงน้อยลง อาการไข้ลดลง เด็กจะสบายตัวมากขึ้น แต่เวลาที่เด็กๆป่วยจะดื่มน้ําได้น้อย กินน้อย ซึ่งเมื่อไปโรงพยาบาลจะให้น้ำเกลือทางเส้นเลือดก็จะทำให้ไข้ลดลง ซึ่งหากอยู่บ้านแล้วอาการไม่ดีขึ้น การนอนโรงพยาบาลจะช่วยทําให้เด็กๆสบายขึ้น

สำหรับเด็กเล็กๆ หากไข้สูงมากก็มีโอกาสชักจากไข้สูง ดังนั้นการที่ดูแลที่บ้านก็อาจจะทําให้เกิดมีผลแทรกซ้อนที่เราไม่ต้องการตามมาด้วย ซึ่งไข้หวัดใหญ่อาจจะต่าง จากไข้หวัดทั่วๆไปคือจะมีอาการของระบบทางเดินอาหารร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้อาเจียนอาจจะมีท้องเสียที่เราเรียกว่าไวรัสลมกระเพาะ

ภาวะแทรกซ้อนจากไข้หวัดใหญ่

ส่วนภาวะแทรกซ้อนทั่วๆไปของไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดทั่วไปก็จะคล้ายๆกัน ถ้าหากว่าตัวเชื้อลามขึ้นข้างบนก็จะมีอาการ เช่น หูชั้นกลางอักเสบไปจนถึงเป็นไซนัส หรือถ้ารุนแรงก็อาจจะขึ้นไปถึงทําให้เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ส่วนถ้าลงมาข้างล่างก็อาจจะลงไปที่ปอด หลอดลม หัวใจ คือสามารถมีอาการแทรกซ้อนขึ้นทั้งส่วนบนและส่วนล่างได้

จริงๆ แล้วหากเด็กป่วยนาน ป่วยรุนแรงก็จะส่งผลกระทบต่อพัฒนาการ การเรียนรู้ชะงัก และบางครั้งเด็กมีพฤติกรรมถดถอยบางคนนอนโรงพยาบาลเป็นสัปดาห์ จากที่เคยพูดเก่ง กลับมาถึงบ้านพูดพูดน้อยลง เคยเดินได้คล่องกลับมาถึงบ้านก็อาจจะเดินได้น้อยลง

สำหรับการฉีดวัคซีนทุกชนิดที่เราใช้กันตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นโรคใดๆ ก็ตาม ไม่ได้ป้องกันโรคได้ 100% แล้วทำไมถึงป้องกันได้ไม่100% อาจจะเป็นเพราะว่าเวลาที่เราฉีดวัคซีนไปแล้ว ก็ขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันของคนแต่ละคน มันอาจจะขึ้นมาอยู่ในระดับที่สามารถจะป้องกันโรคได้แตกต่างกัน

ดูแลสุขภาพให้ห่างไข้หวัดใหญ่

1.หลีกเลี่ยงจากคนที่เจ็บป่วย ไม่อยู่ในพื้นที่แออัดและพื้นที่ปิดโดยเฉพาะช่วงที่มีการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ 2.ดูแลสุขอนามัยตัวเอง โดยเฉพาะโรคติดต่อทางระบบทางเดินหายใจที่ติดต่อผ่านสารคัดหลั่ง เช่น น้ํามูก น้ําลาย น้ําตา สอนให้ลูกล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ 3.กินอาหารให้ครบ 5หมู่และอาหารตามวัย เช่น อายุน้อยกว่า 1ปีอาหารหลักจะเป็นนมแล้วก็มีอาหารเสริม 4.ออกกําลังกายอย่างสม่ําเสมอ 5.พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ ไม่ให้ลูกเล่นเกมทั้งคืนและไม่ให้เล่นเกมมากไป

รับมือก่อนไข้หวัดใหญ่รุนแรง

ความเจ็บป่วยที่จะรุนแรงมันขึ้นกับหลายปัจจัยด้วยกัน ได้แก่ หนึ่ง เชื้อที่ได้รับจำนวนมาก รับเชื้อที่รุนแรง และสอง ความแข็งแรงของร่างกาย หากร่างกายแข็งแรงก็อาจจะไม่รุนแรง เท่ากับคนที่ร่างกายอ่อนแอ และสาม ภาวะแทรกซ้อน เช่น มีโรคประจำตัว อย่างโรคหัวใจ โรคเรื้อรังต่างๆ โรคปอด โรคตับ โรคของเม็ดเลือดก็มีโอกาสที่จะทําให้เกิดความรุนแรง ได้มากขึ้น นอกจากนี้ในเรื่องของกระบวนการดูแลรักษาเมื่อตอนที่เริ่มเป็น หากดูแลเป็นอย่างดีโอกาสที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงก็จะลดลง

สำหรับการรักษาตัวในโรงพยาบาล โดยทั่วไปถ้าไม่มีอาการแทรกซ้อนจะไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ก็จะดีขึ้น ซึ่งการรักษาจะเรียกว่าการรักษาแบบประคับประคอง คือรักษาตามอาการ และไข้หวัดใหญ่มีวิธีรักษาที่มียาเฉพาะทั้งยากินและยาพ่นจมูกซึ่งหมอจะเลือกใช้ตามความจําเป็น เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าไปถึงเร็วและได้รับยาก็อาจจะทําให้อาการรุนแรงน้อยลงและทําให้อาการหายเร็วขึ้น

 

Apple Podcast:https://apple.co/3m15ytB

Spotify:https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube:https://bit.ly/3cxn31u

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

รักลูก The Expert Talk Ep.56 : Toxic Parents? คลี่คลายก่อนกลายเป็น (พ่อแม่) เป็นพิษ

 

รักลูก The Expert Talk Ep.56 : Toxic Parents? คลี่คลายก่อนกลายเป็น (พ่อแม่) เป็นพิษ

 

หาทางออก คลี่คลายตัวเองจากการการเป็นพ่อแม่เป็นพิษ เข้าใจความต้องการ สื่อสารความคาดหวังและรับมือจัดการด้วยวิธีการเชิงบวก เพื่อลดความเป็นพิษในตัวพ่อแม่ลง

 

ฟังวิธีการโดย The Expert ผศ. ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร

อาจารย์ประจำสถาบันแห่งชาติ เพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิด

 

Apple Podcast:https://apple.co/3m15ytB

Spotify:https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube:https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

รักลูก The Expert Talk EP.66 : “เรียนรู้” แบบไหนในวัยอนุบาล

 

