facebook  youtube  line

รักลูก The Expert Talk EP 88 : “รู้ลึก รู้ถึง DNA เพื่อสุขภาพที่ยั่งยืนของลูก”

 

รักลูก The Expert Talk Ep.88 : รู้ลึก รู้ถึง DNA เพื่อสุขภาพที่ยั่งยืนของลูก

 

การตรวจ DNA เป็นการตรวจเฉพาะบุคคล เพื่อกินหรือปรับพฤติกรรมให้ตรงกับแต่ละคนมากที่สุด ยิ่งตรวจเร็วยิ่งดี เพราะจะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่สามารถวางแผนอนาคตของลูกได้

การตรวจที่สถาบันสุขภาพและความงาม ตรัยญา จะมีคุณหมอวางแผนการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมครบทุกมิติ เพื่อให้ทุกคนมีสุขภาพดีพร้อมรับมือกับสถานการณ์โรคต่างๆ ได้

 

ฟังวิธีการตรวจ DNA และแนวทางการป้องกันสุขภาพเพื่อสุขภาพที่ยั่งยืนของครอบครัว โดย พญ.สุวรรณี ศิริวิมลานันท์ แพทย์เวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟู สถาบันสุขภาพและความงาม ตรัยญา

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

รักลูก The Expert Talk EP.100 : สร้างสมดุลฮอร์โมนให้ลูก ก่อนลูกแก่เกินวัยและเติบโตช้า

 

รักลูก The Expert Talk Ep.100 : สร้างสมดุลฮอร์โมนให้ลูกก่อนลูกแก่เกินวัยและเติบโตช้าเกินไป 

 

“ทำไมลูกมีประจำเดือนเร็ว ส่วนสูงต่ำกว่าเกณฑ์ กินก็เยอะทำไมไม่อ้วน ลูกดูไม่ค่อยแข็งแรง อ่อนเพลียง่าย” รู้ไหมว่าอาการเหล่านี้เป็นผลลัพธ์จากการทำงานของฮอร์โมนที่ไม่สมดุล แล้วจะทำให้ฮอร์โมนทำงานสมดุลได้อย่างไร เพื่อให้ลูกเติบโตอย่างสมวัย

ฟัง The Exeprt พญ.นวลผ่อง เหรียญมณี
กุมารเวชศาสตร์ โรคต่อมไร้ท่อและเมตาบอลิซึม โรงพยาบาลพญาไท 2

รู้จักฮอร์โมนไทรอยด์

มีฮอร์โมนที่สําคัญกับการเจริญเติบโตของเด็กมีสามตัว ได้แก่ 1.ฮอร์โมนเพศ 2.ฮอร์โมนไทรอยด์ 3.โกรทฮอร์โมน สำหรับEPนี้ทำความรู้จักกับฮอร์โมนไทรอยด์ เป็นฮอร์โมนที่มีบทบาทสําคัญกับการเจริญเติบโตของเด็ก ได้แก่ 1.การพัฒนาทางด้านสมองของเด็ก 2. การพัฒนาทางด้านร่างกาย 3.ระบบการเผาผลาญก็เกี่ยวข้องนะคะ ฮอร์โมนตัวนี้ทําให้การเผาผลาญของร่างกายเป็นไปด้วยดี แต่ก็มีโรคหรืออาการที่เกิดจากไทรอยด์ เช่น ไทรอยด์เป็นพิษเด็กจะมีอาการตาบวม ตาโปน คอโต บางทีมาด้วยปัญหาเรื่องสมาธิสั้นไฮเปอร์แอคทีฟ และอีกอย่างคือกินเยอะแต่น้ำหนักไม่ขึ้น กินแล้วผอมเหมือนที่เขาบอกว่ามีไทรอยด์อ้วนกับไทรอยด์ผอม หรืออาจจะมีอาการท้องเสีย เหนื่อยง่าย นอนหลับไม่สนิท เช็กลิสต์เบื้องต้นที่พ่อแม่อาจจะนำไปเช็กได้แก่ นอนน้อย นอนไม่หลับหลับไม่สนิท สมาธิสั้น เหนื่อยง่าย ใจสั่น กินจุแต่น้้ำหนักไม่ขึ้น ถ้าสังเกตว่าลูกมีอาการเหล่านี้ สามารถพามาพบคุณหมอเพื่อเช็กเรื่องไทรอยด์เป็นพิษ

สำหรับเรื่องฮอร์โมนจะต้องมีความสมดุล ถ้าเยอะก็ไทรอยด์เป็นพิษ แต่ถ้าน้อยไปก็เป็นกลุ่มของไทรอยด์ต่ำ อาการก็จะตรงกันข้ามคือ กินเยอะแต่อ้วน เนือยๆไม่active ท้องผูก นอนเยอะ ดูอ้วนๆ ฉุๆ แต่ว่าทั้งสองกลุ่ม พ่อแม่จะสังเกตเห็นชัดว่าทําไมลูกเราคอโตจังหรือที่เขาเรียกว่าคอพอก อาการแบบนี้ก็จะเจอได้ทั้งสองกลุ่ม ซึ่งต่อมไทรอยด์จะเป็นต่อมที่อยู่ใต้ผิวหนังนี้บริเวณคอเป็นลักษณะรูปผีเสื้อ พอมีความผิดปกติมันก็จะบวมโตขึ้นมา ซึ่งถ้ารุนแรงมากอาจจะดูโตแบบทั้งคอแต่ถ้าไม่มาก พอเงยคอขึ้นมาก็จะสังเกตเห็นได้

ไทรอยด์เป็นพิษ

การรักษาไทรอยด์เป็นพิษจะใช้ยาเป็นหลัก ทั้งการกลืนแร่รังสีและผ่าตัด สำหรับการกลืนแร่รังสีจะเริ่มใช้ได้ตั้งแต่เด็กที่อายุมากกว่า10ปีขึ้นไป ส่วนการผ่าตัดอาจจะต้องดูเป็นกรณี เพราะจะมีภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด ส่วนการรักษากลุ่มของไทรอยด์ต่ำ มีวิธีรักษาแบบเดียวคือให้ยากินฮอร์โมนไทรอยด์เสริม เด็กบางคนอาจจะกินแต่ช่วงระยะสั้น แต่บางคนก็ต้องกินยาไปตลอดชีวิต ซึ่งมักจะเป็นกลุ่มที่ร่างกายสร้างต่อมไทรอยด์ไม่ได้และเป็นมาตั้งแต่กําเนิด

สาเหตุที่ต่อมไทรอยด์มีความผิดปกติเกิดจากการภูมิต้านทานของร่างกายเข้าไปทําลายทำให้สร้างฮอร์โมนไทรอยด์ออกมาไม่ได้ อย่างที่เราคุ้นเคยกับคําว่าภูมิต้านทาน ทําร้ายเซลล์ของร่างกาย สำหรับการป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นคือต้องทำให้ฮอร์โมนสมดุล ร่างกายมีความสมดุล พักผ่อนดี ออกกําลังกายดี กินอาหารครบถ้วน และให้หลากหลายร่างกายอยู่ในภาวะสมดุล และถึงแม้ว่าเด็กคนนั้นจะมีความเสี่ยงอยู่ที่จะเป็นโรคไทรอยด์ แต่ความเสี่ยงอาจจะไม่ได้ส่งผลกระทบกับเด็กมาก ถ้าสามารถรักษาภาวะสมดุลได้

ภาวะการขาดฮอร์โมนไทรอยด์ตั้งแต่กําเนิดเป็นเรื่องที่สําคัญมาก ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายคัดกรองทารกแรกเกิดทุกคนว่ามีการขาดฮอร์โมนตัวนี้ไหม ดังนั้นจะเห็นว่าหลังคลอด 2วันแรกเด็กจะโดนเจาะส้นเท้าเพื่อตรวจระดับไทรอยด์ฮอร์โมน เพราะถ้าขาดและเสริมฮอร์โมนให้ได้ภายใน2สัปดาห์แรก สมองเด็กก็ได้รับ ฮอร์โมนไทรอยด์พัฒนาไปได้ปกติ

รู้จักฮอร์โมนเพศ

ฮอร์โมนเพศทำหน้าที่แบ่งแยกเพศหญิงเพศชาย ฮอร์โมนเอสโตรเจนทําให้เกิดลักษณะเพศหญิง ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนทําให้เกิดลักษณะของเพศชาย ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นคือ ฮอร์โมนมาเร็วมาเยอะก่อนเวลาที่ควรจะเป็นทําให้เกิดภาวะที่เรียกว่าเป็นหนุ่มสาวก่อนวัย ในช่วงแรกจะเห็นว่าเด็กโตดีโตเร็วสูงกว่าเพื่อน แต่ปรากฎคือกระดูกโตไปมากแล้วอีกไม่นานกระดูกปิด ทําให้ตอนหลังความสูงหยุดก่อนเพื่อน กลายเป็นตัวเตี้ยกว่าเพื่อนและเตี้ยกว่าที่ควรจะเป็นตามพันธุกรรม และพอเราโตเร็วเป็นสาวเร็วแต่ใจเรายังเป็นเด็กก็กระทบต่อสภาพแวดล้อมทางสังคมและจิตใจของเด็ก ในแง่ของเรื่องอารมณ์อาจจะมีอารมณ์หงุดหงิดเพราะยังควบคุม อารมณ์ได้ไม่ดีนัก คือร่างกายมันไม่ไปกับพัฒนาการทางด้านอารมณ์ และเสี่ยงต่อการถูกการละเมิดทางเพศ เพราะยังป้องกันตัวเองไม่ได้

สาเหตุเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย

หลังช่วงโควิดที่ผ่านมามีความชัดเจนขึ้นว่าเด็กเป็นสาวเร็วขึ้นเกิดจากความสมดุลนั่นเองค่ะ คือการที่มีฮอร์โมนเร็วมีจาก 2ปัจจัย 1.เด็กสมบูรณ์มากไป คือมีภาวะอ้วน และ2.ฮอร์โมนไม่สมดุล และส่วนน้อยคือต้องระวังเรื่องโรคที่มีเนื้องอกที่ต่อมไร้สมองมากระตุ้นทําให้เกิดฮอร์โมนเพศหญิงชายเร็วขึ้น ส่วนการรักษา เริ่มต้นก็จะต้อง MRIสมองเพื่อดูว่ามีเนื้องอกที่ต่อมใต้สมองไหม ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับขนาดและชนิดของเนื้องอกซึ่งก็รักษาไปตามนั้น และเรื่องการมีภาวะอ้วนหรือฮอร์โมนไม่สมดุลก็ต้องปรับเปลี่ยนนิสัยลูกและพ่อแม่ผู้ปกครอง โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน การออกกำลังกาย และหากคุณหมอประเมินแล้วว่าความสูงสุดท้ายได้น้อยก็มียาควบคุมฮอร์โมนไว้ก่อน ลดฮอร์โมนลงให้สมกับวัย เพื่อให้กระดูกก็จะไม่แก่เร็วไม่ปิดเร็ว ทําให้ความสูงสุดท้ายไปได้ดีขึ้นตามศักยภาพของเด็ก

ซึ่งการดูความสูงน้ําหนักตั้งแต่เด็กมีประโยชน์มาก หมั่นสังเกตน้ำหนักและส่วนสูงของลูก วิธีสังเกตคือ สำหรับเด็กผู้หญิงส่วนสูงจะขึ้นเร็วมากประมาณช่วงอายุ 10ปี และเด็กผู้ชายอายุ 13ปี แต่หากก่อนหน้านี้สูงเร็วมากก็อาจจะต้องคอยสังเกต สมมติว่าลูกอายุ 5ปี เขาควรจะสูงที่ 120ซม. แต่ก็สูงขึ้นมาทันที อาจจะสูงทีละ 5-10ซม. เพราะโดยปกติเด็กจะสูงขึ้นประมาณ 4-6ซม.ต่อปี แต่พอมีฮอร์โมนเพศอัตราส่วนสูงจะขึ้นเป็น 10ซม.ต่อปี พ่อแม่ก็ต้องคอยสังเกตและอาจจะพามาพบคุณหมอ ซึ่งฮอร์โมนเพศของเด็กผู้หญิงจะมาช่วงอายุ 10ปี เด็กผู้ชายจะมาตอนอายุ 13ปี

ฉะนั้นถ้าคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกอยู่ในวัย10-13ปี อาจจะกลับมาดูกราฟของเราได้ว่ากำลังสูงเกินไปหรือเปล่าหรือเตี้ยเกินไป ซึ่งภาวะหนุ่มสาวก่อนวัย เนี่ยเขาตัดเกณฑ์กันที่อายุ 8ปี ถ้าโตเร็วฮอร์โมนจะมาเร็วในช่วง 7-8ปี กราฟพุ่ง หรือเด็กผู้ชายจะตัดเกณฑ์กันที่อายุ9ปี แต่ถ้าอายุ 8-9ปี แล้วทำไมดูโตเร็ว หน้ามัน เริ่มมีสิวก็ต้องเริ่มเอ๊ะ ว่าฮอร์โมนเพศมาเร็วหรือเปล่า

เมื่อมาที่โรงพยาบาลหมอจะตรวจร่างกาย เด็กผู้หญิงดูว่าหน้าอกนั้นเป็นจากเต้านมหรือว่าเป็นแค่ไขมันอ้วน หน้ามันมีสิวไหม มีขนฮอร์โมนขึ้นไหม โดยเฉพาะรักแร้กับหัวหน่าว หรือการเอกซเรย์อายุกระดูก ถ้ากลุ่มที่มีฮอร์โมนอายุกระดูกก็จะเร็วกว่าอายุจริงไปเกิน1-2ปี และสุดท้ายก็คอนเฟิร์ม โดยการวัดฮอร์โมนจากเลือด

สอบถามเพิ่มเติม โปรแกรมตรวจภาวะเด็กเติบโตช้าโปรแกรมตรวจคัดกรองโรคอ้วนในเด็ก 02-617-2444 ต่อ 3219, 3220 รพ. พญาไท 2

แนะนำทีมกุมารแพทย์เฉพาะทางด้านต่อไร้ท่อและเมตาบอลิซึม รพ. พญาไท 2

พญ. นวลผ่อง เหรียญมณี นพ.ไพรัช ไชยะกุล พญ. ณัฐกานต์ นำศรีสกุลรัตน์

FB @Phyathai2Hospital
Line: @Phyathai 2 , @parenting_school

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

รักลูก The Expert Talk EP.101 : รู้จักโกรทฮอร์โมน….ต้นเหตุทำเด็กเติบโตช้า

 

รักลูก The Expert Talk Ep.101 : Growth Hormone ฮอร์โมนสำคัญของเด็ก 

 

“โกรทฮอร์โมน” ฮอร์โมนสำคัญมากกว่าแค่ลูกโตไว โตช้า โตไม่สมวัย แต่เป็นต้นทางของการทำงานในร่างกายทุกส่วน จะทำอย่างไรให้โกรทฮอร์โมนสมดุล

 ฟัง The Expert พญ.นวลผ่อง เหรียญมณี

กุมารเวชศาสตร์ โรคต่อมไร้ท่อและเมตาบอลิซึม โรงพยาบาลพญาไท 2

รู้จัก Growth Hormone

Growth Hormone คือฮอร์โมนการเจริญเติบโตเป็นฮอร์โมนแห่งการสร้าง ช่วยสร้างเซลล์ ทําให้เซลล์กระดูกเติบโตเด็กสูง ทําให้เซลล์กล้ามเนื้อแข็งแรงเด็กมีกําลัง ทําให้เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงการทํางานของหัวใจดี นอกจากนี้โกรทฮอร์โมนยังช่วย สร้างน้ำตาลด้วยทําให้ตับสร้างน้ำตาล ปล่อยน้ำตาลออกมาในกระแสเลือดทําให้เซลล์ต่างๆ ได้พลังงานจากน้ำตาลเซลล์ก็ทํางานดี ช่วยทำให้เกิดการสร้างพลังงานจากการสลายไขมัน

การที่ Growth Hormone จะทำงานได้ดีต้องมี 3 เรื่องสำคัญได้แก่

1. อาหารต้องครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะกลุ่มโปรตีน ซึ่งจะไปกระตุ้นการสร้าง Growth Hormone แต่ทุกอย่างต้องพอดีไม่มากเกินไป Growth Hormone ก็จะออกได้น้อย เพราะฉะนั้นทุกอย่างต้องกินแบบพอเหมาะตามวัย

2. ออกกําลังกายอย่างเพียงพอ ครั้งละ 30-60 นาที แนวของแอโรบิก ประมาณ 5-7 วันต่ออาทิตย์

3. การนอน Growth Hormone จะออกมาช่วงที่เราหลับสนิท ซึ่งแต่ละวัยก็ควรจะนอนให้เหมาะสมกับวัยด้วยค่ะ อายุ 3-6 ปี นอนประมาณ 9-10 ชั่วโมงต่อวัน อายุ 6-10 ปี นอนประมาณ 8-9 ชั่วโมงต่อวัน ช่วงมัธยม-ผู้ใหญ่นอนประมาณ 6-7 ชั่วโมงต่อวัน

Growth Hormone ไม่สมดุลกระทบกับสุขภาพ

คําว่าไม่สมดุลเราแบ่งเป็น ถ้ามันเยอะเกินกับน้อยเกิน สำหรับเด็กจะเจอแบบที่น้อยเกินไปมากกว่า ทำให้เด็กโตช้ากว่าเพื่อน กล้ามเนื้อต่างๆ พัฒนาไม่ค่อยดี โดยเฉพาะกล้ามเนื้อมัดใหญ่อาจจะไม่แข็งแรงเท่าเพื่อน โครงสร้างกระดูกพัฒนาช้าลักษณะภายนอกที่เห็นได้คือหน้าจะกลมๆ เล็กๆ ถ้าพูดกันตามวิชาการเด็กกลุ่มนี้จะหน้าเหมือนตุ๊กตา พอโตขึ้นไปแล้วยังไม่มี Growth Hormone จะมีผลกับคอลลาเจนและผิวเหี่ยวเร็ว นอกจากนี้ Growth Hormone ยังเกี่ยวกับการสร้างน้ำตาล อาการที่เกิดขึ้นได้จั้งแต่แรกเกิด คือเด็กอายุ 1 เดือนมีอาการชัก น้ำตาลต่ำ พอตรวจก็เจอภาวะ Growth Hormone ต่ำ ซึ่งส่งผลกับสมองใช้พลังงานไม่ได้ทำให้ IQ ต่ำ รวมถึงเด็กกลุ่มนี้ก็จะค่อนข้างแบบอ้วนหน่อยๆ เพราะอย่างที่บอกว่า Growth Hormone ช่วยสลายไขมัน ถ้าสลายไขมันได้ไม่ดีก็จะทำให้ดูอ้วน กลม เตี้ย เนื้อนิ่มๆ

รักษา Growth Hormone 

การรักษาต้องเป็นแบบฉีดเข้าชั้นใต้ผิวหนังฉีดทุกวัน แต่ตอนนี้กําลังพัฒนาชนิดที่ฉีดสัปดาห์ละหนึ่งครั้งแต่ยังไม่เข้ามาในประเทศไทย ส่วนที่โฆษณาว่าเป็น Growth Hormoneชนิดกิน ต้องบอกว่าเป็นลักษณะพวกโปรตีน เพราะอาหารกลุ่มโปรตีนจะไปกระตุ้นให้ร่างกาย สร้างโกรทฮอร์โมนต่อ ถามว่าพูดผิดไหมก็ไม่ผิดแต่เป็นการก้าวข้ามบางประโยคไปว่าเป็นสารอาหารที่ไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้าง Growth Hormone ได้เพียงพอมากกว่า แต่ก็อาจจะเป็นช็อตสั้น ๆ ว่าเป็น Growth Hormone ชนิดรับประทาน แต่ไม่ได้พูดคําว่ามันเพียงพอ หรือมันจะมีผลอะไรแต่ว่ามันเป็นในรูปแบบของโปรตีนมากกว่า หากถามว่าเด็กสามารถกินได้ไหม สำหรับเด็กที่กินอาหารได้ดีแล้วการเสริมเข้ามาอาจจะไม่ได้ช่วย มันก็เป็นสิ่งที่เกินจําเป็น แต่ถ้าเด็กคนไหนที่กินยากจริงๆ แล้วจะเสริมด้วยโปรตีนเสริมก็ไม่มีผลกระทบ แต่ต้องดูว่ามีอย.และเด็กสามารถใช้ได้ไหม และควรปรึกษาคุณหมอของลูกด้วยก็ได้

เพราะการที่ได้รับฮอร์โมนเยอะเกินไปด้วยความที่เป็นฮอร์โมนแห่งการสร้างการเติบโตของเซลล์ถ้ามันเยอะเกินไป อาจจะทำให้เกิดเซลล์เติบโตมากผิดปกติ แล้วเป็นเนื้องอก หรือถ้าหากกินเราก็อาจจะต้องตรวจวัดระดับฮอร์โมนในเลือดว่าพอดีเปล่าเพราะถ้าให้มากไปก็ล้นเป็นข้อเสีย แล้วก็มีอีกหนึ่งวิธีสังเกตตั้งแต่แรกเกิดเลยคือ พ่อแม่สังเกตว่าทําไมลูกชายอวัยวะเพศเล็กหรือสั้นจัง ซึ่งคุณหมอก็จะเช็กระดับโกรทฮอร์โมน ว่ามันมาจากโกรทฮอร์โมนต่ําหรือว่ามันเป็นภาวะที่มันเกิดขึ้นตามวัยของเด็กหรือมีภาวะอื่นด้วย

ถ้าหาก Growth Hormoneสูง เด็กจะโตเร็วโครงสร้างของกระดูกใหญ่ ตัวสูง มือจะดูหนาๆใหญ่ๆ แต่ก็อาจจะไม่ได้มีแสดงออกของเรื่องฮอร์โมนเพศ เรื่องสิว เต้านม นอกจากจะโดนเพื่อนล้อแล้วอีกประเด็นที่เกี่ยวข้องคือ Growth Hormone ทําให้เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจเติบโต การมีฮอร์โมนเยอะก็ทำให้หัวใจต้องทํางานมากไปทำให้หัวใจโต หัวใจวายได้

ซึ่งการรักษาคือเจาะวัดระดับ Growth Hormone ในเลือดหรือMRI เพื่อดูว่ามีเนื้องอกเกิดขึ้นไหมมีขนาดเท่าไหร่ถ้ามีก็อาจจะต้องตัดออก ซึ่งที่โรงพยาบาลพญาไท2 มีโปรแกรมการตรวจวัดระดับ Growth Hormone ก็เป็นจุดสําคัญเบื้องต้นที่ทำให้รู้ว่าขาด Growth Hormone หรือเปล่า ซึ่งตรวจได้ตั้งแต่อายุ 4 ปี

สำหรับการดูแลสุขภาพต้องมีพื้นฐาน 3 ข้อค่ะ ได้แก่เรื่อง 3 อ. ได้แก่ อ. แรกคือ เรื่องอาหาร ออกกำลังกาย และอารมณ์ ก็คือการนอนเร็วก็จะช่วยให้เด็กอารมณ์ดี และก็ทำให้ฮอร์โมนสมดุลด้วย

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

รักลูก The Expert Talk EP.103 (Rerun) : ภัยร้าย RSV

 รักลูก The Expert Talk Ep.103 : ภัยร้าย RSV

 

RSV ไม่ใช่แค่โรคหวัดแต่อาการรุนแรงมากกว่า เด็กรับเชื้อได้ง่ายกระทบระบบทางเดินหายใจ

มารู้จักและรับมือเจ้าเชื้อไวรัส RSV รับมือก่อนอาการรุนแรง

 

ฟัง The Expert รศ.นพ.พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์

รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรม

 

RSV สาเหตุเกิดจากอะไร

RSV เกิดจากเชื้อ ไวรัส RSV Respiratory Syncytial Virus เหมือนการติดเชื้อไวรัสที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจทั่วไป RSV มักจะเกิดการติดเชื้อในเด็ก และความรุนแรงตั้งแต่เป็นหวัดเล็กน้อย ไปจนถึงรุนแรง เช่น มีอาการลามไปที่แขนงถุงลมของปอดแล้วลงไปถึงเนื้อปอด ซึ่งก็จะทำให้เกิดอาการหอบ เวลาที่เราเห็นเด็กเป็นหวัดแล้วมีอาการไอมาก หายใจมีเสียงหวีดๆ

