แม่ท้องต้องรู้ ! สัญญาณที่อาจทำให้ทารกเกิดมาผิดปกติ
สำหรับคุณแม่ท้อง สิ่งที่คาดหวังมากที่สุดคือการให้ลูกเกิดมาสมบูรณ์แข็งแรง ครบ 32 ประการ แต่จากข้อมูลของสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินีระบุว่า ประเทศไทยมีทารกเกิดใหม่ถึงปีละ 7 แสนคน โดยมีทารกที่เกิดก่อนกำหนดประมาณ 1 แสนคน และอัตราการเสียชีวิตของเด็กแรกคลอดอยู่ที่ 6.7 คนใน 1 พันคน เป็นอันดับ 3 ของอาเซียน เมื่อเรารู้ข้อมูลมาแบบนี้แล้ว เรามาดูกันเลยค่ะว่าคุณแม่คนไหนบ้างที่มีความเสี่ยงที่ลูกจะเกิดมาผิดปกติ เพื่อที่เราจะได้เตรียมรับมือได้
แบบไหนที่เรียกว่าการตั้งครรภ์เสี่ยง
- ตั้งครรภ์อายุมากกว่า 35 ปี
- มารดาอายุน้อยกว่า 16 ปี
- มีเลือดออกผิดปกติขณะตั้งครรภ์
- รกลอกตัวก่อนกำหนดคลอด หรือรกเกาะต่ำ
- ความดันโลหิตสูง เกิน 160 มม.ปรอทขึ้นไป
- โรคเบาหวาน
- มีการติดเชื้อ เช่น เชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ต่างๆ
- โรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE)
- ครรภ์แฝด
- ครรภ์เป็นพิษ
- น้ำคร่ำมากหรือน้อยเกินไป
- ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด
ความผิดปกติของทารก
- ภาวะวิกฤติหรือความผิดปกติของทารกที่ต้องได้รับการดูแลรักษา ได้แก่
- ทารกคลอดก่อนกำหนด อายุครรภ์น้อยกว่า 37 สัปดาห์ (หรือหลังอายุครรภ์ 42 สัปดาห์)
- ทารกน้ำหนักตัวน้อยกว่า 2,500 กรัม หรือมากกว่า 4,000 กรัม
- ทารกมีน้ำหนักผิดปกติเมื่อเทียบกับอายุครรภ์
- ทารกแฝด
- ทารกตรวจพบความผิดปกติ เช่น ขาดออกซิเจน
- ทารกมีท่าผิดปกติในครรภ์ เช่น ท่าก้น ท่าขวาง
- ทารกเกิดความผิดปกติระหว่างคลอด
- ทารกพิการแต่กำเนิด
การดูแลทารกแรกเกิด
- การดูแลทารกแรกเกิดควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากกุมารแพทย์ ซึ่งการดูแลที่จำเป็น มีดังนี้
- การวัดสัญญาณชีพตลอด 24 ชั่วโมง
- การควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสม
- การควบคุมและป้องกันการติดเชื้อ
- การดูแลรักษาระบบทางเดินหายใจ
- การเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน
- การเฝ้าระวังติดตามและการดูแลรักษาเฉพาะโรค
- การดูแลด้านโภชนาการ
- การดูแลด้านขับถ่าย
- การดูแลติดตามด้านพัฒนาการในระยะสั้นและระยะยาว
การดูแลเฉพาะทารกแรกเกิดวิกฤติ
- การช่วยกู้ชีพและให้ออกซิเจนทารก: เป็นการดูแลหลังจากทารกคลอดออกมา ซึ่งเด็กที่คลอดส่วนใหญ่จะหายใจเองได้ แต่มีเพียง 1% เท่านั้นที่ไม่สามารถหายใจได้เอง ซึ่งต้องการการกู้ชีพจึงต้องใช้อุปกรณ์ช่วยหายใจเพื่อให้ทารกหายใจเองได้
- การปรับอุณหภูมิร่างกายทารก: โดยใช้ตู้อบช่วยให้ทารกมีอุณหภูมิเหมาะสมตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ควรอยู่ในช่วง 36.8-37.2 องศาเซลเซียส เพราะหากทารกแรกคลอดตัวเย็น อาจทำให้ความดันในปอดสูง เกิดปัญหาหายใจเร็วได้
- การควบคุมการติดเชื้อ: เกิดขึ้นได้ตั้งแต่ทารกอยู่ในครรภ์ เช่น แม่มีน้ำเดินก่อนคลอดนานกว่า 18 ชั่วโมง แม่มีเชื้อราในช่องคลอด แม่ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น