รักลูก The Expert Talk Ep.66 : "เรียนรู้" แบบไหนในวัยอนุบาล

พ่อแม่มักจะเหมารวมการเรียน เข้ากับการเรียนรู้ ฟังดูอาจจะเป็นเรื่องเดียวกัน แต่ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาแตกต่างกัน

สำหรับเด็กปฐมวัยช่วงวัยอนุบาล ควรเน้นที่การเรียนรู้ แล้วการเรียนรู้รูปแบบใดที่เหมาะสม

 

ฟัง The Expert บอกความหมายและคุณค่าของการเรียนรู้เพื่อให้เป็นรากฐานที่แข็งแรงให้กับเด็กไปตลอดชีวิต ฟังย้อนหลัง Series เข้าใจ “วัยทอง” ลูกอนุบาลกับครูก้า กรองทอง บุญประคอง เพื่อให้พ่อแม่เลี้ยงลูกช่วงทองน้องอนุบาลได้อย่างเข้าใจ และไม่ทำให้เกิดปัญหาความสัมพันธ์ได้ ในช่องทางของรักลูก Podcast เพราะเด็กจะเป็นอย่างไรเริ่มต้นที่วัยนี้ ไม่อยากให้พลาดฟังเพื่อจะได้วิธีการเลี้ยงลูกวัยตั้งต้นของชีวิตได้อย่างเหมาะสมตามพัฒนาการของวัย

 

Apple Podcast:https://apple.co/3m15ytB

Spotify:https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube:https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

รักลูก The Expert Talk EP.71 (Rerun) : อยากให้ลูกสูง ต้องรู้ก่อนเสริม

รักลูก The Expert Talk Ep.71 (Rerun) : อยากให้ลูกสูง ต้องรู้ก่อนเสริม

 

ทำความเข้าใจเรื่องความสูงของลูก เป็นประจำเดือนแล้วหยุดสูงจริงหรือ กินยาหรือวิตามินช่วยให้สูงได้ไหม

ฟังรักลูก The Expert Talk พญ.นลินี เชื้อวณิชชากร กุมารแพทย์ด้านพัฒนาการและพฤติกรรม โรงพยาบาล พญาไท1

มาพูดคุยเพื่อให้คุณพ่อคุณแม่เข้าใจพัฒนาการความสูงของเด็ก พร้อมวิธีการกระตุ้นให้ลูกสูงอย่างถูกต้อง

 

Apple Podcast:https://apple.co/3m15ytB

Spotify:https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube:https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

รักลูก The Expert Talk EP.73 (Rerun) : "รักลูก" เลี้ยงลูกแบบนักจิตวิทยา

 

รักลูก The Expert Talk Ep.73 (Rerun) : "รักลูก" เลี้ยงลูกแบบนักจิตวิทยา

 

เลี้ยงแบบไหนที่นักจิตวิทยาแนะนำ

 

ฟังวิธีการเลี้ยงลูก โดยนักจิตวิทยา อาจารย์อลิสา รัญเสวะ

นักจิตวิทยาคลินิก ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและวัยรุ่น ศูนย์กุมารเวชกรรม โรงพยาบาลพระรามเก้า 

 

Apple Podcast:https://apple.co/3m15ytB

Spotify:https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube:https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

รักลูก The Expert Talk EP.74 (Rerun) : โรคหืด รักษาไม่ถูก กระทบพัฒนาการลูก

 

รักลูก The Expert Talk Ep.74 (Rerun) : รักษาหืด ก่อนกระทบพัฒนาการ

 

โรคหืดสามารถรักษาและควบคุมด้วยการใช้ยาถูกต้อง เพื่อไม่ให้กระทบกับการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็ก

 

ฟังวิธีการรักษาโรคหืด จาก The Expert ผศ.ดร.นพ.สิระ นันทพิศาล

หัวหน้าหน่วยโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

 

Apple Podcast:https://apple.co/3m15ytB

Spotify:https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube:https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

รักลูก The Expert Talk EP.75 (Rerun) : รุ่นในร่ม ปัญหาใหม่ท้าทายพัฒนาการ

 

รักลูก The Expert Talk Ep.75 (Rerun) : Indoor Generation The Effect "รุ่นในร่ม" ปัญหาใหม่ท้าทายพัฒนาการ

 

เรื่องใหม่เรื่องใหญ่ท้าทายพัฒนาการ ผลลัพธ์ของการอยู่ในร่ม น่ากลัวและต้องกังวลมากกว่าที่เราคิด กระทบพัฒนาการและการเรียนรู้ด้านใดบ้าง

 

ชวนฟังก่อนกระทบพัฒนาการไปมากกว่าที่เป็น โดย The Expert อาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ

อาจารย์ประจำสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล

 

Apple Podcast:https://apple.co/3m15ytB

Spotify:https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube:https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

รักลูก The Expert Talk Ep.80 (Rerun) : รู้ก่อนเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคหืด

 

รักลูก The Expert Talk Ep.80 (Rerun) : รู้ก่อนเป็น...สาเหตุทำเกิดโรคหืด

โรคหืดไม่ใช่แค่กระทบพัฒนาการ แต่อาจจะทำให้เสียชีวิตได้

รู้ก่อนเลี่ยงได้ก่อน แม้ส่วนหนึ่งจะมาจากพันธุกรรมที่เราเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่สภาพแวดล้อมก็เป็นส่วนสำคัญมากที่กระตุ้นให้เป็นโรคหืด และมีอาการมากขึ้น

 

ฟังสาเหตุของโรคหืด จาก The Expert ผศ.ดร.นพ.สิระ นันทพิศาล หัวหน้าหน่วยโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

รักลูก The Expert Talk Ep.81 (Rerun) : เปลี่ยน “วัยทอง” เป็นช่วงเวลาทองของชีวิต

 

รักลูก The Expert Talk Ep.81 (Rerun) : เปลี่ยน "วัยทอง" เป็นช่วงเวลาทองของชีวิต

ช่วงวัยทองของเด็ก คือช่วงเวลาทองของชีวิตเด็ก เขาจะเติบโตมาเป็นคนอย่างไร ก็อยู่ที่ช่วงเวลานี้

เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่พ่อแม่ต้องรับมือและมองวัยทองในมุมมองใหม่ เพื่อให้เป็นช่วงเริ่มต้นของชีวิตที่ดีของลูก

 

