
การทำให้ลูกน้อยอารมณ์ดี จะส่งผลให้ลูกมีพัฒนาการสมองที่ดี พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มาเรียนรู้ 10 วิธีทำให้ลูกทารกอารมณ์ดีแบบง่าย ๆ กันค่ะ ทำได้ทุกวัน ลูกได้พัฒนา EQ
10 วิธีทำให้ลูกทารกอารมณ์ดี พัฒนาการ EQ ตั้งแต่เป็นทารก
การทำให้ลูกน้อยอารมณ์ดี ร่าเริงสดใส จะส่งผลไปสู่การพัฒนาการที่ดีของสมอง ลูกน้อยจะพร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ การจะทำให้ลูกน้อยอารมณ์ดีไม่ใช่เรื่องยากเลยค่ะ เพียงเริ่มจากตัวคุณพ่อคุณแม่ก่อน การที่สิ่งแวดล้อมทำให้ลูกมีความสุข ลูกก็จะมีความสุขตามไปด้วย
- พ่อแม่ต้องไม่แสดงอารมณ์หงุดหงิด ตวาดใส่ลูกอย่างไม่มีเหตุผล
- ไม่แหย่ให้ลูกโมโห บางคนชอบแหย่ให้เด็กร้อง และคิดว่าไม่เป็นไร โอ๋แป๊บเดียวก็หาย แต่จริงๆ การทำแบบนี้จะทำให้ลูกขาดความมั่นคงทางอารมณ์ และแสดงออกด้วยอาการหงุดหงิด กลายเป็นเด็กอารมณ์ไม่ดี
- เล่นกับลูกบ่อยๆ เช่น เล่นจ๊ะเอ๋ ปูไต่ เป็นต้น แสดงสีหน้าแบบต่างๆ หรือทำเสียงแปลก แค่การเล่นง่ายๆ แค่นี้ลูกก็สนุก หัวเราะชอบใจแล้ว
- สัมผัสที่อ่อนโยนของแม่มีผลต่อการพัฒนาสมอง กอดลูกบ่อยๆ ลูบหลัง ลูบท้องกล่อมนอน หรือลองใช้การนวดเบาๆ ไปบนตัวลูก จะช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด และทำให้ลูกรู้สึกถึงสัมผัสที่อบอุ่นของแม่ และจะเป็นเด็กที่มีอารมณ์มั่นคง
- ใช้ดนตรีกล่อมลูก เพลงจังหวะสบายๆ จะช่วยให้ลูกอารมณ์ดี นอนง่าย หรือคุณแม่ลองชวนลูกร้องเพลงขณะอาบน้ำก็จะเป็นการสร้างบรรยากาศที่ครื้นเครงอีกด้วย
- นอนหลับให้เพียงพอ ยิ่งลูกวัย 1-2 ปี ควรนอนให้ได้ 11-12 ชั่วโมง เพราะถ้านอนไม่อิ่มเขาจะหงุดหงิด ดังนั้นพ่อแม่ควรพาลูกเข้านอนให้เป็นเวลา ไม่ทำเสียงดังรบกวนการนอนของลูก และเวลาปลุก ควรปลุกเบาๆ อย่าใช้เสียงดัง เพราะอาจทำให้เขาร้องไห้ตกใจได้
- พาไปท่องเที่ยวโลกกว้าง ลูกได้พบเจอสิ่งใหม่ๆ รู้สึกตื่นตาตื่นใจ ระหว่างที่ไปเที่ยวพ่อแม่ก็อธิบายสิ่งที่พบเห็น ได้พูดคุยใกล้ชิดกัน หัวเราะไปด้วยกัน ลูกก็มีความสุขแล้ว
- ลูกต้องกินอิ่ม เพราะความหิวเป็นสาเหตุที่ทำให้หงุดหงิดงอแง ดังนั้นพ่อแม่ต้องเตรียมอาหารให้พร้อม เมื่อถึงเวลาอาหารอย่าปล่อยให้หิว ถ้าต้องออกไปข้างนอก ควรเตรียมของว่างที่มีประโยชน์ไปด้วย ให้เขาได้กินรองท้อง
- ระวังอย่าให้ลูกกินของหวานเยอะ เพราะการที่เด็กกินของหวานมากเกินไปจะทำให้มีน้ำตาลในเลือดสูง สมองจะสั่งการให้หลั่งอินซูลินออกมาเพื่อปรับระดับน้ำตาลในเลือดให้ลดลง ตับอ่อนก็จะทำงานหนักขึ้น เมื่อมีอินซูลินในสมองมาก ก็จะทำให้เกิดอาการเครียด หงุดหงิดขึ้นได้
- ดูแลเรื่องกินอาหารด้วยโภชนาการที่ครบถ้วน เพราะการมีโภชนาการดี ลูกก็จะมีสุขภาพที่ดี สบายตัว ไม่หงุดหงิดหรืออารมณ์บูดง่ายๆ ดูแลให้ลูกได้รับสารอาหารที่ครบ 5 หมู่ ปรุกสุกใหม่อยู่เสมอ วัตถุดิบมีความสด สะอาด รวมถึงภาชนะที่ใส่อาหารของลูกด้วย และอย่าลืมเสริมด้วยนมแพะวันละ 2 แก้วทุกวันเช้า-เย็น เพื่อสารอาหารครบถ้วนและเพิ่มพลังสมองพร้อมเรียนรู้ในทุกวัน เพราะนมแพะมีระบบการสร้างน้ำนมแบบอะโพไครน์ ที่ให้สารอาหารครบถ้วนจากธรรมชาติ มีความเป็นธรรมชาติและมีประโยชน์สูง มีปริมาณโปรตีนก่อแพ้น้อย อีกทั้งโปรตีนในนมแพะยังเป็นโปรตีนที่ย่อยและดูดซึมได้ง่าย จึงช่วยลดอาการท้องผูกและช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ลูกรักจึงเติบโตแข็งแรงพัฒนาการสมวัยค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก นมแพะ DG
ติดตามความรู้เรื่องนมแพะ การสร้างภูมิคุ้มกัน และวิธีส่งเสริมพัฒนาการเด็กได้ที่ www.dgsmartmom.com และ www.facebook.com/dgsmartclub
เคยสงสัยไหมคะว่าทำไมลูกทารกเรางอแง ร้องไห้บ่อย การร้องงอแงของลูกทารกเป็นการบอกพ่อแม่ว่าเขากำลังต้องการความช่วยเหลือบางอย่าง และนี่คือสาเหตุที่ลูกทารกร้องไห้งอแงบ่อยค่ะ
12 สาเหตุที่ทำให้ลูกทารกงอแง ร้องไห้บ่อย
- หิว สิ่งแรกที่คุณแม่ควรนึกถึงเวลาที่ลูกร้อง อาหารสำหรับเด็กวัยแรกเกิด ก็คงหนีไม่พ้นนมแม่ใช่ไหมคะ? ซึ่งในนมแม่มีสารอาหารมากกว่า 200 ชนิดที่นอกจากจะทำให้ลูกอิ่มแล้วยังมีสารอาหารและประโยชน์อีกมาก ทั้งยังมีจุลินทรีย์ดีหลายชนิดที่สามารถพบได้ในนมแม่ที่ทำหน้าช่วยปรับสมดุลในระบบทางเดินอาหาร และระบบย่อยให้ทำงานได้เป็นอย่างดี
หนึ่งในโพรไบโอติกเหล่านั้น ที่อยากแนะนำให้แม่ ๆ ได้รู้จักก็คือ LPR จุลินทรีย์โพรไบโอติก ที่มีงานวิจัยทางการแพทย์รับรองมากที่สุด LPR โพรไบโอติก ได้รับคำแนะนำระดับ Grade A สำหรับประโยชน์ในเรื่องของภูมิคุ้มกันจาก The consensus opinions from the 4th Triennial Yale/Harvard Workshop on Probiotics Recommendations (2015) ให้เป็นหนึ่งในจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในเรื่องการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และเป็นหนึ่งในจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ที่พบในนมแม่ โยเกิร์ต และนมบางชนิด โดยมีงานวิจัยรองรับในหลากหลายด้านรวมถึง เป็นตัวช่วยที่ดีในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับร่างกาย โดยเฉพาะระบบทางเดินอาหาร ระบบย่อย และการขับถ่าย
นอกจากนี้ LPR ซึ่งเป็นโพรไบโอติก ยังช่วยปกป้องร่างกายโดยช่วยลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบน ส่งเสริมให้ระบบทางเดินอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้เต็มที่ ระบบภูมิคุ้มกันก็แข็งแกร่ง ร่างกายก็เติบโต แข็งแรงสมวัย
