facebook  youtube  line

Q&A แม่ท้องเป็นพาหะธาลัสซีเมีย ลูกจะเป็นธาลัสซีเมียด้วยไหม?

พาหะธาลัสซีเมีย

Q&A แม่ท้องเป็นพาหะธาลัสซีเมีย ลูกจะเป็นธาลัสซีเมียด้วยไหม?

Q: ตอนรู้ว่าท้องก็รีบไปฝากครรภ์แล้วตรวจพบว่าเป็นพาหะธาลัสซีเมียค่ะ ตอนนี้ตั้งครรภ์ 7 เดือนแล้ว คุณหมอให้วิตามินเสริมธาตุเหล็กมากิน แต่ก็เครียดมากเพราะท้องไม่ค่อยโตและน้ำหนักขึ้นน้อย ถ้าคลอดลูกจะตรวจได้ตอนไหนว่าลูกเป็นพาหะของโรคหรือไม่(สามีปกติดีค่ะ) ถ้าลูกเป็นควรทำอย่างไร และตอนท้องดิฉันควรทำตัวอย่างไร กินอะไรเพิ่มหรือเสริมดีคะ กังวลใจมาก

 

A: ลูกของคุณแม่มีโอกาสเป็นพาหะของโรคธาลัสซีเมีย แต่ไม่มีโอกาสเป็นโรคธาลัสซีเมียชนิดรุนแรง เพราะว่าลูกจะได้สารพันธุกรรมจากพ่อและแม่อย่างละครึ่งหนึ่ง ส่วนการตรวจลูกเพื่อหาว่าเป็นพาหะธาลัสซีเมียนั้น สามารถตรวจได้หลังจากทารกคลอด โดยการตรวจเลือดจากสายสะดือหลังตัดสายสะดือ หรือหากยังไม่ชัดเจนก็อาจตรวจเลือดลูกเมื่ออายุประมาณ 6 เดือน เพราะว่าลูกยังมีโอกาสเป็นพาหะโรคธาลัสซีเมีย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะไม่มีอาการ คุณแม่จึงยังไม่ควรจะกังวลใจขณะนี้

ส่วนความเครียดเรื่องท้องไม่โต น้ำหนักตอนตั้งครรภ์ขึ้นน้อยก็อย่ากังวลมากไปหรือเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใครนะครับ เพราะหากดูแลตัวเองอย่างดี กินอิ่ม นอนหลับ หมอตรวจแล้วบอกว่าสุขภาพครรภ์อยู่ในเกณฑ์ดีก็แทบไม่มีอะไรต้องกังวลครับ 

เรื่องน้ำหนักที่ขึ้นน้อยก็ไม่ได้ชี้บ่งเสมอไปว่าลูกเจริญเติบโตไม่ดี ถ้าน้ำหนักขึ้นน้อยแต่ขนาดของมดลูกเติบโตตามอายุครรภ์ก็ไม่เป็นไรครับ ตรงกันข้ามถ้าน้ำหนักตัวขึ้นดี แต่ขนาดมดลูกไม่เติบโตไปตามอายุครรภ์ ส่วนคุณแม่บวมไปหมดทั้งตัว อันนี้กลับแสดงว่าไม่ดีมากกว่ากรณีคุณแม่น้ำหนักขึ้นน้อยแต่ขนาดของมดลูกเติบโตตามอายุครรภ์เสียอีก

สำหรับการปฏิบัติตัวต่างๆ ตลอดจนการกิน ก็ปฏิบัติตัวเหมือนคุณแม่ตั้งครรภ์ทั่วไปที่ไม่ได้เป็นโรคธาลัสซีเมีย และเนื่องจากรายละเอียดของเรื่องการปฏิบัติตัวนี้มีมาก ดังนั้นจึงขอให้ปรึกษาสูติแพทย์ของคุณ หรืออาจต้องหาอ่านตามตำราที่หาได้ตามร้านหนังสือทั่วไปได้ครับ

นพ.เอกชัย โควาวิสารัช
สูติแพทย์ โรงพยาบาลราชวิถี

กรมอนามัยแนะ อาหาร 3 ไตรมาส ต้องเพียงพอต่อร่างกายแม่ท้อง

อาหารคนท้อง-นมสำหรับคนท้อง  

กรมอนามัยแนะ อาหาร 3 ไตรมาส ต้องเพียงพอต่อร่างกายแม่ท้อง

แม่ท้อง ควรได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ ซึ่งร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละไตรมาสไม่เหมือนกัน อีกทั้งลูกน้อยในครรภ์ยังมีพัฒนาการต่างๆ ออกไป เพราะฉะนั้นการกินอาหารที่มีประโยชน์ตามหลัก 5 หมู่ จึงเป็นสิ่งที่แม่ท้องไม่ควรละเลย 

โดยแพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย ได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมก่อนตั้งครรภ์หรือในระหว่างการตั้งครรภ์ ว่าแม่ท้องควรกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ คือ ข้าว-แป้ง เนื้อสัตว์ ไข่ นม  ถั่วชนิดต่างๆ ผักและผลไม้สด เพื่อใช้ในการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ ซึ่งในแต่ละช่วงเดือนร่างกายจะต้องการสารอาหารแตกต่างกันไป

ตั้งครรภ์ ไตรมาสแรก คือ อายุครรภ์ 1-3 เดือนแรก ความต้องการพลังงานของร่างกายจะเพิ่มขึ้น เพียงเล็กน้อย ควรกินอาหารให้ครบ 5 หมู่และหลากหลาย หากแพ้ท้องมากทำให้กินอาหารได้น้อยควรแบ่งมื้อกินเป็น  มื้อย่อยๆ หลีกเลี่ยงอาหารรสจัดและอาหารที่มีเครื่องเทศมาก
 

ตั้งครรภ์ ไตรมาสที่ 2 คือ อายุครรภ์ 4-6 เดือน ความต้องการพลังงานและโปรตีนจะเพิ่มมากขึ้น ควรกินอาหารมากขึ้น เน้นอาหารที่มีคุณภาพโดยกินอาหารให้หลากหลายและ ครบ 5 หมู่ เน้นอาหารจำพวกโปรตีน และแร่ธาตุที่สำคัญ ได้แก่ โฟเลต ธาตุเหล็ก สังกะสี ไอโอดีน และโพแตสเซียม เพราะในระยะนี้ลูกน้อยกำลังสร้างเนื้อเยื่อ อวัยวะต่างๆ รวมทั้งโครงสร้างของร่างกาย


โดยสารอาหารที่เพียงพอ จะไปช่วยเพิ่มขนาดของอวัยวะที่ทารกกำลังเจริญเติบโต โดยเฉพาะอย่างยิ่งพัฒนาการทางสมองและระบบประสาท และมากพอที่จะทำให้สุขภาพของแม่แข็งแรงอยู่ได้ 

และเพื่อให้ลูกมีน้ำหนักแรกเกิดมากกว่า 2,500 กรัม และสมองดี แม่ควรกินปลามื้อละ 4 ช้อนกินข้าว อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง กินตับมื้อละ 4 ช้อนกินข้าว สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง กินไข่วันละ 1 ฟอง  กินผัก มื้อละ 2 ทัพพี กินผลไม้ มื้อละ 2 ส่วน ดื่มนมสมรสจืดทุกวัน วันละ 2-3 แก้ว (แก้วขนาด 200 ซีซี)

 

อาหารคนท้อง

ขณะตั้งครรภ์ควรควบคุมน้ำหนักตัวให้เพิ่มขึ้นตามเกณฑ์ คือ 0.5 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ หรือ 2 กิโลกรัมต่อเดือน ซึ่งในไตรมาสที่ 2 นี้ นี้ร่างกายต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นประมาณ 300 กิโลแคลอรีต่อวัน และต้องการโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ไข่ นมและผลิตภัณฑ์นมเพิ่มขึ้นจากปกติ ควรเพิ่มธาตุเหล็กเพื่อใช้ในการสร้างเม็ดเลือดและโฟเลทในการป้องกันความผิดปกติปากแหว่งเพดานโหว่ ซึ่งพบในเครื่องในสัตว์ ผักสีเขียวเข้ม ไข่แดง เป็นต้น


ควรเพิ่มแคลเซียมและฟอสฟอรัสในการสร้างกระดูกและฟันจาก นม ปลาเล็กปลาน้อย เต้าหู้แข็ง ธัญพืช และ ผักเขียวเข้ม กินอาหารที่เป็นแหล่งไอโอดีน เช่น อาหารทะเล หรือปรุงประกอบอาหารด้วยเครื่องปรุงที่มีการเสริมไอโอดีนที่ช่วยในการพัฒนาระบบประสาทและการเจริญเติบโตของเซลล์สมองลูกให้สมบูรณ์ 

ตั้งครรภ์ ไตรมาสที่ 3 คือ อายุครรภ์ 7-9 เดือน ร่างกายยังต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นประมาณ 300 กิโลแคลอรีต่อวัน หรือเท่ากับอาหาร 1 มื้อ หรืออาจเพิ่มเป็นอาหารว่าง 2 มื้อ ในช่วงนี้ควรติดตามการเพิ่มขึ้นของน้ำหนัก เนื่องจากจะมีผลต่อการเจริญเติบโตกับทารก

ทั้งนี้ แม่ตั้งครรภ์ควรฝากครรภ์และตรวจครรภ์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ และควรกินไตรเฟอร์ดีน ซึ่งประกอบด้วยไอโอดีน ธาตุเหล็ก และกรดโฟลิกทุกวัน วันละ 1 เม็ด ตั้งแต่ตั้งครรภ์จนถึงหลังคลอด 6 เดือน ตามที่โรงพยาบาลหรือสถานบริการจ่ายให้ เพื่อการเจริญเติบโตของสมองและร่างกายของลูก


ที่มา : กรมอนามัย 

 

การดื่มน้ำ ช่วงตั้งครรภ์ สิ่งสำคัญที่ แม่ท้องไม่ควรมองข้าม

คนท้องควรดื่มน้ำวันละเท่าไหร่

การดื่มน้ำ ช่วงตั้งครรภ์ สิ่งสำคัญที่ แม่ท้อง ไม่ควรมองข้าม

ช่วง ตั้งครรภ์ ส่วนใหญ่ แม่ตั้งครรภ์ จะเจริญอาหารเป็นพิเศษ อาจถึงขั้น กินไม่ยั้ง แต่อย่าลืมเรื่องสำคัญอย่าง การดื่มน้ำ ด้วยนะคะ น้ำดื่ม มีความสำคัญมากสำหรับ แม่ท้อง เพราะช่วยให้ สุขภาพครรภ์ ดีขึ้น  โดยใน 1 วัน แม่ท้อง ควรดื่มน้ำ วันละ เท่าไหร่ และ การดื่มน้ำ ช่วยให้ สุขภาพครรภ์ดี ได้อย่างไร เรามีคำแนะนำที่แม่ท้องต้องทำตามค่ะ

แม่ท้องควรดื่มน้ำวันละกี่แก้ว

ใน 1 วัน แม่ท้องควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 12 แก้ว แก้วละ 8 ออนซ์ ถ้าเทียบปริมาตรง่ายคือ

  • 1 แก้ว 8 ออนซ์ = แก้วกระดาษใส่กาแฟร้อนขนาดเล็ก
  • 1 แก้ว 8 ออนซ์ = แก้วน้ำใส ทรงสูง เส้นผ่าศูนย์กลางแก้วประมาณ 2-2.5 นิ้ว
  • 1 แก้ว 8 ออนซ์ = 1 ถ้วยตวง (ถ้วยตวงสำหรับทำอาหารหรือขนม)

แม่ท้องควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 12 แก้ว หากดื่มมากกว่านี้ก็ได้ แต่ไม่ควรน้อยกว่านี้ค่ะ และน้ำที่ควรดื่มที่สุดคือ "น้ำสะอาด"

ทำไมแม่ท้องควรดื่มมากพอ ๆ กับการกินอาหาร

  1. แม่ท้องดื่มน้ำเพื่ออาการคลื่นไส้แพ้ท้อง
  2. แม่ท้องดื่มน้ำเพื่อลดและป้องกันอาการท้องผูก
  3. แม่ท้องดื่มน้ำเพื่อช่วยลดและควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย
  4. แม่ท้องดื่มน้ำเพื่อให้น้ำช่วยดูดซึมสารอาหารและแร่ธาตุเข้าสู่ร่างกาย
  5. แม่ท้องดื่มน้ำเพื่อป้องกันร่างกายสูญเสียน้ำจากเหงื่อและการปัสสาวะบ่อย
  6. แม่ท้องดื่มน้ำเพื่อป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ


อาการที่บอกว่า "แม่ท้องกำลังขาดน้ำ" ต้องดื่มน้ำด่วน

  1. ปัสสาวะสีเข้มมาก โดยไม่ได้มีสาเหตุมาจากยา อาหารเสริม หรือไม่สบาย
  2. ผิวแห้ง ปากแห้ง
  3. รู้สึกร้อนในร่างกาย


Ref. Parent Republic
 

คนท้อง กินช็อกโกแลต แล้วลูกจะดำจริงไหม?

 
คนท้องกินช็อกโกแลต-ลูกตัวดำ

คนท้อง กินช็อกโกแลต แล้วลูกจะดำจริงไหม?