ฟังมุมมองการรับมือวัยทองแต่ละช่วงวัยจากครูก้าได้ใน EP นี้

เพราะเด็กจะเป็นอย่างไรเริ่มต้นที่วัยนี้ ไม่อยากให้พลาดฟังเพื่อจะได้วิธีการเลี้ยงลูกวัยตั้งต้นของชีวิตได้อย่างเหมาะสมตามพัฒนาการของวัย

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

รักลูก The Expert Talk Ep.82 : วิกฤตซ้อนวิกฤต คลี่คลายอย่างไรในช่วงปฐมวัย

 

รักลูก The Expert Talk Ep.82 : วิกฤตซ้อนวิกฤต คลี่คลายอย่างไรในช่วงปฐมวัย

เด็กปฐมวัยทั่วประเทศมีพัฒนาการล่าช้า 25% หลังสถานการณ์โควิดยิ่งทำให้พัฒนาการของเด็กล่าช้า และถดถอยไปมากกว่าเดิม

ความรักความหวังดีจากพ่อแม่ และครูที่ไม่เข้าใจพัฒนาการและปัญหาที่แท้จริง ยิ่งซ้ำเติมปัญหาพัฒนาการของเด็กให้มากยิ่งขึ้น แล้วเราจะทำกันอย่างไร เพื่อฟื้นฟูวิกฤตซ้อนวิกฤตนี้

 

ชวนคุยกับ The Expert ครูหวาน ธิดา พิทักษ์สินสุข นายกสมาคมอนุบาลศึกษาแห่งประเทศไทยฯ และผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กปฐมวัย

 

รู้วิกฤต รู้ปัญหาและเห็นทางออกเพื่อฟื้นฟูพัฒนาการให้เด็ก 

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

รักลูก The Expert Talk EP.92 : ติดจอ ต้นตอทำลูกซึมเศร้า

 

รักลูก The Expert Talk Ep.92 : ติดจอ ต้นตอทำลูกซึมเศร้า

 

ติดจอใสทำลายพัฒนาการมากกว่าที่พ่อแม่คิด ตั้งแต่ออทิสติกและอาการสมาธิสั้นที่น่ากังวล ซ้ำยังส่งผลไปถึงพัฒนาการด้านอารมณ์ ซึ่งหากพ่อแม่ไม่รู้เท่าทัน อาจจะทำให้เป็นโรคซึมเศร้า และนำไปสู่การฆ่าตัวตายในอนาคต

 โดย The Expert ศ.นพ.วีรศักดิ์ ชลไชยะ หัวหน้าสาขาพัฒนาการและการเจริญเติบโต ภาควิชากุมารเวชศาสตร์

"จอใส" กระทบพัฒนาการ

เริ่มจากการวิจัยที่ผมเองก็มีการติดตามเด็กในระยะยาวตั้งแต่เด็กอายุ 6เดือน ติดตามไปเรื่อยๆ จนตอนนี้เด็กที่อยู่ในโครงการอายุ10ขวบแล้ว ผลพบว่าเด็กอายุตั้งแต่6เดือน-18เดือน แนวโน้มถ้าเขาอยู่บริเวณสื่อหน้าจอซึ่งในยุคนั้นเป็นแค่ทีวี พบว่าเด็กจํานวนหนึ่งมีพฤติกรรมไปทางเด็กออทิสติก มากขึ้น แล้วเรื่องของเด็กออทิสติกก็มีข้อมูลงานวิจัยของต่างประเทศพบมากขึ้นว่า ยิ่งให้มากให้เร็วตั้งแต่ตอนเล็กๆ จะทําให้เด็กเนี่ยมีความเสี่ยงไปทางเด็กออทิสติก คืออยู่ในโลกส่วนตัวมากขึ้น ขาดโอกาสในการพัฒนาทักษะด้านสังคมและอารมณ์ ในงานวิจัยนั้นยังพบอีกว่า เด็กที่ดูหรือว่าได้รับสื่อประเภทพวกทีวีค่อนข้างมาก มีโอกาสที่เขาจะมีปัญหาพฤจิกรรมก้าวร้าวเพิ่มขึ้น มีปัญหาทางด้านปฏิกิริยาทางด้านอารมณ์เพิ่มขึ้น หมายความว่าเวลาหงุดหงิดไม่พอใจก็จะวีนเหวี่ยง ใช้อารมณ์

ซึ่งก็สอดคล้องเลยว่าหลังจากช่วงที่โควิดเคสคต่างๆ เริ่มกลับม คุณพ่อคุณแม่ก็จะเล่าว่าจากที่เคยดีมาโดยตลอด แล้วพอเราเริ่มให้ใช้จอก็จะรู้สึกเหมือนว่าหงุดหงิด ไม่พอใจอะไรต่างๆ มากขึ้น โดยเฉพาะเวลาที่คุณพ่อคุณแม่ขอจอคืน ถึงเวลาต้องไปทํากิจวัตรประจําวันก็ม่ได้ทํา แล้วในงานศึกษายังเจออีกว่าสัมพันธ์กับเรื่องของพฤติกรรม และสมาธิสั้นมากขึ้นด้วย

ต้องเรียนว่าการใช้สื่อจอใสแบบไม่ค่อยเหมาะสม ปัจจุบันมันไม่ใช่แค่ทีวีก็มีสื่ออื่นๆมากมาย มือถือหรือว่าโซเชียลมีเดียต่างๆ ในการศึกษาทั้งในเด็กเริ่มโตขึ้นมาวัยก่อนเรียน วัยอนุบาลหรือว่าในช่วงวัยเรียน รวมถึงวัยรุ่นพบว่ามีความสัมพันธ์กับปัญหาทางด้านอารมณ์เยอะขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอารมณ์ซึมเศร้า วิตกกังวล หรือเด็กบางคนปถึงขั้นมีความคิดหรือความพยายามอยากฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น หรือมีปัญหาโรคทางด้านจิตเวชต่างๆ เพิ่มขึ้น พบเด็กมีปัญหาเรื่องของการรับประทานอาหารผิดปกติเพิ่มสูงขึ้น เช่น ถ้าเรียกทางการแพทย์เรียกEating Disorder เช่น ทําไมบางคนเรียกเป็นโรคคลั่งผอมเพราะว่าเราก็คือเข้าไปเสพสื่อประเภทนี้ แต่ก็ไม่อยากให้มองว่าสื่อมันไม่ดีอย่างเดียว จริงๆ เราสามารถนํามาใช้ประโยชน์ได้