- การให้สารน้ำ สารอาหาร และโภชนาการที่เหมาะสม: จะเน้นการให้นมแม่มากที่สุด แต่หากทารกมีภาวะเจ็บป่วย เช่น น้ำตาลต่ำ อาจต้องตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเป็นระยะ หรือในกรณีที่ทารกคลอดก่อนกำหนด หายใจเร็ว ไม่สามารถทานเองได้ก็จำเป็นที่จะต้องให้สารอาหารผ่านทางสายยางให้อาหารและสารน้ำทางเส้นเลือด เป็นต้น
การป้องกันไม่ให้ทารกเกิดมาผิดปกติ
ปัญหาทารกแรกเกิดวิกฤตินั้นสามารถป้องกันได้ หากคุณแม่ฝากครรภ์อย่างมีคุณภาพตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ เพื่อจะได้ตรวจสุขภาพคุณแม่คุณลูกและดูแลอย่างถูกต้องตามคำแนะนำของสูติ-นรีแพทย์และกุมารแพทย์ หากพบปัญหาจะได้วางแผนการคลอดและการดูแลรักษาได้โดยเร็ว
บทความโดย : พญ.อรวรรณ อิทธิโสภณกุล กุมารแพทย์สาขาทารกแรกเกิดและปริกำเนิด หน่วยดูแลทารกแรกเกิดวิกฤติ โรงพยาบาลกรุงเทพ
แม่ท้องต้องรู้ ! หากมีอาการปวดท้อง เจ็บแปลบ เสี่ยงภาวะรกเกาะต่ำ
คุณแม่ตั้งครรภ์ที่อยู่ในช่วงระหว่างปลายไตรมาสที่ 2 ถึงต้นไตรมาสที่ 3 หากพบว่ามีเลือดสีแดงสดไหลออกมาจากทางช่องคลอด ไม่ว่าจะมีอาการปวด เจ็บแปลบ หรือมีการบีบตัวของมดลูกร่วมด้วย หรือไม่ก็ตามควรรีบมาพบแพทย์เนื่องจากอาจเป็นอาการแสดงของภาวะรกเกาะต่ำได้
ลักษณะการเกิดภาวะรกเกาะต่ำ แบ่งได้ 4 ประเภท คือ
1. รกเกาะบริเวณด้านล่างแต่ไม่คลุมปากมดลูก (Low-lying placenta previa) รกจะอยู่บริเวณด้านล่างใกล้กับขอบของปากมดลูก ห่างจากปากมดลูกไม่เกิน 2 ซม.
2. รกอยู่ขอบปากมดลูกด้านใน (Marginal placenta previa) รกจะอยู่ที่บริเวณส่วนล่างของมดลูก และชายรกลงมาชิดถึงขอบปากมดลูกด้านใน
3. รกคลุมปากมดลูกเพียงบางส่วน (Partial placenta previa)
4. รกคลุมปากมดลูกด้านในทั้งหมด(Complete placenta previa) หากมีภาวะรกเกาะต่ำไม่ว่าประเภทใด ต้องได้รับการดูแลจากสูติแพทย์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจทำให้เกิดการคลอดก่อนกำหนด มารดาเสียเลือดมากทั้งก่อนคลอด ขณะคลอดและหลังคลอด ซึ่งรุนแรงถึงขั้นต้องตัดมดลูกหรือทำให้เสียชีวิตได้
โดย นายแพทย์พิบูลย์ ลีละพัฒนะ
สูติ-นรีแพทย์ทั่วไป โรงพยาบาลวิชัยยุทธ

แม่ท้องต้องรู้ ! แม่ให้นมลูก ทานรังนกได้ไหม รังนกมีประโยชน์อย่างไร
การดื่ม รังนก เพื่อสุขภาพ กลายเป็นเทรนด์ฮิตมากในปัจจุบัน ของคนทุกเพศทุกวัย หากถามว่า แม่ท้อง กับ แม่ให้นม กินได้ไหม ซึ่งยังไม่มีงานวิจัยแหล่งไหนยืนยันค่ะ ว่า มีประโยนช์ หรือ ผลกระทบ กับ แม่ท้อง หรือ แม่ให้นมลูก ค่ะ ฉะนั้นคุณหมอจะมาบอกถึงส่วนประกอบและ สารอาการของรังนก แทน เพื่อให้เป็นทางเลือกสำหรับคุณแม่ ว่าจะเลือกรับประทานหรือไม่ และ แม่ท้อง หรือ แม่ให้นมบุตร ควรทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และ พักผ่อนให้เพียงพอ เสมอนะคะ
