facebook  youtube  line

รักลูก The Expert Talk EP.12: รักลูกเชิงบวก “สร้าง Self ให้ลูก ปลูกฝังตัวตนที่แข็งแกร่ง" กับครูหม่อม

รักลูก The Expert Talk EP.12: รักลูกเชิงบวก "สร้าง Self ให้ลูก ปลูกฝังตัวตนที่แข็งแกร่ง" กับครูหม่อม

“Self คือตัวตน” ตัวตนที่แข็งแกร่ง เป็นเคล็ดลับให้ลูกอยู่ในสังคมได้อย่างปลอดภัย มั่นคงและอยู่รอด Self สร้างได้ และเริ่มต้นที่พ่อแม่ พบวิธีการสร้าง Self ตัวตนที่แข็งแกร่ง โดยครูหม่อม ผศ. ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร อาจารย์ประจำสถาบันแห่งชาติ เพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล

 

Self คืออะไร

สำหรับครูหม่อมแปลเลยว่าคือความรู้สึกนึกคิดของคนๆ หนึ่ง self ก็คือตัวตนเขาต้องมีความรู้สึกนึกคิดของตัวเขาเอง เป็นความรู้สึกนึกคิดที่แท้จริงของตัวเองไม่ใช่ที่เกิดจากความรู้สึกนึกคิดที่มีใครมาครอบงำให้รู้สึกอย่างนั้นให้เป็นแบบนั้นเพราะฉะนั้นเรื่องของตัวตนเป็นเรื่องที่เราเป็นตัวเรา เรามีความคิดของเรา เรามีความรู้สึกของเรา เรากล้าที่จะรู้สึกแบบนั้น

Self ดีอย่างไร เรื่องนี้เหมือนที่เราคุยกันว่าถ้าเราให้ลูกรู้หมดทุกอย่าง กูเกิ้ลช่วยเราได้ทุกอย่างให้เรารู้ทุกอย่างบนโลกใบนี้แต่ไม่สามารถทำให้เรารู้จักตัวเองได้อันนี้เรื่องสำคัญ ซึ่งเราจำเป็นต้องมี Self เพราะเป็นแก่นของมนุษย์ว่าฉันรู้สึกมีตัวตนนี่เป็นจุดเริ่มต้น ถ้าเรารู้ว่าความรู้สึกนึกคิดของเราถูกได้ยิน ถูกได้ฟัง Self นี้ก็จะมีพัฒนาการขึ้นไปเรื่อยๆ ถามว่า Self ดีอย่างไร เมื่อเรารู้สึกว่าเรามีตัวตน เราจะต้องมีคุณค่าอีก 4 คุณค่า

1.ตัวตนนี้สำคัญกับคนที่รักไหม

คือตัวตนนี้มีคนรักไหม ตัวตนนี้มีคนให้ความสำคัญไหมมีคนรักมีคนให้ความสำคัญ ถ้าอย่างนั้นตัวตนนี้มีอยู่จริง

2.ตัวตนนี้มีความสำคัญกับตัวเองไหม

เราสามารถรักตัวเองได้ไหม เราสามารถภูมิใจในตัวเองได้ไหม เราสามารถชอบตัวเองได้ไหม

3.ตัวตนนี้มีคุณค่ากับคนอื่นไหม

เรียกว่า Self worth การรู้สึกมีคุณค่ากับคนอื่น คือตัวตนนี้ทำประโยชน์อะไรให้กับคนอื่นได้บ้าง เป็นที่ยอมรับของสังคมไหม

4.ตัวตนนี้มีหลักคิดในชีวิตไหม

เรียกว่าคุณค่าในชีวิตหมายความว่าถ้าตัวตนนี้ถูกเลี้ยงมาให้มีความรัก ความผูกพันในครอบครัวเขาก็จะยึดไว้เป็นหลักคิดในชีวิตว่าตัวตนนี้ต่อไปเขาก็จะต้องสร้างครอบครัวที่มีความรักความอบอุ่น สร้างจากสิ่งที่เขาเป็นไม่ใช่ว่าอยากเป็น คือรู้วิธีด้วยแล้วก็ใช้ประสบการณ์เดิมที่มีคุณภาพมาเป็นหลักคิดในชีวิตได้ด้วย ถ้าเกิดคุณพ่อคุณแม่ให้คุณค่าเรื่องของความกตัญญูตัวตนนี้ก็จะมีหลักคิดในชีวิตในเรื่องของการดำเนินชีวิตด้วยความกตัญญู รู้คุณ เป็นต้น

ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ตัวตนนี้มันจะเติบโตขึ้นมามีตัวตนแล้วตัวตนจะมีคุณค่ากับคนที่รักอย่างไร มีคุณค่ากับตัวเองอย่างไร มีคุณค่ากับผู้อื่นอย่างไร มีคุณค่าในการดำเนินชีวิตอย่างไร นี่คือหลักในการดำเนินชีวิต ถามว่ามีแล้วดีอย่างไร มีแล้วคือตัวเรามีคุณค่า มันคือคุณค่าของตัวตนเราแต่มันจะแบ่งออกเป็น 4 คุณค่า

เสีย Self

หากว่าเด็กขาดคุณค่าใดคุณค่าหนึ่งไป ลองคิดดูว่าถ้าเราดำเนินชีวิตไปแล้วเรารู้สึกไม่มีคุณค่ากับคนที่เรารักเลยเสียSelf ไหม เสีย Self ดำเนินชีวิตไปสักพักหนึ่งเรารู้แล้วว่าคุณแม่ให้ความสำคัญรู้ว่าเป็นที่รักของคุณพ่อคุณแม่ แต่คุณพ่อคุณแม่ทำทุกอย่างให้หมดเลยมองไปที่ตัวเองฉันไม่เคยทำอะไรเองเลยฉันไม่เคยมีความสามารถเลย พอจะทำอะไรคุณพ่อคุณแม่บอกไม่ต้องทำเดี๋ยวเลอะ เดี๋ยวแม่ทำให้เดี๋ยวพ่อทำให้ อาจจะมีคุณค่าแบบที่ 1 มีคุณค่าต่อคนรัก แต่เขาจะไม่มีคุณค่าต่อตัวเองหรือ Self esteem ความภาคภูมิใจในตัวเองหรือการเคารพตัวเองได้เลย

ดำเนินชีวิตไปสักพักหนึ่งเช่นเดียวกันไม่เคยมีจิตสาธารณะไม่เคยไปร่วมทุกข์ร่วมสุขกับผู้อื่นไม่เคยทำตัวเองให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น Self นี้ก็จะไม่สบายใจอีก รู้สึกภูมิใจในตัวเองแต่ไม่เคยเป็นที่ยอมรับในสังคม ก็ต้องหาการเติบโตของ Self นี้อีกในด้าน Self worth การรู้สึกมีคุณค่าต่อผู้อื่นของชีวิตนี้

ดำเนินชีวิตสักพักหนึ่งมีลูกหลานหรือมีหลักการในการดำเนินชีวิต ดำเนินชีวิตไปเพื่ออะไร เรา Value เรื่องอะไรเราจะหาเจอไม่ได้เลยถ้าเราไม่เคยถูกสืบทอดมาจากวิธีการที่คุณพ่อคุณแม่เลี้ยงเรา เพราะฉะนั้นถามว่า Self นี้มีประโยชน์อย่างไร สำหรับครูหม่อมคือ Self คือตัวของเราถ้ามีแล้วพัฒนานั่นคือแก่นของการใช้ชีวิต

สร้าง Self ให้ลูก

เวลาที่เราบอกว่าเด็กบางคนมีตัวตนมากไปหรือเปล่าใหญ่คับบ้าน สั่งชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ คือกลับไปอยู่ในตัวตนสี่ด้านที่ครูหม่อมบอก คุณค่าในสี่ด้าน เขาอาจจะมีคุณพ่อคุณแม่รู้แล้วว่าเป็นที่ยอมรับ เป็นที่รักเป็นเลเวลเริ่มต้นของเด็กเล็กๆ ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้แต่ทำไมยัง Act Out หรือยังสั่งคนทั้งบ้านเรียกร้องความสนใจอยู่ เป็นไปได้ที่เขาอาจยังไม่เกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง ตัวเองเป็นที่รักแต่ตัวเองยังไม่เห็นว่าทำอะไรได้

เพราะฉะนั้นอาจจะต้องแล้วแต่บ้านอาจจะต้องเพิ่มให้เขาหน่อยว่าควรเพิ่มด้านไหนบ้าง หรือเป็นไปได้ว่าสั่งชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้แต่นั่นแปลว่าเฉพาะแต่เวลาที่อยู่กับคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่อาจจะอยู่ด้วย 10 นาทีต่อวันก็ได้นั่นแปลว่าหนูจะรู้สึกมีตัวตนอยู่ 10 นาทีนี้ นอกจากนั้นแล้วคุณพ่อคุณแม่อยู่ไหนก็ไม่รู้ก็เป็นได้