"อย่ากินช็อกโกแลตนะ กินแล้วลูกจะดำ" เคยได้ยินกันใช่ไหมคะ วันนี้เราจะมาไขข้อสงสัยให้คุณแม่รู้ค่ะ ว่าจริงไหม ส่วน ช็อกโกแลต สำหรับ คนท้อง สามารถทานได้ นะคะ แต่ แนะนำให้เป็น ดาร์กช็อกโกแลต จะดีกว่า เพราะมีน้ำตาลน้อยกว่า ช็อกโกแลต ทั่วไป ที่สำคัญคือมีประโยชน์ในแง่ของสารอาหารมากกว่าอีกด้วยค่ะ

ดาร์กช็อกโกแลตมีประโยชน์ต่อคนท้องอย่างไร

1. หัวใจแข็งแรง

มีสารฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยให้หัวใจแข็งแรง ช่วยให้ระบบเลือดไหลเวียนได้ดี ป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้ทั้งคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์

2. ลดความเสี่ยงครรภ์เป็นพิษ

จากงานวิจัยในอังกฤษพบว่า ดาร์คช็อกโกแลตอุดมไปด้วยสารธีโอโบรมีน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ นอกจากนี้ช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย และช่วยขยายหลอดเลือดด้วย

3. ลดความเสี่ยงการแท้งลูก

กาเฟอีนในดาร์กช็อกโกแลตที่กินตอนท้อง จะช่วยลดการไหลตัวของเลือดสู่รก ซึ่งส่งผลให้โอกาสที่จะแท้งลดลงด้วย คุณแม่หลายคนอาจจะเถียงว่า กาเฟอีนอันตรายไม่ใช่หรือ? แต่แท้จริงแล้วการที่ร่างกายได้รับกาเฟอีนไม่เกิน 200 กรัมต่อวันนั้นไม่ส่งผลเสียใดๆ ค่ะ

4. มีความสุข

ช่วยกระตุ้นการหลั่งของสารเอ็นโดรฟินในสมองและส่วนอื่นๆ ของร่างกาย โดยสารเอ็นโดรฟินนี้เองจะช่วยให้เกิดความรู้สึกพออกพอใจ และมีความสุข นอกจากนี้ยังช่วยลดทอนความรู้สึกเจ็บปวดด้วย

5. ลดความดันสูง

มีกรดไขมันโอเมก้า 3 ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของระบบสมองและระบบประสาทของลูก นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยไอโอวายังพบว่าช่วยลดภาวะความดันสูงในหญิงตั้งครรภ์ด้วย

คนท้องกินช็อกโกแลต แล้วลูกจะดำหรือเปล่า เป็นเพียงแค่ความเชื่อที่ผิดเท่านั้นค่ะ อาหารทุกอย่างไม่สามารถเปลี่ยนพันธุกรรมด้าน สีผิวลูก ได้ค่ะ ดังนั้นไม่ต้องกังวลใจทาน ดาร์กช็อกโกแลต ได้เลยค่ะ แต่ให้ทานแต่พอดีนะคะ อะไรมากไปก็มีข้อเสียเช่นกันค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก : www.thairath.co.th



 

คนท้องช้าต้องอ่าน! 7 โรคแทรกซ้อนที่อาจเจอเมื่อตั้งท้องตอนอายุ 35 ปีขึ้นไป

ท้องอายุ 35 ปี
 

คนท้องช้าต้องอ่าน ! 7 โรคแทรกซ้อนที่อาจเจอเมื่อตั้งท้องตอนอายุ 35 ปีขึ้นไป

นอกเหนือจากการตั้งครรภ์ยากแล้ว ว่าที่คุณแม่วัย 35 ปีขึ้นไปยังต้องระวังความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการ ตั้งครรภ์ ดังต่อไปนี้

  1. โรคเบาหวานและภาวะความดันโลหิตสูง โดยเฉพาะในรายที่มีน้ำหนักเกินกว่ามาตรฐาน

  2. ภาวะครรภ์เป็นพิษเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตอันเนื่องมาจากการตั้งครรภ์ของมารดา ซึ่งมักเกิดขึ้นในกรณีที่มารดาตรวจพบโรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูง

  3. การแท้งบุตรโดยทั่วไปแล้ว ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ในช่วงสามเดือนแรกในทุกช่วงอายุมักมีความเสี่ยงต่อการแท้งอยู่บ้าง แต่เมื่ออายุมากขึ้นความเสี่ยงก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยผู้หญิงในวัย 35 ปีขึ้นไปจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 20 ขณะที่ผู้ที่มีอายุ 40 ปี จะอยู่ที่ร้อยละ 35

  4. ภาวะรกเกาะต่ำ หรือภาวะที่รกเกิดการฝังตัวหรือเกาะอยู่ใกล้กับบริเวณปากมดลูก หรือขวางปากมดลูก ทำให้มีเลือดออกโดยไม่มีอาการเจ็บครรภ์ หรือเกิดการเสียเลือดมากขณะคลอดซึ่งอาจแก้ไขได้โดยใช้วิธีผ่าคลอดแทนการคลอด แบบธรรมชาติ

  5. ความผิดปกติทางพันธุกรรมของทารก โดยเฉพาะดาวน์ซินโดรมซึ่งความเสี่ยงมักเพิ่มสูงขึ้นตามอายุของมารดา โดยอัตราความเสี่ยงในกลุ่มของหญิงตั้งครรภ์ที่มีอายุเกิน 35 ปี อยู่ที่ 1 ใน 400 ขณะที่ผู้ที่มีอายุเกิน 40 ปี จะอยู่ที่ 1 ใน 100

  6. การคลอดก่อนกำหนด และทารกมีน้ำหนักตัวแรกเกิดต่ำกว่าปกติ

  7. ทารกเสียชีวิตขณะอยู่ในครรภ์มารดา (Stillbirth) มักเกิดขึ้นหลังจาก20 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ โดยหญิงตั้งครรภ์ที่มีอายุเกิน 40 ปีจะเพิ่มความเสี่ยงมากขึ้น 2 - 3 เท่าเมื่อเทียบกับกลุ่มผู้ที่มีอายุ 20 ปีเลยทีเดียว

ปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีการแพทย์ และความก้าวหน้าต่างๆ ถึงแม้จะตั้งครรภ์เมื่ออายุค่อนข้างเยอะ แต่ถ้าดูแลครรภ์อย่างดี ฝากครรภ์ และปฎิบัติตามที่คุณหมอแนะนำก็สามารถมีลูกน้อยที่แข็งแรง สุขภาพดีได้ไม่ยากค่ะ

คนท้องดื่มนมไม่ได้ จะต้องกินอะไรทดแทนสารอาหารในนม

 
อาหารคนท้อง-นมสำหรับคนท้อง
 

คนท้องดื่มนมไม่ได้ จะต้องกินอะไร ทดแทน สารอาหาร ใน นม

แม่ท้อง แม่ตั้งครรภ์ ควรดื่ม นม ที่หลากหลายในสัดส่วนที่เท่ากัน เช่น นมแพะ นมถั่วเหลือง นมวัว อย่างน้อยวันละ 1-3 แก้ว เพื่อบำรุงให้ลูกน้อยแข็งแรง อีกทั้ง ลดความเสี่ยงโรคกระดูกพรุน ความดันโลหิตสูง สำหรับตัวคุณแม่อีกด้วยค่ะ แต่ถ้า แม่ท้อง แม่ตั้งครรภ์ ท่านใด ไม่ชอบดื่มนม ดื่มนมแล้วอาเจียน เราขอแนะนำ อาหารที่ทดแทนสารอาหารที่มีอยู่ในนม ดังนี้ค่ะ


1.  หมู ไก่ ไข่ ปลา

คุณแม่ควรเลือกเมนูอาหารที่เน้น โปรตีน อย่าง เนื้อไก่ หมูไม่ติดมัน และทานเนื้อปลากับไข่ให้ได้ทุกวันค่ะ

2.  ชีส โยเกิร์ต นมเปรี้ยว

เน้นเมนูที่มี แคลเซียม เยอะๆ จัดสมูทตี้ผลไม้ไปเลยค่ะ ใส่โยเกิร์ต นมเปรี้ยว แก้แพ้ท้องได้ด้วยนะคะ หรือเลือกเมนูที่มีชีส ก็ได้รับแคลเซียมไม่ต่างจาก นม ค่ะ

3. ปลาตัวเล็กตัวน้อย

แม่ท้อง หามาทานได้เลยค่ะ เช่น ปลาหมอไทย ปลาซิว ปลาข้าวสาร ปลาไส้ตัน ปลากะตัก เน้นทำเมนูต้ม นึ่ง ตุ๋น เป็นแหล่งอาหารที่มีแคลเซียมสูงไม่ต่างจาก นม เลยค่ะ

4. ผักและผลไม้หลากสี

กินให้หลากหลาย เพราะในผักผลไม้เป็นแหล่ง วิตามิน และ โฟเลต เลยค่ะ เช่น คะน้า ตำลึง ผักโขม อะโวคาโด กระเจี๊ยบเขียว ฟักทอง กะหล่ำปลีม่วง ขนุน ลิ้นจี่ กล้วยไข่ มะละกอ ส้มเขียวหวาน เป็นต้น หรือทำสลัดรวมก็ได้สารอาหารเยอะเลยค่ะ

5. ธัญพืช

แหล่ง แคลเซียม และ โปรตีน ชั้นดี ทำเมนูเหล่านี้ทานเลยค่ะ เช่น ข้าวอบธัญพืช อกไก่อัลมอนด์ แซนด์วิชถั่วขาว ผัดตับหมูใส่ธัญพืช ข้าวผัดคีนัวไก่ หรือปั่นเป็นสมูทตี้รวมธัญพืชก็ลองทำได้เลยค่ะ

แม่ท้อง แม่ตั้งครรภ์ ที่ ดื่มนมไม่ได้ ก็สามารถเลือกทานอย่างอื่นทดแทนได้ค่ะ และต้องเน้นการกินที่หลากหลาย สลับกันไปทั้ง 5 ข้อ นะคะ เพื่อที่ แม่ตั้งครรภ์ และ ลูกน้อยในครรภ์ จะได้แข็งแรงสมบูรณ์ไปพร้อม ๆ กันค่ะ
 

คนท้องต้องระวัง เป็นอีสุกอีใสอาจเสี่ยงทำลูกพิการแต่กำเนิด

แม่ท้องเป็นอีสุกอีใส

คนท้องต้องระวัง เป็นอีสุกอีใสอาจเสี่ยงทำลูกพิการแต่กำเนิด

โรคอีสุกอีใสคือการติดเชื้อไวรัส Varicella-Zoster ส่วนใหญ่จะพบในเด็ก เพราะในแม่ตั้งครรภ์จะมีภูมิคุ้มกันอยู่แล้ว จึงไม่ค่อยพบการติดเชื้อไวรัสนี้ แต่สิ่งที่น่ากังวัลหากคุณแม่ตั้งครรภ์เป็นอีสุกอีใส คืออาการแทรกซ้อนจากโรค เช่น อาการปอดบวม สมองอักเสบ และเยื่อหุ้มห้วใจอักเสบ เป็นต้น

อาการอีสุกอีใสในคนท้อง

  • มีไข้ ปวดศีรษะ ปวดท้อง เจ็บคอ อ่อนเพลียและปวดเมื่อยอยู่ประมาณ 1-2 วัน จากนั้นอาการไข้จะลดลง อาการต่างๆ จะดีขึ้น
  • ผิวหนังจะขึ้นผื่นอย่างรวดเร็ว ทั้งใบหน้า ลำตัว หนังศีรษะ แขนขา และเยื่อบุช่องปาก และผื่นจะกลายเป็นตุ่มพองมีน้ำใสอยู่ในตุ่มนาน 4-6 วัน
  • เริ่มตกสะเก็ดประมาณ 1-3 วัน และแผลจะจางลงเป็นปกติใน 2 สัปดาห์

ติดเชื้ออีสุกอีใสได้อย่างไร

โรคอีสุกอีใสสามารถติดต่อได้จากการสัมผัส ทั้งจากในอากาศ การไอ จาม การหายใจ และสัมผัสผื่นโดยตรงที่ผิวหนังหรือเสื้อผ้าผู้ป่วย โดยจะมีระยะฟักตัวของโรค 10-21 วัน และเริ่มแพร่เชื้อได้ในช่วง 5 วันก่อนผื่นขึ้น จนกระทั่งเมื่อตุ่มน้ำแห้งแตกเป็นสะเก็ดหมดแล้ว ระยะแพร่เชื้อนานถึง 7-10 วันค่ะ

อีสุกอีใสกับทารกในครรภ์

คุณแม่ตั้งครรภ์ที่เป็นอีสุกอีใสจะมีการติดเชื้อไปยังลูกน้อยถึงร้อยละ 10 ซึ่งมีความเสี่ยงพอๆ กันในทุกไตรมาสของการตั้งครรภ์ แต่การติดเชื้อในไตรมาสแรกจะมีความรุนแรงที่สุด เนื่องจากเชื้อโรคผ่านรกไปยังลูกน้อยในช่วงของการสร้างอวัยวะ จึงอาจเกิดผลกระทบทำให้ลูกสมองฝ่อ มีความผิดปกติของกระดูกขาและผิวหนังได้

ส่วนการติดเชื้อในไตรมาสที่สองและสามนั้น ลูกน้อยมีโอกาสเกิดความพิการได้น้อย มีข้อมูลพบว่า คุณแม่ที่ติดเชื้อก่อนอายุครรภ์ 20 สัปดาห์ จะพบลูกน้อยพิการได้ร้อยละ 2 แต่ถ้าติดเชื้ออีสุกอีใสหลัง 20 สัปดาห์จะไม่พบปัญหานี้


