
10 Super Foods แม่ท้องกินแล้วดีทั้งตัวแม่และลูกในท้อง
แม่ท้องต้องกินอะไร ถึงจะดีกับตัวเองและลูกในท้อง มาค่ะคุณแม่ เรามี 10 Super Foods 10 สุดยอดอาหารคนท้อง ที่ แม่ตั้งครรภ์ต้องต้องกิน เพราะนอกจากจะดีต่อตัวเอง เช่น ลดอาการท้องผูก ลดอาการตะคริว ฯลฯ แล้วยังส่งผลดีต่อสุขภาพและพัฒนาการทารกในครรภ์ด้วย 10 สุดยอดอาหารคนท้องมีอะไรบ้าง ไปดู จะได้รีบไปซื้อมาไว้ติดบ้านค่ะ
- บรอกโคลี - อาหารคนท้องที่เต็มไปด้วยวิตามินซี แคลเซียม ไฟเบอร์ โฟเลต ช่วยในการพัฒนาทารกในครรภ์และช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นแร่ธาตุสำคัญในช่วงตั้งครรภ์
- ถั่ว - อาหารคนท้องที่มีไฟเบอร์สูง แหล่งโปรตีนสำคัญ โฟเลต ธาตุเหล็ก แคลเซียมและสังกะสี ควรกินถั่วที่หลากหลาย สดใหม่
- กล้วย - อาหารคนท้องที่เต็มไปด้วยโพเทสเซียม ลดอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยล้าในระหว่างวันของแม่ท้องได้ดีมาก
- ปลาแซลมอน - อาหารคนท้องที่เต็มไปด้วยโอเมก้า 3 กรดไขมันชั้นดี โปรตีน วิตามินบี ซึ่งดีต่อการพัฒนาระบบประสาท สมอง และสายของของทารกในครรภ์
- อะโวคาโด - อาหารคนท้องที่มีกรดโฟลิกสูง โพเทสเซียม วิตามินซีและบี 6 ช่วยในการพัฒนากล้ามเนื้อและสมองของทารกในครรภ์
- ไข่ - อาหารคนท้องที่เต็มไปด้วยโคลีนในการช่วยพัฒนาสมองของลูกในท้อง โปรตีนสูง วิตามิน และแร่ธาตุ
- ธัญพืชโฮลเกรน - อาหารคนท้องที่มีกรดโฟลิกสูง ธาตุเหล็ก และไฟเบอร์ ช่วยลดอาการท้องผูกสำหรับแม่ท้องได้
- เบอรี่ - อาหารคนท้องที่เต็มไปด้วยโพเทสเซียม โฟเลท วิตามินซี และไฟเบอร์ ช่วยป้องกันอาการเหงือกบวม เลือดออกตามไรฟันที่อาจะเกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์
- โยเกิร์ต - อาหารคนท้องที่มีแคลเซียมสูงในระดับเดียวกับนมวัว โปรตีนและกรดโฟลิกสูง ช่วยเพิ่มแคลเซียมให้แม่ตั้งครรภ์และลูกในท้อง
- ส้ม - อาหารคนท้องที่เต็มไปด้วยวิตามินซี ไฟเบอร์ โพเทสเซียม และมีน้ำเป็นส่วนประกอบถึง 90% ซึ่งช่วยทำให้แม่ท้องรู้สึกสดชื่นได้
อาหารคนท้อง จะต้องหลากหลาย สด สะอาด ปลอดภัย เพื่อให้แม่และลูกในท้องได้รับ สารอาหาร ที่ดีต่อ พัฒนาการของทารกในครรภ์ นอกจากนี้ แม่ท้อง ควรกินให้หลากหลาย เช่น ดื่มนมวัว สลับ นมถั่วเหลือง หรือ นมแพะ กินกล้วยสลับกับ มะละกอ หรือ อาหารจานเดียวที่ชอบกินบ่อยๆ ก็ควรเปลี่ยนเมนูบ้าง เพื่อได้รับสารอาหารหลากหลายและลดความเสี่ยงมีอาการแพ้ต่างๆ ค่ะ
แม่ท้องอยากรู้เรื่องของกินคนท้อง ท้องแล้วกินอะไรได้ กินอะไรไม่ได้ ท้องแล้วกินแบบไหนถึงจะดี สามารถแลกเข้าไปแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ที่ Facebook Group แม่ท้องต้องกินอะไร ที่ลิงค์นี้ได้เลย >>> www.facebook.com/groups/pregnancyfood
10 ยาต้องห้ามที่แม่ท้องต้องระวัง เผลอใช้ไปอันตรายกับลูกในท้อง
มียาอะไรบ้างที่แม่ท้องห้ามใช้เด็ดขาดในช่วงตั้งครรภ์รวมไปถึงช่วงให้นมลูก เพราะใช้แบบไม่รู้ตัวเมื่อไหร่ ลูกในท้องเสี่ยงอันตรายทันทีพอเริ่มตั้งท้อง ยาอะไรที่ก่อนท้องเคยใช้ได้ก็อย่าเผลอหยิบมาใช้สุ่มสี่สุ่มห้าเลยนะคะ เพราะยาทุกชนิดที่แม่ท้องใช้สามารถส่งต่อเข้าสู่รกผ่านกระแสเลือดของเจ้าตัวเล็กที่อยู่ในท้องได้ ดังนั้นยาที่แม่ๆ มักใช้กันบ่อยๆ แต่เป็นยาต้องห้ามที่พอตั้งท้องแล้วห้ามใช้เด็ดขาดมีอะไรบ้าง มาอ่านและเซฟเก็บไว้เลยค่ะ
10 ยาต้องห้าม ที่แม่ท้องห้ามใช้
1. ยาแก้ปวดอักเสบ ลดไข้ ยาแก้ปวด
เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) หรือ แอสไพริน (Aspirin) ที่กินกันเป็นประจำเมื่อมีอาการปวดอักเสบ หรือใช้ลดไข้ แต่สำหรับแม่ท้องนั้นเป็นยาที่ต้องห้าม ควรเปลี่ยนไปใช้ยาที่ปลอดภัยกับทารกแทนค่ะ เพราะยาอาจทำให้เสี่ยงกับการแท้ง เลือดออกขณะตั้งครรภ์ หรือคลอดก่อนกำหนดได 1. ยาแก้ปวดอักเสบ ลดไข้ ยาแก้ปวด เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) หรือ แอสไพริน (Aspirin) ที่กินกันเป็นประจำเมื่อมีอาการปวดอักเสบ หรือใช้ลดไข้ แต่สำหรับแม่ท้องนั้นเป็นยาที่ต้องห้าม ควรเปลี่ยนไปใช้ยาที่ปลอดภัยกับทารกแทนค่ะ เพราะยาอาจทำให้เสี่ยงกับการแท้ง เลือดออกขณะตั้งครรภ์ หรือคลอดก่อนกำหนดได้
2. ยารักษาสิวกลุ่มกรดวิตามินเอ
สำหรับคุณแม่ที่เคยใช้ ยารักษาสิวกลุ่มกรดวิตามิน เอ Isotretinoin ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของกรดวิตามิน เอ ที่อยู่ในรูปแบบยากิน ตอนก่อนตั้งครรภ์ เมื่อตั้งครรภ์แล้วห้ามใช้ยานี้ เพราะมีผลกับลูกในท้องค่อนข้างรุนแรง ส่งผลให้ลูกในท้องอาจจะพิการแต่กำเนิดได้ ส่วนยาทายังอาจพอใช้ได้แต่ก็ควรปรึกษาคุณหมอก่อนใช้ทุกครั้งค่ะ
3. ยาปฏิชีวนะ
ยาปฏิชีวนะหรือยาแก้อักเสบก็มีด้วยกันหลายกลุ่ม หลายชนิด โดยทั่วไปที่ใช้บ่อย ๆ คือ ยากลุ่มเพนิซิลิน (Penicillins) นั้น ค่อนข้างมีความปลอดภัยกับแม่ท้อง แต่ยาปฏิชีวนะที่ต้องระวังคือยาปฏิชีวนะกลุ่มเตตร้าซัยคลิน (Tetracycline) ซึ่งส่งผลต่อการสร้างกระดูกและฟันของลูก ทำให้ลูกมีฟันสีเหลืองหรือสีน้ำตาลได้ หรือทำให้กระดูกและสมองของลูกผิดปกติได้
4. ยารักษาเบาหวาน
การรักษาเบาหวานด้วยยากินขณะตั้งท้องอาจปรับขนาดยาลำบาก ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (hypoglycemia) และยังส่งผ่านรกได้ทำให้ทารกแรกคลอดเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำด้วย ถ้าเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์จึงนิยมใช้ยาฉีดอินซูลินซึ่งปลอดภัยกว่า
5. ยาสเตอรอยด์
ที่เป็นยากินหรือยาฉีดนั้น หากจำเป็นต้องใช้ขณะตั้งครรภ์ ควรต้องให้คุณหมอเป็นคนสั่ง เพราะจัดอยู่ในยาที่เป็นอันตรายอาจทำให้ทารกเกิดภาวะปากแหว่ง เพดานโหว่ได้ แต่สำหรับยาสเตอรอยด์แบบใช้ภายนอกสามารถใช้ได้หากใช้ในแบบอ่อนและใช้ในช่วงเวลาสั้น ๆ
6. ยารักษาโรคความดันโลหิต
ยารักษาความดันโลหิตบางชนิด เช่น รีเซอร์พีน (Reserpine) ส่งผลต่อทารกทำให้เกิดความผิดปกติได้ ดังนั้นหากคุณแม่ที่รักษาโรคความดันโลหิตอยู่ แล้ววางแผนตั้งท้องควรปรึกษา และแจ้งคุณหมอก่อน เพื่อปรับไปใช้ยาที่มีความปลอดภัย
7. ยารักษามะเร็ง
การรักษามะเร็งทำได้หลายวิธี แต่การใช้ยาเคมีบำบัดสำหรับแม่ท้องที่เป็นมะเร็งอาจส่งผลกระทบไปถึงลูกในครรภ์ได้ เพราะยาอาจจะไปหยุดการเจริญเติบโตของเซลล์ได้ ดังนั้นคุณหมอจึงหลีกเลี่ยงการใช้ยาในช่วงตั้งครรภ์อ่อน ๆ แต่อาจจะรักษาด้วยวิธีอื่นแทน
8. ยากันชัก
สำหรับแม่ท้องที่รักษาอาการชักอยู่ การกินยากันชักจำเป็นต้องอยู่ในความควบคุมของคุณหมออย่างเคร่งครัด เพราะยากันชักอาจส่งผลให้ทารกที่คลอดออกมาพิการแต่กำเนิดได้ แต่ก็ไม่ควรหยุดยา คุณหมอจึงมักให้ใช้ยากันชักขนาดต่ำที่สุดที่สามารถควบคุมอาการได้ และให้ยากันชักเพียงชนิดเดียวเท่านั้นในช่วงตั้งครรภ์
9. ยาขับปัสสาวะ
ยาขับปัสสาวะ หรือยาขับน้ำ ซึ่งช่วยในการขับน้ำส่วนเกินออกจากร่างกายและยังช่วยลดระดับความดันโลหิต แต่ถือเป็นยาอันตราย ต้องห้ามหากกำลังตั้งท้อง
10. ยาต้านการแข็งตัวของเลือด
ในช่วงตั้งท้องไตรมาสแรก คุณแม่ไม่ควรใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดบางชนิด เช่น เฟนินไดโอน (Phenindione), อินดานิดิโอน (Indanidione) และคูมาริน (Coumarin) เพราะอาจทำให้ลูกพิการ นอกจากนี้ยังอาจทำให้เด็กในครรภ์หรือเด็กแรกคลอดมีเลือดออกในระหว่างการคลอดได้อีกด้วย
นอกจากรายชื่อยาข้างต้นแล้ว ยังมียาอีกหลายกลุ่ม หลายตัวยาที่จัดอยู่ในประเภทที่มีความเสี่ยงกับลูกน้อยในท้อง หรือยาบางชนิดก็อาจจะสามารถกินได้เมื่อมีอายุครรภ์ที่เหมาะสม ดังนั้นแม่ท้องก่อนกินยาใด ๆ ก็ตามควรปรึกษาเภสัชกร หรือคุณหมอก่อนทุกครั้งค่ะ เพื่อความปลอดภัย และพัฒนาการร่างกายที่สมบูรณ์ของลูก
Welcome to the best online casino experience –
Tangiers Casino! You'll be spoilt for choice with everything from slots, blackjack, roulette, and more. Join a global game community of millions with daily offers, promotions, and more.