เด็กที่เล่นสื่อเยอะๆ ถ้ามองอีกมุมหนึ่งคืออยู่กับความเบื่อไม่เป็น ความเบื่อเป็นอารมณ์อย่างหนึ่งของเราเหมือนกันหรือแม้กระทั่งผู้ใหญ่เหมือนกันบางทีเราก็ไม่รู้จะทําอะไร ทุกวันนี้ทุกคนก็เล่นมือถือตลอดเวลา เพราะว่าเรารู้สึกว่าเราดึงเอาใจไปอยู่ทางอื่นเพราะว่าเราอยู่กับความเบื่อไม่ได้ ซึ่งพออยู่กับความเบื่อไม่ได้เนี่ย ลูกๆก็ไม่รู้จะทํายังไง ซึ่งถ้าจะเป็นสมัยก่อนที่เราไม่มีสื่อเหล่านี้ พอเบื่อเราก็ต้องชวนกันมาเล่น มาคุยกัน ร้องเพลง อ่านหนังสือ แต่เด็กไม่รู้จะทําอะไรดี ก็เลยเข้าไปอยู่กับสื่อหน้าจอมากขึ้น แล้วพอลไม่ได้ดูก็โวยวาย หัวร้อนง่าย

ใช้สื่อกับลูกอย่างไร

  1. Background Media คีย์เวิร์ดสําคัญเลยเด็กถ้าอายุเกินสองปีเล่นได้ แต่ถ้าอายุน้อยกว่าสองปีมีข้อมูลพบว่ากระทบกับพัฒนาการ มีงานวิจัยจากสิงคโปร์รายงานว่าแค่เสียงทีวีที่เปิดทิ้งไว้ สามารถเปลี่ยนคลื่นสมองเด็กได้สัมพันธ์กับการเป็นสมาธิสั้นเพิ่มขึ้น เพราะว่าสื่อต่างๆ เวลาเปิดมันจะเข้าไปเร้าระบบประสาทรับความรู้สึกต่างๆ เพราะสื่อมันมีทั้งภาพและเสียง เมื่อเข้าไปกระตุ้นมากทำให้สมาธิสั้นเพิ่มขึ้นแม้จะไม่ได้ดู และส่วนใหญ่เป็นรายการสําหรับผู้ใหญ่ ซึ่งที่เราศึกษาวิจัยก็พบว่ามีผลต่อพัฒนาการด้านสติปัญญาของเด็ก ถ้าเปรียบเทียบกับบ้านที่เปิดBackground Mediaน้อย สติปัญญาของเด็กที่เปิดน้อยกว่ามีแนวโน้มสติปัญญาดีกว่าและพัฒนาการดีเกือบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านภาษา ด้านกล้ามเนื้อมัดเล็ก

  2. เลือกโปรแกรมที่เหมาะสมตามวัยและต้องลองเข้าไปดูเนื้อหาก่อน ปัจจุบันมีเว็บไซต์ต่างประเทศที่สามารถเข้าไปเช็กได้ที่ www.commonsense.org/education (Common Sense Media) นอกจากนี้ต้องกําหนดกฎกติกา ถ้าจะให้ลูกใช้หน้าจอก็ต้องหลังจากที่เขารับผิดชอบงานที่ควรจะทำก่อน เช่น กิจวัตรประจําวันเสร็จแล้ว การบ้านเสร็จ รับผิดชอบงานบ้านแล้ว นอกจากเรื่องกฎกติกาแล้ว เด็กต้องเรียนรู้ผลที่ตามมาว่าถ้าไม่ทําตามกฎกติกาจะเกิดอะไรขึ้นบ้างด้วย

  3. ทำข้อตกลงก่อนให้ลูกใช้งาน บ้านที่กำลังจะซื้อจอให้ลูก ต้องมีการทําสัญญากับลูกตั้งแต่เริ่มแรกเลย เช่น มือถือเครื่องนี้เป็นมือถือของแม่ซื้อมาให้ลูก ลูกจะสามารถเล่นได้ตอนไหนบ้าง ถ้าลูกไม่สามารถทําตามกฎอันนี้ได้มือถือเครื่องนี้แม่สามารถริบคืนได้ พ่อแม่มีสิทธิ์เด็ดขาดและให้ลูกเซ็นชื่อกํากับด้วย ซึ่งเด็กบางคนก็ยอมเซ็นไปก่อน แต่ต้องอย่าลืมที่จะบอกถึงผลที่ตามมาและต้องทำตามข้อตกลงร่วมกัน หรือบอกถึงผลกระทบถ้าใช้งานนานเกินไป เช่น หาวบ่อย ปวดต้นคอ ปวดมือ

  4. ดูไปพร้อมกับลูก อยากให้คุณพ่อคุณแม่มีโอกาสเข้าไปดูสื่อกับลูกด้วย เพราะเดี๋ยวนี้จะมี pop up ขึ้นมาระหว่างที่ลูกดูคลิปต่างๆ ซึ่งมันจะทำให้เข้าสู่คอนเทนต์ที่ไม่เหมาะสมกับวัย อีกเรื่องหนึ่งกฎกติกาที่ว่า หมอคิดว่าเราอาจจะต้องมองกันที่สถานที่ภายในบ้านด้วยว่าตรงที่ไหนที่เราไม่ควรจะใช้สื่อหน้าจอ รวมไปถึงเวลาช่วงไหนที่เราไม่ควรจะใช้ เช่น ห้ามใช้บนโต๊ะอาหาร ซึ่งพ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่างด้วย และในห้องนอนก็ไม่ควรจะใช้สื่อหน้าจอ

นอกจากนี้หน้าจอจะมีแสงสีน้ำเงินออกมาที่เรียกว่า Bluelight ซึ่งแสงเหล่านี้จะไปรบกวนการหลั่งฮอร์โมนการนอนหลับที่ชื่อว่า "ฮอร์โมนเมลาโทนิน" ทําให้เด็กจะนอนหลับยากขึ้น รวมถึงต้องงดเล่นเกม ดูคอนเทนต์ที่เร้าอารมณ์ความสนุก เพราะถ้าเด็กนอนหลับไม่ดีก็ส่งผลต่อเรื่องของการคุมอารมณ์ระหว่างวันด้วย สิ่งที่พ่อแม่ควรทําก็คือ อย่าให้มาก อย่าให้เร็ว

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

รักลูก The Expert Talk EP.93 : ลูกอ้วนส่งผลเสียรอบด้าน


 

รักลูก The Expert Talk Ep.93 : ลูกอ้วน...ส่งผลเสียรอบด้าน

 

ภาวะโรคอ้วนในเด็ก ส่งผลกระทบต่อสุขภาพลูกอย่างไร?

