facebook  youtube  line

อย่าปล่อยเด็กร้องไห้นานๆ เพราะจะส่งผลต่อพัฒนาการ และเครียดรุนแรง

 
ปล่อย ลูก ทารกร้องไห้นาน ๆ ได้ไหม, ปล่อย ลูกทารกร้องไห้นาน ๆ จะเป็นไรไหม, ลูกทารกร้องไห้ ต้องรีบอุ้มไหม, อุ้มลูกทารกบ่อย ๆ จะติดมือไหม, ลูกทารก ร้องไห้นานๆ อันตรายไหม, ลูกทารก ร้องไห้นานๆ ผิดปกติไหม, ปล่อย ทารก ร้องไห้ ไม่อุ้ม ได้ไหม, อุ้ม ปลอบ ทารก ร้องไห้, โอ๋ ทารก ร้องไห้, อุ้ม ทารก ทุกครั้งที่ร้องไห้ ติดมือ, ปล่อย ทารก ร้องไห้ พัฒนาการทารก
 

เวลาลูกทารกร้องไห้นาน ๆ แล้วพ่อแม่ไม่รีบอุ้มปลอบเพราะกลัวติดมือ ระวังไว้นะคะเพราะนั่นอาจเป็นต้นเหตุของพัฒนาการทารกล่าช้า และสร้างความเครียดให้ลูกทารกได้

อย่าปล่อยเด็กร้องไห้นานๆ เพราะจะส่งผลต่อพัฒนาการ และเครียดรุนแรง

เมื่อเด็กร้องแล้วคนเฒ่าคนแก่บอกว่า "อย่าไปอุ้ม เดี๋ยวลูกจะติดมือนะ ปล่อยให้มันร้องไปเลย เดี๋ยวเหนื่อยก็หยุดเอง" ขอบอกว่าเด็กติดมือไม่มีจริงนะคะ และการปล่อยลูกร้องไห้ไปอย่างนั้นเรื่อย ๆ จะส่งผลร้ายต่อพัฒนาการของลูกอย่างคาดไม่ถึงเลยค่ะ มาดูกันเลยว่าทำไม  

เด็กทารกร้องไห้ มีสาเหตุมาจากอะไรบ้าง

ในเด็กวัยแรกเกิดไปจนถึง 1 ปีแรกนั้น เด็กจะยังสื่อสารกับพ่อแม่ไม่ได้ จึงต้องใช้วิธีการร้องไห้เพียงอย่างเดียว การร้องไห้ของเด็กวัยนี้ เกิดจากสาเหตุหลักๆ คือ รู้สึกหิว รู้สึกเหนื่อยและไม่สบายตัว และเกิดอาการกลัว จากการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่รวดเร็วจนเกินไป เป็นต้น เมื่อพ้นช่วงระยะ 3 เดือนไปแล้ว เด็กจะค่อยๆ ปรับตัวได้ และจะร้องไห้น้อยลง เพราะส่วนมากจะร้องไห้เพื่อบอกความต้องการมากกว่าค่ะ

ทารกร้องไห้ เกี่ยวข้องกับพัฒนาการของเด็กไหม

การร้องไห้ของเด็กไม่ได้เกี่ยวข้องกับพัฒนาการทางสมองโดยตรง แต่จะเกิดกับพัฒนาการทางอารมณ์ที่เป็นส่วนหนึ่งของสมองมากกว่าค่ะ เมื่อเด็กร้องไห้ ร้องจนเหนื่อยสะอื้น แล้วยังไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ปลอบโยน ก็จะทำให้เด็กมีอาการเครียดอย่างรุนแรง

และเมื่อเครียด ร่างกายก็จะหลั่งสารเคมีต่างๆ โดยเฉพาะฮอร์โมน "คอร์ติซอล" ที่จะหลั่งอะดรีนาลีนต่อเนื่องมาอีกในปริมาณมาก ซึ่งจะส่งผลกับพัฒนาการของเด็ก และสภาพจิตใจ ถ้าหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้บ่อยครั้ง ก็มีแนวโน้มที่เด็กจะมีอาการของโรคซึมเศร้าตั้งแต่วัยเด็ก และอาจมีพัฒนาการที่ช้าลงกว่าเดิม เพราะสารเคมี เข้าไปขัดขวางการทำงานของเซลล์สมองนั่นเองค่ะ

รู้แบบนี้แล้ว อย่าปล่อยให้ลูกร้องไห้นาน ๆ นะคะ เพื่อความสุขและพัฒนาการที่ดีของลูก ใช้เวลาไม่นานในการปลอบโยนเขาก็หยุดร้องแล้วค่ะ

 

อันตราย! ห้ามลูกทารกกินน้ำ เสี่ยงเกิดภาวะ NEC ลำไส้อักเสบรุนแรง ไส้เน่า

ทารก ลำไส้อักเสบ, ทารกไส้เน่า, ทารก ห้ามกินน้ำเปล่า, ทำไม ทารกห้ามกินน้ำ, ทารกกินนม กินน้ำ ลำไส้เน่า, ทารก กินน้ำได้ตอนไหน, ทารก กินน้ำได้เมื่อไหร่, ทารกกินน้ำได้ไหม, Necrotizing Enterocolitis: NEC, ห้ามทารกดื่มน้ำ, กินนมแม่ แล้วต้องกินน้ำตามไหม

เด็กทารกอายุต่ำกว่า 6 เดือน ได้รับน้ำจากการดื่มนมอยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องดื่มน้ำเพิ่ม เพราะอาจะเสี่ยงลำไส้อักเสบ ไส้เน่าได้

