facebook  youtube  line

ภาวะครรภ์เสี่ยงให้หมอ MFM ดูแลคุณแม่ดีที่สุด

ครรภ์เสี่ยง-โรคแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์

ภาวะครรภ์เสี่ยงให้หมอ MFM ดูแลคุณแม่ดีที่สุด

Maternal Fetal Medicine (MFM) หมายถึง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ คือสูติแพทย์ที่ทำการศึกษาต่อยอดภายหลังจากที่จบการฝึกอบรมสูติศาสตร์นรีเวชวิทยาแล้ว คุณหมอต้องมาทำหน้าที่ดูแลในเชิงลึกเกี่ยวกับทางด้านทารก และมารดา ให้คำปรึกษาดูแลช่วยเหลือสูตินรีแพทย์ในการดูแลครรภ์ควบคู่กันไปตลอดการตั้งครรภ์

หน้าที่หลักของหมอ MFM

  • เป็นผู้ให้คำปรึกษาในกรณีที่สงสัยหรือตรวจพบว่าทารกในครรภ์มีภาวะผิดปกติ

  • ดูแลและรับฝากครรภ์ ทำคลอด สตรีตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น อายุมาก มีภาวะแท้งบ่อย ครรภ์แฝด หรือมีโรคประจำตัว เช่น ความดัน เบาหวาน มีปัญหาด้านภูมิคุ้มกัน ที่อาจมีผลต่อการตั้งครรภ์ โดยให้คำปรึกษาตั้งแต่การเตรียมตัวก่อนตั้งครรภ์ การดูแลในระหว่างฝากครรภ์ ช่วงระยะเวลาในการคลอดและหลังคลอด

  • ให้การรักษาทารกในครรภ์ที่มีความผิดปกติบางชนิดที่สามารถให้การช่วยเหลือหรือแก้ไขได้ตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์ก่อนคลอด

  • ช่วยตรวจวินิจฉัยก่อนคลอดเพื่อคัดกรองและวินิจฉัยความผิดปกติของทารกในครรภ์ ซึ่งรวมถึงการเก็บสิ่งส่งตรวจต่าง ๆ จากในครรภ์ เช่น การเจาะชิ้นเนื้อรก การเจาะน้ำคร่ำ และการเจาะเลือดสายสะดือทารก
คุณหมอมีเครื่องมือที่สำคัญในการช่วยตรวจคัดกรองภาวะต่าง ๆ คือ การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงหรือการอัลตร้าซาวด์ ซึ่งการอัลตร้าซาวด์ไม่ได้มีผลกระทบใด ๆ กับทารกในครรภ์ แต่กลับเป็นตัวช่วยสำคัญที่จะทำให้คุณหมอตรวจพบสิ่งผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นกับทารกได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ

โดยทั่วไปแล้วในการตั้งครรภ์ครั้งหนึ่ง ควรจะได้มีการตรวจอัลตร้าซาวด์โดยคุณหมอ MFM อย่างน้อย 1 ครั้ง ในช่วงกึ่งกลางของการตั้งครรภ์ ซึ่งอยู่ประมาณสัปดาห์ที่ 18-23 แต่ถ้าจะเพิ่มความมั่นใจให้กับคุณพ่อคุณแม่ได้มากยิ่งขึ้น ควรมีการตรวจอัลตร้าซาวด์โดยละเอียดอยู่ 3 ช่วงด้วยกัน
 

 

ครรภ์เสี่ยง-โรคแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์

ช่วงที่ 1 การตั้งครรภ์ที่ 11-14 สัปดาห์

ในช่วงนี้จะเป็นช่วงของการคัดกรองที่เรียกว่า Screening ซึ่งเป็นการตรวจลักษณะที่แสดงออกทางอัลตร้าซาวน์ โดยการตรวจดูน้ำบริเวณใต้ต้นคอของทารก ร่วมกับการตรวจเลือดของคุณแม่ เพื่อตรวจหาดาวน์ซินโดรม และเพื่อดูว่าทารกในครรภ์มีพัฒนาการเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็นหรือไม่ ดูว่ามีความผิดปกติอะไรหรือเปล่า เช่น ในระยะนี้ควรจะมีกะโหลก มีแขน มีขา เป็นต้น ซึ่งถ้าเราพบความผิดปกติตั้งแต่ในช่วงนี้ก็จะสามารถร่วมกันปรึกษาหารือ เพื่อหาหนทางแก้ไขปัญหา โดยไม่ต้องรอให้นานไปจนถึง 18 สัปดาห์

 

ช่วงที่ 2 การตั้งครรภ์ที่ 18-23 สัปดาห์   

เป็นช่วงของการตรวจโครงสร้างของทารก ที่เรียกว่า Anatomic Survey เพื่อค้นหาความผิดปกติของเด็ก ซึ่งถ้าไม่พบความผิดปกติในช่วงนี้ คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถถอนหายใจได้เฮือกใหญ่ ๆ เลยทีเดียว เพราะแสดงว่าความเสี่ยงที่จะเกิดความผิดปกติต่าง ๆ กับทารกนั้นลดลงอย่างชัดเจน นอกจากคุณหมอจะตรวจทารกแล้ว ในช่วงนี้คุณหมอก็จะทำการตรวจให้คุณแม่อย่างละเอียดอีกด้วย เพื่อดูว่ามีรกเกาะต่ำหรือไม่ รกอยู่ในตำแหน่งที่ดีหรือไม่ ถ้าอยู่ในตำแหน่งที่ดีก็ไม่น่าเป็นห่วง แต่ถ้ามีรกต่ำก็ต้องคอยติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป รวมทั้งการตรวจเนื้องอก หรือความผิดปกติภายในมดลูกอีกด้วย

สิ่งสำคัญสำหรับการตรวจอัลตร้าซาวด์ให้กับคุณแม่ในช่วงนี้คือ การวัดความยาวของปากมดลูก เพื่อดูว่ามีความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนดหรือไม่ ถ้าปากมดลูกยาวแสดงว่าดี มีความแข็งแกร่ง โอกาสที่ปากมดลูกจะเปิดก็ยาก ความเสี่ยงที่จะคลอดก่อนกำหนดก็น้อย แต่ถ้าปากมดลูกสั้น อ่อนตัว ถุงน้ำย้วยลงมาได้ง่าย ก็มีโอกาสคลอดก่อนกำหนดได้สูง

ถ้าตรวจดูแล้วว่ามีความเสี่ยงก็จะมีการให้ยารักษาแล้วเฝ้าตรวจดูเป็นระยะ ๆ แต่ถ้าสั้นมาก ๆ อาจมีการผ่าตัดเย็บมดลูกร่วมด้วย เพื่อลดความเสี่ยงในการคลอดก่อนกำหนดได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งในสมัยก่อนการคลอดก่อนกำหนดเป็นสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่ปัจจุบันการวัดความยาวของปากมดลูก และการให้ยากลุ่มโปรเจสเตอโรน สามารถช่วยลดปัญหาการคลอดก่อนกำหนดได้สูงถึง 50-70% เลยทีเดียว

ช่วงที่ 3 การตั้งครรภ์ที่ 32-36 สัปดาห์

ในช่วงนี้อาจารย์บอกว่าถือเป็น Option ให้คุณพ่อคุณแม่ได้เลือกมากกว่าว่าจะอัลตร้าซาวด์หรือไม่ เพราะถ้าผ่านช่วงที่ 2 มาได้ก็สามารถสบายใจไปได้กว่าครึ่งแล้วซึ่งช่วงนี้จะเป็นการตรวจดูการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ ดูตำแหน่งรก ตรวจวัดปริมาณน้ำคร่ำ และตรวจดูความผิดปกติของทารกบางชนิด ซึ่งบางอย่างอาจจะมาพบความผิดปกติในช่วงท้ายของการตั้งครรภ์ได้เหมือนกัน แต่มีโอกาสเกิดได้น้อย อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความผิดปกติของทารกในครรภ์อีกหลายชนิด ซึ่งอาจจะไม่สามารถวินิจฉัยก่อนคลอดได้ทั้งหมด เนื่องจากข้อจำกัดของอัลตร้าซาวด์ที่เพิ่มขึ้นในช่วงท้ายของการตั้งครรภ์   นอกจากนี้ขอเสริมว่า ถึงแม้จะมีเครื่องมืออย่างอัลตร้าซาวด์ที่มาช่วยตรวจคัดกรองความผิดปกติ หรือความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะต่างๆ ของทารกในครรภ์แล้ว สิ่งหนึ่งที่จะช่วยป้องกันทารกในครรภ์จากความผิดปกติต่าง ๆ ได้ คือการปฏิบัติตัวของคุณแม่


 
 

ครรภ์เสี่ยง-โรคแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์

เริ่มตั้งแต่การควรทำการตรวจคัดกรองปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ก่อนการตั้งครรภ์

  • ในช่วง 3 เดือนแรกที่ตั้งครรภ์ ควรกินโฟลิกในปริมาณที่เหมาะสม เนื่องจากกรดโฟลิกมีบทบาทสำคัญในการแบ่งตัวของเซลล์สร้างสมอง ไขสันหลังรวมทั้งกระดูกสันหลังด้วย ดังนั้นถ้าช่วงนี้ร่างกายของแม่ขาดกรดโฟลิกก็อาจมีผลทำให้การแบ่งเซลล์ผิดปกติ ทารกมีความพิการทางสมองได้

  • หลีกเลี่ยงสารก่อให้เกิดความพิการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงแรกของการตั้งครรภ์เพราะเป็นช่วงการพัฒนาของตัวอ่อน ต้องหลีกเลี่ยงการเอกซเรย์ สารเคมี ควันพิษ ควันบุหรี่ รวมทั้งยาที่มีผลต่อการตั้งครรภ์ เช่น ยารักษาสิว Roaccutane หากคุณผู้หญิงท่านไหนต้องการมีบุตรแล้วทานยาตัวนี้อยู่ ควรจะหยุดทานก่อนตั้งครรภ์อย่างน้อย 6-8 เดือน

  • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหนัก เพราะความร้อนที่ร่างกายผลิตออกมาจะมีผลต่อการพัฒนาการของลูก

  • ฝากครรภ์และตรวจครรภ์อย่างสม่ำเสมอ

  • กินอาหารที่มีประโยชน์ สะอาด ปรุงสุก เพื่อหลีกเลี่ยงโรคติดเชื้อต่าง ๆ

  • ตรวจคัดกรอง Stage Screening ตามระยะ รวมทั้งวัดความยาวปากมดลูกเพื่อตรวจความเสี่ยงการคลอดก่อนกำหนด


เพราะทั้งความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของคุณหมอ บวกกับเครื่องมือที่จะมาช่วยให้ตลอดการตั้งครรภ์ของคุณผู้หญิงนั้นเป็นไปได้อย่างราบรื่น และเป็นครรภ์ที่มีคุณภาพ ปรึกษาหารือกับคุณหมอเพื่อวางแผนกันก่อนดีกว่า

ขอบคุณข้อมูลจาก: www.bangkokhospital.com

มาดู! ท่านอนลูกแฝดในท้องแม่ พื้นที่น้อยจะนอนอย่างไร

ท้องแฝด-ลูกแฝด

มาดู! ท่านอนลูกแฝดในท้องแม่ พื้นที่น้อยจะนอนอย่างไร

บ้านไหนกำลังท้องลูกแฝดหรืออยากท้องลูกแฝดบ้างคะ การท้องลูกแฝดได้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยค่ะ เช่น ในครอบครัวมีท้องแฝดมาก่อน หรือการตั้งครรภ์ด้วยวิธีทางการแพทย์ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่หลายคนก็บอกว่าเป็นโชคดีเหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัว แต่ทราบไหมคะว่าพื้นที่ในท้องแม่ที่จำกัดมาก แล้วลูกแฝด 2 คนของเราเล่น ดีด นอนในท้องแม่ท่าไหนกัน เรามาส่องท้องแม่กันค่ะว่าน้องแฝดเค้าแบ่งที่เล่นที่นอนกันในท่าไหน


ท้องแฝด-ลูกแฝด
การตั้งครรภ์แฝดเป็นทั้งเรื่องบังเอิญ และ เรื่องที่เทคโนโลยีทางการแพทย์ช่วยได้นะคะ ดังนั้นถ้าคิดจะตั้งครรภ์แฝด ว่าที่คุณพ่อคุณแม่ควรเตรียมตัวให้พร้อม ศึกษาข้อมูลให้ดีและครบถ้วน เพราะจริงๆ แล้วครรภ์แฝดเป็นครรภ์ที่ผิดปกติ จึงจำเป็นต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ซึ่งหากตั้งครรภ์แฝดได้แล้วต้องพร้อมให้มากที่สุดค่ะ เพื่อสุขภาพที่ดีของลูกทั้งสองเป็นสำคัญค่ะ 

