facebook  youtube  line

10 ผลไม้สำหรับ​แม่ท้อง กินได้ประโยชน์สูง ไม่เสี่ยงเป็นเบาหวาน

ผลไม้คนท้อง, ผลไม้สำหรับคนท้อง, คนท้อง กินกล้วย, คนท้อง กินแก้วมังกร, ผล ไม้ ที่ คน ท้อง ควร กิน, คน ท้อง กิน ผล ไม้ อะไร ได้ บ้าง, คนท้อง กินผลไม้อะไรไม่ได้, ผลไม้ที่คนท้องห้ามกิน, อาหารคนท้อง , เมนูคนท้อง

ผลไม้เป็นของว่างชั้นดีสำหรับคนท้องค่ะ ผลไม้ที่แม่ท้องควรกิน กินได้ไม่เสี่ยงเบาหวานมีอะไรบ้าง เรามีผลไม้คนท้องมาแนะนำพร้อมสารอาหารที่จะได้รับค่ะ

10 ผลไม้สำหรับ​แม่ท้อง กินได้ประโยชน์สูง ไม่เสี่ยงเป็นเบาหวาน

  1. กล้วย อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินบี 6 และวิตามินซี และยังมีสารสำคัญที่ช่วยผ่อนคลายอารมณ์ มีใยอาหารสูงที่ช่วยในการทำงานของระบบขับถ่าย

  2. ฝรั่ง อุดมไปด้วยวิตามินซีและวิตามินเอ ช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่อโรคหวัด ช่วยบำรุงเหงือกและฟันให้แข็งแรง

  3. แอปเปิ้ล อุดมไปด้วยเกลือแร่และวิตามิน ช่วยควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด ลดระดับคอเลสเตอรอล และช่วยกระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระให้ทำงานได้ดีขึ้น

  4. มะละกอสุก มีสารต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ แคโรทีน วิตามินซี ฟลาโวนอยด์ วิตามินซี สารโฟลิก ธาตุโพแทสเซียม แมกนีเซียม และเส้นใยอาหาร เป็นผลไม้ที่เหมาะกับคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีปัญหาเรื่องท้องผูก

  5. มะม่วงสุก อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน ฟอสฟอรัส และแคลเซียม ช่วยในการสร้างกระดูกและฟันให้กับทารกในครรภ์ และบำรุงกระดูกและฟันของคุณแม่ให้แข็งแรง

  6. มะพร้าว มีคุณค่าทางอาหารสูงมาก เช่น โปรตีน กลูโคส และแคลเซียม และยังช่วยแก้อาการอ่อนเพลียให้คุณแม่ และดับกระหายได้ดี

  7. แตงโม มีโพแทสเซียม สรรพคุณช่วยควบคุมอัตราความดันโลหิตของร่างกาย และยังมีวิตามินซีธรรมชาติที่ดีต่อร่างกาย

  8. ส้ม ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง ช่วยป้องกันหวัดและช่วยในเรื่องการขับถ่ายได้ดี

  9. สับปะรด มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี เบต้าแคโรทีน และแมงกานีส ช่วยสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย และช่วยป้องกันอันตรายจากอนุมูลอิสระ

  10. ลูกพรุน เหมาะสำหรับคุณแม่ที่มีปัญหาเรื่องโลหิตจาง เพราะในลูกพรุนจะมีธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบหลัก จึงช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง และยังมีวิตามินบี 2 ที่จะช่วยสร้างแคลเซียม ทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง

ผลไม้สำหรับคนท้อง คุณแม่จำเป็นต้องล้างให้สะอาดก่อนกิน และที่สำคัญจะต้องเลือกผลไม้ที่ไม่มีรสหวานหรือน้ำตาลสูง เช่น ลำไย เงาะ ทุเรียน เป็นต้น จริง ๆ แล้วแม่ท้องสามารถกินได้บ้างค่ะ แต่ต้องไม่มากและไม่บ่อย เพราะอาจทำให้แม่ท้องเสี่ยงมีภาวะเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์ จนผลไม้บางชนิดขึ้นชื่อว่าเป็นผลไม้ที่คนท้องห้ามกินเลยก็ว่าได้ค่ะ 


 

12 อาหารที่คนท้อง คนท้องอ่อนห้ามกิน เสี่ยงกับพัฒนาการและชีวิตลูกในท้อง

อาหารที่คนท้องห้ามกิน, อาหาร อันตราย คนท้อง, อาหาร ควรเลี่ยง คนท้อง, คนท้อง ห้ามกินอะไร, คนท้องไม่ควรกินอะไร, อาหารอันตราย ทารกในครรภ์ ลูกในท้อง, คนท้อง ห้ามดื่มเหล้า เบียร์ ชา กาแฟ, คนท้อง ห้ามกินเผ็ด, คนท้อง ห้ามกินถั่ว, คนท้องห้ามกินนมวัว, คนท้อง ห้ามกิน อาหารดิบ
 

คนท้อง คนท้องอ่อน ๆ ห้ามกินอาหารบางชนิด เพราะอาจส่งผลต่อสุขภาพของแม่ท้องเอง ส่งผลต่อพัฒนาการทารกในครรภ์ที่ทำให้ลูกพิการ เสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนดได้ค่ะ 

12 อาหารที่คนท้องห้ามกิน เสี่ยงกับพัฒนาการและชีวิตลูกในท้อง

อาหารที่แม่ตั้งครรภ์เลือกกินช่วงก่อนตั้งครรภ์ คือ สิ่งสำคัญ ที่จะถูกส่งตรงไปยัง ลูกในครรภ์ และเพื่อโภชนาการที่ดีในช่วงตั้งครรภ์นี้ เราขอเสนอ 9 อาหารต้องห้ามที่แม่ท้องควรงดกินช่วงตั้งครรภ์ เพราะอาหารเหล่านี้อาจจะส่งผลเสียต่อทารกในครรภ์ และ ตัวคุณแม่ตั้งครรภ์เอง หากหลีกเลี่ยงได้ ลูกน้อยในท้องก็จะเกิดมาแข็งแรงสมบูรณ์ดี มีอะไรบ้างที่ห้ามแม่กินมาดูกันค่ะ

1. นมสดและชีสบางชนิด

นมสด(น้ำนมดิบ)และชีสบางชนิดที่ไม่ผ่านกระบวนการให้ความร้อนหรือการฆ่าเชื้อ เช่น คัมมังแบร์ บลูชีสชนิดต่าง ๆ เพราะชีสเหล่านี้อาจปะปนแบคทีเรียที่ชื่อ ลิสทีเรีย ซึ่งอาจจะทำให้เป็นอันตรายต่อคุณแม่และลูกได้ค่ะ

2. อาหารที่ยังปรุงไม่สุก

ไม่ว่าจะเป็นไข่ เนื้อปลา เนื้อแดง เนื้อไก่ หรือเนื้อสัตว์ทุกชนิด ที่ยังปรุงไม่สุกดี ไม่ควรทานค่ะ เพราะเสี่ยงการติดเชื้อ Salmonella เป็นกลุ่มเชื้อแบคทีเรียที่สามารถทำให้ผนังลำไส้เป็นแผล และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดอาหารเป็นพิษได้ค่ะ ซึ่งนั่นรวมไปถึงอาหารญี่ปุ่นประเภทปลาดิบด้วยนะคะ แม้เราจะมั่นใจว่าส่วนใหญ่เป็นปลาน้ำลึกที่ค่อนข้างสะอาด แต่เมื่อเป็นของดิบก็อาจจะเสี่ยงกับการตั้งครรภ์ได้ค่ะ 