10 วิธี พิชิตเส้นเลือดขอดและบวมแม่ตั้งครรภ์
นอกจากเท้าบวมและตะคริวแล้ว เส้นเลือดขอดก็เป็นอีกหนึ่งอาการที่แม่ท้องกังวลค่ะ ทั้งที่ก็ไม่ได้เดินเยอะแต่ทำไม่เกิดเส้นเลือดขอดขึ้นได้ เรามาดูสาเหตุพร้อมวิธีดูแลรักษาเส้นเลือดขอดกันค่ะ
เส้นเลือดขอดตอนท้องเรื่องธรรมชาติ
เส้นเลือดขอดตอนท้องมักเกิดร่วมกับอาการเท้าบวมค่ะ เพราะช่วงตั้งครรภ์ร่างกายจะเริ่มมีปัญหาแรงดันส่งเลือดดำไม่สะดวกเลือดดำ เลือดเลยมาอออุดตันเป็นลักษณะโป่งพอง เห็นเป็นเส้นเลือดขอดอยู่ตามผิวหนังชั้นนอกบน และกลายเป็นเส้นเลือดขอดนั่นเอง ซึ่งการรักษาเส้นเลือดขอดไม่จำเป็นต้องพึ่งยาหรือเทคโนโลยีแต่อย่างใดค่ะ เพราะหลังคลอด อาการเส้นเลือดขอดจะค่อยบรรเทาเบาบางหรือหายไปได้เองในคนที่เป็นน้อยๆ แต่คนที่เป็นมาก ไม่จางหายไปเอง ก็สามารถผ่าตัดเส้นเลือดขอดออกได้บ้างหลังคลอดแล้ว

10 วิธี พิชิตเส้นเลือดขอดสำหรับคนท้อง
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอให้ช่วงขาแข็งแรง กล้ามเนื้อจะได้มีแรงบีบส่งแรงดันเลือดดำกลับไปฟอกที่ร่างกายส่วนบนได้ตามปกติ ในช่วงที่อายุครรภ์มากขึ้น ออกกำลังกายไม่ค่อยสะดวก แนะนำให้ใช้วิธีเดินในน้ำ แรงต้านของน้ำจะทำให้ได้ออกแรงมากขึ้น แต่ร่างกายไม่หักโหม
- ไม่ยืนทำงานอยู่กับที่นิ่งๆ นานๆ เช่น รีดผ้า ทำกับข้าว ฯลฯ พยายามเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ เป็นเดินไปมา(ได้ออกกำลัง) หรือลงนั่งสลับบ้าง ยืดหยุ่นกล้ามเนื้อน่องอยู่เสมอ
- เวลานั่งนานๆ ก็ควรลุกขึ้นเปลี่ยนท่าทางบ้าง และไม่นั่งไขว่ห้างอย่างเด็ดขาด
- ยกขาขึ้นสูงในระดับเสมอกับลำตัวขณะพักผ่อนในท่าสบายๆ และจะดีมากทีเดียวถ้ายกขาให้ขึ้นเสมอระดับหัวใจได้
- รักษาระดับน้ำหนักตัวไม่ให้ขึ้นมากเกินกำหนด
- รับประทานอาหารที่มีเส้นใยมากๆ ป้องกันอาการท้องผูกซึ่งในช่วงนี้อาจทำให้เป็นริดสีดวงได้ง่าย
- นอนตะแคง น้ำหนักจะได้ไม่กดทับเส้นเลือด
- สวมผ้ายืดพยุงกล้ามเนื้อที่ขา
- อย่ารับประทานอาหารเค็มจัด
- ใส่รองเท้าที่โปร่งสบาย จะได้ไม่คับในช่วงเย็นหรือเมื่อยืนเดินมาทั้งวัน

10 อุบัติเหตุที่แม่ท้องต้องระวัง
แม่ท้องไม่ได้ซุ่มซ่ามนะ แต่เพราะร่างกายเปลี่ยนแปลงไปมากทำให้ใช้ชีวิตลำบากขึ้น หรือ ในบางครั้งก็ลืมตัวว่ากำลังท้องเลยยังใช้ชีวิตปกติจนอาจเกิดอุบัติเหตุได้ เรามาดูกันว่าอะไรคืออุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับแม่ท้องบ่อยๆ จะได้ระวังตัวและดูแลกันได้อย่างถูกต้องค่ะ
1. ท้องกระแทกกับพวงมาลัยรถยนต์
คุณแม่ท้องที่ขับรถเอง แม้ไม่เกิดอุบัติเหตุก็อาจจะมีบ้างที่รถเบรกกะทันหันและรุนแรง จนท้องที่มีขนาดใหญ่อาจจะกระแทกกับพวงมาลัยได้ ซึ่งหากกระแทกในระดับเบาๆ ก็อาจจะไม่เป็นอันตรายมากนัก แต่ถ้ากระแทกบ่อยๆ หรือรุนแรงก็ย่อมเกิดอันตรายกับทั้งตัวคุณแม่และลูกในท้องได้
2. ตกเข็มขัดนิรภัยรถยนต์รัดท้อง
หากคุณแม่คาดเข็มขัดนิรภัยไม่ถูกต้อง นอกจากจะไม่ช่วยป้องกันอันตรายที่เกิดขึ้นได้แล้ว ยังได้รับอาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นได้ด้วยค่ะ เช่น เข็มขัดนิรภัยรัดท้อง ถูกเข็มขัดนิรภัยรัดแขน
3. บันได ตกส้นรองเท้า(ทั้งส้นเตี้ยและส้นสูง)
คุณแม่ที่รักสวยรักงาม ยังกังวลว่าบุคลิกจะดูไม่ดี รวมถึงชินและมั่นใจว่าใส่ได้ไม่มีปัญหา จึงยังใส่รองเท้าส้นสูงเหมือนปกติ ขอบอกว่าช่วงนี้คงต้องงดไปก่อนค่ะ เพราะการใส่รองเท้าส้นสูง คุณแม่จะต้องเกร็งขาและเกร็งหน้าท้องเพื่อพยายามทรงตัวให้เดินได้ดี ซึ่งอาการเหล่านี้จะเป็นผลทำให้คุณแม่ปวดขา ปวดหลัง ซึ่งส่งผลเสียกับสุขภาพค่ะ ที่สำคัญส้นรองเท้าที่เรียวบางและสูง คงไม่สามารถรองรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นของคุณแม่ จึงอาจจะทำให้คุณแม่เท้าพลิกหรือตกส้นรองเท้า จนเกิดบาดเจ็บขึ้นได้
4. โดนชนแรงๆ ในที่ที่พลุกพล่าน
จะห้ามไม่ให้คุณแม่เดินไปไหนมาไหนเลยคงยากค่ะ ยิ่งคุณแม่ working mom ก็อาจจะยิ่งยากต่อการที่จะเลี่ยงจากแหล่งชุมชน คนพลุกพล่าน ก็อาจจะทำให้มีโอกาสที่คุณแม่โดนกระแทกหรือชนขณะที่เดินสวนกับคนอื่นมาd
5. ขึ้นนั่งมอเตอร์ไซด์หรือขับรถตกหลุมแล้วกระแทก
หากคุณแม่ต้องนั่งมอเตอร์ไซด์ หรือขับรถเอง การตกหลุมหรือการกระแทกกระทั้นเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงยาก ถึงปกติแล้วร่างกายจะมีการป้องกันตามธรรมชาติคือ การที่ลูกอยู่ในโพรงมดลูก จะมีน้ำคร่ำที่ทำหน้าที่เป็นแอร์แบ็คชั้นดี ช่วยลดแรงกระทบกระเทือนจากภายนอกลงได้บ้าง แต่หากได้รับการกระแทกอย่างรุนแรง เช่น ตกหลุมลึกและตกแรง ก็อันตรายไม่น้อยค่ะ

6. นั่งแล้วลุกขึ้นยืนเร็วเกินไป
อาการปรู๊ดปร๊าด ผุดลุกผุดนั่ง หรือทำอะไรรวดเร็วนี่ถือเป็นบุคลิกที่สั่งสมมานาน จะให้เปลี่ยนในช่วง 2-3 เดือนแรกคงต้องใช้เวลานะคะ แล้วส่วนใหญ่การลุกขึ้นยืนเร็วๆ มักจะเกิดกับคุณแม่ท้องอ่อนๆ
7. ลื่น (ในห้องน้ำ บันได)
ด้วยน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น บวกกับการเคลื่อนไหวที่ไม่คล่องตัวเหมือนตอนที่ยังไม่ตั้งครรภ์ คุณแม่อาจจะเผลอเดินเร็ว ก้าวเท้าไปอย่างไม่ระมัดระวังและไม่มองพื้นบ้าง เช่น การก้าวขึ้น ลงบันได ด้วยขนาดท้องที่ใหญ่ ก็อาจจะบดบังทัศนียภาพการเดินของคุณแม่ ทำให้มองไม่เห็นขนาดของขั้นบันไดว่ากว้าง ยาว เท่าไหร่ ทำให้การกะระยะผิดพลาดได้ค่ะหรือพื้นห้องน้ำที่เคยเข้ามาตั้งหลายปี อาจจะมาลื่นในช่วงตั้งครรภ์ได้ เพราะจังหวะที่ลื่นไถลไปนั้น ถ้าเป็นช่วงที่ไม่ตั้งครรภ์ก็คงสามารถเกี่ยว เหนี่ยว ยึด เกาะ ดึง สิ่งรอบข้างพยุงตัวไม่ให้ล้มลงไปได้ แต่ถ้ากำลังตั้งครรภ์ยิ่งท้องใหญ่ความคล่องตัวก็จะลดลงด้วยนะคะ
8. สะดุด (ทางเท้า โต๊ะ เก้าอี้ สิ่งของ กางเกง กระโปรง)
คงเคยเห็นว่าเก้าอี้ หรือของก็วางอยู่ที่เดิม แต่เท้าเจ้ากรรมก็พานไปเตะเข้าจนได้ อุบัติเหตุที่มักจะพบในกลุ่มนี้บ่อยๆ คือ ชนโต๊ะ ชนเก้าอี้ เตะกล่องที่วางบนพื้น ขาเตะขอบประตู หรือหากใส่กางเกง กระโปรงยาวคุณแม่อาจจะสะดุดกางเกงหรือกระโปรงได้ค่ะ
9. ท้องชนโต๊ะ ชนประตู เพราะกะระยะผิด
จากเดิมที่หน้าท้องเคยแบนราบ แต่เมื่อตั้งครรภ์ด้วยท้องที่โตขึ้นในแต่ละเดือน ด้วยความที่ยังไม่เคยชิน โดยเฉพาะคุณแม่มือใหม่ก็อาจจะทำให้การกะระยะสิ่งของกับขนาดของท้องที่ยื่นออกไปผิดพลาด จึงอาจจะเห็นคุณแม่ท้องเดินชนของประจำเพราะความไม่เคยชินนี่ล่ะค่ะ
10. เผลอยกของหนัก เกินกำลัง หรือเผลอก้มทั้งๆ ที่ท้องใหญ่
มักจะเกิดกับคุณแม่จอมพลังที่เคยชินกับพฤติกรรมการยกของ (หนัก) เอง ช่วง 9 เดือนเห็นทีต้องถอดชุดมนุษย์จอมพลังออกก่อน กล่องใหญ่ เก้าอี้ตัวยักษ์ หรืองานที่ต้องออกแรง เรียกให้คุณพ่อหรือเพื่อนร่วมงานผู้ชายมาช่วยก่อนค่ะ ส่วนการเผลอก้มใส่รองเท้า หรือทำอะไรปรูดปราดรวดเร็วเกินตัว ส่วนใหญ่เกิดจากความเคยชินเดิมๆ ทำไปโดยอัตโนมัติ หรือคุณแม่บางคนอาจจะลืมไปว่ากำลังตั้งครรภ์ก็มีค่ะ
หากเกิดอุบัติเหตุแล้วมีอาการดังต่อไปนี้ รีบไปพบหมอด่วนจี๋เลยค่ะ
- เจ็บท้องตลอดเวลาหลังเกิดอุบัติเหตุ อาจจะเกิดรกลอกตัว มดลูกแตก หรือถ้าเดี๋ยวเจ็บเดี๋ยวหายอาจจะเป็นการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดได้
- มีเลือดออกทางช่องคลอด เลือดออกกะปริดกะปรอย อาจจะเกิดจากการที่รกลอกตัว
- จากที่ลูกเคยดิ้น กลับไม่ดิ้น