และรู้หรือไม่ เด็กไทยมีภาวะอ้วนมากถึง 15 - 20% และหากปล่อยให้เจ้าตัวเล็กมีน้ำหนักเกินเกณฑ์ต่อไป จะยิ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพและพัฒนาการของลูกรัก

 

EP.นี้ พญ. ปิยธิดา วิจารณ์ กุมารแพทย์ผู้ชำนาญการด้านโรคต่อมไร้ท่อในเด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลเมดพาร์ค จะมาให้ความรู้เกี่ยวกับภาวะโรคอ้วนในเด็กและผลกระทบต่อสุขภาพที่คุณแม่ต้องรู้ค่ะ

 

สถานการณ์ภาวะเด็กอ้วน

ตอนนี้ปัญหาเรื่องโรคอ้วนทั้งในเด็กแล้วก็ผู้ใหญ่ เป็นปัญหาที่มีผลกระทบต่อทั่วโลกมาก ในเด็กมีข้อมูลจากทั้งโลกประมาณ10% แต่ที่น่ากลัวคือในประเทศไทยมีประมาณ15-20% คือเป็นเปอร์เซนต์ที่เกินของทั่วโลกไปแล้ว

ภาวะอ้วนหรือว่าภาวะน้ําหนักเกินเกณฑ์ ดูจากดัชนีมวลกายหรือที่เรียกว่า BMI คํานวณจากน้ําหนักเป็นกิโลกรัม หารด้วยส่วนสูงเป็นเมตรยกกําลังสอง ซึ่งสามารถเสิรจ์หาข้อมูลได้หรือว่าดูในคู่มือพัฒนาการที่ได้ตั้งแต่แรกเกิดก็ได้

โดยเด็กที่อายุ5-19ปี ภาวะอ้วนตัดที่BMIมากกว่าหรือเท่ากับตัวสองสแตนดาร์ดดีวีเอชั่นหรือว่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน หรือค่าBMIมากกว่ายี่สิบห้า โดยดูกราฟได้ตามเพศและอายุได้ สามารถหาดูเพิ่มเติมได้จากเว็บของสมาคมต่อมไร้ท่อเด็ก และวัยรุ่น ซึ่งเป็นกราฟเป็นของประเทศไทย

ทำแบบนี้แหล่ะเข้าสู่อ้วน

ภาวะอ้วนเป็นปัญหาเรื้อรังแล้วก็ประกอบด้วยหลายหลายปัจจัย ปัจจัยหลักคือ สิ่งแวดล้อม เพราะว่าในยุคปัจจุบันถูกล้อมไปด้วยอาหาร และอาหารฟาสต์ฟู้ดก็ราคาถูกกว่าสลัดอีก คือเด็กสามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่า และไม่ทำกิจกรรม ไม่ออกกำลังกายอยู่นิ่ง ติดจอ ไม่ค่อยได้เคลื่อนไหว ซึ่งก็มาจากสภาพแวดล้อม

ส่วนปัจจัยอื่นก็จากเรื่องของกรรมพันธุ์หรือว่าโรคแต่ส่วนน้อยที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคที่ทําให้อ้วนจริงๆ เช่น โรคทางฮอร์โมน เช่น มีปัญหาภาวะขาดไทรอยด์ หรือว่ามีต่อมหมวกไตทํางานผิดปกติก็ทําให้มีภาวะอ้วน มีการศึกษาพบว่าเด็กที่มีภาวะอ้วนหรือน้ําหนักเกินเกิดขึ้นมาจากครอบครัวด้วย

และอีกปัจจัยหนึ่งที่เริ่มเจอมากขึ้นแล้วคือคุณแม่ตั้งครรภ์ที่เป็นเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์ก็จะมีความเสี่ยงที่ทําให้ลูกมีภาวะอ้วนได้มากกว่า คุณแม่ที่สามารถคุมน้ําหนักได้

อ้วนกระทบพัฒนาการ ส่งผลกระทบต่อระบบต่างต่างๆ ของร่างกาย อย่างแรก คือระบบต่อมไร้ท่อ บางคนมีภาวะเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัยก็พบได้มากขึ้นหรือว่ามีเรื่องของถุงน้ํารัง หรือว่าโรคพีซีโอเอส ทำให้เด็กโตหรือเด็กผู้หญิงวัยรุ่นอาจจะมีประจําเดือนมาไม่สม่ําเสมอ

ส่วนระบบที่ 2 ก็คือระบบหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิตสูงได้ มีไขมันในเลือดสูง ระบบที่ 3 ก็คือเรื่องเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ บางคนนอนกรนทำให้หยุดหายใจตอนกลางคืน

เรียกว่าเป็น 3 กลุ่มหลัก แต่ก็มีโรคอื่นๆ เช่น ในเรื่องทางเดินอาหารก็มีไขมันพอกตับ อย่าคิดว่ามีแต่ในผู้ใหญ่อย่างเดียว คือเด็กก็มีตรงนี้ด้วย รวมถึงการเคลื่อนไหวและระบบข้อต่อต่างๆ จะปวดเข่า มีโอกาสข้อสะโพกเคลื่อนได้ง่ายกว่าในเด็กที่น้ําหนักปกติ

รักษาภาวะโรคอ้วน

หมอจะเริ่มจากประเมินน้ําหนักส่วนสูงว่าเข้าเกณฑ์หรือยัง โดยดูจากกราฟน้ําหนักส่วนสูงย้อนหลังเพื่อดูว่าน้ําหนักมากมาตั้งแต่เด็กหรือว่าเพิ่งมาเกิน เพราะบางครั้งอาจจะมีโรคที่เหมือนน้ําหนักขึ้นเยอะแต่ส่วนสูงไม่ขึ้น ซึ่งก็ต้องหาสาเหตุ เช่น โรคเกี่ยวกับไทรอยด์ หรือมาจากต่อมหมวกไตทํางานเกินหรือเปล่า ขาดฮอร์โมนการเติบโตหรือเปล่า ซึ่งก็ต้องรักษาโรคเหล่านี้ควบคู่ไปด้วย

แต่ถ้าตัวใหญ่แบบภาวะอ้วนจากไลฟ์สไตล์เป็นหลักเลยก็ประเมินเรื่องของภาวะแทรกซ้อน หมอก็จะเช็กไขมัน เบาหวานและดูเรื่องโรคตับ และถ้าเช็กแล้วไม่มีโรคแทรกซ้อนก็จะดูวิธีการควบคุมน้ำหนัก

