รักลูก The Expert Talk EP.12: รักลูกเชิงบวก “สร้าง Self ให้ลูก ปลูกฝังตัวตนที่แข็งแกร่ง" กับครูหม่อม
รักลูก The Expert Talk EP.12: รักลูกเชิงบวก "สร้าง Self ให้ลูก ปลูกฝังตัวตนที่แข็งแกร่ง" กับครูหม่อม
“Self คือตัวตน” ตัวตนที่แข็งแกร่ง เป็นเคล็ดลับให้ลูกอยู่ในสังคมได้อย่างปลอดภัย มั่นคงและอยู่รอด Self สร้างได้ และเริ่มต้นที่พ่อแม่ พบวิธีการสร้าง Self ตัวตนที่แข็งแกร่ง โดยครูหม่อม ผศ. ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร อาจารย์ประจำสถาบันแห่งชาติ เพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล
Self คืออะไร
สำหรับครูหม่อมแปลเลยว่าคือความรู้สึกนึกคิดของคนๆ หนึ่ง self ก็คือตัวตนเขาต้องมีความรู้สึกนึกคิดของตัวเขาเอง เป็นความรู้สึกนึกคิดที่แท้จริงของตัวเองไม่ใช่ที่เกิดจากความรู้สึกนึกคิดที่มีใครมาครอบงำให้รู้สึกอย่างนั้นให้เป็นแบบนั้นเพราะฉะนั้นเรื่องของตัวตนเป็นเรื่องที่เราเป็นตัวเรา เรามีความคิดของเรา เรามีความรู้สึกของเรา เรากล้าที่จะรู้สึกแบบนั้น
Self ดีอย่างไร เรื่องนี้เหมือนที่เราคุยกันว่าถ้าเราให้ลูกรู้หมดทุกอย่าง กูเกิ้ลช่วยเราได้ทุกอย่างให้เรารู้ทุกอย่างบนโลกใบนี้แต่ไม่สามารถทำให้เรารู้จักตัวเองได้อันนี้เรื่องสำคัญ ซึ่งเราจำเป็นต้องมี Self เพราะเป็นแก่นของมนุษย์ว่าฉันรู้สึกมีตัวตนนี่เป็นจุดเริ่มต้น ถ้าเรารู้ว่าความรู้สึกนึกคิดของเราถูกได้ยิน ถูกได้ฟัง Self นี้ก็จะมีพัฒนาการขึ้นไปเรื่อยๆ ถามว่า Self ดีอย่างไร เมื่อเรารู้สึกว่าเรามีตัวตน เราจะต้องมีคุณค่าอีก 4 คุณค่า
1.ตัวตนนี้สำคัญกับคนที่รักไหม
คือตัวตนนี้มีคนรักไหม ตัวตนนี้มีคนให้ความสำคัญไหมมีคนรักมีคนให้ความสำคัญ ถ้าอย่างนั้นตัวตนนี้มีอยู่จริง
2.ตัวตนนี้มีความสำคัญกับตัวเองไหม
เราสามารถรักตัวเองได้ไหม เราสามารถภูมิใจในตัวเองได้ไหม เราสามารถชอบตัวเองได้ไหม
3.ตัวตนนี้มีคุณค่ากับคนอื่นไหม
เรียกว่า Self worth การรู้สึกมีคุณค่ากับคนอื่น คือตัวตนนี้ทำประโยชน์อะไรให้กับคนอื่นได้บ้าง เป็นที่ยอมรับของสังคมไหม
4.ตัวตนนี้มีหลักคิดในชีวิตไหม