แม่ท้องเป็นอีสุกอีใส

ความรุนแรงของอีสุกอีใสจากแม่สู่ลูก

  • อีสุกอีใสใน 20 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์
    เป็นช่วงที่มีผลกระทบกับลูกน้อยในท้องมากที่สุด โดยพบว่า ลูกมีความเสี่ยงที่จะพิการร้อยละ 2-5 รวมทั้งยังมีความเสี่ยงต่อการแท้ง คลอดก่อนกำหนด ทารกเติบโตช้าในครรภ์และเสียชีวิตในครรภ์ได้ และคุณแม่ต้องเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนอย่างภาวะปอดอักเสบ ซึ่งหากมีอาการนี้ คุณหมอก็จะให้ยาต้านไวรัส Acyclovir เพิ่มเติมให้ด้วย

  • อีสุกอีใสในช่วง 5-20 วันก่อนคลอด
    ช่วงนี้ถือว่ามีความเสี่ยงน้อยที่ลูกจะติดเชื้ออีสุกอีใส แต่คุณหมอก็จะคอยดูแลอย่างใกล้ชิดค่ะ

  • อีสุกอีใสในช่วง 5 วันก่อนคลอดถึง 2 วันหลังคลอด
    ลูกน้อยอาจมีการติดเชื้ออีสุกอีใสจากแม่ได้ร้อยละ 30 แต่ทันทีหลังคลอด คุณหมอจะฉีดอิมมูโนโกลบูลิน (ยาต้านไวรัส) ให้ลูก จะสามารถลดการติดเชื้อลงได้

ความผิดปกติแต่กำเนิดเมื่อทารกเกิดจากแม่ที่เป็นอีสุกอีใส

หากลูกน้อยติดเชื้ออีสุกอีใสในช่วง 20 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ จะเกิดความผิดปกติแต่กำเนิดได้ดังนี้

  • ผิว หนัง และแขนขามีแผลเป็น
  • แขนขาลีบ ผิวหนังเข้ม
  • สมองฝ่อ ศีรษะเล็ก สมองอักเสบ ชัก ปัญญาอ่อน อัมพาต
  • ตาเล็ก ประสาทตาฝ่อ ต้อกระจก น้ำหนักน้อยผิดปกติ 

แม่ท้องเป็นอีสุกอีใส

7 วิธีดูแลตัวเองเมื่อแม่ท้องเป็นอีสุกอีใส

  • โดยตัดเล็บให้สั้น ป้องกันการเกาจนเป็นแผลติดเชื้อเป็นตุ่มหนองได้

  • ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว

  • หากมีอาการคัน ควรทายาคาลาไมน์ (Calamine lotion ) หรือเลือกแบบเป็นยากินก็ได้

  • ถ้ามีอาการไข้ สามารถกินยาพาราเซตามอลได้

  • รีบไปพบคุณหมอเมื่อสงสัยว่ามีอาการแทรกซ้อน เช่น มีไข้สูงต่อเนื่องถึงแม้ว่าจะกินยาแล้ว ตุ่มใสเป็นหนอง ไอมากมีเสมหะ หอบเหนื่อย เจ็บแน่นหน้าอก ปวดศีรษะรุนแรง ซึ่งในรายที่รุนแรงหรือมีอาการแทรกซ้อน คุณหมอจะพิจารณาให้ยาต้านไวรัสแทน

  • คุณแม่ที่อายุครรภ์มากกว่า 20 สัปดาห์ ควรนับจำนวนครั้งที่ลูกดิ้นทุกวัน หากพบว่ามีอาการผิดปกติ ควรปรึกษาคุณหมอ

  • ตรวจติดตามอัลตราซาวนด์เพื่อตรวจการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ ตามที่คุณหมอแนะนำเป็นระยะๆ

  • ควรพักผ่อนให้เพียงพอ 8-10 ชั่วโมงต่อวัน

  • แม่ท้องต้องสังเกตด้วยว่ามีอาการท้องแข็งหรือเจ็บท้องก่อนกำหนดหรือไม่ ถ้ามีอาการดังกล่าว ต้องรีบมาพบคุณหมอ

โรคอีสุกอีใสสามารถป้องกันได้จากการฉีดวัคซีน แต่ถ้ากำลังตั้งครรภ์อยู่ ไม่ควรฉีดวัคซีนนะคะ เพราะอาจจะเกิดอันตรายต่อลูกในท้องได้ หากกำลังวางแผนจะตั้งครรภ์ควรฉีดวัคซีนอีสุกอีใสก่อนตั้งครรภ์ 1-3 เดือน และการหลีกเลี่ยงไม่ไปสัมผัสกับคนที่กำลังเป็นโรคอีสุกอีใสก็เป็นวิธีป้องกันที่ได้ผลเหมือนกันค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก: พญ.ธิศรา วีรสมัย สูตินรีแพทย์ และหัวหน้าศูนย์เวชศาสตร์ชะลอวัย โรงพยาบาลพญาไท 1

จริงมั้ย ทำฟันช่วงท้อง เสี่ยงแท้งลูก!

แม่ท้องทำฟัน-แม่ท้องฟันผุ

จริงมั้ย ทำฟันช่วงท้อง เสี่ยงแท้งลูก!

มีคุณแม่ตั้งครรภ์ถามกันมาเยอะค่ะว่า "ทำฟันช่วงตั้งท้องเสี่ยงแท้งจริงไหมคะ" เพราะในช่วงนี้เกิดปัญ

หาฟันผุบ้าง เหงือกอักเสบบวมบ้าง ปัญหานี้เราหาคำตอบมาให้แล้วโดยผู้เชี่ยวชาญของเราค่ะ 

ทำไมแม่ท้องถึงฟันผุและเหงือกอักเสบได้ง่ายกว่าคนทั่วไป

  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนขณะตั้งครรภ์ ทำให้เหงือกอักเสบได้ง่ายขึ้น
  • การตั้งครรภ์ทำให้แม่ท้องเกิดอาการคลื่นเหียนอาเจียนอยู่บ่อยๆ อาการเช่นนี้ทำลายผิวเคลือบฟันของแม่ท้องได้ เนื่องจากฟันด้านหลังจะสัมผัสกับกรด ซึ่งทำลายผิวฟัน ทำให้ฟันสึกง่ายขึ้น
  • การกินจุบจิบมากขึ้น มีโอกาสที่จะเกิดฟันผุมากขึ้นตามไปด้วย
  • ขณะตั้งครรภ์ อาจเกิดภาวะน้ำลายน้อย ทำให้ปากค่อนข้างแห้ง อาการฟันผุก็จะมี โอกาสเกิดได้สูงขึ้น

เมื่อแม่ท้องต้องทำฟัน อุดฟัน รักษาเหงือก จะต้องเตรียมตัวอย่างไร

  1. แจ้งคุณหมอว่ากำลังตั้งครรภ์อยู่ คุณหมอจะได้ระมัดระวังเป็นพิเศษ
  2. ช่วงไตรมาสที่ 2 เป็นช่วงที่มีความปลอดภัยที่สุดหากต้องทำฟัน เพราะการทำฟันช่วงไตรมาสแรกและไตรมาสสุดท้าย จะมีความเสี่ยงกับการแท้งและคลอดก่อนกำหนดได้
  3. เลือกทำเฉพาะกรณีที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เช่น ฟันผุใกล้โพรงประสาทฟัน เหงือกมีการอักเสบมาก หรือไม่ใช้เวลานานเกินไป เช่น การขูดหินปูน อุดฟัน ส่วนการทำฟันที่ยุ่งยากซับซ้อน ต้องใช้เวลานาน ควรทำหลังคลอดลูกแล้ว

การดูแลฟันช่วงตั้งครรภ์

  • เน้นการดูแลความสะอาดมาเป็นพิเศษ เพราะช่วงตั้งครรภ์แม่ท้องบางคนทานเยอะ อาหารบางอย่างอาจติดตามซอกฟันหรือมีฤทธิ์กัดกร่อยผิวเคลือบฟัน รวมถึงการอาเจียนจากการแพ้ท้องก็ทำให้กรดที่ออกมากัดกร่อนฟันได้เช่นกัน
  • แปรงฟันอย่างถูกวิธี ร่วมกับการใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีสารต้านจุลชีพ ให้การทำความสะอาดทั่วถึงยิ่งขึ้น เพื่อลดปริมาณเชื้อที่ก่อให้เกิดฟันผุ และใช้ไหมขัดฟันเข้าช่วย เพื่อสุขภาพปากและฟันที่แข็งแรงอยู่เสมอ
  • ควรตรวจสุขภาพฟันทุก 3 เดือน หรือ ตรวจร่วมกับช่วงที่ไปตรวจสุขภาพฟัน

คนท้องทำฟัน อุดฟัน เสี่ยงแท้งจรริงไหม?

การทำฟันมักทำให้รู้สึกกลัว เครียด หรือ มีอาการเจ็บปวดในบางราย ซึ่งนั่นคือหนึ่งในสาเหตุที่จิตใจส่งผลต่อร่างกายคุณแม่ตั้งครรภ์ทำให้ "อาจมีโอกาส" แท้งได้ในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายบอบบางมาก ไม่ควรมีความเครียดกระทบทั้งร่างกายและจิตใจ  หรือ ในกรณีที่มีปัญหาช่องปากรุนแรงในช่วงใกล้คลอดจนต้องรักษาฟัน ความเครียดที่เกิดขึ้นก็อาจเป็นสาเหตุให้คลอดก่อนกำหนดได้เช่นเดียวกัน รวมถึงอาจส่งผลเรื่องความดันสูงอยู่บ้าง

ปัจจุบันเทคโนโลยีและสถานบริการรักษาฟันทันสมัยมาก สะดวกสบาย คุณแม่ทตั้งครรภ์สามารถเลือกใช้บริการได้ด้วยการเลือกโรงพยาบาลที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ และจะต้องปรึกษาแพทย์ผู้ดูแลครรภ์และทันตแพทย์ก่อนเสมอ เพื่อประเมินการรักษาและการดูแลได้อย่างถูกต้องปลอดภัย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก: รศ.ทพญ. ดร.ศิริรักษ์ นครชัย คณะทันตแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัย มหิดล

ตั้งครรภ์ 1 เดือน อายุครรภ์ 1 เดือน ลูกตัวเท่าเม็ดงาและมีหัวใจแล้ว

ตั้งครรภ์ 1 เดือน-อายุครรภ์ 1 เดือน-ตั้งครรภ์ 4 สัปดาห์-ตั้งครรภ์ 3 สัปดาห์-ตั้งครรภ์ 2 สัปดาห์-พัฒนาการทารกในครรภ์

แม่ตั้งครรภ์ 1 เดือน อายุครรภ์ 1 เดือน ลูกตัวเท่าเม็ดงาและมีหัวใจแล้ว

รู้ไหมคะว่า อายุครรภ์ 1 เดือน เกิดอะไรขึ้นกับลูกในท้องตัวเองบ้าง ลูกในท้องตัวแค่ไหนแล้ว ลูกในท้องกำลังทำอะไรอยู่ และตัวแม่เองมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แม่ตั้งครรภ์ 1 เดือน จะต้องดูแลตัวเองอย่างไร มาค่ะคุณแม่ท้องทุกคน มาดู พัฒนาการทารกในครรภ์ 1 เดือน พร้อมวิธีดูแลตัวเอง กันค่ะ

พัฒนาการทารกในครรภ์ 1 เดือน อายุครรภ์ 1 เดือน ลูกในท้องตัวเท่าเม็ดงาจิ๋วหลิว

  1. ทารกในครรภ์มีความยาวประมาณ 1 เซนติเมตร น้ำหนักไม่ถึง 1 กรัม ลักษณะเหมือนลูกน้ำ หรือ ตุ่มกลม ๆ เล็ก ๆ
  2. หัวโตมีติ่งสองคู่โผล่ออกมา ซึ่งติ่งคู่หนึ่งจะพัฒนาเป็นแขน 2 ข้าง ส่วนติ่งอีกคู่หนึ่งจะพัฒนาไปเป็นขาสองข้างนั่นเอง
  3. สายสะดือค่อนข้างใหญ่ มีเส้นเลือดแดงและเส้นเลือดดำจากรก เป็นเส้นทางนำอาหารไปสู่ตัวทารก และถ่ายเทของเสียกลับคืน
  4. อายุครรภ์ 1 สัปดาห์หลังจากการปฏิสนธิทารกในครรภ์จะเป็นเพียงเซลล์เล็ก ๆ ที่ค่อย ๆ แบ่งตัวออกเป็น 2 ส่วน
    • ส่วนแรก: เริ่มพัฒนาไปเป็นรกและถุงน้ำคร่ำ มีหน้าที่ปกป้องทารก และเป็นเส้นทางลำเลียงอาหาริและของเสียของลูกในระหว่างที่อยู่ในครรภ์ รวมทั้งสร้างฮอร์โมนที่จำเป็นต่อการตั้งครรภ์
    • ส่วนที่สอง: มีการพัฒนาไปเป็นตัวอ่อนหรือทารก โดยเซลล์นี้จะแบ่งออกไปเรื่อยิๆ จนพัฒนาไปเป็นอวัยวะต่างิๆ เช่น ตับ ปอด ต่อมไทรอยด์ ท่อไต กระเพาะปัสสาวะ บางส่วนพัฒนาไปเป็นโครงกระดูก กล้ามเนื้อทั่วไป กล้ามเนื้อหัวใจ อัณฑะ รังไข่ หลอดเลือด ฯลฯ จนครบเป็นอวัยวะที่สมบูรณ์
  5. อายุครรภ์ 2 สัปดาห์ เริ่มเห็นตำแหน่งที่จะพัฒนาไปเป็นไขสันหลัง และส่วนหลังของตัวอ่อน
  6. อายุครรภ์ 3 สัปดาห์ อวัยวะสำคัญเริ่มเจริญเติบโตขึ้น ช่วงสัปดาห์นี้หัวใจของลูกเริ่มเต้นแล้ว
  7. อายุครรภ์ 4 สัปดาห์ ตัวอ่อนจะมีลักษณะคล้ายกุ้ง เอวคอดตรงกลาง ส่วนหัว ส่วนข้าง และส่วนล่างเหมือนหางโค้งงอ