อันตราย! ห้ามลูกทารกกินน้ำ เสี่ยงเกิดภาวะ NEC ลำไส้อักเสบรุนแรง ไส้เน่า

เด็กทารกอายุต่ำกว่า 6 เดือน ได้รับน้ำจากการดื่มนมอยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องดื่มน้ำเพิ่ม เรื่องนี้กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มีคำแนะนำสำหรับพ่อแม่มือใหม่ว่านมแม่หรือนมผสมเป็นอาหารหลักของเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 6 เดือน ซึ่งในนมแม่หรือนมผสมจะมีน้ำเป็นส่วนประกอบมากกว่า 80%  เด็กจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องดื่มน้ำเพิ่มเนื่องจากการให้เด็กกินน้ำจะทำให้อิ่มเร็ว และกินนมได้น้อยลง ส่งผลให้เด็กได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ น้ำหนักไม่ขึ้นตามเกณฑ์

นอกจากนี้การให้ลูกทารกดื่มน้ำมากไปยังเสี่ยงกับการเกิดภาวะลำไส้เน่าอักเสบ (Necrotizing Enterocolitis: NEC)

ภาวะลำไส้เน่าอักเสบ (Necrotizing Enterocolitis: NEC) เป็นภาวะที่เนื้อเยื่อของระบบทางเดินอาหารตายจากการอักเสบจนขาดเลือด มักเกิดบริเวณลำไส้เล็ก และลำไส้ใหญ่ในทารกแรกเกิดที่มีน้ำหนักตัวน้อย และเป็นสาเหตุการตาย และทุพลภาพของทารกแรกเกิดที่พบได้มากที่สุด

ทารกแบบไหนอยู่ในภาวะเสี่ยงโรคลำไส้อักเสบรุนแรง

ทารกคลอดก่อนกำหนดและมีน้ำหนักตัวน้อย หากมีการขาดเลือดไปเลี้ยงบริเวณลำไส้ เช่น การมีคะแนนการคลอดตั้งแต่แรกคลอดต่ำ หรือมีภาวะขาดออกซิเจนตั้งแต่แรกคลอด และมีการปนเปื้อนของเชื้อโรคไปกับนมหรือภาชนะที่ไม่สะอาด หรือมีการให้น้ำนมผสมที่มีความเข้มข้นที่สูง และเพิ่มปริมาณน้ำนมเร็วเกินไปโดยเฉพาะนมผสมที่ไม่ใช่นมแม่ ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะนี้ได้

สังเกตอาการลำไส้เน่าในทารก

  1. ตอนแรกอาจมีเพียงท้องอืด กินนมได้น้อยลง หรือมีน้ำนมเหลือค้างในกระเพาะอาหาร อาเจียนหรือแหวะนมบ่อยๆ ลักษณะอุจจาระเป็นสิ่งสำคัญ หากมีการถ่ายเหลวเป็นมูกหรือมีมูกเลือดปน เป็นสิ่งบ่งชี้ว่าน่าจะมีสิ่งผิดปกติในลำไส้ของลูกน้อย

  2. ซึม ไม่ยอมดูดนม ร้องกวน หรือมีการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิร่างกายไม่ใช่เฉพาะการมีไข้ แต่อาจจะมีภาวะตัวเย็นร่วมด้วย การสังเกตอาการของคุณแม่มือใหม่ที่มีทารกคลอดก่อนกำหนด หรือน้ำหนักตัวน้อย

คุณแม่อาจสังเกตดูว่า ลูกน้อยกินนมได้ดีเท่าเดิม ไม่มีอาการแหวะนมบ่อย ๆ ท้องไม่อืดอย่างต่อเนื่อง หรือไม่มีลมในกระเพาะปริมาณมาก และเมื่อลูกน้อยกินนมอิ่มก็จะพักหลับได้ประมาณ 3–4 ชั่วโมง แล้วจึงตื่นมาเพื่อกินนมมื้อต่อไป มีการตอบสนองกับคุณพ่อคุณแม่ ด้วยการยิ้ม จ้อง และสบตา ลักษณะของอุจจาระ หากกินนมแม่ในปริมาณมากพอหรือเป็นส่วนใหญ่ อุจจาระจะมีสีเหลืองทอง นิ่ม ไม่มีลักษณะเป็นน้ำ ไม่มีมูกหรือเลือดปน อาจถ่ายได้วันละ 4–6 ครั้ง ถือเป็นภาวะปกติ

วิธีป้องกันอาการลำไส้เน่าในทารก

  1. ให้ลูกกินนมแม่อย่างเดียว เพราะจะมีภูมิคุ้มกันที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อในลำไส้ได้อย่างดี จากการศึกษาหลายแห่งได้ผลตรงกันว่า อุบัติการณ์ของภาวะ NEC นี้ จะลดลงในกลุ่มทารกที่ได้รับน้ำนมแม่ เมื่อเทียบกับทารกที่ได้รับนมผสมอย่างเดียว

  2. ปรุงอาหารให้สะอาด อาหารเสริมควรให้เมื่อลูกอายุ 6 เดือน หรือตามคำแนะนำของคุณหมอ และควรระวังเชื้อโรคปนเปื้อน ต้องการล้างมือของคนชงนมเป็นสิ่งสำคัญมากที่สุด ขวดนมและจุกนมภายหลังจากต้มในน้ำเดือดอย่างน้อย 15 นาที หรือนึ่งฆ่าเชื้อโรคตามเวลาที่กำหนด ควรเก็บไว้ในภาชนะที่มีฝาครอบ เพื่อป้องกันแมลงและสัตว์นำเชื้อโรคอื่นๆ ที่เราไม่ทันระวังมาสัมผัสได้


อ่านความต้องการของทารกจากสีหน้า ท่าทาง พ่อแม่ต้องรู้เพื่อตอบสนองลูกได้ถูกต้อง

ภาษาทารก, ทารก บอกความต้องการ, อ่าน ท่าทางทารก, อ่าน สีหน้าทารก, อ่าน อารมณ์ ทารก, ทารก บอกความต้องการยังไง, วิธีบอกความต้องการ ของลูกทารก, ท่าทางทารก บอกความต้องการ, สีหน้า ทารก บอกความต้องการ, ทารก คุยกับพ่อแม่ยังไง, พ่อแม่จะรู้ความต้องการของลูกทารก ยังไง, ภาษา ท่าทาง ทารก