เรียกว่าคุณค่าในชีวิตหมายความว่าถ้าตัวตนนี้ถูกเลี้ยงมาให้มีความรัก ความผูกพันในครอบครัวเขาก็จะยึดไว้เป็นหลักคิดในชีวิตว่าตัวตนนี้ต่อไปเขาก็จะต้องสร้างครอบครัวที่มีความรักความอบอุ่น สร้างจากสิ่งที่เขาเป็นไม่ใช่ว่าอยากเป็น คือรู้วิธีด้วยแล้วก็ใช้ประสบการณ์เดิมที่มีคุณภาพมาเป็นหลักคิดในชีวิตได้ด้วย ถ้าเกิดคุณพ่อคุณแม่ให้คุณค่าเรื่องของความกตัญญูตัวตนนี้ก็จะมีหลักคิดในชีวิตในเรื่องของการดำเนินชีวิตด้วยความกตัญญู รู้คุณ เป็นต้น
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ตัวตนนี้มันจะเติบโตขึ้นมามีตัวตนแล้วตัวตนจะมีคุณค่ากับคนที่รักอย่างไร มีคุณค่ากับตัวเองอย่างไร มีคุณค่ากับผู้อื่นอย่างไร มีคุณค่าในการดำเนินชีวิตอย่างไร นี่คือหลักในการดำเนินชีวิต ถามว่ามีแล้วดีอย่างไร มีแล้วคือตัวเรามีคุณค่า มันคือคุณค่าของตัวตนเราแต่มันจะแบ่งออกเป็น 4 คุณค่า
เสีย Self
หากว่าเด็กขาดคุณค่าใดคุณค่าหนึ่งไป ลองคิดดูว่าถ้าเราดำเนินชีวิตไปแล้วเรารู้สึกไม่มีคุณค่ากับคนที่เรารักเลยเสียSelf ไหม เสีย Self ดำเนินชีวิตไปสักพักหนึ่งเรารู้แล้วว่าคุณแม่ให้ความสำคัญรู้ว่าเป็นที่รักของคุณพ่อคุณแม่ แต่คุณพ่อคุณแม่ทำทุกอย่างให้หมดเลยมองไปที่ตัวเองฉันไม่เคยทำอะไรเองเลยฉันไม่เคยมีความสามารถเลย พอจะทำอะไรคุณพ่อคุณแม่บอกไม่ต้องทำเดี๋ยวเลอะ เดี๋ยวแม่ทำให้เดี๋ยวพ่อทำให้ อาจจะมีคุณค่าแบบที่ 1 มีคุณค่าต่อคนรัก แต่เขาจะไม่มีคุณค่าต่อตัวเองหรือ Self esteem ความภาคภูมิใจในตัวเองหรือการเคารพตัวเองได้เลย
ดำเนินชีวิตไปสักพักหนึ่งเช่นเดียวกันไม่เคยมีจิตสาธารณะไม่เคยไปร่วมทุกข์ร่วมสุขกับผู้อื่นไม่เคยทำตัวเองให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น Self นี้ก็จะไม่สบายใจอีก รู้สึกภูมิใจในตัวเองแต่ไม่เคยเป็นที่ยอมรับในสังคม ก็ต้องหาการเติบโตของ Self นี้อีกในด้าน Self worth การรู้สึกมีคุณค่าต่อผู้อื่นของชีวิตนี้
ดำเนินชีวิตสักพักหนึ่งมีลูกหลานหรือมีหลักการในการดำเนินชีวิต ดำเนินชีวิตไปเพื่ออะไร เรา Value เรื่องอะไรเราจะหาเจอไม่ได้เลยถ้าเราไม่เคยถูกสืบทอดมาจากวิธีการที่คุณพ่อคุณแม่เลี้ยงเรา เพราะฉะนั้นถามว่า Self นี้มีประโยชน์อย่างไร สำหรับครูหม่อมคือ Self คือตัวของเราถ้ามีแล้วพัฒนานั่นคือแก่นของการใช้ชีวิต
สร้าง Self ให้ลูก