แม่ท้องอายุครรภ์ 1 เดือน มีอาการคนท้องและต้องทำอะไรบ้าง

  1. เมื่อรู้ตัวว่าท้องก็ต้องรีบไปฝากครรภ์นะคะ เพื่อคุณหมอจะได้ตรวจร่างกายคุณแม่และสุขภาพของทารกในครรภ์ และแนะนำการดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง
  2. กินอาหารที่มีโฟเลทต่อเนื่องยาว ๆ ไปจนถึง 12 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ เพื่อช่วยให้เซลล์เม็ดเลือดแดงและเซลล์ของตัวอ่อนแข็งแรง ป้องกันการพิการแต่กำเนิด
  3. งดออกกำลังกายหนัก ๆ เพราะเป็นช่วงที่ตัวอ่อนบอบบางมาก เป็นระยะที่เราต้องให้ตัวอ่อนได้ฝังตัวกับผนังมดลูกให้ดี
  4. นอนพักผ่อนเยอะ ๆ เพราะช่วงนี้อาหารแพ้ท้องมาแล้ว ทั้งเวียนหัว คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลียง่าย เจ็บตึงเต้านม ปัสสาวะบ่อย หรือบางคนจะหงุดหงิดง่าย เพราะฮรอ์โมนเปลี่ยนแปลงด้วย


*** เมื่อไปพบคุณหมอ อย่าลืมสอบถามเรื่องวัคซีนที่คนท้องต้องฉีด และรับสมุดบันทึกสุขภาพแม่และเด็กเล่มสีชมพูกลับมาด้วยนะคะ
 

 *************************************************

เช็กพัฒนาการทารกในครรภ์ตลอดอายุครรภ์ 9 เดือน ได้ที่นี่

  1. ตั้งครรภ์ 1 เดือน อายุครรภ์ 1 เดือน 
  2. ตั้งครรภ์ 2 เดือน อายุครรภ์ 2 เดือน 
  3. ตั้งครรภ์ 3 เดือน อายุครรภ์ 3 เดือน 
  4. ตั้งครรภ์ 4 เดือน อายุครรภ์ 4 เดือน 
  5. ตั้งครรภ์ 5 เดือน อายุครรภ์ 5 เดือน 
  6. ตั้งครรภ์ 6 เดือน อายุครรภ์ 6 เดือน 
  7. ตั้งครรภ์ 7 เดือน อายุครรภ์ 7 เดือน 
  8. ตั้งครรภ์ 8 เดือน อายุครรภ์ 8 เดือน 
  9. ตั้งครรภ์ 9 เดือน อายุครรภ์ 9 เดือน 

 

ตั้งครรภ์ 2 เดือน อายุครรภ์ 2 เดือน ลูกในท้องตัวลูกเชอร์รี่

ตั้งครรภ์ 2 เดือน-อายุครรภ์ 2 เดือน-ตั้งครรภ์ 8 สัปดาห์-ตั้งครรภ์ 7 สัปดาห์-ตั้งครรภ์ 6 สัปดาห์-พัฒนาการทารกในครรภ์
ตั้งครรภ์ 2 เดือน อายุครรภ์ 2 เดือน  ลูกในท้องตัวลูกเชอร์รี่

แม่ตั้งครรภ์ 2 เดือน อายุครรภ์ 2 เดือน หรือเราจะนับว่าเป็นการตั้งครรภ์ 8 สัปดาห์ (ครบ 2 เดือนทางจันทรคติ-เดือนไทย) ช่วงเดือนนี้ พัฒนาการทารก ในครรภ์ มีมากกว่าเดือนแรกถึง 4 เท่า เราลองมาส่องท้อง คุณแม่ อายุครรภ์ 2 เดือน กันค่ะว่าลูกในท้อง เป็นยังไงกันบ้าง

พัฒนาการทารกในครรภ์ 2 เดือน อายุครรภ์ 2 เดือน ลูกในท้องตัวเท่าลูกเชอร์รี่

  • ร่างกาย ส่วนหัวของลูกยังโตไม่มาก ลำตัวค่อย ๆ ยืดยาวออกมีความยาว 2.5 เซนติเมตร และมีน้ำหนักตัว 3 กรัม
  • ส่วนของแขนขาก็เริ่มแยกให้เห็นนิ้วมือ ข้อมือ ข้อศอก และเริ่มมีการพัฒนาให้เห็นเค้าโครงของใบหน้า สามารถมองเห็นลูกตาดำราง ๆ จมูก ริมฝีปาก และหู
  • ผิวหนัง เริ่มแบ่งเป็นสองชั้น และมีการพัฒนาต่อมเหงื่อ ต่อมไขมัน รวมทั้งเริ่มมีขนงอกออกมาจากรูขุมขน
  • อวัยวะภายใน ครบสมบูรณ์ทั้งหมด รวมทั้งการพัฒนาโครงสร้างหลักใหญ่ ๆ ของอวัยวะอื่นๆ ด้วย
  • อัตราการเต้นของหัวใจ อัตราการเต้นของหัวใจลูกจะเต้นเร็วกว่าคุณแม่ประมาณเท่าตัว คือ 140-150 ครั้งต่อนาที

แม่ท้องอายุครรภ์ 2 เดือน มีอาการคนท้องและร่างกายเปลี่ยนแปลงอย่างไร

  1. ช่วงอายุครรภ์ 2 เดือนสำหรับแม่ท้องบางคนจะแพ้ท้องหนักมาก อาการคลื่นไส้ วิงเวียนศีรษะ อาเจียน เหนื่อยง่าย เหม็นบางสิ่งบางอย่างจนทนไม่ได้ อารมณ์แปรนปรวนง่าย ดังนั้นพยายามพักผ่อนและดื่มน้ำเยอะ ๆ เลี่ยงอาหารที่มีกลิ่น และเลี่ยงบรรยากาศที่อาจจะทำให้หงุดหงิดง่ายค่ะ (แต่ถ้าเหม็นเบื่อสามีช่วงนี้ก็ช่วยไม่ได้จริง ๆ ค่ะ)  
     
  2. อายุ 2 เดือนยังต้องงดการออกกำลังกายหรือทำงานหนัก ๆ เพราะอาจจะมีความเสี่ยงเกิดภาวะแท้งได้ง่าย และช่วงนี้อาจจะมีตกขาวมากกว่าปกติ หรือมีเลือดออกบ้าง ไม่ควรซื้อยาใด ๆ มากินเองนะคะ ควรพบแพทย์เพื่อรับการดูแลและแนะนำอย่างถูกต้องค่ะ

อาหารคนท้องอายุครรภ์ 2 เดือนควรกินอะไร

    1. โฟเลท ยังต้องกินอย่างต่อเนื่องและขาดไม่ได้นะคะ ซึ่งโดยปกติแล้วคุณหมอผู้ดูแลครรภ์จะให้วิตามินแบบเม็ดมาด้วย
       
    2. โอเมก้า 3 ที่มีอยู่ในเนื้อปลาทะเลและถั่วต่าง ๆ เพราะเป็นช่วงที่ลูกน้อยกำลังพัฒนาสมอง ระบบประสาท และไขสันหลัง
       
    3. แคลเซียม คุณแม่ควรได้รับวันละ 700-800 มิลลิกรัมต่อวัน กินปลา ไข่ นม เพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น และควรออกไปรับวิตามินดีจากแสงแดดอ่อนยามเช้า
       
    4. วิตามินบี 2 จำเป็นต่อเอนไซม์ต่าง ๆ ที่ช่วยให้กระบวนการเผาผลาญพลังงานทำงานได้ดี ช่วยป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือดด้วย ขณะเดียวกันก็ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันและมีรสจัด

 *************************************************

เช็กพัฒนาการทารกในครรภ์ตลอดอายุครรภ์ 9 เดือน ได้ที่นี่

      1. ตั้งครรภ์ 1 เดือน อายุครรภ์ 1 เดือน 
      2. ตั้งครรภ์ 2 เดือน อายุครรภ์ 2 เดือน 
      3. ตั้งครรภ์ 3 เดือน อายุครรภ์ 3 เดือน 
      4. ตั้งครรภ์ 4 เดือน อายุครรภ์ 4 เดือน 
      5. ตั้งครรภ์ 5 เดือน อายุครรภ์ 5 เดือน 
      6. ตั้งครรภ์ 6 เดือน อายุครรภ์ 6 เดือน 
      7. ตั้งครรภ์ 7 เดือน อายุครรภ์ 7 เดือน 
      8. ตั้งครรภ์ 8 เดือน อายุครรภ์ 8 เดือน 
      9. ตั้งครรภ์ 9 เดือน อายุครรภ์ 9 เดือน 

ตั้งครรภ์ 3 เดือน อายุครรภ์ 3 เดือน ลูกในท้องตัวเท่ามะนาว

ตั้งครรภ์ 3 เดือน-อายุครรภ์ 3 เดือน-ตั้งครรภ์ 12 สัปดาห์-ตั้งครรภ์ 11 สัปดาห์-ตั้งครรภ์ 10 สัปดาห์-พัฒนาการทารกในครรภ์

 การตั้งครรภ์อายุครรภ์ 3 เดือน ลูกในท้องตัวเท่ามะนาว-การตั้งครรภ์

ผ่านเข้าเดือนที่ 3 กับ คุณแม่ตั้งครรภ์ 3 เดือน อายุครรภ์ 3 เดือน แล้วนะคะ หรือ อายุครรภ์ 12 สัปดาห์ ( ครบ 3 เดือนทางจันทรคติ ) ช่วงนี้เริ่มเห็น การเปลี่ยนแปลงของร่างกายแม่ท้องมากขึ้น ลูกในท้องก็พัฒนาการดีขึ้นมากด้วย เราลองมาเช็กกันค่ะ ว่าเมื่อ แม่ตั้งครรภ์ อายุครรภ์ 3 เดือนร่างกายแม่เปลี่ยนแปลงแค่ไหน น้ำหนักตัวขึ้นเท่าไหร่ ลูกในท้อง อายุครรภ์ 3 เดือน มีพัฒนาการอย่างไร และ แม่ท้อง 3 เดือน ควรกินอะไรบ้าง

พัฒนาการทารกในครรภ์ 3 เดือน อายุครรภ์ 3 เดือน ลูกในท้องตัวเท่าลูกมะนาว

  1. ทารกจะมีความยาวตั้งแต่หัวจรดเท่า ประมาณ 9 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 15 กรัม
  2. ส่วนหัวทารกจะดูใหญ่กว่าลำตัว มีซี่โครง และ กระดูกลำตัวชัด
  3. อวัยวะเพศเริ่มพัฒนาภายนอกให้เห็น แต่ยังระบุเพศที่ชัดเจนไม่ได้
  4. ขากรรไกร เหง้าฟันแท้ทั้ง 32 ซี่ จะซ่อนอยู่ในปุ่มเหงือกอย่างครบถ้วน
  5. ทารกเริ่มกลืนน้ำคร่ำได้ เพราะลำไส้เริ่มทำงานแล้ว
  6. ปัสสาวะออกมาได้เล็กน้อยในถุงน้ำคร่ำด้วย เนื่องจากระบบขับถ่ายเริ่มทำงาน
  7. หัวใจจะเต้นเร็วมาก ประมาณ 160-170 ครั้งต่อนาที แต่ในบางรายหมออาจจะยังฟังเสียงหัวใจไม่ได้เพราะผนังท้องคุณแม่หนามาก

แม่ท้องอายุครรภ์ 3 เดือน มีอาการคนท้องและร่างกายเปลี่ยนแปลงอย่างไร

  1. คุณแม่จะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น แต่จะยังไม่มากนัก บางคนน้ำหนักอาจลดลงด้วยซ้ำ เนื่องจากอาการแพ้ท้อง และ หากเพิ่มก็ไม่เกิน 2 กิโลกรัม ซึ่งจะเป็นส่วนของทารกเพียง 48 กรัม ที่เหลือเป็นส่วนขยายของมดลูก เต้านม รกและน้ำคร่ำ รวมทั้งปริมาณเลือดที่เพิ่มขึ้นระบบไหลเวียนโลหิต
     
  2. ยอดมดลูกชัดจนคุณหมอคลำเจอแล้ว เมื่อคุณหมอคลำจะพบยอดมดลูกบริเวณหัวหน่าวโตขึ้น ทำให้คุณแม่มั่นใจได้ว่าตั้งครรภ์แน่นอน ซึ่งขนาดครรภ์ก็จะสมดุลกับอายุของทารก
     
  3. อารมณ์ช่วงเดือนที่ 3 นี้ คุณแม่ยังคงมีอารมณ์แปรปรวนอยู่บ้าง แต่ก็เริ่มทุเลาลง ซึ่งเกิดจากระดับฮอร์โมนที่เริ่มปรับสภาพให้สมดุล