ทารกแรกเกิด - 12 เดือนอาจยังบอดความต้องการตัวเองไม่ได้ แต่ลูกทารกสามารถแสดงสีหน้า ท่าทางเพื่อบอกความต้องการของตัวเองได้นะคะ ลองมาเช็กกันหน่อยว่าลูกบอกอะไรเราบ้าง

อ่านความต้องการของทารกจากสีหน้า ท่าทาง พ่อแม่ต้องรู้เพื่อตอบสนองลูกได้ถูกต้อง  

  1. ยิ้มกว้างโชว์เหงือก ส่งเสียงหัวเราะ = หนูกำลังมีความสุข  

  2. สีหน้านิ่งสงบ อมยิ้มนิดๆ = หนูสบายอารมณ์  

  3. หรี่ตาเล็กลง ขมวดคิ้ว จ้องตาเขม็ง = หนูรู้สึกไม่สบายตัว  

  4. สีหน้าเหม่อลอย หันไปทางอื่นเมื่อมีคนเล่นด้วย = หนูเหนื่อยจัง อยากพักแล้ว  

  5. มือเกร็ง ตาเบิกกว้าง ดวงตาไม่สดใส ย่นหน้าผากเล็กน้อย ริมฝีปากปิดแน่น = หนูเครียด กังวล หรือตกใจ  

  6. ริมฝีปากปิด ลืมตา หัวคิ้วมุ่นเข้าหากัน = หนูเหงาและเศร้า    

เพียงแค่พ่อแม่รู้และอ่านออกว่าสีหน้าเหล่านี้ลูกกำลังบอกอะไร ก็จะทำให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกได้ตรงจุดที่สุดค่ะ

 


 

เคล็ดลับเด็กหัวทุย นอนท่าไหนไม่เสี่ยงโรคไหลตาย SIDs

เด็กหัวทุย, ลูกหัวทุย, ลูกหัวสวย, ลูกหัวไม่แบน, หัว ทุย หัว แบน, ท่าน อน หัว ทุย, ลูกไม่หัวแบน, ท่านอนช่วยให้หัวสวย, วิธีทำให้ลูกหัวทุย, วิธีทำให้ลูกหัวสวย, กลัวลูกหัวแบน, กลัวลูกหัวไม่สวย, เด็กไหลตาย, sids

คุณแม่หลายคนอยากให้ลูก “หัวทุย” สวยได้รูป วันนี้เรามีเคล็ดลับดี ๆ ช่วยเคล็ดลับช่วยลูกหัวสวย ลูกหัวทุย ลูกไม่หัวแบนมาฝากกันค่ะ

เคล็ดลับเด็กหัวทุย นอนท่าไหนไม่เสี่ยงโรคไหลตาย SIDs

ลูกหัวไม่ทุย หรือหัวแบน มีลักษณะอย่างไร

  • ทารกที่หัวไม่ทุย จะมีลักษณะกะโหลกศีรษะด้านท้ายทอยแบนราบ ทั้งด้านซ้ายและด้านขวา
  • ทารกหัวเบี้ยว จะมีลักษณะศีรษะด้านท้ายทอยแบนราบเพียงด้านใดด้านหนึ่ง

ทำไมลูกหัวไม่ทุย ทำไมลูกหัวแบน

  • เกิดขึ้นตั้งแต่แรกเกิด มีสาเหตุจากการถูกกดทับของมดลูกต่อกะโหลกท้ายทอยทารกเป็นเวลานาน ส่วนมากเกิดกับคุณแม่ที่มีลูกแฝด หรือสาเหตุมาจากอุปกรณ์ช่วยคลอด เช่น คีม หรือเครื่องสูญญากาศ มักเกิดกับเด็กที่คลอดก่อนกำหนดมากกว่าเด็กที่คลอดตามปกติ เนื่องจากกะโหลกศีรษะจะมีความอ่อนนุ่มมากกว่า

  • เกิดขึ้นหลังคลอด สาเหตุนี้เกิดจากท่านอนของทารกที่กะโหลกศรีษะถูกกดทับจากด้านใดด้านหนึ่งมากเกินไปจนกะโหลกท้ายทอยแบน หรือเบี้ย;

เคล็ดลับช่วยลูกหัวสวย ลูกหัวทุย ลูกไม่หัวแบน

  • ​แรกเกิด - 3 เดือน ท่านอนที่เหมาะสมที่สุด คือ ท่านอนหงาย และท่านอนตะแคง คุณแม่ควรให้ทารกนอนตะแคงข้างซ้าย - ขวา สลับกันบ่อยๆ เพราะเป็นช่วงที่กะโหลกศีรษะอ่อนที่สุด ยังไม่ควรให้ลูกนอนคว่ำ เนื่องจากกระดูกคอ และกระดูกสันหลังของลูกยังไม่แข็งแรง ทำให้ทารกไม่สามารถยกคอขึ้นเองได้ หากให้ลูกนอนคว่ำทั้งที่ยังไม่พร้อมอาจทำให้ทารกเสียชีวิตขณะนอนหลับจากภาวะ SIDS (Sudden Infant Death Syndrome)

  • ​วัย 4 - 6 เดือน ช่วงนี้ทารกสามารถนอนคว่ำได้อย่างปลอดภัย เนื่องจากกระดูกคอเริ่มแข็งแรง สามารถยกคอขึ้นเองได้ นอกจากท่านอนคว่ำจะสามารถช่วยให้ลูกหัวทุยเพราะไม่ถูกกดทับจากการนอนแล้วยังช่วยลดอาการนอนสะดุ้ง หรือผวาในทารกได้อีกด้วย

  • ​วัย 7 - 12 เดือน ทารกวัยนี้สามารถนอนหงาย นอนตะแคง และนอนคว่ำได้ทั้ง 3 ท่า เนื่องจากทารกสามารถพลิกตัวได้แล้ว