3 ท่ายืดเหยียดช่วยลดและแก้ตะคริวกวนใจแม่ท้อง
คุณแม่ที่ยืนเดินมากหรือนั่งห้อยเท้าตลอดทั้งวันจะเป็นตะคริวได้ง่าย ตะคริวมักเกิดขึ้นที่น่อง เท้า หรือต้นขา เพราะกล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าวจะเกิดการหดเกร็งตัว ทำให้มีอาการเจ็บปวดในช่วงสั้นๆ พบได้บ่อยเมื่ออายุครรภ์ 6 เดือนขึ้นไป สำหรับคุณแม่ที่กลัวการเป็นตะคริวยามตั้งท้อง เรามีท่าบริหารขาให้แข็งแรง เพื่อช่วยลดอาการตะคริวมาฝากค่ะ

ท่าออกกำลังกายกำจัดตะคริวท่าที่ 1
- นั่งบนพื้นที่ที่มีที่กว้างพอให้สามารถเหยียดขาได้
- เหยียดขาข้างนึงออกด้านข้าง แล้วใช้แขนข้าวเดียวกันกับขาที่เหยียด ยิดออกไปแตะปลายเท้า
- โน้มแขนอีกข้างเหนือศีรษะ เอนตัวไปทางขาข้างที่เหยียด นับ 1-10 แล้วยืดตัวตรง จากนั้นทำซ้ำอีก 2-3 ชุด
- เมื่อทำครบ 1 ข้าง ให้สลับทำแบบเดียวกัน (ตามข้อ 2-3)
ขณะทำท่านี้จะรู้สึกตึงบริเวณหลังขาข้างที่เหยียด สีข้าง เมื่อทำบ่อยๆ อาการตึงจะค่อยๆ หายไปและรู้สึกสบายตัวมากขึ้น

ท่าออกกำลังกายกำจัดตะคริวท่าที่ 2
- นอนราบไปกับพื้น วางแขนทั้งสองข้างและฝ่ามือราบติดพื้น
- ยกสะโพกขึ้นช้าๆ ให้รู้สึกว่ามั่นคง แล้วค่อยๆ ยกขาข้างหนึ่งเหยียดตรงชี้ไปข้างหน้า
- คงท่านี้ค้างไว้ นับ 1-10 แล้วค่อยๆ พับขาข้างที่ยกลงมาในท่ายกสะโพก เมื่อมั่นคงแล้วค่อยวางสะโพกลงพื้น
- ทำซ้ำข้อ 2-3 แบบนี้สลับขาซ้ายและขวาอย่างน้อย 6-8 ชุด
ท่านี้คุณแม่จะรู้สึกเกร็งที่น่องเล็กน้อย และจะต้องยกน้ำหนักตัวไว้นาน หากรู้สึกว่านับได้ไม่ถึง 10 ก็ให้ลดเหลือ 5 หรือ เท่าที่ไหวโดยไม่ต้องฝืนค่ะ
ท่าออกกำลังกายกำจัดตะคริวท่าที่ 3
- คว่ำหน้าคุกเข่า ใช้มือทั้งสองข้างเท้าพื้น โดยให้แขนเหยีดยตรง (ท่าแมว)
- ค่อยๆ เหยียดขาข้างหนึ่งไปด้านหลัง เหยียดตรงค้างไว้ แล้วนับ 1-10 จากนั้นพับขาลงมาที่ท่าคุกเข่าเหมือนเดิม
- ทำสลับขาซ้ายและขวาประมาณ 6-8 ชุด
ท่านี้เมื่อทำครั้งแรกๆ คุณแม่อาจมีอาการปวดเกร็งหลังเล็กน้อย ดังนั้นจึงต้องมั่นใจว่าแขนและฝ่ามือที่เท้าพื้นทีกำลังมากพอนะคะ หากลองทำแล้วนับได้ไม่ถึง 10 ใน 1 ครั้ง ให้ลดเหลือ 5 หรือเท่าที่รับได้ค่ะ
อีกหนึ่งความกังวลของคุณแม่ท้อง คือกลัวว่าลูกน้อยจะคลอดก่อนกำหนด คุณแม่คนไหนบ้างที่มีความเสี่ยง เรามีคำแนะของคุณหมอมาให้อ่านกันค่ะ
สาเหตุของการคลอดก่อนกำหนด
- คุณแม่คุณแม่ที่มีมดลูกไม่แข็งแรงและมีขนาดเล็กกว่าปกติเนื่องจากมีผนังกั้นในโพรงมดลูกมีรูปร่างผิดปกติ ปากมดลูกสั้น ซึ่งเกิดได้จากกรรมพันธุ์และความผิดปกติแต่กำเนิด
- เด็กที่มีความผิดปกติบางอย่างตั้งแต่ในท้อง เช่น ความผิดปกติของโครโมโซม ดาวน์ซินโดรมหรือความผิดปกติจากกรรมพันธุ์บางอย่างที่กระตุ้นให้เด็กคลอดก่อนกำหนดและแท้งง่าย
- รกลอกตัวก่อนกำหนด ซึ่งพบได้บ่อยในคุณแม่อายุมาก ท้องหลัง และท้องแฝดคุณแม่ที่มีความดันโลหิตสูง ครรภ์เป็นพิษ ติดเชื้อในมดลูก คุณแม่ที่สูบบุหรี่ ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุให้รกลอกตัวเร็วก่อนที่เด็กจะคลอด ทำให้รกซึ่งเคยทำหน้าที่ลำเลียงออกซิเจน อาหารและขับถ่ายของเสียทำงานไม่ปกติ
สัญญาณเตือนการคลอดก่อนกำหนด
- ปวดบีบเกร็งคล้ายปวดประจำเดือน ปวดถี่ๆ ทั้งที่ยังไม่ถึงกำหนดคลอด
- ปวดหลัง ปวดหน่วงๆ ลงบริเวณช่องคลอด
- มีมูก หรือ มูกเลือดออกทางช่องคลอด
- มีน้ำใสๆ ไหลออกทางช่องคลอด
หากมีอาการนี้ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วนค่ะ
วิธีป้องกันการคลอดก่อนกำหนด
เมื่อรู้ตัวว่าตั้งครรภ์ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจและฝากครรภ์ทันทีหรือภายใน 6 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ เพื่อคัดกรองโรคที่อยู่ในปัจจัยเสี่ยง ทำให้ทราบกำหนดคลอดที่แน่นอน และวางแผนการคลอดได้อย่างเหมาะสม ต้องตรวจเร็ว วางแผนทัน ลดความเสี่ยงได้ เมื่อรู้ว่าตั้งครรภ์ คุณแม่ควรรีบมาพบแพทย์ในทันที เพื่อตรวจคัดกรองโรคที่อยู่ในปัจจัยเสี่ยง กำหนดวันคลอดที่แน่นอนและวางแผนการคลอดได้อย่างเหมาะสม
ในกรณีที่พบความผิดปกติระหว่างตั้งครรภ์ในช่วง 3 เดือนแรก เช่น มีเลือดออกทางช่องคลอด หรือปวดท้องน้อยรุนแรง คลื่นไส้อาเจียน วิงเวียนศรีษะมาก ควรรีบมาพบแพทย์ในทันที
บทความโดย: ศูนย์สุขภาพสตรี โรงพยาบาลกรุงเทพ

3 สัญญาณเตือนที่บอกว่าแม่ท้องสายตาผิดปกติ ต้องไปพบแพทย์
หากคุณแม่ท้องรู้สึกว่าตัวเองสายตาผิดปกติ ไม่ใช่อาการที่ควรมองข้ามนะคะ เพราะนั่นอาจจะเป็นสาเหตุของความเครียดค่ะ ซึ่งส่งผลต่อลูกน้อยในครรภ์โดยตรง และสำหรับแม่ท้องที่กำลังสงสัยว่าตัวเองมีปัญหาเกี่ยวกับสายตาหรือไม่ ก็ลองพิจารณาจากอาการต่อไปนี้เลยค่ะ
- มองเห็นสีไม่ชัดเจนเหมือนเดิม คุณแม่บางคนอาจถึงขั้นตาบอดสีได้ เห็นสีหนึ่งเปลี่ยนเป็นสีหนึ่ง ซึ่งก็อาจจะทำให้เกิดอันตรายหากคุณแม่มีธุระจำเป็นต้องขับรถไปคนเดียว
- ตาพร่ามัวผิดปกติ ก่อนท้องไม่เคยเป็นมาก่อนเลย คุณแม่ลองทดสอบได้ด้วยการปิดตาไว้ข้างหนึ่งแล้วมองไปข้างหน้า หากไม่พบความผิดปกติ ก็ให้สลับมาลองทำอีกข้างดูนะคะ หากพร่ามัวต้องไปพบแพทย์แล้วค่ะ
- สัดส่วนของที่มองเห็นผิดจากที่เคยเห็น คุณแม่ท้องลองสังเกตดูนะคะว่าเห็นของใช้ต่างๆ รูปร่างปกติไหม หากเห็นของชิ้นเล็กเป็นชิ้นใหญ่ ต้องไปพบแพทย์เพื่อตรวจอาการสายตาค่ะ
แม่ท้องจะมีความเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน การไหลเวียนของเลือด และการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย จึงส่งผลเกี่ยวกับสายตาด้วย หรือมีอาการเจ็บตา ตาแดง แต่อย่าซื้อยามาทานเองหรือซื้อยามาหยอดเองโดยเด็ดขาดนะคะ ให้ไปพบแพทย์เพื่อเช็กอาการจะดีกว่า เพราะยาเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อพัฒนาการ และการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ได้ค่ะ
4 ผื่นคันคนท้องที่แม่ท้องต้องรู้และรักษาให้ถูก
อาการคันช่วงตั้งครรภ์ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งในหญิงมีครรภ์ ซึ่งสาเหตุของการคันของหญิงมีครรภ์มีมากมาย คือนอกเหนือจากอาการคันที่พบได้ในบุคคลธรรมดาทั่วไป เช่น การติดเชื้อรา ติดเชื้อแบคทีเรีย ยุงกัด การแพ้สารเคมี แพ้เหงื่อ การแพ้เสื้อผ้า เหมือนคนปกติแล้ว ยังมีลักษณะพิเศษของโรคผิวหนังที่พบในช่วงตั้งครรภ์ ได้แก่

1. ผื่นตั้งครรภ์ Pruritic Urticarial Papules and Plaques of Pregnancy (PUPPP)
สาเหตุผื่นตั้งครรภ์
ผื่นคนท้องที่ชื่อว่า ผื่น PUPPP พบมากในช่วงไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์เฉลี่ยอายุครรภ์ 35 สัปดาห์ สาเหตุไม่ทราบแน่ชัด คาดว่าเกิดจากผนังท้องขยายมากทาให้เกิดการบาดเจ็บต่อเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง และ คอลลาเจน กระตุ้นให้เกิดกระบวนการอักเสบ อาการผื่นมีหลายลักษณะ เช่น ผื่นนูนแดงคล้ายลมพิษ หรือ เป็นตุ่มน้ำขนาดประมาณ 1 – 2 มม. พบมากบริเวณหน้าท้องโดยเฉพาะที่เป็นรอยแตกลาย โดยเว้นรอบสะดือ แล้วจึงกระจายไปที่ ต้นขา ก้น หน้าอก และแขน โดยทั่วไปมีอาการคันมาก ผื่นชนิดนี้ขึ้นนานประมาณ 6 สัปดาห์และหายได้เองหลังคลอดภายใน 1- 2 สัปดาห์ ไม่มีอันตรายต่อมารดาและทารกในครรภ์แต่อย่างใด
การรักษาผื่นตั้งครรภ์
เป็นการบรรเทาอาการคันเช่น ยาทาคาลาไมด์, ยาทากลุ่มสตีรอยด์ และยาแก้แพ้ ก็เพียงพอ