3. อาหารหมักดอง 

คนท้องกับของหมักดองมักคู่กัน ไม่ว่าจะเป็นผล้ไม้ดองต่าง ๆ อาหารแซ่บ ๆ เช่น ส้มตำปูปลาร้า ส้มตำหอยดอง เป็นต้น แนะนำว่าในช่วงตั้งครรภ์ให้งดไปก่อน เพราะอาหารหมักดองอาจปนเปื้อนสารพิษ มีเชื้อโรคที่ส่งต่อพัฒนาการทารกในครรภ์ได้ค่ะ แต่หากแม่ท้องอยากกินส้มตำมาก ๆ อาจเลี่ยงไปเป็นส้มตำไทยแทน หรือ สุดห้ามใจได้จริง ๆ ก็ต้องมั่นใจว่าต้มปูดอง ต้มปลาร้าได้สุกและสะอาดมากพอ และกินในปริมาณน้อยค่ะ 

4. บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

ไม่แนะนำให้คุณแม่ต้มบะหมี่ทานแบบที่เคยทำ เพราะมีสารปรุงรสและผงชูรสในปริมาณสูง จะเพิ่มระดับโซเดียมหรือเกลือให้กับร่างกายเกินความจำเป็น ทำให้ระบบหมุนเวียนเลือดและระบบขับถ่ายทำงานหนักค่ะ แต่หากอาการแพ้ท้องทำให้อยากกินมาก ๆ ควรปรับวิธีการทำให้ดีมากขึ้น เช่น เพิ่มผักและเนื้อสัตว์ให้ได้สารอาาหรครบถ้วน ลดปริมาณผงปรุงรสให้น้อยลง (ไม่ใส่หมดซอง) หรือ ใช้วิธีปรุงรสเองแบบอ่อน ๆ ค่ะ

5. ถั่วลิสง

ในกรณีที่คุณพ่อหรือคุณแม่มีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้ ควรหลีกเลี่ยงเพราะในทางการแพทย์เชื่อว่าถั่วลิสงมีส่วนไปกระตุ้นให้โรคภูมิแพ้ผ่านไปยังทารกทางพันธุกรรมได้ รวมถึงในถั่วที่ไม่สะอาดอาจมีเชื้อราอะฟาทอกซินที่เข้าไปทำให้ตับของคุณแม่ทำงานหนักขึ้น และส่งผลต่อการตั้งครรภ์ได้ค่ะ

6. อาหารเสริมและวิตามินทุกชนิด

การทานอาหารเสริมและวิตามินในช่วงตั้งครรภ์ควรปรึกษาคุณหมอก่อนนะคะ เพราะหากได้รับมากเกินไป ตับก็จะทำงานหนักมากเพื่อกำจัดพิษของวิตามินส่วนเกินออกจากร่างกาย อีกทั้งร่างกายไม่ได้ใช้ประโยชน์จากวิตามินส่วนเกินเท่ากับเสียเงินไปซื้อมารับประทานแต่กลับไม่ได้ประโยชน์อีกด้วย เช่น อาหารเสริมหรือวิตามินบำรุงผิว เป็นต้น

7. ปลาทะเล (บางชนิด)

ปลาทะเลบางชนิดคุณแม่ไม่ควรรับประทาน เช่น ปลากระโทงแทง ปลาดาบ ซึ่งเป็นปลาที่มีสารปรอทตามธรรมชาติในปริมาณสูงในระดับที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้ แม้แต่ปลาทูน่าจัดอยู่ในปลาที่มีสารปรอทสูงเช่นกัน ควรจำกัดไม่เกิน 2 กระป๋องต่อสัปดาห์ค่ะ

8. อาหารรสจัด

อาหารที่มีรสเค็มจัด ส่งผลทำให้หัวใจและไตทำงานหนักขึ้น ส่วนรสหวานจัดเพิ่มภาระให้กับตับอ่อนต้องผลิตอินซูลินเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลมากขึ้น และทำให้คุณแม่น้ำหนักเพิ่มขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้รสเปรี้ยวจัด เผ็ดจัด จะเพิ่มภาระให้กระเพาะต้องทำงานหนัก ทำให้ท้องอืด และเกิดภาวะกรดไหลย้อนให้คุณแม่ได้ค่ะ

9. เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์

แม่ท้องห้ามกินเหล้า เบียร์ ไวน์ หรือเครื่องดื่มมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ทุกชนิดค่ะ เพราะจะส่งผลให้ทารกสมองพิการแต่กำเนิดได้และทำให้คลอดก่อนกำหนด

10. เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน

คนท้องควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ชา  กาแฟ  น้ำอัดลม  และเครื่องดื่มบำรุงกำลัง เพราะเครื่องดื่มเหล่านี้จะไปกระตุ้นการสูบฉีดโลหิต เพิ่มการขับปัสสาวะทำให้คุณแม่ต้องปัสสาวะบ่อยขึ้นอีก ซึ่งช่วงตั้งครรภ์ก็ฉี่บ่อยอยู่แล้ว อีกทั้งยังไปละลายแคลเซียมและเกลือแร่ในร่างกายมากขึ้นด้วย

11. ผลไม้หรือขนมรสหวานจัด

ช่วงตั้งครรภ์ คุณแม่ควรเลี่ยงการกินผลไม้ที่มีรสหวานจัด เช่น ลำไย ทุเรียน เงาะ เป็นต้น รวมทั้งขนมหวานต่าง ๆ เพื่อลดความเสี่ยงในการเป็นเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งภาวะนี้ส่งผลต่อพัฒนาการ น้ำหนักตัว และการคลอดลูกได้ค่ะ คุณแม่ควรกินผลไม้ที่มีกากใยสูง เสริมวิตามิน เช่น ส้ม ฝรั่ง แตงโม อะโวคาโด เป็นต้น... อย่าลืมล้างให้สะอาดด้วยนะคะ

12. อาหารแช่แข็ง อาหารกระป๋อง 

อาหารที่ผ่านกระบวนการแช่แข็ง และอาหารกระป๋อง อาจมีการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรียที่อันตรายต่อการตั้งครรภ์ได้ ในช่วงตั้งครรภ์จึงความเน้นอาหารปรุงสุก สดใหม่เป็นหลักค่ะ
 

15 วิธีรับมืออาการแพ้ท้อง อาการคนท้องที่คุณแม่ต้องรู้วิธีจัดการให้อยู่หมัด

แพ้ท้อง-อาการคนท้อง-แก้อาการแพ้ท้อง-ยาแก้แพ้ท้อง-ลดอาการแพ้ท้อง-วิธีแก้แพ้ท้อง-วิธีป้องกันแพ้ท้อง-รักษาอาการแพ้ท้อง-แพ้ท้องอาเจียน-แพ้ท้องเวียนหัว

อาการแพ้ท้องในช่วงตั้งครรภ์เป็นเรื่องธรรมชาติมากค่ะคุณแม่ บางคนแพ้ท้องแค่ช่วง 3 เดือนแรก  บางคนแพ้ท้องยาวไปจนใกล้คลอด บางคนแพ้ท้องหนัก หรือบางคนแทบไม่มีอาการอะไรเลย อาการคนท้องแบบนี้ก็ต้องมีวิธีรับมือให้ถูกต้องนะคะ เพราะหากดูแลไม่ถูกต้อง ตั้งรับไม่ทัน อาจทำให้คุณแม่เกิดความหงุดหงิด ไม่สบายตัวไม่สบายใจ และทารกในครรภ์ก็อาจได้รับผลกระทบไปด้วย นี่คือ 15 วิธีรับมืออาการแพ้ท้อง อาการคนท้องที่คุณแม่ต้องรู้วิธีจัดการให้อยู่หมัด