- ผ้าอ้อมสกปรก เช็กง่ายๆ ด้วยการจับที่ผ้าอ้อมหรือดมกลิ่น
- ง่วงนอน เขาจะใช้การร้อง เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่ต้องการจะบอกคุณแม่
- ต้องการให้อุ้ม บางทีเขาต้องการเห็นใบหน้าของพ่อแม่ ได้ยินเสียง กลิ่น หรือการเต้นของหัวใจของคุณแม่
- รู้สึกไม่สบายท้อง ซึ่งอาการมักจะพบมากในเด็กที่เริ่มทานอาหารตามวัย เนื่องจากลำไส้อาจยังทำงานได้ไม่เต็มที่ จึงอาจส่งผลให้เกิดอาการอาหารไม่ย่อย หรือย่อยได้ไม่ดี และอาจขับถ่ายได้ไม่ดีเท่าที่ควร ซึ่งทำให้เด็กมีอาการท้องอืด ท้องผูก ปวดท้องและงอแงได้ ซึ่งคุณแม่สามารถปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ เพื่อศึกษาวิธีนวดที่ถูกต้องเหมาะสม และนำมานวดให้ลูกที่ท้องเบาๆ หรือใช้น้ำมันสมุนไพรขับลมสำหรับเด็กโดยเฉพาะ ให้ช่วยขับลมเพื่อ ลดอาการท้องอืด
- อยากเรอ เนื่องจากระหว่างที่กินนม อากาศจะไหลเข้าไปในกระเพาะอาหารทำให้เกิดลม หรือแก๊สได้ ส่งผลให้ลูกไม่สบายท้อง อึดอัด ให้จับเขาพาดบ่าลูบหลังเบา ๆ สักพักจนเรอ
- เย็นเกินไปหรือร้อนเกินไป สังเกตอุณหภูมิห้องว่าร้อนเกินไปหรือหนาวเกินไป
- อึดอัด ตรวจดูเสื้อผ้าว่าแน่นเกินไปหรือไม่
- ฟันขึ้น ฟันที่กำลังจะพ้นจากเหงือกทำลูกรู้สึกเจ็บปวด อาจช่วยได้โดยทาเจลสำหรับฟันขึ้นที่เหงือก แต่ควรปรึกษาแพทย์หรือทันตแพทย์ก่อนนะคะ
- ต้องการความสงบ บางทีเขารู้สึกอยากพักผ่อน จากการประมวลแสง สี เสียง ที่เห็นจากโลกภายนอก
- ต้องการเปลี่ยนสถานที่ บางทีเขาอาจเบื่อกับที่เดิมๆ ให้ลองพาออกไปเดินเล่นที่อื่นบ้าง
- ไม่สบาย ให้ตรวจอุณหภูมิหรือสภาพร่างกายของเขาว่ามีไข้หรือไม่ หากมีอาการผิดปกติควรพาไปพบแพทย์ทันที
สนับสนุนสุขภาพลูกน้อยโดย Mommy Bear Club

Reference:
- Floch MH, et. al. J Clin Gastroenterol 2015; 49:S69-S73
- Lara-Villoslada F, et al. Br J Nutr. 2007 Oct;98 Suppl 1:S96-100.
- Sun J, et al. J Dairy Sci. 2019 Jul;102(7):5971-5978.
- Fox MJ, et al. BMJ Open. 2015 Jan 14;5(1):e006474
- Hojsak I, et. al. Clin Nutr. 2010 Jun;29(3):312-6.
- Kort R, et. al., Microb Cell Fact. 2015 Dec 8;14:195.
ลูกทารกมีการเติบโตที่มหัศจรรย์มาก และนี่คือ 20 เรื่องเกี่ยวกับการเติบโตของทารก หากพ่อแม่รู้จะสามารถส่งเสริมพัฒนาการตามวัยได้อย่างถูกต้องแน่นอนค่ะ
20 ความมหัศจรรย์ของลูกทารกวัยขวบปีแรกที่แม่ไม่เคยรู้มาก่อน
- มหัศจรรย์แห่งความรักที่คุณพ่อคุณแม่มอบให้ลูก จะทำให้สมองลูกเจริญเติบโตได้ดี ซึ่งมีหลักฐานวิทยาศาสตร์รับรอง
- 50% ของการนอนต่อ 1 ชั่วโมงของทารก จะเป็นการหลับลึก ในขณะที่การนอนของผู้ใหญ่หลับลึกเพียง 50%
- หลังอายุ 6 สัปดาห์ ทารกจะมองหน้า สบตาคุณพ่อคุณแม่ได้แล้ว
- หลังอายุ 6 เดือน ลูกเริ่มเรียนรู้จากการอ่านปากของคุณพ่อคุณแม่
- สมองของทารกจะพัฒนาถึง 60% เทียบกับขนาดสมองผู้ใหญ่เมื่ออายุครบ 1 ปี
- ทารกจะสูงขึ้น 1-1.30 นิ้ว ทุก ๆ เดือน
- ทารกอายุ 6-12 เดือน เม็ดสีในดวงตาจะทำงานและจะเป็นสีถาวร
- ทารกจะยิ้มให้คุณพ่อคุณแม่จากใจเป็นครั้งแรกในช่วงอายุ 4-6 เดือน ช่วงนี้ห้ามพลาดเลยนะคะ
- ทารกเกิดมาโดยไม่มีกระดูกสะบ้าหัวเข่า แต่จะค่อย ๆ เจริญเติบโตในส่วนนี้ได้ดีขึ้นหลังอายุ 6 เดือนขึ้นไป
- ทารกกลืนและหายใจในเวลาใกล้เคียงกันได้กระทั่งอายุครบ 7 เดือน
- น้ำหนักของทารกจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในระยะ 5 เดือนตั้งแต่เกิด
- ทารกแรกเกิดจะร้องไห้หนักหน่วงแบบไม่มีน้ำตา เฉพาะ 1-3 เดือนเท่านั้น
- ทารกเกิดมาพร้อมต่อมรับรสถึง 10,000 จุด และกว่าครึ่งจะหายไปเมื่อโต
- ขวบปีแรก ลูกจะจำจดและเข้าใจคำศัพท์ต่าง ๆ ได้ประมาณ 70 คำ
- สมองของลูกรับรู้เสียงเพลงได้ ก่อนจะเข้าใจคำพูดเสียอีก
- อัตราการเต้นของหัวใจทารกจะลดลงจาก 180 ครั้งต่อนาที เป็น 115 ครั้งต่อนาทีในช่วงขวบปีแรก
- ลูกโบกมือให้คุณพ่อคุณแม่ได้จริงจังตอนอายุ 9 เดือน
- ทารกแรกเกิดจะฉี่ทุก ๆ 20 นาที และความถี่จะลดลงเมื่อเริ่มอายุ 6 เดือน
- เส้มผมของทารกแรกเกิดมีน้อยยิด แต่จะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเมื่ออายุประมาณ 3-4 เดือน
- เสียงอ้อแอ้ของทารกช่วยพัฒนาทักษะด้านต่าง ๆ การพูดคุยกับลูกด้วยภาษาง่าย ๆ การใช้โทนเสียงสูงต่ำ จะช่วยให้ลูกเรียนรู้คำศัพท์ที่จะใช้พูดได้ง่ายขึ้นและเร็วขึ้น


ลูกทารกก็เล่นเป็นแล้วนะคะ และไม่ต้องคิดการเล่นที่ยุ่งยากอะไรเลย คุณแม่ลองนำ 3 กิจกรรมนี้ไปเล่นกับลูกทารกได้ทุกวัน ลูกไม่เบื่อแน่นอนค่ะ
3 กิจกรรมเล่นกับทารก เล่นง่ายส่งเสริมพัฒนาการตามวัยและสมอง
- เล่นตามองตา
เกมนี้เป็นเกมที่ไม่ต้องใช้อุปกรณ์เลยค่ะ แค่คุณพ่อคุณแม่มองสบตากับทารกและพุดคุยอย่างเป็นธรรมชาติ ทารกจะเรียนรู้เริ่มจากการจดจำหน้าตาของคุณพ่อคุณแม่ น้ำเสียง ท่าทางต่างๆ สมองของทารกจะเริ่มเรียนรู้ที่จะจดจำ คุณพ่อคุณแม่สามารถทำหน้าตาตลกๆ รับรองว่าเจ้าตัวเล็กจะต้องชอบแน่นอน
- อ่านนิทาน
มีงานวิจัยบอกว่า ทารกวัยตั้งแต่แปดเดือนขึ้นไป สามารถจดจำคำศัพท์ต่างๆ ที่ได้ยินจากนิทานที่คุณอ่านให้ลูกฟัง ลูกจะจดจำคำศัพท์และเรียนรู้ถึงน้ำเสียงเวลาคุณทำเสียงเป็นสัตว์หรืออะไรก็ตามในนิทาน คุณสามารถหาหนังสือนิทานที่มีพื้นผิวสัมผัสต่างๆ มาให้ลูกลองจับลองเล่นดูด้วยก็ได้ เพราะทารกจะเริ่มเรียนรู้ถึงผิวสัมผัสในวัยนี้ได้เช่นกัน