เพราะฉะนั้นการเช็กว่าตัวตนสำคัญไหมเวลาที่เราบอกว่าเราอยากให้ลูกรู้ว่าตัวเองมีตัวตนก็คือการรู้ว่าความรู้สึกนึกคิดของเขาถูกฟัง ถูกฟังเมื่อไหร่ตัวตนที่หนึ่งจะเกิดต่อมาเขาจะเริ่มรู้แล้วว่าเขามีตัวตน ตัวตนนี้เป็นที่รักที่ยอมรับของพ่อแม่กับคนที่รัก หากเขาอยากทำอะไรแล้วคุณพ่อคุณแม่ส่งเสริม เรียนรู้ด้วย และมองเห็นว่าเขาทำอะไรได้บ้าง Value ที่สองของตัวตนเกิดเราค่อยๆ ดูไปทีละ Value

พัฒนาการของ Self

กว่าคนๆ หนึ่งจะมีความรู้สึกนึกคิดเป็นตัวของตัวเองมีพัฒนาการ 3 ขั้นด้วยกัน เริ่มตั้งแต่เด็กแรกเกิดจนถึง 6 เดือน เด็กแรกเกิดจะยังไม่รู้ว่าตัวเองมีตัวตนคือยังไม่รู้ว่าตัวเองมีความรู้สึกนึกคิดปฏิกิริยาต่างๆ เกิดจากการทำงานของสมองอัตโนมัติเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดก่อน รวมถึงการเตรียมพร้อมการทำงานของสมองที่จะให้ออกมารับรู้เรื่องรูปรสกลิ่นเสียงต่างๆ เพื่อเป็นข้อมูลสะสมเอาไว้ก่อนที่จะรับรู้ว่าตัวเองมีตัวตน เพราะฉะนั้นเด็กตั้งแต่แรกเกิดจะยังไม่รู้ว่าตัวเองมีตัวตน ยังไม่รู้ว่าตัวเองมีความรู้สึกนึกคิด

พอถึงประมาณ 6 เดือน จะเป็นขั้นที่หนึ่งของพัฒนาการด้าน Self ก็คือขั้นวัตถุมีอยู่จริงเราก็ต้องอ้างอิงคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์อีกแล้วเพราะคุณหมอใช้คำพูดที่เข้าใจง่าย

ขั้นแรกที่เราเรียกว่าวัตถุมีอยู่จริง

วัตถุแรกที่ควรมีอยู่จริงคือแม่ แม่ต้องมีอยู่จริงและคำว่าแม่ของคุณหมอประเสริฐก็ไม่ได้หมายความว่าแม่ที่เป็นแม่จริงๆ ด้วยก็คือผู้เลี้ยงดูตัวจริงอาจจะเป็นปู่ย่าตายายก็ได้ คุณพ่อก็ได้หรือคุณพ่อมีอยู่จริงได้เหรอ ได้ ก็คือพ่อมีอยู่จริงแม่มีอยู่จริงใครสักคนหนึ่งมีอยู่จริงวัตถุมีอยู่จริง

คำว่าวัตถุมีอยู่จริงหมายความว่าอะไรที่อยู่ในสายตาสำหรับเด็กเล็กคือมีอยู่ อะไรที่ไม่อยู่ในสายตาแปลว่าไม่มี 6 เดือนนี้ที่สิ่งที่เกิดการทำซ้ำคือ ร้องไห้คุณแม่เดินมา มองหน้า โอบอุ้ม สัมผัส ให้กินนมลิ้มรสจากที่หิวเปลี่ยนเป็นอิ่มรู้สึกฟิน

พอคุณแม่เดินไปล้างขวดนมสำหรับลูกคือกำพร้า ไม่มีแม่ แม่หาย เหงาร้องไห้ แม่เดินมาหาใหม่ พอแม่เดินมาหาใหม่มองสบตา โอบอุ้ม ปลอบประโลม จากที่กลัวกลายเป็นไม่กลัว มีแม่มีพ่อ แม่เดินไปล้างจานไม่มีอีกละ อาศัยการร้องไห้ การสื่อสารคุณแม่เดินมาทำให้ลูกเปลี่ยนจากกลัวเป็นไม่กลัว เปลี่ยนจากหิวเป็นอิ่ม ไม่สบายตัวเป็นสบายตัว ไม่ปลอดภัยเป็นปลอดภัย

ผ่านไป 6 เดือน ร้องไห้หิวนมคุณแม่แค่ส่งเสียงมาลูกหยุดร้องไห้ได้ นั่นคือสัญญาณแรกของการที่ลูกรู้ว่าวัตถุมีอยู่จริงหรือว่าแม่มีอยู่จริง คำถามก็คือว่าทำไมเด็ก 6 เดือนถึงหยุดร้องไห้ได้เพราะเขามีภาพอยู่ในหัวว่า 6 เดือนที่ผ่านมาคุณแม่มาตอบสนองความต้องการพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง เกิดเป็นขั้นที่หนึ่งก็คือแม่มีอยู่จริง