  1. กินอาหารในปริมาณน้อยแต่บ่อยครั้ง เลือกทานผลไม้ผักสด และอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง เช่น ขนมปัง หรือขนมปังกรอบ เป็นต้น

  2. เวลากินข้าว ให้ดื่มน้ำหลังอาหาร ไม่ใช่ประเภทข้าวคำน้ำอีกคำ จะทำให้คุณพะอืดพะอมเพราะอิ่มน้ำมากเกินไป  

  3. พยายามกินอะไรเบา ๆ ก่อนนอน อาจจะเป็นนมสักแก้ว โยเกิร์ต ขนมปังหรือแซนด์วิชจะช่วยป้องกันอาการแพ้ท้องตอนเช้าวันรุ่งขึ้น หรืออาจจะเป็นขนมปังกรอบหลังตื่นนอน หรือก่อนลุกจากเตียงก็ได้ค่ะ  

  4. ลืมตาตื่นแล้ว นอนพักสักครู่ อย่าเพิ่งรีบลุกพรวดพราด เพราะจะทำให้คลื่นไส้ได้ง่าย  

  5. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีเครื่องเทศ เช่น แกงกะหรี่ อาหารทอด หรืออาหารที่มีความเป็นกรดสูงเพราะอาหารประเภทนี้ย่อยยาก  

  6. ไม่ควรแปรงฟันหลังอาหารทันที เพราะแปรงสีฟันที่คุณแหย่เข้าไปในปากอาจทำให้คุณอยากอาเจียนได้  

  7. จิบน้ำแร่หรือน้ำอัดลมเวลาคลื่นไส้ช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้องได้เช่นกัน  

  8. รับอากาศบริสุทธิ์อย่างสม่ำเสมอ  
     
  9. ถ้ากลิ่นของอาหารร้อน ๆ ทำให้คุณคลื่นเหียนเวียนหัว ลองเปลี่ยนมาทานอาหารเย็น ๆ ดูบ้างเผื่อจะดีขึ้น  

  10. ทานหรือดื่มอะไรที่มีรสเปรี้ยว เช่น มะนาว หรือจะฝานมะนาวแผ่นบางๆ ลงไปในน้ำชาก็เข้าทีดีเหมือนกัน

  11. ขิงในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นขนมปังขิง น้ำขิง ชาขิง หรือแม้แต่ขิงในรูปแคปซูลช่วยอาการแพ้ท้องได้ค่ะ  

  12. ห้ามเครียด หาเวลาผ่อนคลาย ว่าง ๆ คุณอาจจะนอนแช่น้ำอุ่นในอ่าง หรือนอนนิ่ง ๆ ฟังเพลงสบาย ๆ พูดคุยกับสามีถึงเรื่องที่คุณกังวล  

  13. ทานวิตามินบี 6 ขนาด 50 กรัม วันละ 2 เม็ด แต่ควรปรึกษาคุณหมอว่าจำเป็นสำหรับคุณแค่ไหน  

  14. เลือกทานอาหารที่มีแร่ธาตุสังกะสี ซึ่งพบมากในนม เนื้อสัตว์ตับ ไข่ ปลา สัตว์น้ำประเภทมีเปลือก ถั่ว พืชประเภทถั่ว ข้าวโพด หรือในรูปของอาหารเสริมก็ได้ มีงานวิจัยชี้ว่าผู้หญิงที่ทานอาหารที่มีแร่ธาตุสังกะสีมีแนวโน้มที่จะแพ้ท้องน้อยกว่าค่ะ  

  15. ข้อสุดท้ายนี้ต้องอาศัยการร่วมมือร่วมแรงจากคนใกล้ตัว ก็ความรักและการดูแลเอาใจใส่จากคุณสามีนั่นล่ะค่ะเป็นวิธีปราบแพ้ท้องได้ชะงัดนัก

 

คนท้องกินทุเรียนได้ไหม กินเท่าไหร่ถึงพอดี กินทุเรียนช่วยลูกฉลาดจริงไหม?

คนท้องกินทุเรียนได้ไหม, ทุเรียนกับทารกในครรภ์, กินทุเรียน ตอนท้อง, คนท้อง กินทุเรียนได้เยอะแค่ไหน, คนท้องกินทุเรียน ลูกฉลาด, ท้องอ่อน ๆ กินทุเรียนได้ไหม, ประโยชน์ ทุเรียน คนท้อง, โฟเลตในทุเรียน, สารอาหารทุเรียน คนท้อง, ผลไม้ที่คนท้องกินได้, ผลไม้ที่คนท้องห้ามกิน, คนท้องกินทุเรียนวันละเท่าไหร่, คนท้อง กินทุเรียนทุกวันได้ไหม
 
เข้าสู่หน้าทุเรียนแล้ว คนท้องก็อดใจไม่ไหวนะ แต่ยังกังวลอยู่ว่าคนท้องกินทุเรียนได้ไหม กินได้มากแค่ไหน และที่เชื่อว่ากินทุเรียนแล้วลูกจะฉลาดจริงไหม มาหาคำตอบกันค่ะ

คนท้องกินทุเรียนได้ไหม กินเท่าไหร่ถึงพอดี กินทุเรียนช่วยลูกฉลาดจริงไหม?

คนท้องควรกินทุเรียนได้แค่ 1 พู

รศ.ดร.รัชนี คงคาฉุยฉาย อาจารย์ประจำสถาบันโภชนาการ บอกไว้ว่า ทุเรียนซึ่งเป็นแหล่งที่มีโฟเลตมากที่สุด คนปกติสามารถรับประทานเพียง 2 เม็ด ก็จะเท่ากับ ร้อยละ 50 ของปริมาณที่แนะนำต่อวันแล้ว (ผู้จัดการออนไลน์) นั่นแปลว่าคนท้องต้องกินน้อยกว่าคนปกติทั่วไป คือ กินได้แค่ 1 พู ต่อวัน และไม่ควรกินบ่อย ๆ ติดต่อกันค่ะ เพราะทุเรียนเป็นผลไม้รสหวานจัดและมีฤทธิ์ร้อน จึงอาจทำให้เกิดภาวะเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์ น้ำหนักเกินมาตรฐาน และอาการร้อนในขณะตั้งครรภ์ หากแม่ท้องกินทุเรียน ควรกินผลไม้ให้ความเย็นร่วมด้วย เช่น มังคุด ซึ่งต้องไม่ลืมว่าในช่วงที่ตั้งครรภ์ไม่ว่าจะกินอะไรต้องนึกถึงความปลอดภัยของทารกมาเป็นอันดับหนึ่งนะคะ

ทุเรียนให้พลังงานเท่าไหร่

นักวิชาการโภชนาการชำนาญการพิเศษ (สธ.) บอกว่า แม้ทุเรียนจะมีสารอาหารมากมาย ทั้งโฟเลต วิตามิน แร่ธาตุ ใยอาหาร แต่ก็มีพวกกำมะถัน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน น้ำตาลในปริมาณมาก ทำให้เมื่อกินทุเรียนร่างกายจึงได้รับพลังงานสูง ช่วงอากาศร้อนเช่นนี้ การกินทุเรียนจึงเป็นสิ่งที่ต้องพึงระวัง โดยเริ่มที่หากกินทุเรียนครึ่งเม็ดกลาง ร่างกายจะได้รับพลังงานประมาณ 200 กิโลแคลอรี เทียบกับกินข้าวยำปักษ์ใต้ 1 จาน หรือเท่ากับกินก๋วยเตี๋ยวปลาเส้นเล็กน้ำ 1 ชาม หรือเท่ากับข้าวราดแกงส้มผักรวม 1 จาน (ที่มา - ผู้จัดการออนไลน์) 