รังนก สร้างมาจาก น้ำลายของนกนางแอ่นกินรัง ( Edible nest Swiftlet ) ที่คายเมือกน้ำลายออกมาในการทำรัง โดย รังนก มีส่วนประกอบของ กรดอะมิโน ซึ่งเป็นโปรตีนในปริมาณสูง และ รังนก ยังช่วย กระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์ ( Mitogenic stimulation factor )
ทีมนักวิจัยชาวญี่ปุ่น พบว่า สัตว์ทดลองที่กินสารสกัดจาก รังนก ของ นกแอ่นกินรัง จะมีความแข็งแรงของกระดูกเพิ่มขึ้น โดยวัดจากค่าปริมาณของแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่เพิ่มขึ้น และมีค่าไฮดรอกซีโพรลีน ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการสร้างคอลลาเจนเพิ่มสูงขึ้นอีกด้วย ดังนั้น รังนก จากนกนางแอ่นกินรังจึงอาจมีประโยชน์ในการเพิ่มมวลกระดูกและช่วยเรื่องผิวพรรณ
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทยได้ทำการวิเคราะห์คุณค่าของสารอาหารใน รังนก จากนกนางแอ่นกินรังพบว่า ประกอบด้วยโปรตีนร้อยละ 60.90 แคลเซียมร้อยละ 0.85 น้ำร้อยละ 5.11 โพแทสเซียมร้อยละ 0.05 และฟอสฟอรัสร้อยละ 0.03
ในการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับ คุณค่าของ รังนก 1 ขวด พบว่า มีปริมาณโปรตีน น้อยมากเมื่อเทียบกับ ไข่ไก่ 1 ฟอง (มีโปรตีน6.5กรัม) หรือ นม หนึ่งกล่อง (8.5กรัม) จะพบว่าการกินรังนก 1 ขวด จะได้ปริมาณโปรตีนเท่ากับการดื่มนม 1/64 กล่องเท่านั้น
บทความโดย : แพทย์หญิง วรประภา ลาภิกานนท์ สูตินรีแพทย์

แม่ท้องต้องอ่าน! 5 วิธีรับมือผมร่วงช่วงตั้งครรภ์
หนึ่งในปัญหาอาการของคนท้องที่คุณแม่หลายคนเผชิญอยู่คือ อาการผมร่วง ซึ่งอาการผมร่วงในช่วงตั้งครรภ์เกิดจากฮอร์โมนิมีการเปลี่ยนแปลงมากในช่วงตั้งครรภ์ แต่อาการผมร่วงจะหายไป และผมใหม่จะขึ้นได้หลังคลอดลูกแล้ว แต่ในระหว่างนี้คุณแม่ตั้งครรภ์สามารถดูแลอาการผมร่วง ดูแลสุขภาพผมและหนังศีรษะได้ดังต่อไปนี้ค่ะ
- ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ
ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผมและดูแลเส้นผมที่ทำมาจากส่วนผสมธรรมชาติ เพื่อลดอาการแพ้และระคายเคืองหนังศีรษะจนทำให้ผมหลุดร่วงมากขึ้น อีกทั้งผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติยังทำให้เส้นผมและหนังศีรษะชุ่มชื่นขึ้นโดยไม่มีอันตรายอีกด้วย
- นวดหนังศีรษะด้วยน้ำมันธรรมชาติ
อย่าง น้ำมันมะกอก น้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันอัลมอนด์ โดยนำน้ำมันมาอุ่นเล็กน้อยก่อนนวดศีรษะเบาๆ จากนั้นทิ้งไว้ประมาณสิบนาทีแล้วล้างออก ช่วยให้หนังศีรษะชุ่มชื้นแข็งแรงและกระตุ้นการไหลเวียนเลือดที่หนังศีรษะ ช่วยลดการหลุดร่วงและกระตุ้นการงอกใหม่ของเส้นผม
- เจลว่านหางจระเข้
ใช้เจลว่านหางจระเข้ ปอกเปลือกและล้างเมือกที่ติดอยู่บนเจลให้สะอาด จากนั้นนำมาทาหรือนวดหนังศีรษะ จะช่วยบำรุงเส้นผมได้เป็นอย่างดีและป้องกันผมร่วง
- ใช้หวีห่าง
แปรงผมเบาๆโดยใช้หวีซี่ห่าง เพื่อช่วยลดการหลุดร่วงของเส้นผม
- รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็ก