2. ผื่นตั้งครรภ์ Herpes Gestationis
สาเหตุผื่นตั้งครรภ์
ผื่นตั้งครรภ์ Herpes Gestationis ผื่นชนิดนี้พบได้ในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ของการตั้งครรภ์ ไม่สัมพันธ์กับการติดเชื้อเริมหรืองูสวัด ลักษณะสำคัญคือเป็นผื่นแดงเฉียบพลันคล้ายลมพิษบริเวณลำตัว หลังจากนั้นจะกลายเป็นตุ่มน้ำใส หากมีการแตกของผื่นอาจกลายเป็นตุ่มน้ าขนาดใหญ่ได้ และมีอาการคันมาก
การรักษาผื่นตั้งครรภ์ Herpes Gstationis
การรักษาคือใช้ยาทาสเตียรอยด์ ผื่นชนิดนี้พบว่ามีความสัมพันธ์กับภาวะทารกแรกเกิดมีน้ำหนักน้อยกว่าปกติ และภาวะการคลอดก่อนกำหนด

3. ผื่นตั้งครรภ์ Pustular Psoriasis of Pregnancy
สาเหตุผื่นตั้งครรภ์
ผื่นตั้งครรภ์ Pustular Psoriasis of Pregnancy พบในช่วงไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์ อาการผื่นตั้งครรภ์ ลักษณะเป็นผื่นแดงรวมกับตุ่มหนอง กระจายทั่วลำตัว ผื่นมีอาการคันหรือเจ็บ มารดาอาจมีอาการไข้ หนาวสั่น คลื่นไส้ ปวดข้อร่วมด้วย ผื่นมักหายได้เองหลังคลอด แต่อาจพบภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายได้ เช่น ภาวะแคลเซี่ยมในเลือดต่ำ (hypocalcemia), การติดเชื้อแบคทีเรียในกระแสโลหิต (bacterial sepsis), ภาวะรกเสื่อม (placental insufficiency) และ ทารกตายในครรภ์ (still birth)
การรักษาผื่นตั้งครรภ์ Pustular Psoriasis of Pregnancy
การรักษาคือใช้ยาสตีรอยด์ขนาดสูงตลอดการตั้งครรภ์, ยาไซโคลสปอริน (cyclosporine), การรักษาด้วยแสงอัลตราไวโอเลตชนิดบี อย่างไรก็ตามภาวะนี้มีอันตรายทั้งมารดาและทารก ต้องได้รับการดูแลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด

4. ผื่นตั้งครรภ์ Atopic Eruption of Pregnancy
สาเหตุผื่นตั้งครรภ์
สัมพันธ์กับผู้ที่มีประวัติภูมิแพ้อยู่ก่อน พบในช่วงไตรมาสที่ 2-3 ของการตั้งครรภ์ ผื่นพบได้ 2 แบบคือ ชนิด eczematous เป็นผื่นแดง คัน บริเวณใบหน้า ล าคอ หน้าอก และข้อพับแขนขา อีกชนิดหนึ่งคือชนิด papular eruption ซึ่งเป็นตุ่มแดง คัน กระจายทั่ว เป็นบริเวณด้านนอกของแขนขา
การรักษาผื่นตั้งครรภ์ Atopic Eruption of Pregnancy
การรักษาใช้ยาทากลุ่มสตีรอยด์, ยาแก้แพ้บรรเทาอาการคัน โรคนี้ไม่มีผลกับทั้งมารดาและทารกในครรภ์แต่อย่างใด
ผื่นคนท้องทุกรูปแบบมักจะทำให้คุณแม่ตั้งครรภ์รู้สึกไม่สบายตัว เจ็บบริเวณที่เป็นค่ะ การรักษาหลักๆ จึงต้องเน้นเรื่องความสะอาดและได้รับยาอย่างถูกต้องจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ ดังนั้น "ห้ามซื้อยาทาหรือกินเองโดยเด็ดขาด" เพราะยางบางตัวอาจส่งผลต่อทารกในครรภ์ได้ การพบแพทย์เพื่อรับคำแนะนำและรับยาจากแพทย์โดยตรงเป็นวิธีที่ถูกต้องที่สุดค่ะ

5 How to แม่ท้องขึ้นเครื่องต้องเตรียมตัวอย่างไรให้เดินทางอย่างปลอดภัย
แม่ท้องที่ต้องเดินทางด้วยเครื่องบิน ไม่ว่าจะเดินทางไปเที่ยวพักผ่อน เดินทางไปทำงานหรือทำธุระ การเดินทางด้วยเครื่องบิน สำหรับแม่ท้องจะต้องเตรียมตัวอย่างไรว่า เพื่อให้เดินทางอย่างปลอดภัย เรามีคำแนะนำจาก คุณเอม คุณแม่ลูกสองคนสวยจากเพจ Baby Travel by Altom มาฝากค่ะ
- ปรึกษาคุณหมอก่อนเดินทาง
ถ้าจะเดินทางขึ้นเครื่องบิน หรือเดินทางไกลๆ แนะนำให้ปรึกษาคุณหมอที่ดูแลครรภ์ก่อนเลย ว่าไปได้มั้ย ปลอดภัยที่จะเดินทางหรือเปล่า ถ้าคุณหมอไม่แนะนำก็อย่าเพิ่งเดินทางดีกว่า
- ตรวจสอบกับสายการบิน
สายการบินแต่ละสายการบินมีกฎที่แตกต่างกัน บางสายการบินจะไม่ให้บินถ้าเกินจำนวนสัปดาห์ที่กำหนด ต้องตรวจสอบว่าวันที่เดินทางทั้งขาไปและขากลับเราตั้งครรภ์กี่สัปดาห์ บางทีอาจจะต้องมีใบรับรองแพทย์ด้วย เพื่อยืนยันว่าเราท้องกี่สัปดาห์ในวันที่บิน ระวังนิดนึงนะคะ ไม่ใช่ว่าวันไปอยู่ในช่วงที่เขาให้ขึ้นเครื่อง วันกลับอายุครรภ์เกินแล้ว ถ้าพี่สตาฟที่สนามบินเมืองนอกเขาไม่โอเค อาจจะลำบากได้ อันนี้รบกวนเช็กกับแต่ละสายการบินนะคะ
- ตรวจสอบกฎของประเทศที่เราจะเดินทางไป
เคยมีพี่พนักงานสายการบินจะไม่ให้บินไปสิงคโปร์ค่ะ พี่เขาบอกว่าเคยมีกฏว่าท้องเกินกี่สัปดาห์ห้ามบินเข้าประเทศเขา แต่สุดท้ายเชคข็กไปเช็กมาแล้วไม่เจอกฎข้อนี้ สุดท้ายเลยได้บินไป แต่ก็เป็นข้อควรระวังนะคะ เวลาไปจะเดินทางไปประเทศไหนลองเช็กซักนิด อันนี้ต้องเช็กเป็นรายประเทศนะคะ ลองกูเกิ้ลดูจากเว็บสถานทูตก็ได้ค่ะ
- เคลียร์กับผู้ใหญ่ที่บ้าน
แหะๆ อันนี้ไม่ง่ายนะ ขึ้นอยู่กับแต่ละบ้านด้วย ออกตัวก่อนว่าไม่ได้แนะนำให้ต่อต้านคุณผู้ใหญ่ที่เป็นห่วงนะ อันนี้ขึ้นอยู่กับความเชื่อของแต่ละบ้านจริงๆ เพราะจริงๆ การเดินทางก็มีความเสี่ยง เราไปเดินเยอะๆ ไปนั่งนานๆ ก็ปวดเมื่อยขึ้น เดินเจอคนเยอะ เจอคนเดินชนก็อันตราย นั่งในที่แคบๆ ที่อากาศไม่ถ่ายเทก็ป่วยได้ แต่ แต่ และแต่ เรื่องแบบนี้ บางทีไปเดินห้างแถวบ้านก็เกิดขึ้นได้นะฮะ ทุกอย่างขึ้นกับความระมัดระวังทั้งสิ้น
- พักเยอะๆ อย่าฝืน เลือกการเดินทางที่สะดวก
อย่างตอนที่เราเดินทางตอนท้องเนี่ย มีโอกาสได้ทดลองบินครบทุกคลาสของสายการบินเลย เวลาไปเที่ยวก็พยามจัดโปรแกรมหลวมๆ ไม่เดินเยอะ นั่งพักบ่อยๆ ไม่ได้ขึ้นรถไฟ หรือรถเมล์ที่เบียดๆ ถ้าเลี่ยงได้ก็พยายามนั่ง Taxi หรือ Uber
สุดท้ายที่อยากจะฝากคือ ถ้าตรวจสอบแล้ว มั่นใจว่าเดินทางแล้วไม่ฝืนเกินไป ก็ไปได้นะฮะ อยากไปก็ส่วนนึง แต่สุขภาพก็สำคัญ ถ้าเดินทางช่วงตั้งครรภ์ต้องระมัดระวังกันให้เยอะๆ นะคะ

5 สัญญาณเตือนอาการคลอดก่อนกำหนด
คุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีอายุครรภ์ประมาณ 7 เดือน ต้องระวังอาการคลอดก่อนกำหนดนะคะ และหากมีอาการดังต่อไปนี้ควรรีบไปหาหมอโดยด่วนค่ะ
- มีเลือดออกทางช่องคลอด
พอเลือดออกแล้วจะปวดท้องมาก ท้องจะแข็งตึง มดลูกจะโตขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะมีเลือดขังอยู่ภายใน ต้องรีบไปหาหมอทันที อีกสาเหตุที่มีเลือดออกทางช่องคลอด คือ รกเกาะต่ำ อาการคือรกเกาะอยู่ในจุดที่ไม่เหมาะสมเกาะต่ำลงด้านล่างของโพรงมดลูก ถ้าเลือดออกต้องรีบไปพบแพทย์ทันทีคุณแม่จะไม่มีอาการปวดท้อง แต่มีแค่เลือดออกทางช่องคลอดเท่านั้น
- มีอาการบวม ความดันโลหิตสูง
อาการบวมอาจเกิดเพราะครรภ์เป็นพิษได้ หากคุณแม่มีอาการบวมมากผิดปกติเช่น บวมที่มือ เท้า และใบหน้า หรือมีอาการตาพร่ามัว ควรไปพบแพทย์เลยค่ะ เพราะอาการเหล่านี้อาจทำให้ชักและหมดสติได้
- ลูกในครรภ์ดิ้นน้อยผิดปกติ
ใน 1 ชั่วโมงหรือหลังทานอาหารคุณแม่ต้องรู้สึกว่าลูกดิ้น วันหนึ่งลูกต้องดิ้นเกิน 10 ครั้งต่อวัน แต่เมื่อคุณแม่มีอายุครรภ์มากขึ้นลูกจะดิ้นน้อยลง เนื่องจากตัวลูกใหญ่คับท้องคุณแม่มาก การนับการดิ้นของลูกใน 30 นาที – 1 ชั่วโมงลูกต้องดิ้นประมาณ 3 ครั้ง ถ้าลูกมีอาการดิ้นน้อยกว่านี้ หรือหลายชั่วโมงไม่ดิ้นเลยควรรีบไปหาหมอให้ตรวจเช็กทันที เพราะอาจคลอดก่อนกำหนดได้
- มีน้ำเดิน ก่อนอายุครรภ์ครบกำหนดคลอด
มีน้ำใสออกเหลืองไหลออกมาทางช่องคลอด บางทีมีมูกเลือดปนมานิดหน่อย คุณแม่ต้องรีบไปหาหมอทันทีไม่ต้องรอให้มีอาการปวดท้องคลอด เพราะว่าถ้ารอนานเกินไปลูกอาจเสียชีวิตได้ คุณแม่ต้องรีบไปหาหมอภายใน 24 ชั่วโมงค่ะ
- มีอาการปวดท้อง ท้องแข็งตึง
ปวดที่ท้องน้อยหรือหัวหน่าวมาก รู้สึกแข็งตรงหน้าท้องเหมือนเป็นการบีบรัดที่มดลูก ถ้าเกิดอาการนี้ควรรีบพบแพทย์ทันที เพราะปากมดลูกอาจจะเปิด อาจจะเกิดจากการติดเชื้อหรืออาการคลอดก่อนกำหนด
คุณแม่ หากพบว่าตัวเองมีอาการดังกล่าว ควรรีบไปพบคุณหมอด่วนนะคะ เพื่อสุขภาพของทารกในครรภ์และตัวคุณแม่เองด้วยค่ะ