ทิปส์ : การใช้เปลอุ้มเด็กก็สามารถช่วยให้ลูกหัวทุยได้ เนื่องจากการใช้เปลอุ้มเด็กโดยการให้ลูกหันหน้าเข้าหาพ่อ หรือแม่จะช่วยให้ศีรษะลูกเป็นอิสระ ไม่ถูกกดทับ

เช็กพัฒนาการทางร่างกายที่สำคัญของลูกทารกวัย 6-12 เดือน

พัฒนาการทารก 6 เดือน, พัฒนาการทารก 7 เดือน, พัฒนาการทารก 8 เดือน, พัฒนาการทารก 9 เดือน, พัฒนาการทารก 10 เดือน, พัฒนาการทารก 11 เดือน, พัฒนาการเด็ก 1 ขวบ, เช็กพัฒนาการทารก, ประเมินพัฒนาการทารก, เลี้ยงลูกอายุ 6 เดือน, ของเล่น ทารก 6 เดือน, ส่งเสริมพัฒนาการเด็ก 1 ขวบ 
ลูกทารกวัย 6-12 เดือนมีพัฒนาการอย่างไรบ้าง และพ่อแม่จะส่งเสริมพัฒนาการได้อย่างไรให้ลูก เช็กกันได้ที่บทความนี้

เช็กพัฒนาการทางร่างกายที่สำคัญของลูกทารกวัย 6-12 เดือน

พัฒนาการเด็กทารกอายุ 6 เดือน

  • พลิกคว่ำเองได้คล่อง 
  • ชันตัวได้ในท่านอนคว่ำเหมือนพยายามโหย่งตัว
  • ทรงตัวในการนั่งได้ดีแต่ต้องมีหมอนพิง
  • จับถือขวดนมหรือของเล่นได้อยู่มือ

การส่งเสริมพัฒนาการเด็กทารกอายุ 6 เดือน

  • เตรียมพื้นที่คลานให้ลูกด้วยแผ่นรองคลานหรือผ้านุ่มๆ
  • วางหมอนป้องกันไว้รอบๆ พื้นที่เพื่อไม่ให้ลูกพลิกแล้วตกที่นอนหรือแผ่นรอง
  • หมั่นตรวจดูผ้าอ้อมลูกไม่ให้ตุง เพราะถ้าผ้าอ้อมตุง หนัก บวม จะทำให้ลูกพลิกตัวยาก

---------------------------------------------------------

พัฒนาการเด็กทารกอายุ 7 เดือน

  • ยันตัวในท่าคลานหรือเริ่มคืบไปข้างหน้าได้ทีละนิด
  • จับของเพื่อดึงตัวเองขึ้นยืนได้
  • อาจยกตัวขึ้นนั่งได้จากท่านอน
  • ถ้ามีคนพยุงจะยืนทรงตัวและก้าวขาสั้นๆ ได้

การส่งเสริมพัฒนาการเด็กทารกอายุ 7 เดือน

  • จัดการกับเหลี่ยมมุมในบ้าน โต๊ะ เก้าอี้ ปลั๊กไฟเพื่อให้ลูกไม่ให้ลูกคืบหรือเกาะไต่ไปโดน
  • ควรลองพาลูกไปหัดคลานหรือเดินนอกบ้าน เช่น ในสวน เพื่อให้เขาได้สัมผัสธรรมชาติและสนุกกับการคลานมากขึ้น
  • เลือกเสื้อผ้าที่ไม่รุงรัง ไม่รัดจนทำให้ลูกคลานหรือยืนไม่คล่องตัว

---------------------------------------------------------

พัฒนาการเด็กทารกอายุ 8 เดือน

  • คลานได้
  • ยืนเกาะไต่และก้าวขาไปได้เรื่อยๆ ทีละก้าวสั้นๆ
  • นั่งได้มั่นคง ไม่ล้มหงายหลัง ไม่ต้องมีหมอนพิง
  • สามารถเปลี่ยนจากการคลานไปนั่งเองได้ด้วยการยันแขนขึ้น

การส่งเสริมพัฒนาการเด็กทารกอายุ 8 เดือน

  • ควรจัดพื้นที่คลานในบ้านให้กว้างขึ้น เช่น ย้ายเฟอนิเจอร์ ปูพื้นที่คลาน หรือส่วนไหนที่คลานไปไม่ได้ก็ให้หาฉากหรือคอกกั้น
  • จับมือพยุงให้ลูกยืนและก้าวเดินบ่อยๆ เพื่อพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ที่จะช่วยให้ขาลูกแข็งแรงและพัฒนาการเดินได้ไวขึ้น
  • เลือกผ้าอ้อมที่กระชับกับตัวลูก เพื่อให้ลูกคลานได้คล่องตัว ไม่เกิดการเสียดสี

---------------------------------------------------------

พัฒนาการเด็กทารกอายุ 9 เดือน

  • คลานคล่องแคล่ว คลานไว หรืออาจคลานขึ้นบันไดได้
  • จับของยืนเองได้และยืนได้นานโดยไม่มีคนพยุง
  • บางคนลุกยืนเองได้โดยไม่ต้องจับเครื่องเรือน
  • นั่งลงได้จากท่ายืนโดยไม่ล้ม

การส่งเสริมพัฒนาการเด็กทารกอายุ 9 เดือน

  • ช่วงนี้ควรเลือกผ้าอ้อมแบบกางเกงที่บางกระชับ เพื่อให้ลูกเคลื่อนไหวได้แบบไม่ติดขัด
  • จับให้ลูกได้เกาะโซฟาแล้วไต่เดินเองเพื่อเพิ่มพลังขา
  • ช่วงที่จะใส่กางเกงให้ลูกถือเป็นจังหวะฝึกยืน โดยให้ลูกยืนเกาะไหล่แม่พยุงตัวไว้และใส่กางเกงแทนการนั่งใส่เหมือนเดิม
---------------------------------------------------------

พัฒนาการเด็กทารกอายุ 10 เดือน

  • ลุกขึ้นยืนจากท่านั่งได้โดยไม่ต้องจับเครื่องเรือน
  • ยืนได้โดยไม่ต้องจับอะไร
  • เดินได้หลายก้าวขึ้นแต่ยังต้องจับเครื่องเรือนไต่เดินไปรอบๆ
  • ปีนขึ้นลงเก้าอี้เองได้