เพื่อช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดและนำออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายได้ดีรวมทั้งเส้นผมและหนังศีรษะด้วย ช่วยลดการหลุดร่วงของเส้นผม
คุณแม่หลายคนผมร่วงในช่วงตั้งครรภ์ ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าเกิดจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงและการขาดธาตุเหล็กในช่วงตั้งครรภ์ ทำให้คุณแม่เลือกที่จะแก้ไขปัญหาโดยการตัดผมสั้น แต่บางคนตัดแล้วก็ยังคงร่วงเหมือนเดิมหรือมากขึ้นค่ะ คุณแม่ต้องทานอาหารมีประโยชน์ และกินยาบำรุงที่คุณหมอให้อย่างสม่ำเสมอเพื่อลดการขาดร่วงสุขภาพผมที่ดี

แม่ท้องนอนกรนไม่ใช่เรื่องปกตินะคะ ยิ่งถ้าเป็นคนที่ไม่เคยนอนกรนมาก่อน แถมอาจมะภาวะหยุดหายใจขณะหลับร่วมด้วย แบบนี้อันตรายกับลูกในท้องแน่นอนค่ะ แม่ท้องนอนกรนหรือหยุดหายใจขณะหลับได้อย่างไร เรามีสาเหตุพร้อมแนวทางการแก้ไขมาแนะนำค่ะ
คนท้องนอนกรนได้อย่างไร
เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสรีระ เช่น ท้องโตขึ้น การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย การสูบฉีดเลือด ระบบไหลเวียนของเลือด รวมทั้งการเต้นของหัวใจ ซึ่งการสูบฉีดไหลเวียนเลือดที่มากขึ้น จะไปกระตุ้นเส้นเลือดในโพรงจมูก ทำให้มีภาวะบวมน้ำ ส่งผลให้เวลานอน จะรู้สึกหายใจไม่สะดวก และเกิดเสียงกรนนั่นเอง
ประกอบกับลักษณะการนอนของคุณแม่ตั้งครรภ์นั้น ช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ คุณแม่จะนอนมากกว่าปกติ แต่ประสิทธิภาพการนอนลดลง ช่วงหลับลึกและหลับฝันน้อยลง ทำให้ง่วงบ่อยและงีบในตอนกลางวัน ต่อมาช่วงอายุครรภ์ 4-6 เดือน คุณแม่จึงจะเริ่มนอนเหมือนปกติ แต่ประสิทธิภาพการนอนจะยังไม่เหมือนเดิม ทำให้คุณแม่รู้สึกเหมือนนอนไม่เต็มอิ่มซึ่งส่งผลต่อพัฒนาการทารกในครรภ์
พอเข้า 3 เดือนสุดท้ายก่อนคลอด อายุครรภ์ 6-9 เดือน คุณแม่จะนอนสั้นลง ประสิทธิภาพการนอนยิ่งแย่ลงตามไปด้วย เพราะร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงเยอะ และเป็นช่วงที่คุณแม่นอนกรนมากขึ้น ทั้งนอนกรนผิดปกติ หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งอาจส่งผลให้ทารกในครรภ์ได้รับออกซิเจนไม่เต็มที่ค่ะ

แม่ท้องนอนกรน-หยุดหายใจขณะหลับ อันตรายกับลูกในท้อง
6 ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้แม่ท้องมีภาวะหยุดหายใน
หากคุณแม่เป็นหนึ่งในกลุ่มเสี่ยง ต้องติดตามและเฝ้าสังเกตอาการตัวเองนะคะ เพื่อป้องกันและรักษาต่อไป โดยกลุ่มเสี่ยงมีปัจจัยดังนี้
- อ้วนก่อนท้อง น้ำหนักตัวเกินก่อนท้อง
- น้ำหนักเพิ่มมากเกินไประหว่างท้อง คือเพิ่มเกินกว่าเกณฑ์มาตรฐานของแม่ท้อง
- มีการสะสมไขมันที่รอบคอมากเกินไป หรือเป็นคนคอสั้น
- มีความดันสูง เสี่ยงต่อการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ เช่น ตัวบวม ความดันขึ้น รวมทั้งตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะ
- มีประวัติคลอดลูกก่อนกำหนด มีประวัติคลอดลูกที่ผิดปกติ รวมทั้งคลอดทารกที่มีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ปกติ