6 วิธีแก้อาการแม่ท้องเท้าบวม ทำทันทีได้ผลตอนนี้แน่นอน
แม่ท้องเท้าบวม หนึ่งในปัญหากวนตัวกวนใจแม่ท้องแทบทุกคนค่ะ เพราะอาการเท้าบวมทำให้รู้สึกไม่สบายตัว ปวดเท้าเวลาเดิน ยืน หรือ นั่งนานๆ หรือบางคนมีอาการบวมมากจนไม่สามารถเดินได้ (อาจจะรวมถึงใส่รองเท้าคู่เดิมไม่ได้ด้วยนะคะ) หากแม่ท้องมีอาการเท้าบวมเมื่อไหร่ ต้องรีบแก้อาการเพื่อให้รู้สึกสบายเท้า สบายตัวให้ไวที่สุดค่ะ
อาการเท้าบวมของคุณแม่ตั้งครรภ์ส่วนใหญ่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกายช่วงตั้งครรภ์ เนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกายมีอุ้มน้ำไว้มากขึ้น และน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นทุกวันทำให้ขาและเท้าต้องรับน้ำหนักมากขึ้น ส่งผลให้ระบบไหลเวียนโลหิตได้งานได้ไม่เต็มที่ โดยเฉพาะเมื่อเกิดอาการขาบวมร่วมด้วย ซึ่งอาการบวมต่างๆ อาจทำให้เส้นเลือดดำใหญ่ที่โคนขาส่งเลือดไปล่อเลี้ยงที่บริเวณเท้าไม่ดีเหมือนก่อนตั้งครรภ์ จึงเกิดอาการเท้าบวมนั่นเองค่ะ ซึ่งเราสามารถลดอการเท้าบวมได้ด้วย 6 วิธีต่อไปนี้
- หลีกเลี่ยงการยืนหรือนั่งเป็นเวลานานๆ ไม่ควรนั่งไขว่ห้าง หากจำเป็นต้องนั่งนานๆ อย่าลืมลุกไปเดินยืดเส้นยืดสายบ้าง ขณะนั่งก็ควรเหยียดขา ขยับนิ้วและหมุนข้อเท้า อยู่เสมอด้วยนะคะ
- ดื่มน้ำมากๆ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยลดอาหารที่มีรสเค็ม เพราะหากได้ปริมาณโซเดียมมากเกินไป ปริมาณน้ำของเนื้อเยื่อจะเพิ่มขึ้นทำให้เกิดอาการบวมได้ค่ะ
- เลือกรองเท้าที่สวมใส่สบาย และไม่สวมถุงเท้าที่คับแน่นจนเกินไป จะได้ไม่บีบเท้าที่มักขยายและบวมมากขึ้นในช่วงบ่ายและค่ำ
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงและช่วยให้การไหลเวียนโลหิตปกติ
- นอนตะแคง ใช้หมอนหนุนไว้ที่เข่า และขาท่อนล่างให้สูงขึ้น หลีกเลี่ยงการนอนหงายเพราะมดลูกอาจไปกดทับเส้นเลือดใหญ่กลางลำตัวทำให้เท้าบวมได้ค่ะ
- ประคบอุ่น แช่เท้าในน้ำอุ่น 10-15 นาที หรือนวดเบาๆ บริเวณที่ปวดบวม เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่น ผ่อนคลายและช่วยเลือดไหลเวียนได้สะดวกขึ้น
หากอาการเท้าบวมไม่ดีขึ้น หรือมีอาการบวมในบริเวณอื่นตามร่างหายร่วมด้วย ให้คุณแม่รีบไปพบแพทย์นะคะ เพราะอาการบวมที่เกิดขึ้นอาจเกิดจากภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ที่ต้องได้รับการตรวจรักษาอย่างถูกต้องค่ะ

8 ข้อที่แม่ท้องต้องรู้เรื่องครรภ์เป็นพิษและรับมือให้ลูกปลอดภัย
ภาวะ “ครรภ์เป็นพิษ” หนึ่งในโรคแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ เป็นอาการผิดปกติที่สร้างความวิตกกังวลให้แม่ท้องอย่างมาก เพราะมีความเสี่ยงสูงที่เป็นอันตรายต่อแม่ท้องและลูกน้อยในครรภ์ เรามาเข้าใจภาวะครรภ์เป็นพิษกันสักหน่อย เพื่อจะได้รับมือและดูแลครรภ์ได้อย่างถูกต้องค่ะ
1. รู้จัก “ครรภ์เป็นพิษ”
ครรภ์เป็นพิษ หรือ Toxemia เป็นคำเรียกกลุ่มของอาการซึ่งประกอบด้วยภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ (Pregnancy Induced Hypertension) และการตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะของคุณแม่ตั้งครรภ์ค่ะ ครรภ์เป็นพิษเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยประมาณ ร้อยละ 10 ของหญิงตั้งครรภ์ และเป็นสาเหตุการตายของมารดาเป็นอันดับ 2 รองจากการตกเลือดหลังคลอด
2. ครรภ์เป็นพิษเกิดขึ้นได้อย่างไร
ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่เชื่อว่าน่าจะเกิดจากปัจจัยหลายประการ เช่น จากการศึกษาวิจัยพบว่ากลไกในการสร้างสารเคมีที่มีชื่อว่า พรอสตาแกลนดิน มีส่วนทำให้ความดันโลหิตสูงผิดปกติ สารพรอสตาแกลนดินบางตัวทำให้หลอดเลือดขยายตัว บางตัวทำให้หลอดเลือดบีบตัว คุณแม่ที่เกิดครรภ์เป็นพิษจะสร้างพรอสตาแกนดินที่ทำให้เส้นเลือดบีบตัวมากกว่า ทำให้แรงดันในหลอดเลือดที่มีความตีบตัวสูงขึ้นมาก และเส้นเลือดดังกล่าวยังปล่อยน้ำที่อยู่ในหลอดเลือดให้รั่วซึมออกนอกเส้นเลือดได้ง่ายอีกด้วย
นอกจากนั้นยังมีการกล่าวถึงการถ่ายทอดทางพันธุกรรม การสร้างฮอร์โมนจากการตั้งครรภ์ที่มากกว่าปกติ และปฏิกิริยาทางภูมิคุ้มกัน ปัจจุบันแพทย์และนักวิทยาศาสตร์กำลังศึกษาและวิจัยเพื่อหาข้อสรุปเกี่ยวกับสาเหตุของโรคนี้ค่ะ
3. กลุ่มเสี่ยงคุณแม่ครรภ์เป็นพิษ
เนื่องจากยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด จึงไม่สามารถตอบได้ชัดเจนว่าคุณแม่ท่านใดที่เสี่ยง แต่อย่างไรก็ตามมีข้อสังเกตว่า ภาวะนี้มักพบในคุณแม่ที่มีอายุมากกว่า 35 ปี หรือน้อยกว่า 20 ปี มักพบในการตั้งครรภ์ครั้งแรก มีประวัติภาวะนี้ในครอบครัว เช่น มารดา พี่สาว และน้องสาว การตั้งครรภ์แฝด การตั้งครรภ์ไข่ปลาอุก หรือมีโรคเบาหวานร่วมด้วย คุณแม่ที่เข้าข่ายนี้จึงควรรีบฝากครรภ์และพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ
4. อาการผิดปกติครรภ์เป็นพิษ
- คุณแม่จะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเร็วมากกว่าปกติ โดยทั่วไปคุณแม่จะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นสัปดาห์ละ 0.5 กิโลกรัม คุณแม่ที่เป็นโรคนี้อาจมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นสัปดาห์ละ 1-2 กิโลกรัม โดยที่ไม่ได้รับประทานอาหารเพิ่มขึ้น ซึ่งสาเหตุที่น้ำหนักขึ้นเกิดจากการบวมน้ำ
- คุณแม่มีอาการบวม โดยให้สังเกตบริเวณหน้าแข้งจะพบว่าเมื่อกดแล้วจะมีรอยบุ๋ม เปลือกตาบวม แหวนที่ใส่คับแน่นขึ้นมาก
- คุณแม่บางรายจะมีอาการปวดศีรษะเนื่องจากความดันโลหิตที่สูงขึ้น
- หากมีเลือดออกที่ตับ หรือตับเสื่อมสภาพจะทำให้มีอาการจุกแน่นที่ใต้ชายโครงทางด้านขวา หรือบริเวณลิ้นปี่ คุณแม่บางท่านหายใจลำบากเนื่องจากมีน้ำในปอด บางรายมีอาการตาพร่าลายเนื่องจากเลือดที่ไปเลี้ยงจอประสาทตาลดลง
- ลูกดิ้นน้อยลงและท้องไม่ค่อยโตขึ้นตามอายุครรภ์ ซึ่งเกิดจากการที่เลือดไปเลี้ยงมดลูกลดลง
- ถ้ามีอาการผิดปกติข้างต้น ให้คุณแม่รีบพบแพทย์ทันที