การส่งเสริมพัฒนาการเด็กทารกอายุ 10 เดือน

  • ร้องเรียกหรือปรบมือให้ลูกเดินเข้ามาหาเพื่อฝึกการเดินให้มั่นคง
  • บอกให้ลูกลองลุกนั่งบ่อยๆ เพื่อฝึกการทรงตัวจากการยืนนั่งและนั่งยืน
  • ลองนำของเล่นที่เขาชอบไปวางไวในมุมปลอดภัยต่างๆ หรือในสวน แล้วให้เขาเดินไปหยิบเพื่อฝึกการมอง การเดิน การทรงตัว
---------------------------------------------------------

พัฒนาการเด็กทารกอายุ 11 เดือน

  • เดินได้เองโดยจับมือคนอื่นหนึ่งหรือสองมือ
  • ลุกขึ้นยืนจากท่านั่งยองๆ ได้
  • ลุกขึ้นยืนได้โดยใช้มือยันพื้นแล้วดันตัวขึ้นยืนตรง
  • จับของเล่นส่งต่อมือหนึ่งไปอีกมือหนึ่งได้โดยของไม่ตก

การส่งเสริมพัฒนาการเด็กทารกอายุ 11 เดือน

  • เดินจูงมือลูกให้ก้าวเดินไปพร้อมกับแม่เพื่อกระตุ้นความสนุกและอยากเคลื่อนไหว
  • หาของเล่นที่มีพื้นผิวและขนาดที่หลากหลายเพื่อให้ลูกได้จับและส่งจากมือหนึ่งไปมือหนึ่งได้คล่องมากขึ้น
---------------------------------------------------------

พัฒนาการเด็กทารกอายุ 12 เดือน (1 ขวบ)

  • ลุกนั่งได้คล่องแคล่ว
  • คลานขึ้นลงบันไดได้
  • ใช้มือขณะเดินได้ เช่น โบกมือ ถือของ
  • เริ่มก้าวได้ก้าวขึ้น เร็วขึ้นจนเกือบเหมือนวิ่งเพราะสนุกที่จะเดินไปหาของที่อยากไปเล่น

การส่งเสริมพัฒนาการเด็กทารกอายุ 12 เดือน (1 ขวบ)

  • ช่วงนี้ลูกจะสนุกกับการคลาน แม่ควรเลือกเสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดีเพื่อระบายความร้อนจากร่างกาย
  • ควร เลือกผ้าอ้อมที่ซึมซับได้ดีเพื่อให้ลูกคลานได้นานขึ้นและไม่รั่วซึม รวมถึงควรเป็นผ้าอ้อมที่ไม่ตุงเทอะทะ เพราะน้ำหนักของผ้าอ้อมอาจจะถ่วงให้ลูกคลานได้ช้าลง ไม่สบายตัว

 

เมื่อลูกทารกดั้งแหมบ ลูกทารกไม่มีดั้ง แม่ห้ามดึงดั้งเด็ดขาด

ไม่มีดั้ง, ดึงดั้ง, ทารก ไม่มีดั้ง, ทำไมทารกไม่มีดั้ง, ทารก ดั้งแหมบ, ทารก โตแล้วจะมีดั้งไหม, ต้องดึงดั้ง เด็กทารกไหม, ดึงดั้ง เด็กทารก อันตราย, ดึงดั้ง ทารก จมูกหัก, ความเชื่อ ดึงดั้ง จมูกโด่ง, ทำไมต้องดึงดั้งเด็กทารก, ดึงดั้งทารกอันตราย, ดึงดั้งทารก ยังไง, ห้ามดึงดั้งทารก, ดึงดั้ง ดั้งโด่ง 

เชื่อกันว่า ถ้าทารกไม่มีดั้ง ให้รีบดึงดั้งตั้งแต่เด็ก ๆ จะช่วงให้ดั้งโ่งจมูกสวย แต่รู้ไหมคะว่าเรากำลังทำให้ลูกบาดเจ็บและดั้งไม่โด่งด้วย

เมื่อลูกทารกดั้งแหมบ ลูกทารกไม่มีดั้ง แม่ห้ามดึงดั้งเด็ดขาด

เด็กทารกเมื่อคลอดใหม่ ๆ จมูกมักจะแบน และเมื่อโตขึ้นก็จะโด่งขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งจมูกจะโด่งแค่ไหนนั้นก็ขึ้นกับกรรมพันธุ์ด้วย แต่ก็มักจะมีความเชื่อว่าถ้าบีบจมูกเด็กบ่อยๆ จะทำให้จมูกโด่งได้ อันที่จริงแล้วการบีบหรืองัดจมูกของลูกให้ดูโด่งนั้น เป็นเรื่องที่อันตรายอยู่พอสมควรค่ะ 

เมื่อทารกไม่มีดั้ง ดั้ังแหมบ ห้ามดึงดั้งทารกเด็ดขาดค่ะ เพราะการบีบจมูกลูกแรง ๆ อาจทำให้จมูกของลูกอักเสบหรือบวมได้ (หลายคนอาจเข้าใจว่าลูกจมูกโด่ง แต่จริง ๆ อาจเป็นเพราะจมูกบวมมากกว่า) ทำให้หายใจไม่สะดวก และเด็กทารกที่ยังหายใจทางปากไม่เป็นก็มีโอกาสขาดอากาศหายใจได้ค่ะ 

 

เลือกแป้งเด็กอย่างไรให้ปลอดภัย ไม่มีแร่ใยหิน ไม่มีทัลคัม

แป้งเด็ก, แป้งทารก, แป้งสำหรับเด็ก. แป้งเด็ก ปลอดภัย, แป้งเด็ก ไม่มีทัลคัม, แป้งไม่มีแร่ใยหิน, แป้ง แร่ใยหิน อันตราย, วิธีเลือกแป้งเด็ก, แป้งไร้ซ์แคร์, ของใช้สำหรับเด็ก, ผลิตภัณฑ์เด็ก 