 

มีลุ้น! 5 อาการที่บ่งบอกว่าแม่ท้องกำลังจะได้ลูกแฝด

ท้องแฝด-ลูกแฝด

มีลุ้น! 5 อาการที่บ่งบอกว่าแม่ท้องกำลังจะได้ลูกแฝด

หากปู่ ย่า ตาย ยาย หรือญาติพี่น้องของคุณพ่อคุณแม่เคยมีลูกแฝด มันก็น่าลุ้นนะคะว่าเราจะมีลูกแฝดหรือไม่ เพราะปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เราอาจตั้งครรภ์แฝดได้คือ พันธุกรรม ซึ่งก่อนที่จะไปพบคุณหมอเพื่อตรวจครรภ์อย่างชัดเจนว่าท้องลูกแฝดจริงๆ อาจมีอาการคนท้องเบื้องต้นบางอย่างที่บอกเราได้ว่ากำลังตั้งครรภ์แฝดค่ะ 

5 อาการคนท้องที่บ่งบอกว่ากำลังจะได้ลูกแฝด

  1. ท้องลูกแฝดอาจทำให้ค่าต่างๆ ในเลือดสูงกว่าคุณแม่ท้องลูกคนเดียว
    คุณแม่ท้องลูกแฝดจะมีระดับฮอร์โมน HCG หรือฮอร์โมนในการตั้งครรภ์ มีค่าสูงมากกว่าคนอื่น อยู่ที่ระดับ 200 mlU โดยคุณหมอก็จะสันนิษฐานว่าคุณแม่อาจจะตั้งครรภ์ทารกแฝดก็เป็นได้ นอกจากนี้ การตรวจหาสาร AFP ในคุณแม่ท้องแฝดก็จะพบว่ามีค่าสูงขึ้นกว่า 2 เท่าสำหรับการตั้งครรภ์ทั่วไปอีกด้วยค่ะ

  2. ท้องลูกแฝดอาจทำให้แพ้ท้องหนักมาก
    ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงก็เกิดการแพ้ท้อง แต่สำหรับคุณแม่ท้องแฝดจะมีระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงมากเป็นเท่าตัว ทำให้คุณแม่มีอาการแพ้ท้องหนักกว่าปกติ เพราะทารกแฝดต้องการพลังงานและอาหารเข้าไปหล่อเลี้ยงปริมาณมากนั่นเอง

  3. ท้องลูกแฝดอาจทำให้ท้องจะใหญ่กว่าคนท้องทั่วไปมาก
    เมื่อเริ่มท้องออกแล้ว จะรู้สึกว่าตัวเองท้องโตมากกว่าอายุครรภ์จริง เช่น หากอายุครรภ์จริง 4 เดือน แต่ขนาดครรภ์จะใหญ่จนเห็นหน้าท้องได้ชัดเจนราวกับอายุครรภ์ 5-6 เดือนเลยทีเดียวค่ะ

  4. ท้องลูกแฝดอาจทำให้หัวใจคุณแม่เต้นเร็วกว่าปกติมาก
    คุณแม่ทีท้องแฝด จะพบว่าตัวเองมีอัตราการเต้นของหัวใจสูงกว่าปกติ ถ้าเทียบกับคนท้องเดี่ยว แต่ไม่มีอันตรายใดๆ นะคะ เพราะคุณแม่ท้องแฝดนั้นหัวใจจะทำงานหนักเพื่อสูบฉีดเลือดในปริมาณมากขึ้นกว่าเดิม เพื่อพัฒนาด้านการเจริญเติบโตของทารกแฝดค่ะ

  5. ท้องลูกแฝดอาจทำให้ลูกในท้องดิ้นเร็วและดิ้นแรงมาก
    สำหรับท้องแฝดนั้น จะสังเกตได้ว่าการดิ้นของทารกจะดิ้นเร็วและบ่อยกว่าคุณแม่คนอื่นๆ เพราะในครรภ์มีทารกถึง 2 คนหรืออาจจะมากกว่า ดังนั้นเมื่อทารกขยับตัวก็จะทำให้คุณแม่รู้สึกว่าลูกน้อยดิ้นแรงมากกว่าปกตินั่นเองค่ะ

รวม 5 ข้อเด็ด น้ำมันมะพร้าว ช่วยดูแลแม่ตั้งครรภ์ ให้สวยทั้งภายนอกและภายใน

 
แม่ท้องท้องลาย-ครีมทาแก้ท้องลาย

รวม 5 ข้อเด็ด น้ำมันมะพร้าว ช่วยดูแลแม่ตั้งครรภ์ ให้สวยทั้งภายนอกและภายใน

แม่ๆ คงจะคุ้นเคยกันดีกับน้ำมันมะพร้าว โดยเฉพาะช่วงตั้งครรภ์ น้ำมันมะพร้าวนี่แหละตัวช่วยที่ป้องกันไม่ให้ท้องแตกลาย แต่ทราบหรือไม่ว่า น้ำมันมะพร้าวมีดีกว่าแค่เรื่องดูแลผิวเราค่ะคุณแม่

รู้จักน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์

น้ำมันมะพร้าว คือ น้ำมันที่สกัดแยกออกมาจากเนื้อมะพร้าวด้วยวิธีสกัดเย็น ซึ่งไม่ได้ใช้ความร้อนสูง และไม่ผ่านกระบวนการทางเคมี จึงทำให้น้ำมันที่ได้มีลักษณะใสเหมือนน้ำ ไม่เหม็นหืน มีกลิ่นหอมอ่อนๆ และด้วยสถานะที่เป็นของเหลวเมื่อตั้งอยู่ในอุณหภูมิที่เย็น เช่น ในห้องแอร์ที่อุณหภูมิต่ำกว่า 25 องศา หรือในช่วงหน้าหนาวที่อากาศเย็นๆ ก็จะแข็งตัวได้ง่าย และสามารถกลับเป็นของเหลวได้หากนำไปอุ่นในน้ำร้อน หรือตั้งไว้ที่อุณหภูมิห้องที่สูงกว่า 25 องศา  

ในน้ำมันมะพร้าวนั้นประกอบด้วยกรดไขมันอิ่มตัว (มากกว่า 90% จากปริมาณกรดไขมันทั้งหมด) แต่กรดไขมันอิ่มตัวส่วนใหญ่ที่พบในน้ำมันมะพร้าวนั้นเป็นกรดไขมันที่มีขนาดโมเลกุลปานกลาง เช่น กรดลอริก (lauric acid) เมื่อกินเข้าไปแล้วร่างกายจะดูดซึมและเผาผลาญได้ดี1   น้ำมันมะพร้าวของสำคัญของแม่ท้อง

ปกติแล้วเรามักเข้าใจว่าน้ำมันมะพร้าวมีประโยชน์ในการใช้หมักผมและนวดใบหน้าให้ดูกระจ่างใสเท่านั้น แต่ความจริงแล้วน้ำมันมะพร้าวมีประโยชน์มากกว่านี้ค่ะ

  1. น้ำมันมะพร้าวแก้ปัญหาแม่ท้องรักแร้ดำ เพียงนำน้ำมันมะพร้าว 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำแตงกวาคั้นสด 1 ช้อนชา น้ำมะนาว 1 ช้อนชา และผงขมิ้นครึ่งช้อนชา คนให้เข้ากันจนกลายเป็นเนื้อครีม แล้วนำมาทาที่รักแร้ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำสัปดาห์ละ 3 ครั้ง แล้วรักแร้จะค่อยๆ ดูขาวขึ้นเลยค่ะ 

  2. น้ำมันมะพร้าวลดอาการผมร่วง นำน้ำมันมะพร้าวมาอุ่นเล็กน้อยก่อนนวดศีรษะเบาๆ จากนั้นทิ้งไว้ประมาณสิบนาทีแล้วล้างออก ช่วยให้หนังศีรษะชุ่มชื้นแข็งแรงและกระตุ้นการไหลเวียนเลือดที่หนังศีรษะ ช่วยลดการหลุดร่วงและกระตุ้นการงอกใหม่ของเส้นผม

  3. ป้องกันกระและรอยคล้ำบนผิวหน้า ช่วงตั้งท้องเป็นช่วงที่ฮอร์โมนต่างๆ ของแม่ท้องเปลี่ยนแปลงไปเพื่อการเตรียมพร้อมสำหรับการเป็นแม่ ซึ่งความเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนส่งผลให้คุณแม่หลายคนจากที่เคยมีหน้าตาผิวพรรณสดใส ก็เจอกับปัญหาผิวคล้ำ ใช้น้ำมันมะพร้าวเช็ดหน้าทำความสะอาดก่อนล้างหน้าช่วยให้ใบหน้านุ่มชุ่มชื้น เนียนใสไร้สิว

  4. ป้องกันกระและรอยคล้ำบนผิวหน้าได้ ป้องกันรอยคล้ำใต้ดวงตา แม่ท้องบางคนอาจมีอาการนอนไม่หลับ ตื่นเช้ามาใต้ตาอาจมีรอยคล้ำได้ คุณแม่ท้องสามารถใช้น้ำมันมะพร้าวแทนอายครีมได้เลยค่ะ เพราะน้ำมันมะพร้าวก็มีคุณสมบัติบำรุงผิวรอบดวงตา ช่วยลดรอยเหี่ยวย่นได้    

  5. ช่วยลดอาการท้องผูก โดยการกินน้ำมันมะพร้าววันละ 1 ช้อนโต๊ะจะช่วยดีท็อกซ์ลำไส้คุณแม่ให้สะอาดขึ้น ไม่ทำลายแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ต่อลำไส้ และยังไม่ทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระ

น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นที่เป็นผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพ เพราะช่วงตั้งครรภ์ร่างกายของคุณแม่จะมีการเปลี่ยนแปลงเยอะที่สุด ฉะนั้นจะให้รอคลอดแล้วค่อยดูแลตัวเองบางทีก็อาจจะช้าเกินไป ดังนั้นควรเริ่มตั้งแต่วันที่เรารู้ว่าท้องเลยจะดีกว่าค่ะ เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเราเอง

 

ขอบคุณข้อมูลจาก



 
พื้นที่เพื่อการโฆษณาและประชาสัมพันธ์
 

รักลูก@ Hospital ครั้งที่ 5 โรงพยาบาลกรุงเทพ

โค้งสุดท้ายแล้วนะคะคุณพ่อ คุณแม่  กับงานสัมมนาดีๆ ที่รักลูกและพันธมิตร จัดขี้นเพื่อให้ความรู้ในการดูแลลูกในยุค New Normal  ครั้งสุดท้ายของปีนี้  งานรักลูก@ Hospital ครั้งที่ 5  ณ โรงพยาบาลกรุงเทพ  วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม 2563 ในเวลา 9.00 - 12.30 น. ที่ห้องประชุม 7R ชั้น 7 อาคารเวชศาสตร์ฟื้นฟู  พบกับ กิจกรรมสัมมนาเวิร์กชอป ส่งมอบประสบการณ์ตรงเรื่อง Trend การเลี้ยงลูกตั้งแต่ตั้งครรภ์-ลูกวัย 6 ปี พร้อมไขทุกข้อข้องใจคุณแม่โดยแพทย์และวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ เพื่อส่งเสริมลูกได้มีพัฒนาการที่ดี และมีหลักในการเลี้ยงลูกที่ถูกวิธี  

The expert talk

• Healthy Literacy การดูแลสุขภาพแม่ตั้งครรภ์ และลูกน้อย เพื่อให้ห่างไกลจากเชื้อโรคทุกรูปแบบ

• การใช้ชีวิตแบบ new normal ในเรื่องการดูแลสุขอนามัย และสุขภาพจิตใจ • Mom Must Know ในหัวข้อ How To Protect Sensitive พร้อมถาม – ตอบ สาระพันปัญหาแม่ตั้งครรภ์อย่างจุใจ โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสูตินรีเวช

Workshop

• การสร้าง “Family Attachment เพราะวัย 0-3 ปี คือช่วงเวลาสำคัญที่ในการสร้างสายสัมพันธ์กับลูกให้แข็งแรง

• ลูกรอดพร้อมการเรียนรู้ ยุค new normal ด้วยวิธีเลี้ยงลูกเชิงบวก โดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญเรื่องทักษะ สมอง EF (Executive Functions) จากรักลูก

พร้อม Shopping สินค้าแม่ลูกภายในงาน ในราคาพิเศษ 80 ท่านแรก ที่ลงทะเบียน รับสิทธิพิเศษถ่ายภาพครอบครัว กับ Rembrandt Studio และ สแกนลายนิ้วมือ วัดอัจฉริยะภาพลูกน้อย จาก MY DNA พร้อมของที่ระลึก รวมมูลค่ากว่า 2,000 บาท พร้อมร่วมลุ้นรางวัล Lucky Draw รับของรางวัลชิ้นใหญ่กลับบ้าน