โฟเลตในทุเรียน ส่งผลดีต่อแม่ท้องอย่างไร

  1. บำรุงเซลล์สมองของคุณแม่ และเพิ่มประสิทธิภาพความจำให้ดีขึ้น

  2. ช่วยลดปัจจัยเสี่ยงจากโรคหัวใจ และอันตรายจากโคเลสเตอรอล และโฮโมซิสเทอีน ซึ่งทั้งสองชนิดสามารถทำลายหลอดเลือดหัวใจได้

  3. ช่วยทำให้อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายสามารถทำงานได้เป็นปกติยิ่งขึ้น

  4. มีส่วนช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์ได้
     

คนท้องกินทุเรียนได้ไหม, ทุเรียนกับทารกในครรภ์, กินทุเรียน ตอนท้อง, คนท้อง กินทุเรียนได้เยอะแค่ไหน, คนท้องกินทุเรียน ลูกฉลาด, ท้องอ่อน ๆ กินทุเรียนได้ไหม, ประโยชน์ ทุเรียน คนท้อง, โฟเลตในทุเรียน, สารอาหารทุเรียน คนท้อง, ผลไม้ที่คนท้องกินได้, ผลไม้ที่คนท้องห้ามกิน, คนท้องกินทุเรียนวันละเท่าไหร่, คนท้อง กินทุเรียนทุกวันได้ไหม

โฟเลตในทุเรียน ส่งผลดีอย่างไรกับทารกในครรภ์

ทุเรียนมีโฟเลตเยอะ กินทุเรียนแล้วลูกน้อยในครรภ์จะฉลาดจริงไหม? ไม่มีผลวิจัยยืนยันค่ะ แต่สารอาหารในทุเรียนก็จะเป็นต่อสมองของทารก โฟเลต ช่วยป้องกันความผิดปกติที่จะเกิดขึ้นกับระบบประสาทของทารกในครรภ์ และยังช่วยสร้างและพัฒนาเซลล์สมองของทารกได้ดี โดยเฉพาะในช่วง 12 สัปดาห์แรก และช่วยป้องกันทารกจากดาวน์ซินโดรม หลอดประสาทไม่ปิด โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ภาวะไม่มีเนื้อสมอง ภาวะไขสันหลังไม่เปิด โรคปากแหว่งเพดานโหว่ และแขนขาพิการแต่กำเนิดได้ค่ะ

โฟเลตดีต่อแม่ท้องและทารกในครรภ์ ซึ่งนอกจากทุเรียนแล้ว ในผักผลไม้ชนิดอื่น ๆ ก็มีค่ะ เช่น ขนุน ลิ้นจี่  กล้วยไข่ มะละกอ อะโวคาโด ฝรั่ง กระเจี๊ยบเขียว ถั่วแดง เมล็ดทานตะวัน เป็นต้น

แม่ให้นมลูก กินทุเรียนได้ไหม

กินได้ค่ะ แต่ควรกินแต่พอดี คนปกติสุขภาพทั่วไปทานได้วันละ 2 พู ค่ะ แต่ในน้ำนมแม่จะมีกลิ่นทุเรียนซึ่งอาจทำให้ลูกไม่ยอมกินนมได้ค่ะ

หากคุณแม่กินทุเรียนในปริมาณมากจะส่งผลเสียอย่างไร

ต้องอย่าลืมว่าทุเรียนมีไขมันและน้ำตาลสูงค่ะ หากกินนปริมาณที่มากจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน น้ำหนักตัวเพิ่มสูงทำให้เป็นโรคอ้วน โรคหัวใจและความดันโลหิตสูงได้ค่ะ อีกทั้งทุเรียนเป็นผลไม้ที่ให้ความร้อน ทำให้เป็นแผลร้อนในที่ปาก ที่ควรระวังอย่างมากก็คือ จะทำให้คุณแม่มีความดันโลหิตสูงจนทำให้เสี่ยงต่อการแท้งลูกได้


คนท้องกินมังคุดได้ไหม คนท้องกินมังคุดยังไงให้หายอยากและไม่เสี่ยงเบาหวาน

คนท้องกินมังคุดได้ไหม, คนท้องกินมังคุด, คนท้อง มังคุด เบาหวาน, ประโยชน์ของมังคุด คนท้อง, ผลไม้สำหรับคนท้อง, ผลไม้ที่คนท้องกินได้, ผลไม้ช่วยแก้ท้องผูก ลดท้องผูก, ผลไม้คนท้อง, คนท้อง กินผลไม้อะไรได้บ้าง, คนท้อง กินมังคุด อันตรายไหม

มังคุดมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์สำหรับคนท้อง ในมังคุดมีโฟเลตที่ช่วยในการสร้างอวัยวะของทารกในครรภ์และป้องกันการพิการแต่กำเนิดได้

คนท้องกินมังคุดได้ไหม คนท้องกินมังคุดยังไงให้หายอยากและไม่เสี่ยงเบาหวาน

คนท้องกินมังคุดได้ไหม

คนท้องกินมังคุดได้ค่ะ มังคุดมีโฟเลตที่ช่วยป้องกันการพิการแต่กำเนิดในทารก แต่ปริมาณไม่ได้มากนัก ดังนั้น คนท้องควรกินอาหารอื่น ๆ ที่มีโฟเลตสูง หรือ กินวิตามินร่วมด้วย นอกจากนี้มังคุดยังมีใยอาหารจำนวนมาก ที่ช่วยการทำงานของระบบขับถ่าย ลดอาการคนท้องท้องผู้ได้ด้วย

คนท้องกินมังคุดยังไงไม่ให้เสี่ยงเบาวาน และไม่อันตราย

  • มังคุดเป็นผลไม้ที่มีรสหวาน แม่ท้องควรกินในปริมาณที่พอดี เช่น วันละ 6-7 ผล

  • ก่อนกินมังคุดควรล้างก่อน เพราะที่ผิวเปลือกอาจมีฝุ่นหรือสารเคมีตกค้าง

  • ควรใช้มีดกรีดเปิดเปลือกมังคุด ไม่ความบิ หรือ กัด เพราะเปลือกมังคุดมียางที่อาจจะทำให้ระคายเคืองผิวได้

นอกจากกินมังคุดสดแล้ว แม่ท้องอาจปรับมาทำเมนูอื่นได้ เช่น ยำมังคุด เพื่อใส่ส่วนประกอบอื่น ๆ ที่จะทำให้แม่ท้องได้รับสารอาหารเพิ่มเติมค่ะ

ข้อควรระวังสำหรับแม่ท้องที่กินมังคุด: หลายคนอาจกินแบบกลืนเม็ดลงไปด้วย แม้ว่าเม็ดมังคุดจะไม่อันตราย แต่ในช่วงตั้งครรภ์ที่คนท้องมีอาการท้องผูกอยู่แล้ว การกลืนเม็ดมังคุดอาจยิ่งทำให้ท้องผูกถ่ายยากมากขึ้น ดังนั้น คายเม็ดมังคุดเม็ดใหญ่ ๆ ทิ้งด้วยนะคะ 

คนท้องกินลองกองได้ไหม กินเท่าไหร่ถึงพอดี ไม่เสี่ยงเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์

คนท้อง กิน ลอง กอง ได้ไหม, คนท้อง กินลองกองได้แค่ไหน, คนท้องกินลองกอง เบาหวานขณะตั้งครรภ์, ผลไม้ คนท้อง, ผลไม้ที่คนท้องกินได้, ผลไม้ที่คนท้องไม่ควรกิน, ผลไม้รสหวาน คนท้อง, ผลไม้มียาง คนท้อง, คนท้อง กินลองกองได้เยอะแค่ไหน