- เล่นจ๊ะเอ๋
ทารกชอบเล่นจ๊ะเอ๋เป็นที่สุด แต่นอกจากนั้น กิจกรรมง่ายๆ อย่างการเล่น จ๊ะเอ๋ ยังเป็นเกมที่กระตุ้นพัฒนาการของสมองได้เป็นอย่างดี เพราะการที่ทารกมองไม่เห็นหน้าหรือดวงตาของคุณ ทารกจะคิดว่าคุณไม่ได้อยู่ตรงนั้น แต่แค่คุณเอามือออกเปิดตาเท่านั้นแหละ ลูกก็จะหัวเราะงอหายเพราะว่าคุณอยู่ตรงนี้นี่เอง
เด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 1 ขวบ เป็นวัยที่มีพัฒนาการด้านต่างๆ อย่างรวดเร็ว การที่พ่อแม่ได้เล่นกับลูกบ่อยๆ ได้พูดคุย ได้กอด ได้สัมผัส เป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญและสัมพันธ์ต่อพัฒนาการของสมองของลูกได้ดี จะช่วยให้ลูกเติบโตมาเป็นเด็กที่อารมณ์ดี มีความฉลาด และพัฒนาการในทุก ๆ ด้านที่ดีในอนาคตนะคะ

บางช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลงรวดเร็วจากร้อน เป็นเย็นและหนาว ลูกทารกอาจป่วยได้ง่ายกว่าปกติ นี่คือ 3 เรื่องสุขภาพลูกทารกที่พ่อแม่ต้องดูแลเหมือนอากาศหนาวเย็นขึ้น
3 เรื่องต้องดูแลสุขภาพลูกทารกเมื่ออากาศเปลี่ยนแปลงช่วงหน้าหนาว
-
หน้าหนาว ลูกอาจหวัดมาง่าย
สาเหตุที่ลูกเป็นหวัดเพราะติดเชื้อไวรัส แล้วฤดูหนาวเป็นช่วงที่เชื้อไวรัสเติบโตดีเชียว ให้สังเกตอาการเป็นหวัดลูกจากการหายใจฟึดฟัดจากน้ำมูก ไม่สบายเนื้อตัว ร้องโยเย อาการเริ่มแบบนี้ให้ดื่มน้ำมากๆ สวมเสื้อผ้าหนาๆ พักผ่อนให้เพียงพอ อาการหวัดก็จะค่อยๆ ดีขึ้น ส่วนจมูกที่เช็ดน้ำมูกบ่อยทาด้วยวาสลีนจะช่วยไม่ให้จมูกแห้งเกินไป แต่ถ้า2-3 วันแล้วน้ำมูกไม่หายแถมกลายเป็นสีเขียวข้นควรพบแพทย์
-
หน้าหนาว ผิวลูกต้องชุ่มชื้นอยู่เสมอ
ผิวที่บอบบางชั้นไขมันใต้ผิวยังทำงานไม่สมบูรณ์อาการผิวแห้งก็มาเยือนได้ง่าย คุณแม่ไม่ควรใช้น้ำอุ่นเกินไปอาบให้ลูก เพราะจะล้างไขมันที่เคลือบผิวลูกออกไปทำให้ผิวยิ่งแห้งและไม่ควรให้ลูกแช่น้ำนาน อาจจะหยดเบบี้ออยล์ลงไปด้วยจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น หลังอาบน้ำควรทาครีมหรือเบบี้ออยล์ อย่าลืมใส่เสื้อผ้าหนาๆ ส่วนปากก็อย่าปล่อยให้แห้งแตกนะคะทาวาสลีนหรือลิปมัน (สำหรับเด็ก) เพราะการปล่อยให้ผิวแห้งจนแตกคันเป็นขุยอาจจะทำให้ผิวหนังอักเสบ
-
หน้าหนาวต้องทำให้ร่างกายลูกอบอุ่นเสมอ
ช่วงเช้า และกลางคืนอากาศอาจจะเย็นควรใส่เสื้อผ้าหนาๆ ส่วนกลางวันร้อนมากใส่เสื้อผ้าธรรมดาได้ค่ะ แต่ถ้าออกไปนอกบ้านต้อง สวมเสื้อหนาๆ หน่อย ระหว่างนอนตอนกลางคืนควรลดแอร์ลง ใส่เสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวจะใส่ถุงเท้าถุงมือด้วยก็ได้แต่ไม่ควรหนาเกินไป ถ้าไม่หนาวมากก็อาจจะใส่เสื้อผ้าธรรมดาซ้อนกันสองชั้นแล้วใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กห่มที่หน้าอกจะช่วยให้หน้าอกอุ่นไม่เป็นหวัดและไม่ตกใจตื่นง่ายค่ะ
เคล็ดลับการเลือกซื้อเสื้อผ้ากันหนาวเด็ก
- เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว ถุงมือ ถุงเท้าเป็นไหมพรม แบบนี้อุ่นก็จริงค่ะ แต่จะทำให้ลูกอึดอัด ไม่สบายตัวได้
- ภูมิคุ้มกันเด็กไม่เหมือนผู้ใหญ่ ทุกครั้งที่ใส่เสื้อกันหนาวออกไปข้างนอกควรซักทุกครั้งค่ะ เดี๋ยวนี้เชื้อโรคมีพัฒนาการแข็งแรงขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะ
- เลือกซื้อชุดกันหนาวให้ลูกตามสมควรที่ต้องใช้ ลูกไม่เกินขวบควรมีเสื้อกันหนาวแบบหนาหนึ่งตัว และเสื้อแขนยาวกางเกงขายาว แนะนำให้เป็นผ้าฝ้ายระบายอากาศได้ดีแถมใส่หน้าร้อนได้ด้วย ถ้าหนาวมากก็ใส่เสื้อทับไปอีกตัวจะได้อุ่นกำลังพอดีนะคะ
- ส่วนถุงมือถุงเท้าควรมีอย่างละสองคู่ใช้สลับกัน บ้านเราไม่หนาวนานแถมเด็กโตเร็ว ถ้าซื้อเยอะเพราะแพ้ความน่ารักจะเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุค่ะ
เพียงคุณพ่อคุณแม่ดูแลเจ้าตัวเล็กอย่างใกล้ชิด ให้มีร่างกายที่อบอุ่นอยู่เสมอ กินอาหารที่มีประโยชน์ และใส่ใจความสะอาดของใช้ส่วนตัวของลูก ก็ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรค ให้ห่างไกลความเจ็บป่วยในช่วงหน้าหนาวนี้ได้แล้ว

เมื่อลูกทารกอายุครบ 1 เดือนแล้ว มีเรื่องสำคัญที่พ่อแม่มือใหม่ต้องดูแลเป็นพิเศษเพิ่มขึ้นไปอีก เพื่อพัฒนาการทารกที่ดีค่ะ
3 เรื่องสำคัญที่ต้องดูแลลูกทารกแรกเกิดอายุ 1 เดือน
1. ทารก 1 เดือนต้องดูแลความสะอาดให้มากที่สุด
โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน สำหรับทารกอาหารที่ดีที่สุดคือนมแม่ ซึ่งเราต่างทราบกันดีอยู่แล้วว่าในนมแม่มีสารป้องกันภูมิแพ้ สารป้องกันไม่ให้ทารกท้องเสียหรือท้องผูก ซึ่งคุณแม่ที่กำลังให้นมลูกก็ควรเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสจัด เพราะฉะนั้นหากคุณแม่ไม่สบาย ก่อนสัมผัสตัวลูกควรล้างมือให้สะอาด และควรสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรคด้วย
ไม่เฉพาะแต่คุณแม่ รวมถึงสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวหากมีใครที่กำลังไม่สบาย ก่อนสัมผัสเจ้าตัวเล็กควรล้างมือให้สะอาดและสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง
นอกจากนี้ ในเด็กทารกที่ต้องกินนมผสม ความสะอาดของขวดนมเป็นสิ่งสำคัญ ต้องต้มให้สะอาดทุกครั้ง โดยต้มจนเดือดอย่างน้อย 10 นาที หรืออาจจะใช้หม้อนึ่งก็แล้วแต่ความสะดวก