- ครอบครัวมีประวัตินอนกรนผิดปกติ
เมื่อแม่ท้องนอนกรน หยุดหายใจขณะตั้งครรภ์ต้องทำอย่างไร
- รีบพบแพทย์เพื่อบอกอาการ และความเสี่ยงต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวเอง เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยและรักษา
- คุณสามีหรือคนใกล้ตัว หากพบแม่ท้องนอนกรน ต้องรีบพาไปพบแพทย์
- การรักษาจะขึ้นอยู่กับอาการ เช่น การควบคุมอาหาร การผ่อนคลายความเครียด การกินยา เป็นต้น

แม่ท้องฟันผุ ไม่ใช่เพราะลูกในท้องดึงแคลเซียม แต่เพราะ 3 สาเหตุนี้
แม่ท้องเคยได้ยินใช่ไหมคะ "ลูกในท้องดึงแคลเซียมไป แม่เลยฟันผุ" บอกกันตรงนี้เลยค่ะว่าไม่เป็นความจริง เพราะแคลเซียมที่มีอยู่ในฟันแม่ไม่สามารถละลายเข้าสู่กระแสเลือดเพื่อไปสู่ลูกน้อยได้นะคะ แต่แม่ท้องส่วนใหญ่ที่มีปัญหาเหงือกและฟันขณะตั้งครรภ์ เช่น ฟันอุ ฟันกร่อน เหงือกอักเสบ มาจาก 3 สาเหตุหลักนี้ต่างหาก
3 สาเหตุฟันผุของแม่ท้อง
- การอาเจียนบ่อยๆ จากอาการแพ้ท้อง ทำให้กรดในกระเพาะอาหารที่ออกทางปากสัมผัสกับฟันบ่อยๆ
- อาการแพ้ท้องอยากกินอาหารรสจัดต่างๆ เช่น อาหารเปรี้ยวจัด หวานจัด รสเผ็ด รวมไปถึงอาการอยากอาหารตลอดเวลา ทำให้ฟันสัมผัสกับอาหารบ่อย มีเศษอาหารติดซอกฟัน มีกรดเพิ่มขึ้น ทำให้ฟันผุง่าย
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในระหว่างตั้งครรภ์ ทำให้เหงือกหุ้มฟันมีอาการบมแดง อักเสบ และเลือดออกง่ายเมื่อแปรงฟัน คุณแม่หลายคนจึงไม่กล้าแปรงฟันนานและแปรงไม่ทั่ว ทำให้อาหารยังติดซอกฟันและฟันผุง่าย
เมื่อทราบสาเหตุฟันผุในแม่ท้องแบบนี้แล้วก็ต้องดูแลให้ดีนะคะ เริ่มจากการลดและเลี่ยงอาหารเปรี้ยวหรือหวานจัด แปรงฟันให้สะอาดหลังอาหารทุกครั้ง ใช้น้ำยาบ้วนปากช่วยให้ปากสะอาดขึ้น การใช้ไหมขัดฟัน หรือบ้วนปากหลังทานอาหารบ่อยๆ นอกจากนี้คุณแม่ท้องควรไปพบทันตแพทย์ทุกครั้งเมื่อไปตรวจครรภ์ เพื่อให้คุณหมอตรวจสุขภาพฟันแม่ท้อง หากพบความเสี่ยงหรือผิดปกติที่เกิดขึ้นจะได้รีบรักษาอย่างถูกต้องค่ะ
อ้างอิงจาก: คู่มือตั้งครรภ์และเตรียมคลอด ฉบับปรับปรุงใหม่

แม่ท้องมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงจะส่งผลต่อลูกในท้องไหม
รู้ไหมคะว่าโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงขณะตั้งครรภ์เกิดขึ้นได้กับแม่ตั้งครรภ์ทุกคน โรคนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ต้องรักษาแบบไหน และจะมีผลต่อพัฒนาการทารกในครรภ์หรือไม่ คุณหมอมีคำตอบค่ะ
โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือ Myasthenia Gravis เป็นโรคที่มักเกิดกับกล้ามเนื้อเล็ก ๆ บริเวณใบหน้า โดยมีการทำงานสื่อสารกันระหว่างเส้นประสาท และกล้ามเนื้อลายผิดปกติ ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง จนเกิดกล้ามเนื้ออ่อนแรงจนไม่สามารถควบคุมได้ เช่น ตาตก แขนขาอ่อนแรงยกไม่ขึ้น และถ้าอาการรุนแรงมากก็อาจส่งผลต่อการหายใจและทรวงอกได้ ซึ่งอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้น มักเป็นๆ หายๆ และอาการจะค่อยเป็นค่อยไป ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของผู้ป่วย โดยปัจจัยที่ทำให้อาการของโรครุนแรงขึ้น ได้แก่ การติดเชื้อ เป็นไข้ อากาศร้อนหรือเย็นเกินไป ความเครียด การออกกำลังกายหรือออกแรงมากเกินไป มีโรคเกี่ยวกับไทรอยด์ หรือการตั้งครรภ์