แม่ท้องหลายคนกังวลว่า กินลองกองมากไปจะอันตรายกับลูกในท้องไหม เพราะลองกองมียางและมีรสหวาน เราจะมาแนะนำค่ะว่า คนท้องกินลองกองได้ไหม กินแค่ไหนถึงดี ไม่เสี่ยงเบาหวานช่วงตั้งครรภ์

คนท้องกินลองกองได้ไหม แม่ท้องกินลองกองเท่าไหร่ถึงดี ไม่เป็นเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์

คนท้องกินลองกองได้ไหม

คนท้องกินลองกองได้ค่ะ แต่มีข้อควรระวังดังนี้

  • ลองกองเป็นผลไม้ที่มียาง แม่ท้องที่ผิวบอบบาง จึงอาจเป็นผื่นแพ้ ผื่นคัน ผิวอักเสบบริเวณปากได้ ดังนั้นการกินลองกองของแม่ท้องจะต้องใช้มือหรือมีดแกะเปลือกออก ไม่ใช้ปากกัด และต้องล้างหรือเช็ดเนื้อลองกองให้สะอาด ไม่มียางติดก่อนกินค่ะ
  • ลองกองอาจมีพวกเพลี้ย หรือ เชื้อราติดที่เปลือก ควรเลือกซื้อลองกองที่ผิวเปลือกสวยหน่อย ล้างก่อนทุกครั้งก่อนแกะกิน
  • คนท้องควรกินลองกองไม่เกิน 6-8 ผลต่อวัน เนื่องจากในลองกองมีน้ำตาลอยู่มาก จึงอาจทำให้คนท้องเสี่ยงมีภาวะเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์ได้

คนท้องกินลองกองอย่างไรไม่ให้เสี่ยงเป็นเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์

โดยปกติแล้วคนท้องที่สุขภาพปกติควรได้รับน้ำตาลในแต่ละวันประมาณ 4-6 ช้อนชา หรือ ประมาณ 20 – 30 กรัม ส่วนคนท้องที่มีภาวะเบาหวานควรได้รับน้ำตาลเพียงวันละ 1-2 ช้อนชา หรือ 5-10 กรัม เท่านั้น ซึ่งเป็นน้ำตาลจากอาหารทุกชนิดที่กินในแต่ละวัน เช่น น้ำตาลจากข้าว แป้ง เครื่องดื่ม ผลไม้ เป็นต้น ซึ่งหากเกินกว่านี้อาจเสี่ยงกับภาวะเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์ ที่ส่งผลต่อน้ำหนักตัวแม่ ทารกในครรภ์ และภาวะแทรกซ้อนในการคลอดค่ะ 

ข้อมูลจากกองโภชนาการ กรมอนามัย ระบุว่า ลองกอง 100 กรัม (ประมาณ 6-7 ผล) มีปริมาณน้ำตาลอยู่ที่ 16.2 กรัม ซึ่งหากแม่ท้องกินลองกองในปริมาณเท่านี้ ก็นับว่าได้รับน้ำตาลไปเกินครึ่งหนึ่งของที่ควรได้ในแต่ละวันแล้วค่ะ แต่หากกินมากกว่านี้ มีความเสี่ยงได้รับน้ำตาลมากเกินไปแน่นอน

 

คนท้องกินหอยแครงได้ไหม กินหอยแครงอย่างไรให้ปลอดภัย

คนท้อง กินหอยแครงได้ไหม, คนท้องกินหอยแครงลวกได้ไหม, คนท้องกินยำหอยแครงได้ไหม, คนท้อง กินหอยแครง อันตรายไหม, คนท้องกินหอยแครง จะท้องเสียไหม, คนท้อง หอยแครงลวกสุก, คนท้อง หอยแครงดิบ, ทำไมคนท้องห้ามกินหอยแครง, ความเชื่อ คนท้อง ห้ามกินหอย

คนท้องกินหอยแครงได้ แต่ทางที่ดีควรเลี่ยงไปก่อน เพราะหอยอาจจะไม่สะอาด หากปรุงไม่สุกอาจมีเชื้อโรค แบคทีเรีย หรือพยาธิที่ส่งผลต่อการตั้งครรภ์ได้

คนท้องกินหอยแครงได้ไหม กินหอยแครงอย่างไรให้ปลอดภัย

คนท้องกินหอยแครงได้ไหม

คนท้องกินหอยแครงได้ค่ะ แต่ถ้าจะให้ดีควรเลี่ยงการกินไปก่อน โดยเฉพาะคนท้องที่อยากกินหอยแครงแบบลวกไม่สุก หอยแครงแบบยังมีเลือดอยู่ เพราะในสัตว์ประเภทหอยมักจะมีดินโคลน เชื้อโรค แบคทีเรีย หรือพยาธิอยู่ ซึ่งนั่นรวมไปถึงหอยชนิดอื่น ๆ ด้วยค่ะ

คนท้องอยากกินหอยแครงต้องทำยังไง

  • ล้างหอยแครงให้คายดินออกให้หมด โดยสามารถทำได้หลายวิธี เช่น ใส่เกลือลงในน้ำ ใส่พริกสดทุบบุบ 4-5 เม็ดลงในน้ำ แช่หอยแครงในน้ำโซดา เป็นต้น แช่ทิ้งไว้ประมาณ 10-30 นาที ให้เห็นว่าหอยอ้าเปลือกคายดินออก แล้วล้างซ้ำ 2-3 น้ำ

  • ขัดเปลือกให้สะอาดก่อนนำไปลวก

  • ควรปรุงหอยแครงให้สุก ย้ำว่าต้องสุกนะคะ ไม่มีเลือด เพื่อลดความเสี่ยงได้รับเชื้อโรคหรือท้องเสียค่ะ

  • ไม่ควรกินบ่อย กินแค่พอหายอยากก็พอค่ะ

คนโบราณบอกว่า คนท้องห้ามกินหอยเพราะจะทำให้คลอดยาก จริงไหม

มีความเชื่อโบราณว่า คนท้องห้ามกินหอยเพราะจะทำให้คลอดลูกยาก เหมือนหอยที่เปิดปากยาก เนื้อหอยติดเปลือกเอาออกยาก ซึ่งความเชื่อนี้ไม่น่าจะเป็นความจริงเท่าไหร่ค่ะ แต่น่าจะเป็นอุบายของคนโบราณที่ไม่อยากให้คนท้องกินหอย ที่เหมือนเป็นของแสลง เปื้อนดินโคลน ไม่สะอาด นั่นเอง

นอกจากหอยแครงแล้ว คนท้องหลายคนอาจอยากกินหอยนางรมด้วย คนท้องกินหอยนางรมได้ไหม อ่านเพิ่มเพิ่มได้ที่นี่ค่ะ >>> คนท้องกินหอยนางรมได้ไหม