ขวดน้ำของลูกต้องเปลี่ยนทุกวัน อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง โดยขวดน้ำ จุกน้ำ และจุกนมต้องสะอาด รวมถึงที่ปั๊มนมต้องนึ่งเพื่อความสะอาดและสุขภาพอนามัยของลูก หากอุปกรณ์ไม่สะอาดลูกอาจท้องเสียหรือติดเชื้อโรคต่างๆ ได้
2. ทารก 1 เดือนอาบน้ำไม่ต้องบ่อย
ยิ่งอากาศเย็นๆ ในหน้าหนาว การอาบน้ำเช้า-เย็นไม่มีความจำเป็นสำหรับลูกเลย เจ้าตัวเล็กอยู่แต่ในบ้านไม่ได้สกปรกแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นอาบน้ำให้ลูกเพียงวันละครั้ง ในช่วงเที่ยงหรือบ่ายก็เพียงพอ แต่ถ้าพื้นที่ไหนอากาศเย็นมากๆ 2-3 วันอาบครั้งก็ได้ หรือถ้าลูกเนื้อตัวเลอะเทอะอาจเพียงเช็ดตัวแล้วล้างก้นก็พอ
แต่ถ้าเป็นหน้าร้อน คุณพ่อคุณแม่สามารถอาบน้ำให้ลูกวันละ 3-4 ครั้ง แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงเด็กอายุ 1 เดือนแรก เพราะการปล่อยให้ลูกตัวเปียกเฉอะแฉะทั้งวัน ลูกมีโอกาสไม่สบายมากกว่าตัวแห้ง ดังนั้นเมื่อลูกร้อน มีเหงื่อออกสามารถอาบน้ำให้ลูกได้เลย แต่ต้องไม่อาบแบบแช่ อาบเพียงแค่ให้ลูกรู้สึกสบายตัวอุณหภูมิของน้ำก็สำคัญ ในหน้าร้อนน้ำไม่ต้องอุ่นมาก แต่ถ้าเป็นหน้าหนาวอุณหภูมิของน้ำควรสูงขึ้นจากปกติเล็กน้อย โดยคุณพ่อคุณแม่ใช้หลังมือแตะดูว่าน้ำอุ่นพอดีไหม ส่วนการสระผมให้ลูกนั้น 3-4 วันสระครั้งก็ได้ ที่สำคัญต้องเช็ดตัวลูกให้แห้งหลังอาบน้ำทุกครั้ง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาผดผื่นตามมา
3. อุณหภูมิและอากาศรอบตัวลูก
เป็นเรื่องที่ละเลยไม่ได้ เพราะเจ้าตัวเล็กเพิ่งเกิด อุณหภูมิในร่างกายจึงต่ำกว่าผู้ใหญ่ ดังนั้นในช่วงแรกเกิดคุณพ่อคุณแม่จำเป็นต้องรักษาอุณหภูมิรอบๆ ตัวลูกให้คงที่ โดยเฉพาะเมื่อให้ลูกนอนในห้องแอร์
เพราะการปรับอุณหภูมิแบบปุบปับ หรือการปิดแอร์กะทันหันแล้วเปิดหน้าต่างเพื่อรับอากาศจากภายนอกในตอนเช้า จะทำให้ลูกปรับตัวไม่ทัน อีกทั้งยามเช้าอุณหภูมิภายนอกจะสูงกว่าภายในห้อง อาจทำให้ลูกหายใจไม่สะดวก
ดังนั้น หากกังวลว่าลูกจะร้อนหรือหนาวเกินไป ควรหมั่นสังเกตอาการของลูกอยู่เสมอ ถ้าลูกมีเหงื่อออก ตัวเปียก หัวเปียก ให้คลายผ้าออก หรือใส่เสื้อผ้าให้บางลง แต่ถ้าแขนขาลูกเย็น หมายความว่าอากาศเย็นเกินไป ลูกกำลังหนาวอยู่ ควรห่มผ้าให้ลูกเพิ่ม หรือใส่เสื้อผ้าให้หนาขึ้น
หากที่บ้านมีเครื่องกรองอากาศ สิ่งสำคัญคือต้องล้างเครื่องกรองอากาศบ่อยๆ โดยเฉพาะบ้านที่มีเด็กเล็กควรล้างทุกอาทิตย์
พัฒนาการสมองที่ดีของลูก มาจากคุณพ่อคุณแม่สร้างให้ลูก มาเริ่มต้นง่ายๆ กับ 5 กิจกรรมเล่นเรียนรู้สนุก กระตุ้นกระบวนการคิด การลงมือทำ และแก้ปัญหาของลูกกันค่ะ
5 กิจกรรมเล่นเรียนรู้ของลูกขวบปีแรก ส่งเสริมทั้ง IQ และ EQ ไปพร้อมกัน
- การต่อบล็อกไม้ ฝึกการวางแผน ลูกจะได้รู้จักคิด การแก้ปัญหา ฝึกการยืดหยุ่นความคิดและวางแผนเป็น นอกจากนั้นยังเชื่อมความสัมพันธ์พ่อแม่ลูกอีกด้วย
- คณิตคิดเร็ว การนับเลขหรือจำนวนสิ่งของรอบตัวลูก สามารถประยุกต์เล่นได้ทุกที่ จะช่วยฝึกความคิด กระตุ้นความจำ รวมถึงฝึกการช่างสังเกต
- เกมจับคู่ ฝึกความเชื่อมโยง กิจกรรมนี้ฝึกการสังเกตลักษณะ รูปทรงสิ่งของ สีสันต่างๆ และแยกแยะความแตกต่างของสิ่งของ ทั้งยังสามารถฝึกความคล่องตัวลูกน้อยได้อีกด้วย เพราะถ้าหากคุณแม่ลองให้ลูกวิ่งหยิบสิ่งของไปกองรวมกันหรือเพิ่มเงื่อนไขท้าทายมากขึ้นเรื่อยๆ ลูกน้อยจะรู้สึกสนุกมากขึ้น
- เล่นบทบาทสมมติ การเล่นบทบาทสมมติเป็นกิจกรรมหนึ่งที่มีส่วนช่วยฝึกจินตนาการและการเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวได้อย่างอิสระ ทั้งยังฝึกการแก้ปัญหา การอยู่ร่วมกับผู้อื่น เขาจะได้อยู่กับคนอื่นในสังคมได้
- ระบายสี การหัดให้ลูกวัยนี้ระบายสี นอกจากจะฝึกกล้ามเนื้อมือแล้ว ยังต่อยอดให้ลูกได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ สีสันต่างๆ ที่ลูกระบายยังสะท้อนลักษณะนิสัยและพฤติกรรมการแสดงออกของเขาขณะนั้นด้วย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก นมแพะ DG
ติดตามความรู้เรื่องนมแพะ การสร้างภูมิคุ้มกัน และวิธีส่งเสริมพัฒนาการเด็กได้ที่ www.dgsmartmom.com และ www.facebook.com/dgsmartclub

จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกทารกมีพัฒนาการผิดปกติหรือพัฒนาการล่าช้า พ่อแม่มือใหม่ลองมาเช็กพัฒนาการตามวัยลูกทารกกันตรงนี้ค่ะ
5 สัญญาณบอกพัฒนาการลูกทารกผิดปกติ พัฒนาการล่าช้า
- ยิ้ม-พัฒนาการเด็กวัย 0-3 เดือน
เด็กๆ ยิ้มได้ตั้งแต่แรกเกิด แต่ยิ้มในช่วง 0-3 เดือนนี้จะเป็นยิ้มที่ไม่มีความหมาย เกิดขึ้นเนื่องจากเด็กยังควบคุมกล้ามเนื้อปาก กล้ามเนื้อบนใบหน้าได้ไม่ดีนัก และเป็นปฏิกิริยากล้ามเนื้ออย่างหนึ่งในเด็กทารก
หลัง 3 เดือน เด็ก ๆ จะเริ่มยิ้มแบบสื่อความหมายมากขึ้น เป็นการยิ้มเพื่อตอบสนองทางอารมณ์ และตอบสนองเชิงสังคม (Social smile) เริ่มมีการเรียนรู้ที่จะยิ้มเพราะรู้สึกพึงพอใจ มีความสุข กินอิ่มนอนหลับสบาย ได้รับการสนองตอบทางอารมณ์ที่ดีถึงยิ้ม และยิ้มให้คนคุ้นเคย เช่น คุณแม่ เพื่อสื่อความหมายว่าเขารู้สึกดีกับคุณแม่หรือคนที่พบเห็นด้วย
ดังนั้นการยิ้มของลูกจึงเป็นสัญญาณบอกว่าลูกมีพัฒนาการทางอารมณ์ที่ดี ได้รับความรักและการตอบสนองที่ดีจากคุณพ่อคุณแม่ จะทำให้มีความมั่นคงทางอารมณ์ ร่าเริงแจ่มใส เป็นเด็กน่ารักของทุก ๆ คน