อาหารคนท้องอายุครรภ์ 3 เดือน

  1. โฟเลทยังสำคัญอยู่เช่นเคย แต่ควรเริ่มกินอาหารที่มีโฟเลทเพิ่มมากขึ้นนอกเหนือจากวิตามินของคุณหมอ เช่น นม ผัก ผลไม้ หรือเนื้อสัตว์ เป็นต้น
  2. ช่วงนี้อาจอยากกินอะไรแปลกๆ หรือ รสชาติจัด คุณแม่วครระวังเรื่องความสะอาด หรือทางที่ดีควรเลี่ยงอาหารรสจัด อาหารดิบ อาหารหมักดอง ฯลฯ ไปก่อน
  3. ช่วงนี้ใครที่ยังแพ้ท้องอยู่ ควรกินอาหารร้อน ๆ เช่น ข้าวต้ม ซุป ต้มจืดต่าง ๆ จะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นและยังได้สารอาหรรครบถ้วนสำหรับลูกในท้อง
  4. แม่ท้อง 3 เดือนบางคนเริ่มมีปัญหาช่องปากบ้างแล้ว ควรเพิ่มการกินผลไม้ที่มีวิตามินซีมากขึ้น จะช่วยป้องกันโรคเหงือกบวมและเลือดออกตามไรฟันให้คุณแม่ และที่สำคัญยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิวหนัง ลดโอกาสแตกลายบริเวณผิวหน้าท้องได้ด้วย

 *************************************************

เช็กพัฒนาการทารกในครรภ์ตลอดอายุครรภ์ 9 เดือน ได้ที่นี่

  1. ตั้งครรภ์ 1 เดือน อายุครรภ์ 1 เดือน 
  2. ตั้งครรภ์ 2 เดือน อายุครรภ์ 2 เดือน 
  3. ตั้งครรภ์ 3 เดือน อายุครรภ์ 3 เดือน 
  4. ตั้งครรภ์ 4 เดือน อายุครรภ์ 4 เดือน 
  5. ตั้งครรภ์ 5 เดือน อายุครรภ์ 5 เดือน 
  6. ตั้งครรภ์ 6 เดือน อายุครรภ์ 6 เดือน 
  7. ตั้งครรภ์ 7 เดือน อายุครรภ์ 7 เดือน 
  8. ตั้งครรภ์ 8 เดือน อายุครรภ์ 8 เดือน 
  9. ตั้งครรภ์ 9 เดือน อายุครรภ์ 9 เดือน 

 

ตั้งครรภ์ 4 เดือน อายุครรภ์ 4 เดือน ลูกตัวเท่าอะโวคาโคและรู้เพศลูกแล้ว

ตั้งครรภ์ 4 เดือน, อายุครรภ์ 4 เดือน, ตั้งครรภ์ 14 สัปดาห์, อายุครรภ์ 15 สัปดาห์, อายุครรภ์ 16 สัปดาห์, ดูแลคนท้อง 4 เดือน, สุขภาพคนท้อง 4 เดือน, พัฒนาการทารก ครรภ์ 4 เดือน, อาการคนท้อง, ตั้งครรภ์, ตั้งครรภ์ไตรมาส 2, อัลตราซาวนด์ลูกในท้อง, รู้เพศลูก เมื่อไหร่, อาหารคนท้อง, คนท้อง 4 เดือน, ตั้งท้อง 4 เดือน, อาการคนท้อง 4 เดือน, ท้อง 4 เดือนใหญ่แค่ไหน, ท้อง 4 เดือนลูกโตขนาดไหน, ท้อง 4 เดือนปวดท้องจี๊ดๆ , ท้อง 4 เดือนกินน้ำมะพร้าวได้มั้ย, คนท้องเป็นตะคริว, ทารกในครรภ์, พัฒนาการทารกในครรภ์

ตั้งครรภ์ 4 เดือน อายุครรภ์ 4 เดือน ลูกตัวเท่าอะโวคาโค และรู้เพศแล้ว

พัฒนาการทารกในครรภ์ 4 เดือน แม่ตั้งครรภ์ 4 เดือนหรือ อายุครรภ์ 4 เดือนหรือ อายุครรภ์ 16 สัปดาห์ (16 สัปดาห์ 4 เดือนทางจันทรคติ)สามารถ ระบุเพศด้วยการอัลตราซาวนด์ ได้แล้ว มา เช็กพัฒนาการทารกในครรภ์ 4 เดือนกันว่าเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน ร่างกายแม่มีอะไรต้องดูแล และ แม่ท้องต้องกินอะไรในช่วงตั้งครรภ์ 4 เดือนนี้

พัฒนาการทารกในครรภ์ 4 เดือน ลูกในท้องตัวเท่าอะโวคาโด

(16 สัปดาห์ 4 เดือนทางจันทรคติ)

  • ท้อง 4 เดือนลูกโตขนาดไหน ตอนนี้ทารกในครรภ์ความยาวหัวจรดเท้าประมาณ 16 เซนติเมตร และมีน้ำหนักประมาณ 100 กรัม 
  • ส่วนหัวยังใหญ่เมื่อเทียบกับลำตัว ผิวหนังบางใส สีแดงเรื่อ ๆ มองเห็นเส้นเลือดได้เลย เริ่มมีขนตา ขนคิ้ว และเส้นผมงอกขึ้น
  • อวัยวะเพศพัฒนาจนระบุเพศชัดเจนได้แล้วจากการอัลตราซาวนด์ว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย
  • ปุ่มรับรสบนลิ้นพัฒนาแล้ว
  • เปลือกตายังติดกัน แต่สามารถรับรู้ความสว่าง และเริ่มไวต่อแสงที่ส่องไปถึงได้มากขึ้น ช่วงนี้ลองส่องไฟเล่นกับลูกได้บ้างแล้วนะคะ
  • เริ่มได้ยินเสียงชัดเจนขึ้น และอาจจะมีการเตะเบา ๆ เมื่อได้ยินเสียงดังหรือได้ยินเสียงแม่ แต่แม่จะไม่รู้สึกว่าลูกเตะหรือดิ้นเพราะยังเบามาก
  • ปอดเริ่มทำงาน ขยับขึ้นลงเหมือนหายใจ แต่ยังไงลูกก็ยังรับออกซิเจนผ่านรกไปจนกว่าจะคลอด

 อาการคนท้อง 4 เดือน ร่างกายเปลี่ยนแปลงอย่างไร

  • ท้อง 4 เดือนใหญ่แค่ไหน ตอนนี้หน้าท้องเริ่มโตเพราะมดลูกจะลอยสูงขึ้นจากอุ้งเชิงกรานเข้าสู่ช่องท้อง คุณแม่จะคลำยอดมดลูกได้ และเริ่มเห็นเส้นดำกลางหน้าท้อง
  • หัวนมเริ่มดำคลำขึ้น หัวนมมักเจ็บเมื่อถูกสัมผัส เส้นเลือดดำที่เห็นเป็นริ้วสีเขียวจะดูชัดขึ้น
  • ช่วงนี้คุณแม่จะมีโอกาสเป็นตะคริว เส้นเลือดขอดและริดสีดวงทวารได้ง่ายกว่าคนทั่วไป ซึ่งเป็นผลจากการขยายตัวของมดลูกอย่างรวดเร็ว ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงต่อระบบไหลเวียนของโลหิตนั่นเอง

 อาหารคนท้องอายุครรภ์ 4 เดือน

  • อาหารที่วิตามินบี 1 เช่น ธัญพืช ข้าวกล้อง เนื้อวัว หรือเนื้อหมู เต้าหู้ ถั่วหมัก งา กระเทียม เป็นต้น จะช่วยปกป้องคุณแม่จากโรคเหน็บชา อันเนื่องมาจากน้ำหนักครรภ์ที่เพิ่มขึ้นและไปกดทับเส้นเลือด ทำให้การหมุนเวียนของเลือดติดขัดได้
  • คุณแม่ควรเริ่มให้ความสำคัญกับอาหารที่มีสังกะสีที่มีมากในเนื้อสัตว์ อาหารทะเล และถั่วอบแห้ง เพราะช่วยเสริมการเติบโตของทารกในครรภ์ และยังช่วยป้องกันการคลอดก่อนกำหนดด้วย

 *************************************************

เช็กพัฒนาการทารกในครรภ์ตลอดอายุครรภ์ 9 เดือน ได้ที่นี่
  1. ตั้งครรภ์ 1 เดือน อายุครรภ์ 1 เดือน 
  2. ตั้งครรภ์ 2 เดือน อายุครรภ์ 2 เดือน 
  3. ตั้งครรภ์ 3 เดือน อายุครรภ์ 3 เดือน 
  4. ตั้งครรภ์ 4 เดือน อายุครรภ์ 4 เดือน 
  5. ตั้งครรภ์ 5 เดือน อายุครรภ์ 5 เดือน 
  6. ตั้งครรภ์ 6 เดือน อายุครรภ์ 6 เดือน 
  7. ตั้งครรภ์ 7 เดือน อายุครรภ์ 7 เดือน 
  8. ตั้งครรภ์ 8 เดือน อายุครรภ์ 8 เดือน 
  9. ตั้งครรภ์ 9 เดือน อายุครรภ์ 9 เดือน 

 

ตั้งครรภ์ 5 เดือน อายุครรภ์ 5 เดือน ลูกตัวเท่ามะละกอ และ ลูกดิ้นถีบท้องแรง

ตั้งครรภ์ 5 เดือน, อายุครรภ์ 5 เดือน, ตั้งครรภ์ 17 สัปดาห์, ตั้งครรภ์ 18 สัปดาห์, ตั้งครรภ์ 19 สัปดาห์, อายุครรภ์ 20 สัปดาห์, ดูแลคนท้อง 5 เดือน, สุขภาพคนท้อง 5 เดือน, พัฒนาการทารกในครรภ์, อาหารคนท้อง, อาการคนท้อง, ตั้งครรภ์, อายุครรภ์, ลูกเริ่มดิ้น เมื่อไหร่, ลูกถีบแรง, ทารกในครรภ์, อาการ ท้อง แข็ง ขณะ ตั้ง ครรภ์ 5 เดือน, ท้อง 5 เดือนลูกอยู่ตรงไหน, ท้อง 5 เดือนน้ำหนักลูกเท่าไหร่, ท้อง 5 เดือน ลูกดิ้นบ่อยแค่ไหน, ท้อง 5 เดือนนอนหงายได้ไหม, ท้อง 5 เดือนใหญ่แค่ไหน, ท้อง 5 เดือนน้ำหนักขึ้นกี่โล, การนับลูกดิ้น

แม่ตั้งครรภ์ 5 เดือน อายุครรภ์ 5 เดือน ลูกตัวเท่ามะละกอและดิ้นแรง

พัฒนาการทารกในครรภ์ 5 เดือน แม่ตั้งครรภ์ 5 เดือน อายุครรภ์ 5 เดือน หรือ อายุครรภ์ 20 สัปดาห์ (ช่วง อายุครรภ์ 17 สัปดาห์, อายุครรภ์ 18 สัปดาห์, อายุครรภ์ 19 สัปดาห์, อายุครรภ์ 20 สัปดาห์)  (5 เดือนตามจันทรคติ) ลูกในท้องตัวเท่ามะละกอลูกเล็ก และ ลูกดิ้นแรงแล้ว

  • ทารกในครรภ์มีความยาวหัวจรดเท้าประมาณ 25 เซนติเมตร น้ำหนักตัวประมาณ 300 กรัม
  • เริ่มมีผมอ่อนขึ้น เปลือกตายังปิดอยู่ แต่ถึงจะปิดแต่ก็ไวแสง แม่ยังส่องไฟเล่นกันลูกได้
  • เริ่มดิ้น ยืดตัว พลิกตัวหมุนไปมาในท้องแม่จนแม่รู้สึกได้เองแล้วว่าลูกดิ้นหรือถีบเป็นระยะ ๆ (ตอนไหนไม่ถีบคือหลับ) คุณแม่ควรจนบันทึกเวลาในการดิ้นของลูกไว้
  • แยกรสหวานและขมได้ด้วยนะ สืบเนื่องจากปุ่มรับรสที่พัฒนาแล้วตั้งแต่เมื่อเดือนที่ 4 ตอนนี้เลยเริ่มแยกรสได้แล้ว
  • มีฟันน้ำนมเกิดขึ้นในเหงือกแล้ว

อาการคนท้อง 5 เดือน ร่างกายเปลี่ยนแปลงอย่างไร

  • ช่วงนี้น้ำหนักตัวจะขึ้นมาประมาณ 1-1.5 กิโลกรัม ท้องเริ่มใหญ่ขึ้นอย่างเร็วจนอาจทำให้ผิวเริ่มแตกลายได้ คุณแม่ควรใช้เบบี้ออยล์ โลชั่น หรือครีมป้องกันท้องแตก เพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิว
  • คุณแม่จะขี้ร้อนและเหงื่อออกง่าย เพราะต่อมไทรอยด์ต้องทำงานมากขึ้น บางครั้งอาจรู้สึกเหมือนตัวเองหายใจหอบ
  • ปัสสาวะบ่อยมาก เพราะตัวลูกใหญ่ขึ้นจนไปกดทับกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ต้องเข้าห้องน้ำบ่อย ๆ
  • อาจรู้สึกแสบกระเพาะอาหาร เกิดกรดไหลย้อน และท้องผูกได้
  • ตะคริวเริ่มมากบ่อยขึ้น ส่วนใหญ่มักเป็นมากในช่วงกลางคืน หากคุณแม่เป็นตะคริวควรรีบกระดกปลายเท้าขึ้น เพื่อให้กล้ามเนื้อที่จับตัวเป็นตะคริวเหยียดและคลายตัวออก
  • อาการท้องแข็งขณะตั้งครรภ์ 5 เดือน เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ เนื่องจากการขยายตัวของมดลูก ลูกดิ้นแรง หรือแม่กินอาหารอิ่มเกินไป ก็ทำให้ท้องแข็งได้ 
  • ช่วงนี้แม่ท้องอาจจะต้องเลี่ยงท่านอนหงายก่อน เพราะด้วยน้ำหนักท้องที่มากขึ้นอาจทำให้รู้สึกอึดอัด นอนไม่สบาย นอกจากนี้การนอนหงายจะทำให้ความดันโลหิตลดลงจนส่งผลต่อปริมาณเลือดที่จะส่งไปหล่อเลี้ยงหัวใจและทารกในครรภ์