กล้ามเนื้ออ่อนแรงกับการตั้งครรภ์
โดยทั่วไปอัตราการเกิดของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง Myasthenia Gravis จะมีไม่มากนัก เพราะถ้าระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเราไม่มีความผิดปกติ และญาติพี่น้องไม่ได้ป่วยเป็นโรคนี้ โอกาสที่จะเกิดกับคุณแม่ก็มีน้อยมาก
เมื่อแพทย์วินิจฉัยว่าคุณแม่มีความเสี่ยงของการเกิดโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง คุณแม่ตั้งครรภ์จะต้องระมัดระวังในการดูแลตนเองเพิ่มขึ้น ควรพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ออกกำลังกายหรือทำงานจนหักโหมเกินไป เพราะคุณแม่ที่เป็นโรคนี้มีโอกาสเหนื่อยง่าย หรือเกิดโรคง่ายกว่าคนที่ไม่ไม่ได้ตั้งครรภ์ นอกจากนี้จะมีการรักษาด้วยยาซึ่งจะไม่มีผลกระทบต่อทารกในครรภ์
ถึงแม้ว่าโรคนี้จะป้องกันไม่ได้ แต่ถ้าคุณแม่รู้ตัวก่อนตั้งครรภ์ก็ควรปรึกษาคุณหมอเพื่อดูแลอาการอย่างใกล้ชิด และควรกินยาอยู่ไม่ให้ขาด เพื่อลดความรุนแรงของอาการที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งคุณแม่อาจช็อก หมดสติ เพราะหัวใจล้มเหลวก็เป็นได้
แม่ตั้งครรภ์กล้ามเนื้ออ่อนแรงจะส่งผลอย่างไรต่อทารกในครรภ์
เนื่องจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเป็นแอนติบอดี้ที่ไม่ดีในร่างกาย เมื่อคุณแม่ป่วยลูกก็จะได้แอนติบอดี้นี้ แม้ว่าลูกจะไม่ได้เป็นโรคนี้ แต่จะได้รับผลกระทบเกี่ยวกับระบบกล้ามเนื้อ และระบบหายใจที่อาจมีปัญหาหลังคลอด ซึ่งแพทย์ก็จะเฝ้าระวังและดูแลอาการอย่างใกล้ชิด ประมาณ 3-4 สัปดาห์ อาการก็จะค่อยๆ หายขาดไปเอง
เรียบเรียงจากการสัมภาษณ์: นพ.นพดล สโรบล สูติศาสตร์ นรีเวชวิทยา โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

แม่ท้องเลี้ยงหมาแมวได้ไหม ข้อควรระวังเมื่อแม่ตั้งครรภ์เลี้ยงสัตว์
ก่อนตั้งครรภ์ การเลี้ยงน้องหมาหรือน้องแมวแบบใกล้ชิด ไม่ว่าจะกอด อุ้ม หอม หรือนอนบนเตียงด้วยกันก็ไม่ใช่ปัญหานะคะ แต่เมื่อเริ่มตั้งครรภ์ ว่าที่คุณแม่ก็เริ่มกลัวว่าจะมีอันตรายต่อลูกน้อยในครรภ์หรือไม่ ถ้ายังอยากเลี้ยงและดูแลสัตว์ที่บ้านต่อ มีข้อจำกัดหรือข้อควรระวังอะไรบ้าง เรามีคำแนะนำเพื่อความปลอดภัยมาบอกค่ะ
- กำหนดขอบเขตชัดเจน
จำเป็นต้องหาบริเวณของเขาให้ชัดเจนและเรียบร้อยเพื่อการรักษาความสะอาด และมองเผื่ออนาคตหากคลอดเจ้าตัวเล็กแล้ว เป็นการป้องกันอันตรายที่อาจเกิดจากความเข้าใจผิดที่เพื่อนซี้สี่ขาคิดว่าลูกคุณเป็นตุ๊กตาแล้วกัดเล่น ที่สำคัญคุณแม่ควรงดการลงมือทำความสะอาดกรงด้วยตัวเองไปก่อน เพราะเชื้อโรคอาจฟุ้งกระจายทำให้คุณแม่ได้รับเชื้อโรคได้ง่าย เพื่อความปลอดภัยให้คนอื่นทำแทนดีกว่าค่ะ