ถ้าลูกไม่ยิ้ม...หลัง 3 เดือนไปแล้ว ถ้าคุณพ่อคุณแม่เล่นด้วย หรือมีคนอื่นๆ มาเล่นด้วย แต่ลูกกลับไม่ยิ้ม หรือร้องไห้งอแง อาจเกิดจากไม่ได้รับการตอบสนองเท่าที่ควร หรือเกิดความกลัวอะไรบางอย่าง รู้สึกไม่ไว้ใจคนรอบข้าง ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ต้องสังเกตว่าลูกกลัวอะไร ไม่ยิ้มแล้วร้องไห้เพราะอะไร แล้วกำจัดสิ่งนั้นทิ้งไป เพราะถ้าปล่อยไว้ เด็ก ๆ จะเติบโตมามีนิสัยก้าวร้าว ขี้กลัว ไม่มั่นใจในตนเอง และไม่ช่วยเหลือผู้อื่นได้ค่ะ
- พลิกคว่ำ พลิกหงาย-พัฒนาการเด็กวัย 4-6 เดือน
วัย 4-6 เดือน เด็ก ๆ จะเริ่มพลิกตัว และเริ่มมีการพลิกคว่ำได้ดี ชันคอได้ดี เพราะกล้ามเนื้อส่วนกลางของลำตัว กล้ามเนื้อคอเริ่มมีความแข็งแรง เมื่อพลิกตัวคว่ำจะสามารถชันคอได้ และเริ่มพลิกตัวหงายได้เอง เวลาอุ้มนั่ง อุ้มพาดบ่า คอจะตั้งตรงได้ ไม่ว่าจะอุ้มลูกท่าไหน ลำคอก็จะยังคงตั้งตรงชูคอหันไปมาได้
ถ้ายังชันคอไม่ได้...ลูกน้อยอายุ 6 เดือนขึ้นไป ยังชันคอไม่ได้ เวลาคุณแม่อุ้มแล้วคอยังเอียงไปเอียงมา ต้องคอยจับอยู่ตลอด อาจเป็นสัญญาณบอกว่ากล้ามเนื้อมีปัญหา หรืออาจมีปัญหาเรื่องสมองอ่อนแรง ที่ส่งผลให้พัฒนาการกล้ามเนื้อล่าช้าด้วย
- ลุกนั่ง-พัฒนาการเด็กวัย 7-9 เดือน
ช่วงวัยนี้เด็กจะเริ่มลุกนั่งได้เอง โดยคุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องคอยประคองแล้ว เริ่มยันแขนหมุนตัวเองให้นั่งได้ กล้ามเนื้อแขน กล้ามเนื้อหลัง คือกล้ามเนื้อมัดใหญ่มีความแข็งแรง และโน้มตัวไปหยิบจับเล่นของเล่นที่อยู่ตรงหน้าได้ มีการทรงตัวได้ดีมากขึ้น
ในช่วงเริ่มนั่งได้ใหม่ๆ คุณแม่ควรหาเบาะหรือหมอนมาวางไว้ด้านหลังและรอบๆ ตัว เพื่อป้องกันเวลาลูกหงายหลัง หรือทิ้งตัวนอนจะได้ไม่เกิดการบาดเจ็บขึ้น นอกจากนี้ การนั่งหลังตรงยังเป็นการฝึกการทรงตัวที่ดี ทำให้ลูกคลานได้ดีด้วย
ถ้านั่งเองไม่ได้... ถ้าลูกน้อยอายุ 9 เดือน แล้วยังลุกนั่งเองไม่ได้ เป็นสัญญาณบอกว่ากล้ามเนื้อมัดใหญ่บริเวณหลังอาจเกิดความผิดปกติ อาจมีปัญหากล้ามเนื้ออ่อนแรง และจะส่งผลต่อพัฒนาการขั้นอื่นต่อไป
- ใช้มือหยิบของเอง-พัฒนาการเด็กวัย 7-9 เดือน
ช่วงวัยนี้ ลูกน้อยจะหยิบจับหรือคว้าสิ่งของได้แม่นยำมากขึ้น ควบคุมนิ้วมือเล็กๆ ให้จับของได้มั่นคง เปลี่ยนสลับมือถือของ และถือของได้ 2 มือ คุณแม่ลองหาของเล่นที่เขาชอบแล้วยื่นให้เขา ให้เขาฝึกใช้มือหยิบของจากมือคุณแม่ แล้วเปลี่ยนสลับมือถือ หรือหยิบของจากพื้นยื่นให้คุณแม่ เป็นการทำให้นิ้วมือมีการทำงานดี และหาของเล่นหลาย ๆ รูปทรงที่มีพื้นผิวต่างกัน นุ่มบ้าง แข็งบ้าง ให้เขาหยิบจับเล่น เป็นการเรียนรู้เรื่องระบบประสาทสัมผัสที่ดี
ถ้ายังหยิบจับของเล่นเองไม่ได้...หยิบของเล่นแล้วหล่น หรือมือไม่มีแรงหยิบ อาจเป็นเพราะกล้ามเนื้อมือยังไม่แข็งแรงพอ ลองหาของเล่นนิ่มให้เขาบีบจับบ่อย ๆ เพื่อเป็นการบริหารกล้ามเนื้อมือให้แข็งแรงขึ้น
- เกาะยืน-พัฒนาการเด็กวัย 9-10 เดือน
ช่วงนี้เด็ก ๆ จะเริ่มเหนี่ยวตัวเองเกาะสิ่งของที่อยู่รอบตัว แล้วยกตัวเองขึ้นมาเกาะยืนและค่อยๆ เกาะเดิน จะเป็นช่วงล้มลุกคลุกคลาน คือยืนได้เอง เดิน 2-3 ก้าวแล้วล้มนั่ง แบบนี้ไม่เป็นไร เป็นพัฒนาการที่เขากำลังจะเดิน คุณแม่ควรจัดระเบียบของในบ้านให้เรียบร้อย มีพื้นที่โล่ง และเพื่อความปลอดภัย โต๊ะที่มีมุมแหลมควรห้าผ้าหรือที่กันมุมมาปิดไว้ ไม่ควรมีเก้าอี้ที่มีล้อเลื่อนเพราะถ้าเด็กๆ เกาะยืนแล้วเก้าอี้เลื่อน ก็อาจจะทำให้ลูกน้อยล้มบาดเจ็บและเกิดอาการกลัวไม่กล้าเกาะยืนอีกได้
ถ้ายังไม่ลุกยืน...ในช่วงวัย 9-10 เดือน ยังไม่ลุกยืนอาจจะยังไม่ผิดปกติอะไรมาก เพราะพัฒนาการช่วงนี้เด็กแต่ละคนจะช้าเร็วแตกต่างกัน แต่ถ้าเลยขวบครึ่งไปแล้วยังไม่ยอมลุกเดิน แสดงว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้น อวัยวะทำงานไม่ได้ตามที่ควรจะเป็น ซึ่งอาจเกิดจากกล้ามเนื้อขามีความผิดปกติ หรืออาจเกี่ยวกับระบบประสาทมีความผิดปกติและส่งผลให้การทำงานของกล้ามเนื้อมีความผิดปกติเกิดขึ้น
วัย 0-1 ปี เป็นช่วงที่ลูกน้อยจะได้ไปพบคุณหมอบ่อยๆ ดังนั้น ถ้ามีอาการผิดปกติเกิดขึ้น ควรรีบปรึกษาคุณหมอแต่เนิ่นๆ เพื่อจะรักษาได้ทัน ลูกน้อยจะได้เติบโตอย่างมีพัฒนาการที่ดีตามวัย
เรียบเรียงจากการสัมภาษณ์
พญ.ดวงรัตน์ วังเกล็ดแก้ว
กุมารแพทย์พัฒนาการเด็ก รพ.เด็กสมิติเวช ศรีนครินทร์

การนอนหลับของเด็กทารกช่วยให้สมองมีการประมวลความจำ เมื่อเขาตื่นการเรียนรู้ก็ยังคงต่อเนื่องและต่อยอดไปถึงอนาคตได้
7 เหตุผลที่เด็กต้องนอนหลับอย่างเพียงพอ
การนอนของทารกเชื่อมโยงกับการทำงานของสมองเด็ก เด็กทารกที่มีตารางการนอนชัดเจน การนอนหลับเพียงพอ จะสามารถเรียนรู้ได้ทั้งกลางวัน และกลางคืน เพราะเซลล์สมองมีการเจริญเติบโต เชื่อมโยงเส้นใยประสาท ประมวลประสบการณ์บันทึกไว้เป็นความจำในเวลานอน
- การนอนหลับของทารกช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต เพราะช่วงที่เด็กนอนหลับสนิทเป็นช่วงที่ฮอร์โมนการเจริญเติบโตหรือโกรทฮอร์โมนทำงานได้ดี
- การนอนหลับของทารกช่วยให้หัวใจแข็งแรง เด็กที่ได้นอนหลับอย่างเพียงพอจะไม่มีความเสี่ยงจากภาวะหลอดเลือดหัวใจอุดตัน
- การนอนหลับของทารกส่งผลต่อน้ำหนักตัว เด็กที่นอนไม่พอมีความเสี่ยงจะเป็นโรคอ้วน
- การนอนหลับของทารกช่วยสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ทุกครั้งที่ลูกนอนหลับร่างกายจะหลั่งสารไซโตไคน์ ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง ทำหน้าที่ในการต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ
- การนอนหลับของทารกช่วยลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บ เด็กมักจะอยู่ไม่นิ่ง จึงทำให้เกิดอุบัติเหตุบ่อยๆ การนอนหลับจะช่วยซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอได้
- การนอนหลับของทารกช่วยลดอาการสมาธิสั้น มีการศึกษาพบว่าเด็กอายุ 3 ขวบที่นอนน้อยกว่าวันละ 10 ชั่วโมงมีโอกาส ซน สมาธิสั้น อารมณ์รุนแรง วู่วาม
- การนอนหลับของทารกช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ของเด็กๆ โดยเด็กที่นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอทำให้สมองทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ มีพัฒนาการทางสติปัญญา อารมณ์ สังคม ที่ดีขึ้น
การนอนหลับของทารกยังส่งให้เมื่อเขาตื่น การเรียนรู้ก็ยังคงต่อเนื่องและต่อยอดไปถึงอนาคต นี่จึงเป็นที่มาว่าทำไมการนอนถึงสำคัญกับเด็ก ๆ

การอาบน้ำและวิธีอาบน้ำทารก ไม่ใช่แค่การทำความสะอาดนะคะ แต่ลูกทารกได้เรียนรู้บางสิ่งจากการอาบน้ำในทุก ๆ ดังต่อไปนี้ค่ะ
8 เรื่องที่ลูกทารกได้เรียนรู้แน่นอนจากวิธีอาบน้ำทารกที่ถูกต้อง
- เป็นเด็กอารมณ์ดี เพราะเวลาที่ลูกแช่อยู่ในอ่างน้ำ จะมีความรู้สึกเย็นสบาย สดชื่น และมีอิสระ ช่วยให้ผ่อนคลาย นอนหลับสบาย
- ลูกเรียนรู้ว่าน้ำเปลี่ยนรูปร่างได้ เป็นพื้นฐานการเรียนรู้เรื่องรูปทรงต่างๆ
- ช่วยเสริมพัฒนาการกล้ามเนื้อมัดเล็กมัดใหญ่ คือเวลาลูกเล่นน้ำในอ่าง ควรหาของเล่นหรืออุปกรณ์ที่ช่วยเสริมพัฒนาการ ให้ลูกได้จับ ถือโยน ส่งไปมา ช่วยบริหารกล้ามเนื้อมือของลูก
- ได้ฝึกการทรงตัวนั่งในอ่าง การเคลื่อนไหวร่างกาย ซึ่งเป็นพื้นฐานพัฒนาการด้านการนั่ง การคลานที่ดีต่อไป
- เรียนรู้เรื่องภาษาและคำศัพท์ต่างๆ เวลาลูกเล่นน้ำ พ่อแม่พูดคุยระหว่างเล่นน้ำ ด้วยภาษาที่สั้น ง่าย เหมาะสมกับวัย เช่น นี่คืออ่างน้ำ นี่คือแปรง เป็นต้น เมื่อลูกรู้ว่านี่คือน้ำ เขาก็จะพูดคำว่าน้ำได้
- เรียนรู้ความหมายและประโยชน์ของน้ำ เวลาที่พูดกับลูก เช่น น้ำมีไว้ดื่ม น้ำมีไว้อาบ หนูอาบน้ำแล้วสบายตัว พูดกับลูกแบบนี้ให้ลูกได้เรียนรู้ว่าสิ่งนี้เรียกว่าน้ำ ลูกจะรู้ความหมายของคำว่าน้ำ เมื่อโตขึ้นลูกจะเรียนรู้ความหมายที่ซับซ้อนของคำว่าน้ำได้มากขึ้น
- สร้างความสัมพันธ์ดีระหว่างแม่ลูก เวลาอาบน้ำหรือนั่งเล่นในอ่างน้ำ แม่ถูสบู่ให้ ได้สัมผัสลูกน้อยอย่างอ่อนโยน เวลาพูดได้มองตา เมื่อขึ้นจากน้ำเช็ดตัวให้ลูกแล้วกอด จะทำให้ลูกรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัยที่แม่คอยดูแลอยู่ใกล้ๆ
- สร้างวินัยการอาบน้ำ เวลาที่ลูกได้เล่นน้ำแล้วมีความสุข จะเป็นพื้นฐานการช่วยเหลือตัวเองได้ดี มีความกระตือรือร้นในเรื่องการอาบน้ำ ไม่ต่อรอง สร้างวินัยให้ตนเองได้ดี
ข้อควรระวังในการอาบน้ำทารก
สำหรับเด็กวัย 0-1 ปี แม้จะนั่งได้แล้ว แต่พ่อแม่ต้องอยู่ข้างๆ ทุกครั้งและตลอดเวลา เพื่อความปลอดภัยของลูกน้อย เพราะมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุได้ทุกเมื่อ โดยสิ่งที่ต้องระวังคือ
- ภาชนะหรืออ่างที่ลูกลงไปเล่นต้องปลอดภัย ตั้งได้มั่นคงแข็งแรง ไม่ลึกเกินไป
- ไม่ใส่น้ำเยอะเกินไป ควรใส่ให้มีความสูงเท่าระดับต้นขาไม่เกินเอวของลูก
- ของเล่นที่นำมาเล่นในอ่างน้ำ ต้องปลอดภัย สีไม่ตก ไม่มีขอบคม ลอยน้ำได้ เพราะหากจมน้ำอาจทำให้เด็กๆ มุดลงไปหยิบแล้วเกิดอันตรายได้
อยากรู้ตารางน้ำหนักส่วนสูงของลูกวัยทารกจะเป็นแบบไหน แบบไหนเรียกว่าลูกตัวสูง แบบไหนที่ต้องเริ่งเสริมพัฒนาการมาเช็กค่ะ
ตารางน้ำหนัก ส่วนสูง มาตรฐานตามอายุลูกแรกเกิด – 12 เดือน
การประเมินการเจริญเติบโตและพัฒนาการด็กทารก ไม่ได้ขึ้นอยู่กับน้ำหนักหรือส่วนสูงเพียงอย่างเดียวนะคะ แต่ขึ้นอยู่กับการได้รับอาหารที่มีประโยชน์ เหมาะสมและเพียงพอกับวัย พัฒนาการด้านการเคลื่อนไหว การเคี้ยวกลืน การขับถ่าย พัฒนาการด้านอารมณ์และสังคม ด้วย
โภชนาการที่เหมาะสมกับทารกที่มีอายุ 6-8 เดือน คืออาหารเสริม 1-2 มื้อ สลับกับนมวันละประมาณ 20-24 ออนซ์ โดยแบ่งมื้อนม 3-4 มื้อต่อวัน และการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อสุขภาพที่ดีของทารก หากพ่อแม่เข้าใจและตอบสนองลูกอย่างเหมาะสม จะทำให้ลูกเป็นเด็กที่มีสุขภาพแข็งแรง สามารถเติบโตมาเป็นเด็กที่ เรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้ดี และมีพัฒนาการสมวัยตามเกณฑ์นะคะ
ตารางน้ำหนักส่วนสูงของลูกทารก

พ่อแม่หลายคนอยากให้ลูกอ้วน แต่ในความเป็นจริงหากลูกน้ำหนักตรงตามเกณฑ์ ก็ไม่ต้องกังวลว่าลูกจะผอมเกินไป เพราะเมื่อเด็ก ๆ ได้รับสารอาหารที่เพียงพอ กินนมแม่ตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 เดือนหรือมากกว่านั้น กินอาหารเสริมหลัง 6 เดือนไปแล้ว ถ้าน้ำหนัดกลูกยังตรงตามเกณฑ์ ก็ถือว่าสมบูรณ์แข็งแรงค่ะ ที่สำคัญ แม้เด็กอ้วนจะน่ารัก แต่ก็เสี่ยงโรคภัยหลาย ๆ โรคด้วย
สำหรับเด็กที่คลอดก่อนกำหนด หลับยาก หรือร้องกวน การนวดจะช่วยให้เด็กมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นตามพัฒนาการได้อย่างรวดเร็วและช่วยให้เด็กหลับได้ง่ายขึ้น มาลองนวดขาและนวดเท้าง่าย ๆ ให้ลูกกันค่ะ
ท่านวดขา นวดฝ่าเท้ากระตุ้นพัฒนาการ คลายเครียดให้ลูก
การนวดขา และเท้า ลักษณะของท่าจะคล้ายกับท่านวดแขนและมือ โดยในส่วนเท้า และข้อเท้าของเด็กมีความสำคัญ เพราะเป็นส่วนที่ใช้รองรับน้ำหนักตัว เมื่อเด็กหัดยืน และเดินการนวดเท้าจะเป็นการเตรียมพร้อมให้เด็กในการหัดยืน และเป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อขาและเท้า แบ่งออกเป็น 3 ท่าหลักคือ ท่านวดขาให้หายเมื่อย ท่าคลึงฝ่าเท้า และท่าเดินหน้าถอยหลัง