ผัก ผลไม้ ที่คนท้องควรกินเพื่อคลายร้อน รู้แล้วรีบหามาไว้ติดบ้านกันเลย

 
ผักผลไม้ที่คนท้องควรกิน-หน้าร้อน
 

ผัก ผลไม้ ที่คนท้องควรกินเพื่อคลายร้อน

เราขอนำเสนอ ผักและผลไม้ฤดูร้อน ผักและผลไม้คลายร้อน ผักและผลไม้ตามฤดูกาล ที่ ช่วยเพิ่มความสดชื่น และ ช่วยคลายร้อน ให้กับ แม่ท้อง เป็นอย่างดี ด้วยอากาศที่ร้อนขึ้น อาจส่งผลต่อด้านร่างกาย และ ด้านอารมณ์ ของ แม่ท้อง ทำให้ หงุดหงิด ไม่สดชื่น และ รู้สึกว่าร่างกายของตัวเอง ร้อนมากกว่าปกติ ใช่แล้วค่ะ นั่นคือเรื่องจริง เพราะในขณะที่ตั้งครรภ์ ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายหลายอย่าง เช่น ต่อมไทรอยด์ต้องทำงานมากขึ้น การสร้างเซลล์เนื้อเยื่อต่างๆ มีมากขึ้น เพื่อนำไปใช้เสริมสร้างอวัยวะต่างๆ ของลูกน้อยและของคุณแม่ ดังนั้นเรามาเติมความสดชื่นด้วยอาหารเย็นๆ กันดีกว่าค่ะ 

 
สิ่งที่แม่ท้องไม่ควรกินในหน้าร้อน

ผักเหล่านี้รสชาติเผ็ด และจะไปกระตุ้นความร้อนของร่างกาย และทำให้เหงื่อออกเยอะ ได้แก่

  • พริก
  • ขิง
  • ข่า
  • กระเทียม
  • กระชาย
  • หอมแดง
  • หอมใหญ่
  • ใบมะกรูด
  • ยี่หร่า
  • เครื่องเทศ ต่าง ๆ

ผลไม้ที่คลายร้อนได้ดี

ผลไม้ที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบสูง ช่วยระบายความร้อน แก้กระหายน้ำ แก้ร้อนใน ได้แก่

  • แตงโม
  • แคนตาลูป
  • สาลี่
  • แก้วมังกร
  • มังคุด
  • ส้มโอ
  • แตงไทย
  • มะตูม
  • กระเจี๊ยบ
  • สัปปะรด

ผักคลายร้อน

ผักที่ช่วยดับกระหาย คลายร้อน มีฤทธิ์เย็น มีน้ำเป็นส่วนประกอบสูง ช่วยให้อุณหภูมิภายในร่างกายลดลงได้ ได้แก่

  • มะระ
  • ฟักเขียว
  • หัวไชเท้า
  • ตำลึง
  • ดอกแค
  • แตงกวา
  • ปวยเล้ง
  • ใบบัวบก
  • ชะอม
  • สะเดา
  • ถั่วเขียว
  • บวบ
  • รากบัว 

ผักและผลไม่คลายร้อน ที่นำเสนอมา ล้วนแต่มีประโยชน์ และ เพิ่มความสดชื่น ในวันที่อากาศร้อน ได้เป็นอย่างดี แต่ ต้องรับประทานในสัดสวนที่พอเหมาะ และให้ครบหมู่ตามหลักโภชนาการด้วยนะคะ 

เคพกูสเบอร์รี่ ผลไม้บำรุงครรภ์ชั้นดีของแม่ท้อง

2753

เคพกูสเบอร์รี่ ผลไม้บำรุงครรภ์ชั้นดีของแม่ท้อง

เคพกูสเบอร์รี่ (Cape Gooseberry) หรือ โทงเทงฝรั่ง เป็น ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ที่หลายคนอาจจะหยึยๆ กับรสชาติเปรี้ยวอมหวาน บางทีก็บรรยายไม่ถูกว่าเหมือนอะไร เหมือนมะเขือเทศก็ไม่ใช่ เหมือนเบอร์รี่บางชนิดก็ไม่คุ้น แต่ไม่ว่ารสชาติจะเหมือนอะไรนั้น ประโยชน์ของเคพกูสเบอร์รี่ มีเยอะจนคุณแม่ท้องต้องร้องว้าวเลยค่ะ 


ประโยชน์ของเคพกูสเบอร์รี่ 

1. เคพกูสเบอร์รี่ มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอวัย

2. มีวิตามินซีสูง ป้องกันหวัดได้

3. เคพกูสเบอร์รี่ ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สดใส

4. มีวิตามินเอ ช่วยเรื่องการมองเห็น

5. เคพกูสเบอร์รี่ มีสารไฟโตเคมี เช่น โพลีฟีนอล และ แคโรทีนอยด์ ที่ช่วยควบคุมความดันโลหิต คอเลสเตอรอล และหลอดเลือดหัวใจ 

6. เคพกูสเบอร์รี่ มีกากใยอาหารสูง ช่วยเรื่องระบบขับถ่าย 

7. เคพกูสเบอร์รี่ มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูง ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน 

8. เคพกูสเบอร์รี่ ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันเบาหวานในแม่ท้องได้

9. เคพกูสเบอร์รี่ มี สารต้านอนุมูลอิสระ สูง จึงช่วยป้องกันหวัดได้เป็นอย่างดี 

ทราบอย่างนี้แล้วต้องรีบออกไปซื้อหามาบำรุงร่างกายด่วนเลยค่ะ ส่วนใครที่กินไม่เป็น ไม่รู้จะเริ่มยังไง นำมาใส่สลัดหรือจิ้มพริกเกลือก่อนก็ได้นะคะ 

 



 

 

เชอร์รีไทย มีประโยชน์มากกว่าส้ม 50 ลูก! ช่วยบำรุงครรภ์ให้แข็งแรง

เชอรี่ไทย, เชอรี่ไทย ประโยชน์, ผลไม้คนท้อง , ผลไม้สำหรับคนท้อง, คนท้อง กิน เชอร์รี่ไทย ได้ไหม, คนท้อง ผลไม้เปรี้ยว, วิตามินซี คนท้อง, ผลไม้วิตามินซีสูง, ผลไม้ที่คนท้องกินได้

เชอร์รีไทย ลูกสีแดงสดตามรั้วบ้านทั่วไป แต่มีประโยชน์มากกว่าส้ม 50 ลูก! เลยนะคะ เชอร์รีไทยมีประโยชน์อะไรอีกสำหรับแม่ท้อง มาเช็กกันก่อนไปหาซื้อกินค่ะ

เชอร์รีไทย มีประโยชน์มากกว่าส้ม 50 ลูก! ช่วยบำรุงครรภ์ให้แข็งแรง

ผลไม้สำหรับคนท้องมีหลายชนิดค่ะ เชอรี่ไทยเป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่แม่ท้องกินได้ และมีประโยชน์สูง ซึ่งจากผลวิจัยทางโภชนาการระบุว่า เชอรี่ไทยเป็นผลไม้ที่ให้สารอาหาร วิตามินที่มีประโยชน์มากกว่าส้ม 50 ลูกรวมกันเสียอีก 

เชอร์รีไทย หรือ อะเซโรล่าเชอร์รี (Acerola cherry)มีประโยชน์ดังนี้

1. เชอร์รีไทยมีวิตามินซีธรรมชาติในปริมาณสูงมาก มากกว่าส้มสดถึง 65 เท่า เชอร์รีไทย 1 ขีด เทียบเท่ากับส้มนับสิบ ๆ ลูก

2. ลูกเชอร์รีไทยที่สุกพร้อมกิน มีวิตามินเอ เบต้าแคโรทีน ไลโคปีน และ แคโรทีนอยด์ ซึ่งเป็นญาติของ วิตามินเอ มากชนิด

3. เชอรี่ไทยมีสารต้านอนุมูลอิสระ ชนิดพิเศษ ได้แก่ กลุ่มโพลีฟีนอลส์ ฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารแบบเดียวกับไวน์องุ่นราคาแพงนั่นคือ “เรสเวอราทรอล”