พ่อแม่จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็น RSV หรือโรคหอบ

จริงๆ แล้วบอกได้ยาก สำหรับเด็กอายุน้อยกว่า 1ปี เพราะในครั้งแรกอาจจะเกิดจาก RSV แต่ถ้าเป็นหอบจะมีอาการซ้ำๆ หลายครั้ง ครั้งแรก RSV กระตุ้นให้เกิดอาการ ครั้งต่อไปบริเวณของหลอดลมที่เคยติดเชื้อมาแล้ว ก็อาจจะมีความไวมากเป็นพิเศษ แต่ถ้าเจอเชื้ออื่นๆ หรือมีอาการอื่น เช่น มีฝุ่นละอองกระตุ้นให้เกิดมีอาการภูมิแพ้ ก็อาจจะทำให้เกิดอาการหอบได้

ช่วงอายุที่เป็นมากที่สุดและอาการรุนแรง

อายุน้อยกว่า 1ปี อาการจะค่อยๆรุนแรง แต่อย่างไรก็ตามอาการรุนแรงก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งจากจำนวนตัวเชื้อที่ติด ร่างกายเด็กไม่ค่อยแข็งแรง สุขภาพไม่ดี การดูแลของพ่อแม่ช่วงที่เป็นโรคดูแลได้ไม่ค่อยดี ก็อาจจะทำให้เกิดความรุนแรงของโรคได้ ซึ่ง RSV เป็นโรคติดต่อระบบทางเดินหายใจ การป้องกันเรื่องที่ดีที่สุดและมีความสำคัญ

ปัจจัยเสี่ยงทำให้เกิด RSV

1.เด็กอายุน้อยกว่า 1ปี มีโอกาสเป็นมากขึ้น

2.เด็กที่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง เป็นโรคเรื้อรัง

3.เด็กที่มีภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำเช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคหัวใจ โรคปอดที่มีแผลในปอด ก็มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย เพราะช่วงที่มีการระบาดเชื้อก็ล่องลอยในอากาศ ทำให้ติดเชื้อได้

สังเกตอาการ RSV

ดูอายุของเด็กน้อยกว่า 1 ปี อยู่ในช่วงระบาด มีอาการที่หลอดลมฝอย หลอดลมมีอาการตีบ อักเสบ เนื้อปอดอักเสบก็มีอาการ RSVได้เยอะ ซึ่งก็ดูจากอาการ หากติดไม่รุนแรงจะไม่แยกจากการติดเชื้ออาการอื่นๆ เพราะการดูแลรักษาเหมือนกัน

อาการรุนแรงของRSV

การติดเชื้อไวรัสทุกชนิด ทิศทางการดำเนินของโรคใกล้เคียงกัน เวลาที่มีความรุนแรงนอกจากระบบทางเดินหายใจแล้ว

หากรุนแรงมากขึ้นจะเลือกที่ไปขึ้นส่วนบน อาการแทรกซ้อน เช่น จากที่เป็นหวัดแถวๆ ลำคอ มีน้ำมูกในลำคอ อาจจะทำให้เกิดไซนัส อักเสบ หูอักเสบ สูงไปอีกอาจจะไปถึงสมองอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ

ลงส่วนล่างหรือไปที่แขนงปอดและเนื้อปอด ถ้าลงมาแล้วถึงหัวใจก็อาจจะเป็นหัวใจอักเสบ เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ลักษณะการติดเชื้อไวรัสจะมีทิศทางคล้ายๆ กัน

วิธีการรักษาRSV

รักษาตามอาการ เพราะเซื้อไวรัสส่วนใหญ่ไม่มียารักษายกเว้นไวรัสบางชนิด รักษาตามอาการคือ มีน้ำมูก เด็กเล็กจะไม่ให้ยาลดน้ำมูก ล้างจมูก หากเป็นมากๆ แล้วเป็นเด็กโตก็อาจจะให้ยาลดน้ำมูก

ได้รับน้ำเพียงพอ การได้รับน้ำเพียงพอจะช่วยลดอาการไข้ ทำให้เสลดไม่เหนียวและขับเสมหะได้ด้วย เช็ดตัวบ่อย ดูแลตามอาการ ถ้ามีอาการหอบหืด เช่น แขนงหลอดลมมีอาการตีบ หมออาจะให้ยาขยายหลอดลมช่วย หรือถ้าปอดอักเสบก็จะรักษาปอดอักเสบด้วย เป็นการรักษาตามอาการ

เกิดเป็นโรคระยะยาว

เด็กที่เป็น RSV มีโอกาสเป็นโรคระยะยาว หากลงไปที่แขนงหลอดลมฝอยหรือว่าลงไปที่เนื้อปอด หายได้แต่ไม่สนิทจะมีรอยแผลที่ปอด เมื่อมีการกระตุ้น เช่น ติดเชื้อครั้งถัดไปหรือว่าอากาศเปลี่ยน มีฝุ่นกระตุ้นทำให้เกิดความไวมากขึ้น เป็นตัวหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการหอบหืด

เพราะบางทีการหายไม่สมบูรณ์ ผนังทางเดินหายใจอาจจะมีแผล เมื่อมีเชื้อโรคก็เกาะง่ายขึ้น โอกาสติดเชื้อง่ายขึ้น มีโอกาสหายขาดเมื่อโตขึ้น แข็งแรงขึ้น ไม่ติดเชื้อซ้ำร่างกายก็จะเยียวยาตัวเอง

ค่ารักษาพยาบาลหากต้องนอนรพ.

โดยทั่วไปเมื่อมีอาการน้อยๆ ดูแลที่บ้านได้ ไม่มีอาการแทรกซ้อน สามารถดูแลที่บ้านได้ แต่เมื่อลูกป่วย การจะออกไปทำงานนอกบ้านก็จะห่วงลูก และเด็กเวลามีไข้การกินยาก็ไม่ค่อยลด ยิ่งช่วงแรกๆ ของการเกิดไข้ ต้องใช้การเช็ดตัวช่วย พอตัวแห้ง ไข้ก็กลับมาอีก

เวลาที่เด็กเป็นไข้ กินยาแล้ว เช็ดตัวแล้ว ทำไมไข้ไม่ลง เพราะได้น้ำไม่เพียงพอ เพราะเวลาที่ลูกไม่สบายก็จะกินอาหารและดื่มน้ำน้อยลง จะเห็นว่าเวลาอยู่บ้านไข้ไม่ลง แต่พอไปรพ.คืนเดียวไข้ลงเลย เพราะการขาดน้ำทำให้ไข้ไม่ลง แต่ถ้าอยูบ้านแล้วกินน้ำมากพอ ก็จะช่วยให้ไข้ลง แต่เวลาที่ป่วยก็ไม่อยากกินอะไร ทำให้เป็นภาระกับพ่อแม่ เป็นมากขึ้นก็ต้องนอนรพ. ใช้เวลาไม่เกินสัปดาห์อาการก็จะหายดี

การป้องกัน RSV

ถ้ารู้แล้วว่าเป็นโรคระบบทางเดินหายใจ คือไม่สัมผัสใกล้ชิดกับคนที่ป่วย สำหรับผู้ใหญ่เวลาติดไวรัส อาการไม่ค่อยรุนแรงเพราะเราป่วยกันมาเยอะแล้ว

1.ลดการสัมผัส การพาลูกไปที่อากาศปิด ไปเดินห้าง ดูหนัง คนเยอะ ก็มีความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อ

2.ดูแลร่างกายให้แข็งแรง กินอาหารให้ครบถ้วน อาหารตามวัย มีนมเป็นอาหารเสริม ออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ

3.ดูแลสุขอนามัย ล้างมือเป็นประจำ

4.ใส่หน้ากากอนามัย สำหรับเด็กที่อายุมากกว่า 2ปี เพราะตั้งแต่ใส่หน้าการเจ็บป่วยจากเชื้อไวรัสลดลง

  

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

รักลูก The Expert Talk EP.108 (Rerun) : รับมือภูมิแพ้ลูก รู้เร็วหายได้

 

รักลูก The Expert Talk Ep.108 (Rerun) : รับมือภูมิแพ้ลูก รู้เร็วหายได้

เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย เดี๋ยวอากาศร้อน สักพักฝนตก เจ้าตัวเล็กอาจจะมีอาการของระบบทางเดินหายใจ

จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกเริ่มเข้าใกล้โรคภูมิแพ้แล้ว

 

ฟังวิธีการสังเกต และวิธีการดูและเมื่อลูกเป็นโรคภูมิแพ้โดย The Expert รศ.พญ.รวีรัตน์ สิชณรังษี

กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน โรงพยาบาลพระรามเก้า

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

รักลูก The Expert Talk EP.113 (Rerun) : “ไข้หวัดใหญ่” โรคต้องระวัง เป็นแล้วกระทบสุขภาพระยะยาว

 

รักลูก The Expert Talk Ep.113 (Rerun) :  "ไข้หวัดใหญ่" โรคต้องระวัง เป็นแล้วกระทบสุขภาพระยะยาว

หนึ่งในสี่ของโรคที่เด็กมักเป็นบ่อยโดยเฉพาะช่วงวัยอนุบาล คือโรคไข้หวัดใหญ่ เป็นแล้วมีโอกาสเป็นซ้ำอีก นั้นเพราะตัวเชื้อไข้หวัดใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงตลอด การรู้ธรรมชาติของโรค และการดูแลสุขอนามัยเป็นสิ่งที่จำเป็นที่จะช่วยป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ได้

 

ฟังวิธีการรับโรคไข้หวัดใหญ่ โดย

The Expert รศ.นพ.พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์

ฃรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช

กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรม

  

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

รักลูก The Expert Talk EP.114 (Rerun) : ติดจอ ต้นตอทำลูกซึมเศร้า

 

รักลูก The Expert Talk Ep.114 (Rerun) :  ติดจอ ต้นตอทำลูกซึมเศร้า

ผลวิจัยพบว่าเด็กอายุตั้งแต่ 6 -18 เดือน ถ้าอยู่กับหน้าจอทีวี จะทำให้มีปัญหาพฤติกรรมก้าวร้าวเพิ่มขึ้น มีปัญหาทางด้านปฏิกิริยาทางด้านอารมณ์เพิ่มขึ้น

หมายความว่าเวลาหงุดหงิด ไม่พอใจ ก็จะวีนเหวี่ยง ใช้อารมณ์ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้เป็นต้นเหตุของโรคซึมเศร้า

 

พ่อแม่รับมือและรู้เท่าทันก่อนเป็นซึมเศร้า

ฟัง The Expert ศ.นพ.วีรศักดิ์ ชลไชยะ

หัวหน้าสาขาพัฒนาการและการเจริญเติบโต ภาควิชากุมารเวชศาสตร์

  

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

รักลูก The Expert Talk EP.115 : แพ้น้ำประปา ขัดพัฒนาการ พ่อแม่อย่ามองข้าม

 

รักลูก The Expert Talk Ep.115 : แพ้น้ำประปา ขัดพัฒนาการ พ่อแม่อย่ามองข้าม

แพ้น้ำประปาไม่ใช่เรื่องเล็กพ่อแม่ห้ามมองข้าม กระทบพัฒนาการและการเรียนรู้ลูกน้อย!!

เพราะเวลาที่เกิดอาการแพ้เด็กสามารถมี ผื่นขึ้น ผิวแห้งลอก ผื่นคัน ส่งผลให้ไม่สบายตัว หงุดหงิดง่าย อารมณ์ไม่ดี แทนที่จะได้เล่นอย่างมีความสุข ได้พัฒนาทั้งทางร่างกาย และอารมณ์กลับถูกสกัดกั้นพัฒนาการจากเรื่องใกล้ตัวอย่างการแพ้น้ำ

มารู้ถึงสาเหตุการแพ้น้ำประปาจาก “คลอรีน” อีกสาเหตุการแพ้ใกล้ตัวที่คนมักมองข้าม รวมถึงวิธีการรับมือ และการป้องกัน ที่พ่อแม่ทำได้เองไม่ยาก และมารู้จักกับนวัตกรรมกรองคลอรีนส่งตรงจากญี่ปุ่น ฝักบัวที่ช่วยกรองคลอรีน ให้อุ่นใจทุกครั้งเมื่ออาบน้ำให้ลูกน้อย เพราะการแก้ปัญหาต้องแก้ที่ต้นเหตุ และการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือ การป้องกันไม่ให้เกิดปัญหานั่นเอง

 

ฟัง The Expert รศ.นพ.พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์

รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรม

 

มาพูดคุยให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องการแพ้ และวิธีการป้องกันกันค่ะ คุณพ่อคุณแม่คนไหนสนใจ

ชี้เป้าฝักบัวกรองคลอรีน KUDOS Purebliss ตามด้านล่างเลยค่า👇

🛒 Lazada: https://s.lazada.co.th/s.l2Ijj

🛒 Shopee: https://shp.ee/yztsyep

🛒 Website: https://kudos.co.th/shop/kudos-purebliss-shower/

 

หรือถ้าสนใจฝักบัวนวัตกรรมเจ๋ง ๆ KUDOS เค้าก็มีให้เลือกอีกหลายรุ่น ตามไปดูได้เลย https://www.facebook.com/KUDOSTHAILAND

  

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

รักลูก The Expert Talk EP.116 : เช็กก่อนเป็น “ภูมิแพ้ผิวหนัง” กระทบพัฒนาการ

 

รักลูก The Expert Talk Ep.116 : เช็กก่อนเป็น "ภูมิแพ้ผิวหนัง" กระทบพัฒนาการ

โรคภูมิแพ้ผิวหนัง ไม่ใช่แค่ผื่นคันแต่กระทบพัฒนาการของลูกระยะยาวหงุดหงิดง่าย ไม่สบายตัว และเมื่อคันบ่อย ๆ ก็จะเกิดเป็นแผลถลอก เป็น ๆ หาย ๆ ยิ่งสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยก็กระตุ้นทำให้เกิดอาการได้ง่าย

 

ฟังวิธีการรับมือเมื่อเป็นภูมิแพ้ผิวหนัง โดย The Expert

ผศ.พิเศษ.พญ.นุชนาฏ รุจิเมธาภาส

กุมารเวชศาสตร์ตจวิทยา โรงพยาบาลวิชัยยุทธ

 

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่https://linktr.ee/rakluke  

รักลูก The Expert Talk EP.117 : เช็กก่อนเป็น “ภูมิแพ้ผิวหนัง” กระทบพัฒนาการ

 

รักลูก The Expert Talk Ep.117 : เทคนิครับมือ 4 ปัญหาโรคผิวหนัง

4 อาการโรคผิวหนัง ลูกไม่สบายตัว กวนใจแม่ เป็นได้ตลอดทั้งปีและเป็นถี่ๆ “ผดร้อน ลมพิษ ผื่นคัน ผื่นผ้าอ้อม”

รับมืออาการที่ลูกเป็นบ่อยๆ นี้ได้อย่างไร

 

ฟังวิธีการจาก โดย The Expert

ผศ.พิเศษ.พญ.นุชนาฏ รุจิเมธาภาส

กุมารเวชศาสตร์ตจวิทยา โรงพยาบาลวิชัยยุทธ

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์โรคผิวหนังและศัลยกรรมตกแต่ง โรงพยาบาลวิชัยยุทธ โทร.02-265-7777 

 

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่https://linktr.ee/rakluke  

รักลูก The Expert Talk EP.127 : ลูกปวดท้อง ต้องระวังโรคเกี่ยวกับลำไส้

 

รักลูก The Expert Talk Ep.127 : ลูกปวดท้อง ต้องระวังโรคเกี่ยวกับลำไส้

 

โรคลำไส้กลืนกัน ไม่ใช่แค่ลูกปวดท้องหากปล่อยให้รุนแรงอาจจะต้องตัดลำไส้

 

พ่อแม่รับมือและสังเกตก่อนอาการจะรุนแรงได้ รวมถึงฟังโรคและอาการที่ทำให้ลูกปวดท้องได้ จาก The Expert

พญ. สีวลี สีดาฟอง

แพทย์ผู้ชำนาญการโรคระบบทางเดินอาหารและตับในเด็ก โรงพยาบาลวิมุต

 

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่https://linktr.ee/rakluke 

รักลูก The Expert Talk EP.128 : โพรไบโอติกและพรีไบโอติก เลือกอย่างไรเหมาะกับเด็ก

 

รักลูก The Expert Talk Ep.128 : โพรไบโอติกและพรีไบโอติก เลือกอย่างไรเหมาะกับเด็ก


โพรไบโอติกและพรีไบโอติก เลือกแบบไหนเหมาะสำหรับเด็ก สายพันธุ์ไหนดี กินปริมาณเท่าไหร่เพียงพอ

ฟัง The Expert พญ. สีวลี สีดาฟอง

แพทย์ผู้ชำนาญการโรคระบบทางเดินอาหารและตับในเด็ก โรงพยาบาลวิมุต 

 

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่https://linktr.ee/rakluke 

รักลูก The Expert Talk Ep.34 : “โรคอ้วน” ก่อกวนพัฒนาการ

รักลูก The Expert Talk EP.34 : "โรคอ้วน" ก่อกวนพัฒนาการ

น้ำหนักที่เพิ่มขึ้น = จำนวนโรคที่เพิ่มขึ้น

ควบคุมน้ำหนักก่อนลูกอ้วน เพราะผลกระทบไม่ใช่แค่น้ำหนัก แต่กระทบถึงสุขภาพกายใจและพัฒนาการระยะยาว

 

ฟังวิธีการดูแลเมื่อลูกอ้วน โดย The Expert พญ. สิริรักษ์ กาญจนธีระพงศ์ กุมารเวชศาสตร์ โรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน โรงพยาบาลนวเวช

แบบไหนที่เรียกว่าลูกเราอ้วนแล้ว หรือแค่เจ้าเนื้อ จ้ำม่ำ 

เราพูดถึงนิยามของ โรคอ้วน ปัจจุบันเราใช้คำจำกัดความ 2 อย่าง 1. ดูน้ำหนักต่อส่วนสูงเกณฑ์มาตรฐาน หรือ Weight for Height ถ้า Weight for Height Percentile มากกว่า 95 เราถือว่าเริ่มอ้วนหรืออวบ ถ้าเกิน Percentile ที่ 99 เมื่อไหร่โรคอ้วนแล้ว แต่วิธีที่ง่ายขึ้นคือการดูดัชนีมวลกายหรือ BMI Body Mass Index  ที่เราคุ้นเคยคือการดูน้ำหนักต่อความสูงยกกำลังสองที่เป็นเมตรถ้าอยู่ที่ Percentile 86-95 เรียกว่าอวบ ถ้าเกิน Percentile ที่ 95 เรียกโรคอ้วนเหมือนกัน

ซึ่งสาเหตุโรคอ้วนไม่ได้มาจากสิ่งแวดล้อมอย่างเดียวมีเรื่องของพันธุกรรม กรรมพันธุ์ด้วยบางคนอ้วนตั้งแต่เกิดแล้วก็เป็นโรคกรรมพันธ์อย่างหนึ่ง หรือบางกลุ่มก็อาจจะเกี่ยวกับเกี่ยวกับต่อมไร้ท่อการหลั่งฮอร์โมนที่ผิดปกติ แต่ในหัวข้อที่เราคุยกันวันนี้น่าจะเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างเดียว สิ่งแวดล้อมที่พูดถึงคือไลฟ์สไตล์ทั่วไป หรือที่เราสงสัยว่าไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ในยุคโควิดเด็กเรียนออนไลน์ที่บ้านการออกกำลังกายลดลง

เพราะคุณพ่อคุณแม่จะกังวลการออกนอกบ้านของเด็กๆ รวมถึงเด็กเรียนออนไลน์นั่งอยู่เฉยๆ การขยับเขยื่อนเคลื่อนไหวรางกายลดลง พวกเมตาบอลอซึมก็ลดลง เดี๋ยวนี้มีเดลิเวอร์รี่เด็กก็หาอาหารทานกันสะดวกขึ้นการควบคุมอาหารก็จะลดลงก็เป็นความเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคอ้วนได้ในปัจจุบัน

 อ้วนกระทบระยะยาว

 จริงๆ ในเด็กเราต้องพูดถึงพัฒนาการก่อนเรื่องของการกระทบ เราแบ่งพัฒนาการออกเป็น 2 ส่วน คือร่างกายกับเรื่องของจิตใจและอารมณ์

 ด้านร่างกายหลักๆ อ้วนก็คือรูปร่างก็จะดูอ้วน ส่วนทางด้านร่างกายตรงๆ เลยพัฒนาการก็จะเกี่ยวกับเรื่องกล้ามเนื้อกระดูกและข้อ เด็กที่มีน้ำหนักตัวเยอะน้ำหนักจะกดที่กระดูกข้อเข่ากับข้อเท้าก็จะเกิดภาวะขาโก่ง Blount Disease ก็จะเห็นว่าเด็กที่น้ำหนักตัวเยอะก็จะดูขาโก่ง อีกกลุ่มหนึ่งจะเห็นไขมันสะสมบริเวณต้นขาเยอะ กลุ่มนี้จะข้อสะโพกหลุดค่อนข้างง่ายพอข้อสะโพกหลุดเด็กก็จะมีลักษณะเป็นขาฉิ่งตรงข้ามกับขาโก่งเราเรียก Knock knee กลุ่มนี้พอเดินบ่อยๆ จะสะดุดล้มค่อนข้างง่ายกระดูกก็หักง่ายเช่นกัน นี่คือผลกระทบโดยตรงของลักษณะพัฒนาการด้านร่างกาย 

 ส่วนเรื่องของจิตใจและอารมณ์เป็นอะไรที่เลี่ยงไม่ได้ เด็กที่เป็นโรคอ้วนเขาจะมีปัญหาเรื่องการหายใจอยู่แล้วเรารู้จักกันบ่อยๆ OSA Obstructive Sleep Apnea กลุ่มนี้เขาจะหลับไม่ค่อยสนิทตอนกลางคืนหรือมีภาวะหายใจลำบากนอนกรน การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอของเขาพอมาเรียนออนไลน์หรือมาเรียนหนังสือในตอนกลางวันเขาก็จะง่วง พอง่วงเขาก็จะขาดสมาธิเด็กบางคนผลการเรียนตกลงค่อนข้างชัดเจน อีกกลุ่มคือหงุดหงิดง่ายพอเราพักผ่อนไม่พอก็จะควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้ก็จะอารมณ์เสียง่าย สุดท้ายที่เลี่ยงไม่ได้เด็กจะสูญเสียความมั่นใจจากรูปร่างของตัวเองเกิดเป็นปัญหาระยะยาวเรื่องของ Self Confident ของเขาเอง 

ดูแลเมื่อลูกเริ่มอ้วน

การดูแลเริ่มจาก การควบคุมอาหาร 

1.เนื่องจากคนไทยกินข้าวเป็นหลักอยู่แล้วก็เน้นการกินข้าวกล้องมีโปรตีนและใยอาหารสูงทำให้อยู่ท้อง

2.อาหารประเภทผักผลไม้ที่หลากหลายสีสันได้พวกใยอาหารจะทำให้อยู่ท้องมากขึ้น

3.สุดท้ายลดแป้งไม่ต้องงดก็ได้ และลดอาหารที่มีน้ำตาลสูงๆ ลดอาหารประเภทของทอดที่มีไขมันสูงๆ เราอาจจะหา Snack ที่เป็นกลุ่มผลไม้ให้กินก่อนก็ได้จะได้อยู่ท้อง

การดูแลต้องเน้นการออกกำลังกายเพราะสาเหตุมาจากการเคลื่อนไหวของเราที่ลดลง เพราะฉะนั้นเด็กคนหนึ่งควรมีการออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมง ซึ่งจริงๆ แล้วถามว่าครอบครัวช่วยอะไรได้ คือไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการงดอาหารหรือการออกกำลังกายทำคนเดียวไม่ค่อยมีกำลังใจ ถ้าอยากให้ลูกลดน้ำหนักอย่างน้อยคุณพ่อคุณแม่ก็งดอาหารหรืออกกำลังกายไปพร้อมกับเขา ความร่วมมือภายในบ้านสำคัญมากคือถ้าทุกคนช่วยกันในบ้านแต่มีใครสักคนเผลอเอาขนมมาเก็บไว้ก็อาจจะล่อหน้าล่อตาได้อยากจะให้ทุกคนในบ้านร่วมมือไปพร้อมๆ กัน 

อีกเรื่องคือการพักผ่อนให้เพียงพอ นอนดึกเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคอ้วน และการนอนดึกทำให้เราหิวและถามหาตู้เย็นกันบ่อย

สุดท้ายเรื่องของการใช้อุปกรณ์อิเลคทรอนิคในปัจจุบันถ้าเราใช้นานๆ เหมือนเราไม่ได้ขยับเขยื่อน ร่างกายใช้ไปใช้มาเราก็จะหิวไปด้วย อยากให้ที่บ้านจำกัดเวลาการใช้อุปกรณ์อิเลคทรอนิคของบุตรหลานด้วย

อ้วนหรือภาวะน้ำหนักตัวทำให้เป็นโรคเรื้อรัง

ระยะยาวเรื่องของโรคเรื้อรังเป็นอะไรที่ควบคุมได้ยากมากถ้าเราปล่อยให้มีอาการของโรคเรื้อรัง