ท่านวดขาทารก
นวดขาลูกทีละข้าง โดยจับขายกขึ้นใช้มืออีกข้างหนึ่งจับรอบขานวดคลึงเป็นวงกลม เริ่มจากต้นขาค่อยๆเลื่อนไปสู่ปลายเท้า แล้วเคลื่อนลงโดยทำขึ้น-ลงสลับกัน (ทำ 5 ครั้ง) ต่อจากนั้นใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้คลึงรอบข้อเท้าเด็ก อย่างแผ่วเบา นุ่มนวล ให้รอบข้อเท้า คลีงรอบตาตุ่มและบริเวณเอ็นร้อยหวาย
ท่านวดฝ่าเท้าทารก
- ท่าลูกกลิ้ง ใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างกลิ้งขาลูกไปมา โดยเริ่มจากหัวเข่าไปยังข้อเท้า แล้วกลิ้งลง (ทำ 5 ครั้ง) เสร็จแล้วทำอีกข้างเช่นเดียวกัน
- ท่าคลึงฝ่าเท้า ใช้นิ้วหัวแม่มือนวดฝ่าเท้าเด็กจากส้นเท้าขึ้นมาที่นิ้วเท้าเด็กทุกนิ้ว ทีละนิ้ว จากนั้นลูบบนฝ่าเท้าเด็กเข้าหาตัวคนนวด แต่ละท่าในการนวดให้ลูกน้อยนั้น ควรทำ 5-10 ครั้ง โดยใช้เวลาในการนวดประมาณ 15-30 นาที ที่สำคัญ การนวดในแต่ละครั้ง คือการถ่ายทอดความรักผ่านทุกสัมผัส พ่อแม่ควรสบตากับลูก พร้อมกับพูดคุยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เพื่อให้สายสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูกก่อตัวขึ้นที่ละน้อย

เคยสงสัยไหมคะว่าทำไมเด็กเล็ก ๆ เวลาถูกใจอะไรก็ชอบเอามือตีหน้าแม่ หรือใบหน้าของคนที่เขารู้จัก คนที่อยู่ใกล้ ๆ หรือคนที่อุ้มเขาอยู่ เรามีคำตอบค่ะ
ทำไมลูกทารกชอบตีหน้าแม่ ยิ่งเล่นสนุกยิ่งชอบตีหน้าพ่อแม่
เรื่องนี้มีคำตอบค่ะ เนื่องจากเด็กมีพัฒนาการของกล้ามเนื้อมือมากขึ้น แขนขาขยับได้ดีขึ้นแต่ก็ยังควบคุมได้ไม่ดีนัก และหลายครั้งที่เด็กทำเด็กจะมองหน้าแม่ ถ้าลูกเล่นกับแม่แล้วแม่ยิ้ม ตรงนี้เองที่จะเป็นตัวบอกเด็กว่าอันนี้แม่ชอบ และสนุกสนานด้วย จนทำให้เด็กมองเห็นว่าสิ่งที่เขาทำนั้นดี ยิ่งอารมณ์ดีมากๆ ก็ยิ่งชอบใจมาก ก็จะตีหน้าแม่รัวมากๆ เช่นกัน
สิ่งที่คุณแม่จะทำได้ขณะนั้น อาจจะต้องหยุดการเล่น แล้วบอกกับลูกอย่างจริงจังว่าทำอย่างนี้ไม่ได้นะ แม่เจ็บ อาจจะจับมือลูกแล้วมองหน้าเขา พร้อมกับพูดเหตุผลให้เขาฟัง ลูกจะยอมหยุดและเล่นอย่างอื่นแทน หากครั้งต่อไปลูกยังตีอีก คุณแม่ก็ควรใช้วิธีเดิมในการจัดการ เพื่อให้เขาเกิดการย้ำคิดย้ำทำ และไม่ทำอีกในที่สุด
คุณแม่สามารถฝึกให้ลูกพัฒนากล้ามเนื้อมือได้อย่างเหมาะสม มากกว่าร้องร้องห้ามเวลาลูกตีค่ะ เช่น ให้ลูกใช้มือหยิบข้าวของ ใช้มือจับช้อนตักข้าวเข้าปาก ใช้มือในการเล่นเกมหรือทำกิจกรรมต่างๆ มากขึ้น เป็นต้น
เล่นกับลูกยังไงไม่ขัดพัฒนาการทารก
-
เวลาอุ้มลูกแล้วไม่อยากให้ลูกตีหน้า ควรอุ้มแบบหันหน้าออกข้างนอก ระวังอย่างให้ลูกหันหน้าเข้าหาแม่ เพราะลูกจะมีโอกาสตีหน้าแม่ได้
-
เวลาเล่นกับลูก เช่น เล่นจ๊ะเอ๋ เล่นชี้หน้า ไหนจมูก ไหนปาก คิ้ว ตา ต้องทำท่าทางให้ชัดเจนว่าคุณแม่กำลังชีอวัยวะบนใบหน้าอยู่ หรือจะจับมือลูกมาชีเองเลยก็ได้ ช่วยลดโอกาสที่ลูกจะตีหน้าแม่ลง
-
เมื่อถูกลูกตี ห้ามโวยวายเด็ดขาด เพราะเด็กบางคนจะรู้สึกสนุกเมื่อแม่ส่งเสียงร้องดังๆ ยิ่งทำยิ่งสนุก ให้นิ่งเงียบแล้วบอกลูกว่าอย่าตี แล้วกลับไปเล่นในสิ่งที่เราต้องการให้เล่น เช่น กลับไปเล่นจ๊ะเอ๋ กลับไปเล่นชี้จมูก ชี้ตา แต่ถ้าลูกไม่ยอมจะตีอย่างเดียว ให้ลุกขึ้นยืนทันทีค่ะ เพื่อตัดโโอกาสที่เด็กจะตีหน้าได้
-
เมื่อรู้ว่าลูกจะตี ทันทีที่ลูกเอื้อมมือ ขยับมือทำท่าจะตี รู้ให้รีบจับมือลูกไว้เลย
-
ทุกคนในบ้านต้องทำแบบเดียวกัน ห้ามปล่อยโอกาสให้ลูกตีพี่เลี้ยง หรือปู่ย่าตายายได้ และต้องทำอย่างสม่ำเสมอ
เมื่อลูกตีหน้าแม่ การดุด่าไม่ใช่สิ่งที่ควรทำค่ะ เพราะเด็กวัยนี้ยังไม่เข้าใจเหตุผล หรือแม่แต่การตีตอบก็ไม่ควร เพราะนอกจากจะเป็นการปลูกฝังเรื่องความรุนแรงแล้วยังอาจไม่ได้ผลอีกด้วย
ทำไมเด็กทารกนอนหลับแล้วยังส่งยิ้มได้ ข้อนี้เกี่ยวข้องกับพัฒนาการทารกไหม เรามีคำตอบค่ะ
ทำไมลูกทารกชอบยิ้มตอนหลับ ทารกยิ้มตอนหลับได้อย่างไร
- เกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อใบหน้า การยิ้มระหว่างหลับของทารกในช่วง 0 - 1 เดือนแรกหลังคลอด ไม่ได้มาจากการฝันนะคะ แต่เกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อใบหน้า เพราะทารกยังไม่สามารถแยกแยะอารมณ์ความรู้สึกได้
- ลูกกำลังฝัน ช่วง 6 เดือนขึ้นไป ทารกจะเริ่มฝันแล้ว เนื่องจากทารกวัยนี้มองเห็นได้อย่างเต็มที่ จึงเกิดการเก็บไปฝัน ซึ่งการฝันของทารกวัย 6 เดือน จะยังไม่เป็นเรื่องเป็นราวเหมือนผู้ใหญ่ แต่จะเป็นภาพสไลด์แบบไม่ต่อเนื่อง และทารกจะยังไม่เข้าใจว่านี่คือความฝัน
- พัฒนาการกล้ามเนื้อใบหน้า ในช่วง 2 - 5 เดือน ขณะหลับทารกจะมีอาการทางสีหน้าหลายอย่าง เช่น สีหน้าบึ้งตึง ขมวดคิ้ว ทำปากขมุบขมิบ และยิ้ม อาการเหล่านี้ไม่ได้บ่งบอกว่าทารกกำลังฝันหรือกำลังเล่นกับแม่ซื้ออยู่ แต่คือพัฒนาการกล้ามเนื้อใบหน้าของทารกเท่านั้น
ลูกชอบยิ้มตอนหลับไม่ใช่เพราะลูกกำลังเล่นกับแม่ซื้อตามความเชื่อที่เราเคยได้ยินนะคะ แต่เกิดจากพัฒนาการกล้ามเนื้อใบหน้าตามที่กล่าวไปข้างต้นนั่นเอง คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องกังวลไปค่ะ พัฒนาการต่างๆ จะส่งผลให้ลูกเป็นเด็กฉลาดในอนาคตแน่นอนค่ะ

ทารกแลบลิ้นบ่อย ๆ สามารถบอกได้ถึงพัฒนาการทารกว่าตอนนี้เขากำลังพัฒนาเรื่องอะไรอยู่ มาเช็กพัฒนาการลูกทารกจากการแลบลิ้นกันค่ะ