เวลาที่เราบอกว่าเด็กบางคนมีตัวตนมากไปหรือเปล่าใหญ่คับบ้าน สั่งชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ คือกลับไปอยู่ในตัวตนสี่ด้านที่ครูหม่อมบอก คุณค่าในสี่ด้าน เขาอาจจะมีคุณพ่อคุณแม่รู้แล้วว่าเป็นที่ยอมรับ เป็นที่รักเป็นเลเวลเริ่มต้นของเด็กเล็กๆ ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้แต่ทำไมยัง Act Out หรือยังสั่งคนทั้งบ้านเรียกร้องความสนใจอยู่ เป็นไปได้ที่เขาอาจยังไม่เกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง ตัวเองเป็นที่รักแต่ตัวเองยังไม่เห็นว่าทำอะไรได้
เพราะฉะนั้นอาจจะต้องแล้วแต่บ้านอาจจะต้องเพิ่มให้เขาหน่อยว่าควรเพิ่มด้านไหนบ้าง หรือเป็นไปได้ว่าสั่งชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้แต่นั่นแปลว่าเฉพาะแต่เวลาที่อยู่กับคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่อาจจะอยู่ด้วย 10 นาทีต่อวันก็ได้นั่นแปลว่าหนูจะรู้สึกมีตัวตนอยู่ 10 นาทีนี้ นอกจากนั้นแล้วคุณพ่อคุณแม่อยู่ไหนก็ไม่รู้ก็เป็นได้
เพราะฉะนั้นการเช็กว่าตัวตนสำคัญไหมเวลาที่เราบอกว่าเราอยากให้ลูกรู้ว่าตัวเองมีตัวตนก็คือการรู้ว่าความรู้สึกนึกคิดของเขาถูกฟัง ถูกฟังเมื่อไหร่ตัวตนที่หนึ่งจะเกิดต่อมาเขาจะเริ่มรู้แล้วว่าเขามีตัวตน ตัวตนนี้เป็นที่รักที่ยอมรับของพ่อแม่กับคนที่รัก หากเขาอยากทำอะไรแล้วคุณพ่อคุณแม่ส่งเสริม เรียนรู้ด้วย และมองเห็นว่าเขาทำอะไรได้บ้าง Value ที่สองของตัวตนเกิดเราค่อยๆ ดูไปทีละ Value
พัฒนาการของ Self
กว่าคนๆ หนึ่งจะมีความรู้สึกนึกคิดเป็นตัวของตัวเองมีพัฒนาการ 3 ขั้นด้วยกัน เริ่มตั้งแต่เด็กแรกเกิดจนถึง 6 เดือน เด็กแรกเกิดจะยังไม่รู้ว่าตัวเองมีตัวตนคือยังไม่รู้ว่าตัวเองมีความรู้สึกนึกคิดปฏิกิริยาต่างๆ เกิดจากการทำงานของสมองอัตโนมัติเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดก่อน รวมถึงการเตรียมพร้อมการทำงานของสมองที่จะให้ออกมารับรู้เรื่องรูปรสกลิ่นเสียงต่างๆ เพื่อเป็นข้อมูลสะสมเอาไว้ก่อนที่จะรับรู้ว่าตัวเองมีตัวตน เพราะฉะนั้นเด็กตั้งแต่แรกเกิดจะยังไม่รู้ว่าตัวเองมีตัวตน ยังไม่รู้ว่าตัวเองมีความรู้สึกนึกคิด
พอถึงประมาณ 6 เดือน จะเป็นขั้นที่หนึ่งของพัฒนาการด้าน Self ก็คือขั้นวัตถุมีอยู่จริงเราก็ต้องอ้างอิงคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์อีกแล้วเพราะคุณหมอใช้คำพูดที่เข้าใจง่าย