- แบ่งเวลา
เมื่อถูกแยกและมีการปฏิบัติต่อกันเปลี่ยนไป หมาแมวของเราอาจเกิดอาการน้อยใจได้นะคะ เพราะฉะนั้นควรให้ความสนใจไปเล่นหรือพูดคุยบ้าง เพื่อป้องกันไม่ให้ตรอมใจหรืออิจฉาแล้วเข้าไปกัดลูกน้อยเวลาที่คุณเผลอ
- ปรึกษาหมอ
วิธีนี้สำคัญมากสำหรับคนที่เลี้ยงแมวค่ะ เพราะแมวมีพยาธิที่เป็นเชื้อโรคอันตรายซ่อนอยู่ในอุจจาระ หากสัมผัสก็จะรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายและมีผลกระทบต่อลูกในครรภ์ ดังนั้นช่วงที่กำลังเตรียมตัวตั้งครรภ์ จึงควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาภูมิคุ้มกันพยาธิชนิดนี้
- รักษาความสะอาด
ไม่ควรเดินเท้าเปล่าออกไปสนามหญ้าหน้าบ้าน หากต้องจับดินช่วงตั้งครรภ์ควรใส่ถุงมือก่อนทุกครั้ง และหลังเดินออกไปนอกบ้าน หลังสัมผัสตัวเพื่อนสี่ขา รวมถึงจับขนที่ร่วงในบ้านควรล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่หรือน้ำอุ่นทุกครั้ง
- สอนให้ไม่กระโดดทับตัว
โดยเฉพาะเจ้าตูบที่มักแสดงความรักและความสนิทด้วยการกระโดดนอนกลิ้งบนตัว เพราะแรงกระแทกอาจจะทำให้เกิดการกระทบกระเทือนต่อลูกในครรภ์ ทางที่ดีฝึกตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์เลยดีกว่าค่ะ
หมายเหตุ:
- สัตว์เลี้ยงจะต้องได้รับวัคซีนครบตามกำหนด
- การเลี้ยงหมาอาจจะไม่ค่อยเสี่ยงในเรื่องของการติดเชื้อเท่าแมว ซึ่งมีพยาธิชนิดหนึ่งชื่อว่า “ทอกโซพลาสโมซิส” ซ่อนอยู่ในอุจจาระ แต่ไม่ว่าจะเลี้ยงน้องตูบหรือน้องเหมียว เมื่อตั้งครรภ์ก็ต้องหาวิธีการอยู่ร่วมกัน เพราะอย่างไรเสียสุขภาพของคุณแม่และเจ้าตัวเล็กในท้องครรภ์ก็มาก่อน

ใครกินไม่เป็นมาทางนี้ สลัดเคพกูสเบอร์รี่ เมนูไฟเบอร์สูง
เคพกูสเบอร์รี่ เป็นผลไม้ที่มีประโยชน์เยอะมากมาย มี สารต้านอนุมูลอิสระ มี วิตามินซี วิตามินเอ แคลเซียม ฟอสฟอรัส ฯลฯ และที่สำคัญ มีใยอาหาร ช่วยระบบการขับถ่าย อย่างดีเยี่ยม
หลายๆ คนอาจจะรู้สึกว่ารูปร่างหน้าตาของ เคพกูสเบอร์รี่ นั้นคล้ายมะเขือเทศ จึงทำให้กินยากสักหน่อย แต่ความจริงแล้วรสชาติเปรี้ยวอมหวานนี้ก็อร่อยมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเหมือนกันค่ะ
เคพกูสเบอร์รี่ ลูกที่อร่อยให้สังเกตลูกที่โตๆ สีเหลืองๆ ผิวเต่งๆ แบบนี้จะค่อนข้างหวาน รสชาติดี
นอกจากล้างน้ำกินเปล่าๆ หรือจิ้มกับพริกเกลือแล้ว สามารถนำมาทำเมนูต่างๆ ทั้งอาหารคาวหวานและเครื่องดื่มได้เยอะแยะเลยค่ะ เช่น ทำแยม แต่งหน้าเค้ก ทำซอส กินกับโยเกิร์ต ทำสมูทตี้โยเกิร์ต ทำน้ำปั่น ใส่ยำ ใส่ส้มตำ ใช้แทนมะเขือเทศในบาร์บีคิว หรือจะนำมาปั่นทำไอศกรีมก็ได้ทั้งนั้น
และอีกหนึ่งเมนูเคพกูสเบอร์รี่ ที่ทำง่ายน่าลิ้มลองก็คือ สลัดเคพกูสเบอร์รี่ ค่ะ
ส่วนผสม
- บร็อกโคลีหั่นพอดีคำ ต้มสุก 2-3 ชิ้น
- มะเขือเทศ ผ่าเป็นแว่น 2-3 ชิ้น
- ปูอัด 2 ชั้น หั่นพอดีคำ
- แอปเปิ้ลแดง หั่นชิ้นพอดีคำ 1/4 ลูก
- แอปเปิ้ลเขียว หั่นชิ้นพอดีคำ 1/4 ลูก
- ผักสลัดต่างๆ อย่างละ 2-3 ใบ
- กะหล่ำม่วงหั่นฝอย ตามชอบ