1.ระบบหัวใจและหลอดเลือด เด็กอ้วนจะมีเรื่องของความดันโลหิตสูงอยู่แล้วซึ่งจะทำให้หลอดเลือดมีปัญหา ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดได้ นอกจากต้องเป็นตั้งแต่เด็กแล้วก็ยาวไปจนถึงผู้ใหญ่เลยทีเดียว ถ้ามีความดันสูงเรื่อยๆ ก็อาจทำให้ความดันในปอดสูงจะทำให้ระบบหายใจและระบบหมุนเวียนโลหิตล้มเหลวได้เฉียบพลันเลย

2.ระบบทางเดินหายใจจะเห็นว่าเด็กที่เป็นโรคอ้วนจะมีไขมันสะสมค่อนข้างเยอะเขาขยับเขยื่อนร่างกายนิดเดียวเขาก็จะเหนื่อยง่ายเพราะระบบเผาพลาญพลังงานเขามีปัญหา รวมถึงการพักผ่อนการหายใจเด็กที่เป็นโรคอ้วนมักจะหายใจค่อนข้างเสียงดังเพราะมีการอุดกั้นทางเดินหายใจ อย่างที่กล่าวไปตอนต้นอย่างโรค OSA (Obstructive Sleep Apnea) เมื่อเวลาเขานอนหรือเปลี่ยนท่านอนเขาจะหายใจลำบาก หายใจมีเสียงกรน มีเสียงวีด ซึ่งตรงนี้จะรบกวนเวลาพักผ่อนของเขา ระยะยาวทำให้เป็นโรคถุงลมโป่งตามมาได้ด้วย

3.ระบบทางเดินอาหารก็เป็นอีกระบบที่ค่อนข้างสร้างความรำคาญให้เด็กๆ เพราะคนที่เป็นโรคอ้วนเขาจะมีปัญหาเรื่องกรดไหลย้อน พอเขากินอาหารมากหน่อยหรือเปลี่ยนท่าทางเร็วหน่อย เขาจะมีลักษณะกรดไหลย้อนมีอาการแสบร้อนกลางอกอาหารย่อยยากทำให้เกิดความไม่สบายตัวขึ้นมาได้ บางคนก็จะมีนิ่วในถุงน้ำดี มีไขมันพอกในตับซึ่งพวกนี้รบกวนระบบเมตาบอลิซึมทั้งนั้นเลย เป็นความเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งตับต่อเนื่องไปด้วย

4.ระบบของต่อมไร้ท่อเรารู้อยู่แล้วว่าถ้าเป็นโรคอ้วนจะมีภาวะต้านอินซูลินก็หมายความว่าเด็กจะมีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 จะต้องใช้ยาในการควบคุมทำให้ลักษณะคุณภาพชีวิตเปลี่ยนไปแล้วก็จะมีไขมันในเลือดสูงเหมือนผู้ใหญ่ 

5.กลุ่มวัยรุ่นเด็กผู้หญิงเราจะพบว่ามีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคถุงน้ำในรังไข่ ซึ่งถุงน้ำในรังไข่จะทำให้ประจำเดือนมาผิดปกติ เด็กผู้หญิงบางคนจะมีสิวขึ้น ขนดก และเสียงห้าว

ทั้งหมดนี้เป็นโรคเรื้อรังที่ค่อนข้างอันตรายในเด็กที่เป็นโรคอ้วน 

ควรให้ลูกลดความอ้วนเมื่ออายุเท่าไหร่

ในช่วง 5 ขวบปีแรกยังถือว่าเขายังเป็นเด็กอยู่เขายังสูงได้อีกเยอะเราจะเน้นในเรื่องการคุมอาหารและเน้นให้เขาสูงมาทันน้ำหนักเขาเพราะใช้เกณฑ์น้ำหนักต่อส่วนสูงเป็นตัวตัด เพราะฉะนั้นถ้าเด็กสูงได้น้ำหนักส่วนสูงก็จะบาลานซ์กัน 

โตขึ้นมาอีกหน่อย 5-9 ปี เรียกว่าจะเข้าใกล้วัยรุ่นก็เน้นเรื่องการคุมอาหารให้มากขึ้นก็จะเน้นงดแป้ง งดน้ำตาล งดไขมัน และให้ออกกำลังกายมากขึ้นการกินนมก็จะมีการบังคับมากขึ้นว่าอย่างน้อยต้องเป็นนมไขมันต่ำ พร่องมันเนย 

อายุมากกว่า 9 ปีขึ้นไปเราเรียกว่าเข้าวัยรุ่นแล้วจะมีเรื่องของฮอร์โมนเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องอาการแทรกซ้อนหรือระบบเรื้อรังจะเป็นได้ค่อนข้างเยอะ เราก็จะเน้นเป็นพิเศษเรื่องการคุมอาหารมีการคำนวณแคลอรี่ที่มากขึ้น คำนวณแคลอรี่ก็คือจะมีการจำกัดกลุ่มอาหารคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมันที่ชัดเจนขึ้นอีกอย่างเด็กโตแล้วเราสามารถควบคุมสิ่งเหล่านี้ได้มากขึ้น

เรารักษาเด็กที่เป็นโรคอ้วนโดยเฉพาะกลุ่มโรคอ้วนที่มีโรคเมตาบอลิซึมด้วยเราจะมี Table Time สำหรับการออกกำลังกายของแต่ละวันที่เหมาะสมด้วย ถ้ามีอาการแทรกซ้อนให้เห็นส่วนใหญ่จะรักษาควบคู่กับการใช้ยาบางคนอาจจะจำเป็นต้องใช้ฮอร์โมนควบคู่กันไป อีกอย่างในเรื่องของการรักษาผ่าตัดแบบผู้ใหญ่เรายังไม่ค่อยแนะนำเท่าไหร่

โรคที่ทำให้อ้วน

เป็นกลุ่มโรคทางกรรมพันธุ์Hypothyroid Disease โรคพร่องไทรอยด์ เมื่อไหร่ที่เด็กมีภาวะของโรคอ้วนคือเกิน Percentile ที่ได้บอกไว้ตามคำจำกัดความโดยต้องมีการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม ซึ่งการตรวจระดับเมตาบอลิซึ่มในร่างกายและการตรวจฮอร์โมนเป็นสิ่งหนึ่งที่ต้องตรวจเสมอเพื่อดูว่าเขาอ้วนมาจากพันธุ์กรรมหรือโรคเดิมของเขาหรือจากไลฟ์สไตล์ของเขา

ฝากดูแลเด็กๆ ในช่วงนี้เรื่องของอาหารการกินอาหารที่มีประโยชน์ คุมแป้ง คุมน้ำตาล คุมไขมัน ดื่มนมให้เพียงพอ พักผ่อนให้เพียงพอ แล้วก็ออกกำลังกายเป็นเพื่อนลูกๆ ด้วย

ควรกินนมเท่าไหร่ต่อวัน

หมอใช้คำว่าปริมาณแคลเซียมต่อวัน ก็คือเด็กคนหนึ่งต้องการปริมาณแคลเซียมต่อวันอยู่ที่ 600-1000 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งนมเป็นอาหารที่มีแคลเซียมค่อนข้างสูงเราเลยนิยมให้เด็กกินนม ก็จะมีเด็กที่กินนมยากหรือกินนมไม่ได้อย่างกลุ่มที่แพ้โปรตีนนมวัวหรือมีปัญหาเรื่องย่อยน้ำตาลแลคเตส หมอก็แนะนำให้กินเป็นอาหารเสริมประเภทแคลเซียมได้เลย แต่ถ้าเป็นเด็กที่ชอบกินนมเราก็เน้นเรื่องของนมไขมันต่ำ นมพร่องมันเนย เพราะไขมันต่ำแคลเซียมสูงก็จะทำให้เด็กน้ำหนักดีคุมได้ดีแล้วก็มีความสูงที่เพิ่มมากขึ้น

ธงโภชนาการเด็ก

สำหรับเด็กที่น้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วนเราให้อาหารแบบที่เรียกว่าธงโภชนาการ ธงก็จะมีลักษณะของสามเหลี่ยมหัวคว่ำปลายแหลมฐานกว้างอยู่ข้างบน มีอะไรบ้าง กลุ่มของเครื่องปรุง นม เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ แป้ง โดยที่เครื่องปรุงอยู่ล่างสุดคือใส่แค่นิดเดียว น้ำตาล เกลือ น้ำปลา ซีอิ้ว ต้องใส่ให้น้อยเราใช้วาใส่ปริมาณเพียงเล็กน้อย นม อัตราส่วนอยู่ที่ประมาณ 1-2 แก้ว หรือ 1-2 กล่อง ต่อวันเป็นอย่างต่ำ 

 เนื้อสัตว์เป็นอัตราส่วนเพียงเล็กน้อยก็คือ 2-4 ส่วน ผลไม้ผัก และแป้ง แป้งเรานับเป็นทัพพีอยู่ที่ 8-12 ทัพพีต่อวัน นี่คือธงโภชนาการแนะนำให้กินแบบนี้ต่อวัน ผักผลไม้เป็นตัวไฟเบอร์ทำให้อยู่ท้อง การขับถ่ายดีก็จะทำให้การเผาผลาญพลังงานดีเช่นกัน ถ้าผลไม้อยากให้กินผลไม้ที่มีรสหวานน้อยเป็นกลุ่มมันแกว ฝรั่ง ชมพู่ แก้วมังกร จะค่อนข้างอยู่ท้องดี ทริคก็คือเรากินเป็นสแนคบ่ายเหมือนกินก่อนกินอาหารพอน้องๆ อยู่ท้องก็จะไม่กินส่วนที่เป็นแป้งเยอะเกินไปเมื่อเป็นมื้อหลัก ถ้าเราปล่อยให้เขาหิวเขาจะกินเยอะขึ้น ใช่ค่ะ ทำให้กินไวด้วยและวเขาไม่รู้สึกตัวว่าเขาอิ่ม  

ทริคของการกินอาหารก็คือเวลากินอาหารเราอยากให้เด็กกินช้าๆ ฉะนั้น 1 คำหมอต้องขอว่าเคี้ยวนานๆ หน่อยขอเคี้ยว 5 10 ครั้ง จะได้รู้ตัวว่าอิ่ม บางทีกินเร็วๆ ไม่รู้ตัวว่าอิ่มก็จะกินต่อได้เรื่อยๆ กินไปนับไป จะเป็นว่ากลุ่มเด็กที่เป็นโรคอ้วนจะเคี้ยงอาหารเร็วมาก เคี้ยว 2 ครั้งกลืนเลย ถ้าเคี้ยวสัก 5 ครั้ง 10 ครั้ง ก็จะ Taketime มากขึ้น

ฝากเรื่องการสังเกตเด็กๆ ของเราว่าเขาดูน้ำหนักขึ้นเร็วหรือเปล่าช่วงนี้ แล้วเขาเริ่มมีภาวะทางด้านจิตใจหรือยังว่าเขา Concern กับรูปร่างของตัวเองเมื่อไหร่ที่เขามีเป็นปัญหาแล้วเพราะว่าเขามาบอกเรา นอกนั้นเราก็ต้องสังเกตด้วยตัวของเราเองด้วยเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในระยะยาว ทั้งนี้การป้องกันที่ดีที่สุดคือการดูแลเรื่องของอาหารของครอบครัวเราและชวนกันไปออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดี

 

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่...

Apple Podcast :https://apple.co/3m15ytB

Spotify :https://spoti.fi/3cvAVcX

YouTube Channel :https://bit.ly/3cxn31u

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

รักลูก The Expert Talk Ep.39 (Rerun) : จอเรียน จอเล่น ไม่มีพัก วิกฤตตาเสื่อมช่วงเรียนออนไลน์

 

รักลูก The Expert Talk EP.39 (Rerun) : จอเรียน จอเล่น ไม่มีพัก วิกฤตตาเสื่อมข่วงเรียนออนไลน์

จากจอเรียนมาจอเล่น ใช้สายตาไม่พักทั้งวัน ผลกระทบมีอะไรบ้าง พ่อแม่ต้องรู้เพื่อป้องกันและรับมืออย่างไร

ฟังคำแนะนำจากจักษุแพทย์เด็ก นพ.จรินทร์ ศักดิ์ธนะเศรษฐ

จักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาโรคตาเด็กตาเหล่ โรงพยาบาล BNH

 

เพราะช่วงนี้เด็กยังเรียนออนไลน์ วันนี้เราคุยกันเรื่องการใช้สายตาที่เด็กต้องจ้องจอตลอดทั้งวันยังไม่นับเวลารวมที่ลูกเล่นเกมหรือดูทีวีมันส่งผลกระทบอย่างไรต่อสายตาลูกบ้าง

อันตรายจากการใช้จอของเด็ก

ในฐานะของจักษุแพทย์ต้องบอกก่อนว่าจริงๆ แล้วแสงจากจอคอมพิวเตอร์ไม่ได้เป็นอันตรายต่อตาเด็กมากนักเพราะความเข้มของแสงที่ออกจากจอคอมพิวเตอร์ไม่ได้สว่างถ้าเทียบกับแสงแดดหรือแสงอาทิตย์จากภายนอก เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีจอในปัจจุบันปริมาณของรังสียูวีออกมาน้อยมากๆ

แต่ปัญหาที่เกิดจากการที่เด็กคนหนึ่งได้ดูจอที่เกิดกับตาคือการที่เขาสามารถใช้เวลากับจอได้เป็นระยะเวลานานเพราะว่าเขาต้องเรียนออนไลน์ด้วย อาจมีเกมหรือการ์ตูนที่เด็กสนใจ

ตาของเด็กที่เวลามองจอหรืออุปกรณ์พวกนี้สังเกตดูว่าจะไม่เหมือนเวลาที่เขาอ่านหนังสือ การที่เด็กอ่านหนังสือตาจะไล่ไปตามตัวหนังสือไล่ไปตามบรรทัดแล้วขึ้นบรรทัดใหม่ตาจะมีการขยับตลอดเวลามีเหลือบมองนอกหนังสือบ้าง แต่เวลาตาของเด็กเวลาจ้องอยู่กับจอคอมพิวเตอร์ตาเขาจะจ้องนิ่งอยู่กลางจอเพราะสิ่งที่เขาสนใจอยู่ตรงนั้น

ระยะของอุปกรณ์พวกนี้ในปัจจุบันเวลาเด็กดูจอคอมพิวเตอร์หรือแทปเล็ตหรือมือถือหรือ I-pad ระยะก็จะอยู่ประมาณ 30-50 เซนติเมตร ซึ่งถือว่าเป็นระยะค่อนข้างใกล้ การที่เด็กดูจอในระยะใกล้ขนาดนี้โดยธรรมชาติของตาเด็กๆ ก็จะมีสายตายาวอยู่แล้วอันนี้เป็นธรรมชาติของเด็กทุกคน

พอเด็กมองใกล้ก็จะเกิดการเพ่งเพื่อให้เกิดความคมชัดของภาพ การเพ่งต่อเนื่องระยะเวลานานๆ จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในลูกตาที่เกิดขึ้นได้คือเกิดการยืดออกตัวของตาขาวของลูกตาซึ่งเป็นกลไกให้เกิดสายตาสั้นได้

ส่วนเรื่องอื่นๆ การที่เด็กจ้องจอเป็นเวลานานสังเกตดูถ้าลูกจ้องจอเป็นเวลานานๆ โดยเฉพาะ Content ที่มีความน่าสนใจแล้วเขาสนใจตาของเขาในช่วงแรกที่จ้องจออัตราการกระพริบตาของเด็กจะลดลง บางครั้งก็อาจจะเกิดการระคายเคืองตาหรือตาแห้งตามมาได้ เราจะพบเห็นกันได้บ่อยๆ ว่าลูกหลานเราบางคนพอจ้องจอนานๆ สักพักจะมีการกระพริบตาถี่ขึ้น เกิดจากการที่เด็กก่อนหน้านั้นมีการเพ่งนาน

อาการระคายเคืองตา

การระคายเคืองตา การกระพริบตาเป็นการปั้มน้ำตาเพื่อมาช่วงหล่อเลี้ยงผิวหน้าดวงตาทำให้ตาชุ่มชื้นขึ้นทำให้เขาสบายตา ถ้าเราปล่อยให้ถึงขั้นกระพริบตาถี่ขึ้นแปลว่าแห้งไปแล้ว เพราะฉะนั้นก็จะมีวิธีที่จะจัดการหรือว่าจัดการเวลาให้เขาดูน้อยลง มีแบ่งช่วงเวลาให้เขาดูสั้นลง หรือว่าให้เขาดูห่างขึ้นก็อาจจะช่วยให้เขาสบายตาขึ้นได้

ผลกระทบจากแสงสีฟ้า

แว่นกรองแสงสีฟ้าแรกเริ่มเดิมทีมีจุดกำเนิดมาอย่างไร ในสมัยก่อนที่มนุษย์เรายังไม่มีการผลิตไฟฟ้าใช้เป็นมนุษย์ถ้ำมนุษย์ป่า สมองของคนเราเวลามองออกไปข้างนอกถ้าเห็นแสงสว่าง มองท้องฟ้าเห็นเป็นแสงสีฟ้าสมองเราจะรับรู้ว่าอันนี้เป็นเวลากลางวัน แล้วก็สมองของเราจะใช้แสงสีฟ้าเป็นตัวบอกว่านี่เป็นเวลากลางวันเราต้องออกไปทำมาหากิน เราต้องออกไปใช้ชีวิต หรือออกไปล่าสัตว์

แต่ถ้าเราออกไปมองท้องฟ้าไม่แล้วเห็นสีฟ้าเห็นเป็นสีดำกลางคืนอันนั้นเป็นเวลานอน จริงแล้วแสงสีฟ้าความสำคัญคือเป็นแสงที่เอาไว้คุมกลไกการหลับการตื่นของคนเรา ถ้ามีแสงสีฟ้ามันจะไม่บล็อคสารสื่อประสาทในฮอร์โมนชื่อว่าเมลาโทนิน พอมีแสงสีฟ้าเมลาโทนินจะไม่หลั่งแล้วก็ตื่น แต่ถ้าไม่มีแสงฟ้าเมลาโทนินก็จะออกมาเราก็จะง่วงนอนแล้วก็หลับได้

ในยุคต่อมาเราผลิตหลอดไฟได้เรามีอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์หลายคนที่ต้องทำงานหน้าจอเวลากลางคืนทำเสร็จแล้วนอนไม่หลับเพราะว่าแสงเข้าตาเยอะก็เลยมีการผลิตแว่นกรองแสงสีฟ้าขึ้นมา หลักๆ เดิมทีวัตถุประสงค์เพื่อให้เราใส่เวลาทำงานกลางคืนเวลาปิดจอแล้วสามารถนอนหลับได้

หลายๆ คนอาจจะติดซีรีย์กลางคืนดูหนังดูเสร็จแล้วนอนไม่หลับเพราะแสงจากจอทีวีหรือในมือถือบางคนต้องปิดไฟดูมืดๆ แสงยิ่งเข้าเยอะ แสงพวกนี้อาจทำให้ไปบล็อคเมลาโทนินทำให้เราตื่นอันนี้เป็นที่มาของการผลิตแว่นกรองแสงสีฟ้าครั้งแรก

จริงๆ แสงสีฟ้าเป็นแสงในสเปคตรัมที่ตาเรามองเห็นได้เรียกว่า Visible light แสงถ้าเราแบ่งเป็น 2 กลุ่มง่ายๆ คือ แสงที่ตามองเห็นได้ กับแสงที่ตามองเห็นไม่ได้ แสงในกลุ่มที่ตาเรามองเห็นได้แบ่งเป็น 7 สี ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง (สีรุ้ง) แสงที่อยู่ใต้แดงเรียกแสงอินฟาเรดที่นอกเขตสีแดงฝั่งซ้ายสุดอินฟาเรดเป็นแสงกลุ่มพลังงานต่ำอันนี้ก็จะปลอดภัยเราเอามาประดิษฐ์รีโมทคอนโทรงใช้ในบ้าน

ส่วนแสงกลุ่มพลังงานสูงคือแสงที่อยู่เหนือม่วงขึ้นไปเรียกว่าอุลตร้าไวโอเลต แบ่งเป็น ยูวีเอ ยูวีบี แสงกลุ่มนี้เป็นแสงพลังงานสูงเราเอาไว้ฆ่าเชื้อโรคอบฆ่าเชื้อโควิด หรือถ้าโดนผิดเราอย่างเวลาเราไปทะเลโดนแสงยูวีเยอะ จะให้ผิวเราร้อนไหม้บางคนลอกหรือว่าดำขึ้น

แสงที่เป็นอันตรายต่อตาเราคือแสงยูวี กลุ่มยูวีทั้งหมดแสงตั้งแต่สีม่วงลงมาเป็นแสงที่ตามองเห็นได้กับอินฟาเรดเป็นแสงที่ค่อนข้างปลอดภัยกับตา แสงกลุ่มสีฟ้า สีคราม สีม่วง

ถ้าสังเกตดูมันจะอยู่ติดกับกลุ่มยูวีซึ่งจัดเป็นแสงที่มองเห็นได้ในกลุ่มที่มีพลังงานสูงถ้าเทียบกันในกลุ่มของแสงที่ตามองเห็นได้แสงสีฟ้า สีคราม สีม่วงก็จัดว่าเป็นแสงที่เวลาที่เรามองเข้าไปมันคลายพลังงานความร้อนในจอประสาทตามากกว่าสีเหลือง สีแดง สีเขียว

เพราะฉะนั้นถ้าเอาแสงสีฟ้าออกไปด้วยนอกจากยูวี ก็น่าจะปลอดภัยกับจอตามากขึ้น มีการทดลองงานวิจัยระดับโลกว่าถ้าเทียบกันในแสงที่มองเห็นด้วยกัน ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง แสงสีน้ำเงิน สี ฟ้า สีม่วง เป็นแสงที่ส่งผลต่อจอประสาทตามากกว่าสีเหลือง สีแดง สีเขียว เพราะฉะนั้นการที่เราใส่แวนกรองแสงสีฟ้าเขาก็เชื่อว่ามันทำให้ถนอมจอประสาทตา ช่วยเรื่องของการนอนหลับที่พูดถึงไปก่อนหน้านี้

ผลกระทบจากการจ้องจอนาน

ปริมาณแสงจากจอคอมพิวเตอร์ไม่ได้เข้ม และไม่ได้อันตรายมาก หลักการง่ายๆ เลยถ้าแสงจากจอคอมพิวเตอร์เป็นแสงที่อันตรายและทำลายดวงตาเราโอกาสที่มันจะขายให้เราซื้อมาใช้ตามบ้านจะน้อย มันไม่ได้เป็นอันตรายที่เราส่องเข้าไปแล้วเป็นต้อหิน ต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อม แสงที่ทำให้จอประสาทตาเสื่อมต้องเป็นแสงที่ค่อนข้างเข้มมีรังสียูวี เช่น แสงที่เกิดจากการอ๊อกเหล็กแสงจ้า แสงจากดวงอาทิตย์ แสงไฟสปอทไลท์ที่มีความสว่างมากๆ พอเราไปจ้องมากๆ ปริมาณแสงเข้มๆ จะไปทำลายจอประสาทตา แต่

แสงจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นแสงที่ค่อนข้างไม่มีความอันตรายอย่างที่กลัวกัน ที่มีปัญหาคือเด็กจ้องใกล้และจ้องนาน อันนี้เป็นตัวปัญหาทำให้เกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของลูกตาเด็กทำให้เกิดสายตาสั้นได้

การใส่แว่นกรองแสงสีฟ้า หลายคนคิดว่าแว่นกรองแสงสีฟ้าพอให้ลูกเราใส่มันจะกันได้ทุกอย่างกันสายตาสั้นก็ได้ กันตาแห้งก็ได้ จริงๆ แล้วแว่นกรองแสงสีฟ้าไม่ได้ช่วยเรื่องสายตาสั้นเลย เพราะว่าสายตาสั้นเกิดจากการที่เด็กมองที่ใกล้เป็นระยะเวลานานๆ เกิดการเพ่ง เราจะใส่แว่นหรือไม่ใส่แว่นระยะมันเท่าเดิม เด็กจ้องใกล้

ต้องทำความเข้าใจนิดหนึ่งเพราะว่าพ่อแม่หลายคนบอกลูกใส่แว่นเราซื้อแว่นมาให้ลูกเราแล้วเราจะอนุญาตให้ลูกดูนานกว่าเดิมอันนี้เป็นความเข้าใจที่ผิด เราใส่ให้ปลอดภัยขึ้นแต่ไม่ได้ใส่แล้วอนุญาตให้ลูกดูได้นานขึ้น เพราะการที่ดูใกล้ดูนานทำให้เป็นสายตาสั้น ใส่แว่นแต่ยังดูใกล้อยู่ดูนานอยู่หรือนานกว่าเดิมอันนั้นเพิ่มโอกาสสายตาสั้นมากกว่าเดิม