ภาวะอ้วนที่เกิดขึ้นกับเด็กตอนนี้มีความมันสัมพันธ์กับเรื่องของเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง บางครั้งเราจะเห็นเขาตัวโตกว่าเพื่อนแต่ถ้ามีภาวะเป็นสาวก่อนวัย สุดท้ายจะหยุดสูงก่อนเพื่อน นอกจากนี้ก็มีการศึกษามากขึ้นว่าภาวะอ้วนอาจจะมีผลต่อเรื่องความจํา หรือว่าอนาคตจะเสี่ยงเรื่องของอัลไซเมอร์ในผู้ใหญ่ รวมถึงเด็กที่มีภาวะอ้วนโดยเฉพาะกลุ่มเด็กวัยรุ่นหรือบางครั้งวัยเรียนประถม บางคนขาดความมั่นใจในตัวเอง โดนเพื่อนล้อก็ทำให้หงุดหงิด ขาดความมั่นใจ บางคนมีภาวะซึมเศร้า ซึ่งพอต้องกินยารักษา ยานั้นก็ทำให้อ้วนขึ้นด้วย ก็เรียกว่ามันกระทบซึ่งกันและกัน

ปรับพฤติกรรมลดความอ้วน ใช้วิธีการลดน้ำหนักโดยต้องมีเป้าหมายเดียวกันทั้งหมอ เด็ก และผู้ปกครองเพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งหมอไม่อยากให้อดอาหาร ต้องกินอาหารให้ครบ 5หมู่ 3มื้อเหมือนเดิม แต่งลดอาหารที่มันมีแคลอรีสูง ลดอาหารฟาสต์ฟู้ด ของมัน ของทอด หรือน้ําหวานต่างๆ รวมถึงโพรเซสฟู้ดเบเกอรี่ เน้นกินอาหารที่มีไขมันดี หรือว่าเป็นโปรตีนที่ดี กินอาหารที่มีกากใยเยอะขึ้น เพื่อเพิ่มเรื่องของความอยู่ท้องให้มากขึ้นด้วย รวมไปถึงต้องออกกําลังกายเคลื่อนไหวให้มากขึ้น ประมาณ 60นาทีทุกวัน ซึ่งก็ต้องพยายามหากิจกรรมเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง

นอกจากนี้กลุ่มที่ปรับพฤติกรรมแล้วยังลดน้ําหนักไม่ได้ถึงเกณฑ์หรือว่ายังมีภาวะแทรกซ้อนอยู่ เด็กโตที่อายุมากกว่า 12 ปี และมีBMI มากกว่า 30 ในประเทศไทยก็มีอนุมัติให้ใช้เรื่องของตัวยาฉีดลดน้ําหนัก ก็จะช่วยลดความอยากอาหาร ทำให้อิ่มเร็วขึ้น ส่วนยาลดความอ้วนไม่ควรใช้เลย รวมถึงเครื่องดื่มต่างๆ ที่บอกว่าช่วยควบคุมความหิว วิตามินเสริม ลดความอ้วน หมอไม่แนะนํา เพราะเราไม่รู้ส่วนประกอบและจะส่งผลกระทบอะไรยังไงกับเด็กบ้างก็ไม่ควร เน้นใช้แนวทางธรรมชาติบําบัด พฤติกรรมบําบัดดีกว่า

 

ตรวจวินิจฉัยโรคอ้วนในเด็ก สุขภาพและพัฒนาการลูกรัก ได้ที่

ศูนย์สุขภาพและโรคเฉพาะทางเด็ก โรงพยาบาลเมดพาร์ค

โทร. 02-090-3138

www.medparkhospital.com/center/pediatric-center 

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

รักลูก The Expert Talk EP.94 : รับมือภาวะเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย

 

รักลูก The Expert Talk Ep.94 : รับมือภาวะเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย

 

ลูกตัวสูงและตัวใหญ่กว่าเพื่อน พ่อแม่ต้องคอยสังเกตเพราะอาจจะมีภาวะเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย หากละเลยลูกอาจจะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ตัวเตี้ย และมีปัญหาพัฒนาการทางอารมณ์ 

 

ฟัง The Expert พญ. ปิยธิดา วิจารณ์

กุมารแพทย์ผู้ชำนาญการ ด้านโรคต่อมไร้ท่อในเด็กและวัยรุ่น

ศูนย์สุขภาพและโรคเฉพาะทางเด็ก โรงพยาบาลเมดพาร์ค

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

รักลูก The Expert Talk EP.96 (Rerun) : "กล้าพอไหมเปลี่ยนวิถีใหม่ในบ้าน แก้ปัญหาหนักใจวัยอนุบาล"

 

รักลูก The Expert Talk Ep.96 (Rerun) : เข้าใจ "วัยทอง" ลูกอนุบาลกับครูก้า กรองทอง บุญประคอง "กล้าพอไหม เปลี่ยนวิถีใหม่ในบ้าน แก้ปัญหาหนักใจวัยอนุบาล"
 

เปิดศึกกลางบ้าน ไม่มีทีท่าว่าจะสงบและยังเกิดขึ้นถี่ๆ บ้านไหนเป็นแบบนี้ ชวนฟังวิธีแก้ 3 ปัญหาน่าหนักใจ เพื่อไม่ให้กระทบพัฒนาการระยะยาว ได้แก่ ติดจอ, ก้าวร้าวเอาใจ, นิ่ง เนือย เฉื่อยชา ฟังดูเป็นเรื่องยากแต่แก้ไขได้

 

ฟังแนวทางจากครูก้า กรองทอง บุญประคอง ผู้ก่อตั้งโรงเรียนจิตต์เมตต์ และผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กปฐมวัย

จะทำให้พ่อแม่มองเห็นปัญหา เข้าใจพัฒนาเจ้าตัวเล็ก และเห็นแนวทางแก้ที่ไม่ยากเกินไป

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

รักลูก The Expert Talk EP.98 (Rerun) : Toxic Stress เสี่ยงลูกป่วยและกระทบพัฒนาการ

 

รักลูก The Expert Talk Ep.98 (Rerun) : Toxic Stress เสี่ยงลูกป่วยและกระทบพัฒนาการ 


ความเครียดเป็นพิษส่งผลกระทบกับพัฒนาการและทำให้ลูกป่วย

พบวิธีการรับมือเพื่อลดผลกระทบพัฒนาการลูก เช็กสัญญาณแบบนี้ลูกกำลังเครียด อาการแบบนี้แหล่ะ ที่หนูเครียด พัฒนาการและพฤติกรรมด้านไหนพังบ้างหากหนูเครียดเป็นพิษ Stress Management ฉบับเจ้าหนู แม่รู้ไว้สอนหนูได้ โดย The Expert ผศ. ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร อาจารย์ประจำสถาบันแห่งชาติ เพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล

Найти рабочее зеркало Вавада легко! Всегда актуальные ссылки помогут вам оставаться в игре и наслаждаться победами без перерывов.