เชอรี่ไทย, เชอรี่ไทย ประโยชน์, ผลไม้คนท้อง , ผลไม้สำหรับคนท้อง, คนท้อง กิน เชอร์รี่ไทย ได้ไหม, คนท้อง ผลไม้เปรี้ยว, วิตามินซี คนท้อง, ผลไม้วิตามินซีสูง, ผลไม้ที่คนท้องกินได้


4. เชอร์รีไทยมีสารเคมี ลดน้ำตาล ตัวช่วยอ่อนหวานตัวนี้มีชื่อว่า คลอโรจีนิก (Chlorogenic acid) เป็นกรดตัวหนึ่งในลูกไม้เปรี้ยวนี้ ช่วยคุมระดับน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือด โดยเฉพาะในผู้ป่วยเบาหวานประเภที่ 2 (เบาหวานในผู้ใหญ่)

5. เชอร์รีไทยมีแร่ธาตุสำคัญ อย่าง โพแทสเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็กที่ช่วยบำรุงหัวใจ และปรับสมดุลย์ให้ร่างกายทำงานได้เป็นปกติ และเหมาะสำหรับผู้ที่มีโลหิตจางด้วย

การกินเชอร์รีไทยสด ๆ กับพริกเกลือ หรือปั่นเป็นสมูทตี้ก็ชื่นใจได้ประโยชน์ไปอีกนะคะ ยังไม่หมดแค่นี้ เชอรี่ไทยยังถือเป็นผลไม้แนะนำสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์เพราะมีสารช่วยสร้าง “สมอง” และระบบประสาทให้ลูกน้อยตั้งแต่ยังอยู่ในท้อง ช่วยป้องกันปัญหาไขสันหลังเปิด หรือโรคที่มีผลต่อสติปัญญาแต่กำเนิดได้อีกด้วยค่ะ 

ขอบคุณข้อมูลจาก : นพ.กฤษดา ศิรามพุช,พบ. (จุฬาฯ)

เมี่ยงไก่คั่ว อาหารว่างเบาๆ สำหรับแม่ท้อง

 
อาหารคนท้อง-ของว่างคนท้อง

เมี่ยงไก่คั่ว อาหารว่างเบาๆ สำหรับแม่ท้อง

เมี่ยง เป็นอาหารว่างเบาๆ ที่มีทั้ง โปรตีน และไฟเบอร์ เหมาะสำหรับ แม่ท้อง ที่มี อาการแพ้ท้อง และ ไม่อยากอาหาร เพราะรสชาติที่เข้มข้นแต่ไม่จัดจ้านนั้น ช่วย ลดอาการคลื่นไส้ ได้ดีเลยค่ะ 


ส่วนผสม 
  

อาหารแม่ท้อง, อาหารคนท้อง, อาหารแก้เลี่ยน, เมี่ยงคนท้อง, สูตรเมี่ยงไก่คั่ว, เมี่ยงไก่, เมี่ยงไก่คั่ว, เมนูแม่ท้อง
  • สะโพกไก่ 200 กรัม
  • ผงรากผักชี 1 ช้อนชา
  • พริกไทยดำบด 1 ช้อนชา
  • ผงปาปริก้า 1 ช้อนชา
  • เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
 
เครื่องเคียง
 
  • ถั่วลิสงอบแห้ง (หรือใช้ถั่วลิสงคั่วก็ได้)
  • หอมแดงปอกเปลือกหั่นชิ้นเล็กตามชอบ
  • กระเทียมปอกเปลือกหั่นชิ้นเล็กๆ ตามชอบ
  • พริกขี้หนูหั่นตามชอบ
  • มะนาวแป้นเปลือกบางหั่นชิ้นเล็กๆ
  • ขิงหั่นชิ้นพอดีคำ
  • ผักกรีนโอ๊ค (จะใช้ใบชะพลูหรือผักสลัดอื่นๆ ก็ได้)

วิธีทำ 
 
1. หั่นสะโพกไก่เป็นชิ้นเล็กๆ พอคำ จากหมักด้วยผงปาปริก้า ผงรากผักชี พริกไทยดำบด และเกลือป่นประมาณครึ่งชั่วโมง 

อาหารแม่ท้อง, อาหารคนท้อง, อาหารแก้เลี่ยน, เมี่ยงคนท้อง, สูตรเมี่ยงไก่คั่ว, เมี่ยงไก่, เมี่ยงไก่คั่ว, เมนูแม่ท้องล, เมี่ยงไก่
 

2. ตั้งกระทะบนไฟอ่อน รอจนกระทะร้อนจึงนำไก่ลงไปคั่ว 

อาหารแม่ท้อง, อาหารคนท้อง, อาหารแก้เลี่ยน, เมี่ยงคนท้อง, สูตรเมี่ยงไก่คั่ว, เมี่ยงไก่, เมี่ยงไก่คั่ว, เมนูแม่ท้องล, เมี่ยงไก่
 

3. คั่วไก่จนสุกหอม ตักขึ้นใส่จานเสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียง รับประทานโดยไม่มีน้ำเมี่ยงได้เลย 
อาหารแม่ท้อง, อาหารคนท้อง, อาหารแก้เลี่ยน, เมี่ยงคนท้อง, สูตรเมี่ยงไก่คั่ว, เมี่ยงไก่, เมี่ยงไก่คั่ว, เมนูแม่ท้อง




 

แม่ท้องกินมะยงชิดได้มั้ย

แม่ท้องกินมะยงชิด-มะยงชิด-แม่ท้องกินมะยงชิดได้มั้ย-คนท้องกินมะยงชิดได้มั้ย-มะยงชิดลอยแก้ว-ผลไม้สำหรับคนท้อง-มะยงชิด คนท้อง-มะยงชิด น้ำตาล-มะยงชิด โภชนาการ

มะยงชิดแสนอร่อย แต่แม่ท้องกินได้มั้ย และกินเยอะ ๆ จะเป็นอันตรายต่อแม่และลูกในท้องหรือไม่ มาดูคำตอบกัน

แม่ท้องสามารถกินมะยงชิดได้มั้ย

เข้าหน้าร้อนทีไร ผลไม้ยอดฮิตอีกหนึ่งชนิดคือมะยงชิด ถึงแม้ว่าราคาจะแรง แต่เมื่อได้ลิ้มชิมรสแล้วต้องยอมใจเลยค่ะ เพราะว่าอร่อยจนต้องขออีก

แต่ว่า แม่ท้องกินมะยงชิดได้มั้ย และ ถ้ากินมะยงชิดมาก ๆ จะเป็นอันตรายต่อแม่ท้องและอันตรายต่อลูกในท้องหรือไม่ รักลูกมีคำตอบเรื่องนี้มาให้ค่ะ

ข้อมูลจากกองโภชนาการ กรมอนามัย ระบุว่ามะยงชิด 100 กรัม (ประมาณ 3-4 ผล) ให้คุณค่าทางโภชนาการดังนี้

  • พลังงาน 62 กิโลแคลอรี
  • น้ำ 85 กรัม
  • ใยอาหาร 1.6 กรัม
  • โปรตีน 0.5 กรัม
  • ไขมัน 0.3 กรัม
  • คาร์โบไฮเดรต 14.2 กรัม 
  • โซเดียม 2 มิลลิกรัม
  • โพแทสเซียม 137 มิลลิกรัม
  • แม็กนีเซียม 6 มิลลิกรัม
  • เบต้าแคโรทีน 207 ไมโครกรัม
  • วิตามินซี 25 มิลลิกรัม
  • แคลเซียม 1 มิลลิกรัม
  • น้ำตาล 13 กรัม
      