อาหารคนท้องอายุครรภ์ 5 เดือน

  1. เพราะตะคริวมาหนักขึ้น คุณแม่ควรกินอาหารที่มีวิตามินบี 12 มากขึ้น เช่น เนื้อสัตว์ ปลา นม เนย ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ เป็นต้น จะช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง ช่วยบำรุงระบบประสาทส่วนกลาง และส่วนปลายของทารกได้
  2. อย่าลืมเน้นผัก ผลไม้ และน้ำสะอาดที่ควรกินทั้งวัน เพื่อลดและป้องกันอาการท้องผูกที่มักเกิดกับคุณแม่ท้องนั่นเอง

 *************************************************

 

 

เช็กพัฒนาการทารกในครรภ์ตลอดอายุครรภ์ 9 เดือน ได้ที่นี่

  1. ตั้งครรภ์ 1 เดือน อายุครรภ์ 1 เดือน 
  2. ตั้งครรภ์ 2 เดือน อายุครรภ์ 2 เดือน 
  3. ตั้งครรภ์ 3 เดือน อายุครรภ์ 3 เดือน 
  4. ตั้งครรภ์ 4 เดือน อายุครรภ์ 4 เดือน 
  5. ตั้งครรภ์ 5 เดือน อายุครรภ์ 5 เดือน 
  6. ตั้งครรภ์ 6 เดือน อายุครรภ์ 6 เดือน 
  7. ตั้งครรภ์ 7 เดือน อายุครรภ์ 7 เดือน 
  8. ตั้งครรภ์ 8 เดือน อายุครรภ์ 8 เดือน 
  9. ตั้งครรภ์ 9 เดือน อายุครรภ์ 9 เดือน 

ตั้งครรภ์ 6 เดือน อายุครรภ์ 6 เดือน ลูกตัวเท่าดอกกะหล่ำและได้ยินเสียงแม่แล้ว

ตั้งครรภ์ 6 เดือน-อายุครรภ์ 6 เดือน-ตั้งครรภ์ 30 สัปดาห์-ตั้งครรภ์ 28 สัปดาห์-ตั้งครรภ์ 29 สัปดาห์-พัฒนาการทารกในครรภ์

การตั้งครรภ์ 6 เดือน อายุครรภ์ 6 เดือน ลูกตัวเท่าดอกกะหล่ำและได้ยินเสียงแม่แล้ว

พัฒนาการทารภในครรภ์ 6 เดือน หรือ แม่ตั้งครรภ์ 6 เดือนที่ อายุครรภ์ 6 เดือน คุณแม่กำลังย่างเข้าสู่ การตั้งครรภ์ ไตรมาสที่ 3 ( อายุครรภ์ 21 สัปดาห์, อายุครรภ์ 22 สัปดาห์,อายุครรภ์ 23 สัปดาห์,อายุครรภ์ 24 สัปดาห์ )แล้วนะคะ ช่วงนี้ พัฒนาการทารกในครรภ์ มีอะไรเพิ่มเติมบ้าง แม่ตั้งครรภ์ 6 เดือน ดูแลตัวเองอย่างไรและ ร่างกาย แม่ท้องอายุครรภ์ 6 เดือน เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง มาเช็กกันตรงนี้ค่ะ

พัฒนาการทารกในครรภ์ 6 เดือน ลูกในท้องตัวหัวดอกกะหล่ำ

(24 สัปดาห์ สิ้นเดือนที่ 6 ทางจันทรคติ หรือ 5 1/2 เดือนตามปฏิทิน)

  • ทารกในครรภ์มีความยาวหัวจรดเท้าประมาณ 33 เซนติเมตร น้ำหนักตัวประมาณ 600 กรัม 
  • ตามร่างกายมีขนอ่อนปกคลุมมากขึ้น และเปลือกตาเริ่มเปิดออกได้แล้ว
  • ปอดเริ่มทำงานได้ แต่หลอดลมของปอดยังทำงานได้ไม่เต็มที่
  • ลูกในท้องเริ่มไวต่อคลื่นเสียงความถี่สูง ๆ และจะเคลื่อนตัวตามจังหวะเสียงพูดของคุณพ่อคุณแม่ได้ การที่คุณพ่อคุณแม่พูดคุยกับทารกเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ทารกสามารถจดจำเสียงได้ ยิ่งพูดคุยด้วยบ่อย ๆ ก็จะยิ่งดี
  • คุณแม่อาจจะรู้สึกว่าช่วงตั้งท้อง 6 เดือนลูกไม่ค่อยดิ้นโดยทั่วไปคุณหมอจะแนะนำให้นับลูกดิ้นตั้งแต่อายุครรภ์ 28 สัปดาห์ หรือตั้งครรภ์ 7 เดือนขึ้นไปเดังนั้นหากรู้สึกว่าลูกไม่ดิ้น แต่คุณแม่ไม่มีสัญญาณบ่งบอกถึงความผิดปกติใด ๆ ในร่างกาย ก็ไม่ต้องกังวลไปค่ะ

อาการคนท้อง 6 เดือนร่างกายเปลี่ยนแปลงอย่างไร

  • คุณแม่ท้อง 6 เดือน เท้าบวมเป็นเรื่องปกติที่ต้องเจอ เพราะร่างกายจะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นประมาณอาทิตย์ละครึ่งกิโลกรัม คุณแม่ไม่ต้องกังวลว่าท้องจะเล็กหรือใหญ่แล้วมีผลกับพัฒนาการทารกในครรภ์นะคะ ขอแค่ดูแลตัวเองดี กินอาหารหลากหลายครบถ้วน ลูกในท้องจะแข็งแรงแน่นอนค่ะ
  • เวลาแม่เปลี่ยนอิริยาบทอาจจะเกิดการเสียดท้องน้อยได้ เพราะมดลูกจะเกิดการหดตัวและเกร็ง
  • อาการท้องแข็งขณะตั้งครรภ์ 6 เดือน สามารถเกิดขึ้นได้เป็นเรื่องปกติ ท้องแข็งมีหลายสาเหตุ เช่น ท้องแข็งที่เกิดจากลูกโก่งตัว เป็นอาการท้องแข็งในบางที่ โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นร่างกายลูก เช่น ศีรษะ ศอก เข่า หรือท้องแข็งหลังจากคุณแม่กินอิ่มเกินไปจนรู้สึกแน่น อึดอัด 
  • คุณแม่อาจจะปวดชายโครงได้ เนื่องจากขนาดครรภ์ใหญ่ขึ้น และขณะที่ทารกดิ้นก็อาจเกิดการกดทับกระเพาะอาหารและแสบร้อนได้เหมือนกัน
  • สิ่งที่คุณแม่ต้องระวังเป็นพิเศษในช่วงนี้คือ โรคหรือภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่น ภาวะเบาหวาน ครรภ์เป็นพิษ การอักเสบจากเชื้อรา เป็นต้น ดังนั้นจะต้องระวังเรื่องอาหาร และหากตรวจพบภาวะดังกล่าวจะต้องปฏิบัติตามที่คุณหมอแนะนำอย่างเคร่งครัด


อาหารคนท้องอายุครรภ์ 6 เดือน

  • แคลเซียม ควรรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมให้เพียงพอเพื่อป้องกันการเกิดตะคริว
  • กากใย การกินอาหารที่มีกากใยสูงตลอดช่วงไตรมาสสุดท้ายของการตั้งครรภ์ นอกจากจะช่วยป้องกันท้องผูกหรือริดสีดวงทวารแล้ว ยังลดโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์ได้

 *************************************************

เช็กพัฒนาการทารกในครรภ์ตลอดอายุครรภ์ 9 เดือน ได้ที่นี่

  1. ตั้งครรภ์ 1 เดือน อายุครรภ์ 1 เดือน 
  2. ตั้งครรภ์ 2 เดือน อายุครรภ์ 2 เดือน 
  3. ตั้งครรภ์ 3 เดือน อายุครรภ์ 3 เดือน 
  4. ตั้งครรภ์ 4 เดือน อายุครรภ์ 4 เดือน 
  5. ตั้งครรภ์ 5 เดือน อายุครรภ์ 5 เดือน 
  6. ตั้งครรภ์ 6 เดือน อายุครรภ์ 6 เดือน 
  7. ตั้งครรภ์ 7 เดือน อายุครรภ์ 7 เดือน 
  8. ตั้งครรภ์ 8 เดือน อายุครรภ์ 8 เดือน 
  9. ตั้งครรภ์ 9 เดือน อายุครรภ์ 9 เดือน 

 

ตั้งครรภ์ 8 เดือน อายุครรภ์ 8 เดือน ลูกตัวเท่าสับปะรดและถีบท้องแรงมาก

 ตั้งครรภ์ 8 เดือน-อายุครรภ์ 8 เดือน-ตั้งครรภ์ 36 สัปดาห์-ท้องใกล้คลอด-ตั้งครรภ์ 34 สัปดาห์-ตั้งครรภ์ 32 สัปดาห์-พัฒนาการทารกในครรภ์

ตั้งครรภ์ 8 เดือน อายุครรภ์ 8 เดือน ลูกตัวเท่าสับปะรดและถีบท้องแรงมาก

พัฒนาการทารกในครรภ์ 8 เดือน ตั้งท้อง 8 เดือนลูกหนักเท่าไหร่ มีพัฒนาการครบถ้วนแค่ไหน พร้อมคลอดแล้วหรือยัง คุณแม่ท้องเช็ก พัฒนาการทารกในครรภ์อายุ 8 เดือนได้ตรงนี้ พร้อมวิธีเตรียมตัวคุณแม่อายุครรภ์ 8 เดือนก่อนคลอดค่ะ

พัฒนาการทารกในครรภ์ 8 เดือน ลูกในท้องตัวเท่าสับปะรด

( อายุครรภ์ 29 สัปดาห์, อายุครรภ์ 30 สัปดาห์, อายุครรภ์ 31 สัปดาห์, อายุครรภ์ 32 สัปดาห์ ปลายเดือน 8 ตามจันทรคติ หรือ 7 เดือนเศษตามปฏิทิน)

  • ทารกในครรภ์จะมีความยาวหัวจรดเท้าประมาณ 40 ซม. และ มีน้ำหนักตัวประมาณ 1,600 กรัม
  • ผิวหนังยังเหี่ยวย่นเนื่องจากชั้นไขมันยังน้อย
  • ทารกในท้องจะปัสสาวะออกมามาก ดังนั้นในถุงน้ำคร่ำจึงจะปนด้วยปัสสาวะลูกค่อยข้างมาก
  • ทารกในครรภ์จะขยับแขนและเหยียดขาเตะผนังหน้าท้องของคุณแม่ อาจทำให้คุณแม่นอนไม่ค่อยหลับ คุณแม่สามารถใช้มือลูบท้องและพูดคุยกับทารกในครรภ์ได้ เดือนนี้ทารกบางคนอาจจะอยู่ในท่าเตรียมตัวคลอดแล้ว (ท่าก้น) ไปจนถึงครบกำหนดคลอด
  • ผมของทารกเริ่มขึ้นเต็มศีรษะ ผิวเริ่มเป็นสีชมพู เพราะมีไขมันสีขาวสะสมใต้ผิวหนัง และเล็บมือเล็บเท้าจะงอกยาว

อาการคนท้อง 8 เดือน ร่างกายเปลี่ยนแปลงอย่างไร

  • คุณแม่จะเริ่มเคลื่อนไหวได้ช้าลง อุ้ยอ้าย ปวดหลัง เดินแอ่นหลัง ขาถ่างมากขึ้น เนื่องจากท้องเริ่มโตเต็มที่ เดือนนี้คุณหมอจะนัดตรวจครรภ์ถี่ขึ้น เพราะเป็นช่วงที่พบโรคแทรกซ้อนได้มาก เช่น ครรภ์เป็นพิษ จึงต้องหมั่นตรวจวัดความดันโลหิตและปัสสาวะของคุณแม่
  • มดลูกขยายตัวใหญ่ขึ้นตามขนาดของทารกในครรรภ์ ยอดมดลูกดันยอดอกและชายโครง จึงอาจทำให้คุณแม่มีอาการจุกเสียด สะดือตื้นขึ้นและคล้ำ เส้นดำกลางลำตัวจะมีสีเข้มขึ้น
  • อาการท้องแข็งขณะตั้งครรภ์ 8 เดือน สามารถเกิดขึ้นได้ เพราะหลังไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์คนท้องมักมีอาการท้องแข็งได้บ่อยครั้ง แต่ถ้ามีอาการท้องแข็งนานนานเกินไป ประมาณ 10 นาทีต่อเนื่อง หรือมีเลือดออกทางช่องคลอดด้วย ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
  • มดลูกจะฝึกหดตัวเป็นระยะ เพื่อเตรียมเข้าสู่ระยะการเจ็บคลอดจริง มดลูกจะนูนแข็งขึ้นมาเป็นครั้ง คราวละไม่เกิน 30 วินาที คุณแม่อาจรู้สึกว่าท้องตึง แต่ไม่เจ็บมาก