ขั้นแรกที่เราเรียกว่าวัตถุมีอยู่จริง
วัตถุแรกที่ควรมีอยู่จริงคือแม่ แม่ต้องมีอยู่จริงและคำว่าแม่ของคุณหมอประเสริฐก็ไม่ได้หมายความว่าแม่ที่เป็นแม่จริงๆ ด้วยก็คือผู้เลี้ยงดูตัวจริงอาจจะเป็นปู่ย่าตายายก็ได้ คุณพ่อก็ได้หรือคุณพ่อมีอยู่จริงได้เหรอ ได้ ก็คือพ่อมีอยู่จริงแม่มีอยู่จริงใครสักคนหนึ่งมีอยู่จริงวัตถุมีอยู่จริง
คำว่าวัตถุมีอยู่จริงหมายความว่าอะไรที่อยู่ในสายตาสำหรับเด็กเล็กคือมีอยู่ อะไรที่ไม่อยู่ในสายตาแปลว่าไม่มี 6 เดือนนี้ที่สิ่งที่เกิดการทำซ้ำคือ ร้องไห้คุณแม่เดินมา มองหน้า โอบอุ้ม สัมผัส ให้กินนมลิ้มรสจากที่หิวเปลี่ยนเป็นอิ่มรู้สึกฟิน
พอคุณแม่เดินไปล้างขวดนมสำหรับลูกคือกำพร้า ไม่มีแม่ แม่หาย เหงาร้องไห้ แม่เดินมาหาใหม่ พอแม่เดินมาหาใหม่มองสบตา โอบอุ้ม ปลอบประโลม จากที่กลัวกลายเป็นไม่กลัว มีแม่มีพ่อ แม่เดินไปล้างจานไม่มีอีกละ อาศัยการร้องไห้ การสื่อสารคุณแม่เดินมาทำให้ลูกเปลี่ยนจากกลัวเป็นไม่กลัว เปลี่ยนจากหิวเป็นอิ่ม ไม่สบายตัวเป็นสบายตัว ไม่ปลอดภัยเป็นปลอดภัย
ผ่านไป 6 เดือน ร้องไห้หิวนมคุณแม่แค่ส่งเสียงมาลูกหยุดร้องไห้ได้ นั่นคือสัญญาณแรกของการที่ลูกรู้ว่าวัตถุมีอยู่จริงหรือว่าแม่มีอยู่จริง คำถามก็คือว่าทำไมเด็ก 6 เดือนถึงหยุดร้องไห้ได้เพราะเขามีภาพอยู่ในหัวว่า 6 เดือนที่ผ่านมาคุณแม่มาตอบสนองความต้องการพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง เกิดเป็นขั้นที่หนึ่งก็คือแม่มีอยู่จริง
ขั้นที่สองเกิดขึ้นประมาณ 8 เดือน
คือการสร้างความผูกพันคือต้องมีวัตถุก่อนถึงจะสร้างความผูกพันได้ ความผูกพันนี้ก็จะมีไปตั้งแต่ 8 เดือนเป็นต้นไป ความผูกพันนี้มีคุณภาพด้วย มีคุณภาพแบบ Secure Attachment คือความผูกพันแบบปลอดภัยคือเกิดจากการเลี้ยงดูที่มีความสม่ำเสมอตอบสนองความต้องการพื้นฐานได้ทั้งทางร่างกายและจิตใจ มีความสม่ำเสมอ ลูกคาดเดาได้ว่าถ้าทำแบบนี้แม่จะทำอย่างไร อันนี้รู้สึกมั่นคงปลอดภัยไว้ใจได้ แต่ก็มีแบบรู้สึกไม่ปลอดภัย ซึ่งมีอยู่สองอย่างเกิดจากการตอบสนองเชิงลบคือไว้ใจได้ว่าแม่ตีหรือแม่ตะวาด ก็คือรู้สึกไม่ปลอดภัยไม่ใช่ไว้ใจว่าเดี๋ยวแม่มาปลอบ