- ต้นอ่อนทานตะวัน ตามชอบ
- เคพกูสเบอร์รี่ ผ่าซีก 1/2 ถ้วย
วิธีทำ
นำส่วนผสมทุกอย่างจัดใส่จาน หรือชาม จากนั้นใส่น้ำสลัดที่ชื่นชอบ คลุกเคล้าให้เข้ากัน เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
เคพกูสเบอร์รี่ เป็นผลไม้ที่จะมีจำหน่ายช่วงฤดูหนาว ประมาณ เดือนมกราคม - มีนาคม ในอดีตความนิยม เคพกูสเบอร์รี่ ยังไม่สูงนัก จึงมีจำหน่ายเฉพาะร้านค้าโครงการหลวง ร้านโครงการส่วนพระองค์ แต่ปัจจุบันได้รับความนิยมจากชาวบ้าน มีการปลูกมากขึ้น นอกจากร้านโครงการส่วนพระองค์ต่างๆ แล้ว ในตลาดสด หรือตลาดนัดบางแห่งก็มีเคพกูสเบอร์รี่จำหน่ายเช่นกันค่ะ
คุณแม่ตั้งครรภ์ทราบไหมคะว่า นอกจากน้ำหนักตัวลูกแรกเกิดแล้ว ในท้องของคุณแม่ยังประกอบไปด้วยน้ำหนักของอะไรอีกบ้างที่ทำให้น้ำหนักตัวเราพุ่งขึ้นไป 10-12 กิโลกรัมในช่วงตั้งครรภ์ คุณหมอมีคำตอบค่ะ
- ถุงไข่แดง
มีบทบาทสำคัญในการให้สารอาหารต่อตัวอ่อนในระยะเริ่มต้น เป็นถุงที่ติดอยู่กับตัวอ่อนประกอบด้วยเส้นเลือดมากมาย การตั้งครรภ์ปกติจะเห็นถุงไข่แดงช่วง 5 ถึง 12 สัปดาห์ การแท้งเกิดขึ้นได้ในกรณีไม่เห็นถุงไข่แดงหรือขนาดเล็กกว่า 3 มิลลิเมตรหรือใหญ่กว่า 6 มิลลิเมตร ขอบไม่เรียบ ความผิดปกติของถุงไข่แดงที่มีหินปูนมาเกาะพบได้ในตัวอ่อนที่ตายไปแล้ว
- รก
เมื่อไข่ได้รับการปฏิสนธิ จะแบ่งเป็นส่วนของทารกและส่วนของรก ส่วนสายสะดือจะพัฒนามาจากส่วนของทารก รกมีหน้าที่แลกเปลี่ยนออกซิเจน สารน้ำ สารอาหาร เป็นที่แลกเปลี่ยนของเสียจากทารกและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และรกเป็นที่ผลิตฮอร์โมน hcg ซึ่งช่วยค้ำจุนการตั้งครรภ์ รกจะเชื่อมต่อกับทารกทางสายสะดือ ซึ่งประกอบด้วยเส้นเลือดดำ ซึ่งนำเลือดดีจากรกไปที่ทารก และมีเส้นเลือดแดง สองเส้นนำเลือดเสียจากทารกไปสู่รก
- สายสะดือ
สายสะดือเชื่อมต่อกับทารกและรก เป็นที่แลกเปลี่ยนออกซิเจนและสารอาหาร ประกอบไปด้วยเส้นเลือดดำ 1 เส้น นำเลือดดีไปสู่ทารก และเส้นเลือดแดง 2 เส้น นำของเสียก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากทารกไปสู่รก
- น้ำคร่ำ
น้ำคร่ำได้มาจากซี่รั่มจากแม่ ที่ซึมผ่านเยื่อหุ้มเด็กและมาจากปัสสาวะของทารกในครรภ์ ส่วนประกอบคือน้ำและเกลือแร่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรท ไขมัน ฟอสโฟไลปิด และยูเรีย ปริมาณน้ำคร่ำมี 500 ถึง 1000 ซีซี เมื่อตอนคลอด
น้ำหนักตัวของแม่ท้องจะเพิ่มขึ้นประมาณ 10-12 กิโลกรัม โดยแบ่งออกเป็น
- น้ำหนักเต้านม 400 กรัม
- น้ำหนักตัวลูก 3,000 กรัม
- น้ำหนักรก 650 กรัม
- น้ำหนักมดลูก 900 กรัม
- น้ำหนักน้ำคร่ำ 800 กรัม
- น้ำหนักไขมันและโปรตีน 5,200 กรัม
- น้ำหนักเลือดและน้ำในร่างกายแม่ 1,200 กรัม
สำหรับคุณแม่บางคนที่น้ำหนักตัวสูงกว่า 12 กิโลกรัม อาจจะต้องดูแลเรื่องอาหาร และสุขภาพมากขึ้นอีกหน่อยค่ะ เพราะในบางกรณีที่น้ำหนักตัวคุณแม่เพิ่มสูงมากอาจส่งผลต่อการคลอด และ การเปลี่ยนเปลงหลังคลอดได้ค่ะ
บทความโดย: แพทย์หญิง วรประภา ลาภิกานนท์ สูตินรีแพทย์