แว่นกรองแสงสีฟ้าส่วนมากจะกรองแสงยูวีด้วย การที่เรากรองแสงยูวีออกกรองแสงสีฟ้าออกใส่แล้วจะทำให้สบายตาขึ้น จริงๆ แสงพอเวลาที่เข้ามาปริมาณมันก็จะมีพลังงานที่คลายให้กับลูกตาเราด้วยถ้าแสงเข้มมากก็จะมีอาการล้าตามมาได้ แต่แสงที่โดนตัดพลังงานออกไปบ้างจากแว่นกรองแสงสีฟ้าส่วนใหญ่ก็กรองแสงยูวีได้ด้วยก็จะทำให้อาการสบายตามีมากขึ้น เพราะฉะนั้นประโยชน์หลักๆ ของแว่นกรองแสงสีฟ้าคือ 1.ใส่แล้วสบายตา ลดพลังงานเข้าตา 2.ช่วยเรื่องนอนหลับ

ให้ลูกห่างจอบ้าง

จริงๆ อยากให้คุยกับลูกเลยว่าเวลาใช้งานคอมพิวเตอร์ สมมติถ้าไม่ใช่เรื่องเรียน ถ้าเขาใช้เรียนออนไลน์อยู่ก็คงต้องเรียนไปตามคาบตามชั่วโมงที่ครูสอน แต่ถ้าเป็นเรื่องอื่น เช่น ดูการ์ตูน หรือสื่อบันเทิงอาจจะต้องคุยกันว่าเราต้องพักทุก 15 หรือทุก 20 นาทีไหม

การที่เราวางจอห่างจากตาเด็กเท่าไหร่เราก็ได้ประโยชน์มากเท่านั้นการที่เด็กยิ่งดูใกล้และยิ่งดูนานเพิ่มความเสี่ยงสายตาสั้น ถ้ายิ่งดูไกลมากขึ้นแบ่งเวลาพักบ่อยๆ มีการใช้สายตาในที่ไกลบ้างอันนี้จะลดโอกาสสายตาสั้น การที่เด็กได้พักเด็กก็จะมีเวลากระพริบตามากขึ้นเรื่องตาแห้งก็จะลดลง เช่น 15 นาทีแล้วเดี๋ยวเรามองอย่างอื่นบ้างพ่อแม่อาจจะต้องเบรกให้มองนอกหน้าต่าง การมองนอกหน้าต่างไกลๆ ทำให้กล้ามเนื้อตาคลายตัว เด็กได้มีการกระพริบตาปั้มน้ำตาออกมาช่วยเรื่องตาแห้งได้ด้วย

ระยะห่างจอ

ยิ่งห่างยิ่งดี ยิ่งห่างยิ่งเพ่งน้อยลง ที่นี้ขนาดจอก็จะเริ่มมีผลแล้วเพราะว่าบางคนถ้าเรียนจอเล็กก็ต้องดูใกล้ เพราะดูไกลก็ไม่เห็น แต่ถ้าขนาดจอใหญ่หน่อยเด็กก็ถอยห่างได้ การเรียนบางที่บางโรงเรียนต้องมีการ Interactive หน้าจอด้วยอาจจะต้องใช้ Touch Screen ด้วยถ้าไกลมากเด็กจิ้มก็ไม่ถึง

ส่วนใหญ่หมอแนะนำว่าให้เด็กลองยกมือขึ้นมาแล้วยื่นออกไปสุดถ้าแต่จอได้คือใกล้ไปก็จะแนะนำให้ถอยออกมา เด็กส่วนใหญ่ถ้ามีจอเด็กก็จะค่อยๆ ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ยิ่งดูก็ยิ่งใกล้เข้าไปเรื่อยๆ เวลาเด็กเขาสนใจอะไรเขาก็อยากเข้าไปดูใกล้ๆ ดูชัด ไม่เหมือนผู้ใหญ่ถ้าเรายิ่งดูใกล้ยิ่งไม่ชัดอยากดูชัดเราต้องถอย

แต่เด็กจะมีความสามารถในการเพ่งสูงมากเลนส์ตาเขานิ่มมากเขามองระยะใกล้ 5 – 10 เซนติเมตร ชัดมาก เพราะฉะนั้นสบายเขาไม่ต้องออกแรงเยอะเวลาเขาดูหน้าก็จะใกล้เข้าไปเรื่อยๆ เวลาเราจะเตือนเขาอาจจะสอนเขาว่า หนูลองยื่นมือออกไปสิแตะจอได้คือใกล้ไปแล้วหนูต้องถอยออกมาแล้วเป็นข้อปฏิบัติง่ายๆ จริงๆ ถ้าให้ตอบเป็นเซนติเมตรก็อยากให้ห่างมากกว่า 40 เซนติเมตรขึ้นไป

หรือบางบ้านเขาเอาไม้บรรทัดมาวางไว้ถ้าหนูเข้าใกล้กว่านี้อันนี้คือใกล้ไปแล้วหนูต้องถอยออกมาเกินไม้บรรทัดนะคะ ถ้าเรียนออนไลน์เรียนผ่านจอทีวี สมาร์ททีวี ได้ก็จะยิ่งดี ยิ่งไกลยิ่งดี ถ้าเราต่อเม้าส์ที่เป็นไวเลสไกลๆ ได้จะยิ่งดีมาก

ภายในห้องมีแสงสว่างที่เพียงพอ เพราะถ้าแสงไม่สว่างม่านตาจะขยายแสงจะเข้าได้ในปริมาณมากมันมีแสงบางประเภทที่ไม่ได้เข้าแล้วโฟกัสบนจอตามันเข้าไปแล้วมันจะโฟกัสบริเวณขอบตาแสงประเภทนี้มันจะกระตุ้นให้เกิดสายตาสั้นได้

การจัดห้องเรียนออนไลน์ สภาพแวดล้อมแบบไหนเหมาะกับตาของเด็ก

อาจจะเป็นเรื่องโต๊ะกับเก้าอี้ เลือกโต๊ะเก้าอี้ที่มีความสูงพอเหมาะกับเด็กเวลาวางอุปกรณ์แล้วมันไม่สูงเกินตัวเขาไม่ทำให้หน้าเขาใกล้กับจอมากเกินไป แสงสว่างก็ควรมีแสงสว่างที่พอเพียงเด็กไม่ต้องจ้อง

ถ้ามีสิ่งที่เด็กพักสายตา อย่างเช่น มีหน้าต่างให้เขามองออกไปข้างนอกได้บ้างก็จะได้ประโยชน์ดีกว่าอยู่ในห้องที่แคบและมืด ก็แล้วแต่บ้านบางคนอยู่คอนโดก็ลำบากเรื่องของสถานที่ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องโต๊ะ เรื่องของแสงสว่างที่ต้องเพียงพอและระยะถ้าไกลได้ยิ่งดีอย่าใกล้มาก แบ่งเวลาพักบ่อยๆ สัก 15-20 นาทีก็พักสายตาสักครั้ง

เด็กมีปัญหาสายตามากขึ้น

จากการที่เรียนออนไลน์ เด็กมีปัญหาเรื่องสายตาเพิ่มขึ้น คือเด็กที่ก่อนหน้านี้เคยไปโรงเรียน การไปโรงเรียนเด็กก็นั่งอยู่และมองกระดานซึ่งค่อนข้างไกล ระยะเด็กถึงกระดานส่วนมากก็ 3-4 เมตรขึ้นไป แล้วแต่ว่าเด็กนั่งหน้า กลาง หรือหลังห้อง พอเรียนออนไลน์แทบจะทั้งวันเลยเด็กอยู่หน้าจอในระยะ 30-50 เซนติเมตร

การมองเพ่งใกล้ระยะไกลอย่างที่บอกแต่ต้นเพิ่มความเสี่ยงสายตาสั้น โดยปกติเด็กคนหนึ่งเวลาสายตาสั้นแล้วจะสั้นเพิ่มประมาณปีละ 50 – 100 สมมุติเด็กคนหนึ่งปีนี้สั้น 200 ปีหน้าเราคำนวณได้เลยเขาจะสั้นอยู่ประมาณ 250-300 แต่หลังๆ เราพบว่าสั้นเกินปีละ 100 เช่น ปีนี้ 200 ปีหน้า 350 แล้ว ซึ่งสั้นขึ้นค่อนข้างเร็ว อัตราเร่งจะสูงมากในเด็กอายุ 4-13 ขวบ แต่หลังจาก 13 ปี ยิ่งบ้านไหนมีกรรมพันธุ์พ่อแม่สายตาสั้นมาก เด็กใช้เวลาอยู่กับหน้าจอมือถือมากอันนี้จะขึ้นเกียร์สูงไปเร็วมาก ตัวการที่จะช่วยลด คือกรรมพันธุ์เราเปลี่ยนไม่ได้เราไม่พูดถึง

ถ้ามีความเสี่ยงแบบนั้นหมอก็จะแนะนำว่าหากิจกรรมในหนึ่งวันให้เด็กทำ เด็กเลิกเรียนออนไลน์เสร็จแล้วตอนเย็นหรือตอนเช้าอาจจะต้องมีการใช้สายตาในที่ๆ ไกล เช่น ไปวิ่งนอกบ้าน ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ ไปใช้สายตาข้างนอก ไปช่วยลด Progression ความชัดให้เพิ่มขึ้นให้มันช้าลง เจอขึ้นเยอะเด็กบางคนไม่เคยสั้นเลยพอมาเข้าช่วงเรียนออนไลน์ก็เริ่มสั้นแล้ว 50-100 คนไหนสั้นขึ้นเร็วเราก็ต้องมีมาตรการนอกจากให้ปรับพฤติกรรมแล้วก็ต้องให้เขาใช้ยาบางตัวหรือยาหยอดช่วยชะลอสายตาสั้นร่วมด้วย

ดูแลเมื่อลูกสายตาสั้น

เริ่มต้นถ้าเราสงสัยว่าลูกเราสายตาสั้นหรือต้องการจะเทสสงสัยว่าจะสั้นหรือยังไม่สั้นหมอแนะนำให้เทสจากที่ไกล ถ้าเรารอให้ลูกเราเอาหน้าเข้าไปจ่อทีวีอันนั้นคือสั้นแล้ว ถ้าจะเทส เช่น เวลาเราอยู่หน้าบ้านอาจจะมองไปที่ท้ายซอยหรือมองไปนอกหน้าต่างเห็นป้ายไหม ป้ายที่เรายังอ่านได้ถ้าเด็กอ่านไม่ได้หรือว่าเห็นเครื่องบิน นกบิน เห็นต้นไม้ไกล

หรือว่าขับรถออกไปนอกบ้านดูป้ายว่าอ่านได้ไหมในที่ไกลคนที่สายตาสั้นจะมองที่ไกลไม่ชัดก่อนแล้วระยะที่เขามองชัดจะถบสั้นมาเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นถ้ารอว่าดูทีวีที่บ้านแล้วไม่ชัดส่วนใหญ่จะมากแล้ว

ถ้าเราสงสัยเด็กคนหนึ่งสายตาสั้นไหมตอนนี้แนะนำให้พาไปตรวจกับหมอจักษุแพทย์ เพราะในเด็กไม่สามารถที่จะพาไปร้านแว่นแล้วเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์เพราะส่วนใหญ่อาจจะโดนเด็กหลอกได้

เขาจะมีความสามารถหนึ่งในการเพ่งมากๆ สมมุติเข้าอยู่หน้าเครื่องวัดสายตาด้วยคอมพิวเตอร์ในเครื่องวัดสายตาด้วยคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่เป็นลูกบอลลูนให้เด็กมอง ถ้าเด็กสามารถเพ่งได้มากอาจจะโดนเด็กหลอกจริงๆ เด็กอาจจะไม่สั้นแต่การที่เด็กเพ่งหน้าเครื่องพวกนี้ทำให้เครื่องอ่านออกมาว่าเด็กคนนี้สั้น 200 -300 ได้

หมอเคยมีเคสหนึ่ง เป็นลูกของร้านขายมือถือ พ่อแม่พาไปนั่งในร้านทั้งวันเด็กก็ดูมือถือทั้งวัน อย่างที่บอกว่าเด็กมีความสามารถในการเพ่งสูงมากกล้ามเนื้อตาเกรงตลอดเวลาวันหนึ่งเด็กเพ่งนานๆ หลายชั่วโมงติดกัน พอเงยหน้าขึ้นมาปรากฏว่าเขาบอกพ่อว่ามองไม่ชัดเพราะกล้ามเนื้อตามันเกร็งข้างอยู่

วัดสายตากับจักษุแพทย์

เมื่อพ่อพาไปวัดสายตาที่ร้านแว่นก็จับเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์เด็กก็เพ่งค้างวัดครั้งแรกได้ -3 300 ก็ตัดแว่น 300 มาใส่ แล้วเด็กก็ใส่เล่นเกมต่อ ผ่านไปอีก 1 เดือน เด็กบอกไม่ชัดอีกแล้วพ่อก็พาไปร้านแว่นอีกรอบร้านบอกตอนนี้สั้น 500 แล้วภายใน 1 เดือน แล้วก็ตัดแว่น 500 มาใส่ แล้วก็เล่นเกมอีกผ่านไป 2 เดือน เด็กเงยหน้าบอกไม่ชัดแล้วรอบหลังเด็กตาเหล่มาเพราะเด็กเพ่งมากจนตาเข้า การที่ให้แว่นที่สูงกว่าความเป็นจริงของสายตาเด็กจะทำให้เด็กเพ่งมากขึ้นแล้วทำให้สายตาสั้นลงไปเรื่อยๆ

เพราะฉะนั้นโดยมากถ้าเราสงสัยว่าเด็กคนไหนสายตาสั้นหมอแนะนำให้ไปที่โรงพยาบาลคุณหมอจะมีวิธีการตรวจทำให้ทราบค่าสายตาที่แท้จริงบางคนอาจจะต้องหยอดยาบ้างเพื่อให้กล้ามเนื้อตาคลายตัวแล้วเราจะทราบค่าสายตาที่แท้จริงไม่ได้แว่นที่ผิดไป

พอได้สายตาสั้นก็เอาแว่นมาใส่เด็กก็จะมองไกลชัด พ่อแม่หลายคนก็อาจจะกังวลว่าพอใส่แว่นแล้วสายตาสั้นจะแย่ลงไหม อันนี้เป็นธรรมชาติพอเด็กคนหนึ่งสายตาสั้นแล้วสายตาสั้นจะเพิ่มอยู่แล้วไม่ว่าเด็กคนนั้นจะใส่แว่นหรือไม่ใส่แว่น การใส่แว่นช่วยให้คุณภาพชีวิตของเด็กดีขึ้น พอเด็กใส่แล้วสามารถมองไกลชัด สามารถเดินลงบันไดได้แบบชัด ข้ามถนนได้แล้วชัดไม่โดนรถเฉี่ยวชน

หมอมีเด็กหลายคนที่มองไม่ชัดพอตัดแว่นแล้วกลับไปเรียนได้ที่หนึ่งคือก่อนหน้านี้เขาไม่เคยรู้ว่าเขาสายตาสั้น สมมุติดูเลข 8 เขาก็ดูเป็นเลข 6 แล้วก็จดมาแบบนี้ เขาไม่รู้ว่าสายตาสั้นเขารู้ว่าตัวเองมองไม่ชัดเขาไม่เข้าใจว่าอันนี้เป็นปัญหาด้วย ธรรมชาติของเด็กไม่เข้าใจว่าอันนี้เป็นปัญหาแล้วเขามองไม่ชัดเขาไม่รู้ว่าอันนี้เรียกสายตาสั้นกลับบ้านมาก็ไม่บอกแม่

อย่างลูกของเพื่อนที่เป็นหมอจดงานมาผิด ผิดมาเกือบทุกวัน จนวันหนึ่งคุณแม่ก็คอยไปสังเกตลูกที่ห้องเรียนปรากฏว่าลูกต้องเดินไปหน้ากระดานเดินกลับมาจดปรากฏว่าสายตาสั้น 400 อายุ 6 ขวบ สายตาสั้น 400 ซึ่งเด็กไม่เคยกลับมาบอกแม่ว่าตัวเองมองกระดานไม่ชัดด้วยความที่เขาเป็นเด็กเลยไม่รู้ว่านี้คือปัญหา

วัดสายตาทุกปี

นอกจากสายตาสั้นมันมีเรื่องอื่นด้วยเวลาเด็กมองไม่ชัด บางคนมีสายตาเอียงแต่กำเนิด หรือบางคนมีสายตายาวมากแต่กำเนิดหรือบางคนมีตาเหล่ ตาเขซ้อนเร้น หรือมีโรคต้อกระจกอยู่ในตาแต่กำเนิดซึ่งหลายโรคทำให้เขามองไม่ชัดมาตั้งแต่กำเนิดอยู่แล้วเนื่องจากเห็นอย่างนี้มาตั้งแต่เกิดเขาเลยไม่ทราบว่าอันนี้เรียกว่าไม่ชัดเพราะไม่เคยเห็นชัดมาก่อน พ่อแม่จะไม่ทราบเพราะไม่มีอาการ

จริงๆ ตอนนี้หมอแนะนำเขามีการณรงค์ว่าเด็กในช่วงอายุ 4-6 ขวบ ควรได้รับการตรวจตาโดยจักษุแพทย์อย่างน้อย 1 ครั้ง เพราะตาเรามองแทนกันไม่ได้ลูกเห็นอย่างไรแม่ไม่รู้ แต่เรารู้ว่าลูกวิ่งเล่นไปมาได้ดูเหมือนปกติเด็กบางคนดูภายนอกไม่มีทางออกว่าเด็กคนนี้มองเห็นผิดปกติ หลายคนเล่นกีฬาเก่งมาก เล่นเทนนิสเก่งมาก เล่นหรือเรียนหนังสือเก่งมาก มาวัดสายตาปรากฏว่ามีสายตาเอียงอยู่ 400-500

ในช่วง 12-13 ปีแรกของชีวิตระบบต่างๆ รวมทั้งระบบสมองก็มีการพัฒนาขึ้นต่อไปเรื่อยๆ ตาก็เป็นอวัยวะหนึ่ง ตาเป็นอวัยวะรับแสงแล้วตาก็จะส่งสัญญาณไปที่สมองที่อยู่ด้านหลัง สมองตัวนี้จะเป็นส่วนที่แปลภาพสัญญาณที่ประสาทตารับมาเป็นภาพให้เราเห็น

สมมติถ้าตาเราเห็นไม่ชัดมัวลงคุณภาพของภาพที่เห็นอยู่สักประมาณ 70% ของ 100% ที่ควรจะเป็นสมองที่ไม่เกี่ยว IQ สมองที่รับภาพจากตาสมองนี้ก็จะพัฒนาไปได้ 70% เท่ากับที่ตาเห็น เพราะมันจะได้เท่ากับสิ่งที่ได้รับการกระตุ้นอันนี้มีการทดลองแบบชัดเจนเมื่อก่อนทดลองกับลิงไม่ได้ทดลองกับคน ลูกลิงเกิดใหม่เขาจะเอาไหมเย็บตาไว้ไม่ให้ลืมตาได้ข้างหนึ่ง ผ่านไปหนึ่งปีตัดไหมออกตาข้างนั้นกลายเป็นตาบอด

ถ้าเทียบง่ายคือ สมมติเราอยากให้ลูกพูดภาษาอังกฤษชัดแบบฝรั่งพูดเราต้องฝึกตั้งแต่เด็กก่อน 10 ขวบ เด็กก็จะพูดเหมือนพอโตโอกาสที่จะพูดสำเนียงเหมือนฝรั่งเปะๆ ยากมากเพราะว่าสกิลในการพัฒนาสมองที่จะปรับให้เหมือน 100% มันพัฒนาในช่วงของเด็กเท่านั้น พอหลังจาก 12-13 ปี อย่างไรก็ไม่เปะ ภาวะที่ลูกตาพัฒนาได้ไม่เต็ม 100 ในช่วงก่อน 12-13 ปี อันนี้เรียกว่าตาขี้เกียจที่สมองส่วนที่ดูแลเรื่องลูกตายังพัฒนาไม่พอ

สมองส่วนนี้ถ้าการมองเห็นไม่ได้รับการแก้ไขก่อนอายุ 10-12 ปี การมองเห็นที่ไม่ชัดจะอยู่ไปตลอดชีวิตมันแก้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นจำเป็นมากที่เราต้องตรวจช่วง 4-6 ขวบ เพราะถ้าตรวจเจอความผิดปกติช่วงนั้นเรายังมีเวลา 5-6 ปี ในการที่จะค่อยปรับสายตาเขาให้การมองเห็นเป็น 100%

 

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่...

Apple Podcast :https://apple.co/3m15ytB

Spotify :https://spoti.fi/3cvAVcX

YouTube Channel :https://bit.ly/3cxn31u

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

รักลูก The Expert Talk Ep.41 : รู้ก่อนเป็น สาเหตุทำให้เกิดโรคหืด

รักลูก The Expert Talk Ep.41 : รู้ก่อนเป็น สาเหตุทำให้เกิดโรคหืด

โรคหืดไม่ใช่แค่กระทบพัฒนาการ แต่อาจจะทำให้เสียชีวิตได้ 

รู้ก่อนเลี่ยงได้ก่อน แม้ส่วนหนึ่งจะมาจากพันธุกรรมที่เราเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่สภาพแวดล้อมก็เป็นส่วนสำคัญมากที่กระตุ้นให้เป็นโรคหืด และมีอาการมากขึ้น

 

ฟังสาเหตุของโรคหืด จาก The Expert ผศ.ดร.นพ.สิระ นันทพิศาล หัวหน้าหน่วยโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

สาเหตุที่ตัวเลขโรคหืดเพิ่มขึ้น

ในประเทศไทยมีการสำรวจจำนวนเด็กที่เป็นโรคหืดมาประมาณ 30 ปีแล้ว และก็ทำมาเรื่อยๆ ประมาณทุก 10 ปี และพบว่าตัวเลขเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะที่ภาคเหนือในระยะ 10 ปีที่ผ่านมามีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนรวมไปถึงโรคภูมิแพ้อื่นๆ เช่น จมูกอักเสบภูมิแพ้

ซึ่งเป็นโรคคู่กันก็เจอเยอะขึ้นโดยเฉลี่ยอยู่ประมาณ 4-10% ในประเทศไทยแล้วแต่ภูมิภาค ในกรุงเทพประมาณ6-7% สำหรับทุกช่วงอายุในผู้ป่วยเด็ก ถ้าโยงเกี่ยวกับเรื่องฝุ่นมลพิษหรือเปล่าจริงต้องบอกว่า

ปัจจัยการเกิดโรคหืดแต่เดิมเราบอกมันมีหลายปัจจัยก็คือเป็นเรื่องของพันธุกรรมเพราะคุณพ่อคุณแม่ที่เป็นโรคหืดมาก่อน ลูกจะโอกาสเป็นโรคหืดได้มากขึ้นตั้งต้นมาเหมือนต้นทุนเดิม

ทีนี้ระหว่างที่เขาเติบโตมาเขาจะเผชิญกับสภาพแวดล้อมต่างๆ ซึ่งหลายๆ คนก็จะบอกว่าเป็นเรื่องของสัตว์เลี้ยงหรือเปล่าการเลี้ยงสุนัข เลี้ยงแมวในบ้านจะสามารถทำให้เกิดเป็นโรคหืดได้ไหม ซึ่งอันนี้ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่า 2 อย่างนี้จะเป็นปัจจัยทำให้เกิดหืด

มลพิษ ควันบุหรี่ตัวร้าย

แต่สิ่งที่ชัดเจนมากๆ เลยคือส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของมลพิษ มลพิษอันดับแรกที่เรายังไม่ได้พูดถึงกันก็คือ ควันบุหรี่ อันนี้ตัวร้ายเลยเพราะว่ามีการศึกษาออกมาชัดเจนว่ามารดาที่ตั้งครรภ์ และระหว่างตั้งครรภ์สูบบุหรี่จะเป็นสาเหตุเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอาการหอบหืดในเด็กโดยเฉพาะเด็กอายุน้อยกว่า 3 ปี ชัดมาก ถือว่าเป็นปัจจัยหลัก

มีการศึกษาเพิ่มเติมด้วยว่าเป็น Secondhand Smoker คือหมายความว่าตัวคุณแม่ไม่จำเป็นต้องสูบเองแต่อยู่ในครอบครัวหรือในสภาพแวดล้อมที่มีควันบุหรี่เยอะๆ อันนี้ก็ส่งผลกับปอดของเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์เหมือนกัน เพราะฉะนั้นพอเด็กออกมามีความเสี่ยงถ้ายังอยู่ในสภาพแวดล้อมเดิม เขาก็จะเจอกับสารก่อภูมิแพ้ หรือสารระคายเคืองจากบุหรี่เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ

PM2.5 ตัวการสำคัญ

ในระยะ 10 ปีถ้าเราติดตามข่าวสารกันก็จะทราบว่าภาวะโลกร้อนเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ปริมาณ PM2.5 เพิ่มมากขึ้น จริงๆ เรารู้จักกันมานานพอสมควรแล้วสำหรับฝุ่น PM2.5 แต่เพิ่งมาให้ความสนใจกันเยอะมากในปัจจุบัน ในช่วงประมาณ 10 ปีที่ผ่านมาตัวเลขจะมีการมอนิเตอร์กันเป็นประจำก็จะพบว่าในกรุงเทพมีค่ามลพิษโดยเฉพาะ PM2.5 เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

มีการศึกษากันแล้วว่าจุดตั้งต้นก่อน เอาง่ายๆ เลยมีการศึกษากันแล้วว่าถ้าเป็นแฝดแต่แยกที่กันเลี้ยงคนหนึ่งอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มี PM2.5 เยอะ อีกคนอยู่อีกที่หนึ่งหรือว่าพี่น้องกัน ปรากฎว่าคนที่อยู่ในสภาวะที่มี PM2.5 นานๆ เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคภูมิแพ้มากขึ้น

ไรฝุ่นต้นเหตุที่มักถูกลืม

สุดท้ายเรื่องสารก่อภูมิแพ้ในอาการซึ่งอันนี้เราต้องแยกว่า PM2.5 ควันบุหรี่ อันนั้นเป็นการระคายเคืองทำให้อาการภูมิแพ้กำเริบ แต่สารก่อภูมิแพ้ก็คือโปรตีนต่างๆ เล็กๆ น้อยๆ ที่มันอยู่ในสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ เช่น ไรฝุ่น ไม่ใช่ฝุ่นละอองที่เรากวาดบ้านถูบ้านเจอกัน คือสัตว์เล็กๆ ที่กินรังแคเราเป็นอาหารรังของเขาก็คือที่นอนของเราเป็นบ้านหลักเลยอยู่กันทีเป็นล้านตัว

เพราะฉะนั้นเขาก็จะกินอาหารคือผิวเราเองแล้วเขาก็จะอุจจาระออกมาซึ่งตัวอุจจาระเป็นตัวก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้โดยเฉพาะในทางเดินหายใจ แล้วก็ยังมีซากละอองแมลงสาป เหล่านี้เป็นสิ่งที่แยกได้ยากมากหมายความว่าหลีกเลี่ยงยากมาก เพราะไรฝุ่นกับแมลงสาปอยู่กับเรามานานแสนนานเพราะฉะนั้นเราคงไม่สามารถไปกำจัดเขาให้ออกไปจากสภาพแวดล้อมได้

3 ปัจจัยจัยก่อโรคหืด เพราะฉะนั้นหลักๆ สรุปเป็นประเด็น 3 ประเด็น คือ

1.พันธุกรรม

2.สารก่อภูมิแพ้ในอากาศ ที่เพิ่มมากขึ้นมาคือพวก ละอองเกสรดอกไม้ ตั้งแต่น้ำท่วมปี 54 และร่วมกับโลกร้อนจำนวนและสัดส่วนของหญ้าต่างๆ ในประเทศไทยเปลี่ยนเยอะและพวกนี้เป็นตัวกระตุ้นให้ปริมาณสารก่อภูมิแพ้ในอากาศโดยเฉพาะละอองเกสรดอกไม้มีมากขึ้นและมีการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนอย่างชัดเจน

3. มลพิษ

สังเกตุอาการโรคหืด

จริงๆ แล้วที่ถูกเราควรเรียกว่าโรคหืด แต่เวลาที่เด็กมีหืดกำเริบเราจะเรียกว่าอาการหอบ หลักๆ เราจะแบ่งการสังเกตอาการและสาเหตุการกระตุ้นอาการหอบเป็น 2 กลุ่มอายุ คือกลุ่มอายุน้อยกว่า 5 ปีและเกิน 5 ปีขึ้นไป

กลุ่มอายุน้อยกว่า 5 ปีอาการหืดกำเริบของเขาส่วนใหญ่จะสัมพันธ์กับการติดเชื้อทางเดินหายใจก็คือการเป็นหวัด แปลว่าเด็กที่มีอาการหอบเวลาที่เขาเป็นหวัดแต่ละครั้งจะมีอาการหอบกำเริบค่อนข้างง่าย อาจจะไม่ได้รุนแรงมาก สามารถสังเกตอาการได้อย่างไรถ้าอาการไม่รุนแรง

1.เด็กจะมีอาการไอค่อนข้างมาก สมมติมีเด็ก 2 คน คนหนึ่งเป็นหอบ คนหนึ่งไม่เป็นหอบ มานั่งคู่กันคนที่เป็นหอบเขาจะไอเยอะกว่าชัดเจน เวลาไปโรงพยาบาลบางครั้งเขาจะได้ยาขยายหลอดลมมากิน คนที่เป็นโรคหืดแล้วมีอาการหอบกำเริบเขาจะกินยาขยายหลอดลมแล้วอาการไปลดลงแปลว่าอาการไอควรจะตอบสนองกับการขยายหลอดลม

2.ไอนานมากเป็นหวัดส่วนใหญ่ไอ 5-7 วัน หาย เด็กที่เป็นหอบก็จะ 7-10 วัน ไปแล้วก็ยังไม่หายไอ ถ้าไม่เป็นหวัดอาหารที่พอสังเกตได้คือเขาวิ่งเล่นเหนื่อยๆ แล้วมีอาการไอเพราะว่าการออกกำลังเป็นตัวกระตุ้นทำให้อาการหอบกำเริบได้

หรือมีอาการไอตอนกลางคืนเพราะอากาศเย็นอันนี่ก็เป็นสิ่งที่กระตุ้นทำให้อาการไอหรือหอบหืดกำเริบเพิ่มมากขึ้น ตอนกลางวันถ้าไปเจอฝุ่นละอองหรือมลพิษต่างๆ เขาก็จะมีอาการไอ ลักษณะสำคัญเลยคืออาการไอเหล่านี้ถ้าได้รับยาขยายหลอดลมแล้วเขาจะดีขึ้น

ในขณะที่เด็กโตจะเห็นค่อนข้างชัดเจนคือโอกาสการเป็นหวัดจะลดลง เพราะฉะนั้นเขาจะเป็นลักษณะของการแสดงออกที่สัมพันธ์กับกิจกรรมประจำวันมากกว่า เช่น ออกกำลังแล้วมีอาการไอ หรือสัมผัสสารก่อภูมิแพ้อันนี้ค่อนข้างชัดมาก เช่น คุณแม่กวาดบ้านอยู่ลูกไปวิ่งเล่นแถวนั้นก็เกิดอาการไอขึ้นมา

ถ้าอาการรุนแรงมากขึ้นเขาก็จะมีอาการหอบซึ่งอาการหอบเหมือนวิ่งแล้วหอบ คือหายใจแรงขึ้น หายใจไม่ทัน มีอาการบ่นได้ก็จะบอกว่าแน่นหน้าอกอันนี้เป็นลักษณะของเด็กที่มีอาการหืดกำเริบ

หืดกับโรคภูมิแพ้

อาการอื่นๆ ที่อาจจะมีได้ก็อาการของโรคภูมิแพ้ที่มักจะพบร่วมกันกับอาการโรคหืดก็คืออาการภูมิแพ้ทางจมูก ซึ่งประมาณ 85% ของเด็กที่เป็นโรคหืดจะมีภูมิแพ้ทางจมูกร่วมด้วยก็เป็นอาการน้ำมูก จาม คันและคัดแน่นจมูกมีคันตาร่วมด้วย หลายๆ คนก็จะมีอาการนอนกรน อันนี้ก็เป็นอาการของโรคภูมิแพ้จมูกอักเสบซึ่งพบร่วมกันในเด็กที่เป็นโรคหืด

RSV ต่างจากโรคหืด

RSV จะเป็นในเด็กที่อายุน้อยกว่า 2 ปี ซึ่งอาการโรคหืดยังไม่ค่อยแสดงออกเท่าไหร่ ความคล้ายกันของเขาคือเขาจะมีอาการหอบเหมือนกันเวลาที่เราติดเชื้อ RSV เพราะว่า RSV เป็นการติดเชื้อของทางเดินหายใจส่วนล่าง หลอดลมฝอยมีการอักเสบเด็กจะมีหายใจเสียงหวีดเหมือนหอบหืดได้เลย

แต่ RSV พ่นยาขยายหลอดลมแล้วไม่ค่อยตอบสนองคือจะไม่หายหอบเท่าไหร่คือต้องรอให้เขาหายเอง อาการติดเชื้อดีขึ้นเสมหะในปอดลดลง อาการหอบก็จะลดลง ในขณะที่ถ้าเป็น RSV แล้วเด็กมีอาการหอบอยู่ด้วยรวมกันมันจะส่วนหนึ่งที่จะตอบสนองกับยาขยายหลอดลม

เป็นหวัดทั่วไปก็เหมือนกันปกติถ้าเป็นหวัดเป็นการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน เด็กทั่วไปก็จะไม่มีอาการหอบ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เป็นไข้หวัดธรรมดาแล้วมีอาการเหนื่อยหอบ หายใจเร็วแล้วก็ได้ยินว่าหายใจมีเสียงหวีดๆ เกิดขึ้น อันนี้เราก็จะบอกว่าแสดงว่ามีโรคหืดแฝงอยู่ เพราะฉะนั้นการตรวจ จริงๆ แล้วเราก็บอกว่าควรให้แพทย์เป็นคนวินิจฉัย

การทดสอบสมรรถภาพปอดในอายุน้อยกว่า 5 ปี มีข้อจำกัดคือทำไม่ได้เพราะต้องอาศัยความร่วมมือของผู้ป่วยต้องเกิน 5 ปีไปถึงพอจะทำได้ การวินิจฉัยถ้า 5 ปีขึ้นไปแล้วเราสงสัยว่าเป็นหรือไม่เป็นเราก็ส่งตรวจสมรรถภาพปอดไปเลย เป็นจุดยากเลยเป็นยาขมสำหรับหมอเด็กเหมือนกันไม่ใช่พ่อแม่อย่างเดียว หมอเด็กเองก็เด็กคนนี้อายุ 3ปี พ่นยามาแล้ว 3 รอบใช่หรือไม่ใช่โรคหืด

เพราะฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่ที่มีประวัติลูกเป็นแบบนี้เป็นหวัดแต่ละครั้งดูอาการแล้วแบบไอเยอะ ไปโรงพยาบาลก็ต้องมีการพ่นยา

การพ่นยาจะเป็นแบบฝอยละอองแล้วใช้เป็นตัวครอบแทนเป็นกรวยแล้วใช้เป็นยากดพ่น ก็ลองถามคุณหมอหลังจากที่มีการให้ยาขยายลมพ่นว่าลูก หลาน ตอบสนองไหม เสียงหายใจหวีดลดลงไหมหรือหายใจเร็วลดลงไหมหลังจากใช้ยาขยายหลอดลมถ้าเป็นอาการแบบนี้คือตอบสนองกับยาขยายหลอดลมได้ดีและปีหนึ่งเกิน 3 ครั้ง อันนี้มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคหืดสูง

แนวทางการรักษาโรคหืด

ต้องเป็นข้อความที่เราจะสื่อสารกันเป็นหลักไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครองหรือตัวผู้ป่วยที่เป็นผู้ใหญ่เราต้องแก้ความเข้าใจกันใหม่ เพราะเวลาที่คนไข้มาพบแพทย์ส่วนใหญ่เขาบอกว่ายาที่ดีที่สุดในการรักษาโรคหืดคือยาขยายหลอดลมซึ่งจริงๆ ถูกแค่บางส่วน เพราะว่ายาขยายหลอดลมจะใช้เมื่ออาการโรคหืดกำเริบคือมีอาการหอบเป็นเป้าหมายที่ลดความรุนแรงของอาการหอบที่กำเริบ

แต่จริงๆ เป้าหมายหลักของการรักษาโรคหืดคือเราต้องการให้ไม่เกิดอาการหืดกำเริบคนไข้ต้องไม่หอบเลย เพราะฉะนั้นเป้าหมายสำคัญคือควบคุมไม่ให้เกิดอาการหอบเพราะการหอบแต่ละครั้งเวลาที่เกิดอาการแต่ละครั้งมันจะมีการอักเสบในทางเดินหายใจหลอดลมฝอยจะมีการอักเสบเกิดขึ้นถ้ามีการปล่อยไว้ให้การอักเสบเป็นไปเรื่อยๆ มันจะมีการเสียสภาพของหลอดลมในระยะเบื้องต้น

ถ้าหอบยังไม่เป็นมากสภาพหลอดลมที่เสียไปสามารถกลับมาสู่สภาวะที่เป็นปกติได้ด้วยการรักษาของการใช้ยาควบคุมโรคหืด แต่ถ้าไม่ได้ใช้เลยการที่หลอดลมมันเสียสภาพมักจะกลายเป็นเสียถาวร

ยารักษาโรคหืด

เพราะฉะนั้นคิดเอาว่าถ้าเสียสภาพถาวรตั้งแต่เป็นเด็กโตขึ้นไปเขาจะไม่มีทางที่สมรรถภาพปอดเขาจะกลับมาสู่สภาวะปกติหรือเทียบเท่ากับคนอื่นได้ เพราะฉะนั้นต้องย้ำไม่ว่าโรคหืดจะเกิดเมื่อไหร่ก็ตาม ช่วงอายุไหนก็ตาม ยารักษาหลักคือยาควบคุมโรคหืดที่ไม่ทำให้เกิดอาการหอบ ซึ่งตรงนี้ในประเทศไทยหรือทั่วโลกเราจะมียาอยู่ 2 กลุ่ม

1.ยาพ่นชนิดสเตียรอยด์

2.ยากินที่สามารถใช้รักษาควบคุมโรคหืดได้ สองอย่างนี้จะเป็นยาหลักที่ใช้ในการรักษา ซึ่งผู้ป่วยจำเป็นต้องใช้ทุกวันไม่ว่าจะมีอาการหืดหรือไม่มีอาการหืดก็ตาม ถ้าเมื่อไหรก็ตามที่มีอาการกำเริบขึ้นมาเมื่อนั้นเราจึงจะใช้ยาขยายหลอดลมพ่นเพื่อทำให้บรรเทาอาการหืดกำเริบเฉียบพลัน เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วเราต้องรักษาที่สาเหตุหลักก็คือใช้ยาควบคุมโรคหืด

สำหรับยาสเตียรอยด์ จริงๆ แล้วเป็นยาที่ปลอดภัยและสามารถใช้ได้ทุกช่วงอายุแต่ก็จะมีข้อจำกัดบางอย่างเพราะว่าสเตียรอยด์ในเด็กอุปกรณ์ที่ยาจะอยู่เป็นชนิดพ่นจำเป็นจะต้องพ่นผ่านกระบอกต้องอาศัยความร่วมมือกับผู้ป่วยพอสมควรมีอุปกรณ์ต่อเพราะถ้าพ่นใส่ปากโดยตรงยาจะไม่ถึงปอด

ผู้ปกครองหลายๆ คนจะมีความกังวลพูดขึ้นมาว่าเป็นสเตียรอยด์จะทำให้ส่งผลต่อการเจริญเติบโต ใช้ไป 1-2 ปีลูกจะเตี้ยไม่โตหรือเปล่า ติดเชื้อง่าย จริงๆ ต้องบอกว่าในปริมาณของการใช้เพื่อควบคุมโรคหืดจะเป็นขนาดที่ไม่มีผลกระทบข้างเคียงเยอะขนาดนั้น

ยากลุ่มที่ 2 ยาต้านการอักเสบที่ยับยั้งการทำงานของสารลิวโคไทรอีน เป็นยาชนิดกินซึ่งเป็นยาที่สามารถใช้ควบคุมโรคหืดได้เหมือนกันแต่เราก็จะมีการบริหารยาที่ง่ายเพราะจะมีทั้งเป็นแบบผง แบบเม็ด ซึ่งอันนี้ให้เด็กกินทุกวันต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน

ทั้ง 2 ตัวมีประสิทธิภาพในการควบคุมโรคหืดได้ใกล้เคียงกัน แต่ต้องย้ำว่าทั้ง 2 ตัวนี้ไม่ใช่ยาขยายหลอดลมเพราะฉะนั้นพอหลายๆ คนบอกว่าต้องใช้ไปทุกวันถ้าเวลาหืดกำเริบขึ้นมาอย่างไรก็ต้องกลับไปใช้ยาขยายหลอดลม

แต่เป้าหมายหลักของเราถ้าใช้ยาตัวใดตัวหนึ่งไม่ว่าจะเป็นสเตียรอยด์พ่น หรือยากินควบคุมโรคหืดแล้วเราหวังว่าผู้ป่วยจะไม่มีอาการหืดกำเริบและก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ยาขยายหลอดลมสูตรพ่นเลยอันนี้คือเป้าหมายหลักจริงๆ

โรคหืดรักษาและกินยาอย่างต่อเนื่อง

จริงๆ เรามีการให้ความรู้กับแพทย์ อัพเดทความรู้เราก็จะบอกเขาไปในกลุ่มของแพทย์ผู้ดูแลโดยเฉพาะหมอเด็กเพราะเรามีการอัพเดทแนวทางการรักษาอยู่เป็นประจำแล้วก็อยากยืนยันว่ายามีความปลอดภัยในการใช้ระยะยาว

ปัญหาสำคัญเลยคือผู้ปกครองมักจะหยุดยาก่อนถึงเวลาอันควร แต่จริงๆ รอยโรคในหลอดลมฝอยที่เวลาเราเกิดโรคหืดขึ้นมาแล้วมันอาจจะเป็นแผลที่ใหญ่พอสมควร ยิ่งเป็นมานานเป็นรุนแรงก็จะเป็นแผลที่ใหญ่

เพราะฉะนั้นการที่เราจะสมานแผลตรงนี้ให้มันกลับมาปกติได้และความไวของหลอดลมมันลดลงไปได้มันต้องใช้เวลายาวนานพอสมควรอย่างน้อยเป็นปี เพราะฉะนั้นกินยาหรือพ่นยาไปประมาณ 1-2 เดือนอาการสงบดีอย่าเพิ่งหยุด ควรจะมีการประเมินก่อนซึ่งคุณหมอก็เป็นคนประเมิน ซึ่งก็จะมีหลักการหลายๆ ข้อ อยากให้ไปพบแพทย์อย่าหยุดยาเองโดยเฉียบพลันโดยตัวเองลูกอาการสงบดีแล้วก็หยุดยาจริงๆ ถึงจะอาการสงบแต่ภายในอาจจะไม่สงบก็ได้ เป็นคลื่นใต้น้ำมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

ผลกระทบหากหยุดใช้ยา

มีผลโดยตรงกับพยาธิสภาพในปอดก็คือหลอดลมจะมีการเสียอาจจะถาวรได้ถ้ารักษาช้าหรือรักษาไม่ถูกต้องอันนี้หลอดลมเสียสภาพถาวรได้ซึ่งมันจะไปส่งผลกระทบทางอ้อมกับสุขภาพทางกายและทางใจของเด็ก

เพราะว่าเวลาที่เขามีภาวะหลอดลมไวเด็กเขาจะถูกกระตุ้นได้ง่ายถ้าเจออากาศเย็น เจอไรฝุ่นเล็กน้อยจะมีอาการไอแล้วสำคัญเลยโรคหืดมักจะไอตอนกลางคืนเด็กมักจะตื่นมาไอตอนตีสองตีสามซึ่งเป็นเวลาทองของการหลั่ง Growth Hormones เด็กจะโตได้จริงๆ แล้วเวลาทองของการนอนคือ 4ทุ่ม ถึงตีสอง แต่โรคหืดเวลากำเริบตอนกลางคืนแล้วเด็กไอตื่นขึ้นมา Growth Hormones มันจะหายไป

มีการศึกษาออกมาชัดเจนแล้วว่าเด็กที่เป็นโรคหืดแล้วรักษาด้วยสเตียรอยด์โตเร็วกว่าเด็กที่เป็นโรคหืดแล้วไม่ได้รับการรักษา 1 ปีประมาณ 1เซนติเมตรถือว่าเยอะอันนี้คือผลกระทบแน่ๆ ต่อการเจริญเติบโตแล้วถ้าตอนกลางคืนหลับไม่สนิทผลที่ตามมาคือตื่นเช้ามางอแง ปลุกไม่ตื่น ไม่อยากไปโรงเรียนทำให้ประสิทธิภาพในการเรียนลดลง ไม่ตั้งใจเรียน ทำข้อสอบไม่ได้อันนี้เราพบว่าอาจจะมีความสัมพันธ์กับสมาธิสั้นด้วย

อันนี้สำคัญอย่างที่บอกไปแล้วว่าโรคหืดกำเริบได้ด้วยการออกกำลังกาย เพราะฉะนั้นเวลาที่เด็กไปโรงเรียนสิ่งที่เขาอยากทำคือวิ่งเล่นกับเพื่อ เด็กที่เป็นโรคหืดเขาจะหยุดตัวเองโดยอัตโนมัติเพราะเขาจะรู้ว่าเขาวิ่งได้เท่านี้ เขาจะไม่วิ่งต่อหยุดเล่นเพื่อนก็วิ่งไปได้ไกลทั้งสนามแล้วแต่ลูกเราวิ่งไปได้ 50 เมตรก็หยุดวิ่งเขาก็จะรู้สึกเหมือนเป็นปมด้อยแล้วเขาก็จะไม่เข้าสังคมในเด็กเพื่อนๆ เขาได้ก็เป็นผลกระทบต่อทั้งจิตใจและร่างกายของเด็กพัฒนาการของเด็กด้วย

ภูมิแพ้ต้นตอโรคหืด

ในส่วนที่ต้องทำในเด็กเล็กหรือในเด็กที่น้อยกว่า 12 ปี เกือบ 100% จะเป็นกลุ่มที่เป็นภูมิแพ้แล้วตรวจพบว่ามีการไวต่อสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ เช่น ไรฝุ่น แมลงสาป สุนัข แมว หญ้าต่างๆ หรือเชื้อราอย่างใดอย่างหนึ่ง

ซึ่งถ้าเป็นไปได้อยากให้ไปตรวจกับกุมารแพทย์โดยเฉพาะกุมารแพทย์เชี่ยวชาญภูมิแพ้เพื่อประเมินทดสอบการแพ้ทางผิวหนังหรือตรวจเลือดดูว่าแพ้อะไร ระหว่างนี้ถ้าทราบแล้วก็อยากให้พยายามควบคุมสภาพแวดล้อมในบ้าน อย่างเช่น ถ้าแพ้ไรฝุ่นก็ต้องมีการลดปริมาณไรฝุ่นภายในบ้านให้ได้มากที่สุดซึ่งเป็นศัตรูตัวร้ายกาจ

เพราะประมาณ 70-80% ของผู่ป่วยเด็กที่เป็นภูมิแพ้จะแพ้สารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่นซึ่งเป็นศัตรูตัวจิ๋วที่อยู่ในบ้านเราแล้วก็สะสมอยู่บนที่นอนออกลูกออกหลานเก่งมากเป็นแมลงตัวเล็กที่มีเป็นร้อยเป็นพันเป็นล้านตัวในที่นอนเรา

ฉะนั้นการกำจัดต้องใช้ความร้อนในการกำจัดต้องซักผ้าปูที่นอนด้วยน้ำร้อน 60 องศาขึ้นไป หมายถึงเอาผ้าไปอบเพื่อกำจัดรังของเขา หรือเป็นที่นอนที่สามารถกันไรฝุ่นได้หรือเป็นผ้าคลุมพิเศษที่หุ้มที่นอนที่ไรฝุ่นไม่สามารถเข้าไปอยู่อาศัยได้

อีกสิ่งที่เป็นที่สะสมไรฝุ่นก็คือตุ๊กตาต้องเอาไปซักทำความสะอาดถ้าเอาออกได้จะดีสุดถ้าต้องเก็บไว้จริงๆ เป็นน้องเน่าขออนุญาตน้องเอาไปล้างไปซักไปทำความสะอาดเพื่อให้ปริมาณของสารก่อภูมิแพ้ของไรฝุ่นลดลง ส่วนมากเทคนิคที่จะบอกพ่อแม่คือให้เขาเลือกไว้ตัวหนึ่งแล้วก็จัดห้องให้โล่งไม่มีฝุ่นเกาะ