อาหารคนท้องอายุครรภ์ 8 เดือน

  • กินอาหารที่อุดมด้วยแคลเซียม วิตามินซี วิตามินดี และโอเมก้า 3 จะช่วยให้กะโหลกศีรษะของทารกแข็งแรงและพร้อมผ่านช่องคลอดไปได้ด้วยดี
  • กินอาหารที่มีธาตุเหล็ก เพราะคุณแม่ต้องการปริมาณเลือดที่เพิ่มขึ้นทั้งในช่วงตั้งครรภ์และการคลอด

 *************************************************

เช็กพัฒนาการทารกในครรภ์ตลอดอายุครรภ์ 9 เดือน ได้ที่นี่

  1. ตั้งท้อง 1 เดือน อายุครรภ์ 1 เดือน 
  2. ตั้งท้อง 2 เดือน อายุครรภ์ 2 เดือน 
  3. ตั้งท้อง 3 เดือน อายุครรภ์ 3 เดือน 
  4. ตั้งท้อง 4 เดือน อายุครรภ์ 4 เดือน 
  5. ตั้งท้อง 5 เดือน อายุครรภ์ 5 เดือน 
  6. ตั้งท้อง 6 เดือน อายุครรภ์ 6 เดือน 
  7. ตั้งท้อง 7 เดือน อายุครรภ์ 7 เดือน 
  8. ตั้งท้อง 8 เดือน อายุครรภ์ 8 เดือน 
  9. ตั้งท้อง 9 เดือน อายุครรภ์ 9 เดือน 

ตั้งท้อง 9 เดือน อายุครรภ์ 9 เดือน ลูกตัวเท่าแตงโม และ เตรียมคลอดแล้ว

ท้อง 9 เดือน, ตั้งท้อง 9 เดือน, คนท้อง 9 เดือน, ตั้งครรภ์ 9 เดือน, ครรภ์ 9 เดือน, อายุครรภ์ 9 เดือน, ตั้งครรภ์ 36 สัปดาห์, ตั้งครรภ์ 37 สัปดาห์, ตั้งครรภ์ 38 สัปดาห์, อายุครรภ์ 39 สัปดาห์, อายุครรภ์ 40 สัปดาห์, ดูแลคนท้อง 9 เดือน, สุขภาพคนท้อง 9 เดือน, พัฒนาการทารกในครรภ์, อาหารคนท้อง, อาการคนท้อง, ตั้งครรภ์, อายุครรภ์, ลูกกลับหัวเตรียมคลอด, คลอดลูก, ท้องแก่ ใกล้คลอด, ทารกไม่กลับหัว

ตั้งท้อง 9 เดือน อายุครรภ์ 9 เดือน ลูกตัวเท่าแตงโมและเตรียมคลอดแล้ว

แม่ตั้งครรภ์ 9 เดือน อายุครรภ์ 9 เดือนพร้อมคลอดลูกแล้วนะ ก่อนคลอดลูกเรามาเช็กพัฒนาการลูกในครรภ์ 9 เดือน กันค่ะ ว่าพร้อมออกมาลืมตาดูโลกมาน้อยแค่ไหน และเช็กไปถึง คุณแม่ท้องแก่ ใกล้คลอด ด้วยว่าจะต้อง เตรียมความพร้อม อะไรบ้างใน การต้อนรับเบบี๋ที่กำลังจะคลอด

พัฒนาการทารกในครรภ์ 9 เดือน ลูกในท้องตัวเท่าแตงโม

(อายุครรภ์ 36 สัปดาห์ - อายุครรภ์ 40 สัปดาห์ ปลายเดือน 10 ทางจันทรคติ หรือ 9 เดือนกับ 1 สัปดาห์ตามปฏิทิน)

  • ทารกในครรภ์มีความยาวตั้งแต่หัวจรดเท้าประมาณ 50 ซม. น้ำหนักตัวประมาณ 3,000 - 3,500 กรัม
  • ผิวลูกจะเป็นสีชมพู เรียบ ไม่ย่นมากเหมือนเดือนก่อน ๆ
  • ผมยาวประมาณ 3-4 เซนติเมตร
  • ปอดทำงานได้ดี และสามารถทำงาน หายใจได้เองเมื่อคลอดออกมาแล้ว
  • ทารกในครรภ์จะอยู่ในท่าพร้อมคลอด คือ กลับตัวเอาหัวลง ซึ่งอาจะมีทารกบางคนที่ไม่กลับหัว แต่จะอยู่ใน "ท่าก้น" คือเอาก้นคลอด ท่านี้ค่อนข้างอันตราย ดังนั้นเมื่อทารกไม่กลับหัว คุณหมอและพยาบาลจะมีท่าและการนวดท้องที่จะช่วยให้ลูกกลับหัวได้ หรือหากมีความเสี่ยงมากอาจจะต้องผ่าคลอดแทนการคลอดธรรมชาติ ขึ้นอยู่กับขนาดตัวของลูก และความแข็งแรงร่างกายของแม่ค่ะ

ท้อง 9 เดือน, ตั้งท้อง 9 เดือน, คนท้อง 9 เดือน, ตั้งครรภ์ 9 เดือน, ครรภ์ 9 เดือน, อายุครรภ์ 9 เดือน, ตั้งครรภ์ 36 สัปดาห์, ตั้งครรภ์ 37 สัปดาห์, ตั้งครรภ์ 38 สัปดาห์, อายุครรภ์ 39 สัปดาห์, อายุครรภ์ 40 สัปดาห์, ดูแลคนท้อง 9 เดือน, สุขภาพคนท้อง 9 เดือน, พัฒนาการทารกในครรภ์, อาหารคนท้อง, อาการคนท้อง, ตั้งครรภ์, อายุครรภ์, ลูกกลับหัวเตรียมคลอด, คลอดลูก, ท้องแก่ ใกล้คลอด, ทารกไม่กลับหัว

อ่านบทความ : อาการใกล้คลอดมาแล้วแต่ลูกไม่ยอมกลับหัว แม่และหมอต้องท้องยังไง

 

อาการคนท้อง 9 เดือน ร่างกายเปลี่ยนแปลงอย่างไร

  • เมื่อคุณแม่มีอาการท้องลด จะรู้สึกสบายบริเวณลิ้นปี่และหายใจดีขึ้น ซึ่งเกิดจากการที่ศีรษะของทารกลงไปอยู่ในช่องเชิงกราน
  • มีอาการเจ็บเตือนก่อนคลอดบ่อยขึ้น
  • เดือนนี้คุณแม่จะมีความวิตกกังวลมากขึ้น ทำให้นอนไม่หลับ เนื่องจากท้องที่โตมากขึ้น อึดอัดไม่สบายตัว ดังนั้น หากพอมีเวลาคุณแม่ควรงีบหลับบ้างจะช่วยให้คุณแม่รู้สึกสดชื่น และอย่าลืมหนุนเท้าให้สูงกว่าลำตัวเวลานอนด้วยนะคะ

การดูแลสุขภาพอายุครรภ์ 9 เดือน

1. หายใจล้างปอด คือการสูดหายใจลึก ๆ โดยใช้มือข้างหนึ่งวางไว้ที่ท้อง ถ้าหายใจถูกต้อง ท้องจะต้องป่อง จากนั้นผ่อนลมหายใจออกทางปากช้าๆ
 

2. หายใจระดับอก คือ การสูดหายใจถึงแค่ระดับอก โดยใช้มือข้างหนึ่งวางไว้ที่อก ถ้าหายใจถูกต้อง อกจะต้องพองขึ้น จากนั้นผ่อนลมหายใจออกทางปากช้าๆ
 

3. หายใจระดับคอ คือ การสูดหายใจตื้น ๆ เร็ว ๆ โดยหายใจถึงแค่ระดับคอ แล้วหายใจออกทางปากถี่ ๆ ซึ่งการหายใจแต่ละระดับจะช่วยให้คุณแม่ผ่อนคลายและบรรเทาความเจ็บปวดในระยะต่าง ๆ ของการคลอด
 

4. เมื่อมดลูกเริ่มหดรัดตัวสังเกตจากการมีอาการปวดท้องนำมาก่อน ให้คุณแม่หายใจล้างปอด 1 ครั้ง จากนั้นหายใจระดับอก นับ 1-2-3 แล้วค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกทางปาก นับ 1-2-3 ทำเช่นนี้ 6-9 ครั้งต่อนาที
 

5. เมื่อมดลูกคลายตัวเต็มที่ให้หายใจล้างปอดอีก 1 ครั้ง สำหรับการหายใจแบบ ตื้น ๆ ถี่ ๆ จะใช้ในช่วงที่อยากเบ่งเหลือเกิน แต่ปากมดลูกยังไม่เปิดเต็มที่ (ซึ่งพยาบาลมักจะบอกว่า “อย่าเพิ่งเบ่ง”) โดยให้คุณแม่หายใจทางปาก เข้านับ 1 ออกนับ 2 ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าปากมดลูกจะเปิดนะคะ

 *************************************************

เช็กพัฒนาการทารกในครรภ์ตลอดอายุครรภ์ 9 เดือน ได้ที่นี่

  1. ตั้งท้อง 1 เดือน อายุครรภ์ 1 เดือน 
  2. ตั้งท้อง 2 เดือน อายุครรภ์ 2 เดือน 
  3. ตั้งท้อง 3 เดือน อายุครรภ์ 3 เดือน 
  4. ตั้งท้อง 4 เดือน อายุครรภ์ 4 เดือน 
  5. ตั้งท้อง 5 เดือน อายุครรภ์ 5 เดือน 
  6. ตั้งท้อง 6 เดือน อายุครรภ์ 6 เดือน 
  7. ตั้งท้อง 7 เดือน อายุครรภ์ 7 เดือน 
  8. ตั้งท้อง 8 เดือน อายุครรภ์ 8 เดือน 
  9. ตั้งท้อง 9 เดือน อายุครรภ์ 9 เดือน 

 

ท้องกลม ท้องแหลม ท้องป่าน ลักษณะท้องแม่ทำนายเพศลูกได้จริงไหม ต้องพิสูจน์!


รู้เพศลูกในท้อง

ท้องกลม ท้องแหลม ท้องป่าน ลักษณะท้องแม่ทำนายเพศลูกได้จริงไหม ต้องพิสูจน์!

ถือว่าเป็นอีกหนึ่งความเชื่อจากโบราณบอกต่อๆ กันมาว่า ลักษณะท้องของแม่ตั้งครรภ์สามารถทำนายเพศลูกในท้องได้แม่นนัก เรามาลองดูกันค่ะว่า เรื่องนี้ชัวร์หรือมั่วนิ่มกันแน่ โดย พญ.กันดาภา ฐานบัญชา สูติแพทย์ โรงพยาบาลบี.แคร์ เมดิคอลเซ็นเตอร์ 

ทำไมแม่ตั้งครรภ์มีลักษะท้องและขนาดท้องต่างกัน

เหตุที่ลักษณะท้องของแม่ท้องแตกต่างกันมาจากสรีระของตัวแม่ตั้งครรภ์ค่ะ ที่มักพบได้บ่อยคือ ท้องแหลม  ท้องกลม หรือท้องป้าน ซึ่งการจะมีลักษณะท้องแบบใดนั้นขึ้นอยู่กับ 2 เหตุผลต่อไปนี้

  1. รูปร่างและลักษณะของมดลูก - คุณแม่ที่มีมดลูกคว่ำมาทางด้านหน้า เมื่อตั้งครรภ์จะทำให้ท้องแหลมยื่นออกมาด้านหน้า ส่วนคุณแม่ที่มีลักษณะมดลูกคว่ำค่อนไปทางด้านหลัง ท้องจะมีลักษณะท้องกลม 

  2. กล้ามเนื้อหน้าท้อง - หากคุณแม่มีกล้ามเนื้อหน้าท้องแข็งแรงเกิดจากการออกกำลังกายอย่างเป็นประจำ เมื่อตั้งครรภ์ ท้องจะกลมเพราะกล้ามเนื้อส่วนหน้ามีความกระชับ ส่วนคุณแม่ที่ไม่ค่อยออกกำลังกาย กล้ามเนื้อหน้าท้องไม่แข็งแรง หรือเป็นท้องที่ 2 หรือ 3 แล้ว กล้ามเนื้อเคยยืดขยายมาแล้วส่งผลให้ท้องยื่นออกมาด้านหน้ามาก หรือที่เราเรียกว่าท้องแหลม

อายุครรภ์กับขนาดท้องของแม่ท้อง

  • ตั้งครรภ์ไตรมาสที่ 1 (ประมาณ 0-12 สัปดาห์) ขนาดมดลูกยังไม่ขยาย แต่บางคนที่รู้สึกว่าท้องใหญ่ขึ้นนั้นเป็นเพราะท้องอืด เพราะฮอร์โมนจากการตั้งครรภ์ทำให้แพ้ท้องและมีท้องอืดร่วมด้วย

  • ขนาดท้องแม่ตั้งครรภ์อายุครรภ์ประมาณสัปดาห์ที่ 10-12 จะเริ่มคลำขนาดมดลูกที่หน้าท้องได้เหนือหัวหน่าวเล็กน้อย

  • ขนาดท้องแม่ตั้งครรภ์อายุครรภ์ประมาณสัปดาห์ที่ 14 มดลูกจะอยู่ 2 ใน 3 นับจากสะดือไปถึงหัวหน่าว (เวลาแบ่งช่วงหน้าท้องทางการแพทย์จะแบ่งจากใต้สะดือเป็น 3 ส่วน เหนือสะดือเป็น 4 ส่วน)