5. กระทบอย่างไรต่อคุณแม่ตั้งครรภ์
เมื่อหลอดเลือดตีบ แคบ และรั่วง่าย อวัยวะต่างๆ ได้รับเลือดไปเลี้ยงน้อยลง ไตทำงานลดลงทำให้ประสิทธิภาพในการขับของเสียออกจากร่างการลดลง เกิดการคั่งของของเสีย ปัสสาวะออกน้อยลง หากไม่ได้รับการรักษาไตจะวายได้ ตับจะขาดเลือดไปเลี้ยง อาจพบมีเลือดออกในเยื่อหุ้มตับ มีน้ำคั่งในถุงลมปอด ทำให้หายในลำบาก มีน้ำคั่งใต้ผิวหนังทำให้เกิดอาการบวมที่ปลายมือ ปลายเท้า หน้า และเปลือกตา ในรายที่เป็นมากอาจเกิดอาการชัก มีเลือดออกในสมอง และอาจเสียชีวิตได้ค่ะ
6. ผลกระทบกับลูกในครรภ์
เนื่องจากเลือดที่ไปเลี้ยงบริเวณมดลูกลดลง ทำให้เกิดภาวะทารกเติบโตช้าในครรภ์ได้ ในรายที่เป็นรุนแรงทารกอาจเสียชีวิตในครรภ์ได้
7. ครรภ์เป็นพิษรักษาได้อย่างไร
การรักษาโรคนี้ดีที่สุดคือ ทำให้การตั้งครรภ์สิ้นสุดลงหรือการยุติการตั้งครรภ์ เพราะอาการต่างๆ เกิดจากการตั้งครรภ์ทั้งสิ้น ถ้าคุณแม่ตั้งครรภ์ครบกำหนด หรือใกล้ครบกำหนดแล้ว คุณหมอจะตัดสินใจให้คุณแม่คลอดให้เร็วที่สุด ซึ่งหากคุณแม่มีอาการเจ็บครรภ์คลอดแล้วจะพิจารณาให้คลอดทางช่องคลอดก่อน แต่ถ้าหากลูกตัวใหญ่มาก หรือคุณแม่ไม่มีอาการเจ็บท้องเลย คุณหมอจะพิจารณาผ่าตัดคลอด
แต่หากโรคนี้เกิดในขณะที่อายุครรภ์ยังน้อยหรือยังไม่ครบกำหนด การรักษาโดยการให้คลอดเลยอาจมีปัญหากับลูกได้เนื่องจากลูกยังตัวเล็กมากมีน้ำหนักน้อย การทำงานของปอดยังไม่ดีพอ ซึ่งเสี่ยงมากที่ลูกอาจเสียชีวิตได้ การรักษาสำหรับคุณแม่กลุ่มนี้จึงต้องการการดูแลจากคุณหมออย่างใกล้ชิด ซึ่งคุณหมอจะพยายามประคับประคองให้การตั้งครรภ์ดำเนินต่อไปอีกระยะหนึ่ง โดยการให้ยาป้องกันการชัก ให้ยาลดความดันโลหิต ให้ยากระตุ้นการทำงานของปอดลูก โดยหวังให้การทำงานของปอดลูกสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ยกเว้นว่าไม่สามารถประคับประคองให้ตั้งท้องต่อไปได้ เช่น มีความรุนแรงของโรคมากขึ้นจนควบคุมไม่ได้ และจะส่งผลร้ายทั้งคุณแม่และลูก คุณหมอจะพิจารณาผ่าตัดคลอดทันที
8. คุณแม่ครรภ์เป็นพิษควรดูแลตัวเองอย่างไร
- คุณแม่ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงอยู่แล้ว ต้องได้รับการรักษาเพื่อควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติก่อนตั้งครรภ์ และอย่าลืมรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ
- หากมีน้ำหนักตัวมากควรพยายามลดความอ้วนด้วยการออกกำลังกาย และควบคุมอาหารตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์
- เมื่อรู้ว่าตั้งครรภ์แล้วควรรีบฝากครรภ์โดยเร็วที่สุด ควรแจ้งประวัติส่วนตัวอย่างละเอียดให้แพทย์ทราบเพื่อการวางแผนการดูแลที่ถูกต้อง
- ลดอาหารเค็ม การใช้ยาขับปัสสาวะ การรับประทานแมกนีเซียม สังกะสี น้ำมันตับปลา และแคลเซียมเสริม ปัจจุบันยังไม่พบประโยชน์ที่ชัดเจนในการป้องกันภาวะนี้ค่ะ
- ท้ายสุดนี้ขอให้คุณแม่ตั้งครรภ์อย่างปลอดภัย มีจิตใจให้เข้มแข็ง พร้อมรับมือกับทุกอย่างค่ะ
เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์พบอาการครรภ์เป็นพิษที่กล่าวมา ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาดูแลแย่างเร่งด่วนเลยนะคะ เพราะหากไม่ทันการอาจมีความเสี่ยงสูงมากที่จะตกเลือด แท้ง หรือ เสียชีวิตทั้งคู่ ซึ่งเราไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นค่ะ เป็นกำลังใจให้คุณแม่ทุกคนตั้งครรภ์สุขภาพและคลอดอย่างปลอดภัยค่ะ
8 วิธีลดและป้องกันผิวแม่ท้องแตกลาย
ในช่วงตั้งครรภ์ผิวหนังของคุณแม่จะขยายอย่างรวดเร็ว บวกกับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น และฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง จึงเป็นที่มาของรอยแตกลายตั้งแต่หน้าท้อง สะโพก ต้นขา และหน้าอก ทำให้คุณแม่หลายคนหนักใจไม่น้อย เรามีคำแนะนำในการป้องกันผิวแม่ท้องแตกลายมาแนะนำค่ะ
แม่ท้องกลุ่มใดบ้างที่เสี่ยงผิวแตกลายได้ง่าย
แม่ตั้งครรภ์ที่เป็นคนผิวแห้งอยู่ก่อนแล้ว และเป็นคนที่ชอบอาบน้ำอุ่น ไม่ค่อยทาครีมบำรุงผิว จะมีความเสี่ยงมากขึ้นที่ผิวท้องจะแตกลาย รวมถึงแม่ท้องที่ขนาดท้องใหญ่ หรือ ท้องขยายตัวอย่างรวดเร็วเพราะน้ำหนักตัวและขนาดตัวลูกเมื่ออายุครรภ์เพิ่มมากขึ้น แต่เราก็สามารถดูแลปกป้องผิวได้ด้วย 8 วิธีดูแลผิวแม่ท้องไม่ให้แตกลาย ดังต่อไปนี้ค่ะ
- ทาโลชั่นบำรุงผิว
คุณแม่ควรเลือกผลิตภัณฑ์ป้องกันและลดเลือนริ้วรอยแตกลาย สูตรพิเศษของคุณแม่ท้องโดยเฉพาะ เราแนะนำ Palmer's Cocoa Butter Massage Lotion เพราะช่วยให้ความชุ่มชื่น ลดการเกิดแผลใต้ชั้นผิว มีคอลลาเจนให้ความยืดหยุ่น ซึมสู่ผิวได้เร็วมาก คุณแม่ท้องใช้ทาหลังอาบน้ำ เช้า - เย็น หรือทาเมื่อรู้สึกคันบ่อยครั้งตามต้องการ ที่สำคัญอย่าลืมทาไปให้ถึงหน้าอก สะโพก ก้น และต้นขาด้วยนะคะ เพราะเป็นส่วนที่ผิวมักจะแตกลายเช่นกัน ผลิตภัณฑ์ของ Palmer’s ยังมีออยล์และครีม สำหรับดูแลผิวแบบครบทุกขั้นตอนด้วยนะคะ
- นวด
การนวดพร้อมน้ำมันจะช่วยให้ผิวหนังของคุณแม่ เกิดความยืดหยุ่น ซึ่งควรทำอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ และสามารถทำได้จนกระทั่งท้องแก่เลยค่ะ
- ใช้หมอนรองท้อง
คุณแม่ควรใช้หมอนรองท้องเมื่อนอนตะแคง เพราะการนอนโดยปล่อยให้ท้องย้วยลงกับพื้น เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการเกิดท้องลายค่ะ
- ควบคุมน้ำหนัก
หากปล่อยให้น้ำหนักตัวพุ่งพรวดๆ ผิวของคุณแม่จะยิ่งขยายอย่างรวดเร็ว นอกจากไม่ดีต่อสุขภาพแล้ว ริ้วรอยแตกลายก็จะตามมาอย่างง่ายดายเลยค่ะ
- เลี่ยงการอาบน้ำอุ่นที่ร้อนจัด
น้ำอุ่นร้อนจัดจะทำให้ผิวแห้งและแตกได้ง่าย แต่หากคุณแม่อยากอาบน้ำอุ่นจริงๆ เพราะทำให้รู้สึกสบาย ก็ควรทาโลชั่นป้องกันและลดเลือนริ้วรอยแตกลายทุกครั้งหลังอาบน้ำค่ะ
- ไม่เกาผิวเมื่อคัน
เมื่อผิวหนังของคุณแม่ขยายออกมากๆ เข้า ก็เริ่มจะคันยุบยิบ ชวนให้เกาแก้คัน แต่คุณแม่อย่าเกาเด็ดขาดนะคะ เพราะการเกาจะทำให้ท้องลายได้ง่ายค่ะ
- ดื่มน้ำเปล่าสะอาด
การน้ำดื่มมีความสำคัญต่อคุณแม่มาก เพราะช่วยให้สุขภาพครรภ์ดีได้ และแม่ท้องควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 12 แก้ว เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น และสร้างความยืดหยุ่นให้กับผิวค่ะ
- ออกกำลังกายเบาๆ
คุณแม่ต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพราะนอกจากจะช่วยทำให้รูปร่างของของคุณแม่ดูดีและผิวมีความยืดหยุ่นแล้ว ยังช่วยทำให้ระดับฮอร์โมนในร่างกายเกิดความสมดุลและช่วยลดการเกิดปัญหาผิวแตกลายได้ด้วยค่ะ
ในบางกรณีถึงเราจะดูแลดีก็อาจจะยังสามารถเกิดผิวแตกลายได้เล็กน้อยนะคะ ซึ่งเรายังสามารถใช้ครีมทาผิวป้องกันการแตกลายต่อเนื่องไปจนถึงหลังคลอดได้ตลอด บวกกับการออกำลังกาย ทานอาหารที่มีวิตามิน และดื่มน้ำเยอะๆ จะช่วยทำให้ผิวกระชับขึ้นได้ค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก Palmer's Cocoa Butter Massage Lotion

(พื้นที่เพื่อการโฆษณาและประชาสัมพันธ์)

8 อาการเสี่ยงของคนท้องที่อาจทำให้ทารกเกิดมาผิดปกติ
สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ การดูแลเจ้าตัวน้อยให้ออกมาลืมตาดูโลกอย่างปลอดภัยคือสิ่งสำคัญที่สุด จากข้อมูลของสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินีระบุว่า ประเทศไทยมีทารกเกิดใหม่ถึงปีละ 7 แสนคน โดยมีทารกที่เกิดก่อนกำหนดประมาณ 1 แสนคน และอัตราการเสียชีวิตของเด็กแรกคลอดอยู่ที่ 6.7 คนใน 1 พันคน เป็นอันดับ 3 ของอาเซียน ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรรู้ความเสี่ยงสาเหตุของลูกน้อยเกิดมาไม่แข็งแรง รู้วิธีรักษา และการรับมือที่ถูกต้องนะคะ
ความเสี่ยงตอนตั้งครรภ์ ที่อาจทำให้ทารกเกิดมาผิดปกติ
- ตั้งครรภ์อายุมากกว่า 35 ปี หรือ อายุน้อยกว่า 16 ปี
- มีเลือดออกผิดปกติขณะตั้งครรภ์
- รกลอกตัวก่อนกำหนดคลอด หรือรกเกาะต่ำ
- ความดันโลหิตสูง เกิน 160 มม.ปรอทขึ้นไป
- โรคเบาหวาน โรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE)
- มีการติดเชื้อ เช่น เชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ต่างๆ
- ครรภ์แฝด ครรภ์เป็นพิษ
- น้ำคร่ำมากหรือน้อยเกินไป ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด
ทารกเกิดมาแล้ว แบบไหนที่เรียกว่าผิดปกติ ต้องได้รับการดูแลรักษา
- ทารกคลอดก่อนกำหนด อายุครรภ์น้อยกว่า 37 สัปดาห์ (หรือหลังอายุครรภ์ 42 สัปดาห์)
-
ทารกน้ำหนักตัวน้อยกว่า 2,500 กรัม หรือมากกว่า 4,000 กรัม
-
มีน้ำหนักผิดปกติเมื่อเทียบกับอายุครรภ์
-
ทารกแฝด
-
ทารกตรวจพบความผิดปกติ เช่น ขาดออกซิเจน
-
ทารกมีท่าผิดปกติในครรภ์ เช่น ท่าก้น ท่าขวาง
-
ทารกเกิดความผิดปกติระหว่างคลอด
-
ทารกพิการแต่กำเนิด
ทารกแรกเกิดวิกฤติ ต้องได้รับการดูเลอย่างถูกต้องดังนี้
- การช่วยกู้ชีพและให้ออกซิเจนทารก เป็นการดูแลหลังจากทารกคลอดออกมา ซึ่งเด็กที่คลอดส่วนใหญ่จะหายใจเองได้ แต่มีเพียง 1% เท่านั้นที่ไม่สามารถหายใจได้เอง ซึ่งต้องการการกู้ชีพจึงต้องใช้อุปกรณ์ช่วยหายใจเพื่อให้ทารกหายใจเองได้
- การปรับอุณหภูมิร่างกายทารก โดยใช้ตู้อบช่วยให้ทารกมีอุณหภูมิเหมาะสมตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ควรอยู่ในช่วง 36.8-37.2 องศาเซลเซียส เพราะหากทารกแรกคลอดตัวเย็น อาจทำให้ความดันในปอดสูง เกิดปัญหาหายใจเร็วได้
- การควบคุมการติดเชื้อ เกิดขึ้นได้ตั้งแต่ทารกอยู่ในครรภ์ เช่น แม่มีน้ำเดินก่อนคลอดนานกว่า 18 ชั่วโมง แม่มีเชื้อราในช่องคลอด แม่ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น
- การให้สารน้ำ สารอาหาร และโภชนาการที่เหมาะสม จะเน้นการให้นมแม่มากที่สุด แต่หากทารกมีภาวะเจ็บป่วย เช่น น้ำตาลต่ำ อาจต้องตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเป็นระยะ หรือในกรณีที่ทารกคลอดก่อนกำหนด หายใจเร็ว ไม่สามารถทานเองได้ก็จำเป็นที่จะต้องให้สารอาหารผ่านทางสายยางให้อาหารและสารน้ำทางเส้นเลือด เป็นต้น
ปัญหาทารกแรกเกิดวิกฤตินั้นสามารถป้องกันได้ หากคุณแม่ฝากครรภ์อย่างมีคุณภาพตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ เพื่อจะได้ตรวจสุขภาพคุณแม่คุณลูกและดูแลอย่างถูกต้องตามคำแนะนำของสูติ-นรีแพทย์และกุมารแพทย์ หากพบปัญหาจะได้วางแผนการคลอดและการดูแลรักษาได้โดยเร็ว
ข้อมูล : พญ.อรวรรณ อิทธิโสภณกุล กุมารแพทย์สาขาทารกแรกเกิดและปริกำเนิด หน่วยดูแลทารกแรกเกิดวิกฤติ โรงพยาบาลกรุงเทพ
สอบถามเพิ่มเติม : หน่วยดูแลทารกแรกเกิดวิกฤติ โรงพยาบาลกรุงเทพ โทร. 1719