แป้งเด็กที่ปลอดภัยสำหรับเด็กต้องเลือกอย่างไร แป้งเด็กไม่มีทัลคัมคือตัวเลือกที่ดีสำหรับแม่ที่ชอบทาแป้งเด็กให้ลูกค่ะ

เลือกแป้งเด็กอย่างไรให้ปลอดภัย ไม่มีแร่ใยหิน ไม่มีทัลคัม

จากกรณีที่ข่าวต่างประเทศรายงานว่าองค์การอาหารและยาสหรัฐ ได้ตรวจพบ "แร่ใยหิน" ประเภทไครโซไทล์ (chrysotile asbestos) ในแป้งเด็กที่ผลิตจากทัลคัมยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งเยื่อหุ้มปอด ก็ทำให้คุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ คนห่วงเรื่องความปลอดภัยของลูก จนกังวลที่จะใช้แป้งเด็กไปเลยใช่ไหมคะ
 
แต่อย่ากังวลมากไปค่ะ เพราะสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ประเทศไทย ระบุว่า แป้งเด็กล็อตที่ตรวจพบแร่ใยหิน ไม่มีจำหน่ายในประเทศไทยค่ะ 
 
แป้งเด็ก, แป้งทารก, แป้งสำหรับเด็ก. แป้งเด็ก ปลอดภัย, แป้งเด็ก ไม่มีทัลคัม, แป้งไม่มีแร่ใยหิน, แป้ง แร่ใยหิน อันตราย, วิธีเลือกแป้งเด็ก, แป้งไร้ซ์แคร์, ของใช้สำหรับเด็ก, ผลิตภัณฑ์เด็ก
 
"แร่ทัลคัม” ในแป้งเด็ก คืออะไร
 
แร่ทัลคัม (talcum) หรือทัลก์ คือแร่หินสบู่ที่มีความอ่อนมาก เป็นสารอนินทรีย์ที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ด้วยจุลินทรีย์ในธรรมชาติ นิยมใช้เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตเครื่องสำอาง เช่น แป้งและบลัชออนทาแก้ม เพราะมีคุณสมบัติช่วยผสมผสานทำให้ผิวเนียนลื่น ดูดซึมซับความชื้นในผิวหนัง ซึ่งถ้าหากใช้ไม่ระมัดระวังหรือสูดเข้าไปเป็นจำนวนมากเวลานาน อาจจะเกิดการสะสม และอาจทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจ โรคมะเร็ง หรือโรคอันตรายร้ายแรงอื่น ๆ ได้ค่ะ
 
แป้งเด็ก, แป้งทารก, แป้งสำหรับเด็ก. แป้งเด็ก ปลอดภัย, แป้งเด็ก ไม่มีทัลคัม, แป้งไม่มีแร่ใยหิน, แป้ง แร่ใยหิน อันตราย, วิธีเลือกแป้งเด็ก, แป้งไร้ซ์แคร์, ของใช้สำหรับเด็ก, ผลิตภัณฑ์เด็ก
 
หากคุณพ่อคุณแม่ชอบใช้แป้งฝุ่นกับลูก ๆ เป็นประจำ เพราะอยากให้ลูกรู้สึกแห้งสบายตัวในทุก ๆ วัน แต่ก็ยังกังวลเรื่องแร่ทัลคัม ก็สามารถเลือกแป้งที่ปราศจากทัลคัมเพื่อความอุ่นใจได้นะคะ เพราะมีแป้งบางยี่ห้อในท้องตลาดที่ไม่ได้มีส่วนผสมของทัลคัม แต่ใช้ส่วนผสมของแป้งข้าวเจ้า ที่เป็นสารอินทรีย์ย่อยสลายได้ในธรรมชาติ ซึ่งมีคุณสมบัติป้องกันความเปียกชื้นได้ดีกว่าและมีความละเอียดอ่อนต่อผิวดีมากเลยค่ะ

เลือกแป้งฝุ่นสำหรับเด็กอย่างไร ให้ปลอดภัยต่อลูก

  • ก่อนเลือกซื้อต้องอ่านฉลากผลิตภัณฑ์เพื่อดูส่วนผสมต่าง ๆ ในแป้งทุกครั้ง
  • เลือกแป้งเด็กที่ผลิตจากแป้งข้าวเจ้าแทนส่วนผสมของทัลคัม (Talcum) เพื่อความปลอดภัยและสามารถย่อยสลายได้ด้วยจุลินทรีย์ในธรรมชาติ ไม่ตกค้างในร่างกาย
  • แป้งเด็กไม่มีควรมีส่วนผสมของน้ำหอม ป้องกันการระคายเคือง
  • เลือกแป้งเด็กที่มีคุณสมบัติป้องกันความเปียกชื้นได้ เพื่อความแห้งสบายตัวของลูก
  • เลือกแป้งเด็กที่ผ่านการทดสอบว่าไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ (Hypoallergenic)
  • ระมัดระวังอย่าให้แป้งเข้าจมูก และปากของลูก ๆ
  • อย่าให้ลูกสูดดมแป้งเข้าไปจำนวนมากโดยตรง หรือใช้แป้งเด็กแบบพัฟ ลดการฟุ้งกระจายได้
  • ไม่ควรใช้แป้งโรยสะดือเด็กแรกเกิด
 
แป้งเด็ก, แป้งทารก, แป้งสำหรับเด็ก. แป้งเด็ก ปลอดภัย, แป้งเด็ก ไม่มีทัลคัม, แป้งไม่มีแร่ใยหิน, แป้ง แร่ใยหิน อันตราย, วิธีเลือกแป้งเด็ก, แป้งไร้ซ์แคร์, ของใช้สำหรับเด็ก, ผลิตภัณฑ์เด็ก
 