ทำไมลูกทารกชอบแลบลิ้นบ่อย ทารกแลบลิ้นบอกถึงพัฒนาการเด็กอย่างไร
คุณแม่หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมทารกชอบแลบลิ้น จนถึงขั้นวิตกกังวลไปต่างๆ นานาว่าเขาอาจเป็นแผลในช่องปากหรือเปล่า ลูกไม่สบายหรือเปล่า เกิดอะไรขึ้นกันแน่ วันนี้เรามีคำตอบเรื่องทารกชอบแลบลิ้นมาบอกกันค่ะ
ทารกชอบแลบลิ้นบ่อย ๆ เพราะ
- ทารกกำลังเรียนรู้อวัยวะของตัวเอง ทารกวัย 2 เดือน จะเริ่มสำรวจเเละเรียนรู้อวัยวะของตัวเอง โดยเริ่มจากการควบคุมลิ้นในระหว่างดูดนมแม่ หรือการดื่มน้ำ
- ทารกกำลังเล่นกับปากเพื่อทำเสียง และจะปรับเปลี่ยนเสียงไปเรื่อยๆ ตามความต้องการ ถือเป็นการเรียนรู้รูปแบบหนึ่ง
- ทารกกำลังเล่นน้ำลาย การเล่นน้ำลายเป็นเรื่องปกติของทารก คุณแม่ต้องคอยเช็ดน้ำลายออก อย่าปล่อยให้คางหรือคอเปียก เพราะอาจทำให้เกิดแผลจากการกัดของน้ำลายได้
- ทารกกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการพูด หรือการออกเสียง สำหรับทารกที่ชอบทำลิ้นจุกปาก ไม่ใช่อาการผิดปกตินะคะ ถ้าลูกไม่ได้แสดงสีหน้าเจ็บปวดหรือร้องไห้ไปด้วย แสดงว่าทารกกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการพูด รับรองว่าเจ้าตัวน้อยของคุณแม่ต้องพูดเก่งแน่นอนค่ะ
- เกิดจากการเลียนแบบ มีคนมาแลบลิ้นให้ทารกเห็นจึงทำตาม
ทารกส่วนมากมักจะเรียนรู้อวัยวะส่วนต่างๆ ในร่างกายตัวเอง เช่น การแลบลิ้น การทำเสียงด้วยปาก การหยิบจับของ ฯลฯ ซึ่งการเรียนรู้เหล่านี้จะส่งผลให้พัฒนาการของทารกดีขึ้น และเป็นเด็กฉลาดในอนาคตแน่นอนค่ะ
หากทารกเริ่มมีอาการแลบลิ้นและร้องไห้หรือแสดงอาการเจ็บปวด ให้คุณแม่สำรวจช่องปากและลิ้นของทารกให้ดีนะคะ เพราะอาการเหล่านี้อาจมีสาเหตุมาจากการเป็นแผลในช่องปาก ควรรีบปรึกษาแพทย์ด่วนค่ะ
พ่อแม่หลายคนคงสงสัยเกี่ยวกับ “ตู้อบเด็กทารกแรกเกิด” ว่าทำไมเด็กบางคนต้องเข้าตู้อบก่อน และมีสาเหตุมาจากอะไร แล้วพ่อแม่จะมีวิธีรับมืออย่างไร เรามีข้อมูลมาฝากค่ะ
ทำไมเด็กแรกเกิดต้องเข้าตู้อบ ตู้อบทารกแรกเกิดสำคัญอย่างไร
ตู้อบเด็กทารกแรกเกิดคือ อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ใช้ควบคุมอุณหภูมิเด็กทารกแรกเกิดให้มีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงตามเกณฑ์ โดยตู้อบเด็กทารกแรกเกิด มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับร่างกายคุณแม่ทั้งอุณหภูมิ ความชื้น และการหมุนเวียนอากาศ ตู้อบเด็กทารกแรกเกิดจึงมีความจำเป็นสำหรับทารกคลอดก่อนกำหนด น้ำหนักตัวน้อย การเจริญเติบโตยังไม่สมบูรณ์หรือทารกมีน้ำหนักน้อยกว่า 750 กรัม
สาเหตุที่ลูกต้องเข้าตู้อบเด็กทารกแรกเกิด
- คลอดก่อนกำหนด มีปัญหาด้านน้ำหนักตัว อุณหภูมิร่างกายไม่ตาม มาตรฐานหรือต่ำกว่า 36.5-37.5 องศาเซลเซียส
- เด็กตัวเล็กมากว่าอายุครรภ์ มีปัญหาทางระบบหายใจ หัวใจ และการไหลเวียนโลหิต
- เด็กตัวเหลือง ตัวเหลืองภายใน 3 วันหลังคลอดเกล็ดเลือดต่ำโดยที่ผิวทารก และนัยน์ตาขาวออกสีเหลือง เพราะ ตับของทารกยังทำงาน ได้ไม่ดีนักและมีเม็ดสี (bilirubin) คั่งอยู่ในเลือดมาก
- คุณแม่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน ไทรรอยด์ ธาลัสซีเมีย ฯลฯ
ดูแลลูกหลังออกจากตู้อบเด็กทารกแรกเกิดอย่างไร
- ไออุ่นรักจากแม่ หมั่นพูดคุยกับลูกหรือสัมผัส เช่น ลูบไล้แขน ขา แก้ม ลูบหัว จุมพิตเบาๆ โอบกอดด้วยความรัก หรือสื่อรักอบอุ่นด้วยวิธีสบตาลูกบ่อยๆ ยิ้มทักทาย ซึ่งสัมผัสจากแม่จะช่วยกระตุ้นพัฒนาการตอบสนองของลูกได้ดี
- นมแม่ยาแสนวิเศษ ในน้ำนมแม่มีคุณค่าทางสารอาหารครบถ้วนสำหรับลูก โดยเฉพาะโปรตีน แคลเซียมและธาตุเหล็ก จำเป็นกับลูกหลังคลอดเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันที่ดี
- ระวังอุณหภูมิร่างกายลูก หลังอาบน้ำลูก พยายามเช็ดตัวลูกให้แห้งและรีบห่มผ้าเตรียมเสื้อผ้าลูกที่ให้ความอบอุ่นกับร่างกาย เพื่อรักษาอุณหภูมิให้คงที่
- คุณแม่อารมณ์ดี คุณแม่ควรทำจิตใจให้สดชื่นอยู่เสมอ หากคุณแม่เกร็งและกังวลจนเกินไปความวิตกเหล่านั้นอาจจะส่งผลมาถึงลูกและกระทบต่อพัฒนาการของลูกได้
แม้ว่าลูกทารกจะยังพูดไม่ได้ แต่ลูกก็บอกรักพ่อกับแม่ได้นะคะ อยากรู้ว่าเขาบอกรักพ่อแม่อย่างไรให้สังเกตสัญญาณต่อไปนี้ค่ะ
พ่อแม่ต้องรู้ นี่คือ 6 สัญญาณที่ลูกทารกกำลังบอกรักพ่อแม่
- สัญญาณที่ 1 : ทารกอายุ 2 เดือน : “ยิ้ม” เป็นการเข้าสังคมครั้งแรกของเขา โดยจะยิ้มให้ใบหน้าที่เขาคุ้นเคยมากที่สุด นั่นคือใบหน้าคุณแม่
- สัญญาณที่ 2 : ทารกอายุ 4 เดือน : “เลียนแบบ” เวลาคุณแม่ทำปากจู๋ แลบลิ้น หรือเคลื่อนไหว เขาคิดว่าคุณแม่ชอบทำ เขาเลยทำตามเพื่อให้รู้ว่าเขาก็ชอบในสิ่งที่คุณแม่ชอบนะ
- สัญญาณที่ 3 : ทารกอายุ 7 เดือน : “คว้าจับ” เมื่อสามารถเอื้อมคว้าจับของได้แล้ว นอกจากของเล่นที่ชอบคว้า เขาก็ชอบคว้าจับคุณแม่ด้วย
- สัญญาณที่ 4 : ทารกอายุ 8 เดือน : “ร้องไห้” เพราะขาดคุณแม่ โดยเฉพาะเวลาที่ต้องห่างกัน เพราะเขาอยากอญุ่กับคุณแม่ตลอด
- สัญญาณที่ 5 : ทารกอายุ 11 เดือน : ส่งเสียงเรียก "พ่อ" “แม่” นี่คือ คำบอกรักแม่ด้วยการออกเสียงว่า mama หรือ แม่ เพราะเป็นคำที่ออกเสียงง่ายที่สุดและคิดว่าเป็นชื่อคนสำคัญที่สุดของเขา
- สัญญาณที่ 6 : ทารกอายุ 12 เดือน : ส่ง “จุ๊บ” ให้ เขาก็ส่งจุ๊บตอบ เพื่อแสดงให้รู้ว่าหนูรักคุณแม่นะ
รู้อย่างนี้แล้วอย่าลืมตอบสนองลูกด้วยนะคะ ^_^