HOW TO การนับลูกดิ้น สัญญาณสำคัญที่แม่ตั้งครรภ์ต้องรู้
ความสำคัญของการนับลูกดิ้น สัญญาณที่บ่งบอกให้คุณแม่ทราบว่าลูกในครรภ์ยังมีชีวิต คือ การดิ้นของลูก ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ว่าลูกยังมีสุขภาพความเป็นอยู่ที่ดีในระหว่างตั้งครรภ์ ดังนั้นการนับทารกดิ้นจะช่วยในการตรวจค้นคว้า หรือแก้ไขภาวะที่อาจทำให้ทารกเสียชีวิต การที่คุณแม่รู้สึกว่าทารกในครรภ์ดิ้นน้อยลงนับเป็นสัญญาณอันตราย ต้องรีบมาพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยต่อไปว่าทารกในครรภ์มีสุขภาพที่ไม่ดีจริงหรือไม่
องค์ประกอบที่มีผลต่อการดิ้นของลูก
- ปริมาณน้ำคร่ำ
- อาหารที่คุณแม่ได้รับ
- ระดับน้ำตาลในเลือดของแม่
- สิ่งภายนอกที่มากระตุ้น แสง เสียง
อาการแบบไหนที่เรียกว่าลูกดิ้น
- ถีบ, เตะ
- กระทุ้ง
- หมุนตัว
- โก่งตัว
จำนวนครั้งในการดิ้นของลูก
- 20 สัปดาห์ ลูกจะดิ้นประมาณ 200 ครั้ง
- 30-32 สัปดาห์ ซึ่งจะดิ้นมากถึง 375-700 ครั้ง
- 33 สัปดาห์ขึ้นไป ลูกจะเริ่มดิ้นน้อยลง เพราะลูกตัวโตขึ้น ทำให้มีพื้นที่ดิ้นน้อยลง

3 วิธีนับลูกดิ้น (เริ่มนับลูกดิ้นเมื่อคุณแม่มีอายุครรภ์ประมาณ 28 สัปดาห์)
- การนับลูกดิ้นแบบ “Count to Ten” ตั้งแต่เช้า-เย็น หรือประมาณ 10-12 ชั่วโมง วิธีนับคือ ลูกดิ้นมากกว่า 10 ครั้งถือว่าปกติ
หมายเหตุ : ถ้าดิ้นน้อยกว่า 10 ครั้งต่อ 2 ชั่วโมงติดกัน ถือว่าผิดปกติ ควรไปพบแพทย์
- เทคนิคการนับลูกดิ้นแบบ “Sadovsky Technique” หลังกินอาหารเสร็จ เป็นช่วงที่น้ำตาลในเลือดสูง วิธีนับคือ ลูกดิ้นไม่ต่ำกว่า 3 ครั้งใน 1 ชั่วโมง ซึ่งการขยับตัวติดต่อกันจะถือว่าเป็นการดิ้น 1 ครั้ง เช่น “ตุ๊บ ตุ๊บ พัก” โดยเมื่อนับจำนวนการดิ้นหลังอาหาร 3 มื้อรวมกันแล้วมากกว่า 10 ครั้ง ถือว่าปกติ
หมายเหตุ : หากลูกดิ้นน้อยกว่า 3 ครั้งใน 1 ชั่วโมงให้นับต่ออีกทันที 1 ชั่วโมง และหากยังน้อยกว่า 3 ครั้งอีก ควรไปพบแพทย์
- การนับลูกดิ้นใน 1 ชั่วโมง เลือกเวลาไหนก็ได้ที่สะดวก (แต่ต้องเป็นเวลาเดิมทุกวัน) ใน 1 ชั่วโมงต้องนับได้ 3 ครั้งหรือมากกว่า
การดิ้นของทารกในครรภ์เป็นสิ่งสำคัญที่บ่งบอกว่าลูกน้อยมีชีวิตปกติดี ในทางตรงกันข้าม ถ้าลูกไม่ดิ้นหรือดิ้นน้อยลง อาจเป็นสัญญาณว่าลูกน้อยในครรภ์อาจกำลังตกอยู่ในอันตราย โดยเฉพาะเมื่อใกล้ครบกำหนดคลอดถ้าลูกดิ้นน้อย หรือดิ้นห่างลงไปเรื่อยๆ หรือหยุดดิ้น ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับลูก อาจร้ายแรงมากจนลูกเสียชีวิตได้
ที่มา:
1.หนังสือ 40 สัปดาห์ พัฒนาครรภ์คุณภาพ “การเคลื่อนไหวของลูก” (รศ.พญ.สายฝน – นพ.วิชัย ชวาลไพบูลย์) หน้า 132-133.
2.หนังสือคู่มือตั้งครรภ์และเตรียมคลอด “ลูกดิ้นมาก ดิ้นน้อย จะทำอย่างไร” (ศ. (คลินิก) นพ.สุวชัย อินทรประเสริฐ) หน้า 151-153.

Mozart Effect ดีต่อสมองและพัฒนาการทารกในท้องจริงไหม?
กระแสที่พูดถึงกันมานานว่า Mozart Effect หรือ การฟังเพลงโมซาร์ทส่งผลต่อพัฒนาการทารกในครรภ์ ให้มีพัฒนาการ พัฒนาการทางสมองเติบโตอย่างรวดเร็ว แท้ที่จริงแล้ว Mozart Effect มีผลอย่างไร เรามีผลวิจัยมาไขข้อข้องใจนี้ให้คุณแม่ตั้งครรภ์ทุกคนค่ะ
ความเชื่อที่ว่า ฟัง Mozart แล้วฉลาด เดิมเกิดจากการทดลองที่ให้นักศึกษามหาวิทยาลัยกลุ่มหนึ่ง ฟัง Mozart ก่อนสอบเป็นเวลา 10 นาที แล้วเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้ฟังเพลง ผลปรากฏว่า
- กลุ่มที่ฟัง Mozart ทำคะแนนได้ดีกว่า! (1)
- หลังจากนั้นก็มีไอเดียจาก รัฐจอร์เจียแจก CD Mozart ให้คุณแม่ตั้งครรภ์เอาไปฟังเลยทีเดียว (คงอยากให้ American น้อยเป็นอัจฉริยะกันถ้วนหน้า)
- ต่อมาเริ่มมีคนสงสัย เลยทำวิจัยซ้ำ เพราะตามหลักวิทยาศาสตร์ ถ้ามันจริง ผลมันต้องเหมือนเดิมสินะ เลยจัดการทดลองที่ละเอียดขึ้น (2)
- ผลการทดลองคือ นักศึกษากลุ่มที่นั่งเฉยๆ 10 นาที ทำคะแนนได้ดีที่สุด ดีกว่ากลุ่มที่ฟังเพลง
- และมีหลากหลายการทดลองที่ทำซ้ำแล้วซ้ำอีก และผลก็ออกมาว่า การฟังเพลงของ Mozart ไม่ได้ช่วยให้คะแนนดีขึ้น
** ถึงแม้จะมีการทดลองใหม่ๆ ชี้ให้เห็นแล้วว่า Mozart effect อาจจะแค่เรื่องบังเอิญนะคะ แต่ก็ไม่ได้ช่วยลบล้างความเชื่อเดิมสักเท่าไร่ คนบางกลุ่มยังคงปักใจเชื่ออยู่อย่างเหนียวแน่นค่ะ
สรุป Mozart Effect เชื่อมโยงกับพัฒนาการทารกในครรภ์ได้ว่า
- ตามผลทดลองเลยค่ะ ฟังเพลง Mozart ไม่ได้เกี่ยวกับการพัฒนาอัจฉริยภาพใดๆ
- เด็กที่เก่ง อารมณ์ดี มีความมั่นใจ สร้างได้จากในครรภ์ เป็นเรื่องจริงค่ะ ลองสังเกตนะว่า เด็กบางคนนิดหน่อยก็ยิ้ม เข้ากับคนง่าย กล้าเล่นกล้าสำรวจ ในขณะที่เด็กบางคนจะหน้ายุ่งตลอด เล่นด้วยยาก ที่กล่าวมาทั้งหมดจะบอกคุณแม่ๆ ว่า ลูกจะเป็นอย่างไร มันขึ้นอยู่กับสภาวะจิตใจของมารดาขณะตั้งครรภ์ ดังนั้นฟังอะไรที่เพลินๆ อย่างตลก เพลงอะไรที่แม่ฟังแล้วมีความสุขดีกว่าค่ะ
- เคยมีคนไข้เคสเด็กชายไทย อายุ 3 ปี พ่อแม่เปิดเพลง Mozart ให้ฟังตั้งแต่ในครรภ์ พอคลอดปุ๊ปก็เปิดคลอในบ้านตลอดเวลา ปรากฎว่าลูกเวลาอยากได้อะไร ก็จะร้องฮัมเพลง ไม่ยอมพูด ต้องมาสอนกระตุ้นการพูดใหม่
- กระตุ้นสมองให้ลูกมีหลายวิธีค่ะ แต่วิธีนี้อย่าไปจริงจังกับมันดีกว่านะคะ
References:
(1) Rauscher, Frances H.; Shaw, Gordon L.; Ky, Catherine N. (1993). "Music and spatial task performance". Nature 365 (6447): 611. doi:10.1038/365611a0. PMID 8413624
(2) Steele, Kenneth M.; Bella, Simone Dalla; Peretz, Isabelle; Dunlop, Tracey; Dawe, Lloyd A.; Humphrey, G. Keith; Shannon, Roberta A.; Kirby, Johnny L. et al. (1999). "Prelude or requiem for the 'Mozart effect'?". Nature 400 (6747): 827. doi:10.1038/23611. PMID 10476959
บทความโดย : คุณพรินทร์ อัศเรศรังสรร เวชศาสตร์การสื่อความหมาย คลินิกเฉพาะทางกระตุ้นพัฒนาการ-ฝึกพูด คลินิกกระตุ้นพัฒนาการฝึกพูด