แบบไม่ปลอดภัยก็จะแบ่งออกเป็นแบบนี้ค่ะมาทีไรมาเชิงลบมาชวนลูกบวกตั้งแต่เบบี๋ กับแบบที่สองคือทิ้งขว้าง ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าการเรียกร้องความต้องการอันนี้ที่ร้องไห้ออกไป สื่อสารออกไปจะรับการตอบสนองกลับมาหรือไม่ แต่แบบไม่ปลอดภัยไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด ก็คือรูปแบบรุนแรงหรือรูปแบบๆ คาดเดาไม่ได้ ก็จะเป็นการทำให้เด็กเกิดการพัฒนาเรื่อง Defense Mechanisms อีกเช่นเดียวกัน
เพราะฉะนั้นการตอบสนองแบบไม่ปลอดภัยหรือว่าการคาดเดาไม่ได้ ปล่อยปละละเลยมาบ้างไม่มาบ้างก็แล้วแต่ว่าเมื่อมาปะทะกันแล้วลูกเราจะสู้ ถอย หรือสมยอม ซึ่งอันนี้ไปฟังได้ใน EP เลี้ยงลูกเชิงบวก ไม่ให้พร้อมบวก ทีนี้พอเราสร้างความผูกพันแบบมั่นคงปลอดภัยไว้ใจได้แล้วก็จะไปสู่ขั้นตอนที่สามของพัฒนาการด้าน Self จะเกิดขึ้นประมาณ 2 ขวบไป 3 ขวบ นั่นคือ
ขั้นตอนที่สามหนูมีอยู่จริงเป็นขั้นที่แยกตัวตนออกจากพ่อแม่
ตอนแรกลูกจะคิดว่าตัวเองกับพ่อแม่เป็นคนเดียวกัน แต่มันมีที่มาที่ไปคุณพ่อคุณแม่ลองดูตอนที่ลูกเป็นเบบี๋ถ้าเราจะไปธนาคารเราจะคุยกับลูกไหม เราบอกลูกไหมว่าเดี๋ยวจะไปธนาคาร หรือเราลงจากรถมาปวดฉี่อยากเข้าห้องน้ำเราก็ถือตะกร้าลูกมาเราก็วางตะกร้าลูกไว้แล้วก็วิ่งไปเข้าห้องน้ำ เพราะฉะนั้นการสื่อสารอะไรแบบนี้จะยังไม่รู้
ทีนี้ให้เรานึกถึงตอนเราเป็นลูกอยู่ในตะกร้าเวลาเราจะไปไหนเราจะไปตามพ่อแม่ เพราะฉะนั้นลูกจะรู้ยากมากว่าตัวเองมีความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง หรือถ้าเราเคยบดข้าวให้ลูกกินเวลาที่เราบดผัก บดผลไม้ บดตับ มีไหมที่ลูกไม่ชอบ ลูกเคยแหวะออกมาไหม แล้วทำอย่างไร ก็ป้อนเข้าไปอีก ลองนึกถึงถ้าเราเป็นลูก อะไรมันเข้าปาก ไม่ชอบเลยก็แหวะออกมารู้สึกตัวอีกทีอยู่ในปากอีกแล้ว เพราะฉะนั้นลูกจะแยกออกยากว่าอันไหนคือฉันอันไหนคือเขา
ฉะนั้นตรงนี้มันมีที่มาที่ไป เกิดการสะสมประมาณ 2 ขวบไป 3 ขวบ ที่ลูกเริ่มรู้ว่าตัวเองแยกตัวตนออกจากพ่อแม่ นั่นก็เพราะว่าลูกพูดได้หรือยัง 2 ขวบ วิ่งได้หรือยัง ได้แล้ววิ่งไปไหนต่อไหน พ่อแม่เพิ่งจะเดินตามมา เพราะฉะนั้นฉันอยู่ตรงนี้มองไปพ่อแม่อยู่ตรงนู้น เริ่มรู้แล้วว่าฉันกับพ่อแม่เป็นคนละคน เวลาที่พ่อแม่บอกไปอาบน้ำ หนูไม่อาบ พ่อแม่โมโห หนูกับพ่อแม่เป็นคนละคนความอยากความต้องการคนละอย่างกัน