แป้งเด็กช่วยแก้ปัญหาการอับชื้น การเกิดผดผื่นคัน และผดผื่นร้อนจากอากาศร้อนชื้นแบบบ้านเราได้เป็นอย่างดีเลยนะคะ แต่แนะนำว่าควรทาแป้งเด็กอย่างถูกวิธี ในปริมาณที่เหมาะสม เน้นแป้งที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติล้วน และต้องผ่านการทดสอบว่าไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ แค่นี้คุณพ่อคุณแม่ก็มั่นใจได้แล้วค่ะ ว่าปลอดภัยต่อลูกแน่นอน
 
 
ขอบคุณข้อมูลจาก www.reiscare.com
 

 
ตรวจสอบข้อมูลโดย นพ.ชาญสิริ เสกสรรค์วิริยะ
โสต ศอ นาสิกแพทย์ โรงพยาบาลนครธน
(พื้นที่โฆษณาและประชาสัมพันธ์)

 

โรค 4S โรคติดเชื้อในทารกที่พ่อแม่ต้องระวังเรื่องความสะอาดเป็นอันดับหนึ่ง

โรค 4S, โรคติดเชื้อในเด็กทารก, ลูกทารกป่วยติดเชื้อ, โรค 4S คืออะไร, โรค 4S วิธีรักษา, การป้องกันโรค 4S, เด็กติดเชื้อ, สตาฟิโลค็อกคอล สเกลด์ สกิน ซินโดรม , Staphylococcal scalded skin syndrome (SSSS), โรคติดต่อในเด็ก, อาการโรค 4S, การรักษา 4S
 
โรค 4S เป็นโรคติดเชื้อในทารกที่เชื้อโรคอาจทำให้เกิดโรคในอวัยวะอื่น ๆ ตามมา เป็นโรคอันตรายสำหรับลูกทารกของเราค่ะ 

โรค 4S โรคติดเชื้อในทารกที่พ่อแม่ต้องระวังเรื่องความสะอาดเป็นอันดับหนึ่ง

โรค 4S คือโรคอะไร

สตาฟิโลค็อกคอล สเกลด์ สกิน ซินโดรม หรือ Staphylococcal scalded skin syndrome (SSSS) โรค 4S เป็นโรคติดเชื้อทางผิวหนัง ที่ชื่อว่า สตาฟิโลค็อกคอล ออเรียส (Staphylococcal aureas) เป็นแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ตามผิวหนังของคนเราทั่วไป มีโอกาสเกิดขึ้นบ่อย โดยเฉพาะเด็กทารกแรกเกิดหรือเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ เนื่องจากชั้นผิวหนังของเด็กเล็กยังไม่แข็งแรงสมบูรณ์ ซึ่งนอกจากจะได้รับเชื้อจากผิวหนังของตนเองแล้ว เด็กยังมีโอกาสรับเชื้อจากการสัมผัสตัวของผู้ใหญ่ด้วยค่ะ

ลักษณะอาการของโรค 4S ในทารก

  • มีไข้สูง ร้องกวน ผิวหนังแดงทั้งตัว โดยเฉพาะที่ดวงตาและรอบปากรอบจมูกและลำคอ ภายใน 24-48 ชั่วโมง จะมีแผลพุพอง เป็นตุ่มน้ำ ถ้าไม่ได้รับการรักษาทันทีลูกจะเกิดภาวะผิวหนังสูญเสียน้ำ เมื่อถูบริเวณผิวจะมีการลอกหลุดได้ง่าย หรือที่เรียกว่า Nikosky’s sign positive ลักษณะคล้ายผิวไหม้หรือถูกน้ำร้อนลวก

  • ลักษณะที่สำคัญของการติดเชื้อ Staphylococcal aureas อาจเกิดได้ตั้งแต่อวัยวะชั้นตื้นๆ เช่น ผิวหนัง ชั้นใต้ผิวหนัง กล้ามเนื้อ ต่อมน้ำเหลือง หรืออวัยวะที่ลึกลงไป เช่น กระดูกและข้อ ไต ตับ เชื้ออาจจะสามารถหลุดเข้าสู่ระบบเลือดหรือแพร่กระจายทางเลือดโดยตรง ทำให้เกิดโรคที่อวัยวะต่างๆ เช่น กระดูก ปอด และลิ้นหัวใจ

การรักษาโรค 4S ในทารก

เด็กที่ป่วยเป็นโรคนี้ต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาล และให้ยาปฏิชีวนะชนิดฉีดคลุมเชื้อแบคทีเรีย S.aureus ระวังปัญหาการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ทางผิวหนัง รวมทั้งให้ยาทาผิวหนัง ส่วนใหญ่ผิวหนังจะหายเป็นปกติภายใน 1 สัปดาห์ โดยไม่มีแผลเป็นที่

การรักษาอาจต้องใช้เวลาสักหน่อย แต่หายเป็นปกติแน่นอน ในระยะที่ผิวลอกหมอจะให้ใช้ยาทาเพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง ที่สำคัญโรคนี้จะต้องดูแลให้ถูกวิธี เพราะเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อน อย่างการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเสี่ยงต่อการเสียชีวิตมาก นอกจากนี้ถ้าได้รับการรักษาช้า เชื้อดื้อยา หรือมีการติดเชื้อที่รุนแรง เชื้อแพร่กระจายเข้ากระเเสเลือดก็เสียชีวิตได้เช่นกัน