ประโยชน์ของมะยงชิด

แม่ท้องกินมะยงชิด-มะยงชิด-แม่ท้องกินมะยงชิดได้มั้ย-คนท้องกินมะยงชิดได้มั้ย-มะยงชิดลอยแก้ว-ผลไม้สำหรับคนท้อง-มะยงชิด คนท้อง-มะยงชิด น้ำตาล-มะยงชิด โภชนาการ

1. มีสารต้านอนุมูลอิสระ

มะยงชิด มีเบต้าแคโรทีนสูงมาก ซึ่งเบต้าแคโรทีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระกลุ่มแคโรทีนอยด์ ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย และช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส

2. ช่วยบำรุงสายตา

เนื่องจากเบต้าแคโรทีนเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ ซึ่งมีคุณสมบัติในการช่วยบำรุงสายตา  ดังนั้นการกิน มะยงชิด วันละ 3-4 ผล ช่วยบำรุงสายตาคุณแม่ท้องได้ค่ะ

3. บำรุงการไหลเวียนของโลหิต

มะยงชิด มีองค์ประกอบของน้ำในปริมาณที่สูง ช่วยเพิ่มน้ำในร่างกายของแม่ท้องได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

4. ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน

เพราะ มะยงชิด มีวิตามินซีอยู่ด้วย นอกจากช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ป้องกันไข้หวัดแล้ว ยังช่วยป้องกันการเกิดเลือดออกตามไรฟันอีกด้วยค่ะ

5. เพิ่มความสดชื่นให้ร่างกาย

มะยงชิด มีเนื้อเยอะ ฉ่ำน้ำ มีรสหวานอมเปรี้ยว เมื่อกินแล้วช่วยเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกายได้ โดยเฉพาะผลที่คว้านเมล็ด แช่เย็น กินยามบ่ายช่วยคลายร้อนเป็นอย่างดี

6. ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน

เนื่องจากใน มะยงชิด ประกอบด้วยแคลเซียมและฟอสฟอรัส ซึ่งมีคุณสมบัติในการบำรุงกระดูกและฟัน ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุนได้ค่ะ

7. ช่วยการทำงานของระบบทางเดินอาหาร

ใยอาหารใน มะยงชิด ช่วยเสริมสร้างระบบทางเดินอาหารให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยระบบขับถ่ายของแม่ท้อง ทั้งยังลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งลำไส้อีกด้วย

แม่ท้องกินมะยงชิด-มะยงชิด-แม่ท้องกินมะยงชิดได้มั้ย-คนท้องกินมะยงชิดได้มั้ย-มะยงชิดลอยแก้ว-ผลไม้สำหรับคนท้อง-มะยงชิด คนท้อง-มะยงชิด น้ำตาล-มะยงชิด โภชนาการ
 
นอกจากปอกกินสด ๆ แล้ว มะยงชิด ยังนำมาทำอาหารได้ทั้งของหวานและของคาว เช่น มะยงชิดลอยแก้ว สมูทตี้ เค้ก ข้าวเหนียวมูน บิงซู ยำ ใส่น้ำพริก ใส่แกง ฯลฯ ซึ่งแม่ท้องสามารถกินได้ในปริมาณที่เหมาะสม
โดยมะยงชิด 100 กรัม หรือประมาณ 3-4 ลูก จะมีน้ำตาลถึง 13 กรัม หรือประมาณ 3.3 ช้อนชา เพราะฉะนั้นหากนำมาแปรรูปเป็นของหวาน ควรระวังน้ำตาลที่จะเพิ่มขึ้นด้วยค่ะ
 

ใครกินไม่เป็นมาทางนี้ สลัดเคพกูสเบอร์รี่ เมนูไฟเบอร์สูง

คนท้องกินเคพกูสเบอร์รี่-ประโยชน์ของเคพกูสเบอร์รี่

ใครกินไม่เป็นมาทางนี้ สลัดเคพกูสเบอร์รี่ เมนูไฟเบอร์สูง 

เคพกูสเบอร์รี่ เป็นผลไม้ที่มีประโยชน์เยอะมากมาย มี สารต้านอนุมูลอิสระ มี วิตามินซี วิตามินเอ แคลเซียม ฟอสฟอรัส ฯลฯ และที่สำคัญ มีใยอาหาร ช่วยระบบการขับถ่าย อย่างดีเยี่ยม 

หลายๆ คนอาจจะรู้สึกว่ารูปร่างหน้าตาของ เคพกูสเบอร์รี่ นั้นคล้ายมะเขือเทศ จึงทำให้กินยากสักหน่อย แต่ความจริงแล้วรสชาติเปรี้ยวอมหวานนี้ก็อร่อยมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเหมือนกันค่ะ 

เคพกูสเบอร์รี่ ลูกที่อร่อยให้สังเกตลูกที่โตๆ สีเหลืองๆ ผิวเต่งๆ แบบนี้จะค่อนข้างหวาน รสชาติดี 

นอกจากล้างน้ำกินเปล่าๆ หรือจิ้มกับพริกเกลือแล้ว สามารถนำมาทำเมนูต่างๆ ทั้งอาหารคาวหวานและเครื่องดื่มได้เยอะแยะเลยค่ะ เช่น ทำแยม แต่งหน้าเค้ก ทำซอส กินกับโยเกิร์ต ทำสมูทตี้โยเกิร์ต ทำน้ำปั่น ใส่ยำ ใส่ส้มตำ ใช้แทนมะเขือเทศในบาร์บีคิว หรือจะนำมาปั่นทำไอศกรีมก็ได้ทั้งนั้น 

และอีกหนึ่งเมนูเคพกูสเบอร์รี่ ที่ทำง่ายน่าลิ้มลองก็คือ สลัดเคพกูสเบอร์รี่ ค่ะ 

คนท้องกินเคพกูสเบอร์รี่-ประโยชน์ของเคพกูสเบอร์รี่


ส่วนผสม 

  • บร็อกโคลีหั่นพอดีคำ ต้มสุก 2-3 ชิ้น 
  • มะเขือเทศ ผ่าเป็นแว่น 2-3 ชิ้น 
  • ปูอัด 2 ชั้น หั่นพอดีคำ
  • แอปเปิ้ลแดง หั่นชิ้นพอดีคำ 1/4 ลูก
  • แอปเปิ้ลเขียว หั่นชิ้นพอดีคำ 1/4 ลูก
  • ผักสลัดต่างๆ อย่างละ 2-3 ใบ 
  • กะหล่ำม่วงหั่นฝอย ตามชอบ
  • ต้นอ่อนทานตะวัน ตามชอบ
  • เคพกูสเบอร์รี่ ผ่าซีก 1/2 ถ้วย 

 
วิธีทำ

นำส่วนผสมทุกอย่างจัดใส่จาน หรือชาม จากนั้นใส่น้ำสลัดที่ชื่นชอบ คลุกเคล้าให้เข้ากัน เป็นอันเสร็จเรียบร้อย 

เคพกูสเบอร์รี่ เป็นผลไม้ที่จะมีจำหน่ายช่วงฤดูหนาว ประมาณ เดือนมกราคม - มีนาคม ในอดีตความนิยม เคพกูสเบอร์รี่ ยังไม่สูงนัก จึงมีจำหน่ายเฉพาะร้านค้าโครงการหลวง ร้านโครงการส่วนพระองค์ แต่ปัจจุบันได้รับความนิยมจากชาวบ้าน มีการปลูกมากขึ้น นอกจากร้านโครงการส่วนพระองค์ต่างๆ แล้ว ในตลาดสด หรือตลาดนัดบางแห่งก็มีเคพกูสเบอร์รี่จำหน่ายเช่นกันค่ะ