ฉะนั้นเขาจะเริ่มรู้แล้วว่าตัวเองมีความรู้สึกนึกคิดของตัวเองที่แตกต่างจากพ่อแม่ มีความสามารถที่ทำให้พ่อแม่โมโหได้ เวลาที่ลูก 2 ขวบ 3 ขวบ เป็นช่วงที่เขาเริ่มเดินได้ทำอะไรด้วยตัวเองได้เขากำลังเห่อความสามารถ เพราะฉะนั้นถ้าเขาทำให้พ่อแม่โมโหได้เขาก็เห่อ การเห่อคือการอยากอวดอยากใช้ พ่อแม่ต้องไม่เป็นเหยื่อ ดีใจไปกับลูกอย่าลืมร่วมทุกข์ร่วมสุข ดีใจและภูมิใจในเผ่าพันธุ์ของตัวเองว่าลูกเรามีความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง
วันไหนที่บอกลูกนั่ง ลูกก็นั่ง ลูกยืน ลูกก็ยืน ลูกหันมาถามให้เดินไปตรงไหนอีก แบบนี้ให้กังวลได้เลยเป็นปัญหาอย่างมากด้วย เพราะฉะนั้นถ้าลูกเริ่มมีตัวตนเราเริ่มสอนลูกได้แล้วเราเริ่มใส่ Value ก็คือ Sense of Belonging การรู้สึกว่าเป็นที่รักของคนสำคัญ Self Esteem ความรู้สึกภูมิใจ ภาคภูมิใจในตัวเอง แต่ต้องมี Self ก่อน
เพราะฉะนั้น 3 ขั้นนี้จะเห็นว่าเริ่มตั้งแต่ 6 เดือน ขั้นพ่อแม่มีอยู่จริง วัตถุมีอยู่จริง ขั้นที่สองความผูกพัน และขั้นที่สาม หนูมีอยู่จริง สิ่งที่ครูหม่อมอยากจะพูดคืออันนี้เป็นการพัฒนาเรื่องของตัวตนสำหรับเด็กแรกเกิด
แต่ครูหม่อมอยากให้จำรูปแบบของความสัมพันธ์ หากคุณพ่อคุณแม่มีลูกที่โตแล้วและลูกเราเสีย Self ทำอย่างไร เราไม่ต้องย้อนลูกกลับไปแรกเกิด แต่อยากให้พ่อแม่ทำอย่างไรก็ได้ให้เป็นพ่อแม่ที่มีอยู่จริงให้กับลูกและสร้างความผูกพันมั่นคงปลอดภัยไว้ใจได้ใหม่ แล้วลูกจะรู้สึกว่าตัวเองมีตัวตนเป็นคนสำคัญ
ยิ่งเมื่อลูกเข้าสู่วัยรุ่น ทำไมเรากับลูกถึงมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีจำแพทเทิร์นนี้ไว้เลยค่ะ อย่างไรก็ตามทำได้เริ่มต้นใหม่ได้เสมอ ทำอย่างไรก็ได้ให้เขารู้ว่าตัวเองมีตัวตน ตัวเองมีตัวตนแล้วเพิ่ม Value เข้าไป อยู่กับเราแล้วเขารู้สึกว่าเป็นที่รักของเราไหม เราสื่อสารความรักอย่างไรถ้าเกิดว่าเขารู้สึกว่าเขาเป็นที่รักของพ่อแม่ แล้วพ่อแม่เป็นฐานที่มั่นทางใจ เป็นที่ปลอดภัยของเขา เขาก็จะมีตัวตน ส่งเสริมให้เขามีความสามารถไหม