Q&A มีลูกหัวปี ท้ายปี ลูกคนที่สองจะไม่แข็งแรง พัฒนาการไม่ดีจริงไหม
Q: เพิ่งคลอดลูกชายไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ค่ะ พอพฤศจิกายนมีอาการแปลกๆ เลยไปตรวจ ปรากฏว่าตั้งท้อง ตอนนี้เครียดมาก เพราะลูกก็ยังเล็กและติดแม่มาก แล้วเขาบอกว่ามีลูกติดกันแบบหัวปีท้ายปีแบบนี้ ร่างกายแม่ยังไม่ฟื้นเต็มที่ จะทำให้ลูกคนที่สองไม่แข็งแรง พัฒนาการไม่ดีจริงหรือเปล่าคะ
A:ความจริงแล้วคุณแม่ควรตั้งครรภ์ห่างกันอย่างน้อย 2 ปี เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวจากการตั้งครรภ์แรก รูปร่างและน้ำหนักตัวเริ่มเข้าที่ หรือลูกคนแรกก็อาจจะเริ่มเข้าโรงเรียน ทำให้คุณแม่ไม่รู้สึกว่าทรุดโทรมหรือเหนื่อยมากจนเกินไป เพราะลูกคนแรกช่วยเหลือตนเองได้แล้ว อีกทั้งเสื้อผ้าเครื่องใช้ก็ใช้ต่อด้วยกันได้ ไม่ต้องซื้อหาใหม่ ประหยัดเงินได้อีกด้วย ลูกไม่รู้สึเหงาเพราะวัยไล่เลี่ยเป็นเพื่อนเล่นกันได้
แต่ในกรณีนี้ที่ท้องแล้วก็ไม่เป็นไรครับ ดูแลเขาให้ดีที่สุดดีกว่า การเครียดต่างหากที่อาจจะทำให้ลูกไม่แข็งแรงได้ คุณแม่ควรฝากท้องทันทีเมื่อรู้ว่าท้อง ดูแลตัวเองในด้านโภชนาการให้ดี รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่เพื่อให้ร่างกายมีการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ควรเน้นอาหารที่มีโปรตีนและแคลเซียมสูง ลดอาหารจำพวกแป้งและไขมัน ทานยาบำรุงเลือดตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด หลีกเลี่ยงอาหารหมักดอง บุหรี่ และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด
ท้องสองคุณอาจจะรู้สึกว่าน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเร็วกว่าปกติโดยเฉพาะคุณแม่ที่เพิ่งคลอดบุตรคนแรกไม่กี่เดือน ทั้งนี้เป็นเพราะร่างกายยังไม่กลับเข้าสู่สภาวะเดิม ดังนั้นจึงควรควบคุมอาหารให้ดี อย่าให้น้ำหนักตัวเพิ่มมากเกินไป พยายามให้น้ำหนักตัวเพิ่มทีละน้อยตามเกณฑ์ แต่ในบางรายคุณแม่อาจจะรู้สึกเหนื่อยมากจากการเลี้ยงดูลูกคนแรกทำให้เบื่ออาหาร ทานไม่ลง ซึ่งจะทำให้เกิดผลเสียต่อทารกในครรภ์ได้ คุณแม่ที่มีภาวะโภชนาการที่ดีจะมีน้ำหนักตัวขึ้นตามเกณฑ์ปกติ ถ้าน้ำหนักตัวไม่ขึ้นตามที่ควรจะเป็นก็ควรเพิ่มปริมาณสารอาหารตามความเหมาะสม
เมื่อรู้ว่าท้องคุณแม่อาจจะเกิดความลังเล ความกังวลใจ ความไม่พร้อม ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดความเครียดขึ้นมาจนทำให้คุณแม่รู้สึกไม่สดชื่นไม่สบายใจในการท้องครั้งใหม่ คุณแม่ต้องพยายามปรับตัวเตรียมใจให้พร้อมที่จะต้อนรับสมาชิกใหม่ มั่นใจต่อการท้องครั้งนี้ให้มาก อาจมองในแง่ดีว่าเป็นความโชคดีที่เคยมีประสบการณ์จากท้องแรกมาแล้ว และหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะส่งผลเสียต่อตัวคุณแม่และลูกน้อย
คุณแม่ควรมีเวลาพักผ่อนให้มากกว่าตอนที่ท้องแรกเพราะจะเหนื่อยจากการเลี้ยงลูกคนแรก คุณพ่อควรช่วยเลี้ยงลูกในเวลากลางคืน ให้คุณแม่มีเวลาพักผ่อนมากขึ้น การออกกำลังกายจะช่วยให้คุณแม่คลายความเครียด รู้สึกสดชื่น กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ทำให้สุขภาพจิตดีขึ้น อาจเป็นการเล่นโยคะ กายบริหารเล็กน้อย แต่ถ้าคุณแม่ไม่มีเวลาออกกำลังกายก็สามารถเลือกใช้เวลาระหว่างการดูแลลูกคนแรกมาออกกำลังกายร่วมด้วย เช่น การพาลูกคนแรกนั่งรถเข็นเดินเล่น
นอกจากสภาพร่างกายที่คุณแม่จะต้องดูแลเป็นพิเศษแล้ว สภาพจิตใจก็เป็นส่วนสำคัญที่ต้องคำนึงถึง เพราะด้วยสภาพร่างกายของคุณแม่ท้องที่เริ่มมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย อยากพักผ่อน แต่ขณะเดียวกันหากลูกคนแรกยังเล็กก็ต้องการการดูแลเอาใจใส่จากคุณแม่ ซึ่งกรณีนี้จะทำให้คุณแม่รู้สึกอ่อนเพลีย หงุดหงิดง่าย เป็นสาเหตุให้อารมณ์แปรปรวน ทั้งยังไม่มั่นใจกับสภาพร่างกายตัวเอง กังวลว่าสามีจะเบื่อหน่าย ซึ่งภาวะเช่นนี้อาจจะทำให้คุณแม่เกิดภาวะซึมเศร้าได้ ซึ่งไม่ดีแน่สำหรับคุณแม่ที่ท้องและต้องเลี้ยงลูกเล็กครับ
รศ.ดร.นพ.ดิฐกานต์ บริบูรณ์หิรัญสาร
ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล

Q&A แม่ท้องขับรถเองจะอันตรายกับลูกในท้องไหม
Q: ดิฉันตั้งครรภ์ได้ 3 เดือนกว่า ยังขับรถไปทำงานเองปกติค่ะ บางครั้งขับรถก็มีแรงกระแทกบ้าง กลัวว่าจะเป็นอันตรายกับลูกหรือแท้งได้ จึงอยากทราบว่าแรงกระแทกระดับไหนถึงจะเป็นอันตรายกับลูก กังวลมากค่ะ เพราะต้องขับรถไปทำงานเองทุกวันจะได้ระวังตัวเองมากขึ้นค่ะ
A: ปัจจุบันคุณแม่ตั้งครรภ์ส่วนใหญ่ยังมีความจำเป็นต้องทำงานนอกบ้าน ซึ่งจะต้องมีการเดินทาง อาจจะเป็นการนั่งรถโดยสารประจำทาง แท็กซี่สาธารณะ รถส่วนตัว หรือมอเตอร์ไซค์รับจ้าง เป็นต้น การเดินทางด้วยยานพาหนะต่างๆ ดังกล่าวนั้น พบว่ารถส่วนตัวมีความปลอดภัยและทำให้เกิดอันตรายต่อคุณแม่น้อยมาก เพราะคุณแม่สามารถปรับความเร็วและเส้นทางให้เหมาะสมในขณะเดินทางได้ แต่ถ้าคุณแม่ที่ต้องนั่งรถโดยสารประจำทาง แท็กซี่สาธารณะ หรือมอเตอร์ไซค์ อาจจะมีความเสี่ยงมากกว่า เพราะไม่สามารถควบคุมสิ่งแวดล้อมต่างๆ ได้เลย
อย่างไรก็ตาม ยังไม่พบอันตรายที่ชัดเจนที่เกิดกับทารกในครรภ์เมื่อคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ต้องมีการเดินทางโดยยานพาหนะต่างๆ เพราะทารกที่อยู่ในครรภ์ จะมีน้ำคร่ำอยู่ล้อมรอบตัว ซึ่งจะเป็นเสมือนเกราะกำบังให้ทารกมีความปลอดภัยในระดับหนึ่ง
นอกจากนี้ ทารกในครรภ์ยังมีเกราะกำบังในชั้นถัดๆ มา ได้แก่ กล้ามเนื้อมดลูก กล้ามเนื้อผนังหน้าท้อง ลำไส้ กระดูกสันหลัง และกระดูกเชิงกรานของคุณแม่ด้วย แม้ว่าทารกในครรภ์จะได้รับแรงกระแทกในขณะเดินทาง ทารกก็จะมีน้ำคร่ำเป็นส่วนที่รับแรงกระแทก ซึ่งจะไม่มีผลโดยตรงต่อทารก เว้นเสียแต่ว่ามีอุบัติเหตุที่รุนแรงอาจจะเกิดอันตรายต่อทารกโดยตรงได้ เช่น การลอกตัวของรกก่อนกำหนด เป็นต้น
ดังนั้น คุณแม่ะต้องมีความระมัดระวัง ไม่ขับรถด้วยความเร็วสูง เลือกขับรถบนถนนหรือเส้นทางที่ไม่ขุรขระ ไม่มีหลุมบ่อมาก ตรวจเช็กสภาพรถให้อยู่ในสภาพที่ดี คาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้ง แรงกระแทกที่บริเวณผนังหน้าท้อง ที่เกิดจากการเดินทางเพียงเล็กน้อย ไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อทารกแต่อย่างใด คุณลภัสรดาจึงไม่ควรกังวลมากเกินไป และสามารถขับรถไปทำงานได้เองตลอดการตั้งครรภ์ค่ะ
รศ.พญ.สายฝน ชวาลไพบูลย์

Q&A แม่ท้องดัดฟัน ใส่รีเทนเนอร์จะส่งผลอะไรกับการตั้งครรภ์ไหม
Q: ดิฉันตั้งครรภ์ได้ 3 เดือนแล้วค่ะ ก่อนหน้านี้ดัดฟันแล้วเพิ่งเอาเหล็กออก ตอนนี้ใส่รีเทนเนอร์มาตลอด ไม่ทราบว่าถ้าอายุครรภ์มากขึ้นจะมีปัญหาอะไรหรือไม่คะ จะมีปัญหาฟันผุหรือไม่คะ ตอนนี้ก็ดูแลสุขภาพตนเองตามปกติค่ะ
A: รีเทนเนอร์เพื่อป้องกันไม่ให้ฟันเคลื่อนที่เข้าสู่ตำแหน่งเดิมหลังจัดฟัน เท่าที่ทราบทันตแพทย์มักจะแนะนำให้ใส่ตลอดเวลา ยกเว้นตอนกินอาหาร และตอนแปรงฟัน เท่าที่หมอทราบรีเทนเนอร์มีหลายชนิด เช่น ทำจากโลหะ พลาสติก หรือลวด บางชนิดจะต้องใส่ตลอดเวลาถอดออกไม่ได้ แต่บางชนิดก็สามารถถอดออกได้
ในช่วงตั้งครรภ์แนะนำว่าควรจะเปลี่ยนรีเทนเนอร์เป็นชนิดที่สามารถถอดออกทำความสะอาดได้ง่าย และอาจต้องเอาออกถ้าอายุครรภ์มากขึ้นหรือเจ็บครรภ์คลอด เพราะถ้ามีข้อบ่งชี้หรือต้องคลอดโดยการผ่าตัด แพทย์อาจจะต้องดมยาสลบโดยวิธีการใส่ท่อช่วยหายใจ ซึ่งถ้ามีรีเทนเนอร์ในช่องปาก อาจเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายหรือการหลุดของรีเทนเนอร์เข้าไปในหลอดลมได้
นอกจากนี้ ระหว่างที่ใส่รีเทนเนอร์ ควรดูแลสุขภาพในช่องปากให้ดี หมั่นทำความสะอาดและแปรงฟันทุกครั้งหลังกินอาหาร เพราะถ้ามีการติดเชื้อภายในช่องปากอาจมีความเสี่ยงต่อภาวะเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดได้ด้วยค่ะ
รศ.พญ.สายฝน ชวาลไพบูลย์
ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา หน่วยเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล

Q&A แม่ท้องทำสปา นวดตัว ขัดตัวได้ไหม
Q: ตั้งครรภ์ได้ 3 เดือนค่ะ ปกติชอบทำสปามาก แต่พอตั้งครรภ์แล้วมีคนบอกว่าไม่ควรทำเพราะอันตรายกับลูกในท้อง แต่เพื่อนบางคนก็ยังไปเข้าสปา อยากทราบว่าจริงๆ แล้วแม่ท้องทำสปาได้ไหมคะ มีข้อห้ามหรือข้อควรระวังอะไรบ้างไหมคะ
A:คนท้องทำสปาได้ครับ ขัดตัวก็ได้ไม่มีปัญหา แต่ห้ามอบไอน้ำร้อนๆ หรือลงไปแช่น้ำร้อน เพราะการอยู่ในที่อุณหภูมิสูงเป็นเวลานาน ทำให้ร่างกายเครียด หัวใจทำงานหนัก หลั่งสารอะดรีนาลีนที่เป็นฮอร์โมนไม่ดีออกมา มีผลไปกระตุ้นให้กล้ามเนื้อมดลูกบีบตัว อาจแท้งบุตรหรือคลอดก่อนกำหนดได้ นอกจากนี้ทารกมักเจริญเติบโตไม่ปกติถ้าอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูงเกินกว่าอุณหภูมิปกติของร่างกายเป็นเวลานานๆ
ถ้าเป็นการนวดตัว จะต้องเป็นการนวดโดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะแม่ตั้งครรภ์มีจุดที่บอบบางและไม่สามารถนวดได้ เช่น ไม่ควรนวดกดจุดที่ฝ่าเท้า หรือ ไม่ควรนวดเน้นหนักที่บริเวณครรภ์ ปัจจุบันมีสปาหลายที่ที่ผู้ให้บริการผ่านการอบรมการนวดสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์โดยเฉพาะ ดังนั้นเพื่อความสบายตัวและสบายใจควรโทรสอบถามสถานบริการสปาก่อนเพื่อความมั่นใจ
นพ.พูลศักดิ์ ไวความดี สูติแพทย์