การป้องกันโรค 4S ในทารก

  1. ให้ลูกกินนมแม่ตั้งแรกเกิดจนถึง 6 เดือน หรือนานที่สุด เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูก
  2. อุปกรณ์ ข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้าของลูก ต้องสะอาดอยู่เสมอ
  3. ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำยาฆ่าเชื้อที่แพทย์รับรองว่าปลอดภัยสำหรับเด็กในการทำความสะอาดเสื้อผ้า ของใช้ และร่างกายของเด็ก
  4. ควรตัดเล็บลูกให้สั้น เพื่อป้องกันการขีดข่วนผิวหนังให้เป็นแผล ซึ่งเป็นช่องทางที่เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายลูก
  5. ก่อนสัมผัสเด็กเล็ก ผู้ใหญ่ควรล้างมือด้วยสบู่ฆ่าเชื้อและเช็ดทำความสะอาดให้แห้ง
  6. อย่าให้คนแปลกหน้า กอด หอม หรือจับบริเวณใบหน้าของลูก
  7. สำหรับเนอสเซอรี่ที่รับเลี้ยงเด็ก ควรเป็นแหล่งปลอดเชื้อ ถูกสุขลักษณะ มีการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อเป็นประจำ
  8. พ่อแม่หรือผู้ใหญ่ในบ้านควรดูแลสุขลักษณะ ไม่ควรใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกัน 
  9. หลีกเลี่ยงการพาเด็กเล็กไปในที่ที่แออัดและผู้คนพลุกพล่าน เพราะเสี่ยงต่อการติดเชื้อต่างๆ

 
ขอบคุณข้อมูลจาก

  • แพทย์หญิงฐิตาภรณ์ วรรณประเสริฐ กุมารแพทย์ผิวหนังเด็ก
  • www.ncbi.nlm.nih.gov 
  • ภาพจาก tophat.com

ไขบนหัวลูกทารกเกิดจากอะไร แก้ไขอย่างไร

ไขบนศีรษะลูก, ไขบนศีรษะเด็ก, ไขบนหัวลูก, ไขบนหัวทารก, หัวลอก, หัวลอกเป็นไข, หัวลอกเป็นขุย, ต่อมไขมันบนหัว, ต่อมไขมันบนศีรษะ, ต่อมไขมันอักเสบ, ออยล์เช็ดหัว, ไขหนังหัว, ไขหนังศีรษะ, ลูกหัวลอกเป็นขุย, ลูกหัวเป็นไข

ไขแผ่นบางๆ สีขาวขึ้นบนหนังศีรษะ เมื่อถูหรือสะกิดตอนอาบน้ำจะหลุด แต่ขึ้นมาใหม่เรื่อยๆ แบบนี้จะทำอย่างไีร คุณหมอผิวหนังเด็กมีคำแนะนำ

ไขบนหัวลูกทารกเกิดจากอะไร แก้ไขอย่างไร

ทำไมลูกทารกมีไขบนหัว

  1. ต่อมไขมันอักเสบ
    เรื่องนี้คุณหมอต้องถามเพิ่มเติมว่า ลูกมีสะเก็ดเหลือง ๆ หรือน้ำตาลอ่อน ๆ มาตั้งแต่อายุ 1-2 เดือน และมีผื่นแดง ๆ มีขุยขาว ๆ ตามใบหู แก้ม ซอกคอ รักแร้ ขาหนีบด้วยหรือเปล่า ถ้ามีแต่ตอนนี้เหลือเฉพาะแผ่นบาง ๆ สีขาวที่ศีรษะ ที่อื่นหายไปแล้ว ก็น่าจะเป็นต่อมไขมันอักเสบในทารก ซึ่งเป็นผลจากสาเหตุหนึ่งคือ ต่อมไขมันถูกกระตุ้นด้วยฮอร์โมนจากแม่ขณะตั้งครรภ์ ทำให้ต่อมไขมันทำงานมากขึ้น เติบโตมาก ผลิตไขมันออกมามาก เกิดการอุดตันของท่อมไขมัน ทำให้ผิวหนังที่มีต่อมไขมันมาก เช่น ศีรษะ ใบหน้า ใบหู ซอกคอและซอกข้อพับต่างๆ เกิดเป็นผื่นแดงและมีขุยขาวๆ ซึ่งอาการจะค่อยดีขึ้นเมื่อเด็กโตขึ้น เพราะต่อมไขมันจะเริ่มฝ่อลงเรื่อยๆ บางรายอาการจะหายเมื่ออายุ 3-6 เดือน แต่รายที่เป็นมากอาจใช้เวลานานกว่านั้น

  2. ชื้อราที่ศีรษะ
    ในกรณีที่มีแผ่นขาว ๆ บาง ๆ ขึ้นที่ศีรษะเท่านั้น ไม่มีผื่นที่อื่นเลย ก็ต้องดูว่า ลูกมีอาการคันศีรษะ หรือผมร่วงด้วยหรือไม่ อาจจะเป็นเชื้อราที่ศีรษะ ซึ่งต้องพิสูจน์ดูว่าใช่เชื้อราหรือไม่ โดยการขูดเอาแผ่นหรือสะเก็ดไปตรวจหาเชื้อรา หรือใช้กล้องยูวี(Wood’s Lamp) ตรวจดูคร่าว ๆ

  3. หนังศีรษะแห้ง
    อีกสาเหตุหนึ่งคือ หนังศีรษะแห้ง ลอกเป็นแผ่นบาง ๆ ได้

การแก้ไขปัญหาไขบนหัวลูกทารก

  • ขั้นแรกลองใช้เบบี้ออยล์นวดศีรษะทิ้งไว้สัก 1-2 ชั่วโมง แล้วสระผม จะทำให้สะเก็ดบาง ๆ หลุดหมดได้
  • ถ้าเป็นเชื้อรา (ซึ่งควรพบแพทย์ให้การวินิจฉัย) ก็ต้องให้ยาสำหรับเชื้อรา
  • ถ้าเป็นต่อมไขมันอักเสบอุดตัน สระผมเอาสะเก็ดออก
  • ถ้าหนังศีรษะอักเสบแดง ๆ เรื่อๆ อาจใช้สเตียรอยด์ครีมฤทธิ์อ่อนๆ ทาบางๆ ก็จะดีขึ้น และหายหมดเมื่อต่อมไขมันฝ่อไปหมด ซึ่งมักไม่เกิน 1 ปีค่ะ

 ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ศ.เกียรติคุณ พญ.สุจิตรา วีรวรรณ
กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนังเด็ก
ที่ปรึกษากรรมการชมรมแพทย์ผิวหนังเด็ก