เลี่ยงฝุ่นPM2.5 และควันจากการเผา

ฝุ่นและควันจากการเผาทำให้เกิดโรคหืด และโรคทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้ทางผิวหนังที่อาการจะกำเริบ มีอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ทำการศึกษาแล้วว่าระหว่างที่มี PM2.5 หนักๆ ที่เชียงใหม่มีอัตราการเกิดโรคเส้นเลือดสมองแตกเพิ่มมากขึ้นเพราะตัว PM2.5 เองมันสามารถทำให้เกิดการอักเสบที่เส้นเลือดของร่างกายได้เพราะฉะนั้นเส้นเลือดสมองเป็นจุดเป้าหมายเลยที่ทำให้เกิดอาการผิดปกติ

เพราะฉะนั้นไม่ใช่โรคหืดอย่างเดียวแต่กลับมาที่เด็ก PM2.5 ก็มีส่วนจริงที่ทำให้ตัวอาการโรคหืดเป็นเยอะขึ้นควบคุมได้ยากขึ้น ที่การกำจัดเราจะบอกไม่ให้ลูกออกไปนอกบ้านหรือไม่ให้ PM2.5 เข้าบ้านก็คงทำไม่ได้ช่วงนี้เป็นช่วงที่ดีเพราะว่าเด็กใส่แมสเราก็จะมีโอกาสสัมผัสฝุ่น PM น้อยลง

ต้องช่วยกันรณรงค์ในเรื่องของฝุ่น PM2.5 การเผาไหม้ทั้งหลายแล้วก็มลพิษจากการเผาไหม้รถยนต์ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ PM2.5 เยอะขึ้นถ้าบ้านไหนที่ Sensitive จริงๆ ก็อาจจะจำเป็นต้องมีเครื่องฟอกอากาศภายในบ้านแล้วก็แนะนำว่าถ้าจะเป็นห้องนอนช่วงที่มี PM2.5 เยอะๆ อาจจะต้องปิดหน้าต่างตอนกลางวันแล้วก็รอยรูรั่วต่างๆ ก็พยายามปิดไม่ให้ลมมันระบายเข้ามาและฟอกอากาศอย่างน้อยประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนเข้าห้องนอนก็สามารถช่วยได้อย่างชัดเจนพอสมควร

แนวทางการรักษาของโรคหืดและการใช้ยา

โรคหืดเป็นโรคที่เจอได้พอสมควรประมาณ 10% ในประเทศไทยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ไม่ใช่สิ้นหวังโรคหืดสามารถรักษาได้ควบคุมได้เพียงแต่การใช้ยาต้องทำความเข้าใจว่าโรคสามารถหายได้ควบคุมได้แต่ต้องใช้ยาอย่างสม่ำเสมอและใช้ยาถูกประเภท ยาควบคุมอาการโรคหืดไม่ว่าจะเป็นยาสเตรียรอยด์สูตรพ่นหรือว่ายากินที่เป็นยาต้าน

ในการรักษาโรคหืดระยะยาวและมีความปลอดภัยขอให้ผู้ปกครองและผู้ป่วยเองมีความมั่นใจในความปลอดภัยของตัวยา แต่อย่างไรก็ตามอย่าใช้ยาเอง อย่าหยุดยาเองควรมีการนัดติดตามจากแพทย์ผู้สั่งยา เพื่อปรับยาได้สม่ำเสมอและประเมินอาการว่ารักษาเพิ่มเติมอย่างไรนอกจากยา

ขณะเดียวกันก็จะได้ทราบวิธีการปฎิบัติตัวเวลาหืดกำเริบการใช้ยาขยายหลอดลมควรทำอย่างไร มีการตรวจประเมินเรื่องของภูมิแพ้ดูว่าต้องมีการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมในบ้านหรือว่าสภาพแวดล้อมทั่วไปรอบตัวของทั้งตัวเด็กเองและตัวผู้ใหญ่อย่างไร ฉะนั้นพบแพทย์สามารถดูแลได้รักษาได้ ในระยะยาวโรคหืดอาจจะไม่ได้หายขาดหายสนิทไปจากชีวิตเมื่อเป็นแล้ว แต่ควบคุมไม่ให้เกิดอาการเราก็จะสามารถมีชีวิตและการเจริญเติบโตของเด็กที่ปกติได้ไม่ต่างจากคนทั่วไป

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

A cause de cette effet secondaire, la demande du kamagra gel était si importante que son utilisation a été complètement réorientée.

รักลูก The Expert Talk Ep.42 : รักษาหืด ก่อนกระทบพัฒนาการ

รักลูก The Expert Talk Ep.42 : รักษาหืด ก่อนกระทบพัฒนาการ

โรคหืดสามารถรักษาและควบคุมด้วยการใช้ยาถูกต้อง เพื่อไม่ให้กระทบกับการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็ก

สาเหตุที่ตัวเลขโรคหืดเพิ่มขึ้น

ในประเทศไทยมีการสำรวจจำนวนเด็กที่เป็นโรคหืดมาประมาณ 30 ปีแล้ว และก็ทำมาเรื่อยๆ ประมาณทุก 10 ปี และพบว่าตัวเลขเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะที่ภาคเหนือในระยะ 10 ปีที่ผ่านมามีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนรวมไปถึงโรคภูมิแพ้อื่นๆ เช่น จมูกอักเสบภูมิแพ้

ซึ่งเป็นโรคคู่กันก็เจอเยอะขึ้นโดยเฉลี่ยอยู่ประมาณ 4-10% ในประเทศไทยแล้วแต่ภูมิภาค ในกรุงเทพประมาณ6-7% สำหรับทุกช่วงอายุในผู้ป่วยเด็ก ถ้าโยงเกี่ยวกับเรื่องฝุ่นมลพิษหรือเปล่าจริงต้องบอกว่า

ปัจจัยการเกิดโรคหืดแต่เดิมเราบอกมันมีหลายปัจจัยก็คือเป็นเรื่องของพันธุกรรมเพราะคุณพ่อคุณแม่ที่เป็นโรคหืดมาก่อน ลูกจะโอกาสเป็นโรคหืดได้มากขึ้นตั้งต้นมาเหมือนต้นทุนเดิม

ทีนี้ระหว่างที่เขาเติบโตมาเขาจะเผชิญกับสภาพแวดล้อมต่างๆ ซึ่งหลายๆ คนก็จะบอกว่าเป็นเรื่องของสัตว์เลี้ยงหรือเปล่าการเลี้ยงสุนัข เลี้ยงแมวในบ้านจะสามารถทำให้เกิดเป็นโรคหืดได้ไหม ซึ่งอันนี้ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่า 2 อย่างนี้จะเป็นปัจจัยทำให้เกิดหืด

มลพิษ ควันบุหรี่ตัวร้าย

แต่สิ่งที่ชัดเจนมากๆ เลยคือส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของมลพิษ มลพิษอันดับแรกที่เรายังไม่ได้พูดถึงกันก็คือ ควันบุหรี่ อันนี้ตัวร้ายเลยเพราะว่ามีการศึกษาออกมาชัดเจนว่ามารดาที่ตั้งครรภ์ และระหว่างตั้งครรภ์สูบบุหรี่จะเป็นสาเหตุเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอาการหอบหืดในเด็กโดยเฉพาะเด็กอายุน้อยกว่า 3 ปี ชัดมาก ถือว่าเป็นปัจจัยหลัก

มีการศึกษาเพิ่มเติมด้วยว่าเป็น Secondhand Smoker คือหมายความว่าตัวคุณแม่ไม่จำเป็นต้องสูบเองแต่อยู่ในครอบครัวหรือในสภาพแวดล้อมที่มีควันบุหรี่เยอะๆ อันนี้ก็ส่งผลกับปอดของเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์เหมือนกัน เพราะฉะนั้นพอเด็กออกมามีความเสี่ยงถ้ายังอยู่ในสภาพแวดล้อมเดิม เขาก็จะเจอกับสารก่อภูมิแพ้ หรือสารระคายเคืองจากบุหรี่เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ

PM2.5 ตัวการสำคัญ

ในระยะ 10 ปีถ้าเราติดตามข่าวสารกันก็จะทราบว่าภาวะโลกร้อนเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ปริมาณ PM2.5 เพิ่มมากขึ้น จริงๆ เรารู้จักกันมานานพอสมควรแล้วสำหรับฝุ่น PM2.5 แต่เพิ่งมาให้ความสนใจกันเยอะมากในปัจจุบัน ในช่วงประมาณ 10 ปีที่ผ่านมาตัวเลขจะมีการมอนิเตอร์กันเป็นประจำก็จะพบว่าในกรุงเทพมีค่ามลพิษโดยเฉพาะ PM2.5 เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

มีการศึกษากันแล้วว่าจุดตั้งต้นก่อน เอาง่ายๆ เลยมีการศึกษากันแล้วว่าถ้าเป็นแฝดแต่แยกที่กันเลี้ยงคนหนึ่งอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มี PM2.5 เยอะ อีกคนอยู่อีกที่หนึ่งหรือว่าพี่น้องกัน ปรากฎว่าคนที่อยู่ในสภาวะที่มี PM2.5 นานๆ เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคภูมิแพ้มากขึ้น

ไรฝุ่นต้นเหตุที่มักถูกลืม

สุดท้ายเรื่องสารก่อภูมิแพ้ในอาการซึ่งอันนี้เราต้องแยกว่า PM2.5 ควันบุหรี่ อันนั้นเป็นการระคายเคืองทำให้อาการภูมิแพ้กำเริบ แต่สารก่อภูมิแพ้ก็คือโปรตีนต่างๆ เล็กๆ น้อยๆ ที่มันอยู่ในสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ เช่น ไรฝุ่น ไม่ใช่ฝุ่นละอองที่เรากวาดบ้านถูบ้านเจอกัน คือสัตว์เล็กๆ ที่กินรังแคเราเป็นอาหารรังของเขาก็คือที่นอนของเราเป็นบ้านหลักเลยอยู่กันทีเป็นล้านตัว

เพราะฉะนั้นเขาก็จะกินอาหารคือผิวเราเองแล้วเขาก็จะอุจจาระออกมาซึ่งตัวอุจจาระเป็นตัวก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้โดยเฉพาะในทางเดินหายใจ แล้วก็ยังมีซากละอองแมลงสาป เหล่านี้เป็นสิ่งที่แยกได้ยากมากหมายความว่าหลีกเลี่ยงยากมาก เพราะไรฝุ่นกับแมลงสาปอยู่กับเรามานานแสนนานเพราะฉะนั้นเราคงไม่สามารถไปกำจัดเขาให้ออกไปจากสภาพแวดล้อมได้

3 ปัจจัยจัยก่อโรคหืด เพราะฉะนั้นหลักๆ สรุปเป็นประเด็น 3 ประเด็น คือ

1.พันธุกรรม

2.สารก่อภูมิแพ้ในอากาศ ที่เพิ่มมากขึ้นมาคือพวก ละอองเกสรดอกไม้ ตั้งแต่น้ำท่วมปี 54 และร่วมกับโลกร้อนจำนวนและสัดส่วนของหญ้าต่างๆ ในประเทศไทยเปลี่ยนเยอะและพวกนี้เป็นตัวกระตุ้นให้ปริมาณสารก่อภูมิแพ้ในอากาศโดยเฉพาะละอองเกสรดอกไม้มีมากขึ้นและมีการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนอย่างชัดเจน

3. มลพิษ

สังเกตุอาการโรคหืด

จริงๆ แล้วที่ถูกเราควรเรียกว่าโรคหืด แต่เวลาที่เด็กมีหืดกำเริบเราจะเรียกว่าอาการหอบ หลักๆ เราจะแบ่งการสังเกตอาการและสาเหตุการกระตุ้นอาการหอบเป็น 2 กลุ่มอายุ คือกลุ่มอายุน้อยกว่า 5 ปีและเกิน 5 ปีขึ้นไป

กลุ่มอายุน้อยกว่า 5 ปีอาการหืดกำเริบของเขาส่วนใหญ่จะสัมพันธ์กับการติดเชื้อทางเดินหายใจก็คือการเป็นหวัด แปลว่าเด็กที่มีอาการหอบเวลาที่เขาเป็นหวัดแต่ละครั้งจะมีอาการหอบกำเริบค่อนข้างง่าย อาจจะไม่ได้รุนแรงมาก สามารถสังเกตอาการได้อย่างไรถ้าอาการไม่รุนแรง

1.เด็กจะมีอาการไอค่อนข้างมาก สมมติมีเด็ก 2 คน คนหนึ่งเป็นหอบ คนหนึ่งไม่เป็นหอบ มานั่งคู่กันคนที่เป็นหอบเขาจะไอเยอะกว่าชัดเจน เวลาไปโรงพยาบาลบางครั้งเขาจะได้ยาขยายหลอดลมมากิน คนที่เป็นโรคหืดแล้วมีอาการหอบกำเริบเขาจะกินยาขยายหลอดลมแล้วอาการไปลดลงแปลว่าอาการไอควรจะตอบสนองกับการขยายหลอดลม

2.ไอนานมากเป็นหวัดส่วนใหญ่ไอ 5-7 วัน หาย เด็กที่เป็นหอบก็จะ 7-10 วัน ไปแล้วก็ยังไม่หายไอ ถ้าไม่เป็นหวัดอาหารที่พอสังเกตได้คือเขาวิ่งเล่นเหนื่อยๆ แล้วมีอาการไอเพราะว่าการออกกำลังเป็นตัวกระตุ้นทำให้อาการหอบกำเริบได้

หรือมีอาการไอตอนกลางคืนเพราะอากาศเย็นอันนี่ก็เป็นสิ่งที่กระตุ้นทำให้อาการไอหรือหอบหืดกำเริบเพิ่มมากขึ้น ตอนกลางวันถ้าไปเจอฝุ่นละอองหรือมลพิษต่างๆ เขาก็จะมีอาการไอ ลักษณะสำคัญเลยคืออาการไอเหล่านี้ถ้าได้รับยาขยายหลอดลมแล้วเขาจะดีขึ้น

ในขณะที่เด็กโตจะเห็นค่อนข้างชัดเจนคือโอกาสการเป็นหวัดจะลดลง เพราะฉะนั้นเขาจะเป็นลักษณะของการแสดงออกที่สัมพันธ์กับกิจกรรมประจำวันมากกว่า เช่น ออกกำลังแล้วมีอาการไอ หรือสัมผัสสารก่อภูมิแพ้อันนี้ค่อนข้างชัดมาก เช่น คุณแม่กวาดบ้านอยู่ลูกไปวิ่งเล่นแถวนั้นก็เกิดอาการไอขึ้นมา

ถ้าอาการรุนแรงมากขึ้นเขาก็จะมีอาการหอบซึ่งอาการหอบเหมือนวิ่งแล้วหอบ คือหายใจแรงขึ้น หายใจไม่ทัน มีอาการบ่นได้ก็จะบอกว่าแน่นหน้าอกอันนี้เป็นลักษณะของเด็กที่มีอาการหืดกำเริบ

หืดกับโรคภูมิแพ้

อาการอื่นๆ ที่อาจจะมีได้ก็อาการของโรคภูมิแพ้ที่มักจะพบร่วมกันกับอาการโรคหืดก็คืออาการภูมิแพ้ทางจมูก ซึ่งประมาณ 85% ของเด็กที่เป็นโรคหืดจะมีภูมิแพ้ทางจมูกร่วมด้วยก็เป็นอาการน้ำมูก จาม คันและคัดแน่นจมูกมีคันตาร่วมด้วย หลายๆ คนก็จะมีอาการนอนกรน อันนี้ก็เป็นอาการของโรคภูมิแพ้จมูกอักเสบซึ่งพบร่วมกันในเด็กที่เป็นโรคหืด

RSV ต่างจากโรคหืด

RSV จะเป็นในเด็กที่อายุน้อยกว่า 2 ปี ซึ่งอาการโรคหืดยังไม่ค่อยแสดงออกเท่าไหร่ ความคล้ายกันของเขาคือเขาจะมีอาการหอบเหมือนกันเวลาที่เราติดเชื้อ RSV เพราะว่า RSV เป็นการติดเชื้อของทางเดินหายใจส่วนล่าง หลอดลมฝอยมีการอักเสบเด็กจะมีหายใจเสียงหวีดเหมือนหอบหืดได้เลย

แต่ RSV พ่นยาขยายหลอดลมแล้วไม่ค่อยตอบสนองคือจะไม่หายหอบเท่าไหร่คือต้องรอให้เขาหายเอง อาการติดเชื้อดีขึ้นเสมหะในปอดลดลง อาการหอบก็จะลดลง ในขณะที่ถ้าเป็น RSV แล้วเด็กมีอาการหอบอยู่ด้วยรวมกันมันจะส่วนหนึ่งที่จะตอบสนองกับยาขยายหลอดลม

เป็นหวัดทั่วไปก็เหมือนกันปกติถ้าเป็นหวัดเป็นการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน เด็กทั่วไปก็จะไม่มีอาการหอบ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เป็นไข้หวัดธรรมดาแล้วมีอาการเหนื่อยหอบ หายใจเร็วแล้วก็ได้ยินว่าหายใจมีเสียงหวีดๆ เกิดขึ้น อันนี้เราก็จะบอกว่าแสดงว่ามีโรคหืดแฝงอยู่ เพราะฉะนั้นการตรวจ จริงๆ แล้วเราก็บอกว่าควรให้แพทย์เป็นคนวินิจฉัย

การทดสอบสมรรถภาพปอดในอายุน้อยกว่า 5 ปี มีข้อจำกัดคือทำไม่ได้เพราะต้องอาศัยความร่วมมือของผู้ป่วยต้องเกิน 5 ปีไปถึงพอจะทำได้ การวินิจฉัยถ้า 5 ปีขึ้นไปแล้วเราสงสัยว่าเป็นหรือไม่เป็นเราก็ส่งตรวจสมรรถภาพปอดไปเลย เป็นจุดยากเลยเป็นยาขมสำหรับหมอเด็กเหมือนกันไม่ใช่พ่อแม่อย่างเดียว หมอเด็กเองก็เด็กคนนี้อายุ 3ปี พ่นยามาแล้ว 3 รอบใช่หรือไม่ใช่โรคหืด

เพราะฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่ที่มีประวัติลูกเป็นแบบนี้เป็นหวัดแต่ละครั้งดูอาการแล้วแบบไอเยอะ ไปโรงพยาบาลก็ต้องมีการพ่นยา

การพ่นยาจะเป็นแบบฝอยละอองแล้วใช้เป็นตัวครอบแทนเป็นกรวยแล้วใช้เป็นยากดพ่น ก็ลองถามคุณหมอหลังจากที่มีการให้ยาขยายลมพ่นว่าลูก หลาน ตอบสนองไหม เสียงหายใจหวีดลดลงไหมหรือหายใจเร็วลดลงไหมหลังจากใช้ยาขยายหลอดลมถ้าเป็นอาการแบบนี้คือตอบสนองกับยาขยายหลอดลมได้ดีและปีหนึ่งเกิน 3 ครั้ง อันนี้มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคหืดสูง

แนวทางการรักษาโรคหืด

ต้องเป็นข้อความที่เราจะสื่อสารกันเป็นหลักไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครองหรือตัวผู้ป่วยที่เป็นผู้ใหญ่เราต้องแก้ความเข้าใจกันใหม่ เพราะเวลาที่คนไข้มาพบแพทย์ส่วนใหญ่เขาบอกว่ายาที่ดีที่สุดในการรักษาโรคหืดคือยาขยายหลอดลมซึ่งจริงๆ ถูกแค่บางส่วน เพราะว่ายาขยายหลอดลมจะใช้เมื่ออาการโรคหืดกำเริบคือมีอาการหอบเป็นเป้าหมายที่ลดความรุนแรงของอาการหอบที่กำเริบ

แต่จริงๆ เป้าหมายหลักของการรักษาโรคหืดคือเราต้องการให้ไม่เกิดอาการหืดกำเริบคนไข้ต้องไม่หอบเลย เพราะฉะนั้นเป้าหมายสำคัญคือควบคุมไม่ให้เกิดอาการหอบเพราะการหอบแต่ละครั้งเวลาที่เกิดอาการแต่ละครั้งมันจะมีการอักเสบในทางเดินหายใจหลอดลมฝอยจะมีการอักเสบเกิดขึ้นถ้ามีการปล่อยไว้ให้การอักเสบเป็นไปเรื่อยๆ มันจะมีการเสียสภาพของหลอดลมในระยะเบื้องต้น

ถ้าหอบยังไม่เป็นมากสภาพหลอดลมที่เสียไปสามารถกลับมาสู่สภาวะที่เป็นปกติได้ด้วยการรักษาของการใช้ยาควบคุมโรคหืด แต่ถ้าไม่ได้ใช้เลยการที่หลอดลมมันเสียสภาพมักจะกลายเป็นเสียถาวร

ยารักษาโรคหืด

เพราะฉะนั้นคิดเอาว่าถ้าเสียสภาพถาวรตั้งแต่เป็นเด็กโตขึ้นไปเขาจะไม่มีทางที่สมรรถภาพปอดเขาจะกลับมาสู่สภาวะปกติหรือเทียบเท่ากับคนอื่นได้ เพราะฉะนั้นต้องย้ำไม่ว่าโรคหืดจะเกิดเมื่อไหร่ก็ตาม ช่วงอายุไหนก็ตาม ยารักษาหลักคือยาควบคุมโรคหืดที่ไม่ทำให้เกิดอาการหอบ ซึ่งตรงนี้ในประเทศไทยหรือทั่วโลกเราจะมียาอยู่ 2 กลุ่ม

1.ยาพ่นชนิดสเตียรอยด์

2.ยากินที่สามารถใช้รักษาควบคุมโรคหืดได้ สองอย่างนี้จะเป็นยาหลักที่ใช้ในการรักษา ซึ่งผู้ป่วยจำเป็นต้องใช้ทุกวันไม่ว่าจะมีอาการหืดหรือไม่มีอาการหืดก็ตาม ถ้าเมื่อไหรก็ตามที่มีอาการกำเริบขึ้นมาเมื่อนั้นเราจึงจะใช้ยาขยายหลอดลมพ่นเพื่อทำให้บรรเทาอาการหืดกำเริบเฉียบพลัน เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วเราต้องรักษาที่สาเหตุหลักก็คือใช้ยาควบคุมโรคหืด

สำหรับยาสเตียรอยด์ จริงๆ แล้วเป็นยาที่ปลอดภัยและสามารถใช้ได้ทุกช่วงอายุแต่ก็จะมีข้อจำกัดบางอย่างเพราะว่าสเตียรอยด์ในเด็กอุปกรณ์ที่ยาจะอยู่เป็นชนิดพ่นจำเป็นจะต้องพ่นผ่านกระบอกต้องอาศัยความร่วมมือกับผู้ป่วยพอสมควรมีอุปกรณ์ต่อเพราะถ้าพ่นใส่ปากโดยตรงยาจะไม่ถึงปอด

ผู้ปกครองหลายๆ คนจะมีความกังวลพูดขึ้นมาว่าเป็นสเตียรอยด์จะทำให้ส่งผลต่อการเจริญเติบโต ใช้ไป 1-2 ปีลูกจะเตี้ยไม่โตหรือเปล่า ติดเชื้อง่าย จริงๆ ต้องบอกว่าในปริมาณของการใช้เพื่อควบคุมโรคหืดจะเป็นขนาดที่ไม่มีผลกระทบข้างเคียงเยอะขนาดนั้น

ยากลุ่มที่ 2 ยาต้านการอักเสบที่ยับยั้งการทำงานของสารลิวโคไทรอีน เป็นยาชนิดกินซึ่งเป็นยาที่สามารถใช้ควบคุมโรคหืดได้เหมือนกันแต่เราก็จะมีการบริหารยาที่ง่ายเพราะจะมีทั้งเป็นแบบผง แบบเม็ด ซึ่งอันนี้ให้เด็กกินทุกวันต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน

ทั้ง 2 ตัวมีประสิทธิภาพในการควบคุมโรคหืดได้ใกล้เคียงกัน แต่ต้องย้ำว่าทั้ง 2 ตัวนี้ไม่ใช่ยาขยายหลอดลมเพราะฉะนั้นพอหลายๆ คนบอกว่าต้องใช้ไปทุกวันถ้าเวลาหืดกำเริบขึ้นมาอย่างไรก็ต้องกลับไปใช้ยาขยายหลอดลม

แต่เป้าหมายหลักของเราถ้าใช้ยาตัวใดตัวหนึ่งไม่ว่าจะเป็นสเตียรอยด์พ่น หรือยากินควบคุมโรคหืดแล้วเราหวังว่าผู้ป่วยจะไม่มีอาการหืดกำเริบและก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ยาขยายหลอดลมสูตรพ่นเลยอันนี้คือเป้าหมายหลักจริงๆ