  • ขนาดท้องแม่ตั้งครรภ์อายุครรภ์ประมาณสัปดาห์ที่ 20 ยอดมดลูกจะอยู่ที่ระดับสะดือพอดี ขนาดท้องแม่ตั้งครรภ์หลังจากสัปดาห์ที่ 20 ขนาดของมดลูกจะมีขนาดเท่ากับอายุสัปดาห์ เช่น ถ้าอายุครรภ์ 23 สัปดาห์ จะวัดยอดมดลูกจากเหนือนหัวหน่าวได้ 23ซม.พอดี ซึ่งเป็นวิธีที่หมอสูติใช้ตรวจว่าขนาดมดลูกด้วยว่าเจริญเติบโตเท่ากับอายุหรือไม่

  • ขนาดท้องแม่ตั้งครรภ์อายุครรภ์หลังจาก 37 สัปดาห์ (หรืออาจจะมากกว่านี้กับคุณแม่บางคน) คุณแม่จะรู้สึกว่าท้องเริ่มลด นั่นเป็นเพราะลูกกำลังกลับศีรษะลงในอุ้งเชิงกราน จึงทำให้รู้สึกเหมือนท้องลด ถือเป็นสัญญาณใกล้คลอดให้คุณแม่ได้ด้วย แต่หากเด็กตัวใหญ่มาก ไม่ยอมกลับศีรษะ แต่ใช้ส่วนนำเป็นก้น แม่จะรู้สึกแน่น ตึง เพราะมดลูกค้ำอยู่กรณีนี้จะต้องผ่าคลอด

ปัญหาช่องปากและฟันอาจเสี่ยงกับพัฒนาการทารกในครรภ์

คนท้องฟันผุ-คนท้องทำฟันได้ไหม

ปัญหาช่องปากและฟันอาจเสี่ยงกับพัฒนาการทารกในครรภ์

คุณแม่ท้องมักจะมีปัญหาสุขภาพช่องปาก เพราะในช่วงนี้ร่างกายของคุณแม่จะมีการเปลี่ยนแปลงในหลาย ๆ ด้าน ซึ่งไม่ควรมองข้ามเรื่องการดูแลปากและฟันนะคะ เพราะกรมการแพทย์ เผยข้อมูลว่าปัญหาสุขภาพช่องปากของคุณแม่จะส่งผลต่อลูกในท้องด้วย

แม่ท้องมีโอกาสเกิดโรคเหงือกอักเสบ ปริทันต์อักเสบรุนแรง และเกิดฟันผุ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นมากขึ้นจึงเกิดการอักเสบ ส่วนที่เกิดฟันผุได้มากขึ้นเนื่องจากการทานอาหารบ่อยครั้ง นอกจากนี้การอาเจียนบ่อย ๆ ตอนแพ้ท้อง ก็ทำให้เกิดปัญหาฟันกร่อน จากการที่ฟันสัมผัสน้ำย่อยซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรดด้วย

หากคุณแม่มีปัญหาสุขภาพช่องปาก จะส่งผลต่อลูกอย่างไรบ้าง

  1. หากคุณแม่เป็นโรคปริทันต์ หรือ โรคเหงือกอักเสบ มีความเสี่ยงที่จะคลอดก่อนกำหนดและทารกแรกคลอดมีน้ำหนักตัวน้อย สูงถึง 7.5 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับมารดาที่ไม่ได้เป็นโรคปริทันต์ ซึ่งการาคลอดก่อนกำหนดอาจจะส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็กในระยะยาวด้วย

  2. หากคุณแม่เป็นโรคฟันผุ ก็จะทำให้ลูกมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคฟันผุเพิ่มขึ้นด้วย เพราะเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุของโรคฟันผุจะส่งต่อจากคุณแม่ไปสู่ลูกผ่านทางน้ำลาย เช่น การใช้ช้อนแก้วน้ำร่วมกันการชิมอาหาร เป่าอาหาร การจูบ ลูกจะฟันผุง่ายขึ้นหากได้รับเชื้อซ้ำๆ

วิธีดูแลช่องปากและฟันของแม่ท้อง

  1. เมื่ออายุครรภ์ 4 – 6 เดือน ควรไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจฟันและทำความสะอาดช่องปาก ไม่ควรรอจนกระทั่งมีอาการ
  2. แปรงฟันให้สะอาด อย่างน้อย วันละ 2 ครั้ง ด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ นาน 2 นาที ร่วมกับการทำความสะอาดซอกฟันทุกวัน
  3. หลังอาเจียนจากการแพ้ท้องหรือทานอาหารเปรี้ยว ควรบ้วนปากด้วยน้ำเปล่าทุกครั้ง
  4. หลีกเลี่ยง การกินอาหารที่มีน้ำตาลสูง เช่น น้ำอัดลม น้ำหวาน นมเปรี้ยว เป็นต้น

เห็นไหมคะ ว่าปัญหาสุขภาพช่องปากของคุณแม่ท้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่มองข้ามได้เลย ดังนั้นตอนการฝากครรภ์ก็ควรสอบถามถึงปัญหาเกี่ยวกับเหงือกและฟันตั้งแต่ครั้งแรกด้วยนะคะ เพื่อที่จะได้รับการตรวจสุขภาพช่องปากจากทันตแพทย์ รวมถึงการดูแลรักษาสุขภาพช่องปากค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก : ประชาสัมพันธ์ กรมการแพทย์

ผัก ผลไม้ ที่คนท้องควรกินเพื่อคลายร้อน รู้แล้วรีบหามาไว้ติดบ้านกันเลย

 
ผักผลไม้ที่คนท้องควรกิน-หน้าร้อน
 

ผัก ผลไม้ ที่คนท้องควรกินเพื่อคลายร้อน

เราขอนำเสนอ ผักและผลไม้ฤดูร้อน ผักและผลไม้คลายร้อน ผักและผลไม้ตามฤดูกาล ที่ ช่วยเพิ่มความสดชื่น และ ช่วยคลายร้อน ให้กับ แม่ท้อง เป็นอย่างดี ด้วยอากาศที่ร้อนขึ้น อาจส่งผลต่อด้านร่างกาย และ ด้านอารมณ์ ของ แม่ท้อง ทำให้ หงุดหงิด ไม่สดชื่น และ รู้สึกว่าร่างกายของตัวเอง ร้อนมากกว่าปกติ ใช่แล้วค่ะ นั่นคือเรื่องจริง เพราะในขณะที่ตั้งครรภ์ ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายหลายอย่าง เช่น ต่อมไทรอยด์ต้องทำงานมากขึ้น การสร้างเซลล์เนื้อเยื่อต่างๆ มีมากขึ้น เพื่อนำไปใช้เสริมสร้างอวัยวะต่างๆ ของลูกน้อยและของคุณแม่ ดังนั้นเรามาเติมความสดชื่นด้วยอาหารเย็นๆ กันดีกว่าค่ะ 

 
สิ่งที่แม่ท้องไม่ควรกินในหน้าร้อน

ผักเหล่านี้รสชาติเผ็ด และจะไปกระตุ้นความร้อนของร่างกาย และทำให้เหงื่อออกเยอะ ได้แก่

  • พริก
  • ขิง
  • ข่า
  • กระเทียม
  • กระชาย
  • หอมแดง
  • หอมใหญ่
  • ใบมะกรูด
  • ยี่หร่า
  • เครื่องเทศ ต่าง ๆ

ผลไม้ที่คลายร้อนได้ดี

ผลไม้ที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบสูง ช่วยระบายความร้อน แก้กระหายน้ำ แก้ร้อนใน ได้แก่

  • แตงโม
  • แคนตาลูป
  • สาลี่
  • แก้วมังกร
  • มังคุด
  • ส้มโอ
  • แตงไทย
  • มะตูม
  • กระเจี๊ยบ
  • สัปปะรด

ผักคลายร้อน

ผักที่ช่วยดับกระหาย คลายร้อน มีฤทธิ์เย็น มีน้ำเป็นส่วนประกอบสูง ช่วยให้อุณหภูมิภายในร่างกายลดลงได้ ได้แก่

  • มะระ
  • ฟักเขียว
  • หัวไชเท้า
  • ตำลึง
  • ดอกแค
  • แตงกวา
  • ปวยเล้ง
  • ใบบัวบก
  • ชะอม
  • สะเดา
  • ถั่วเขียว
  • บวบ
  • รากบัว 

ผักและผลไม่คลายร้อน ที่นำเสนอมา ล้วนแต่มีประโยชน์ และ เพิ่มความสดชื่น ในวันที่อากาศร้อน ได้เป็นอย่างดี แต่ ต้องรับประทานในสัดสวนที่พอเหมาะ และให้ครบหมู่ตามหลักโภชนาการด้วยนะคะ 

พัฒนาการสมองทารกในครรภ์เก่งยิ่งกว่าคอมพิวเตอร์อีกนะแม่

 

พัฒนาการสมองทารกในครรภ์

พัฒนาการสมองทารกในครรภ์เก่งยิ่งกว่าคอมพิวเตอร์อีกนะแม่

สมองของลูกทารกในท้องแม่พัฒนาได้ไว และสามารถทำงานได้แล้วตั้งแต่ยังไม่คลอดเลยนะคะ สำหรับใครที่ท้องอยู่ลองมาเช็กกันหน่อยว่าแต่ใหญ่แค่ไหน โตยังไง และพัฒนายังไง คุณแม่ต้องรู้ และเรามีวิธีกระตุ้นพัฒนาการทางสมองลูกได้ตั้งแต่ในท้องมาแนะนำด้วย

พัฒนาการสมองของทารกในครรภ์ตลอด 9 เดือน

  1. พัฒนาการสมองของทารกในครรภ์เดือนที่ 1  
    หลังการปฏิสนธิประมาน 18 วัน เนื้อเยื่อสมองเริ่มปรากฏขึ้น เริ่มแรกจะเป็นเพียงแผ่นบางๆ ค่อยโค้งเข้าหากันเหมือนหลอดกาแฟ ในระยะต่อมาก็จะโป่งพองและกลายเป็นสมอง ในแต่ละส่วน

  2. พัฒนาการสมองของทารกในครรภ์เดือนที่ 2 และ 3 
    เซลล์สมองเริ่มมีการแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว ประมาณ 250,000 เซลล์ทุกๆ นาที ซึ่งสามารถแบ่งแยกระหว่างสมองและไขสันหลังได้ชัดเจน และช่วงนี้เริ่มมีเส้นใยประสาทโผล่ออกมาให้เห็นแล้วค่ะ

  3. พัฒนาการสมองของทารกในครรภ์เดือนที่ 4  
    ระบบสมองของลูกเริ่มมีความซับซ้อนมากขึ้น  สมองของลูกในระยะนี้จะมีขนาดเท่ากับเมล็ดถั่วแขกค่ะ เส้นใยประสาทเริ่มมีมันสมองมาล้อมรอบ ซึ่งช่วงนี้ประสาทสัมผัส หู ตา ของลูกน้อยเริ่มทำงานได้แล้ว

  4. พัฒนาการสมองของทารกในครรภ์เดือนที่ 5 และ 6 
    คุณแม่คงจะรู้สึกกันแล้วใช่ไหมค่ะว่าลูกกำลังดิ้นอยู่ นั่นเป็นเพราะเซลล์สมองได้เริ่มเคลื่อนย้ายตัวเองไปยังตำแหน่งของเส้นประสาทอย่างทั่วถึง ลูกเริ่มรับรู้ประสาทสัมผัสต่างๆ เช่น รสชาติอาหารของคุณแม่ หรือการเริ่มได้ยินเสียงพูดคุย เพราะ ระบบประสาทของลูกนั้นมีการพัฒนาจนเริ่มที่จะสมบูรณ์แล้ว

  5. พัฒนาการสมองของทารกในครรภ์เดือนที่ 7 
    สมองของลูกจะเริ่มมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือนนี้ค่ะ เซลล์สมองเพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกับเส้นใยและจุดเชื่อมต่างๆ

  6. พัฒนาการสมองของทารกในครรภ์เดือนที่ 8 และ 9 
    ตอนนี้เซลล์สมองของลูกสามารถทำงานประสานกันได้แล้วค่ะ อีกทั้งรอยหยักของสมองเริ่มเกิดขึ้นแล้ว ซึ่งรอยหยักของสมองนี้เองที่เป็นตัวเพิ่มฟื้นที่ให้กับสมองของลูกน้อย

สมองมีเซลล์สมองอยู่ประมาณ 1 แสนล้านเซลล์ ไม่มีการสร้างเพิ่มเติมอีก แต่เราสามารถสร้างเส้นใยประสาทได้โดยการกระตุ้นการเรียนรู้และส่งเสริมประสบการณ์ให้กับลูกได้ค่ะ

 

อาหารบำรุงสมองทารกในครรภ์

เคล็ดลับส่งเสริมและกระตุ้นพัฒนาการทางสมองให้ลูกในท้อง

  • คุณแม่ควรวางแผนตั้งครรภ์และกินกรดโฟลิกก่อนการตั้งครรภ์ล่วงหน้าประมาณ 1-3 เดือนเป็นอย่างน้อย เพื่อไม่ให้ร่างกายขาดกรดโฟลิก คุณแม่ควรกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะผักใบเขียว เช่น ผักคะน้า ผักโขม ควบคู่กับการกินโฟลิกชนิดเม็ด
     
  • กินอาหารที่มีกรดโฟลิกหรือ"โฟเลต" ที่มีความสำคัญในการสังเคราะห์ DNA ซึ่งเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของเซลล์ต่างๆ และมีบทบาทต่อการสร้างสารคาร์บอน อันเป็นกลไกการทำงานของดีเอ็นเอในการถ่ายทอดคำสั่งทางพันธุกรรมเพื่อสร้างโปรตีนชนิดต่างๆ และที่สำคัญ กรดโฟลิกมีความจำเป็นต่อการสร้างเซลล์ประสาทและเซลล์สมองของลูกอย่างมาก