คำพูดพ่อแม่ที่บอกว่าศักดิ์สิทธิ์เพราะมันไปกระทบกับ Self ของลูก ถ้าเราบอกลูกดื้อ ทำอะไรก็ไม่ดีเขาจะไม่สามารถชอบตัวเองได้เลย เพราะแม้แต่คนที่เขารักยังไม่ชอบเลย เขาจะชอบตัวเองได้อย่างไร แล้วถ้ายิ่งเขาเองไม่รู้ว่าตัวเองมีความสามารถอะไร จะไปช่วยเหลือคนอื่นต้องคิดเยอะอีก ยากเข้าไปอีกชีวิตนี้ ถามว่าแล้วจะมีหลักคิดในการดำเนินชีวิตอย่างไร มองหันหลังกลับมาประสบการณ์เดิม พ่อด่าแม่ตี ไล่ออกจากบ้านแล้วฉันจะต้องเป็นคนอย่างไร ฉันควรจะดำเนินชีวิตอย่างไร
หรือบางคนที่มี Self ปลอมสร้างให้มาเป็นที่รักของคนอื่นแต่ไม่ใช่ตัวเองจริงถือเป็นโรคทางจิต อาจเป็นโรคของคนที่มีบุคลิกภาพเสีย การมีหลายบุคลิกภาพ การสร้างบุคลิกภาพปลอมขึ้นมาเพื่อที่จะสามารถเข้ากับคนอื่นได้ สร้างแต่ว่าไม่ได้เป็นมันก็ต้องใช้ Energy เยอะเหมือนกัน ใช้แรงโกหกเยอะ แรงที่จะต้องสร้างให้เห็นว่าฉันเป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นเวลาที่เรามีคำว่า True Self เป็นเรื่องที่ต้องสะสม แล้วสิ่งที่สะสมเหล่านี้ก็คือเกิดจากคำว่าต่อเนื่อง หากว่าเราจะเริ่มสร้าง Self ใหม่กับลูก เพิ่มความมั่นคงปลอดภัยเพิ่มความมั่นใจให้กับลูก สำหรับลูกที่โตแล้วสิ่งที่มันยากขึ้นแค่เวลาเท่านั้นเอง ไม่เหมือนกับเริ่มสร้างแต่ไม่ได้แปลว่ามันจะเป็นแบบนั้นตลอดไป แปลว่าเราสามารถกลับมาแก้ใหม่ได้แต่ต้องใช้ Energy เพิ่มมากขึ้น แต่ครูหม่อมว่าไม่มีพลังอะไรที่จะกล้าแกร่งได้เท่าพลังพ่อแม่อีกแล้ว
ติดตามฟังได้ที่รายการรักลูก The Expert Talk
Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB
Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX
Youtube: https://bit.ly/3cxn31u
หน้าหลัก
อยากมีลูก
สุขภาพครรภ์
อาหารคนท้อง
การคลอดลูก
นมแม่
ตั้งชื่อลูก
พัฒนาการเด็ก 0-1 ปี
พัฒนาการเด็ก 1-3 ปี
พัฒนาการเด็ก 3-6 ปี
อาหารเด็ก 6 เดือน –1 ปี
อาหารเด็ก 1-3 ปี
อาหารเด็ก 3-6 ปี
Mom's Issue
แม่ท้องต้องรู้
คลินิกเบบี้
ตั้งชื่อลูก
The Healthy Kid
Q&A กับคุณหมอประเสริฐ
Do ดี มี EF
รักลูกเป็นพิเศษ
ฟัน Fun Story
แนะนำโรงเรียน
สาระเรื่องเรียน
ดาวน์โหลดฟรี
รีวิวของใช้เด็กและครอบครัว
แหล่งเรียนรู้และที่เที่ยวครอบครัว
เตือนภัยครอบครัว
อัปเดตข่าวครอบครัว
กิจกรรมรักลูก
ข่าวประชาสัมพันธ์



How to resolve AdBlock issue?