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

รักลูกThe Expert Talk EP122 เพราะทุกก้าวของการเติบโตของลูกน้อยคือช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่สารอาหารจึงสำคัญ

 

รักลูก The Expert Talk Ep.122 : เพราะทุกก้าวของการเติบโตของลูกน้อย คือช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่... สารอาหารจึงสำคัญ

 

ทุกพัฒนาการเล็ก ๆ ของลูก ยิ่งใหญ่สำหรับคนเป็นแม่เสมอ

สารอาหารที่เหมาะสมในแต่ละช่วงอายุจะช่วยส่งเสริมพัฒนาการและการเติบโตที่ยิ่งใหญ่ แต่บางครั้งคุณแม่อาจไม่มีเวลาในการทำอาหารให้ลูกน้อยด้วยตัวเอง แล้วคุณแม่จะรับมืออย่างไร?

 

รักลูก The Expert Talk ชวนฟังคุณหมอกุ้ง พญ.กมลลักษณ์ อนันต์นิธิวุฒิ กุมารแพทย์ ประจำ รพ.เปาโล สมุทรปราการ พูดคุยเรื่องสารอาหารที่สำคัญกับการเจริญเติบโตของลูก การกินอาหารหลักให้ครบ 5 หมู่ และหลักการเลือกอาหารเสริมสำหรับเด็ก

 

เพราะอาหารสำหรับเด็กไม่ใช่อะไรก็ได้ แต่ต้องมีมาตราฐาน มีอย. เพื่อให้คุณแม่มั่นใจได้ว่าลูกน้อยจะได้รับสารอาหารทั้ง 5 หมู่ ในทุก ๆ คำ

 

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่https://linktr.ee/rakluke  

รับมือฉุกเฉิน...ลูกตกจากที่สูง

4081

 

ลูกวัยซนมักจะเกิดอุบัติเหตุบ่อยๆ แถมบางครั้งก็ยังอันตรายมาก ฉะนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงควรดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะป้องกันไว้ดีกว่าแก้อย่างแน่นอน

ลูกเล็กตั้งแต่วัยคลานขึ้นไป โดยเฉพาะเด็กวัย 1-3 ปี นี่กำลังซนสุดๆ เลย เพราะลูกจะเริ่มเคลื่อนที่ได้ดั่งใจต้องการ แถมยังชอบปีนป่ายและไม่รู้จักกลัวเสียด้วย เผลอแค่แป๊บเดียว ลูกก็อาจจะกลิ้งตกลงมาได้ มาดูการรับมือและวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นหากเจ้าตัวเล็กตกจากที่สูงกันค่ะ

 

1. หลังจากหล่นตุ๊บลงมา ขณะที่เจ้าตัวเล็กร้องไห้ ควรรีบเข้าไปอุ้ม หรือประคองให้ลุกขึ้นนั่ง จะช่วยปลอบโยนให้ลูกหายตกใจ

2. รีบเช็กดูว่าลูกบาดเจ็บบริเวณใดบ้าง แขนขาหักหรือไม่ มีบาดแผลหรือเปล่า โดยเฉพาะตรงบริเวณศีรษะของลูก ต้องตรวจสอบอย่างละเอียด

3. ถ้าศีรษะลูกกระแทกแล้วโนบวมปูดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ก็อย่าตกใจไป เพราะศีรษะมีเส้นเลือดอยู่มาก จึงทำให้เกิดอาการบวมได้ง่าย ควรรีบใช้ผ้าเย็น ประคบบริเวณที่บวม ความเย็นจะช่วยลดอาการเจ็บบวมให้ลดน้อยลง ประมาณ 1 สัปดาห์ศีรษะก็จะหายโนแล้ว

4. หากร่างกายลูกมีบาดแผลเลือดไหลซึมๆ หรือไหลเพียงเล็กน้อย ให้หาผ้าสะอาด กดแผลห้ามเลือด และทำความสะอาด แต่ถ้าแผลลึกเลือดไหลมากควรรีบพาไปพบคุณหมอโดยด่วน

5. หลังเกิดอุบัติเหตุและปฐมพยาบาลเบื้องต้นแล้ว ต้องสังเกตดูว่าภายใน 12-24 ชั่วโมงลูกยังปกติดี ไม่เงียบซึม พูดคุยรู้เรื่อง ขยับแขนยกขาได้ ถ้าเป็นเช่นนี้ สบายใจได้ว่าลูก ไม่เป็นอะไรมาก แค่ดูแลให้หายเจ็บก็พอ

6. ถ้าระหว่าง 12-24 ชั่วโมง ลูกมีอาการร้องไห้มากและนานผิดปกติ ซึม ไม่ค่อยรู้สึกตัว ดูง่วงนอน ปลุกไม่ยอมตื่น กระสับกระส่าย หรือบ่นว่าปวดหัวมาก ต้องรีบพาไปพบคุณหมอด่วน เพราะศีรษะอาจจะกระทบกระเทือนรุนแรงจนมีเลือดคั่งในสมองได้

รับมือเมื่อลูก เมื่อลูกเล่นใหญ่ ไฟกระพริบ Over Acting ตั่งต่าง

4620

 

พฤติกรรม “Over Acting” เป็นการเรียกร้องความสนใจจากพ่อแม่ของเด็ก โดยเฉพาะวัย 1-3 ปี เช่น แสดงความเจ็บปวดมากเกินจริง ร้องคร่ำครวญ โวยวาย ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่พ่อแม่มักแยกไม่ออกว่าลูกแค่เรียกร้องความสนใจตามธรรมชาติของวัย หรือมีปัญหาพฤติกรรมและพัฒนาการทางจิตใจกันแน่

 
เพราะลูกเป็นวัยเรียกร้อง 


เป็นธรรมดาของเด็กวัย 1-3 ปี ที่ยังดูแลตัวเองได้ไม่ดีและยังไม่มีเล่ห์เหลี่ยม โดยเฉพาะช่วง 1-2 ขวบ ที่มักเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง จนพ่อแม่ต้องตามใจและทำตามที่เขาต้องการทั้งหมด ส่วนหนึ่งเพราะเขายังต้องการความช่วยเหลือ แม้ตัวเองจะเดินได้ วิ่งได้ แต่ก็ยังทำอะไรเองไม่ได้ทั้งหมด จึงเป็นธรรมดาที่จะเรียกร้อง หรือรู้สึกว่าหากร้องหรือทำอะไรในระดับที่มากกว่าปกติ ตัวเองจะได้รับความสนใจและการดูแลเป็นพิเศษนั่นเอง 