แม่ตั้งครรภ์ รับเพิ่ม! ผลิตภัณฑ์ป้องกันท้องแตกลาย Mama Belly Butter จาก Cocoro Hanako มูลค่า 849 บาท ฟรีทันที

ลงทะเบียนล่วงหน้า รับของที่ระลึกก่อนใคร คลิกที่นี่  https://bit.ly/308V7dM

4983

 

 

​รู้หรือไม่ ? ช่วงที่ดีที่สุดในการบำรุงสมองของลูก คือ 28 วันแรกของการตั้งครรภ์

สมองทารกในครรภ์-อาหารบำรุงสมอง-อาหารคนท้อง

​รู้หรือไม่ ? ช่วงที่ดีที่สุดในการบำรุงสมองของลูก คือ 28 วันแรกของการตั้งครรภ์

คุณพ่อคุณแม่ที่วางแผนมีลูกหรือกำลังตั้งครรภ์อยู่ คงเคยได้อ่านข้อมูลที่ว่า “ลูกน้อยจะสมองดีได้ เริ่มที่อาหารบำรุงครรภ์” มาก่อนใช่ไหมคะ และนั่นดูจะไม่เกินจริงเลย เพราะคุณแม่รับประทานอะไร ลูกน้อยก็จะได้รับด้วยเหมือนกัน คุณแม่หลายคนที่กำลังมีน้องอยู่ในท้องก็อาจจะเริ่มกังวล ว่าได้บำรุงครรภ์ในช่วงสำคัญทันหรือไม่ ลูกเราจะออกมาร่างกายแข็งแรง มีพัฒนาการทางสมองที่สมวัยหรือไม่ ดังนั้นหากคุณพ่อคุณแม่สามารถเตรียมความพร้อมให้ลูกน้อยได้เร็วมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งดีต่อลูกมากเท่านั้นค่ะ

ปัจจุบันมีงานศึกษามากมาย พบว่าสิ่งที่คุณแม่ทำหรือคุณแม่รับประทานล้วนมีผลต่อลูกในครรภ์ และจากการศึกษาเรื่องพัฒนาการของทารกในครรภ์พบว่า  การพัฒนาระบบประสาทของทารกในครรภ์ เริ่มจากสร้างหลอดประสาทสมอง ซึ่งจะพัฒนาต่อไปเป็นสมองและไขสันหลังนั้น เป็นระบบแรกของพัฒนาการของทารก ซึ่งเริ่มสร้างตั้งแต่วันที่ 28 ของการตั้งครรภ์ เซลล์สมองจะมีการแบ่งตัวและเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ ดังนั้นตั้งแต่วันที่ 28 ของการตั้งครรภ์จะเป็นช่วงเวลาเดียวที่สมองของลูกน้อยในครรภ์จะแตกตัว เชื่อมต่อและพัฒนาได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

สมองทารกในครรภ์-อาหารบำรุงสมอง-อาหารคนท้อง

คุณพ่อคุณแม่หลายท่าน อาจจะไม่เคยรู้ถึงความสำคัญของช่วงเวลานี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คุณแม่ส่วนใหญ่ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังตั้งครรภ์ เลยทำให้พลาดโอกาสสำคัญในการเตรียมความพร้อมให้กับลูกในครรภ์

สารอาหารที่ช่วยบำรุงระบบประสาทและสมองของทารกในครรภ์ นอกจาก โฟเลท (Folate หรือ Folic acid ) ที่หมอแนะนำสำหรับคุณแม่ที่เตรียมตัวตั้งครรภ์แล้วนั้น ยังมีสารอาหารกลุ่มไขมันไม่อิ่มตัว ซึ่งร่างกายคนเราไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้ จำเป็นต้องได้รับจากการรับประทานอาหารเข้าไปเท่านั้น นั่นคือ DHA (Docosahexaenoic acid) ซึ่งมีความสำคัญต่อพัฒนาการของสมอง และยังเป็นส่วนประกอบสำคัญของสมองชั้นนอก ซึ่งเกี่ยวข้องกับระบบประสาทการเรียนรู้ (cognitive thinking) และ การมองเห็น ( visual development) รวมถึง GA (Gangliosides) เป็นกรดไขมันสำคัญอีกตัว มีหน้าที่เชื่อมต่อเซลล์สมองเข้าด้วยกันเพื่อทำหน้าที่รับส่งข้อมูล กรดไขมันทั้ง 2 ชนิดนี้ มีความสำคัญต่อพัฒนาการของสมองทารกในครรภ์ในระยะเริ่มต้นตั้งแต่ 28วันแรก ของการตั้งครรภ์เลย  

ถึงแม้ว่าสารอาหารเหล่านี้ พบได้จากการรับประทานอาหารบางชนิด เช่น กลุ่มปลาทะเล แต่ก็มักจะพบการปนเปื้อนสารอันตรายต่าง ๆ เช่น สารปรอทได้ ดังนั้นการรับประทานอาหารกลุ่มนี้มากเกินไปก็อาจมีผลเสียได้เช่นกัน บางครั้งเราจึงจำเป็นต้องทานผลิตภัณฑ์อาหาร หรือนมสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์โดยเฉพาะนอกเหนือจากอาหารที่เรารับประทาน  รวมถึงสารอาหารอื่น ๆ จำเป็นสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ เช่น แคลเซียม เหล็ก โคลีน ไอโอดีน สังกะสี และวิตามินรวม เป็นต้น

ดังนั้นหมออยากแนะนำให้คุณแม่ที่เริ่มตั้งครรภ์ หรือคุณผู้หญิงที่กำลังวางแผนตั้งครรภ์ ให้เตรียมตัวให้พร้อมด้วยการรับประทานอาหาร หรือดื่มนมที่มีสารอาหารสำหรับหญิงตั้งครรภ์ครบถ้วน เพื่อให้พัฒนาการสมองและร่างกายของลูกน้อยเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพค่ะ

พญ. วรประภา ลาภิกานนท์
ผู้เชี่ยวชาญด้านสูตินรีเวช 

(พื้นที่เพื่อการโฆษณาและประชาสัมพันธ์)

 

ลุ้นเพศของลูกในครรภ์ได้ ตอนอายุครรภ์กี่เดือน

รู้เพศลูกในท้อง

ลุ้นเพศของลูกในครรภ์ได้ ตอนอายุครรภ์กี่เดือน

แม่ตั้งครรภ์คงลุ้นกันน่าดูเลยนะคะว่า ลูกในท้องจะเป็นลูกชายหรือลูกสาวกันแต่ มาเช็กกันหน่อยค่ะว่า เราสามารถทราบเพศลูกในท้องได้ตอนอายุครรภ์กี่เดือน และลูกพัฒนาการในการสร้างอวัยวะระบุเพศได้ในช่วงไหนของการตั้งครรภ์บ้าง 

ตั้งครรภ์ไตรมาสที่ 1 กำลังสร้างเป็นอวัยวะที่สมบูรณ์

  • อายุครรภ์ 7-8 สัปดาห์: ปกติแล้วทารกจะถูกกำหนดว่าเป็นเพศไหน ตั้งแต่ช่วงที่มีการปฏิสนธิและการฝังตัวอ่อนแล้ว โดยเพศชายจะมีโครโมโซม xy ส่วนเพศหญิงโครโมโซม xx ซึ่งช่วงไตรมาสแรก จะเป็นช่วงที่อวัยวะกำลังเริ่มก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาเป็นรูปร่าง ผิวหนังบริเวณขาหนีบเริ่มมีลักษณะนูนๆ ขึ้นมา และเริ่มมีการสร้างส่วนประกอบต่างๆ ของอวัยวะแล้ว เพียงแต่ยังเห็นไม่ชัดเจน 

  • อายุครรภ์ 9-10 สัปดาห์: อวัยวะเริ่มมีการพัฒนา สร้างเป็นรูปร่างมากขึ้น ถ้าเป็นผู้ชายจะมีลูกอัณฑะ โดยมีลักษณะเป็นก้อนกลมๆ นูนขึ้นมา แต่ถ้าเป็นผู้หญิงจะมีลักษณะเป็นแคมเล็กๆ เกิดขึ้น 

  • อายุครรภ์ 11-12 สัปดาห์ที่: อวัยวะเริ่มมีลักษณะชัดเจนขึ้น มีรูปร่างเห็นได้ชัดเจน ในเด็กผู้ชายอวัยวะจะเริ่มมีการยื่นยาวขึ้น ลูกอัณฑะพัฒนาเสร็จสมบูรณ์ ส่วนผู้หญิงมีแคมนอกชัดเจน มีการสร้างรังไข่ มดลูกเสร็จสมบูรณ์แล้ว  

ตั้งครรภ์ไตรมาสที่ 2 แม่รู้สักที...หนูเพศไหน 

  • อายุครรภ์ 15-16 สัปดาห์: คุณแม่สามารถตรวจเช็กเพศของลูกน้อย และรู้ได้แล้วว่าจะได้ลูกชายหรือหญิง ด้วยการตรวจอัลตราซาวนด์ หรือตรวจน้ำคร่ำ ซึ่งอวัยวะลูกน้อยจะเริ่มมีการสะสมของไขมัน ทำให้อวัยวะมีการขยายขนาดใหญ่ขึ้น ในเพศชายบริเวณอวัยวะเริ่มมีผิวหนังย่น เป็นรูปทรงมากขึ้น ส่วนเพศหญิงแคมนอกเริ่มมีการนูนขึ้น  

ตั้งครรภ์ไตรมาสที่ 3 อวัยวะหนูพัฒนาสมบูรณ์แล้ว 

  • อายุครรภ์ 30 สัปดาห์: อวัยวะมีการสะสมของไขมันมากขึ้น โครงสร้างมีลักษณะชัดเจน ในเพศชายกว่า 98% ลูกอัณฑะจะลงถุงหมดแล้ว เป็นรูปทรงชัดเจน ผิวหนังหนา และมีขนาดยาวขึ้น ส่วนผู้หญิงแคมนอกแคมในเริ่มมีการแยกอย่างชัดเจน มีขนอ่อนๆ ขึ้นบริเวณรอบๆ อวัยวะแล้ว

เคล็ดลับดูแลครรภ์

ในช่วงไตรมาสที่ 1 หรือสัปดาห์ที่ 11-13 เป็นช่วงที่สำคัญที่สุดที่อวัยวะของลูกน้อยมีการพัฒนา ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีที่ไม่จำเป็น การเดินทางท่องเที่ยวไกลๆ ที่อาจทำให้เกิดการกระทบกระเทือน หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ เพราะสิ่งเหล่านี้อาจเกิดการกระทบกระเทือนและทำให้การส่งเลือดไปที่ลูกน้อยมีปัญหา ส่งผลให้การพัฒนาอวัยวะต่างๆ รวมทั้งการสร้างอวัยวะเพศของลูกมีปัญหาได้ด้วย แต่ถ้าพ้นช่วงไตรมาสที่ 1 ไปแล้ว เป็นระยะปลอดภัยที่คุณแม่สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้มากขึ้น เพราะอวัยวะต่างๆ ของลูกมีการสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว


ขอขอบคุณข้อมูลจาก: นพ.พูนศักดิ์ สุชนวณิช สูติแพทย์

วิธีอ่านคำศัพท์ ผลอัลตราซาวด์ลูก บอกอะไรบ้าง

อัลตราซาวนด์ทารกในครรภ์

วิธีอ่านคำศัพท์ ผลอัลตราซาวด์ลูก บอกอะไรบ้าง

เรียนรู้ความหมายของอักษรย่อภาษาอังกฤษในใบผลอัลตราซาวด์ คุณแม่หลายคนสงสัยภาษาอังกฤษทั้งใบ มีตัวเลขค่าต่างๆ บอกอะไรถึงลูกของเรา วันนี้มาเรียนรู้กันเลยค่ะ 

คำศัพท์ผลอัลตราซาวด์ทารกในครรภ์

  • CRL = ความยาวตัวอ่อนจากหัวถึงก้น ใช้สำหรับคำนวณอายุครรภ์
  • BPD = การวัดความกว้างของศีรษะทารก
  • HC = การวัดเส้นรอบวงศรีษะทารก
  • AC = การวัดเส้นรอบท้องทารก
  • FL = การวัดกระดูกต้นขาทารก
  • EFW = ค่าประมาณน้ำหนักของทารกในครรภ์
  • NT = การวัดความหนาของเนื้อเยื่อต้นคอทารก เป็นส่วนหนึ่งของการตรวจคัดกรองทารกดาวน์
  • EDD = วันกำหนดคลอดโดยประมาณ
  • EFW1 (HAD-1) = น้ำหนักโดยประมาณที่ได้มากจากสูตรที่ชื่อ Haddlock
  • EFW2 (SHEPARD) = น้ำหนักโดยประมาณที่ได้มากจากสูตรที่ชื่อ Shepard
  • FHS = การตรวจคลื่นเสียงเห็นการเต้นของหัวใจเด็ก
  • Gestational sac = ถุงการตั้งครรภ์
  • Fetal cardiac pulsation = อัตราการเต้นของหัวใจทารก
  • Placental site = คือตำแหน่งรก
  • Placental grading = ลักษณะเนื้อรก