โรคหืดรักษาและกินยาอย่างต่อเนื่อง

จริงๆ เรามีการให้ความรู้กับแพทย์ อัพเดทความรู้เราก็จะบอกเขาไปในกลุ่มของแพทย์ผู้ดูแลโดยเฉพาะหมอเด็กเพราะเรามีการอัพเดทแนวทางการรักษาอยู่เป็นประจำแล้วก็อยากยืนยันว่ายามีความปลอดภัยในการใช้ระยะยาว

ปัญหาสำคัญเลยคือผู้ปกครองมักจะหยุดยาก่อนถึงเวลาอันควร แต่จริงๆ รอยโรคในหลอดลมฝอยที่เวลาเราเกิดโรคหืดขึ้นมาแล้วมันอาจจะเป็นแผลที่ใหญ่พอสมควร ยิ่งเป็นมานานเป็นรุนแรงก็จะเป็นแผลที่ใหญ่

เพราะฉะนั้นการที่เราจะสมานแผลตรงนี้ให้มันกลับมาปกติได้และความไวของหลอดลมมันลดลงไปได้มันต้องใช้เวลายาวนานพอสมควรอย่างน้อยเป็นปี เพราะฉะนั้นกินยาหรือพ่นยาไปประมาณ 1-2 เดือนอาการสงบดีอย่าเพิ่งหยุด ควรจะมีการประเมินก่อนซึ่งคุณหมอก็เป็นคนประเมิน ซึ่งก็จะมีหลักการหลายๆ ข้อ อยากให้ไปพบแพทย์อย่าหยุดยาเองโดยเฉียบพลันโดยตัวเองลูกอาการสงบดีแล้วก็หยุดยาจริงๆ ถึงจะอาการสงบแต่ภายในอาจจะไม่สงบก็ได้ เป็นคลื่นใต้น้ำมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

ผลกระทบหากหยุดใช้ยา

มีผลโดยตรงกับพยาธิสภาพในปอดก็คือหลอดลมจะมีการเสียอาจจะถาวรได้ถ้ารักษาช้าหรือรักษาไม่ถูกต้องอันนี้หลอดลมเสียสภาพถาวรได้ซึ่งมันจะไปส่งผลกระทบทางอ้อมกับสุขภาพทางกายและทางใจของเด็ก

เพราะว่าเวลาที่เขามีภาวะหลอดลมไวเด็กเขาจะถูกกระตุ้นได้ง่ายถ้าเจออากาศเย็น เจอไรฝุ่นเล็กน้อยจะมีอาการไอแล้วสำคัญเลยโรคหืดมักจะไอตอนกลางคืนเด็กมักจะตื่นมาไอตอนตีสองตีสามซึ่งเป็นเวลาทองของการหลั่ง Growth Hormones เด็กจะโตได้จริงๆ แล้วเวลาทองของการนอนคือ 4ทุ่ม ถึงตีสอง แต่โรคหืดเวลากำเริบตอนกลางคืนแล้วเด็กไอตื่นขึ้นมา Growth Hormones มันจะหายไป

มีการศึกษาออกมาชัดเจนแล้วว่าเด็กที่เป็นโรคหืดแล้วรักษาด้วยสเตียรอยด์โตเร็วกว่าเด็กที่เป็นโรคหืดแล้วไม่ได้รับการรักษา 1 ปีประมาณ 1เซนติเมตรถือว่าเยอะอันนี้คือผลกระทบแน่ๆ ต่อการเจริญเติบโตแล้วถ้าตอนกลางคืนหลับไม่สนิทผลที่ตามมาคือตื่นเช้ามางอแง ปลุกไม่ตื่น ไม่อยากไปโรงเรียนทำให้ประสิทธิภาพในการเรียนลดลง ไม่ตั้งใจเรียน ทำข้อสอบไม่ได้อันนี้เราพบว่าอาจจะมีความสัมพันธ์กับสมาธิสั้นด้วย

อันนี้สำคัญอย่างที่บอกไปแล้วว่าโรคหืดกำเริบได้ด้วยการออกกำลังกาย เพราะฉะนั้นเวลาที่เด็กไปโรงเรียนสิ่งที่เขาอยากทำคือวิ่งเล่นกับเพื่อ เด็กที่เป็นโรคหืดเขาจะหยุดตัวเองโดยอัตโนมัติเพราะเขาจะรู้ว่าเขาวิ่งได้เท่านี้ เขาจะไม่วิ่งต่อหยุดเล่นเพื่อนก็วิ่งไปได้ไกลทั้งสนามแล้วแต่ลูกเราวิ่งไปได้ 50 เมตรก็หยุดวิ่งเขาก็จะรู้สึกเหมือนเป็นปมด้อยแล้วเขาก็จะไม่เข้าสังคมในเด็กเพื่อนๆ เขาได้ก็เป็นผลกระทบต่อทั้งจิตใจและร่างกายของเด็กพัฒนาการของเด็กด้วย

ภูมิแพ้ต้นตอโรคหืด

ในส่วนที่ต้องทำในเด็กเล็กหรือในเด็กที่น้อยกว่า 12 ปี เกือบ 100% จะเป็นกลุ่มที่เป็นภูมิแพ้แล้วตรวจพบว่ามีการไวต่อสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ เช่น ไรฝุ่น แมลงสาป สุนัข แมว หญ้าต่างๆ หรือเชื้อราอย่างใดอย่างหนึ่ง

ซึ่งถ้าเป็นไปได้อยากให้ไปตรวจกับกุมารแพทย์โดยเฉพาะกุมารแพทย์เชี่ยวชาญภูมิแพ้เพื่อประเมินทดสอบการแพ้ทางผิวหนังหรือตรวจเลือดดูว่าแพ้อะไร ระหว่างนี้ถ้าทราบแล้วก็อยากให้พยายามควบคุมสภาพแวดล้อมในบ้าน อย่างเช่น ถ้าแพ้ไรฝุ่นก็ต้องมีการลดปริมาณไรฝุ่นภายในบ้านให้ได้มากที่สุดซึ่งเป็นศัตรูตัวร้ายกาจ

เพราะประมาณ 70-80% ของผู่ป่วยเด็กที่เป็นภูมิแพ้จะแพ้สารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่นซึ่งเป็นศัตรูตัวจิ๋วที่อยู่ในบ้านเราแล้วก็สะสมอยู่บนที่นอนออกลูกออกหลานเก่งมากเป็นแมลงตัวเล็กที่มีเป็นร้อยเป็นพันเป็นล้านตัวในที่นอนเรา

ฉะนั้นการกำจัดต้องใช้ความร้อนในการกำจัดต้องซักผ้าปูที่นอนด้วยน้ำร้อน 60 องศาขึ้นไป หมายถึงเอาผ้าไปอบเพื่อกำจัดรังของเขา หรือเป็นที่นอนที่สามารถกันไรฝุ่นได้หรือเป็นผ้าคลุมพิเศษที่หุ้มที่นอนที่ไรฝุ่นไม่สามารถเข้าไปอยู่อาศัยได้

อีกสิ่งที่เป็นที่สะสมไรฝุ่นก็คือตุ๊กตาต้องเอาไปซักทำความสะอาดถ้าเอาออกได้จะดีสุดถ้าต้องเก็บไว้จริงๆ เป็นน้องเน่าขออนุญาตน้องเอาไปล้างไปซักไปทำความสะอาดเพื่อให้ปริมาณของสารก่อภูมิแพ้ของไรฝุ่นลดลง ส่วนมากเทคนิคที่จะบอกพ่อแม่คือให้เขาเลือกไว้ตัวหนึ่งแล้วก็จัดห้องให้โล่งไม่มีฝุ่นเกาะ

เลี่ยงฝุ่นPM2.5 และควันจากการเผา

ฝุ่นและควันจากการเผาทำให้เกิดโรคหืด และโรคทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้ทางผิวหนังที่อาการจะกำเริบ มีอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ทำการศึกษาแล้วว่าระหว่างที่มี PM2.5 หนักๆ ที่เชียงใหม่มีอัตราการเกิดโรคเส้นเลือดสมองแตกเพิ่มมากขึ้นเพราะตัว PM2.5 เองมันสามารถทำให้เกิดการอักเสบที่เส้นเลือดของร่างกายได้เพราะฉะนั้นเส้นเลือดสมองเป็นจุดเป้าหมายเลยที่ทำให้เกิดอาการผิดปกติ

เพราะฉะนั้นไม่ใช่โรคหืดอย่างเดียวแต่กลับมาที่เด็ก PM2.5 ก็มีส่วนจริงที่ทำให้ตัวอาการโรคหืดเป็นเยอะขึ้นควบคุมได้ยากขึ้น ที่การกำจัดเราจะบอกไม่ให้ลูกออกไปนอกบ้านหรือไม่ให้ PM2.5 เข้าบ้านก็คงทำไม่ได้ช่วงนี้เป็นช่วงที่ดีเพราะว่าเด็กใส่แมสเราก็จะมีโอกาสสัมผัสฝุ่น PM น้อยลง

ต้องช่วยกันรณรงค์ในเรื่องของฝุ่น PM2.5 การเผาไหม้ทั้งหลายแล้วก็มลพิษจากการเผาไหม้รถยนต์ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ PM2.5 เยอะขึ้นถ้าบ้านไหนที่ Sensitive จริงๆ ก็อาจจะจำเป็นต้องมีเครื่องฟอกอากาศภายในบ้านแล้วก็แนะนำว่าถ้าจะเป็นห้องนอนช่วงที่มี PM2.5 เยอะๆ อาจจะต้องปิดหน้าต่างตอนกลางวันแล้วก็รอยรูรั่วต่างๆ ก็พยายามปิดไม่ให้ลมมันระบายเข้ามาและฟอกอากาศอย่างน้อยประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนเข้าห้องนอนก็สามารถช่วยได้อย่างชัดเจนพอสมควร

แนวทางการรักษาของโรคหืดและการใช้ยา

โรคหืดเป็นโรคที่เจอได้พอสมควรประมาณ 10% ในประเทศไทยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ไม่ใช่สิ้นหวังโรคหืดสามารถรักษาได้ควบคุมได้เพียงแต่การใช้ยาต้องทำความเข้าใจว่าโรคสามารถหายได้ควบคุมได้แต่ต้องใช้ยาอย่างสม่ำเสมอและใช้ยาถูกประเภท ยาควบคุมอาการโรคหืดไม่ว่าจะเป็นยาสเตรียรอยด์สูตรพ่นหรือว่ายากินที่เป็นยาต้าน

ในการรักษาโรคหืดระยะยาวและมีความปลอดภัยขอให้ผู้ปกครองและผู้ป่วยเองมีความมั่นใจในความปลอดภัยของตัวยา แต่อย่างไรก็ตามอย่าใช้ยาเอง อย่าหยุดยาเองควรมีการนัดติดตามจากแพทย์ผู้สั่งยา เพื่อปรับยาได้สม่ำเสมอและประเมินอาการว่ารักษาเพิ่มเติมอย่างไรนอกจากยา

ขณะเดียวกันก็จะได้ทราบวิธีการปฎิบัติตัวเวลาหืดกำเริบการใช้ยาขยายหลอดลมควรทำอย่างไร มีการตรวจประเมินเรื่องของภูมิแพ้ดูว่าต้องมีการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมในบ้านหรือว่าสภาพแวดล้อมทั่วไปรอบตัวของทั้งตัวเด็กเองและตัวผู้ใหญ่อย่างไร ฉะนั้นพบแพทย์สามารถดูแลได้รักษาได้ ในระยะยาวโรคหืดอาจจะไม่ได้หายขาดหายสนิทไปจากชีวิตเมื่อเป็นแล้ว แต่ควบคุมไม่ให้เกิดอาการเราก็จะสามารถมีชีวิตและการเจริญเติบโตของเด็กที่ปกติได้ไม่ต่างจากคนทั่วไป

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

 

Беслпатно сыграйте на daddy casino уже сегодня!

รักลูก The Expert Talk Ep.44 : WHO Indoor Generation รู้จัก “รุ่นในร่ม” เขาคือใคร

รักลูก The Expert Talk Ep.44 : WHO Indoor Generation รู้จัก “รุ่นในร่ม” เขาคือใคร

Indoor Generation รุ่นในร่ม เขาคือใคร ใช้ชีวิตแบบไหนถึงเรียกรุ่นในร่ม เป็นแล้วส่งผลกระทบอะไรกับชีวิตบ้าง

มาทำความรู้จักรุ่นในร่ม โดย The Expert อาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ อาจารย์ประจำสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล

Indoor generation

อินดอร์มาจาก VLUX Companyที่ทำ research วิถีชีวิตคนอเมริกาพบว่า 90% ของเวลาในชีวิตต่อวัน ต่อปี ต่อเดือน อยู่ในบ้าน ร่ม อาคาร ยิม ในห้าง ในหลังคา ไม่เจอแดด

ส่งผลกระทบต่อ สุขภาพร่างกาย ไม่เจอแสงแดด ทำให้คุณภาพการนอนผิดเพี้ยน แต่ถ้าเป็นชนบทที่ไม่มีซีรีส์ จะนอนประมาณทุ่มสองทุ่ม นี่คือจังหวะตามนาฬิกาชีวิต แต่พอมีแสงไฟ มีข่าว มีงาน มีซีรีส์ ออกกำลังกาย ทำให้ชีวิตเราใช้เวลากลางวันมากขึ้น พระอาทิตย์ตกแต่เรายังนั่งทำงาน ส่งผลต่อการปรับสมดุลในร่างกาย ทำให้รุ่นนี้เป็นเด็กๆ ที่เป็นอินดอร์ ระบบฮอร์โมน และภูมิคุ้มกัน แย่กว่า 5เท่าของเด็กที่อยู่กลางแจ้งและมีโอกาสที่เจ็บป่วยมากกว่า ในบ้านมีเครื่องฟอก มีสัญญาwif

ส่งผลทำให้เด็กมีอายุสั้นกว่าพ่อแม่ด้วยโรคอ้วน หลอดเลือด ความดัน ความเครียด ภาวะซึมเศร้า เป็นปัญหาสำคัญที่จะทำให้เราตระหนัก และไม่ใช่แค่เกิดขึ้นกับเด็ก แต่เกิดขึ้นกับเจนเนอเรชั่นนี้ ถ้าร่างกายรักษาสมดุลไม่ดี วิถีชีวิตจะเปลี่ยน แล้วลักษณะทางยีน ทางพันธุกรรม โครโมโซมจะส่งต่อไปอีกรุ่น ถ้าเด็กเจนนี้ร่างกายไม่แข็งแรง ความสมดุล พัฒนาการไม่สมบูรณ์จะถ่ายทอดผ่านยีน มีโอกาสมากที่เจนถัดไปคุณภาพมนุษย์ไม่แข็งแรง

ทำไมเรากลายเป็นยุคIndoor Generation

1.การเข้าถึงธรรมชาติมีต้นทุนสูง การไปที่เที่ยวตามธรรมชาติมีราคาแพง เมื่อเทียบกับความบันเทิงทางดิจิตอลถูกกว่า พ่อแม่มีความกลัวและลำบากในการพาไปด้วย

2.เทคโนโลยีน่าหลงไหล เย้ายวน ทำให้รู้สึกว่าอยู่ด้วยแล้วตอบสนองความพึงพอใจได้

3.พ่อแม่รู้สึกปลอดภัยการอยู่กับของเล่นในบ้าน ของเล่นดิจิตอล บ้านทำให้เรารู้สึกว่าควบคุมธรรมชาติได้ ฟ้าฝน อากาศ กลิ่น และอยากอยู่คอมฟอร์ทโซน

ของเล่นพลาสติกทำให้เด็ก Stay in touch Stay indoor อยู่นิ่งๆ ในบ้าน ในร่ม ทำให้เด็กไม่อยากออกในปีนต้นไม้ ทำให้เด็กใช้เวลาในร่มมากขึ้น พ่อแม่ก็รู้สึกปลอดภัย

พ่อแม่หวาดกลัว กลัวที่จะคุมธรรมชาติไม่ได้ สกปรก เชื้อโรค ทำให้เราใช้ชีวิตแบบเจนในร่มมากขึ้น ความหวาดกลัวที่เราไม่รู้ ทำให้ใช้ชีวิตแบบเจนในร่ม และส่งผลกับพัฒนาการด้านการเรียนรู้ วิถีชีวิต สุขภาพอนามัย และระยะยาวส่งผลต่อระดับพันธุกรรม และที่สำคัญส่งผลต่อความสัมพันธ์ทางสังคม เพราะเราไม่ออกไปเจอผู้คน ไม่ออกไปสัมผัสธรรมชาติ แต่เราจะเจอกันผ่านแชท ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ผ่านโซเชียลมีเดีย เราอยู่ในโลก metaverse กับ ai ซึ่งไม่ใช่ความสัมพันธ์จริงๆ ต่อไปเราจะเป็น โรคความสัมพันธ์ทางเดียวกับดิจิตอล คือเราลดความสัมพันธ์กับมุนษย์ลง ทำให้เด็กเจนนี้คนรุ่นนี้ขาด empathy เป็นผลกระทบต่อไป

สื่อตัวเร่งเข้าสู่อินดอร์เจน

เวลาที่ลูกใช้สื่อดิจิตอล พ่อแม่จะรู้สึกว่าลูกมีสมาธิ นั่งดูการ์ตูน เล่นเกม ดูสื่อออนไลน์ ซึ่งส่งผลต่อการเรียนรู้ที่บกพร่องล่าช้าไปเรื่อยๆ เพราะการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยคือการเรียนรู้ จากของจริง โต้ตอบ เห็นสีหน้าท่าทาง

พ่อแม่คิดว่าการเล่นดิจิตอลคือการ Play ใช้เวลาเพื่อการเล่น จริงๆ แล้วดิจิตอลไม่ใช่การเล่นเป็นชม.ผ่อนคลายไม่ใช่เพื่อการเล่น การเล่นที่แท้จริงคือการมีปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมต่างๆ เด็กต้องการความไว้เนื้อเชื่อใจที่จะรับมือได้ เด็กจะเล่นของใช้ในบ้าน เด็กชอบเล่น loose part เพราะว่าเป็นวิธีการรับมือและเข้าใจโลกที่จะเขาจะได้ใช้ชีวิตจริงๆ

มนุษย์เป็นสัตว์ที่นำแรงโน้มถ่วงมาเล่นเป็นของเล่นได้ ซึ่งเป็นวิธีที่เราเอาชนะและควบคุมธรรมชาติได้ การเล่นดิจิตอล ไม่ใช่การเล่นเลย เป็นสื่อที่เอาพลังงานจากเราไป ยิ่งเล่นยิ่งสมองเหนื่อยล้า ปวดตา มีความเครียด ยิ่งใช้มากยิ่งหมดพลังงาน แต่การออกไปเล่นกับธรรมชาติช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อ ฮอร์โมน เป็นการออกแบบตามธรรมชาติตามที่เด็กๆ ได้ขยับเขยื่อนร่างกาย เพื่อให้เหงื่อออก ให้กำลังแขนได้ออกกำลัง ให้กล้ามเนื้อ ข้อต่อแข็งแรง

การเล่นในเกมดิจิตอล คือสารสื่อสมองโดปามีนหลั่งทำให้รู้สึกมีความสุข แต่การเล่นตามธรรมชาติ ฮอร์โมนเอนดอร์ฟีนหลั่งออกมาทำให้ร่างกายผ่อนคลาย บรรเทาความเครียดหายไป การหลั่งฮอร์โมนเอนดอร์ฟีนจากการออกกำลังกาย ทำให้ร่างกายฟื้นฟู

เล่นดิจิตอล 1 ชม.กับเล่นกลางแจ้ง 1ชม. ทำให้เด็กกินข้าวได้ อารมณ์แจ่มใส เรียนรู้เรื่อง หลับเร็ว แต่เล่นดิจิตอลทำให้นอนไม่หลับ เพราะเครียด ภาพติดตา เพราะเราเป็นผู้ถูกใช้ แต่ถ้าเล่นตามธรรมชาติเราเป็นผู้ใช้ให้กลับมาเยียวยาเรา

1ชม.พ่อแม่ต้องให้ได้ออกไปเล่น free play ไม่มีความเครียด ไม่มีการกดดัน ไม่มียอดLike ยอดview ไม่เคยบอกว่าต้องมาดูมาไลค์สิ ธรรมชาติไม่เรียกร้องไม่ตัดสิน

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

 

รักลูก The Expert Talk Ep.45 : Indoor Generation The Effect “รุ่นในร่ม ปัญหาใหม่ท้าทายพัฒนาการ”

 

รักลูก The Expert Talk Ep.45 : Indoor Generation The Effect "รุ่นในร่ม" ปัญหาใหม่ท้าทายพัฒนาการ

 

เรื่องใหม่ เรื่องใหญ่ ท้าทายพัฒนาการ ผลลัพธ์ของการอยู่ในร่ม น่ากลัวและต้องกังวลมากกว่าที่เราคิด

กระทบพัฒนาการและการเรียนรู้ด้านใดบ้าง ชวนฟังก่อนกระทบพัฒนาการไปมากกว่าที่เป็น

โดย The Expert อาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ

อาจารย์ประจำสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล

"บกพร่องการเรียนรู้ เรื่องใหญ่!! ของรุ่นIndoor Generation”

1.กระทบกับสุขภาพร่างกายของเด็ก

การอยู่ในอาคารตลอดเวลา อยู่ในแสงไฟประดิษฐ์ ฮอร์โมนไม่ได้ปรับตามปกติ เคยมีการทดลองการฟื้นฟูร่างกายของผู้ป่วย กลุ่มแรกอยู่ในห้องที่ไม่มีอะไร ห้องที่สองมีจอทีวีที่ฉายภาพธรรมชาติ ห้องที่สาม ไม่มีจอแต่มีหน้าต่างบานใหญ่ที่เห็นธรรมชาติ

เพราะการมองเห็นธรรมชาติไม่ใช่แค่ดู แต่ต้องได้กลิ่น ได้รับอุณหภูมิผ่านประสาทสัมผัสทั้ง5 มีผลต่อการฟื้นฟูผู้ป่วย เพราะเราออกแบบบ้านให้ได้เจอกับสภาพแวดล้อมบ้าง

2.การเรียนรู้

ในดิจิตอลกับการเรียนรู้ตามธรรมชาติ เป็นการเรียนรู้แบบองค์รวม เพราะเขาสามารถมองเห็นความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆได้ ทำไมเด็กที่เรียนรู้ตามธรรมชาติถึงเรียนรู้ได้ดีกว่า เพราะว่ามองเห็นถึงความสัมพันธ์กันทั้งหมด แต่การเรียนรู้ผ่านดิจิตอล ผ่านสื่อ ผ่านใบงาน วิดีโอ เหล่านี้ก็เรียนรู้เข้าถึง เข้าใจได้แต่ไม่เข้าใจถึงความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ และเด็กขาดการเชื่อมโยง บูรณาการ

เพราะฉะนั้นเราก็มักจะบอกว่าเด็กที่เรียนแบบ outdoor จะเรียนรู้ได้รวดเร็ว เชื่อมโยง ปฏิภาณไหวพริบดี แตกต่างจากเด็กที่ใช้สื่อดิจิตอล “ LD Learning Disability ผลกระทบถ้าเป็นเด็กIndoor”

3.LD Learning Disability

เกิดจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่หรือสภาพแวดล้อมรอบตัว เด็กมีโอกาสที่จะเป็นได้ เพราะการเรียนจากสื่อดิจิตอลไม่ได้เรียนแบบองค์รวม ตัดมาเฉพาะคลิป ในเกม ออกแบบมาให้โดยไม่ต้องคิดเชื่อมโยง การเรียนรู้ในธรรมชาติเด็กต้องหาแสวงหาความเป็นไปได้ และเชื่อมโยงทางมิติสัมพัทธ์เอง

ต้นไม้ไม่บอกว่าโจทย์คืออะไร ก้อนหินไม่บอกว่าต้องตอบว่าอะไร เด็กต้องหาคำถามและคำตอบด้วยตัวเอง และความเชื่อมโยงสัมพันธ์เองทั้งหมด แต่เด็กที่อยู่ในห้องเรียน มีโจทย์ มีช้อยส์ มีวิธีการ มีเวลาที่บอกว่าต้องทำภายในระยะเวลาเท่าไหร่ ซึ่งออกแบบมาให้แล้ว เรียนในเชิงวิชาการอาจจะเก่ง แต่ทักษะการใช้ชีวิตจะลำบาก เพราะว่าในธรรมชาติกระตุ้นให้เด็กเรียนรู้ได้เร็ว มีการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี

เราถึงบอกว่าโอกาสมากหากขาดธรรมชาติ ใช้ชีวิตในร่มและใช้สื่อดิจิตอลมากเกินไป อาจจะเกิดผลกระทบสูงสุดคือเป็น LD และออทิสติกเทียม เกิดจากการเลี้ยงดู สภาพแวดล้อม และการใช้สื่อดิจิตอล