แบบไหนเรียกว่า Over Acting แบบไหนปกติ 


เส้นแบ่งของพฤติกรรมที่ลูกเรียกร้องความสนใจตามปกติ และเรียกร้องมากเกินไปจนถือเป็นปัญหาพ่อแม่สามารถสังเกตได้ดังนี้ค่ะ
 
หากลูกเรียกร้องความสนใจ แล้วพ่อแม่ไม่ให้จนเขาหยุดไปเอง นั่นคือคาแร็กเตอร์และลักษณะนิสัยหรือพฤติกรรมปกติของลูก
 
หากลูกเคยได้รับการฝึกฝนวินัยรู้จักกฎระเบียบของการได้หรือไม่ได้สิ่งใดอย่างชัดเจนแล้ว พ่อแม่ใจแข็งแล้ว พอถึงเวลาลูกยังเรียกร้อง ไม่ยอมฟัง แบบนี้ถือว่าผิดปกติ
 
ส่วนในกรณีที่ลูกคล้ายกับมี 2 บุคลิก เช่น อยู่ที่บ้านเรียกร้องได้ แต่อยู่โรงเรียนไม่เรียกร้อง เป็นเพราะเขารู้ว่าเรียกร้องไปก็ไม่เป็นผล เขาก็ไม่ทำ ถือว่าปกติค่ะ ไม่ใช่ปัญหา แต่หากที่บ้านและที่โรงเรียนมีการตั้งกติกาชัดเจนแต่ลูกยังเรียกร้อง อันนี้อาจจะก่อปัญหาเรื่องการอยู่ร่วมกับเพื่อนได้ ต้องมาหาสาเหตุแล้วละค่ะว่าเป็นเพราะอะไร

 

ปรับพฤติกรรมเพื่อพัฒนาการที่ดี

ฝึกวินัยด้วยกฎที่ชัดเจนและสม่ำเสมอพ่อแม่หลายคนมักมีคำถามค่ะว่าเด็ก 1-3 ขวบเริ่มฝึกวินัยได้หรือยัง คำตอบคือสามารถฝึกได้ตั้งแต่วัยขวบกว่าๆ แล้วค่ะ เพราะเขาเริ่มเข้าใจภาษาได้ดีแล้ว จึงเริ่มฝึกวินัยโดยการกำหนดกติกา เช่น อันนี้ทำได้ เล่นได้ กินได้ ซึ่งสิ่งสำคัญคือการฝึกต้องสม่ำเสมอและต่อเนื่องอย่างน้อย 3-6 เดือน ไม่ใช่วันนี้ไม่ให้กินขนมอันนี้แต่อีกวันลูกร้องโยเยเลยยอมให้กิน แบบนี้ไม่ได้ค่ะ แต่หากฝึกอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องแล้วลูกยังไม่ดีขึ้น อาจเป็นปัญหาจริงๆ ต้องพาลูกไปพบคุณหมอเพื่อดูว่าเป็นปัญหาพฤติกรรมหรืออารมณ์ของลูกที่ทำให้ฝึกได้ยาก

สิ่งแวดล้อมต้องคงที่หากที่บ้านเป็นครอบครัวใหญ่ คนในบ้านต้องช่วยกันทั้งปู่ย่าตายาย รวมทั้งต้องระวังเรื่องลูกเลียนแบบสื่อ เช่น บอกว่าถ้าไม่ได้อย่างนี้จะฆ่าตัวตายเพราะจำมาจากทีวีหรือละคร ทั้งที่ยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าฆ่าตัวตายคืออะไร ไม่ได้ห้ามหรอกนะคะว่าเด็กไม่ควรดูทีวี แต่พ่อแม่ควรจะต้องอยู่ด้วยและคอยชี้แนะว่าสิ่งที่เขาเห็นคืออะไร ลูกจะได้เข้าใจว่าอะไรควรหรือไม่ควรทำ และต้องทำให้สภาพแวดล้อมทุกอย่างคงที่ เพราะหากสิ่งแวดล้อมไม่คงที่และมีสื่อต่างๆ ที่ลูกไม่เข้าใจ จะทำให้ลูกทำตามเพราะคิดว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ตัวเองต้องการค่ะ
 
สอนด้วยเหตุผล ไม่ใช่อารมณ์ สิ่งสำคัญอีกอย่าคือตัวอย่างจากคุณพ่อคุณแม่ค่ะ เมื่อจะพูด จะสอนลูก ต้องไม่ใช้อารมณ์ แต่ใช้เหตุผลว่าที่ให้หรือไม่ให้เขาเพราะอะไร ไม่ใช้เสียงดังโวยวายในการบอกลูกเพราะเขาจะจำไปทำกับเพื่อนหรือคนอื่นๆ ได้ว่าหากอยากให้หยุดต้องโวยวาย
 
สังเกตตัวเอง ยอมรับฟังคนรอบข้าง หากลูกมีปัญหาพัฒนาการแบบ Over Acting จริงๆ ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ทำพฤติกรรมเดียวกัน ทั้งที่บ้านและโรงเรียน ฝึกแล้วก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง กรณีนี้คุณหมออาจต้องใช้ยาช่วยนะคะ เพราะลูกอาจมีปัญหาเรื่องการควบคุมตัวเอง พ่อแม่จึงต้องสังเกตจากการเลี้ยงดู และยอมรับฟังคนอื่น เช่น คุณครู ว่าเวลาที่เขาอยู่โรงเรียนเป็นอย่างไร ไม่ใช่ฝังชิพในใจไว้ว่าเราเลี้ยงดีแล้ว ถูกแล้ว ลูกปกติ ไม่เปิดใจยอมปรับพฤติกรรม ลูกก็จะยิ่งมีปัญหาพัฒนาการต่อเนื่องได้ค่ะ
 
สิ่งที่พ่อแม่ต้องใส่ใจอย่างมากเกี่ยวกับพฤติกรรม Over Acting คืออย่าทำให้ลูกไม่มั่นใจ หวั่นไหว และต้องการพึ่งพา ควรส่งเสริมให้ลูกเรียนรู้การเติบโตและอยู่ได้ด้วยตัวเอง เพราะสุดท้ายหากเขาพึ่งพาและช่วยเหลือตัวเองได้โดยไม่ต้องเรียกร้อง จะทำให้เขาอยู่ในสังคมอย่างมีความสุขนะคะ