 

สธ. เพิ่มสิทธิประโยชน์ แม่ท้องอายุ 35 ขึ้นไปตรวจหาดาวน์ซินโดรมได้ฟรี

ตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรม

สธ. เพิ่มสิทธิประโยชน์ แม่ท้องอายุ 35 ขึ้นไปตรวจหาดาวน์ซินโดรมได้ฟรี

สำหรับผู้หญิงอายุ 35 ปีขึ้นไป ที่แต่งงานช้า มีลูกช้า หรือว่าที่คุณแม่ที่กลัวว่าจะมีความเสี่ยงเพราะสุขภาพไม่แข็งแรง กระทรวงสาธารณสุขเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้คุณแม่ที่อายุ 35 ขึ้นไป สามารถตรวจคัดกรองกลุ่มอาการดาวน์ซินโดรมได้ฟรี เพราะจากข้อมูลที่ผ่านมาของประเทศไทย มีการตั้งครรภ์อยู่ 700,000 ครรภ์ต่อปี มีทารกเกิดใหม่เป็นดาวน์ซินโดรมปีละ 1 พันคน 

กรมอนามัยชี้แจงว่า ในจำนวนคุณแม่ตั้งครรภ์ 7 แสนคนต่อปี พบว่ามีประมาณ 1 แสนคน มีอายุ 35 ปีขึ้นไป เป็นวัยที่มีความเสี่ยงให้กำเนิดทารกดาวน์ซินโดรมมากกว่าวัยอื่น 2-4 เท่า ซึ่งจากข้อมูลที่ผ่านมาพบว่า เด็กที่เกิดจากแม่อายุเกิน 35 ปีขึ้นไปเป็นดาวน์ซินโดรม 1 ต่อ 800 คน ส่วนเด็กที่เกิดจากแม่อายุต่ำกว่า 35 ปีลงมา เป็นดาวน์ซินโดรม 1 ต่อ 1 พันคน ซึ่งการรู้ก่อนจะช่วยให้ครอบครัววางแผนได้ หากทารกมีความผิดปกติมาก พิการซ้ำซ้อนอาจจะตัดสินใจยุติการตั้งครรภ์ หากทารกมีความผิดปกติไม่มาก และครอบครัวมีความพร้อมต้องการตั้งครรภ์ต่อ ก็จะมีการช่วยวางแผนการดูแลเด็กต่อไป

ความผิดปกติของทารกในครรภ์มาจากอะไรบ้าง

  1. พันธุกรรมแม่สู่ลูกมีคุณแม่จำนวนไม่น้อย ตั้งครรภ์โดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นโรคทางพันธุกรรม เช่น โรคโลหิตจางหรือธาลัสซีเมีย รวมถึงโรคที่เกิดจากความผิดปกติของโครโมโซมที่แม้ไม่แสดงอาการแต่สามารถส่งต่อความผิดปกติของยีนไปแสดงออกที่ลูกได้ ขณะที่โรคยอดฮิตอย่างโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง ยิ่งเพิ่มโอกาสเสี่ยงครรภ์เป็นพิษ และคลอดก่อนกำหนดสูงกว่าครรภ์ปกติ

  2. ยาที่มีผลต่อทารกในครรภ์ยาบางตัวมีผลต่อเด็ก เช่น ยาความดัน ยาไทรอยด์ ยารักษาอาการปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ ยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตอรอยด์ และยากันชักบางตัวที่เป็นอันตรายกับทารกในครรภ์ ในกรณีที่จำเป็นอาจต้องเปลี่ยนยาหรือปรับขนาดของยาเพื่อลดผลกระทบ

  3. เชื้อโรคที่มากับเด็กเล็กคุณแม่ตั้งครรภ์ภูมิต้านทานต่ำลง ทำให้มีโอกาสติดเชื้อที่ปนเปื้อนทางอากาศและสิ่งแวดล้อมสูง เช่น เชื้อหัดเยอรมัน Cytomegalovirus : CMV ที่มักพบในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ โดยเชื้อนี้เป็นอันตรายต่อเด็กในครรภ์ อาจทำให้หูหนวก ตาบอดได้ โดยเชื้อชนิดนี้สามารถติดต่อผ่านน้ำลาย และฝุ่นละอองโดยไม่แสดงอาการ

ดังนั้นเมื่อรู้ว่าตั้งครรภ์หลังอายุ 35 ปี คุณแม่ควรรีบมาแพทย์ในทันที เพื่อตรวจคัดกรองความเสี่ยง และวางแผนการเลี้ยงดูได้อย่างเหมาะสมนะคะ

สัญญาณเตือนภัย...ภาวะครรภ์เป็นพิษ

3731

สัญญาณเตือนภัย ภาวะครรภ์เป็นพิษ

ภาวะครรภ์เป็นพิษ คือภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ มักจะไม่ค่อยแสดงอาการ จนกระทั่งมันรุนแรง จึงต้องคอยสังเกตสัญญาณเตือนภัยเหล่านี้ไว้ เช่น  บวม น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นรวดเร็ว ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว เจ็บจุกแน่นที่ลิ้นปี่ ซึ่งเป็นอาการเบื้องต้นง่ายๆ ที่สามารถสังเกตอาการที่บ้านได้


เมื่อมาตรวจที่โรงพยาบาลก็จะพบความดันโลหิตสูงร่วมกับมีโปรตีนรั่วในปัสสาวะ ในช่วงที่คุณแม่มาฝากครรภ์ก็จะมีการตรวจเพื่อประเมิณความเสี่ยง  ตรวจวัดความดันโลหิตและตรวจปัสสาวะทุกครั้งเพื่อ เฝ้าระวังการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษหากเป็นมาก อาจมีอาการที่รุนแรงขึ้นดังนี้ 

  • ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว คลื่นไส้อาเจียน เนื่องจากความดันในกะโหลกศีรษะเพิ่มขึ้น รวมถึงสมองบวม หรือเลือดออกในสมอง
  • เจ็บจุกแน่นที่ลิ้นปี่หรือบริเวณชายโครงขวา เนื่องจากตับโตขึ้น หรือมีเลือดออกในตับ
  • เหนื่อยหอบ หายใจลำบาก นอนราบไม่ได้ เนื่องจากน้ำท่วมปอด
  • บวม น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นรวดเร็ว ปัสสาวะออกน้อยลง เนื่องจากไตทำงานผิดปกติ มีการรั่วของโปรตีนออกมาในปัสสาวะ
ในส่วนของทารกเองนั้นก็ได้รับผลกระทบไปด้วย เช่น เจริญเติบโตได้ช้า น้ำคร่ำน้อยกว่าปกติ และเสียชีวิตได้ กรณีที่ครรภ์เป็นพิษนั้นรุนแรงมาก ส่วนการรักษาที่สุดคือการยุติการตั้งครรภ์ ถ้าคุณแม่ตั้งครรภ์ครบกำหนดหรือใกล้ครบกำหนด คุณหมอจะตัดสินใจให้คุณแม่คลอดให้เร็วที่สุด

แต่หากโรคนี้เกิดในขณะที่อายุครรภ์ยังน้อย การให้คลอดอาจมีปัญหากับลูก ต้องได้รับการดูแลจากคุณหมออย่างใกล้ชิด หมอจะพยายามประคับประคองให้การตั้งครรภ์ดำเนินต่อไปอีกระยะหนึ่ง ยกเว้นว่าไม่สามารถประคับประคองให้ตั้งท้องต่อไปได้ คุณหมอจะพิจารณาผ่าตัดคลอดทันที
 

บทความโดย: ศูนย์สุขภาพสตรี โรงพยาบาลกรุงเทพ

สารอาหารที่คนท้องควรเน้นทาน 40 สัปดาห์และน้ำหนักตัวที่ควรขึ้น

อาหารคนท้อง-สารอาหารสำหรับคนท้อง-อาหารบำรุงครรภ์

สารอาหารที่คนท้องควรเน้นทาน 40 สัปดาห์และน้ำหนักตัวที่ควรขึ้น

ช่วงเวลา 40 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ เป็นช่วงเวลาสำคัญที่ภาวะโภชนาการของคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ส่งผลต่อสุขภาพของตนเองและทารกในครรภ์ มีรายงานทางการแพทย์ยืนยันให้เห็นชัดเจนว่า ภาวะแทรกซ้อนของการตั้งครรภ์ เช่น โลหิตจาง ครรภ์เป็นพิษ เบาหวาน ไทรอยด์ รวมถึงการคลอดก่อนกำหนด และทารกแรกเกิดมีน้ำหนักตัวน้อยกว่าปกติ เหล่านี้ มีความสัมพันธ์กับภาวะโภชนาการและน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นของคุณแม่ระหว่างตั้งครรภ์

  1. โปรตีน
    โปรตีน สำคัญสำหรับการนำไปใช้เสริมสร้างอวัยวะและกล้ามเนื้อของมารดาและทารก จึงควรรับประทานโปรตีนจากสัตว์ ไข่และพืชให้หลากหลาย ปริมาณที่คนตั้งครรภ์ต้องการเท่ากับ 35-110 กรัมต่อวัน ในทางปฏิบัติเพื่อให้ง่าย ควรเพิ่มสัดส่วนโปรตีนแต่ละมื้อให้ไม่ต่ำกว่า 30-40 % ก็น่าจะเพียงพอ

  2. สารโฟลิก 
    กรดโฟลิก หรือ โฟเลต เป็นสารอาหารสำคัญอันดับแรกที่คุณแม่ที่กำลังจะ หรือตั้งครรภ์แล้ว ขาดไม่ได้เลย เพราะ โฟเลต เป็นสารอาหารที่สำคัญสำหรับการสังเคราะห์ดีเอนเอของเซลล์เพื่อสร้างอวัยวะต่างๆของทารกในครรภ์ มีรายงานพบทารกสมองไม่ปกติและท่อหุ้มไขสันหลังไม่ปิดในมารดาที่ขาดสารโฟเลต

    เนื่องจากสมองและไขสันหลังจะพัฒนาอย่างรวดเร็วและสมบุรณ์ภายใน 28 วันหลังการปฏิสนธิ มีรายงานพบว่า การบริโภคสารโฟเลต 400 ถึง 800 มิลลิกรัมต่อวัน ก่อนการตั้งครรภ์และในช่วง 28 วันหลังการปฏิสนธินี้ มีผลลดอุบัติการณ์ของการเกิดความผิดปกติของทารกลงอย่างมาก โฟลิกพบมากในพืชใบเขียว ธัญพืช พืชตระกูลถั่ว ตับ ไต และยีสต์ แต่อย่างไรก็ตาม อาหารพวกนี้อาจไม่เพียงพอ ถ้าให้แน่ใจควรทานอาหารเสริมที่มีสารโฟเลตร่วมไปด้วยเลยจะดีกว่า

  3. ธาตุเหล็ก 
    ธาตุเหล็ก จำเป็นสำหรับการสร้างเม็ดเลือดที่เพิ่มจำนวนอย่างมากมายในช่วงตั้งครรภ์ ปริมาณเลือดในร่างกายคุณแม่ตั้งครรภ์จะเพิ่มสูงขึ้นถึง 70% เลยทีเดียว เพื่อให้เพียงพอต่อการนำสารอาหารและอ๊อกซิเจนไปเลี้ยงทารกที่อาศ้ยอยู่ในครรภ์มารดา จากสถิติพบว่า สตรีตั้งครรภ์มากกว่าครึ่ง มีภาวะโลหิตจางจากการได้รับธาตุเหล็กไม่เพียงพอ

    ภาวะโลหิตจางของคุณแม่ ถือว่าเป็นสาเหตุอันดับต้นๆของการคลอดทารกที่มีน้ำหนักแรกเกิดน้อยกว่าเกณฑ์ปกติ องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา แนะนำให้สตรีมีครรภ์ควรได้ธาตุเหล็กไม่ต่ำกว่า 27 มิลลิกรัมต่อวัน นอกจากนี้ยังพบว่า 15% ของสตรีวัยเจริญพันธุ์มีภาวะโลหิตจางจากขาดธาตุเหล็ก และมีผลต่อสภาวะมีบุตรยาก ดังนั้นสตรีกลุ่มนี้ควรพิจารณาทานธาตุเหล็กเสริมตั้งแต่ก่อนจะตั้งครรภ์ด้วย

  4. แคลเซียม 
    แคลเซียม มักดูดซึมได้ดีขึ้นในช่วงตั้งครรภ์ สตรีมีครรภ์ต้องการแคลเซียมวันละไม่ต่ำกว่า 1,000 มิลลิกรัม ซึ่งสูงกว่าช่วงไม่ตั้งครรภ์ไม่มากนัก ดังนั้นจึงแนะนำให้สตรีมีครรภ์ที่ไม่สามารถได้รับแคลเซียมจากอาหารเพียงพอ เช่น ดื่มนมไม่ได้ ควรได้รับแคลเซียมเสริมวันละ 600 มิลลิกรัม

  5. วิตามินรวม 
    อาจมีประโยชน์ในคุณแม่ที่ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง หากจะใช้ก็ควรปรึกษาสูติแพทย์ที่ฝากครรภ์ เพราะวิตามินบางชนิด เช่น วิตามินเอ ในปริมาณที่มากเกินไป เกิน 10,000 ยูนิตต่อวัน ทำให้ทารกพัฒนาการผิดปกติได้


อาหารคนท้อง-สารอาหารสำหรับคนท้อง-อาหารบำรุงครรภ์

น้ำหนักตัวแม่ท้องควรขึ้นเท่าไหร่ถึงจะดี

น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์ของมารดาสะท้อนถึงพัฒนาการของทารกในครรภ์ด้วยเช่นกัน เพราะน้ำหนักแรกเกิดของทารกเป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญต่อสุขภาพและการเจริญเติบโตของทารก มีรายงานจำนวนมากชี้ให้เห็นว่า ทารกที่น้ำหนักตัวแรกเกิดต่ำกว่าเกณฑ์มาก ๆ มักพบปัญหาของการทำงานหัวใจและหลอดเลือด มีโรคต่อมไร้ท่อ และระบบเผาผลาญพลังงานไม่ปกติ เมื่อทารกเหล่านี้เจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่

พบความสัมพันธ์ของการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ ภาวะเบาหวานแฝง ในคุณแม่ที่มีน้ำหนักตัวเพิ่มมากกว่าปกติ นอกจากนี้ น้ำหนักตัวก่อนตั้งครรภ์ของมารดาก็มีผลต่อการตั้งครรภ์ จึงควรเพิ่มน้ำหนักให้เหมาะสมดังนี้

  1. คุณแม่ที่มีน้ำหนักตัวปกติ ควรเพิ่มน้ำหนักไม่น้อยกว่า 8 กก. แต่ไม่มากกว่า 12 กก.
  2. คุณแม่ที่ผอมเกินไป มี BMI น้อยกว่า 19.8 ต้องเพิ่มน้ำหนักให้มากกว่าปกติระหว่างตั้งครรภ์ เพื่อให้ทารกได้สารอาหารเพียงพอ
  3. คุณแม่ที่อ้วน ควรควบคุมไม่ให้น้ำหนักเพิ่มมากเกินไป แต่ก็ยังจำเป็นต้องเพิ่มให้ได้ไม่ต่ำกว่า 6-7 กก.

แม่ท้องกลุ่มพิเศษ เช่น มังสวิรัติ ควรเน้นพืชผักผลไม้ที่ให้โปรตีนและสารอาหารดังที่ได้กล่าวมาเพียงพอ ควรหลีกเลี่ยงผลไม้ที่มีรสหวานที่ทำให้เกิดภาวะเบาหวาน หรือ น้ำหนักตัวเพิ่มมากเกินไป กลุ่มที่มีโรคเลือด โรคไต โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง เหล่านี้ ควรอยู่ในความดูแลของสูติแพทย์และอายุรแพทย์อย่างใกล้ชิด 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก:

นพ.พูลศักดิ์ ไวความดี แพทย์เฉพาะทางสาขาสูติ-นรีเวชวิทยา
ผู้ชำนาญการด้านภาวะมีบุตรยากและผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช โรงพยาบาลกรุงเทพ

เช็ก 7 อาการเล็บแม่ท้องผิดปกติ อาจส่งผลต่อพัฒนาการลูกในท้อง

เล็บแม่ท้อง

เช็ก 7 อาการเล็บแม่ท้องผิดปกติ อาจส่งผลต่อพัฒนาการลูกในท้อง

การเปลี่ยนแปลงของเล็บสามารถบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพแม่ตั้งครรภ์และลูกในครรภ์ได้ ดังนั้นแม่ท้องต้องคอยสังเกตสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเล็บของตนเอง เพื่อจะดูแลรักษาได้ทัน

  1. แม่ตั้งครรภ์เล็บเปราะ งอ หักง่าย
    ส่วนใหญ่จะพบในคุณแม่ที่ให้ความสำคัญกับความสวยความงาม โดยการตกแต่งทาสีเล็บ เพ้นท์เล็บ หรือต่อเล็บ เพราะขั้นตอนเหล่านี้ล้วนต้องใช้สารเคมีที่ทำให้สารเคลือบเล็บถูกทำลาย และสารเคมีต่างๆ ยังส่งผลเสียไปสู่ลูกน้อยในท้องได้ด้วย ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีกับเล็บในช่วงตั้งครรภ์จะดีกว่าค่ะ

    ถ้าเป็นคุณแม่ที่ไม่ได้ทำเล็บ แต่มีเล็บที่เปราะ งอ และหักง่าย อาจเกิดจากการขาดวิตามินบางชนิด เช่นวิตามินซีและวิตามินบี แต่ถ้าอยากให้เล็บกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม ควรเลือกกินอาหารที่มีวิตามินทั้ง 2 ชนิดดังกล่าว เช่น ผัก ผลไม้ ข้าวกล้อง ธัญพืชหลากชนิด และอย่าลืมใช้ครีมบำรุงเฉพาะเล็บด้วยนะคะ
  1. แม่ตั้งครรภ์เล็บสีเหลือง(เหลืองทั้งเล็บหรือเฉพาะขอบเล็บ)
    มักเกิดจากการติดเชื้อรา โดยเฉพาะในคุณแม่ที่ไม่ค่อยมีเวลาดูแลตัวเอง หรือต้องทำงานบ้านเป็นประจำ เช่น ล้างจาน ซักผ้า หรืองานที่มือจะต้องจุ่มหรือแช่น้ำอยู่ตลอด ประกอบกับระหว่างตั้งครรภ์คุณแม่จะภูมิต้านทานต่ำ ทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย รวมทั้งการกินยาบางชนิด เช่น ยาสเตียรอยด์ เป็นต้น ก็จะยิ่งทำให้ภูมิต้านทานต่ำและเกิดเชื้อราได้บ่อยขึ้น คุณแม่สามารถรักษาดูแลเล็บจากกรณีนี้ได้ด้วยการทายาบริเวณผิวและขอบเล็บค่ะ ซึ่งอาจต้องทายานานถึง 3-4 สัปดาห์ อาการจะดีขึ้น แต่ถ้าไม่รีบรักษา เชื้อราอาจลุกลามไปสู่บริเวณอื่นในร่างกายได้นะคะ
  1. แม่ตั้งครรภ์มีจุดขาวที่เล็บ
    จุดขาวเล็กๆ ที่ผิวเล็บดูผิวเผินเหมือนเล็บมีรอยเปื้อน เกิดได้จากหลายสาเหตุค่ะ เช่น ผิวเล็บถูกกดหรือขูดแรงเกินไป รวมทั้งเกิดจากการติดเชื้อรา ซึ่งอาการนี้สามารถรักษาได้ด้วยการทายา แต่คุณแม่ควรหลีกเลี่ยงการกินยาต้านไวรัส เพราะยาจะส่งผลกระทบต่อลูกในท้อง สิ่งสำคัญคือควรหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นให้เล็บติดเชื้อ เช่น ภาวะอับชื้นที่เล็บจากการแช่น้ำนานเกินไป
  1. แม่ตั้งครรภ์มีเส้นหนาคล้ายคลื่นตามแนวตั้งของเล็บ
    เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ภาวะเครียด โรคไทรอยด์ โรคเบาหวาน และภาวะตั้งครรภ์ แต่ไม่ถือว่าเป็นอันตราย เมื่อร่างกายกลับมาเป็นปกติ เล็บก็จะกลับมาสวยเหมือนเดิม
  1. แม่ตั้งครรภ์มีเส้นหนาสีดำตามแนวตั้งของเล็บ
    อาการนี้ผิดปกติแล้วค่ะ ต้องระวังว่าอาจจะเป็นอาการของมะเร็งผิวหนัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเล็บมีสีคล้ำหรือแนวเส้นหนามากขึ้น รีบปรึกษาคุณหมอโรคผิวหนังด่วนเลยนะคะ
  1. แม่ตั้งครรภ์มีลักษณะเล็บคล้ายช้อน
    อาการนี้เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น โรคไทรอยด์ โรคหัวใจ ภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กคุณแม่ที่มีเล็บลักษณะนี้ควรให้คุณหมอตรวจเพิ่มเติมด้วยการตรวจเลือดหาความผิดปกติของฮอร์โมนไทรอยด์ หรือปรึกษาคุณหมอโรคหัวใจ และตรวจเลือดดูปัญหาการขาดธาตุเหล็ก โดยคุณหมออาจจะให้กินธาตุเหล็กเพิ่มเติม แต่ก็ควรตรวจให้ละเอียดถึงสาเหตุที่ทำให้เล็บมีลักษณะแบบนี้ด้วย
  1. แม่ตั้งครรภ์มีรอยบุ๋มตามขวางของเล็บ
    อาการนี้เกิดจากการได้รับบาดเจ็บ เช่น ถูกหนีบบริเวณเล็บ แต่ถ้าคุณแม่ไม่เคยได้รับบาดเจ็บที่เล็บ ควรระวังโรคที่แฝงมากับคุณแม่ท้อง เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคคางทูม ถ้าพบว่าเล็บมีลักษณะแบบนี้ควรไปพบอายุรแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยให้ชัดเจนยิ่งขึ้น และรีบดูแลสุขภาพ

ในกรณีที่ตรวจพบว่าคุณแม่เป็นโรคเบาหวาน ควรควบคุมการกินอาหารและดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาต่อลูกน้อยในครรภ์ เช่น ทารกตัวใหญ่ผิดปกติ หรือมีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำผิดปกติแรกเกิดได้ ลักษณะที่ผิดปกติของเล็บ สามารถบอกถึงปัญหาสุขภาพของคุณแม่ท้องได้ นอกจากจะดูแลสุขภาพด้วยการเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ ก็อย่าลืมหันมาใส่ใจดูแลและสังเกตเล็บด้วยนะคะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก: พญ.ธิศรา วีรสมัย สูตินรีแพทย์ และหัวหน้าศูนย์เวชศาสตร์ชะลอวัย โรงพยาบาลพญาไท1

เช็กเลย! อายุมาก ตั้งครรภ์ช้า ส่งผลกระทบต่อลูกในท้องมากแค่ไหน

2241

ผู้หญิงยุคใหม่หลายคนเป็น  working woman ชอบทำงาน สร้างเป้าหมาย เพื่อพึ่งพาตัวเองเป็นหลัก จึงยังวางแผนการมีครอบครัวช้าและไม่เคยตรวจสุขภาพ เมื่อมีการตั้งครรภ์ตอนมีอายุมากขึ้น จึงมีแนวโน้มที่ลูกสุขภาพจะไม่แข็งแรงและเสี่ยงต่อครรภ์เป็นพิษด้วยนะคะ
ปัจจัยเสี่ยงต่อลูกเมื่อตั้งครรภ์ช้า
1. พันธุกรรมแม่สู่ลูกมีคุณแม่จำนวนไม่น้อย ตั้งครรภ์โดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นโรคทางพันธุกรรม เช่น โรคโลหิตจางหรือธาลัสซีเมีย รวมถึงโรคที่เกิดจากความผิดปกติของโครโมโซมที่แม้ไม่แสดงอาการแต่สามารถส่งต่อความผิดปกติของยีนไปแสดงออกที่ลูกได้ ขณะที่โรคยอดฮิตอย่างโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง ยิ่งเพิ่มโอกาสเสี่ยงครรภ์เป็นพิษ และคลอดก่อนกำหนดสูงกว่าครรภ์ปกติ

2. ยาที่มีผลต่อทารกในครรภ์ยาบางตัวมีผลต่อเด็ก เช่น ยาความดัน ยาไทรอยด์ ยารักษาอาการปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ ยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตอรอยด์ และยากันชักบางตัวที่เป็นอันตรายกับทารกในครรภ์ ในกรณีที่จำเป็นอาจต้องเปลี่ยนยาหรือปรับขนาดของยาเพื่อลดผลกระทบ

3. เชื้อโรคที่มากับเด็กเล็กคุณแม่ตั้งครรภ์ภูมิต้านทานต่ำลง ทำให้มีโอกาสติดเชื้อที่ปนเปื้อนทางอากาศและสิ่งแวดล้อมสูง เช่น เชื้อหัดเยอรมัน Cytomegalovirus : CMV ที่มักพบในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ โดยเชื้อนี้เป็นอันตรายต่อเด็กในครรภ์ อาจทำให้หูหนวก ตาบอดได้ โดยเชื้อชนิดนี้สามารถติดต่อผ่านน้ำลาย และฝุ่นละอองโดยไม่แสดงอาการ

ดังนั้นเมื่อรู้ว่าตั้งครรภ์ คุณแม่ควรรีบมาแพทย์ในทันที เพื่อตรวจคัดกรองความเสี่ยง กำหนดวันคลอดที่แน่นอน และวางแผนการคลอดได้อย่างเหมาะสม เพราะหญิงตั้งครรภ์ตอนอายุมากมีโอกาสแท้งบุตรได้ง่าย


บทความโดย : ศูนย์สุขภาพสตรี โรงพยาบาลกรุงเทพ




 

เลือดล้างหน้าเด็กคืออะไร

เลือดล้างหน้าเด็ก-เลือดออกขณะตั้งครรภ์

เลือดล้างหน้าเด็กคืออะไร

คุณแม่ตั้งครรภ์หลายคนมีเลือดออกช่วงแรกจนเกิดความกังวลว่า เลือดที่ออกเกิดจากการแท้งลูกหรือไม่ หรือ จริงๆ แล้วเลือดที่ออกเป็น "เลือดล้างหน้าเด็ก" ที่ใครๆ บอกกัน 

จริงๆ แล้ว เลือดล้างหน้าเด็ก เป็นภาษาชาวบ้านหรือภาษาที่พูดกันแบบเข้าใจง่ายๆ สำหรับคนที่เพิ่งตั้งครรภ์ในช่วงแรก หรือ ทันทีที่เกิดการปฏิสนธิค่ะ เลือดที่ออกมาจะมีมากหรือน้อยต่างกันออกไป แต่โดยปกติแล้วจะมีเลือดออกแบบจางๆ ประมาณ 2-3 วันเท่านั้น ซึ่งสาเหตุเกิดจาก ตัวอ่อนที่ได้รับการปฏิสนธิกำลังเดินทางไปฝังตัวอ่อนในเยื่อบุโพรงมดลูก ซึ่งในระหว่างนั้นอาจทำให้เส้นเลือดในโพรงมดลูกแตก จึงทำให้เลือดออกได้ โดยมากมักจะเกิดในช่วง 17 วัน - 4 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ นับจากวันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้าย 

อาการเลือดล้างหน้าเด็ก

  1. มีเลือดออกจางๆ ประมาณ 2-3 วัน หรือ บางคนแค่ 1-2 วันเท่านั้น 
  2. ไม่มีอาการปวดท้อง
  3. เลือดที่ออกมาจะสีแดงจางกว่าเลือดประจำเดือน ไม่มีกลิ่น หรือ สีผิดปกติ
  4. เลือดล้างหน้าเด็ก ไม่อันตรายกับทารกในครรภ์

แต่หากพ้นระยะตัวอ่อนฝังตัวไปแล้ว แต่พบว่ามีเลือดออกต่อเนื่องบ่อยๆ ควรรีบพบแพทย์ค่ะ เพราะอาจเป็นอาการแทรกซ้อนในระหว่างตั้งครรภ์ หรือ มีภาวะแท้ง จึงจำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างทันท่วงทีนะคะ 

ขอบคุณข้อมูลจาก โรงพยาบาลพญาไท

เส้นดำกลางท้องแม่เกิดจากอะไร หลังคลอดเส้นดำกลางท้องจะหายไปไหม


เส้นดำกลางท้องคนท้อง, เส้น กลาง ท้อง, เส้น กลาง ท้อง มี ตอน กี่ เดือน, เส้น กลาง ท้อง กี่ เดือน, คน ท้อง มี เส้น ตรง กลาง ท้อง, เส้น กลาง ท้อง คน ท้อง, เส้น กลาง ท้อง ตั้ง ครรภ์, เส้นดำกลางท้องเกิดจากอะไร, ทำไมคนท้องมีเส้นดำกลางท้อง, เส้นดำกลางท้องสีดำมาก, เส้นดำกลางท้องจะหายไหม, หลังคลอด เส้นดำกลางท้อง หายไหม, ทาครีมแก้รอยดำ เส้นดำ กลางท้อง ได้ไหม, รอยดำ คนท้อง, ปัญหาผิวของคนท้อง

แม่ท้องคนไหนมีเส้นดำกลางท้องมาอ่านตรงนี้ เส้นดำกลางท้องเกิดจากอะไร หลังคลอดจะจางหายไปไหม เรามีคำตอบค่ะ

เส้นดำกลางท้องแม่เกิดจากอะไร หลังคลอดเส้นดำกลางท้องจะหายไปไหม

เส้นดำกลางท้องแม่ตั้งครรภ์เกิดจากอะไร

เส้นดำกลางท้องแม่ตั้งครรภ์เรียกว่า Linea Nigra เส้นดำกลางท้องนี้เกิดจากฮอร์โมนในร่างกายที่ผลิตจากรก ทำให้เม็ดสีทำงานมากขึ้นเมื่อตั้งครรภ์ ส่งผลให้รอยกลางลำตัวสีชัดขึ้น รวมทั้งผลข้างเคียงอื่นเช่น หัวนมสีคล้ำขึ้น หรือการเกิดฝ้าในขณะตั้งครรภ์ ซึ่งไม่มีอันตรายใด ๆ แต่จะมองเห็นชัดขึ้นเมื่ออายุครรภ์มากขึ้น

เส้นดำกลางท้องเกิดขึ้นตอนอายุครรภ์กี่เดือน

คุณแม่ท้องหลายคนจะเริ่มทีเส้นดำกล่งท้องเมื่ออายุครรภ์ประมาณ 4-5 เดือน ซึ่งเป็นช่วงที่ทารกในครรภ์ขนาดตัวใหญ่ขึ้น ฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่บางคนอาจเกิดไวกว่านั้นได้ค่ะ โดยสีของเส้นดำกลางท้องที่เกิดขึ้นกับแม่ท้องแต่ละคนก็จะไม่เหมือนกัน บางคนมีเส้นดำกลางทองสีน้ำตาลจาง ๆ บางคนมีเส้นดำกลางท้องสีเขิมออกไปทางดำ และเห็นชัดเจนมาก หรือ บางคนมีเส้นดำกลางท้องเกิดขึ้นพร้อมกับอาการผิวแตกลาย ท้องแตกลาย 

เส้นดำกลางท้องจะหายไหม

หลังคลอดแล้ว เส้นดำกลางท้องแม่จะค่อย ๆ จางหายไปได้เอง โดยไม่ต้องใช้ครีมทาแก้รอยดำค่ะ เพียงคุณแม่รักษาความสะอาดของผิว ทาครีมดูแลผิวเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวเป็นปกติ หรือ อาจใช้เบบี้ออยล์เช็ดผิวให้มีความยืดหยุ่นดี ก็จะช่วยให้ผิวแข็งแรงได้เหมือนเดิมค่ะ แต่ในบางคนที่เส้นดำกลางท้องสีเข้มมาก ดำมากในช่วงตั้งครรภ์ เส้นดำกลางท้องอาจจะยังเหลือรอยจาง ๆ อยู่บ้างค่ะ

 

แม่ท้อง แม่ให้นม กินทุเรียนได้ไหม? ปริมาณแคลอรี่ในทุเรียนมีเยอะแค่ไหนนะ

คนท้องกินทุเรียนได้ไหม

แม่ท้อง แม่ให้นม กินทุเรียนได้ไหม ? ปริมาณแคลอรี่ในทุเรียนมี เยอะแค่ไหน มาดูกัน

เข้าสู่หน้า ทุเรียน กันอีกแล้วนะคะ กับคำถามแบบเดิมคือ คนท้อง กับ แม่ให้นมลูก กินทุเรียนได้ไหม? คำตอบคือกินได้ค่ะ ยิ่งกินตอนท้องว่างจะยิ่งได้ประโยชน์สูงสุดนะคะ แต่ต้องระวังเรื่องน้ำตาลเพราะอาจเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานตอนตั้งครรภ์ได้ค่ะ ส่วน แม่ให้นมลูก น้ำนม ก็จะมีกลิ่น ทุเรียน ด้วย ลูกน้อยอาจไม่ชอบกลิ่นและพาลไม่กินนมได้ค่ะ ฉะนั้นหากจะกินต้องอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมคือวันละ 1 พู เท่านั้นนะคะ ว่าแต่ ทุเรียนสด และ ทุเรียนที่แปรรูป มีปริมาณแคลอรี่เท่าไหร่กันนะ ก่อนกินคุณแม่ต้องรู้นะคะ

แคลอรี่ในทุเรียน ที่แม่ท้องต้องรู้

1. ทุเรียนสด
 
ทุเรียน 1 เม็ดขนาดกลาง 40 กรัม ให้น้ำตาล 18 กรัม ให้พลังงานประมาณ 60 กิโลแคลอรี่ เทียบได้กับข้าวสวยเกือบ 1 ทัพพี ดังนั้นหากหนึ่งวันเผลอทานครั้งละ 4-6 เม็ด ก็รับพลังงานไปเกือบ 400 กิโลแคลอรี่ เทียบเท่ากับดื่มน้ำอัดลม 2 กระป๋องเลยค่ะ

2. ทุเรียนทอด

แม่ท้องกินทุเรียนทอด 7-8 ชิ้น จะได้รับพลังงาน 50 กิโลแคลอรี่ (อ้างอิงจากตารางปริมาณแคลอรี่ในอาหาร kcal.memo8) ถ้าแม่ท้องทานเพลินหมดถุง ประมาณ 32 ชิ้น ก็จะได้รับพลังงานเท่ากับ 200 กิโลแคลอรี่ สูงมากนะคะ แนะนำว่าควรแบ่งทานสองครั้งจะดีกว่าค่ะ

3. ทุเรียนกวน

ทุเรียนกวน 1 แท่ง ปริมาณ 100 กรัม ให้พลังงาน 340 กิโลแคลอรี่ เกือบเทียบเท่าดื่มน้ำอัดลม 1 กระป๋องเลยนะคะ

4. ข้าวเหนียวทุเรียน

ปริมาณ 1 ถ้วยเล็กน่ารักที่ขายตามร้านขนมหวาน จะให้พลังงานประมาณ 287 กิโลแคลอรี่ ถือว่าสูงมากนะคะ เพราะทั้งข้าวเหนียวมูนน้ำตาลเพียบ กะทิสด กับเนื้อทุเรียน ถ้าเผลอกินคนเดียวหมดจาน แม่ท้องจะได้รับแคลอรี่สูงมากค่ะ
 
5. บิงซูทุเรียน

ยังไม่ได้มีการวัดพลังงานกันอย่างจริงจัง แต่ดูจากนม นมข้นหวาน น้ำกะทิ ข้าวเหนียวมูล วิปปิ้งครีม โปะด้วย ทุเรียน ไม่ต่ำกว่า 7-8 ชิ้น (เม็ด) ลองคำนวณคร่าวๆ แล้ว น่าจะอยู่ที่ 1,200 กิโลแคลอรี่ เลยทีเดียว สูงมาก! อย่าทานคนเดียวนะคะ แนะนำให้ทาน 5 คนขึ้นไปค่ะ


รู้ปริมาณแคลอรี่แบบนี้แล้ว หน้า ทุเรียน ก็อย่ากินเยอะไปนะคะ ลองคำนวณดูแคลอรี่เล่นๆ ไประหว่างกินก็ได้ค่ะ จะได้ช่างใจไม่กินเยอะค่ะ




 

แม่ท้องขับรถยังไงให้ปลอดภัย พร้อมวิธีคาดเข็มขัดนิรภัยสำหรับแม่ท้อง


แม่ท้องขับรถ

แม่ท้องขับรถยังไงให้ปลอดภัย พร้อมวิธีคาดเข็มขัดนิรภัยสำหรับแม่ท้อง

แม่ท้องที่ต้องขับรถเองอาจรู้สึกอึดอัดเวลาคาดเข็มขัดนิรภัย หรือคาดแล้วแกลัวว่าจะกดท้องและเป็นอันตรายกับทารกในครรภ์ จริงๆ แล้วแม่ตั้งครรภ์ที่ขับรถเองจำเป็นต้องคาดเข็มขัดนิรภัยเพื่อความปลอดภัยของตัวเองและทารกในครรภ์หากเกิดอุบัติเหตุนะคะ

การคาดเข็มขัดนิรภัยสำหรับคนท้องให้ปลอดภัยและไม่รู้สึกอึดอัดก็มีวิธีที่ถูกต้องนะคะ มาดูกันว่าแม่ท้องควรคาดเข็มขัดนิรภัยมีข้อควรทำ และข้อห้ามอย่างไร มาดูกันเลยค่ะ 

ข้อควรทำเมื่อคาดเข็มขัดนิรภัยสำหรับคนท้อง

  • ปรับที่นั่งให้สบาย ไม่ใกล้ไม่ไกลจากพวงมาลัยเกินไป
  • คุณแม่ที่ท้องใหญ่ขึ้น เวลาคาดเข็มขัดให้พาดเฉียงอย่าให้โดนท้อง ส่วนสายตรงอีกเส้นให้รัดไว้ตรงช่วงขาจะได้ไม่อึดอัด
  • ขับรถเลนส์ซ้ายและขับให้ช้าลง จะได้หลีกเลี่ยงการเบรกกะทันหัน
  • ติดสติ๊กเกอร์หรือสัญลักษณ์ไว้หลังรถว่าในรถคันนี้มีคนท้อง คันหลังจะได้ระวังเรามากขึ้น
  • อาจจะหาหมอนมาวางตรงหน้าท้องเพื่อกันการกระแทกกับพวงมาลัย แต่ถ้าวางแล้วขับไม่ถนัดก็ไม่ควรวางค่ะ
  • เก็บเบอร์โทรฉุกเฉินไว้ในรถในที่หยิบง่าย หรือเห็นสะดวก เผื่อมีเหตุฉุกเฉินค่ะ

ข้อห้ามในการคาดเข็มขัดนิรภัยสำหรับคนท้อง

  • คุณแม่ที่แพ้ท้องควรเลี่ยงการขับรถเอง เพราะอาจจะเกิดอาการแพ้ในขณะที่ขับรถได้ เพราะขณะที่ร่างกายอ่อนเพลีย ขับรถแล้วอาจจะเกิดอันตรายได้ค่ะ
  • จริงๆ แล้วคุณแม่ท้องที่อายุครรภ์เกิน 6 เดือนไปแล้ว ไม่ควรขับรถเองนะคะ เนื่องจากท้องใหญ่ขึ้น และความปลอดภัยจะน้อยลงค่ะ แต่ถ้าไม่มีทางเลือกจริงๆ ก็ต้องขับอย่างระวังมากขึ้นค่ะ


หากแม่ตั้งครรภ์ แม่ท้องเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์โดยไม่คาดเข็มขัดนิรภัย อาจทำให้ท้องกระแทกกับคอนโซลหน้า หรือหากอุบัติเหตุรุนแรงมากอาจจะทำให้แม่ท้องกระเด็นออกนอกรถเพราะแรงกระแทกจากอุบัติเหตุได้ ดังนั้นแม่ท้องที่ต้องเดินทางด้วยรถยนต์จะต้องคาดเข็มขัดนิรภัยเพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดกับตัวเองและครรภ์


 

 

แม่ท้องคาดเข็มขัดนิรภัย

วิธีคาดเข็มขัดนิรภัยสำหรับแม่ตั้งครรภ์ แม่ท้อง

  1. การคาดเข็มขัดนิรภัยสำหรับแม่ท้อง ทั้งที่ขับรถเองหรือเป็นผู้โดยสาร เมื่อดึงสายคาดเข็มขัดนิรภัยและเสียบตัวล็อกเข้ากับหัวล็อกเรียบร้อยแล้วให้จัดตำแหน่งของสายเข็มขัดนิรภัยดังนี้
    • สายเข็มขัดนิรภัยที่พาดจากหัวไหล่ จะต้องพาดทะแยงตรงกึ่งกลางระหว่างร่องอกแล้วลงมาทางด้านข้างของช่องท้อง
    • สายเข็มขัดนิรภัยที่ พาดในแนวนอนจะต้องพาดบริเวณใต้ท้อง และจะต้องพาดให้ต่ำที่สุด โดยส่วนใหญ่จะอยู่เหนือบริเวณต้นขาเพื่อลดแรงกดทับของสายคาด อาจสังเกตง่ายๆ ว่าสายเส้นนี้จะพาดจากสะโพกข้างหนึ่งไปยังสะโพกอีกข้างหนึ่งเป็นเส้นตรงตาม แนวนอน

  2. หากแม่ตั้งครรภ์ แม่ท้องขับรถเองควรปรับเก้าอี้ให้ห่างจากพวงมาลัยรถประมาณ 10 นิ้ว เพื่อลดการบาดเจ็บจากแรงดันของถุงลมนิรภัย และการกระตุกของเข็มขัดนิรภัย

  3. หากแม่ท้องรู้สึกอึดอัดกับการคาดเข็มขัดนิรภัยเส้นแนวนอน อาจใช้ผ้าขนหนูหรือหมอนเล็กนุ่มๆ วางบนท้องหรือหน้าตักก่อน แล้วจึงคาดสายเข็มขัดนิรภัยทับ เื่พื่อลดแรงกดและการเสียดสีระหว่างขับรถ

  4. ห้ามคาดสายเข็มขัดนิรภัยผ่านบริเวณท้องโดยเด็ดขาดเพราะจะทำให้เกิดการเสียดสีผิวท้องที่บอบบาง หรือการกดทับได้

  5. ในกรณีที่ท้องใหญ่ขึ้น หรือสายคาดเข็มขัดนิรภัยไม่ ยาวพอ ควรหลีกเลี่ยงการเดินทางด้วยรถยนต์ ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะของคนขับ หรือผู้โดยสาร เพราะมีความเสี่ยงเกินไป และหากท้องแก่มากแล้วก็ควรหยุดทำงานและไม่ควรขับรถเองโดยเด็ดขาด


แม่ท้องขับรถ

แม่ท้องควรหยุดขับรถเองเมื่อไหร่

  • แม่ตั้งครรภ์ไตรมาส 1 (อายุครรภ์ 1-3 เดือน) แม่ตั้งครรภ์ยังสามารถขับรถได้เองและควรคาดเข็มขัดนิรภัยอย่างถูกต้อง แต่ควรเลี่ยงการขับรถในระยะทางไกล เพราะจะเกิดอาการเกร็งช่วงท้อง หลัง ขา ซึ่งส่งผลให้เกิดการแท้งได้

  • แม่ตั้งครรภ์ไตรมาส 2 (อายุครรภ์ 4-6 เดือน) แม่ตั้งครรภ์ยังสามารถขับรถได้ตามปกติ เพราะเริ่มปรับตัวกับขนาดท้องที่ใหญ่ขึ้นได้แล้ว และควรคาดเข็มขัดนิรภัยตามวิธีข้างต้นเพื่อลดการเสียดสีและแรงกดทับ แต่ยังต้องงดการขับรถระยะทางไกล

  • แม่ตั้งครรภ์ไตรมาส 3 (อายุครรภ์ 7-9 เดือน) แม่ตั้งครรภ์ไม่ควรขับรถเองหรือการขับรถระยะทางไกล เพราะจะเริ่มมีอาหารหดเกร็งของท้อง และอาการปวดหลังที่จะส่งผลต่อการคลอด การคาดเข็มขัดนิรภัยจะต้องคาดตามวิธีข้างต้นให้ถูกต้อง หรือแม้แต่จะนั่งที่นั่งด้านหลังคนขับ แม่ตั้งครรภ์ก็ยังต้องคาดเข็มขัดนิรภัยไว้ตลอดเวลาเช่นกัน


คุณแม่ตั้งครรภ์ แม่ท้องหลายๆ คนอาจจะยังต้องเดินทางไปไหนมาไหนอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นการป้องกันตัวเองในระหว่างเดินทางจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่มอง ข้ามไม่ได้ เพราะหากเกิดอุบัติเหตุไม่คาดคิดขึ้นมา อาจจะทำให้เกิดการสูญเสียได้ทั้งคุณแม่และทารกในครรภ์ การคาดเข็มขัดนิรภัยรวมถึงถุงลมนิรภัยจึงเป็นเรื่องสำคัญที่แม่ตั้งครรภ์และทุกคนในครอบครัวจะต้องดูแลเป็นอันดับแรกๆ ในการเดินทางค่ะ

แม่ท้องต้องกิน ไอโอดีน สารอาหารสำคัญที่ช่วย พัฒนาสมองทารกในครรภ์

อาหารคนท้อง-ไอโอดีน
 

แม่ท้องต้องกิน ไอโอดีน สารอาหารสำคัญที่ช่วย พัฒนาสมองทารกในครรภ์

สาร ไอโอดีน มีความจำเป็นต่อ การพัฒนาสมองของทารกในครรภ์ และ เด็กแรกเกิด ซึ่งจะช่วยเรื่องการ สร้างฮอร์โมนไทรอยด์ โดยปกติในชีวิตประจำวัน แม่ท้อง จะได้รับสาร ไอโอดีน จาก เกลือ ที่ผสมอาหารอยู่แล้ว แต่ถ้าหากจะให้เพียงพอ ต่อความต้องการของร่างกาย ควรได้รับกี่ไมโครกรัมต่อวัน มาดูกันค่ะ

หากขาดสารไอโอดีน จะเป็นอย่างไร

  • สำหรับทารกในครรภ์
    ร่างกายแคระแกรน สมองเจริญเติบโตช้า พิการแต่กำเนิด และมีภาวะปัญญาอ่อน

  • สำหรับเด็กเล็ก
    จะเติบโตช้า มีสติปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์ และอาจมีต่อมไทรอยด์โต (คอพอก)

  • ผู้ใหญ่ทั่วไป
    อาจมีต่อมไทรอยด์โต(คอพอก) และอาจมีอาการของภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน เช่น อ้วน เชื่องช้า หัวใจเต้นผิดปกติ เท้าบวม


ในแต่ละวัย ควรได้รับสารไอโอดีนเท่าไหร่ ต่อวัน

  • แม่ตั้งครรภ์
    ควรได้รับ อย่างน้อย 200 ไมโครกรัม
  • แม่ให้นมลูก
    ควรได้รับ 200 ไมโครกรัมขึ้นไป
  • เด็กแรกเกิด – 6 เดือน
    ควรได้รับ 40 – 50 ไมโครกรัม
  • เด็กอายุ 6 เดือน – 6 ปี
    ควรได้รับ 50 – 90 ไมโครกรัม


อาหารอะไรบ้าง ที่มีสารไอโอดีนสูง

  • อาหารทะเลทุกชนิด เช่น สาหร่ายทะเล กุ้ง ปู หอย ปลาแซลมอน ปลากะพง ปลาทู ปลาทูน่า
  • นม
  • ไข่
  • น้ำมันตับปลา
  • กระเทียม
  • ผักกาดเขียว ผักขม
  • โยเกิร์ต
  • เมล็ดงา ถั่วเมล็ดแบน
  • สตรอเบอรรี่
  • เกลือทะเล
  • ผลิตภัณฑ์เสริมไอโอดีนทุกชนิด เช่น น้ำดื่ม น้ำปลา ซีอิ๊วขาว บะหมี่ กล้วยตาก

แค่คุณแม่กินอาหารที่มีประโยชน์ ให้ครบ 5 หมู่ คุณแม่ก็ไม่ต้องกังวลแล้วค่ะ เพราะคุณแม่และลูกน้อยจะได้สารอาหารครบแน่นอน
 

แม่ท้องต้องรู้ ! คุณหมอแนะนำ ยาที่แม่กินได้ ไม่อันตรายกับทารกในครรภ์

3576

แม่ท้องต้องรู้ ! คุณหมอแนะนำ ยาที่แม่กินได้ ไม่อันตรายกับทารกในครรภ์

คุณแม่ตั้งครรภ์ที่อาจเจ็บป่วยไม่สบายขึ้น อาจกำลังสงสัยและกังวลพอๆ กันว่า การกินยารักษาโรคต่างๆ จะส่งผลอะไรกับทารกในครรภ์บ้างไหม มียาอะไรบ้างที่แม่ตั้งครรภ์สามารถกินได้ เรามีคำแนะนำจากคุณหมอมาบอกค่ะ 

ในช่วงสามเดือนแรก เป็นช่วงที่สำคัญมากๆ เพราะเป็นระยะที่มีการก่อร่างสร้างอวัยวะต่างๆ หากมีสิ่งใดที่มากระทบกระเทือนโอกาสเกิดความผิดปกติก็จะสูงที่สุด ยาที่ใช้ได้จะมีจำกัดมากๆ โดยภาพรวมแล้วหากจำเป็นต้องใช้ยาใดๆ ขอแนะนำให้ปรึกษาเภสัชกร คุณพยาบาล หรือแพทย์ก่อนทุกๆ ครั้งจะดีกว่า

ยาที่แม่ท้องใช้ได้

  1. ยาแก้ปวด:ใช้ได้เพียงอย่างเดียว คือ “พาราเซตตามอล” (หรือในบางครั้งก็อาจจะได้ยินในชื่อ ไทลินอล อะเซตตามิโนเฟน) แต่หากใครมีประวัติแพ้ยาพาราเซตตามอลก็จะใช้ไม่ได้ คือถ้ามีอาการไข้ ปวดต่างๆ นานา  ก็ทานเพื่อบรรเทาอาการไปก่อนได้เลย อย่างปลอดภัยตามขนาดที่กำหนด

    คำว่าตามขนาดที่กำหนดนั้น ขอให้จำอันใหม่ ควรทานในขนาดเม็ดละ 650 มิลลิกรัม และทานซ้ำได้ทุก 8 ชั่วโมง หากว่ายังมีอาการไข้หรืออาการปวดอยู่ การทานในปริมาณที่มากกว่านี้ เช่น ในสมัยก่อนที่ให้ทาน 1,000 มิลลิกรัม และซ้ำได้ทุก 4 – 6 ชั่วโมงนั้น ไม่แนะนำแล้ว เพราะมันมีผลต่อการทำงานของตับมากเกินไป มันจะเกิดผลเสียกับตับ

  2. ยาแก้คัดจมูก ลดน้ำมูก:ในระหว่างตั้งครรภ์สามเดือนแรกนั้น หากมีอาการคัดจมูกหรือมีน้ำมูกมาก ยาที่ใช้ได้อย่างปลอดภัยก็คงมีเพียง “คลอเฟนนิรามีน” ยาตัวอื่นที่เคยใช้ทานในกรณีที่มีอาการภูมิแพ้ทั้งหลาย เช่น Zyrtec คงต้องงดไว้ก่อน

    ในระยะสามเดือนแรกของการตั้งครรภ์นี้ อาจมีอาการของติดเชื้อทางเดินหายใจร่วมๆ กันหลายอย่าง เช่น ไข้ คัดจมูก มีน้ำมูก เจ็บในคอ ไอ โดยอาจจะไอแบบแห้งๆ หรือไอแบบมีเสมหะก็ได้ ในส่วนของอาการไข้  คัดจมูก มีน้ำมูกก็ทานยา พาราเซตตามอล คลอเฟนนิรามีน ดังกล่าว เพื่อช่วยบรรเทาอาการเบื้องต้นได้

    หากมีอาการเจ็บในคอก็ควรมาตรวจพบแพทย์ เพื่อให้แพทย์ตรวจดูภายในลำคอว่ามีลักษณะของการติดเชื้ออักเสบหรือไม่ เพราะหากมีลักษณะตรวจพบดังกล่าว ก็จะได้พิจารณาเรื่องการทานยาปฏิชีวนะ ส่วนอาการไอนั้น หากมีอาการไอแบบแห้งๆ ก็อาจทานยาแก้ไอบางตัวได้ เพราะหากปล่อยให้ไอนานๆ เรื้อรัง หรือไอแรงมากๆ ก็จะส่งผลกระทบถึงภาวะครรภ์แน่นอน โดยเฉพาะในระยะสามเดือนแรกนี้ภาวะครรภ์จะยังอ่อนแอ ไม่แข็งแรงเอามากๆ เสี่ยงต่อการแท้งได้

  3. ยาแก้ไอแบบแห้งๆ:กลุ่มที่ใช้ได้ในระหว่างตั้งครรภ์คือ กลุ่ม “เด๊กซโตร เมโทรฟาน” หรือชื่อการค้ายี่ห้อหนึ่งว่า ROMILAR แต่ต้องดูให้ดีดีนะครับว่าเป็นชื่อ romilar เท่านั้น เพราะถ้ามีอักษรอะไรห้อยท้ายด้วย นั่นอาจผสมยาหรือสารเคมีอื่นเพิ่มเติม ซึ่งอาจจทำให้ใช้ไม่ได้ในระหว่างตั้งครรภ์ วิธีสังเกตง่ายที่สุดคือ ขอให้ตัวยานั้นมีแต่ เด๊กซโตร เมโทรฟาน เท่านั้น 

    แต่หากไม่อยากใช้ยาใดๆ เลยก็ “น้ำเปล่า”  นี่แหละดีที่สุด คือพอเริ่มรู้สึกระคาย คัน คอ จะไอปุ๊ป ก็ดื่มน้ำปั๊ปมันช่วยได้แน่นอน เพราะกลไกการไอส่วนหนึ่งคือมีการระคายเคืองในลำคอ การระคายเคืองนั้นอาจเกิดจากภาวะการขาดสารน้ำของเนื้อเยื่อในบริเวณดังกล่าว ร่างกายคนเราขาดน้ำได้มากกว่าปกติ ทั้งจากภาวะไข้ หายใจเร็ว เหงื่อระเหยออกจากผิวหนังมากๆ

  4. ยาละลายเสมหะ:หากอาการไอดังกล่าวมีเสมหะร่วมด้วย ก็อาจทานยาละลายเสมหะช่วย เพราะหากเสมหะใสดีการไอก็จะลดลงได้ ที่ใช้ได้ในระหว่างตั้งครรภ์มี 2 อย่าง  ได้แก่ “Acetylcysteine” และ “Bromhexine” และเช่นเดียวกับการลดอาการไอด้วยวิธีธรรมชาติ หากไม่อยากทานยาครับ ก็คือ “น้ำเปล่า”  จะช่วยเสมหะใสขึ้นได้ ในกรณีที่มีอาการเจ็บคอร่วมด้วยสามสี่วันแล้ว ก็ไม่หายสักที ก็ควรมาตรวจพบแพทย์ หากแพทย์ตรวจพบว่ามีอาการของการอักเสบของบริเวณลำคอ ก็อาจพิจารณาจ่ายยาปฏิชีวนะให้รับประทาน

  5. ยาปฏิชีวนะ: สำหรับการตั้งครรภ์ในสามเดือนแรก ที่จะใช้ได้ก็มีจำนวนจำกัดมากๆ เพราะยาหลายชนิดจะมีผลต่อการเจริญและพัฒนาการของตัวอ่อน ยาปฏิชีวนะกลุ่ม “penicillin” เป็นยาที่ใช้ได้อย่างปลอดภัยระหว่างตั้งครรภ์ แม้ในระยะสามเดือนแรกก็ใช้ได้ (แต่คุณแม่ต้องไม่มีประวัติแพ้ยาดังกล่าว)

    ยาชนิดนี้ใช้ได้ทั้งการอักเสบติดเชื้อทางเดินหายใจ  ช่องปาก ทางช่องหู  ทางเดินอาหาร ทางเดินปัสสาวะ ทางช่องคลอด และทางผิวหนัง ฯลฯ อีกมากมาย  แม้ว่าในส่วนอื่นที่มิใช่ทางเดินหายใจอาจจะมีประสิทธิภาพไม่มากนัก แต่ก็ถือว่าปลอดภัยในการใช้ระหว่างตั้งครรภ์สามเดือนแรก หากมีประวัติแพ้ยา penicillin  ก็มียากลุ่มถัดไปให้เลือกใช้แทน

โดยสรุป หากมีอาการปวดหัว ตัวร้อน เป็นหวัด คัดจมูก มีน้ำมูกไหล เจ็บคอ ยาที่เลือกทานได้อย่างปลอดภัยในช่วงสามเดือนแรกของการตั้งครรภ์และตลอดการตั้งครรภ์ก็คือ 

  • พาราเซตตามอล: แก้ปวด  ลดไข้
  • คลอเฟนนิรามีน:  แก้คัดจมูก  ลดน้ำมูก
  • เด๊กซ โตรเมโทรฟาน:  ยาแก้ไอ (ไอแห้งๆ)
  • Acetylcysteine , Bromhexine: ยาละลายเสมหะ
  • เพนนิซิลลิน : ยาปฏิชีวนะสำหรับทั้งการอักเสบติดเชื้อทางเดินหายใจ  ช่องปาก ทางช่องหู  ทางเดินอาหาร ทางเดินปัสสาวะ ทางช่องคลอด และทางผิวหนัง            

นพ.วิริยะ  เล็กประเสริฐ
สูติ-นรีแพทย์ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ

แม่ท้องต้องรู้ ! ท้องนอกมดลูก อันตรายของการตั้งครรภ์

3558

แม่ท้องต้องรู้ ! ท้องนอกมดลูก อันตรายของการตั้งครรภ์

ฝันร้ายของคุณแม่ในช่วงตั้งครรภ์ และไม่มีใครอยากให้เกิด นั่นคือ การท้องนอกมดลูก ซึ่งเป็นอันตรายอย่างมากต่อทั้งตัวแม่และเด็ก แต่เพื่อหลีกเลี่ยงภัยเงียบต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต เรามารู้จักสิ่งนี้กัน
 
การตั้งครรภ์นอกมดลูก(Ectopic pregnancy) เป็นความผิดปกติของการตั้งครรภ์ประเภทหนึ่ง ที่ตัวอ่อนเกิดการฝังตัวนอกโพรงมดลูก รวมไปถึงที่ปีกมดลูก ท่อนำไข่ รังไข่ ปากมดลูก หรือช่องท้อง ทำให้ตัวอ่อนไม่สามารถเจริญเติบโตเป็นทารกได้ ซึ่งสิ่งนี้เป็นอันตรายต่อทั้งแม่และเด็ก และยังทำให้อวัยวะภายในของคุณแม่ได้รับความเสียหาย จนอาจทำให้เลือดออกในช่องท้องจนถึงเสียชีวิตได้ จึงควรเริ่มพบแพทย์ทันทีที่ประจำเดือนเริ่มขาดไป

สาเหตุของการท้องนอกมดลูก

  • การติดเชื้อของอวัยวะในระบบสืบพันธุ์ เช่น ภาวะอุ้งเชิงกราน มดลูก ท่อนำไข่และรังไข่เกิดการอักเสบหรือติดเชื้อ
  • มีรอยแผลเป็นที่เกิดจากการผ่าตัดที่บริเวณอุ้งเชิงกรานในอดีต
  • เคยมีประวัติท้องนอกมดลูกมาก่อน
  • การทำหมันหญิง หรือการผ่าตัดแก้หมันหญิง หรือการใส่ห่วงอนามัยคุมกำเนิด 
  • การใช้ยา หรือการรักษาภาวะมีบุตรยาก เช่น การทำเด็กหลอดแก้ว
  • การใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน
  • การมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย
  • การสูบบุหรี่
  • ความผิดปกติของการพัฒนาภายในไข่หลังเกิดการปฏิสนธิ

อาการของการตั้งครรภ์นอกมดลูก

  • ประจำเดือนขาด
  • เลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด

  • มีอาการเจ็บหน้าอก คลื่นไส้อาเจียน วิงเวียนศีรษะ ซึ่งเป็นอาการแสดงของการตั้งครรภ์

  • ปวดบริเวณอุ้งเชิงกราน ไหล่ คอ และบริเวณทวารหนัก

  • มีภาวะช็อก


หากเกิดความสงสัยว่าตนเองอาจท้องนอกมดลูกให้รีบไปพบแพทย์ เพื่อตรวจหาความผิดปกติโดยเร็ว เพราะการท้องนอกมดลูกที่ได้รับการตรวจวินิจฉัยช้าเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ เนื่องจากท่อนำไข่ และอวัยวะภายในเกิดความเสียหาย ฉีกขาด ทำให้เกิดการติดเชื้อ ผู้ป่วยมีการตกเลือด เกิดอาการช็อก และอาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้
 
ภาวะท้องนอกมดลูก ไม่อาจป้องกันได้ แต่เราสามารถลดปัจจัยเสี่ยงที่นำไปสู่การท้องนอกมดลูกได้
  • มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย ใช้ถุงยางอนามัยและไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาคุมกำเนิดแบบฉุกเฉิน
  • งดสูบบุหรี่ เพราะผู้ที่สูบบุหรี่มีความเสี่ยงท้องนอกมดลูกสูงกว่าคนปกติ
  • สังเกตอาการ และเข้ารับการตรวจวินิจฉัย เพื่อรับการรักษาให้ทันเวลา

เมื่อคุณตั้งครรภ์ย่อมมีความเสี่ยงต่างๆ ตามมามากมาย สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความปลอดภัย พ่อแม่ทั้งหลายจึงควรเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อรับมือกับปัญหาต่างๆที่อาจตามมาในอนาคต นอกจากนี้กำลังใจก็ถือเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะล้มเหลวอีกกี่ครั้ง ท้อได้แต่อย่าถอย หากคุณทั้งคู่จับมือกันผ่านพ้นปัญหาต่างๆเหล่านี้ไปได้ ก็จะสามารถสร้างครอบครัวที่แข็งแรงได้ในอนาคต
 

โดย แพทย์หญิงกมลภัทร วิจักขณ์พันธ์
สูตินรีแพทย์ด้านเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์
โรงพยาบาลวิชัยยุทธ