“Indoor Generation หลุมพรางที่พ่อแม่สร้างให้ลูก”

จริงๆ อินดอร์เจนเป็นทั้งหลุมพรางและเป็นทั้งสิ่งที่เราสร้างมาเพื่อตอบสนองเรา อินดอร์ทำให้เราใช้สื่อมากขึ้น เวลาที่เราเห็นข่าวมีทั้งเรื่องที่ดี และแย่มากๆ ยิ่งไปดูข่าวดราม่า เวลาเด็กที่เสพสื่อที่มีความรุนแรง ความน่ากลัว การใช้กำลัง การทำร้าย

ทำให้เกิดอีกโรคคือ Mean World Sysdrome เด็กเห็นข่าว เห็นสื่อต่างๆ ว่ามีแต่ความน่ากลัว ทำให้เด็กหวาดระแวง ไม่กล้าออกไปใช้ชีวิตในโลกความเป็นจริง โลกข้างนอกน่ากลัว ยิ่งใช้สื่อมากก็ยิ่งหวาดกลัวมาก ทำให้เด็กจะเกิดอุบัติเหตุ อันตราย ความรุนแรงที่ไม่ปลอดภัย ที่เกิดขึ้นในสื่อจะเกิดขึ้นกับตัวเอง

จึงทำให้เรายิ่งอยู่ในร่มมากไปอีกเพราะเราใช้สื่อมากเกินไป ความหวาดกลัวนี้แหล่ะทำให้เรามีความเข้าใจผิดกับโลกข้างนอกมากขึ้น เกิดเป็นภาวะซึมเศร้า หวาดกลัว ไม่ปฏิสัมพันธ์กับผู้คน และอย่าลืมว่าเด็กปฐมวัยคือการเรียนรู้ผ่านการมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น

Apple Podcast:https://apple.co/3m15ytB

Spotify:https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube:https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

 

รักลูก The Expert Talk Ep.49 : ความบกพร่องทางการได้ยิน ปัญหาใหญ่ขัดขวางพัฒนาการสติปัญญา

 

รักลูก The Expert Talk Ep.49 : ความบกพร่องทางการได้ยิน ปัญหาใหญ่ขัดขวางพัฒนาการสติปัญญา

เด็กแรกเกิดทุก 1,000 คน พบว่ามี 1 คนที่มีปัญหาการได้ยิน ส่งผลให้ไม่สามารถพูดได้ และหากไม่ได้รับการรักษา อาจจะทำให้เป็นเด็กพิการ

สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มองเห็นความสำคัญของพัฒนาการได้ยินของเด็ก ว่าเป็นส่วนสำคัญที่นำไปสู่พัฒนาการที่ดี จึงจัดสิทธิประโยชน์คัดกรองและรักษาเพื่อคุ้มครองเด็กแรกเกิดที่มีภาวะบกพร่องการได้ยิน สำหรับเด็กไทยทุกคน เพื่อช่วยดูแลให้เด็กไทยมีพัฒนาการที่ดี

EP 49 : ฟังสาเหตุ ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เด็กมีความบกพร่องทางการได้ยิน โดย The Exeprt นพ. ดาวิน เยาวพลกุล นายแพทย์เชี่ยวชาญ ศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง โสต ศอ นาสิก โรงพยาบาลราชวิถี

ปัจจัยสาเหตุที่ทำให้เด็กมีปัญหาการได้ยิน

สาเหตุที่พบได้บ่อย ที่พบได้ตั้งแต่แรกเกิด อาจจะเป็นตั้งแต่แรก หรือพบได้หลังจากนั้น อาจจะมาจากพันธุกรรม จากพ่อแม่ ปู่ย่า ที่มีปัญหาการได้ยิน ปัญหาจากการตั้งครรภ์ อาจจะได้รับการติดเชื้อไวรัสบางอย่าง เช่น ไวรัสหัดเยอรมัน การคลอดก่อนกำหนด ขาดออกซิเจนขณะคลอด มีหลายสาเหตุด้วยกัน ปัญหาการได้ยินอาจจะเกิดขึ้นตอน 2-3 ขวบ เนื่องจากปัญหาการได้ยินสังเกตได้ยาก มองเห็นไม่ได้ด้วยตา พ่อแม่ต้องสังเกตและต้องดูแลเป็นพิเศษ

โรคหรืออาการที่ทำให้เด็กไม่ได้ยิน

การเป็นภายหลังเกิดขึ้นคือหากไม่ได้มีปัจจัยตั้งแต่เกิด ก็มีโอกาสได้การได้รับยาบางอย่าง การติดเชื้อรุนแรง เช่น สมองอักเสบ

พฤติกรรม ยา ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ไม่ได้ยิน สิ่งที่ทำให้หูเสื่อมได้คือ การอยู่ในที่เสียงดังมากๆ ทำให้ประสาทหูเสื่อมโรคติดเชื้อบางอย่าง เช่น ไข้สมองอักเสบ ที่พบบ่อยในเด็ก ยามีหลายชนิด ส่วนใหญ่จะเป็นยาที่ได้จากการรักษาทางการแพทย์ ก็จะทำให้มีปัญหาเรื่องนี้ได้ ซึ่งถ้าได้รับยากลุ่มนี้ก็จะได้รับการตรวจเช็กอยู่แล้ว

ระดับของเสียงที่ทำให้เกิดปัญหาการได้ยิน

ระดับของเสียงที่ดังกระทบกับการได้ยินผู้ใหญ่ด้วย เสียงที่ดังมากยิ่งมีผลมาก ถ้าดังมากๆ เวลาที่เราอยู่ในช่วงที่มีเสียงดัง แค่ไม่นานก็ทำให้ประสาทหูเสื่อมได้ เช่น ไปคอนเสริต์ออกมาหูอื้อ เป็นสัญญาณเตือนว่าเสียงดังเกินไป บางทีอาจจะฟื้นตัวขึ้นมาได้ และบางทีก็อาจจะไม่ฟิ้นตัว แต่เสียงจากโรงงานอุตสาหกรรมถ้าอยู่เป็นเวลานานๆ หลายชม.ก็ทำให้มีปัญหาการได้ยิน

ระดับเสียงที่อันตราย ระดับเสียง90 เดซิเบล ทำให้ประสาทหูเสื่อม ถ้าอยู่นานระยะเวลาประมาณ 4 ชม. เสียงประทัดดังกว่า 90เดซิเบลอยู่แล้ว เกินกว่า 100-120 เสียงระเบิด เสียงยิงปืน แค่ปังเดียวก็ทำให้ประสาทหูเสื่อมได้เลย แต่ถ้าเสียงเบาๆ อาจจะใช้เวลานานที่ทำให้เกิดปัญหา

อาการประสาทหูเสื่อม

โดยทั่วไปจะค่อยๆ แย่ลง เคยได้ยินและไม่ค่อยได้ยิน ได้ยินไม่ชัด แย่ลงเรื่อยๆ อย่างผู้ใหญ่ก็จะมีอาการเสื่อม ซึ่งประสาทหูก็เป็นอวัยวะหนึ่งที่เสื่อมตามวัยได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นพออายุมากก็มีปัญหาเรื่องหูตึง อาการเป็นมากน้อยขึ้นแต่ละคน

 การดูแลระหว่างตั้งครรภ์เพื่อป้องกันการได้ยิน 

การดูแลการตั้งครรภ์ให้เป็นปกติ พบคุณหมอเป็นระยะ เพื่อให้การตั้งครรภ์และการคลอดเป็นไปอย่างปกติที่สุด การตรวจเช็กการได้ยินทำได้ตั้งแต่แรกเกิด พอคลอดก็จะมีอุปกรณ์ เครื่องมือคล้ายๆ หูฟังที่กดปุ่มดูว่าเด็กมีปัญหาหรือเปล่า พอจะบอกได้ว่าตรวจแล้วผ่านและตรวจแล้วไม่ผ่าน 

ในรายที่ไม่ผ่านจะมีมาตรการตรววจซ้ำ เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยเพิ่มเติม ซึ่งอาจจะใช้เครื่องมืออื่นๆ เพิ่ม ซึ่งโดยทั่วไปไม่มีการตรวจรู้ได้ตั้งแต่ตอนท้อง เราไม่สามารถตรวจได้ตั้งแต่ท้อง แต่ในรายที่เราพบว่าอาจจะมีความเสี่ยงของกลุ่มโรค อาการหรือมีประวัติพันธุกรรม เด็กกลุ่มนี้จะได้รับการคัดกรองตั้งแต่เกิด และติดตามเป็นระยะ คลอดก่อนกำหนดด้วยเช่น ที่ต้องมีการตรวจคัดกรอง

สถิติของเด็กที่คลอดมาแล้วมีปัญหาการได้ยินทั่วโลกทุกๆ 1,000 คนจะมีปัญหาการได้ยิน อาจจะเป็นมากน้อย หรือรุนแรงถึงหูหนวกแตกต่างกันไป เด็กที่มีปัญหาเรื่องหูหนวกก็มีจะมีปัญหาเรื่องพัฒนาการพูดตามมา 

 

Apple Podcast:https://apple.co/3m15ytB

Spotify:https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube:https://bit.ly/3cxn31u

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

 
 

loading

รักลูก The Expert Talk Ep.50 : บกพร่องทางการได้ยิน รู้ก่อน รักษาได้ก่อนไม่กระทบพัฒนาการ

 

รักลูก The Expert Talk Ep.50 : บกพร่องทางการได้ยิน รู้ก่อน รักษาได้ก่อนไม่กระทบพัฒนาการ

 

เพราะการได้ยินเกี่ยวข้องกับพัฒนาการ และสติปัญญาของเด็ก สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จึงจัดสิทธิประโยชน์คุ้มครองเด็กแรกเกิดที่มีภาวะบกพร่องทางการได้ยิน สำหรับเด็กไทยทุกคน

ใครมีสิทธิได้รับประโยชน์? ครอบคลุม คุ้มครองตั้งแต่อายุเท่าไหร่? มีสิทธิประโยชน์อะไรบ้าง?

ฟังสิทธิประโยชน์จากสปสช. โดย พญ. กฤติยา ศรีประเสริฐ ผู้เชี่ยวชาญสายงานบริหารกองทุน สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และฟังวิธีการสังเกต การรักษาเด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน โดย The Exeprt นพ. ดาวิน เยาวพลกุล นายแพทย์เชี่ยวชาญ ศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง โสต ศอ นาสิก โรงพยาบาลราชวิถี

สังเกต! ลูกมีปัญหาการได้ยิน

การได้ยินสังเกตยากไม่เหมือนกับแขนขา สำหรับการสังเกตในเด็กแรกเกิด ใช้วิธีดูว่าเด็กตอบสนองต่อเสียงดีหรือเปล่า สะดุ้งตกใจ เวลาเปิด ปิดประตู เสียงเรียก เสียงฟ้าร้อง สำหรับเด็ก 6เดือน เรียกแล้วหันตามเสียง ส่งเสียงอ้อแอ้ไม่เป็นคำ อายุมากกว่า 1ปี เริ่มพูดภาษา 1พยางค์ 2ขวบก็สองพยางค์สั้นๆ

หากสังเกตว่าไม่เป็นไปตามวัย หรือสงสัย ไม่ควรรอให้ถึง 2-3ขวบ แต่ถ้า 1ขวบหรือ 1ขวบครึ่งยังไม่ส่งเสียง ที่มีความหมาย ก็ไปหาหมอผู้เชี่ยวชาญได้เพื่อเช็กอย่างน้อยเป็นเรื่องการได้ยิน

รู้เร็ว รักษาได้เร็ว ลดปัญหาพัฒนาการ

ปัจจุบันเรามีวิธีการตรวจเช็กการได้ยินตั้งแต่แรกเกิดภายใน 48 ชม. มีเครื่องมือที่ใส่ไปในหูแล้วกดปุ่มดูว่าเด็กได้ยินหรือไม่ โดยเครื่องจะบอกว่าผ่านหรือไม่ผ่าน ซึ่งปัจจุบันผลักดันให้ทำกับเด็กทุกคนที่คลอดออกมา แต่เมื่อก่อนก็ไม่ได้ทำทุกราย ซึ่งถ้าทำทุกคนก็จะพบได้ตั้งแต่แรกคลอด สำหรับเด็กที่โตมาหน่อยที่เคยและไม่เคยคัดกรองมาก่อนหรืออาจจะเคย

สำหรับเด็กที่ยังไม่ให้ความร่วมมือ ก็จะวัดจากคลื่นสมอง กราฟดูว่าการตอบสนองของคลื่นสมองต่อเสียงเป็นอย่างไรเด็กที่โตมาแล้ว ตรวจเหมือนผู้ใหญ่คือใส่หูฟังครอบ แล้วให้เด็กตอบสนองต่อเสียง

การดูแลรักษา

การวินิจฉัยรวดเร็ว จะทำให้แก้ไขได้ทันท่วงที เมื่อทราบว่าเด็กมีปัญหาการได้ยิน ก็จะมาดูความรุนแรงของอาการว่าอยู่ในระดับไหน เริ่มต้นจะแก้ไขด้วยการพยายามทำให้ได้ยินด้วยการใส่เครื่องช่วยฟัง เครื่องที่ช่วยขยายเสียงให้ดังขึ้นแล้วดูการตอบสนองของเด็กว่าได้ยินไหม ควรทำให้เร็วที่สุด เพราะสมองต้องได้รับการกระตุ้นจึงจะได้รับการพัฒนาของศูนย์การได้ยินหรือศูนย์ภาษาของสมอง ถ้าเครื่องช่วยฟังไม่ได้ เป็นขั้นรุนแรงหรือหูหนวก ก็จะพิจารณาขั้นตอนการรักษาคือ ฝังประสาทหูเทียม

เครื่องช่วยฟังทำหน้าที่ขยายเสียง แต่ประสาทหูเทียมทำงานแตกต่าง ประกอบไปด้วยสองส่วน คือส่วนแรกที่เราผ่าตัด ฝังไปที่บริเวณใต้หนังศีรษะ โดยมีส่วนสายขดลวดนำไฟฟ้าใส่ไปบริเวณหูชั้นในเพื่อกระตุ้นเส้นประสาทของสมองส่วนที่รับการได้ยินโดยตรง อีกส่วนเป็นอุปกรณ์ที่จะอยู่ภายนอก ทำหน้าที่รับสัญญาณ มีไมโครโฟนรับเสียง แล้วแปลงเป็นสัญญาณดิจิตอล สัญญาณดิจิตอลนี้จะส่งเข้าไปในเครื่องที่อยู่ด้านใน แล้วกระตุ้นเส้นประสาท และกระตุ้นสมองโดยตรง ในรายที่ไม่มีการทำงานของหูชั้นในแล้วก็เป็นวิธีที่เวิรค์อยู่ เพราะมันคือการกระตุ้นเส้นประสาทโดยตรง

อายุเท่าไหร่ถึงจะอยู่ในเกณฑ์ที่รักษาไม่ได้แล้วหรือพิการไปแล้ว

สมองของคนเราพัฒนาสูงสุดเมื่ออายุ 3ขวบหรือไม่เกิน 5ปี และถ้าเลยช่วงเวลานี้ไปแล้ว สมองจะพัฒนาได้น้อย ถ้ามากระตุ้นโดยเฉพาะเสียงเมื่อ 4-5ขวบไปแล้ว สมองส่วนนั้นจะไม่พัฒนาเท่าที่ควร เพราะฉะนั้นผลการรักษาจะดีหรือไม่ดี เราต้องกระตุ้นให้เร็วที่สุด เด็กได้ยินเสียงตั้งแต่ในท้องแล้ว คลอดออกมาก็ได้ยินเสียงแล้ว กว่าที่จะพูดได้หนึ่งคำที่มีความหมาย ใช้เวลาตั้ง1ปี เพราะฉะนั้นสมองต้องพัฒนา ต้องถูกกระตุ้น คนที่ไม่ได้ยินก็จะไม่ได้พัฒนา ก็จะล่าช้าไปมาก ยิ่งรอนานผลการรักษาก็จะยิ่งแย่ลง

แนะนำพ่อแม่ในการดูแลเรื่องการได้ยินของลูก ปัญหาที่หมอเจอบ่อย คือกว่าที่พ่อแม่จะพามาคือลูกโตแล้ว ทั้งอาจจะคิดว่าไม่เป็นอะไร อาจจะแค่พูดช้าและไม่ทราบข้อมูลว่าการได้ยินรักษาได้แล้ว แล้วสามารถเปลี่ยนชีวิตเด็กได้เลย จากที่อาจจะต้องใช้ภาษามือก็เป็นเด็กที่สื่อสารและพูดกับคนอื่นได้เลย หมอแนะนำว่ามีปัญหาหรือสงสัย ก็แนะนำมาปรึกษาผู้เชี่ยวชาญได้เลย

สปสช.คุ้มครองเด็กที่มีปัญหาการได้ยิน

เบื้องต้น 2564 บอร์ดสปสช. อนุมัติเด็กที่สงสัยว่าจะมีปัญหาการได้ยิน เรียกว่ากลุ่มเสี่ยง ซึ่งจะพบประมาณ 10% ของเด็กแรกเกิดที่เป็นกลุ่มเสี่ยง ซึ่งต้องนำมาคัดกรองว่าจะมีปัญหาการได้ยินหรือไม่ สิทธิประโยชน์นี้ได้ตั้งแต่แรกเกิด ตรวจตั้งแรกเกิด มีอุปกรณ์ตรวจการได้ยินเบื้องต้น โดยตรวจว่าเด็กได้ยินปกติหรือเปล่า มีเครื่องมือเรียกว่า OAE ตรวจการได้ยิน ใส่เข้าไปที่หูเด็ก โดยเทสว่าผ่านไม่ผ่าน ผ่านก็กลับบ้าน แต่หากไม่ผ่าน ไม่ได้หมายความว่าจะมีปัญหา ก็จะนัดการมาตรวจติดตามอีก 2-4 สัปดาห์ เรียกว่าเป็นการคัดกรองเบื้องต้น

คำแนะนำให้ผู้ปกครองสังเกตว่าหลังจากคลอดแล้ว พัฒนาการได้ยินไปตามแนวทางการได้ยิน หากมีปัญหาสามารถพบแพทย์ เบื้องต้นแพทย์ทั่วไปประเมินได้ แต่ดีที่สุดคือพบแพยท์ หู คอ จมูก ซึ่งมีอยู่ทั่วประเทศ แต่การคัดกรองเด็กแรกเกิด จะระบุว่ามีรพ.ไหนที่เข้าร่วมโครงการคัดกรองกับสปสช.

แม้ไม่ผ่านแต่ไม่ใช่ว่าหูหนวก แต่จะตรวจด้วยเครื่องมือพิเศษ ABR หรือ ASSR ซึ่งจะวินิจฉัยว่าเด็กคนนั้นมีปัญหาทางการได้ยินหรือไม่ ระดับไหน ระดับตั้งแต่เล็กน้อย ปานกลาง หรือว่ารุนแรง หรือเข้าขั้นที่เรียกว่าหูหนวก ก็จะมีการดูแลรักษาแตกต่างกันไปตามระดับ ที่สปสช.เน้นการคัดกรองการได้ยินโดยเฉพาะเด็กแรกเกิด เพราะว่าถ้าเราสามารถตรวจได้เร็ว เด็กจะเข้าสู่กระบวนการรักษารวดเร็ว เพราะเด็กหูหนวก เมื่อปล่อยไว้ระยะหนึ่งจะเป็นใบ้ ถ้าเด็กที่เป็นใบ้จะมีปัญหาทางสติปัญญา เพราะไม่สามารถได้รับเสียงไปกระตุ้นพัฒนาการ

เด็กไทยตั้งแต่แรกเกิด คัดกรองได้ฟรีเป็นสิทธิประโยชน์ ไม่ร่วมจ่าย แต่เมื่อคัดกรองแล้วมีปัญหาต้องเข้าสู่การรักษา สิทธิประโยชน์ครอบคลุมเฉพาะคนที่มีบัตรทอง แต่สิทธิราชการ ประกันสังคมก็ให้สิทธิเหมือนกัน แต่เมื่อคัดกรองแล้วจำเป็นต้องวินิจฉัยหรือรักษา ก็มีหน่วยตามสไลด์ มีทุกแห่งในแต่ละภาค ประมาณ 20-30 หน่วย การวินิจฉัยต้องใช้หมอหู คอ จมูก และนักโสตสัมผัสวิทยาในการใช้อุปกรณ์ที่ซับซ้อน อายุการใช้งานประสาทหูเทียมประมาณ 10ปี ก็จะมีอุปกรณ์เปลี่ยนตามอายุการใช้งาน ถ้ายังอยู่สิทธิก็จะดูแลไปตลอดชีวิต

อุปกรณ์ที่จะได้รับจากสิทธิสปสช.

สปสช.มีสิทธิประโยชน์เรื่องการฝังประสาทหูเทียม ถ้าเป็นหูหนวกเกิดจากประสาทหูไม่ทำงาน ทำงานไม่ได้ ใส่เครื่องช่วยฟังไม่ได้ แทนที่จะใช้ประสาทหูเดิมก็จะใช้อุปกรณ์ขนาดเล็กฝังบริเวณฐานกะโหลกและมีไมโครโฟนเล็กๆ และมีอุปกรณ์ภายนอกที่รับสัญญาณ เมื่อมีเสียงแทนที่จะได้ยินทางหู ก็จะได้ยินทางอุปกรณ์รับสัญญาณแปลงเป็นภาษาให้เด็กเข้าใจ

แต่ภาษาที่ผ่านประสาทหูเทียม จะไม่เป็นภาษา ก ข ค จะได้ยินเป็นเสียงสัญญาณ เด็กจะต้องถูกฝึกสอน ซึ่งช่วงที่เป็นช่วงสำคัญ คือการฝังไปอย่างเเดียว เด็กจะไม่ได้ยินทันที ต้องมีการสอนหรือการทำ mapping ซึ่งต้องเดินทางมาฝึกสอนโดยหมอกับเจ้าหน้าที่วันละ 1-2 ชม. แต่หลังจากนี้พ่อแม่ ครู จะต้องช่วยทำให้เด็กคุ้นเคยกับเครื่อง ใช้เวลาประมาณ1-2 ปี เหมือนฝึกลูกพูด ซึ่งสปสช.ร่วมกับสภากาชาด โดยสปสช.ชดเชยเรื่องอุปกรณ์ เครื่องมือต่างๆ ค่าผ่าตัด แต่ภาระการเดินทางทุก 2อาทิตย์ ทุกเดือน เนื่องจากรพ.ที่ทำได้เป็นรพ.ขนาดใหญ่ เช่น รพ.ประจำจังหวัดประมาณ 11 แห่ง สภากาชาดจึงร่วมกับสปสช.ให้ผู้ปกครองเบิกค่าใช้ในการเดินทางได้ บัตรทอง ดูแลครอบคลุม เมื่อเครื่องมีปัญหาในช่วง 1-2ปี สปสช.จะมีช่วยเหลือชดเชย เช่น เปลี่ยนสาย หรือไมโครโฟน ก็จะช่วยดูแลให้ คือดูแลตั้งแต่แรกเกิดไปจนตลอดชีวิต

สิทธิครอบคลุมไปจนถึงอายุเท่าไหร่

หลังจากที่สิทธิหมดแล้วมีกระบวนการอย่างไร เรื่องการได้ยิน พ่อแม่ต้องเข้าระบบคัดกรองการได้ยิน เมื่อคัดกรองแล้ว หมอบอกว่ามีปัญหาต้องมา follow up และการ Early Detection จะสามารถทำให้เกิดการ Early Treatment กลุ่มเหล่านี้หากดูแลรักษาแต่แรก เด็กจะไม่ต้องไปอยู่รร.หูหนวก ไม่ต้องเข้าคลาสการศึกษาพิเศษ สามารถใช้ชีวิตปกติได้ ในรพ.ที่มีหมอหู คอ จมูก นักโสตสัมผัสวิทยา รพ.ก็ตื่นตัวเพราะรู้ว่าถ้าสามารถตรวจวินิฉัยแต่แรก ก็จะทำให้การรักษาเป็นไปอย่างรวดเร็ว แต่ข้อเสียคือจะต้องมีระบบการติดตามเยอะ follow up ซึ่งพ่อแม่ต้องสนใจ ทุ่มเทช่วงต้น เพราะจะกระทบกับพัฒนาการระยะยาว ในเรื่องสุขภาพของเด็ก 1. พาเด็กฉีดวัคซีน 2. ใส่หน้ากาก และเรื่องอาหาร ระวังเรื่องโรคอ้วน ให่กินอาหารที่เหมาะสมสำหรับเด็ก

Apple Podcast:https://apple.co/3m15ytB

Spotify:https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube:https://bit.ly/3cxn31u

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues