facebook  youtube  line

แขนขาหัก หัวแตก น้ำร้อนลวก 3 อุบัติเหตุรุนแรงที่พ่อแม่ต้องรู้วิธีปฐมพยาบาลก่อนพาลูกไปโรงพยาบาล

แขนขาหัก- หัวแตก- น้ำร้อนลวกหกล้ม- มีดบาด- กระแทกฟกช้ำ- ลูกหกล้ม- ลูกมี​แผลถลอก- ​แผลถลอก- ล้มหัวฟาด- ลูกมีแผล- แผลหกล้ม

วิธีปฐมพยาบาลอุบัติเหตุรุนแรง ก่อนพาลูกไปโรงพยาบาล

ต่อให้ดูแลดีแค่ไหน แต่อุบัติเหตุร้ายแรงอาจเกิดได้เสมอค่ะ ลูกหัวแตก ลูกแขนขาหัก ลูกโดนน้ำร้อนลวก เกิดขึ้นได้ทั้งจากการเล่น การใช้ชีวิตประจำวัน หรืออุบัติเหตุต่างๆ ซึ่งการดูแลรักษาจะต้องอยู่ในการรักษาและดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญค่ะ แต่ในเบื้องต้นเมื่อลูกได้รับอุบัติเหตุหัวแตก ลูกแขนขาหักลูกโดนน้ำร้อนลวก คุณพ่อคุณแม่จะต้องลงมือปฐมพยาบาลตามขั้นตอนต่อไปนี้ก่อนพาลูกส่งโรงพยาบาลค่ะ 

วิธีปฐมพยาบาลเมื่อลูกหัวแตก
  1. ให้ลูกนอนราบ ไม่ขยับตัวมากเพื่อลดการกระทบกระเทือน จากนั้นควรสวมถุงมือทุกครั้ง(ถ้ามี ณ ตอนนั้น) แล้วใช้มือหรือผ้ากดแผลห้ามเลือดประมาณ 15 นาที หรือจนกว่าเลือดจะหยุด

  2. หากเลือดหยุดแล้วให้ใช้เจลเย็น หรือผ้าขนหนูห่อน้ำแข็งประคบบาดแผลจากนั้นค่อย ๆ เคลื่อนย้ายลูกไปส่งโรงพยาบาล

  3. หากบาดแผลรุนแรง ลึก เลือดไหลไม่หยุด อาจจะต้องเปลี่ยนผ้ากดแผลไม่ให้ชุ่มเลือด กดไว้ตลอด แล้วเคลื่อนย้ายไปโรงพยาบาล

  4. หากสังเกตว่าลูกกะโหลกร้าวหมดสติ หายใจลำบาก จะต้องห้ามเลือดในท่านอน ห้ามเคลื่อนย้ายเอง แล้วโทรแจ้งหน่วยแพทย์ฉุกเฉินทันที

วิธีปฐมพยาบาลเมื่อลูกแขนขาหัก
  1. ไม่ควรขยับตัวลูกเพื่อป้องการการบาดเจ็บเพิ่มเติม อาจให้ลูกนั่งหรือนอนในท่านิ่งๆ จากนั้นใช้แผ่นไม้ ไม้บรรทัด หรือกระดาษหนังสือม้วนเป็นทรงยาว ดามประกบ 2 ข้าง แล้วพันด้วยเทปกาวเพื่อป้องกันการขยับจนเกิดอาการบาดเจ็บเพิ่มเติม 

  2. ระหว่างที่รอเรียกรถพยาบาล ให้ปลดเสื้อผ้าลูกให้หลวม หายใจสะดวก แต่ไม่ควรให้ดื่มน้ำหรือกินอะไร เพราะอาจมีอาการเจ็บปวดภายในที่พ่อแม่ไม่ทราบ ซึ่งอาจเกิดอันตรายได้

  3. รีบเข้ารับการรักษาจากแพทย์โดยทันที ซึ่งแพทย์อาจเอกซเรย์ เข้าเฝือกแขน หรือผ่าตัดในกรณีที่กระดูกทะลุผิวหนัง เพื่อฟื้นฟูกระดูกส่วนที่แตกหัก

วิธีปฐมพยาบาลเมื่อลูกโดนน้ำร้อนลวก
  1. ล้างด้วยน้ำสะอาดที่อุณหภูมิปกติประมาณ 10-15 นาทีเพื่อลดความร้อนและอาการปวดบริเวณที่โดนน้ำร้อนลวก 

  2. ใช้ผ้าสะอาดซับผิวเบาๆ จนแห้ง ห้าม! ทายาสีฟัน น้ำปลา หรือสมุนไพรใดๆ บริเวณที่โดนน้ำร้อนลวก เพราะอาจทำให้ระคายเคือง ติดเชื้อ อักเสบ และลุกลามเป็นแผลได้

  3. พาลูกไปพบคุณหมอเพื่อรับการตรวจและยาสำหรับทาฆ่าเชื้อที่เหมาะสมกับความรุนแรงของแผลน้ำร้อนลวก (แผลโดนลวกมีระดับความรุนแรงที่ต่างกัน ดังนั้นควรอยู่ในการดูแลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ)

  4. หากบริเวณที่โดนน้ำร้อนลวกเกิดถุงน้ำ ไม่ควรเจาะ! เพราะอาจทำให้ติดเชื้อได้

  5. หมั่นทายา หรือทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด และต้องรักษาความสะอาดแผลให้ดี

  6. น้ำหากร้อนลวกบริเวณใบหน้าต้องรีบพาลูกส่งโรงพยาบาลเร็วที่สุด เพราะน้ำร้อนอาจโดนดวงตา หรือระคายเคืองส่วนอื่นได้  

3 อุบัติเหตุเหล่านี้ไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากให้เกิดค่ะ แต่ไม่ว่าอย่างไรเราต้องรู้วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นกันไว้ในกรณีฉุกเฉิน ซึ่งอาจเกิดขึ้นกับลูกเราหรือกับเด็กคนอื่นๆ ที่เราสามารถช่วยเหลือได้ค่ะ 

 

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก




 

แค่ให้ลูกล้างจานก็ได้ฝึก EF แล้วนะ

EF, ทักษะสมอง EF, สอนลูกให้มี EF, เลี้ยงลูกให้มี EF, อยากให้ลูกมี EF, อยากให้ลูก EF ดี, วิธีสร้าง EF, เลี้ยงลูกด้วย EF, ครอบครัว EF, คลินิก EF, รักลูก Community of The Expert, Do ดีมี EF, ครอบครัวรักลูก EF

งานบ้านง่ายๆ หลายอย่าง นอกจากฝึกทักษะให้เป็นเด็กมีความรับผิดชอบ รู้จักช่วยตนเอง ช่วยเหลือผู้อื่น การฝึกให้ลูกทำงานบ้านต่างๆ ยังช่วยให้เขาได้ฝึกพัฒนาทักษะ EF ด้วยค่ะ อย่างเช่น การล้างจานหลังจากกินข้าวเสร็จ ลูกจะได้ทักษะดังต่อไปนี้ 


1. Initiating = ถ้าให้ลูกทำทุกครั้งหลังจากกินข้าวเสร็จ ลูกจะรู้ว่าเป็นหน้าที่ที่ตนเองต้องทำ สามารถทำได้เองโดยที่พ่อแม่ไม่ต้องบอก 

2. Working Memory =รู้จักขั้นตอนการล้างจาน ลำดับก่อนหลังว่าควรล้างอะไรก่อน เช่น ล้างแก้วก่อนจานชาม

3. Shift หรือ Cognitive Flexibility รู้จักยืดหยุ่นหรือปรับเปลี่ยนความคิด เช่น เมื่อเจอเศษอาหารขณะล้าง จะต้องทำอย่างไร จะเขี่ยลงอ่างล้างจาน หรือแยกออกมาทิ้งในถังขยะ 

4. Focus/Attention ตั้งใจและจดจ่อกับงานตรงหน้า เพราะถ้าลูกไม่จดจ่ออาจทำจานชามหลุดมือหรือทำตกแตกได้ 
        
5. Planning and Organizing รู้จักวางแผนการล้าง เริ่มจากการเก็บจากโต๊ะอาหาร ต้องเก็บอย่างไร ต้องแยกเศษอาหารไปทิ้งต่างหาก จานชามเท่านี้ต้องใช้น้ำยาล้างจาน ใช้น้ำล้างทำความสะอากแค่ไหน ทำอย่างไรจึงจะประหยัดน้ำ เป็นต้น  

6. Self -Monitoring = รู้จักประเมินตนเอง เช่น การเช็กดูว่าตนเองล้างจานสะอาดหรือไม่ ถ้ารีบไปเล่นทำให้ล้างจานแบบลวกๆ คราบอาหารก็ยังคงติดจานอยู่ 


ซึ่งนอกจากการล้่างจานแล้ว การให้ลูกทำงานอื่นๆ เช่น กวาดบ้าน ถูบ้าน รดน้ำต้นไม้ ซักผ้า จัดของ ฯลฯ ก็ช่วยฝึก EF ได้เช่นกันค่ะ 

แนะนำ 3 บทลงโทษลูกให้ได้ผล เปลี่ยนเด็กดื้อเป็นเด็กดี

2096 1 

แนะนำ 3 บทลงโทษลูกให้ได้ผล เปลี่ยนเด็กดื้อเป็นเด็กดี

การทำโทษ คือสิ่งที่พ่อกับแม่ไม่อยากทำเพราะห่วงลูก รักลูก กลัวลูกมองว่าเป็นพ่อแม่ใจร้าย แต่ก็ยังดีกว่าการปล่อยปละละเลย ให้ลูกไม่รู้ผิดถูกนะคะ เพื่อให้เขาเป็นคนที่ดีขึ้น รู้ว่าสิ่งที่ทำลงไปคือสิ่งไม่ดี การลงโทษทั้ง 3 วิธีนี้ จึงเป็นสิ่งที่ช่วยให้เขาเป็นเด็กดีขึ้นได้ค่ะ

  1. Time In

เมื่อลูกโวยวาย ให้คุณพ่อคุณแม่ไปนั่งข้าง ๆ เขา เพื่อที่จะช่วยสงบสติอารมณ์ หามุมหรือสถานที่สงบ ๆ และเข้าไปนั่งด้วยกันกับลูก คุณพ่อคุณแม่อาจจะช่วยปลอบเขาให้อารมณ์เย็นลง หรือเพียงแค่สงบเงียบ อยู่ข้าง ๆ เขา เพื่อให้เขารู้ว่าพ่อแม่ยังอยู่ข้าง ๆ เสมอและพร้อมจะช่วยเขาในเวลาที่เจอปัญหา และถ้าทำได้รับรองว่า เขาจะสามารถเรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ดีขึ้น และยังยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นมากขึ้นอีกด้วยค่ะ

  1. ต้องสอนด้วยเหตุผล

เมื่อลูกทำผิด ไม่ควรบ่นด่าลูกด้วยถ้อยคำไม่สุภาพ ประชด หรือพูดเสียงดัง เพราะจะให้เขาเป็นเด็กก้าวร้าวเมื่อโตขึ้น แต่พ่อกับแม่ควรเตือนด้วยเหตุผล บอกให้เขารู้ว่าทำไมสิ่งที่เขาทำลงไปถึงผิด ผิดอย่างไร แล้วต้องแก้ไขอย่างไร การตักเตือนลูกด้วยวาจาที่สุภาพและมีเหตุผลประกอบ เขาจะปรับปรุงตัวเองได้เเละไม่ทำอีก และที่สำคัญ ลูกจะสัมผัสได้ว่าการตักเตือนของพ่อแม่คือ การมอบความรักและความหวังดี ไม่ใช่เพราะพ่อแม่โกรธลูก

  1. ต้องมีการเตือนครั้งสุดท้าย

หากใช้เหตุผลและบอกด้วยคำสุภาพแสดงออกถึงความรักไปแล้ว แต่ลูกยังทำผิด ทำตัวไม่น่ารักกับคนอื่นเหมือนเดิม ควรมีการเตือนเป็นครั้งสุดท้าย อาจจะใช้น้ำเสียงจริงจังขึ้น สีหน้าดุขึ้น ไม่ใช่การแสดงออกถึงความใจร้าย แต่คือการบอกให้ลูกรู้ว่าควรหยุดและแก้ตัว 

อดทนเป็นคนใจร้ายหน่อยนะคะ เพราะการลงโทษลูกเขาต้องงอนอยู่แล้ว แต่เขาจะสัมผัสได้ว่าพ่อแม่หวังดีกับเขา ยังดีกว่าการอวยลูกจนเป็นพ่อแม่รังแกฉันนะคะ

แนะนำ 5 นม Lactose Free แก้เด็กกินนมวัวแล้วท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องเสีย

Lactose Free-นมแลคโตสฟรี-นมวัวแลคโตสฟรี-นม-แลคโตสฟรี-นม Lactose Free-แพ้นมวัว-นมวัว-อาการแพ้นมวัว-ท้องอืด-ท้องเฟ้อ-ท้องเสีย-ดื่มนมวัวไม่ได้-นมที่กินแล้วไม่ท้องอืด-แลคโตส-แลคโตสฟรี คืออะไร-ท้องอืด ท้องเฟ้อ-ท้องเฟ้อ-อาการ ท้องอืด ท้องเฟ้อ-ท้องเฟ้อ คือ-ท้องเฟ้อ อาการ-อาการ ท้องเฟ้อ-แก้ ท้องอืด ท้องเฟ้อ-แก้ ท้องอืด ท้องเฟ้อ-ทารก ท้องอืด-แน่นท้อง-ท้องอืด บ่อย-ท้องอืด อาการ-ท้องอืด แน่นท้อง ท้อง-ท้องอืด เกิด จาก-ลูก ท้องอืด-อาการ แน่นท้อง-ท้องอืด pantip-ลูก 1 ขวบ ท้องอืด-ทอง อืด-ท้องอืด แน่นท้อง ท้อง แข็ง-ท้องอืด บ่อยๆ 

แนะนำ 5 นม Lactose Free แก้เด็กกินนมวัวแล้วท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องเสีย

คุณพ่อคุณแม่เคยสังเกตไหมคะ ว่าลูกกินนมวัวเสริมแล้วมักจะมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เสียดท้อง ไปจนถึงท้องเสีย หากเด็กๆ มีอาการแบบนี้แปลว่ากำลังแพ้น้ำตาลแลคโตสอยู่นะคะ เพราะร่างกายไม่สามารถย่อย “น้ำตาลแลคโตส” ที่อยู่ในนมวัวได้นั่นเองค่ะ

นมแลคโตสฟรี คืออะไร นมแลคโตสฟรี หรือ นม 0% น้ำตาลแลคโตส คือ นมโคแท้ 100% ที่ผ่านกระบวนการย่อยด้วยเอนไซม์ธรรมชาติ แลคเตส ทำให้น้ำตาลแลคโตสในนมหมดไป มีขนาดโมเลกุลเล็กลง ดื่มแล้ว ย่อยง่าย สบายท้อง ดูดซึมไปใช้งานได้ทันที ได้คุณประโยชน์เทียบเท่านมสดธรรมชาติทั่วไป

หากเด็กๆ ทานนมวัวแล้วย่อยยาก ท้องเสีย แต่คุณพ่อคุณแม่อยากให้ได้สารอาหารในนมวัว เราแนะนำให้ดื่ม "นมแลคโตสฟรี" นะคะ เรามียี่ห้อนมแลคโตสฟรีมาแนะนำดังนี้เลยค่ะ

1. mMilk นมแลคโตสฟรี

mMilk มีรูปแบบของนมพาสเจอร์ไรซ์ และ UHT หาซื้อได้ตามเซเว่นอีเลฟเว่นและห้างสรรพสินค้าทั่วไป

ติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่  https://www.facebook.com/mMilkbrand.official/


Lactose Free-นมแลคโตสฟรี-นมวัวแลคโตสฟรี-นม-แลคโตสฟรี-นม Lactose Free-แพ้นมวัว-นมวัว-อาการแพ้นมวัว-ท้องอืด-ท้องเฟ้อ-ท้องเสีย-ดื่มนมวัวไม่ได้-นมที่กินแล้วไม่ท้องอืด-แลคโตส-แลคโตสฟรี คืออะไร-ท้องอืด ท้องเฟ้อ-ท้องเฟ้อ-อาการ ท้องอืด ท้องเฟ้อ-ท้องเฟ้อ คือ-ท้องเฟ้อ อาการ-อาการ ท้องเฟ้อ-แก้ ท้องอืด ท้องเฟ้อ-แก้ ท้องอืด ท้องเฟ้อ-ทารก ท้องอืด-แน่นท้อง-ท้องอืด บ่อย-ท้องอืด อาการ-ท้องอืด แน่นท้อง ท้อง-ท้องอืด เกิด จาก-ลูก ท้องอืด-อาการ แน่นท้อง-ท้องอืด pantip-ลูก 1 ขวบ ท้องอืด-ทอง อืด-ท้องอืด แน่นท้อง ท้อง แข็ง-ท้องอืด บ่อยๆ

 

2. Meiji นมแลคโตสฟรี



Meiji มีขายตามเซเว่นอีเลฟเว่นทั่วประเทศ
ติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่ https://www.facebook.com/cpmeijithailand/



Lactose Free-นมแลคโตสฟรี-นมวัวแลคโตสฟรี-นม-แลคโตสฟรี-นม Lactose Free-แพ้นมวัว-นมวัว-อาการแพ้นมวัว-ท้องอืด-ท้องเฟ้อ-ท้องเสีย-ดื่มนมวัวไม่ได้-นมที่กินแล้วไม่ท้องอืด-แลคโตส-แลคโตสฟรี คืออะไร-ท้องอืด ท้องเฟ้อ-ท้องเฟ้อ-อาการ ท้องอืด ท้องเฟ้อ-ท้องเฟ้อ คือ-ท้องเฟ้อ อาการ-อาการ ท้องเฟ้อ-แก้ ท้องอืด ท้องเฟ้อ-แก้ ท้องอืด ท้องเฟ้อ-ทารก ท้องอืด-แน่นท้อง-ท้องอืด บ่อย-ท้องอืด อาการ-ท้องอืด แน่นท้อง ท้อง-ท้องอืด เกิด จาก-ลูก ท้องอืด-อาการ แน่นท้อง-ท้องอืด pantip-ลูก 1 ขวบ ท้องอืด-ทอง อืด-ท้องอืด แน่นท้อง ท้อง แข็ง-ท้องอืด บ่อยๆ

3. โทฟุซัง นมแลคโตสฟรี



โทฟุซัง 
กับนมวัว Essentially แบบใหม่ หาซื้อได้ตามเซเว่นอีเลฟเว่นทั่วประเทศ
ติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่ https://www.facebook.com/tofusan/


Lactose Free-นมแลคโตสฟรี-นมวัวแลคโตสฟรี-นม-แลคโตสฟรี-นม Lactose Free-แพ้นมวัว-นมวัว-อาการแพ้นมวัว-ท้องอืด-ท้องเฟ้อ-ท้องเสีย-ดื่มนมวัวไม่ได้-นมที่กินแล้วไม่ท้องอืด-แลคโตส-แลคโตสฟรี คืออะไร-ท้องอืด ท้องเฟ้อ-ท้องเฟ้อ-อาการ ท้องอืด ท้องเฟ้อ-ท้องเฟ้อ คือ-ท้องเฟ้อ อาการ-อาการ ท้องเฟ้อ-แก้ ท้องอืด ท้องเฟ้อ-แก้ ท้องอืด ท้องเฟ้อ-ทารก ท้องอืด-แน่นท้อง-ท้องอืด บ่อย-ท้องอืด อาการ-ท้องอืด แน่นท้อง ท้อง-ท้องอืด เกิด จาก-ลูก ท้องอืด-อาการ แน่นท้อง-ท้องอืด pantip-ลูก 1 ขวบ ท้องอืด-ทอง อืด-ท้องอืด แน่นท้อง ท้อง แข็ง-ท้องอืด บ่อยๆ

4. ไทย-เดนมาร์ค นมแลคโตสฟรี



แบรนด์ที่คนไทยคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี มีขายตามเซเว่นอีเลฟเว่นและห้างสรรพสิ้นค้าทั่วไป ตอนนี้มีโปรโมชั่นด้วนนะคะ
ติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่ https://www.facebook.com/ThaiDenmarkOfficial/



Lactose Free-นมแลคโตสฟรี-นมวัวแลคโตสฟรี-นม-แลคโตสฟรี-นม Lactose Free-แพ้นมวัว-นมวัว-อาการแพ้นมวัว-ท้องอืด-ท้องเฟ้อ-ท้องเสีย-ดื่มนมวัวไม่ได้-นมที่กินแล้วไม่ท้องอืด-แลคโตส-แลคโตสฟรี คืออะไร-ท้องอืด ท้องเฟ้อ-ท้องเฟ้อ-อาการ ท้องอืด ท้องเฟ้อ-ท้องเฟ้อ คือ-ท้องเฟ้อ อาการ-อาการ ท้องเฟ้อ-แก้ ท้องอืด ท้องเฟ้อ-แก้ ท้องอืด ท้องเฟ้อ-ทารก ท้องอืด-แน่นท้อง-ท้องอืด บ่อย-ท้องอืด อาการ-ท้องอืด แน่นท้อง ท้อง-ท้องอืด เกิด จาก-ลูก ท้องอืด-อาการ แน่นท้อง-ท้องอืด pantip-ลูก 1 ขวบ ท้องอืด-ทอง อืด-ท้องอืด แน่นท้อง ท้อง แข็ง-ท้องอืด บ่อยๆ

5. นมแมกโนเลีย พลัส แลคโตสฟรี



มีรสวานิลลาไวท์ช็อกโกแลต, รสเปปเปอร์มิ้นต์ บราวนี่ และรสจืด มีขายที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำทุกสาขาค่ะ ติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่ https://www.facebook.com/MagnoliaMilkandDairiesThailand/

Lactose Free-นมแลคโตสฟรี-นมวัวแลคโตสฟรี-นม-แลคโตสฟรี-นม Lactose Free-แพ้นมวัว-นมวัว-อาการแพ้นมวัว-ท้องอืด-ท้องเฟ้อ-ท้องเสีย-ดื่มนมวัวไม่ได้-นมที่กินแล้วไม่ท้องอืด-แลคโตส-แลคโตสฟรี คืออะไร-ท้องอืด ท้องเฟ้อ-ท้องเฟ้อ-อาการ ท้องอืด ท้องเฟ้อ-ท้องเฟ้อ คือ-ท้องเฟ้อ อาการ-อาการ ท้องเฟ้อ-แก้ ท้องอืด ท้องเฟ้อ-แก้ ท้องอืด ท้องเฟ้อ-ทารก ท้องอืด-แน่นท้อง-ท้องอืด บ่อย-ท้องอืด อาการ-ท้องอืด แน่นท้อง ท้อง-ท้องอืด เกิด จาก-ลูก ท้องอืด-อาการ แน่นท้อง-ท้องอืด pantip-ลูก 1 ขวบ ท้องอืด-ทอง อืด-ท้องอืด แน่นท้อง ท้อง แข็ง-ท้องอืด บ่อยๆ

นม Lactose Free ลองหามาลองดื่มดูนะคะ จะได้ไม่ท้องอืด ท้องเฟ้อ เสียดท้อง ท้องเสีย แถมได้สารอาหารไปเต็ม ๆ อีกด้วยค่ะ



ขอบคุณภาพจาก : Meiji, mMilk, ไทย-เดนมาร์ค, โทฟุซัง Magnolia

แนะนำตามช่วงอายุ นั่งให้น้อย เล่นให้มาก ไม่มีหน้าจอ แล้วลูกจะพัฒนาการดี

 การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก

พ่อแม่ต้องเล่นกับลูกให้มากขึ้น เพราะเด็กเริ่มมีพฤติกรรมที่เนือยเกินไป

อยากให้ลูกพัฒนาการดีสมวัย เรามีคำแนะนำดีๆ จากกรมสุขภาพจิตมาบอกต่อค่ะ หลังจากรายงานขององค์การอนามัยโลก พบว่า ผู้ใหญ่มากกว่า 23% และวัยรุ่นมากกว่า 80% มีกิจกรรมที่ไม่เพียงพอและพฤติกรรมเนือยนิ่งมากเกินไป เช่น ชอบการนั่งเฉยๆ ไม่ทำอะไร ปล่อยลูกการนั่งติดกับสายรัดในรถเข็นเด็ก ชอบนั่งเฉยๆ ดูโทรทัศน์ นั่งดูมือถือมากขึ้น แบบนี้ไม่ค่อยดีเลยนะคะ มาดูคำแนะนำสำหรับการทำกิจกรรมให้มากขึ้นกันเลยค่ะ

เด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี

ควรมีกิจกรรมที่ต้องเคลื่อนไหวหลายครั้งต่อวัน โดยเฉพาะการเล่นบนพื้น หากยังเคลื่อนไหวได้ไม่ดี ควรมีการนอนคว่ำแบบตะแคงหน้าอย่างน้อยครั้งละ 30 นาทีหลายครั้งต่อวัน ในช่วงเวลาที่ตื่น ไม่ควรให้นั่งนิ่งๆหรือล็อกติดกับรถเข็นเด็กนานเกิน 1 ชั่วโมง นอนหลับรวม 14-17 ชั่วโมง ในเด็ก 0-3 เดือน และ 12-16 ชั่วโมง ในเด็ก 4-11 เดือน ไม่ควรใช้หน้าจออย่างเด็ดขาดทั้งโทรทัศน์และเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ประเภทต่างๆ

เด็กอายุ 1-2 ปี

ควรมีกิจกรรมทางกายอย่างน้อย 180 นาทีต่อวันหรือมากกว่า ไม่ควรให้นั่งนิ่งๆ หรือล็อกติดกับเก้าอี้หรือรถเข็นเด็กนานเกิน 1 ชั่วโมง ควรนอนหลับรวม 11-14 ชั่วโมงต่อวัน ไม่ควรใช้หน้าจออย่างเด็ดขาดในเด็กอายุ 1 ปี สำหรับในเด็กอายุ 2 ปี ควรจำกัดเวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมงต่อวัน โดยยิ่งใช้เวลาหน้าจอน้อยยิ่งส่งผลดีต่อเด็ก 

เด็กอายุ 3-4 ปี

ควรมีกิจกรรมทางกายอย่างน้อย 180 นาทีต่อวันหรือมากกว่า โดยเป็นกิจกรรมที่ใช้พลังงานอย่างมากนานไม่ต่ำกว่า 60 นาที ไม่ควรให้นั่งนิ่งๆ หรือล็อกติดกับเก้าอี้หรือรถเข็นเด็กนานเกิน 1 ชั่วโมง ควรนอนหลับรวม 10-13 ชั่วโมงต่อวัน ตลอดจนควรจำกัดเวลาหน้าจอไม่เกิน 1 ชั่วโมงต่อวัน โดยยิ่งใช้เวลาหน้าจอน้อยยิ่งส่งผลดีต่อเด็ก

พ่อแม่ควรหาเวลาเล่นกับลูกให้มากขึ้นนะคะ การเล่นจะเป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาความฉลาดทางปัญญา อารมณ์ และสังคมไปพร้อมๆ และควรเน้นการส่งเสริมกระตุ้นให้เด็กได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ เช่น อ่านหนังสือ เล่านิทานให้เด็กฟังในเด็กเล็ก เล่นบทบาทสมมติโดยใช้อุปกรณ์ต่างๆ ที่มีอยู่รอบตัว เพียงเท่านี้ลูกก็จะมีสุขภาพจิตที่ดีได้แล้วค่ะ

 

ขอขอบคุณข้อมูล : กรมสุขภาพจิต

แนะนำรายชื่อยาที่ต้องเตรียมเมื่อพาลูกเดินทาง

เวลาเดินทางอาจจะมีคุณแม่หลายคนกังวลว่าจะต้องเอายาอะไรไปบ้าง เผื่อลูกเจ็บป่วย วันนี้เรามีข้อมูลรายชื่อยา พร้อมวิธีการใช้มาฝากค่ะ

แบบประเมินพัฒนาการเบื้องต้น สำหรับเด็กช่วงวัย 4 ขวบ

 แบบประเมิน- พัฒนาการ- ประเมินพัฒนาการ- โรงพยาบาลเปาโล- กระตุ้นพัฒนาการ- ส่งเสริมพัฒนาการ- เด็ก  4 ขวบ

แบบประเมินพัฒนาการเบื้องต้น สำหรับเด็กช่วงวัย 4 ขวบของโรงเพยาบาลเปาโลซึ่งน่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่ มาฝากกันค่ะ ลองดูนะคะว่าตอนนี้ลูก ๆ ทำได้กี่ข้อแล้ว และลองดูแนวทางกระตุ้นและส่งเสริมพัฒนาการประกอบเพื่อช่วยส่งเสริมลูกดูค่ะ

แบบประเมินพัฒนาการเบื้องต้น สำหรับเด็กช่วงวัย 4 ขวบ

 

พัฒนาการ ทำได้
ทำไม่ได้
แนวทางกระตุ้นและส่งเสริมพัฒนาการ
1 เดินขึ้นลงบันได โดยก้าวสลับเท้า และไม่จับราวบันได    
  1. ให้ลูกถือของเล่นทั้งสองมือแล้วเดินขึ้นบันได หรือให้เดินกลางบันไดห่างจากราวจับ แล้วแม่เดินตามไปด้านหลังเพื่อคอยช่วยถ้าลูกเสียการทรงตัว ถ้ายังสลับเท้าขึ้นบันไดไม่ได้ ช่วยจับขาข้างหนึ่งไว้ในขณะที่ขาอีกข้างกำลังก้าวขึ้นบันได ลดการช่วยเหลือลงจนทำได้เอง

  2. ตอนลงบันไดแม่อาจจะต้องช่วยจับที่ไหล่ของลูกไว้ ในขณะที่ลูกก้าวขาลงมาให้พักเท้าทั้งสองข้างในแต่ละขั้นเสียก่อน แล้วจึงให้ลูกเดินสลับเท้าลงมาเอง ทำตัวอย่างให้ลูกดู และช่วยเหลือโดยจับนิ้วอื่นกำไว้ ยกเว้นนิ้วโป้งแล้วลดการช่วยเหลือลง
2 กระดิกนิ้วโป้งโดยที่นิ้วอื่นไม่กระดิกตาม เลือกขนาดใหญ่-เล็กได้    
  1. ใช้วัตถุ 2 ชิ้น ชนิดเดียวกันที่มีขนาดแตกต่างกันอย่างชัดเจน เช่น รถคันใหญ่-เล็ก ช้อนคันใหญ่-เล็ก ตุ๊กตาใหญ่-เล็ก เป็นต้น

  2. บอกลูกว่า “ชิ้นนี้ใหญ่” “ชิ้นนี้เล็ก” แล้วให้ลูกเลือกที่ละขนาด ใหญ่ หรือเล็กก่อนก็ได้ เมื่อลูกเลือกได้ถูก จึงสอนอีกขนาด

  3. หัดเลือกโดยใช้รูปภาพ (เช่น วัตถุในบ้าน สัตว์ หรือคน) ช่วยเหลือลูกเลือกให้ถูกต้องในระยะแรก
3 บอกชื่อจริงได้    
  1. บอกชื่อจริงของลูกแล้วให้ลูกพูดตาม จากนั้นให้ถามลูก “หนูชื่อจริงว่าอะไร” ควรถามอยู่เสมอ เพื่อให้ลูกมีโอกาสฝึกหัดบ่อย ๆ
4 บอกเพศของตัวเองได้    
  1. สอนให้ลูกรู้ถึงความแตกต่างของเพศชายและหญิง โดยดูจากการแต่งตัว ทรงผม และบอกให้ลูกรู้ว่าตัวเองเป็นเพศอะไร ต่อมาถามลูกว่า “หนูเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย” และให้ลูกตอบ
5 ปัสสาวะถูกที่ได้เอง    
  1. บอกให้ลูกไปห้องน้ำ เมื่อต้องการจะถ่ายทุกครั้งโดยในระยะแรกอาจจะไปเป็นเพื่อน ต่อไปให้ไปเอง

 

สรุปผลการประเมินพัฒนาการเบี้องต้น........... ( 1 ข้อเท่ากับ 1 คะแนน) ** กรณีทำได้มากกว่า 3 ข้อ ถือว่าปกติ **

 

สอบถามรายละเอียดได้ที่คลินิกเด็ก

เครือโรงพยาบาลเปาโล เมโมเรียล ทุกสาขา



แพทย์แนะนำ เด็กควร 'จัดฟัน' ตอนอายุเท่าไหร่ ถึงเหมาะสมที่สุด

3015 1

เด็กควรจัดฟัน ตอนอายุเท่าไหร่?

ลูกฟันไม่สวย ฟันไม่เรียงตัว มีการสบฟันที่ผิดปกติ เลยอยากพาลูกไปจัดฟัน แต่ก่อนอื่นพ่อแม่ต้องมีความรู้เบื้องต้นก่อนนะคะ ซึ่งสถาบันทันตกรรม กรมการแพทย์ ก็ได้บอกไว้ว่า การจัดฟันทำให้ฟันอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม แนะนำให้จัดฟันช่วงวัยรุ่น อายุ 10-14 ปี เพราะร่างกายกำลังเจริญเติบโตค่ะ

นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า การจัดฟันสามารถทำได้ตั้งแต่เด็กถึงผู้ใหญ่ แต่ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดคือช่วงอายุประมาณ 10-14 ปี เนื่องจากร่างกายกำลังเจริญเติบโต มีการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างใบหน้ามากที่สุด ฟันสามารถเคลื่อนที่ได้ง่ายเป็นประโยชน์ต่อการจัดฟัน แต่หากอายุมากแล้วหรือประมาณ 30 ปีขึ้นไป อาจต้องใช้ระยะเวลาในการจัดฟันที่นานกว่าปกติ ดังนั้นจึงควรรักษาสุขภาพช่องปากให้ดี และปรึกษาทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนรับบริการ

ทันตแพทย์บุญชู สุรีย์พงษ์ ผู้อำนวยการสถาบันทันตกรรม กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทันตแพทย์เท่านั้นที่จะสามารถตัดสินใจว่าควรจัดฟันหรือไม่ หากพบความผิดปกติดังต่อไปนี้ ฟันบนหรือฟันล่างยื่นออกมามาก ฟันห่างมีช่องว่างระหว่างฟันเนื่องจากการหลุดของฟันหรือฟันที่ยังขึ้นไม่เต็มฟันที่ขึ้นมาไม่เป็นระเบียบจนเกซ้อนกันฟันบนไม่สามารถสบได้พอดีกับฟันล่างหรือเมื่อสบฟันแล้วมีช่องว่างระหว่างฟันบนกับฟันล่าง ทั้งนี้ระยะเวลาที่ใช้ในการจัดฟันประมาณ 1 ปีครึ่ง-3 ปี ขึ้นอยู่กับความผิดปกติของฟันว่ามีมากน้อยเพียงใด

สำหรับขั้นตอนการจัดฟัน ทันตแพทย์จะวางแผนการรักษาร่วมกับผู้รับบริการโดยตรวจสภาพช่องปากถ่ายภาพเอกซเรย์ฟันเพื่อดูโครงสร้างของใบหน้าและขากรรไกร วิเคราะห์วางแผนขั้นตอนการรักษาตามลำดับ เช่น ถอนฟัน อุดฟัน การพิมพ์แบบฟันและติดเครื่องมือจัดฟันในช่วงแรกจะรู้สึกเจ็บบ้าง แต่อาการจะค่อยๆ ดีขึ้นจนหายเป็นปกติภายใน 1-2 สัปดาห์ ซึ่งสถาบันทันตกรรมให้บริการจัดฟันใน 2 รูปแบบ คือ การจัดฟันด้วยเครื่องมือจัดฟันแบบถอดได้ และการจัดฟันด้วยเครื่องมือจัดฟันแบบติดแน่น

ภายหลังการจัดฟันควรดูแลตนเองด้วยการรักษาความสะอาดของฟันและเครื่องมือจัดฟัน โดยใช้แปรงสีฟันสำหรับผู้ที่จัดฟันโดยเฉพาะ ทำความสะอาดภายหลังรับประทานอาหารทุกมื้อและก่อนเข้านอน รักษาเครื่องมือจัดฟันให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่ให้หลุดหักหรือบิดเบี้ยว ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่แข็งและเหนียวรวมทั้งของหวาน ระมัดระวังเมื่อเล่นกีฬาที่อาจเกิดการกระทบกระทั่งรุนแรง รวมถึงปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์อย่างเคร่งครัด และพบทันตแพทย์ตามนัดหมาย 

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : ฝ่ายประชาสัมพันธ์ กรมการแพทย์

แม่ช็อก! ลูกล้มแล้วลุกเดินไม่ได้ เพราะขาดวิตามินซี

ลูกล้มแล้วลุกเดินไม่ได้, ขาดวิตามินซี, เด็กขาดวิตามินซี, อาการขาดวิตามินซี, ขาดวิตามินซีอาการ 

โภชนาการของลูกเป็นเรื่องที่พ่อแม่ควรใส่ใจนะคะ เพราะร่างกายของลูกกำลังเจริญเติบโต และมีพัฒนาการทางสมองอย่างต่อเนื่อง จึงควรให้ลูกทานให้ครบ 5 หมู่ เพื่อเสริมภูมิคุมกันให้ร่างกายแข็งแรง เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าลูกเราจะป่วย หรือ มีอาการผิดปกติอะไรเกิดขึ้นบ้าง หากร่างกายไม่แข็งแรงพอ

เช่นเดียวกับเรื่องราวของคุณแม่น้องลิซ่า ที่พบว่าลูกน้อยนั้นเริ่มมีอาการล้มบ่อย เดินไม่ค่อยได้ บางทีก็สะดุดขาตัวเองล้ม และลุกขึ้นเดินไม่ได้ เพราะมีอาการที่คาดไม่ถึงมาก่อน

คุณแม่โพสต์ดังนี้...

" แชร์ประสบการณ์ ‼️ ลูกล้มจนเดินไม่ได้ มีอยู่วันหนึ่ง ที่ลูกเดินมาหาเราแต่ทันใดนั้น สิ่งที่เราเห็นคือ ลูกสะดุดขาตัวเองล้ม ลูกคอยบ่นว่าเจ็บตลอดซึ่งแม่คอยดูและเช็กตรงที่ล้มแล้ว ไม่มีรอยหรืออะไรทั้งสิ้น แม่ได้แต่คิดว่าลูกขี้เกียจเดินหรือป่าว พอพาไปหาหมอครั้งแรกบอกอาการคุณหมอว่าน้องล้ม คุณหมอได้ส่ง x-ray กระดูก




ผลออกมา ไม่มีรูปกระดูกที่บ่งบอกถึงการแตกหัก คุณหมอแนะนำให้ลดการเดินลง เนื่องจากสาเหตุเอ็นอักเสบ หลังจากหาหมอสามวัน เราเริ่มรู้สึกว่า ลูกต้องหาที่เกาะยึดและคอยพยุงตัวเองขึ้นเพื่อที่จะลุกยืนหรือเดิน เราคอยพยายามสังเกตอาการของลูก โดยให้ลูก พยายามลุกขึ้นยืนและเดินมาหาเรา ลูกเดินได้ 4 ก้าว จากนั้นล้มลงอีกแล้วร้องไห้แหกปากไม่ฟังอะไรเลย เราจึงคิดว่า ไม่ได้ละ พรุ่งนี้ต้องพาไปหาหมอแล้วน่าจะเกิดความผิดปกติแน่นอน

เมื่อพบคุณหมอประจำ คุณหมอแนะนำว่าให้พบหมอระบบปลายประสาท พอพบหมอปลายประสาทเท่านั้นแหละ หมอได้ตรวจขั้นต้นได้ใช้ที่เคาะ เพื่อตรวจสอบระบบไฟฟ้าภายในตัว เริ่มจากเคาะแขน เคาะช่วงบน ไล่ลงมาถึงหัวเข่า ลูกเรามีอาการถีบเตะอย่างรุนแรง ทั้งสองข้าง หมอส่งลูกเรา เข้าเครื่อง MRI เพื่อตรวจสอบกระดูกไขสันหลัง เจาะเลือด และนอนดูอาการ

ผลที่ออกมาคือ กระดูกสันหลังปกติ แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ ลูกเรา ‼️ ขาดวิตามินซีแบบรุนแรง ขาดธาตุเหล็ก ซีดมากจนจะถึงขั้นเติมเลือด กล้ามเนื้อต้นขาอักเสบขั้นรุนแรง เนื่องจากโรคไมโครพลาสม่า ‼️

ตอนนั้นมืดแปดด้านเลยคะ กังวลเรื่องลูกไม่เดินแล้ว ยังมากังวลเรื่องอาหารการกิน คุณหมอแจ้งค่าวิตามินซี คนเราควรมีค่าวิตามินซี ที่ 2 ขึ้นไป แต่ลูกเรามี ค่าวิตามินซที่ 0.2 ซึ่งต่ำมาก ๆ วันแอดมิท คุณหมอได้อัดวิตามินซีทางสายน้ำเกลือทุก 8 ชม. เพื่อรีบให้ค่าวิตามินเพิ่มสูงขึ้นนอนแอดมิดเพื่อรับวิตามินซี 3 วัน 

ตอนนี้คุณหมอได้เพียงแต่ให้วิตามินซี และให้ทานธาตุเหล็ก นัดตรวจเลือดทุก ๆ 3 เดือน ‼️ ผักและผลไม้ มีประโยชน์มากนะคะ ถ้าบ้านไหนที่ลูกไม่ทาน คุณแม่สามารถหาซื้อวิตามินซีเม็ดอมเล่นทานเสริมให้น้องเถอะคะ ‼️ แค่เห็นลูกไม่เดินก็ใจจะขาดแล้ว นี่ต้องเดินไม่ได้ถึง 2-4 สัปดาห์แม่จิตตกมากเลยค่ะ

อัปเดตอาการ ตอนนี้น้องพอเริ่มเดินได้แล้วนะคะ ใจแข็งมากสู้ทุกสถานการณ์ เลือกทานบ้าง แต่น้ำส้มคั้นแม่ไม่ขาดเลย ฝากประสบการณ์ ที่แม่ ๆ ต้องระวัง เรื่องทานผักและผลไม้ ด้วยนะคะ เผื่อเป็นประโยชน์แก่แม่ ๆ ท่านอื่นค่ะ

  • การขาดวิตามินซี ทำให้เลือดซึมออกตามข้อต่อกระดูก ฟัน และที่ต่าง ๆ ตามร่างกาย ทำให้มีอาการปวด และเดินไม่ได้ ขาอ่อนแรง * เรื่องง่าย ๆ ที่เราปล่อยปละละเลย คือโภชนาการของลูก จัดระเบียบวินัยในการกิน แม่ต้องเตือนตัวเองถึงจะไม่ทาน ทำยังไงก็ได้ต้องให้ลูกได้ทาน จะหาจุดหลอกล่อ จะดูการ์ตูน จะพาไปทานข้าวข้างนอก ทำเถอะคะ จะได้ไม่มานั่งเสียใจภายหลัง "

จากกรณีนี้ เรามารู้วิธีฝึกให้ลูกกินผัก ผลไม้ อย่างได้ผลกันเลยค่ะ

ผักผลไม้สำคัญต่อเด็กอย่างไร ?

ผักและผลไม้อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ กากใยอาหาร และสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งการได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์และครบถ้วนตามหลักโภชนาการนั้น เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพที่ดี หากหลีกเลี่ยงการกินผักมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้

ดังนั้น เด็ก ๆ ควรกินผักประมาณ 4 ส่วน และผลไม้อีก 3 ส่วน ซึ่งผัก 1 ส่วนเทียบเป็นผักสุก 1 ทัพพี หรือผักดิบ 2 ทัพพี ในขณะที่ผลไม้ 1 ส่วนนั้นเทียบเท่ากับปริมาณผลไม้ที่ให้พลังงานประมาณ 60 แคลอรี่ ที่มีคาร์โบไฮเดรต 15 กรัม ซึ่งไม่มีโปรตีนและไขมัน แต่ปริมาณ 1 ส่วนของผลไม้ต้องขึ้นอยู่กับผลไม้แต่ละชนิดด้วย


เคล็ดลับเสริมสร้างนิสัยให้ลูกชอบกินผัก
  • เริ่มจากการเป็นตัวอย่างที่ดี วิธีฝึกให้เด็กกินผักที่ดีที่สุด คือ ให้เด็กซึมซับตัวอย่างจากพ่อแม่ เพราะเด็กมักทำตามสิ่งที่เห็นพ่อแม่ทำ
  • โดยอาหารในแต่ละมื้อของครอบครัวควรประกอบไปด้วยผักและผลไม้มากกว่าครึ่งหนึ่ง ให้เด็กกินผักผลไม้เป็นของว่าง แทนที่จะให้เด็กกินแต่ขนมขบเคี้ยวหรือของหวานที่ไม่มีประโยชน์ ในขณะเดียวกันก็ลดและจำกัดปริมาณของว่างอื่น ๆ ในตู้เย็นด้วย เพื่อให้เด็กเลือกกินผักผลไม้เป็นหลัก เปลี่ยนชนิดของผักหรือผลไม้ไปเรื่อย ๆ หากเด็กไม่ชอบกินคะน้าก็เปลี่ยนเป็นแครอท ให้ลูกได้ลองกินผักชนิดใหม่ ๆ ดู เผื่อจะเจอผักที่เด็กถูกใจและชอบกิน
  • เอ่ยชมบ่อย ๆ เมื่อเด็กกินผัก คำชื่นชมจากผู้ใหญ่จะทำให้เด็กรู้สึกดีและอยากกินผักมากขึ้นได้
  • ให้เด็กมีส่วนร่วมในการทำอาหาร อาจให้เด็กเลือกผักที่จะนำมาทำเป็นอาหารเมื่อไปจ่ายตลาด คอยช่วยล้างผัก ใส่ผักที่หั่นแล้วลงไปในหม้อหรือกระทะ หรือให้เด็กช่วยจัดจานด้วยผักต่าง ๆ ตามใจชอบ วิธีนี้จะช่วยให้เด็กอยากกินผักที่ตนเองได้มีส่วนร่วมในการทำมากขึ้น

 

ขอบคุณเรื่องราวจาก : คุณแม่ Beau Likky กลุ่ม HerKid รวมพลคนเห่อลูก , www.pobpad.com





 

​แม่ต้องเล่นใหญ่เบอร์ไหน ให้ฝึกวินัยลูกสำเร็จ!

การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก
 
คุณแม่แต่ละคนก็มีวิธีสอนลูก ฝึกวินัยลูก ที่แตกต่างกัน แต่อารมณ์ของคุณแม่ก็มักจะคล้ายๆ กัน ซึ่งมี 3 ระดับ คือ คุณแม่เบอร์ 1 คุณแม่เบอร์ 5 และคุณแม่เบอร์ 10 มาสำรวจกันค่ะ ว่าเราต้องเป็นแบบแม่เบอร์ไหน ที่จะฝึกวินัยลูกได้สำเร็จ แถมยังได้ใจลูกอีกด้วย


คุณแม่เบอร์  1

คุณแม่เบอร์นี้จะมีความใจเย็นเฉียบ มีความอดทนในการพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เก็บอารมณ์โมโหได้ เพราะเข้าใจลูกว่าลูกแค่ช้าไม่ได้ขี้เกียจหรือไร้วินัย แค่ต้องบอกบ่อยๆ เท่านั้นเอง

ทุกครั้งที่ฝึกวินัยลูก

- พูดบ่อย พูดไปเรื่อยๆ
- ไม่มีท่าทีหนักแน่น จริงจัง
- ไม่เน้นเสียง ไม่พูดเสียงดังกับลูก

ข้อดี

- ลูกไม่รู้สึกว่าโดนบังคับ รู้สึกแม่ใจดีจัง

ข้อเสีย

- ลูกไม่เชื่อฟังในเรื่องที่ต้องจริงจัง 
- จากสอนกลายเป็นคำบ่นที่ไร้ความหมาย  

คุณแม่เบอร์  5

เป็นคุณแม่ที่เก็บอารมณ์โมโหได้ แต่จะจริงจังในสิ่งที่บอก เน้นเสียงให้ลูกเข้าใจว่าแม่กำลังสอนอยู่ กำลังบอกอยู่ อยากให้ลูกทำ และก็มีเหตุผลเสมอ

ทุกครั้งที่ฝึกวินัยลูก        

- มักจะจริงจัง - เด็ดขาด
- มาพร้อมน้ำเสียงที่หนักแน่น จริงจัง ชัดเจน
- ไม่บังคับ แต่เพิ่มตัวเลือกให้ลูกตัดสินใจ

ข้อดี

- ลูกรับรู้ว่าแม่กำลังจริงจังกับสิ่งที่พูด คำพูดของแม่จึงมีความหมายบางอย่างที่ต้องทำตาม

ข้อเสีย

- ประเด็นที่อยากสอนอาจจะเปลี่ยน หากแม่เผลอใช้อารมณ์ 
- ต้องหาจุดสมดุลในการสอนให้เจอ

คุณแม่เบอร์ 10

เป็นคุณแม่ที่สอนพร้อมกับอารมณ์ส่วนตัว ขี้โมโห ไม่อดทนในการสอนลูก ไม่มีการบอกซ้ำครั้งที่สอง มักใช้เสียงดังขู่ลูกให้กลัวเสมอ

ทุกครั้งที่ฝึกวินัยลูก

- รุนแรง-ก้าวร้าว
- ทุกครั้งที่ฝึกวินัยลูก 
- ปรี๊ดแตกทันทีถ้าลูกไม่ฟัง
- ใช้คำพูดเชิงลบกับลูก เช่น ตำหนิ  ขู่ 

ข้อดี
- ไม่มีเลย แม่ที่ใช้อารมณ์ ลูกจะจดจำแต่อารมณ์โกรธ หงุดหงุด และไม่จำสิ่งที่แม่สอน

ข้อเสีย
- ปิดกั้นการรับรู้ และเรียนรู้สิ่งที่แม่ต้องการสอนได้น้อยลง เพราะลูกรู้สึกว่า “ถูกตำหนิ” จากคำพูดเชิงลบของแม่ 

เป็นการหยิบยกมาแค่ 3 ระดับนะคะ คุณแม่บางท่านอาจจะมีหลายเบอร์แล้วแต่สถานการณ์ก็ได้ ทางที่ดีต้องสอนลูกแบบคุณแม่เบอร์ 1 และ คุณแม่เบอร์ 5 สลับกันไปค่ะ
 

 
 

โดย พญ.เสาวภา พรจินดารักษ์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรมเด็กโรงพยาบาล BNH เจ้าของเพจ “หมอเสาวภา เลี้ยงลูกเชิงบวก” งานรักลูกEF@school ที่โรงเรียนเกษมพิทยา

 
--------------------------------------------------------------------------------


 
ตัวช่วยสำหรับคุณพ่อคุณแม่ แก้ปัญหา ปรับพฤติกรรมให้เด็กๆ ได้ด้วย ชุดหนังสือนิทานและเกมพัฒนาทักษะ EF พร้อมรับฟรี!! กิจกรรมสนุกๆ และเกมเล่นล้อมรัก รวมมูลค่ากว่า 3,000 บาท
 
สินค้ามีจำนวนจำกัด ขอสงวนสิทธิ์เปลี่ยนแปลงของสมนาคุณตามเงื่อนไขของบริษัทฯ
สอบถามและสั่งซื้อสินค้าได้ที่ Line@ : @raklukeclub (คลิกที่ภาพได้เลยค่ะ)
 

แม่ไม่เคยรู้มาก่อน “ลูกกำลังโต ยิ่งเรียนรู้ ยิ่งควรดื่มนมชง”

4979 1

ลูกวัยกำลังโตจำเป็นต้องได้รับสารอาหารที่หลากหลาย เพื่อส่งเสริมการทำงานของร่างกายและสมองให้พร้อมเรียนรู้ แต่คุณแม่ทราบไหมคะว่า ทำไมลูกอนุบาลและลูกวัยเรียนยังต้องดื่มนมชง? ด้วยเหตุผลที่รับรองเลยว่า ถ้าแม่รู้แล้วจะอยากให้ลูกได้ดื่มนมชงต่อเนื่องไปจนโตแน่นอนค่ะ

ในแต่ละวันที่ลูกไปโรงเรียน คุณแม่มั่นใจไหมคะว่าลูกจะกินอาหารที่หลากหลาย กินข้าวหมดจานในทุกมื้อ ยิ่งวัยกำลังโตที่เลือกกินมากขึ้น สนใจทำกิจกรรมและการเล่นมากกว่าการกิน อาจทำให้ลูกได้รับสารอาหารไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายและสมอง สุดท้ายแล้วคุณแม่อาจเกิดความไม่มั่นใจได้ว่า ในแต่ละวัน ลูกจะได้สารอาหารครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการมั้ย

เชื่อเลยว่าคุณแม่หลายคนเลือกให้ลูกดื่มนมเพื่อเสริมโภชนาการ และนม UHT ก็เป็นทางเลือกหนึ่งเพราะความสะดวกรวดเร็วสามารถพกพาไปสถานที่ต่างๆ ได้ง่าย แต่นมยูเอชทีอาจมีข้อจำกัดจากการผลิต ทำให้เติมสารอาหารต่างๆ ทั้งชนิดและปริมาณได้น้อยกว่านมผง คุณแม่มาเช็กกันดีกว่าว่านมที่ลูกดื่มมีสารอาหารต่างๆ เหล่านี้แล้วหรือยัง

ตัวอย่างสารอาหารและแร่ธาตุที่ลูกวัยเรียน 3-8 ปี ควรได้รับในทุกวัน*

4979 4
 

4979 2

นมผงมีทั้งสารอาหารและแร่ธาตุหลากหลาย มีให้เลือกอร่อย หลากหลายรสชาติ การให้ลูกได้ดื่มอุ่น เป็นการช่วยระบบไหลเวียนโลหิตของร่างกาย สามารถเลือกนมผงที่ราคาย่อมเยา แต่ยังให้สารอาหารที่หลากหลายใน 1 แก้ว ราคาคุ้มค่าสบายกระเป๋ากว่า  

วิตามินและแร่ธาตุบางชนิด คุณแม่อาจจะแทบไม่เคยได้ยินและไม่รู้ว่าลูกต้องการ แถมยังเป็นสารอาหารที่ลูกได้รับไม่เพียงพอจากพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสม นมผงสำหรับเด็กโตจึงเป็นทางเลือกที่ดีในการเสริมโภชนาการให้กับลูก เพราะมีการเติมสารอาหารรวมถึงวิตามินและแร่ธาตุหลากหลาย จึงเป็นนมที่เหมาะสำหรับลูกวัยเรียนรู้ของเรา ซึ่งนอกจากสารอาหารที่หลากหลายแล้ว นมผงสำหรับเด็กโตยังมีความว้าวที่คุณแม่ต้องเปลี่ยนใจมาลองอีกหลายเหตุผล

ทำไมนมผงถึงดีกับลูกวัยกำลังโต

นั่นเป็นเพราะร่างกายลูกกำลังต้องการสารอาหารที่หลากหลาย เพื่อไปช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกายทุกส่วน ทั้งกระดูก กล้ามเนื้อมัดเล็ก กล้ามเนื้อมัดใหญ่ รวมไปถึงสารอาหารที่จะไปช่วยในการทำงานของสมองและระบบประสาท หากลูกได้รับสารอาหารและแร่ธาตุที่หลากหลาย ตรงตามความต้องการของร่างกายในทุกวัน ก็เท่ากับเป็นการสร้างความพร้อมให้เขาออกไปเล่นและเรียนรู้ได้อย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งเท่ากับว่าคุณแม่มืออาชีพอย่างเราเข้าใจพัฒนาการและส่งเสริมลูกได้อย่างถูกต้องค่ะ

เทคนิคดื่มนมผงชนิดชงสำหรับลูกวัยเรียนวันละ 2 แก้วแบบไม่ยุ่งยาก

4979 3

1. ชงดื่ม 1 แก้วก่อนไปโรงเรียน หรือ ชงใส่แก้วปิดฝาไว้ดื่มในรถหากเร่งรีบ

2. ชงดื่ม 1 แก้วหลังเลิกเรียนกลับบ้าน หรือ ก่อนเข้านอน

ครั้งต่อไปที่กำลังจะเลือกซื้อนมให้ลูก ลองเช็กสารอาหารและแร่ธาตุให้ดีก่อนค่ะ ว่าหลากหลายเหมาะกับความต้องการของลูกแล้วหรือยัง เพราะถ้าเทียบกับความคุ้มค่าในระยะยาวที่ลูกมีพัฒนาการดีสมวัย ฉลาดเรียนรู้ การเลือกนมผงสำหรับลูกวัยกำลังโตก็จะเหมาะกับคุณแม่ช่างเลือกและใส่ใจลูกอย่างเราค่ะ

*สำนักโภชนาการ กรมอนามัย

(พื้นที่เพื่อการโฆษณาและประชาสัมพันธ์)

 

โรค 'ฮิคิโคโมริ' เด็กอยากอยู่ห้อง ไม่ชอบเจอคน ต้นเหตุจากครอบครัว ภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม

 
การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก-ฮิคิโคโมริ-โรคฮิคิโคโมริ-Hikikomori

โรค 'ฮิคิโคโมริ' เด็กอยากอยู่ห้อง ไม่ชอบเจอคน ต้นเหตุจากครอบครัว 

“ฮิคิโคโมริ” ไม่ใช่โรคใหม่ แต่มีมานานมากแล้ว มักเกิดขึ้นในแทบเอเชียเราด้วย ล่าสุดด้านสำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นเปิดเผยผลสำรวจพบว่า ปัจจุบันมีกลุ่มเด็กญี่ปุ่นที่มีอาการฮิคิโคโมริมากถึง 2 - 3 ล้านคน ซึ่งเป็นพฤติกรรมของเด็กที่แยกตัวออกมาจากสังคม พยายามพบเจอผู้คนให้น้อยที่สุด และชอบเก็บตัวในห้องส่วนตัว หรือในบ้านเป็นระยะเวลานานๆ โดยไม่อยากไปโรงเรียน

ซึ่งเด็ก ๆ เหล่านี้ก็อาจจะอ่านหนังสือการ์ตูน เล่นเกม ดูทีวี หรืออยู่ในห้องคนเดียวได้เป็นเดือนๆ เป็นปีๆ อาการแบบนี้ไม่ธรรมดาเลยนะคะ แต่ประเทศไทยยังไม่พูดถึงอาการนี้ อาจจะมองว่าเป็นคนชอบเก็บตัว แต่ถ้าเกิดขึ้นกับเด็กที่ต้องมีพัฒนาการที่สมวัย เล่น เรียนรู้ ไม่ใช่เก็บตัว พ่อแม่ผู้ปกครองต้องคอยสังเกตลูกหลานให้ดี และหากพบว่ามีอาการ “ฮิคิโคโมริ” ต้องรีบปรึกษาจิตแพทย์เพื่อแก้ไขพฤติกรรมโดยด่วนค่ะ

สาเหตุที่ทำให้เด็กเป็นโรคฮิคิโคโมริ

ถูกกดดันเรื่องการเรียน ถูกคาดหวังให้เก่งมากไป จากครอบครัว เป็นคนขี้อาย มีปมกลัวการเข้าสังคมด้วยหลากหลายเหตุผล ถูกกลั่นแกล้งจากเพื่อนหรือคนรอบข้าง พูดไม่เก่ง ไม่กล้าปฏิเสธ ยอมคน มีอารมณ์อ่อนไหวกับคำวิจารณ์มาก เมื่อเจ็บปวดก็ยอมรับไม่ได้  ชอบหนีปัญหา และค่อยๆ ทำตัวให้ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก

ทุกวันนี้ รูปแบบและวิถีชีวิตเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ทั้งระบบการศึกษาแบบแข่งขันทุกรูปแบบ และด้วยเทคโนโลยีสารพัดที่ถาโถมเข้าใส่เด็กและเยาวชนในปัจจุบัน บวกกับพ่อแม่ไม่มีเวลาอยู่กับลูก เราจะพบเห็นเด็กจำนวนมากที่เริ่มปลีกตัวจากสังคม และอยากอยู่คนเดียวโดยไม่สนใจผู้อื่นเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

 

หากอยากให้ลูกมีความสุขกับชีวิต ห่างไกลจาก “โรคฮิคิโคโมริ” ควรทำดังนี้ค่ะ

  1. ให้เวลากับลูก

ถ้าคุณเป็นพ่อแม่ที่ชอบพูดว่าไม่มีเวลา ต้องหันมาสำรวจตัวเองแล้วล่ะค่ะว่าเราทำงานหนักไปเพื่ออะไร ถ้าคำตอบเพื่อหาเงินมาดูแลลูก ลองถามลูกดูว่าลูกต้องการสิ่งของ หรือต้องการอยู่กับพ่อแม่มากกว่ากัน เวลาเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับลูกน้อยนะคะ

  1. ต้องคิดบวก 

วิธีคิดบวกเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับพ่อแม่ที่ต้องมีต่อลูก เพราะการคิดบวกจะส่งต่อวิธีคิดไปสู่ลูกด้วย เช่น ถ้าลูกมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม แทนที่พ่อแม่จะใช้วิธีดุด่าว่ากล่าว อาจเปลี่ยนไปใช้วิธีพูดเพื่อให้กำลังใจที่เชื่อว่าลูกสามารถแก้ไขได้และปรับปรุงได้

  1. ทำกิจกรรมครอบครัว

ต้องมีเวลาทำกิจกรรมครอบครัว คุณพ่อคุณแม่สามารถคิดกิจกรรมให้เหมาะสมกับวัยของลูก ทั้งยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีด้วย เพราะการมีกิจกรรมครอบครัวที่ดีอย่างสม่ำเสมอ จะได้เปิดโอกาสพูดคุยกันทุกเรื่องกับลูกได้อย่างไม่เขินอาย

  1. รับฟังลูกให้มากขึ้น

หากที่ผ่านมาคุณไม่ค่อยได้รับฟังลูก ก็ให้เปิดใจและรับฟังลูกให้มากขึ้นนะคะ เพราะการรับฟังเป็นจุดเริ่มต้นของการทำความเข้าใจ และสร้างสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน พ่อแม่จะได้เข้าใจวิธีคิดของลูกว่าลูกคิดอย่างไรต่อเรื่องนั้นๆ และจะทำให้เราสามารถสอดแทรกบางเรื่องที่ต้องการให้ลูกเรียนรู้ได้ด้วย 

  1. เพิ่มทักษะสร้างสรรค์

ลดการเรียนกวดวิชาของลูกลง แล้วเพิ่มกิจกรรมสร้างสรรค์ที่เหมาะกับลูก ให้เริ่มจากกิจกรรมที่ลูกชอบ และกิจกรรมที่สามารถเพิ่มทักษะชีวิตให้ลูกนอกห้องเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทักษะชีวิตที่ช่วยเสริมความมั่นใจ เสริมศักยภาพบางด้านของลูก

  1. ให้ความไว้วางใจ

พ่อแม่ขี้ระแวงไม่ค่อยไว้ใจลูก ไม่คิดว่าลูกจะทำได้ กังวลไปทุกเรื่อง ลูกต้องเครียดแน่ๆ ทางที่ดีพ่อกับแม่ต้องแสดงให้ลูกเห็นว่าไว้ใจลูกเสมอ เปิดโอกาสให้เขาได้ทำอะไรด้วยตัวเอง ให้เขาได้กล้าแสดงออก จะทำให้ลูกเกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง และเขาจะเติบโตขึ้นไปด้วยความไว้วางใจผู้อื่นต่อไปด้วย

 

ถ้าไม่อยากให้ลูกเป็น โรค 'ฮิคิโคโมริ' เด็กอยากอยู่ห้อง ไม่ชอบเจอคน ต้นเหตุจากครอบครัว ภัยเงียบที่พ่อแม่ไม่ควรมองข้าม ต้องทำ 6 ข้อข้างต้นให้ได้ค่ะ

โรคดื้อ หรือ ODD ที่พ่อแม่ต้องทำความรู้จักไว้

โรคดื้อ-ลูกดื้อ- ลูกดื้อจะทำยังไงดี- เด็กก้าวร้าว- ลูกขี้โมโห-ลูกชอบเถียง-ลูกเอาแต่ใจ 

'โรคดื้อ' หรือ ODD ที่พ่อแม่ต้องทำความรู้จักไว้

ทำไมลูกดื้อแบบนี้? ต่อไปนี้อาจจะไม่ใช่แค่คำพูดดุแล้วนะคะ เพราะหากเด็กมีลักษณะที่ดื้อผิดปกติ จนมีผลกระทบต่อการเรียน การใช้ชีวิต จนพ่อกับแม่และคนรอบข้างทนไม่ไหว ก็ไม่ใช่แค่ดื้อตามพัฒนาการปกติทั่วไปแล้วค่ะ เพราะเด็กอาจจะเป็น 'โรคดื้อ'(Oppositional Defiant Disorder) หรือที่เรียกว่า โอดีดี (ODD) ก็ได้ค่ะ

 

คู่มือการวินิจฉัยและสถิติสำหรับความผิดปกติทางจิต ของสมาคมจิตเวชศาสตร์สหรัฐอเมริกาได้ให้นิยามว่า “เป็นรูปแบบพฤติกรรมต่อเนื่องของการไม่เชื่อฟัง ที่แสดงออกด้วยอารมณ์โกรธเป็นหลัก รวมไปถึงการทำตนเป็นปรปักษ์และดื้อด้านต่อผู้ใหญ่เป็นประจำ ในระดับที่มากเกินกว่าเด็กปกติทั่วไป เด็กที่มีความผิดปกติดังกล่าวดูภายนอกแล้วจะเป็นเด็กที่ดื้อมากและโกรธง่าย”

โรคดื้อมีอาการเด่นๆ 4 อาการ แต่ต้องเป็นแบบนี้อยู่นานติดต่อกันเกิน 6 เดือน ดังนี้
  1. ต่อต้าน เด็กจะลุกขึ้นมาต่อต้านอย่างรุนแรงจนดูเกินวัย ท้าทาย และฝ่าฝืนคำสั่งของผู้ใหญ่ และกฎเกณฑ์บ่อยๆ

  2. ไม่เป็นมิตร เด็กจะไม่ค่อยมีเพื่อน และไม่อยากมีเพื่อน ชอบตั้งใจแกล้งรบกวนคนอื่น โยนความผิดให้คนอื่นเสมอ

  3. โมโหง่าย เรื่องเล็กน้อยก็โกรธง่าย และหายยาก หากถูกขัดใจหรือพ่อแม่ไม่ตามใจ เขาจะดูโกรธจนเคียดแค้นผิดปกติ ชอบมองโลกในแง่ร้าย

  4. ไม่ควบคุมอารมณ์ เด็กจะทำทุกอย่างตามอารมณ์ จะเถียง และทะเลาะกับผู้ใหญ่บ่อยๆ ชอบแก้แค้น อาฆาตพยาบาทบ่อยๆ

ถ้าหากลูกหลานมีพฤติกรรมตาม 4 ข้อนี้ ก็อย่ากังวลไปนะคะ เพราะรักษาได้ด้วยการพาไปพบจิตแพทย์เด็ก นักบำบัด หรือผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับพัฒนาการของเด็กค่ะ ไปหาทางออกร่วมกัน เพื่อที่โตไปเด็กๆ จะได้เป็นคนที่ดีขึ้นค่ะ


  

โรคหัดระบาด สาธารณสุขเตือน! พ่อแม่พาลูกฉีดวัคซีนโรคหัด

 โรคหัด, หัดเยอรมัน, หัดระบาด, โรคหัดระบาด, เด็กเล็ก, โรคระบาด, ฤดูหนาว, หน้าหนาว

โรคหัด คือโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ ที่เกิดจากไวรัสที่สามารถแพร่เชื้อและติดต่อกันได้ผ่านทางอากาศหรือการสัมผัสน้ำมูก และน้ำลายของผู้ป่วยโดยตรง ซึ่งเชื้อไวรัสตัวนี้จะเข้ามาทางระบบทางเดินหายใจก่อน แล้วจึงแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย โดยส่วนใหญ่แล้วมักเกิดในเด็กเล็ก ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุการเสียชีวิตของเด็กมากที่สุด แม้จะมีวัคซีนฉีดป้องกันโรคแล้วก็ตาม

ป้องกันได้ด้วยวัคซีนโรคหัด โรคหัดป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัด ซึ่งอยู่ในรูปวัคซีนรวมป้องกันหัด คางทูม หัดเยอรมัน (MMR) เข็มแรกของวัคซีนสามารถป้องกันโรคหัดได้ประมาณ 93% หากได้รับสองเข็มจะมีประสิทธิภาพป้องกันได้ 97%

สำหรับตารางการฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัดในประเทศไทย MMR

เข็มแรก 9-12 เดือน เข็มที่สอง 2 1/2 ปี – 6 ปี ให้วัคซีนครั้งแรกเมื่ออายุ 9-12 เดือนขึ้นไป และครั้งที่ 2 เมื่ออายุ 4-6 ปี ควรพิจารณาให้ฉีดเร็ว (อายุ 9 เดือน) ในพื้นที่ ๆ ยังมีรายงาน โรคหัดจำนวนมากในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี และควรฉีดช้า (อายุ 12 เดือน) ในพื้นที่ๆ มีรายงานโรคหัดจำนวนน้อยในเด็กต่ำกว่า 1 ปี

การฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 อาจให้ได้ตั้งแต่อายุ 2 1/2 ปี ตามแผนปฏิบัติงานของกระทรวงสาธารณสุข

กรณีที่มีการระบาดหรือสัมผัสโรคอาจฉีดเข็มที่ 2 เร็วขึ้นก่อนอายุ 4 ปีได้ โดยต้องห่างจากเข็มแรกอย่างน้อย 3 เดือน

การรักษาเป็นอย่างไร สำหรับการรักษาโรคหัด เป็นโรคที่ไม่มียาต้านไวรัสจำเพาะสำหรับโรคหัด โดยการรักษาแพทย์จะประคับประคองอาการทางการแทพย์ ช่วยบรรเทาอาการและลดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ  เช่น การติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน เป็นต้น

 

พญ.ฐิติอร  นาคบุญนำ กุมารแพทย์ด้านโรคติดเชื้อ ศูนย์สุขภาพเด็ก โรงพยาบาลพญาไท 3

 

โรคหูน้ำหนวก หลังเด็กเป็นหวัด รู้ไม่ทัน อาจถึงขั้นหูหนวกได้

โรคหูน้ำหนวกในเด็ก, โรคหูน้ำหนวกในเด็ก สาเหตุ, โรคหูน้ำหนวกในเด็ก อาการ, การอักเสบของเยื่อบุหูชั้นกลาง, น้ำเข้าหู, แคะหู 

คุณพ่อคุณแม่หลายท่านเข้าใจผิดว่า โรคหูน้ำหนวกหรือการอักเสบของเยื่อบุหูชั้นกลาง เกิดจากน้ำเข้าหู ความจริงแล้วไม่ใช่นะคะ

แต่การเอามือสกปรกไปแคะ ไปเขี่ย หรือบังเอิญในน้ำสกปรกมีเชื้อโรคบางตัวอยู่ก็อาจทำให้ติดเชื้อได้ โรคนี้เด็ก ๆ เป็นกันเยอะ พ่อแม่ต้องรู้จักสัญญาณเตือนโรคไว้นะคะ ก่อนจะอันตรายไปมากกว่านี้

อาการอักเสบของหูชั้นกลาง แบ่งเป็น 3 ลักษณะ
  1. การอักเสบอย่างเฉียบพลัน

เกิดจากการติดเชื้อ ไม่ได้เกิดจากการที่น้ำเข้าหู หรือการแคะหู เป็นเชื้อโรคในระบบทางเดินหายใจ เช่น เชื้อโรคจากโพรงจมูกอักเสบ ลำคอ หรือทอนซิลอักเสบ เชื้อโรคเหล่านี้จะทำให้เกิดการอักเสบขึ้น ส่วนใหญ่มักจะเป็นในเด็กเล็ก เด็กมักจะมีอาการปวดหู งอแง มีไข้ มีอาการติดเชื้อ มีน้ำมูก ถ้าเป็นเด็กโตพอคุยรู้เรื่อง อาจจะบอกว่า การได้ยินของเขาลดลง

  1. อาการอักเสบเป็นระยะเวลานาน

อักเสบนานประมาณ 2-3 สัปดาห์ติดต่อกัน ทำให้บริเวณหูชั้นกลางมีน้ำ หรือของเหลวขังอยู่ภายใน ผู้ป่วยมักจะมีอาการ หูอื้อ คล้าย ๆ กับการดำน้ำ หรือ ขึ้นเครื่องบิน อาการไม่รุนแรง แต่จะรำคาญมาก บางคนเป็นอยู่นานเป็นเดือน




3. การอักเสบอย่างรุนแรงในหูชั้นกลาง

จนแก้วหูทะลุ มีน้ำหนองไหลออกมา และมีกลิ่นเหม็น กรณีนี้เองที่เรียกว่า โรคหูน้ำหนวก บางคนอาจเป็นแค่ 2-3 สัปดาห์ อาการก็ดีขึ้น แต่ในรายที่มีอาการรุนแรง เป็นนาน ๆ ตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป หรือเป็นนานหลายปี ลักษณะดังกล่าวเรียกว่า เป็นโรคหูน้ำหนวกเรื้อรัง หรือหูชั้นกลางอักเสบชนิดเรื้อรัง มีอาการหูอื้อเป็นระยะ การได้ยินลดลง ผู้ป่วยอาจมีภาวะติดเชื้อมากขึ้น และอาจถึงขั้นหูหนวกได้


โรคหูน้ำหนวกในเด็ก เกิดจากอะไร

โรคหูน้ำหนวกในเด็ก เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ส่วนใหญ่เกิดหลังจากการเป็นหวัด โดยเชื้อโรคจะเกิดขึ้นจากคอผ่านไปยังหูชั้นกลางและทำให้เยื่อบุหูชั้นกลางอักเสบ หูน้ำหนวกสามารถแบ่งได้ 3 ชนิด คือ หูน้ำหนวกชนิดเฉียบพลัน หูน้ำหนวกชนิดใส และหูน้ำหนวกชนิดเรื้อรัง

ทั้งนี้หูน้ำหนวกชนิดเฉียบพลัน เป็นโรคที่พบบ่อยในเด็กเล็ก ภายหลังจากการเป็นหวัด หรือเป็นโรคที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจ มักมีอาการค่อนข้างรุนแรงซึ่งอาการของโรคโดยทั่วไป เด็กจะมีอาการปวดหูมากและเป็นไข้ ต่อมาอาจมีแก้วหูทะลุและมีน้ำหนวกไหล

การรักษาโรคหูน้ำหนวกในเด็ก

หูน้ำหนวกชนิดใส

เกิดจากการทำงานของท่อระบายอากาศในหูชั้นกลางบกพร่อง ทำให้มีน้ำขัง เด็กจะรู้สึกเหมือนมีน้ำขังอยู่ในหูตลอดเวลา มักเป็นหลังการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน เช่น หวัด ไซนัสอักเสบโรคภูมิแพ้ทางจมูก มักมีอาการปวดหูเล็กน้อย หูอื้อ เสียงก้องในหูการรักษาจะรักษาโรคที่เป็นต้นเหตุของน้ำในหูชั้นกลางควบคู่กับการให้ยา ถ้าไม่หายภายใน 3 เดือน ต้องรักษาด้วยการผ่าตัด โดยการเจาะแก้วหูเพื่อดูดน้ำออกจากหูชั้นกลาง และใส่ท่อระบาย

หูน้ำหนวกชนิดเรื้อรัง

เกิดจากภาวะที่มีอาการอักเสบของหูชั้นกลางมากกว่า 3 เดือน และมีแก้วหูทะลุ มีน้ำหนวกไหล อาจมีอาการตลอดเวลา หรือเป็น ๆ หาย ๆ เกิดจากการที่เป็นหูน้ำหนวกเฉียบพลัน แล้วไม่ได้รับการรักษาปล่อยไว้จนอักเสบเรื้อรัง

  1. หูอักเสบเรื้อรังชนิดไม่รุนแรง มีแก้วหูทะลุ มีน้ำหนวกไหลเป็นระยะ รักษาด้วยการกินยาและหยอดยา หรือผ่าตัดปะแก้วหูเมื่อหูแห้ง

  2. หูอักเสบชนิดเรื้อรังรุนแรง เกิดโรคแทรกซ้อน เช่น ฝีหลังหู หน้าเบี้ยว เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ฝีในสมอง หูหนวก เวียนศีรษะ ชัก เป็นต้น รักษาโดยการผ่าตัด

รู้จักโรคหูน้ำหนวกกันมากขึ้นแล้วนะคะ เป็นโรคที่รักษาหายขาดได้ แต่ถ้าหากลูกเป็นหวัด เป็นไข้ ต้องระวังอาการแทรกซ้อนอย่างโรคหูน้ำหนวกให้ดีเลยค่ะ ควรดูแลสุขอนามัยของลูกอย่างถูกวิธี ไม่แคะหู ระวังน้ำสกปรกเข้าหู ตลอดจนให้ลูกกินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย และพักผ่อนอย่างเพียงพอนะคะ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก :   เว็บไซต์แนวหน้า, นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ , นายแพทย์สมเกียรติ ลลิตวงศา

โรคเบาจืดในเด็ก เป็นแล้วรักษาไม่หาย ภัยร้ายมากกว่าที่คิด!

โรคเบาจืด- โรคเบาจืดในเด็ก- โรคเด็ก- อาการโรคเบาจืด- วิธีสังเกตอาการโรคเบาจืด- สาเหตุของโรคเบาจืด- ความแตกต่างของโรคเบาจืดกับเบาหวาน- โรคเบาจืดคือโรคอะไร

คุณแม่เคยได้ยินโรคเบาจืดไหมคะ? อาการของโรคอาจดูไม่ร้ายแรง แต่ความจริงอันตรายมากกว่าที่คิด หากลูกเป็นแล้วไม่สามารถรักษาให้หายได้ ที่แย่กว่านั้นคือลูกต้องกินยาไปตลอดชีวิตค่ะ เรามาดูวิธีสังเกตอาการของโรคเบาจืดกัน 

โรคเบาจืด คืออะไร

เบาจืด (Diabetes Insipidus) คือโรคที่ร่างกายสูญเสียความสมดุลของน้ำ โดยมีผลมาจากความผิดปกติของฮอร์โมนแอนติไดยูเรติก (Antidiuretic Hormone) ซึ่งก่อให้เกิดอาการกระหายน้ำอย่างรุนแรง ส่งผลให้ผู้ป่วยดื่มน้ำมากผิดปกติ และปัสสาวะออกมามาก ซึ่งผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง อาจถึงขั้นปัสสาวะมากถึงวันละ 20 ลิตรได้ ซึ่งคนปกติจะปัสสาวะเพียงวันละประมาณ 1-2 ลิตรเท่านั้น โดยปัสสาวะที่ออกมาจะไม่มีกลิ่น ไม่มีสี และมีรสจืด จึงเรียกโรคนี้ว่า "โรคเบาจืด" สาเหตุมาจากการดื่มน้ำในปริมาณมากจนส่งผลให้สารต่าง ๆ ที่ก่อสีและกลิ่นในปัสสาวะเจือจางลงมากจนปัสสาวะเกือบมีลักษณะเหมือนน้ำแท้ ๆ

โรคเบาจืด ทำให้เกิดอาการอย่างไร
  1. ผู้ป่วยจะกระหายน้ำบ่อย
  2. ปัสสาวะบ่อย และครั้งละมาก ๆ ปัสสาวะมักไม่มีสี หรือกลิ่น
  3. เด็กมีภาวะการเจริญเติบโตช้า น้ำหนักขึ้นไม่ดี
  4. อาจมีการปวดบริเวณเอว ท้องน้อย เนื่องจากการคั่งของปัสสาวะ 
สาเหตุ
  1. ร่างกายขาดฮอร์โมนเก็บน้ำจากโรคต่อมใต้สมอง
  2. ไตไม่ตอบสนองกับฮอร์โมนเก็บน้ำ มักเป็นความผิดปกติ แต่กำเนิดหรือถ่ายทอดทางพันธุกรรม
รักษาโรคเบาจืดอย่างไร
  1. ใช้ยาตามแพทย์สั่งให้ครบ และตรงเวลาสม่ำเสมอ ห้ามหยุดยาหรืองดยาไปเอง ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  2. ดื่นน้ำให้เพียงพอ
  3. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็ม
โรคเบาจืด ต่างจากโรคเบาหวานอย่างไร

โรคเบาจืด (Diabetes insipidus) เป็นคนละโรคกับโรคเบาหวาน (Diabetes mellitus) เพียงแต่มีชื่อคล้าย ๆ กัน และมีความผิดปกติทางด้านปัสสาวะเหมือนกันทั่งคู่ การแยกโรคทั้ง 2 นี้ ในเบื้องต้นสามารถกระทำได้โดยการตรวจปัสสาวะ ซึ่งจะพบลักษณะจำเพาะ ของโรคแต่ละโรค ถ้าเป็นเบาจืดจะตรวจไม่พบน้ำตาลในปัสสาวะ ไม่มีกลิ่น ไม่มีสี และไม่ได้มีเกลือแร่  ส่วนผู้ที่เป็นเบาหวานนั้นจะตรวจพบน้ำตาลในปัสสาวะค่ะ

วิธีป้องกัน
  1. การระมัดระวังไม่ให้เกิดอุบัติเหตุทางสมองหรือที่ศีรษะ 
  2. ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาทุกครั้ง 
  3. ร่วมไปกับการดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงและรักษาสุขภาพจิตให้ดี

คุณพ่อคุณแม่อาจจะคิดว่าน้องปวดปัสสาวะธรรมดา กระหายน้ำปกติ แต่ถ้าไม่สังเกตอาการให้ดีและปล่อยไว้นานอาจจะกลายเป็นโรคร้ายที่อันตรายต่อเด็กๆ ได้ค่ะ ที่น่ากลัวกว่านั้นคือ ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาจืดแล้ว จะไม่มีทางรักษาให้หาย และที่สำคัญต้องกินยาตลอดชีวิตค่ะ

ในวันที่ลูกถูกเพื่อนแกล้ง บทบาทของพ่อแม่ต้องทำอย่างไร

การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก-ลูกโดนเพื่อนแกล้ง- ลูกโดนแกล้ง- วิธีรับมือเมื่อลูกโดนกลั่นแกล้ง

เมืื่อลูกถูกเพื่อนแกล้ง สัญญาณแบบไหนที่บอกว่าลูกถูกแกล้งแน่ ๆ พ่อแม่ต้องทำอย่างไร มาหาคำตอบกันค่ะ 

ในวันที่ลูกถูกเพื่อนแกล้ง บทบาทของพ่อแม่ต้องทำอย่างไร

ปี 2563 กรมสุขภาพจิตเปิดเผยว่าเด็กนักเรียนไทยถูกแกล้งติดอันดับ 2 ของโลก และในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาด้วยสถานการณ์โควิด 19 ทำให้เด็กหลายคนต้องเรียนออนไลน์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการกลั่นแกล้งกันในโรงเรียนจะหมดไปเสียทีเดียว

ยิ่งเมื่อโรงเรียนเปิดเรียนออนไซต์แล้ว แนวโน้มที่เด็กจะถูกแกล้งในโรงเรียนก็มีเยอะขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระดับอนุบาล ประถมศึกษา หรือระดับมัธยมศึกษา พ่อแม่ต้องหมั่นสังเกตพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของลูก รู้จักบทบาทของตนเอง เพื่อช่วยลูกหาทางรับมือกับการกลั่นแกล้งในโรงเรียนให้ได้

สัญญาณว่าลูกถูกรังแก

1. ร้องไห้ ไม่อยากไปโรงเรียน

2. ลูกเปลี่ยนไป จากเด็กร่าเริง สดใส กลายเป็นเด็กขี้อาย เก็บตัว ไม่เล่นกับใคร

3. ผลการเรียนต่ำลง พัฒนาการถดถอย 

4. เงียบ ไม่ร่าเริงสดใส

5. เมื่อพูดถึงเพื่อน ๆ ที่โรงเรียน ลูกมักไม่อยากตอบ ไม่ค่อยมีเพื่อน 

6. มีบาดแผลตามร่างกาย 


 

บทบาทของพ่อแม่จะช่วยลูกได้อย่างไร

1. เปิดใจ เปิดโอกาสให้ลูกได้พูดถึงความรู้สึก เพื่อให้รับรู้ว่าลูกรู้สึกอย่างไร

2. มีท่าทีที่ดี เมื่อคุณครูบอกเล่าถึงพฤติกรรมของลูกเมื่ออยู่โรงเรียน อย่าเพิ่งติดป้ายเด็กคู่กรณีว่าเป็นเด็กมีปัญหา เพราะเขาอาจทำผิดพลาดและมีโอกาสที่จะสำนึกผิดได้

3. คุยกับพ่อแม่ของเด็กที่แกล้งลูก และครู เพื่อหาทางออกร่วมกัน

4. หากเหตุการณ์รุนแรงมาก และอีกฝั่งไม่ได้มีท่าทีสำนึกผิดใด ๆ ต้องให้กฎหมายเข้าช่วยปรับพฤติกรรมเด็ก เพื่อเป็นตัวอย่างว่าอย่าไปแกล้งใครรุนแรงแบบนี้ และอาจย้ายโรงเรียนลูกเป็นทางออกสุดท้าย

หากลูกถูกแกล้งไม่ว่าจะรุนแรงหรือไม่รุนแรงมาก พ่อแม่คือพื้นที่ปลอดภัยของลูก หาทางออกของผู้ใหญ่แล้ว อย่าลืมรักษาจิตใจของลูกเพราะการถูกแกล้งส่งผลกระทบต่อจิตใจเด็กในระยะยาว

นอกจากนี้ อย่าลืมสอนลูกเรื่องการขอโทษ การให้อภัย และการยิ้มนะคะ เพราะจะทำให้ลูกเรามีเกราะป้องกัน "หัวใจ" ตัวเองได้ดีเยี่ยม เขาจะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่รู้อะไรควร ไม่ควร และเข้าใจความเป็นมนุษย์มากขึ้นว่า ทุกคนสามารถทำเรื่องผิดพลาดได้ แต่เราก็รู้จักการให้อภัย แก้ไข และปรับตัวเพื่ออยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขค่ะ

เมื่อปกป้องลูกแล้วอย่าลืมสร้างกำลังใจให้เขาด้วย เพราะพ่อแม่เป็นคนสำคัญที่จะช่วยสร้างกำลังใจให้ลูก สอนเขาให้มีความเชื่อมั่น และกล้าปกป้องตัวเองเมื่อถูกรังแก ย้ำกับลูกเสมอว่า 'ถึงเพื่อนคนนั้นจะชอบรังแกหนู แต่เพื่อนคนอื่นกับครูรักหนูมากนะ'

ที่สำคัญอย่ายุหรือผลักดันให้ลูกตอบโต้ หรือหันมาใช้พฤติกรรมไม่น่ารักเหมือนที่เขาถูกเพื่อนทำนะคะ

 

 

อ้างอิง : 

https://www.dmh.go.th/news-dmh/view.asp?id=30612

ในวันที่ลูกผิดหวัง พ่อแม่ต้องสอนให้ลูกรับมือกับความผิดหวังให้ได้

สอนลูกรับมือความผิดหวัง- สอนลูกเมื่อผิดหวัง- เมื่อลูกต้องรับมือความผิดหวัง

ในวันที่ลูกผิดหวัง พ่อแม่ต้องสอนให้ลูกรับมือกับความผิดหวังให้ได้

เด็กคนหนึ่งก็ต้องมีอารมณ์โกรธ ผิดหวัง เป็นธรรมดา และก็เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่ต้องสอนให้ลูกรับมือกับความผิดหวัง ความโกรธนั้นให้ได้ เมื่อเหตุการณ์ที่ลูกทำตัวไม่น่ารักเกิดขึ้นแล้ว พ่อแม่ควรสอนลูกดังนี้เลย

  1. บอกให้ลูกรู้ ว่าพ่อแม่รู้ว่าลูกโกรธอยู่

เพื่อให้ลูกรู้จักอารมณ์ของตัวเองในตอนนี้ ว่าที่ลูกร้องไห้ กระสับกระส่าย โมโห ก้าวร้าวอยู่ เพราะลูกกำลังรู้สึกผิดหวัง ให้ดึงลูกมากอดไว้เพื่อให้อารมณ์เย็นลง

  1. พาไปที่สงบ เงียบ เพื่อคุยกับลูก

หลังเหตุการณ์ที่ลูกเสียใจ ผิดหวัง ให้พาลูกไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่กระตุ้นอารมณ์ให้รุนแรงเพิ่มขึ้น ใช้เวลาพูดคุย ถามมุมมองของลูกเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น ให้พ่อแม่ถามลูกว่า “พ่อแม่รู้ว่าลูกโกรธ แต่ลูกจะทำท่าทางไม่สุภาพแบบนั้นไม่ได้ พ่อแม่ต้องทำอย่างไรจึงจะช่วยให้ลูกรู้สึกดีขึ้นได้” หลังจากที่ลูกตอบ ก็ให้พาลูกไปทำให้ถูกทางและเหมาะสม เช่น พาไปกินขนม แล้วชวนคุยเรื่องเพลงที่ลูกชอบ หนังที่ลูกชอบ ที่เที่ยวที่อยากไป ให้ลูกออกจากอารมณ์ผิดหวัง

  1. ลดความคาดหวังในตัวลูก

เมื่อทุกอย่างสงบลง ต่อมาควรคุยกับลูกอีกครั้ง เพราะบางเรื่องที่ลูกไม่สามารถทำได้ พ่อแม่ย่อมรู้ดี ควรพูดคุยให้ลูกใช้ความสามารถในด้านอื่นแทน และชวนลูกตั้งเป้าหมายใหม่ ๆ ที่ท้าทาย และลูกสามารถมีโอกาสทำสำเร็จได้

  1. พุดคุยกับลูกบ่อย ๆ ให้ลูกได้แสดงความคิดเห็นมากขึ้น

พ่อแม่ควรตั้งคำถามให้ลูกได้แสดงความคิดเห็นบ่อย ๆ เพื่อให้ลูกรู้จักเอง ได้ใช้ความคิดมากขึ้น หากผิดไปแล้วก็ให้รับผลการกระทำ ลูกจะได้สัมผัสได้ว่าพ่อแม่อยู่เคียงข้างลูกเสมอ พร้อมที่จะเป็นฟูกนุ่ม ๆ รองรับลูก เมื่อเขาผิดหวัง

ไขข้อสงสัย! วิจัยพิสูจน์แล้ว ลูกฉลาดเหมือนใคร ระหว่างพ่อกับแม่

การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก

มีคำตอบแล้ว ว่าลูกฉลาดได้ใคร ระหว่างพ่อกับแม่?

เคยไหมคะ สงสัยว่าลูกเราทำไมพัฒนาการดี เรียนเก่ง หัวไว ได้ความฉลาดนี้มาจากใครกันนะ ระหว่างพ่อกับแม่ ขอบอกว่าไม่ต้องเถียงกันแล้วค่ะ ล่าสุดมีวิจัยยืนยันว่าลูกนั้นเก่งได้ใคร มาดูกันเลยค่ะ จากข้อมูลจากนักวิทยาศาสตร์ระบุว่า ยีนความฉลาดของมนุษย์เรา จะอยู่ในโครโมโซม X ซึ่งเป็นโครโมโซมที่ผู้หญิงจะมีสอง ส่วนผู้ชายจะมีแค่โครโมโซมเดียว ทำให้อาจได้ข้อสรุปว่าระดับสติปัญญาจากแม่ จะตกทอดสู่รุ่นลูกได้มากกว่าจากพ่อ ซึ่งงานวิจัยชิ้นล่าสุดของมหาวิทยาลัยกลาสโกว์ ก็ได้ออกมาช่วยยืนยันแล้วว่าเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องจริงค่ะ

โดยทีมนักวิจัยได้ทำการสำรวจจากกลุ่มคนอายุ 14 – 22 ปี จำนวน 30,000 คน เป็นประจำทุกปีมาตั้งแต่ปี 1994 โดยจะมีการทดแบบทดสอบ และการสัมภาษณ์ต่างๆ ระหว่างลูก แม่ และพ่อของผู้เข้าร่วมวิจัย ซึ่งพวกเขาก็ได้คำตอบว่าสติปัญญาของลูกจะได้จากแม่ มากกว่าพ่อเป็นเรื่องจริง

การเข้าไปศึกษาเกี่ยวกับยีนสติปัญญาของหนูทดลอง โดยทีมวิจัยได้ค้นพบว่าหนูที่มียีนตกทอดจากแม่มากกว่า จะมีขนาดสมองที่ใหญ่กว่า แต่ลำตัวจะเล็กกว่า ตรงกันข้ามกับหนูที่มียีนจากพ่อมากกว่า ซึ่งจะมีขนาดสมองที่เล็กกว่า แต่ลำตัวจะใหญ่กว่า

และยีนความฉลาดที่ตกทอดจากแม่มาสู่ลูกจะพบได้มากในบริเวณ Cerebral Cortex (เปลือกสมอง) ซึ่งเป็นส่วนที่คอยสั่งการใช้ความคิดเชิงตรรกะ เช่น การเรียนรู้ภาษาหรือการวางแผน เมื่อเปรียบเทียบกับ ยีนที่ตกทอดมาจากรุ่นพ่อแล้ว นักวิจัยพบว่ายีนชนิดนี้จะพบได้มากในบริเวณระบบลิมบิค (Lymbic System) ซึ่งเป็นส่วนที่ทำงานเกี่ยวกับกลไกการสืบพันธุ์ อาหาร และความโกรธเกรี้ยว

ข้อมูลที่กล่าวมา ทำให้แม่หลายคนภูมิใจมากเลยนะคะ แต่ถ้าพ่อฉลาดกว่าแม่ อย่าลืมให้พ่อสอนการบ้านลูกเยอะๆ นะคะ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : women.mthai.com , www.countryliving.com

ไม่อยากให้ลูกตัวเตี้ยต้องทำแบบนี้

เด็กตัวเตี้ย, ลูกตัวเตี้ย, ลูกตัวเล็ก, ลูกไม่สูง, เพิ่มความสูง, อยากให้ลูกสูงทำไงดี, วิธีทำให้ลูกสูง, สูงได้ด้วยวิธีนี้, ลูกไม่สูงเท่าเพื่อน, พ่อแม่เตี๊ย ลูกสูงได้ไหม

ลูกตัวเตี้ยเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่พ่อแม่หลายคนกังวล พ่อแม่อยากเลี้ยงลูกให้แข็งแรงเติบโตสมวัยทั้งนั้น แต่ถ้าอยู่ไปๆ เจ้าตัวเล็กที่บ้านเกิดส่วนสูงหล่นเกณฑ์ ทั้งที่เมื่อก่อนส่วนสูงขึ้นปกติดี ปัญหาสำคัญเช่นนี้ รอช้าไม่ได้ค่ะ

ไม่อยากให้ลูกตัวเตี้ยต้องทำแบบนี้

ปัจจัยการเติบโต

พันธุกรรม เด็กที่เกิดจากพ่อแม่ที่ตัวเล็กมักจะมีรูปร่างเล็กตามเผ่าพันธุ์ เช่นเดียวกันกับเด็กที่เกิดจากพ่อแม่รูปร่างสูงก็มักจะสูงตามไปด้วย นอกจากนั้นพันธุกรรมยังเป็นตัวกำหนดขั้นตอนของการเจริญเติบโตด้วย

  • สิ่งแวดล้อม ได้แก่ การรับประทานอาหารไม่เพียงพอหรือไม่ครบ 5 หมู่ การออกกำลังกาย การนอนหลับพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ รวมทั้งมีการเจ็บป่วยเรื้อรังซ่อนเร้นอยู่ เช่น เด็กเป็นหอบ หืด ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลทุกเดือน ต้องพ่นยา ทำให้เด็กได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ และระหว่างการป่วยต้องใช้พลังงานค่อนข้างสูงอาจทำให้เด็กเติบโตได้ไม่ดี

  • ฮอร์โมน ความผิดปกติของฮอร์โมนหลายชนิดที่อาจเป็นสาเหตุทำให้เด็กตัวเตี้ย ได้แก่ ภาวะขาดฮอร์โมนเจริญเติบโต ภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน เป็นต้น

  • เชื้อชาติ คนเชื้อชาติตะวันตกจะมีความสูงมากกว่าทางตะวันออก

  • ความเครียด เป็นปัจจัยหนึ่งที่กระทบต่อการเจริญเติบโตของเด็ก เนื่องจากมีผลทำให้การหลั่งของฮอร์โมนการเจริญเติบโตผิดปกติไป

 

สูงแค่ไหนถึงปกติ

สามารถทราบได้จากการวัดส่วนสูง แล้วนำไปเปรียบเทียบกับมาตรฐานการเจริญเติบโตปกติ ถ้าความสูงมีค่าต่ำไปจากมาตรฐานที่ปกติก็ถือว่าเตี้ย หรือ ประเมินจากอัตราการเพิ่มส่วนสูงต่อปีดังนี้


 

 

 

อายุ (ปี) อัตราการเพิ่มความสูง / ปี(ซม.)

แรกเกิด- 1

25

1 - 2

10-12

2 - 4

6-8

4 - 10

5

 

 

การจะสังเกตว่าเด็กตัวเตี้ยหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาจากหลายปัจจัยร่วมกัน โดยเฉพาะความสูงและลักษณะรูปร่างของพ่อแม่ บวกกับการติดตามดูกราฟการเจริญเติบโตของเด็ก ว่ามีการเพิ่มอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานของวัยหรือไม่ ไม่ใช่ประเมินจากการเทียบส่วนสูงกับเด็กๆ ในวัยเดียวกัน ซึ่งถ้าหากพ่อแม่เป็นคนรูปร่างเตี้ยอยู่แล้ว เด็กก็มีแนวโน้มที่เป็นคนตัวเตี้ย แต่หากเด็กที่เคยมีประวัติการเจริญเติบโตปกติดี แต่ส่วนสูงเกิดการหยุดชะงักหรือเพิ่มในอัตราที่ต่ำกว่าเกณฑ์ โดยที่มีภาวะโภชนาการปกติดี นั่นอาจมาจากความผิดปกติฮอร์โมนการเจริญเติบโตภายในร่างกายของเด็ก

 

รู้จักฮอร์โมนเจริญเติบโต

ฮอร์โมนเจริญเติบโต หรือ growth hormone เป็นฮอร์โมนที่ผลิตจากต่อมใต้สมอง ทำหน้าที่ให้เด็กมีการเจริญเติบโตปกติตามวัย และยังมีผลต่อกระบวนการสร้างน้ำตาลในกระแสเลือดด้วย ถ้าต่อมใต้สมองมีความผิดปกติ จะเป็นเหตุให้ต่อมดังกล่าวหยุดผลิตฮอร์โมนเจริญเติบโตหรือผลิตได้น้อยลง และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เด็กเจริญเติบโตช้าและตัวเตี้ยได้

ฮอร์โมนเจริญเติบโตนี้จะถูกผลิตและหลั่งออกมาจากต่อมใต้สมองขณะที่เด็กนอนหลับ และเมื่อออกกำลังกาย นอกจากนั้นฮอร์โมนดังกล่าวจะถูกผลิตในปริมาณที่มากขึ้นในระยะเข้าวัยรุ่น เนื่องจากฮอร์โมนเพศมีผลช่วยเสริมในการหลั่งฮอร์โมนเจริญเติบโต ดังนั้นแพทย์จึงมักจะแนะนำให้เด็กนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ รวมทั้งออกกำลังกายสม่ำเสมอ

 

สังเกต...ลูกขาดฮอร์โมนเจริญเติบโต

เด็กที่ขาดฮอร์โมนเจริญเติบโตจะมีอาการเติบโตช้า อัตราการเจริญเติบโตน้อยไปกว่าค่าปกติดังกล่าวข้างต้น เสียงเล็กแหลม รูปร่างเตี้ยแต่จ้ำม่ำ ในเด็กผู้ชายอาจพบว่ามีอวัยวะเพศเล็กกว่าเด็กทั่วๆ ไป บางรายที่ขาดฮอร์โมนเจริญเติบโตชนิดรุนแรงจะพบว่ามีโอกาสมีน้ำตาลในเลือดต่ำ และอาจเป็นเหตุให้เด็กชักจากภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้อีกด้วย  

 

ภาวะไทรอยด์ทำเด็กเตี้ย

เด็กที่ขาดฮอร์โมนชนิดอื่นก็ทำให้เด็กเตี้ยได้ ได้แก่ เด็กที่ขาดไทรอยด์ฮอร์โมน ซึ่งโดยปกติจะผลิตจากต่อมไทรอยด์ที่ตั้งอยู่บริเวณคอ นอกจากจะทำให้เด็กเตี้ยแล้วในบางรายจะมีพัฒนาการช้าร่วมด้วย นอกจากนั้นเด็กที่ขาดฮอร์โมนเพศ เนื่องมาจากความผิดปกติของรังไข่ในเด็กหญิง หรือ ความผิดปกติของอัณฑะในเด็กชายก็เป็นเหตุให้เด็กเจริญเติบโตช้าในระยะเข้าสู่วัยรุ่นได้  

เด็กเตี้ยอาจจะมีเหตุจากโรคบางชนิดที่มีฮอร์โมนมากเกินไป ได้แก่ โรคของต่อมหมวกไตซึ่งสร้างฮอร์โมนสเตียรอยด์มากเกินไปเป็นสาเหตุทำให้เด็กเตี้ยแต่อ้วนได้ เด็กที่ได้รับยาที่มีสเตียรอยด์เป็นส่วนประกอบจะต้องใช้ด้วยความระมัดระวังเพราะการได้รับยาที่มีสเตียรอยด์มากเกินไปจะเป็นเหตุให้เด็กเตี้ยได้

 

เมื่อใดควรพาลูกไปพบแพทย์

  1. พล็อตกราฟความสูงแล้วความสูงต่ำกว่าเกณฑ์ในช่วงอายุนั้นๆ

  2. อัตราการเพิ่มส่วนสูงน้อยกว่าปกติเมื่อเทียบกับข้อมูลในอดีต โดยเฉพาะตั้งแต่ 4 ปีไปแล้วน้อยกว่าปีละ 5 ซม.

  3. เด็กที่คลอดยาก คลอดแล้วต้องให้ออกซิเจน อาจมีปัญหาที่ต่อมใต้สมอง ซึ่งแสดงผลการเจริญเติบโตให้เห็นชัดเมื่ออายุ 1 ปีครึ่งขึ้นไป

  4. ในกรณีที่เด็กคลอดออกมาแล้วตัวเล็ก เช่น ตอนแม่ตั้งครรภ์น้ำหนักขึ้น 13-15 กก. แต่ลูกออกมาหนักไม่ถึง 2.5 กก. และหากความยาวแรกเกิดต่ำกว่า 50 ซม. แสดงว่าน้ำหนักคุณแม่มากแต่ไม่ได้ส่งไปถึงลูกเลย ซึ่งเหตุผลที่โภชนาการผ่านไปถึงลูกไม่ได้ อาจเกิดปัญหาที่รกหรือไม่ หรือระหว่างตั้งครรภ์แม่ดื่มเหล้า สูบบุหรี่จัด และกินยากันชักเป็นประจำหรือเปล่า สิ่งเหล่านี้จะบั่นทอนสุขภาพลูก อาจส่งผลให้เป็นเด็กตัวเล็กตลอดไปได้

 

เมื่อต้องพบแพทย์

แพทย์จะทดสอบฮอร์โมนโดยการตรวจเลือด เพื่อประเมินความสามารถของต่อมใต้สมองว่า สามารถผลิตฮอร์โมนได้มากน้อยเพียงใด หรือพิจารณาเป็นรายๆ ไป ว่าเด็กมีความผิดปกติที่ระบบไหน เช่น อาจผิดปกติระบบกระดูก วัดแล้วไม่ได้สัดส่วน ต้องดูระดับแคลเซียมและเกลือในร่างกาย ถ้าฮอร์โมนไทรอยด์ผิดปกติก็อาจเตี้ยได้

นอกจากนั้นแพทย์จะตรวจวินิจฉัยทางรังสี ได้แก่ เอ็กซเรย์ที่ข้อมือเพื่อประเมินดูการเจริญเติบโตของกระดูก และในบางรายจำเป็นต้องมีการตรวจทางรังสีชนิดพิเศษ เพื่อดูลักษณะของต่อมใต้สมอง เด็กที่เป็นโรคเตี้ยเนื่องจากการขาดฮอร์โมน สามารถให้การรักษาได้โดยการให้ฮอร์โมนชนิดที่เด็กขาดทดแทนเข้าไป

แต่กรณีที่พิสูจน์ทางการแพทย์แล้วว่า เด็กไม่มีการขาดฮอร์โมนเจริญเติบโต แพทย์จะไม่แนะนำให้การรักษาด้วยฮอร์โมนเจริญเติบโต เพราะนอกจากจะไม่ได้ผลแล้วยังอาจจะทำให้เด็กเสี่ยงต่ออาการข้างเคียงของการรักษาได้ ได้แก่ ระดับน้ำตาลสูง ภาวะบวมน้ำ ปวดศีรษะ เป็นต้น

 

เลี้ยงลูกให้โตสมวัยได้ไม่ยาก

  1. รับประทานให้ครบทุกหมวดหมู่

  2. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

  3. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

  4. เฝ้าสังเกตดูอัตราการเพิ่มความสูงทุกปีว่าเป็นไปตามค่าปกติดังกล่าวหรือไม่

  5. ถ้ามีอัตราการเจริญเติบโตที่น้อยกว่าปกติ ควรพาไปรับคำปรึกษาจากแพทย์

เหล่านี้คือสิ่งที่พ่อแม่ควรดูแลใส่ใจอย่างใกล้ชิด เพราะจะเป็นสิ่งที่ช่วยบอกให้ทราบถึงภาวะผิดปกติที่เกิดได้แต่เนิ่นๆ เพื่อจะได้ปรึกษาแพทย์และหาทางดูแลรักษาได้ทันท่วงทีเพราะหากพาเด็กที่สงสัยว่าเตี้ยจากการขาดฮอร์โมนการเจริญเติบโตไปพบแพทย์ก่อนที่เด็กจะเข้าสู่วัยรุ่น การรักษาจะได้ผลดีกว่ารอเมื่อเด็กโตแล้ว