ขั้นที่สองเกิดขึ้นประมาณ 8 เดือน

คือการสร้างความผูกพันคือต้องมีวัตถุก่อนถึงจะสร้างความผูกพันได้ ความผูกพันนี้ก็จะมีไปตั้งแต่ 8 เดือนเป็นต้นไป ความผูกพันนี้มีคุณภาพด้วย มีคุณภาพแบบ Secure Attachment คือความผูกพันแบบปลอดภัยคือเกิดจากการเลี้ยงดูที่มีความสม่ำเสมอตอบสนองความต้องการพื้นฐานได้ทั้งทางร่างกายและจิตใจ มีความสม่ำเสมอ ลูกคาดเดาได้ว่าถ้าทำแบบนี้แม่จะทำอย่างไร อันนี้รู้สึกมั่นคงปลอดภัยไว้ใจได้ แต่ก็มีแบบรู้สึกไม่ปลอดภัย ซึ่งมีอยู่สองอย่างเกิดจากการตอบสนองเชิงลบคือไว้ใจได้ว่าแม่ตีหรือแม่ตะวาด ก็คือรู้สึกไม่ปลอดภัยไม่ใช่ไว้ใจว่าเดี๋ยวแม่มาปลอบ

แบบไม่ปลอดภัยก็จะแบ่งออกเป็นแบบนี้ค่ะมาทีไรมาเชิงลบมาชวนลูกบวกตั้งแต่เบบี๋ กับแบบที่สองคือทิ้งขว้าง ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าการเรียกร้องความต้องการอันนี้ที่ร้องไห้ออกไป สื่อสารออกไปจะรับการตอบสนองกลับมาหรือไม่ แต่แบบไม่ปลอดภัยไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด ก็คือรูปแบบรุนแรงหรือรูปแบบๆ คาดเดาไม่ได้ ก็จะเป็นการทำให้เด็กเกิดการพัฒนาเรื่อง Defense Mechanisms อีกเช่นเดียวกัน

เพราะฉะนั้นการตอบสนองแบบไม่ปลอดภัยหรือว่าการคาดเดาไม่ได้ ปล่อยปละละเลยมาบ้างไม่มาบ้างก็แล้วแต่ว่าเมื่อมาปะทะกันแล้วลูกเราจะสู้ ถอย หรือสมยอม ซึ่งอันนี้ไปฟังได้ใน EP เลี้ยงลูกเชิงบวก ไม่ให้พร้อมบวก ทีนี้พอเราสร้างความผูกพันแบบมั่นคงปลอดภัยไว้ใจได้แล้วก็จะไปสู่ขั้นตอนที่สามของพัฒนาการด้าน Self จะเกิดขึ้นประมาณ 2 ขวบไป 3 ขวบ นั่นคือ

ขั้นตอนที่สามหนูมีอยู่จริงเป็นขั้นที่แยกตัวตนออกจากพ่อแม่

ตอนแรกลูกจะคิดว่าตัวเองกับพ่อแม่เป็นคนเดียวกัน แต่มันมีที่มาที่ไปคุณพ่อคุณแม่ลองดูตอนที่ลูกเป็นเบบี๋ถ้าเราจะไปธนาคารเราจะคุยกับลูกไหม เราบอกลูกไหมว่าเดี๋ยวจะไปธนาคาร หรือเราลงจากรถมาปวดฉี่อยากเข้าห้องน้ำเราก็ถือตะกร้าลูกมาเราก็วางตะกร้าลูกไว้แล้วก็วิ่งไปเข้าห้องน้ำ เพราะฉะนั้นการสื่อสารอะไรแบบนี้จะยังไม่รู้

ทีนี้ให้เรานึกถึงตอนเราเป็นลูกอยู่ในตะกร้าเวลาเราจะไปไหนเราจะไปตามพ่อแม่ เพราะฉะนั้นลูกจะรู้ยากมากว่าตัวเองมีความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง หรือถ้าเราเคยบดข้าวให้ลูกกินเวลาที่เราบดผัก บดผลไม้ บดตับ มีไหมที่ลูกไม่ชอบ ลูกเคยแหวะออกมาไหม แล้วทำอย่างไร ก็ป้อนเข้าไปอีก ลองนึกถึงถ้าเราเป็นลูก อะไรมันเข้าปาก ไม่ชอบเลยก็แหวะออกมารู้สึกตัวอีกทีอยู่ในปากอีกแล้ว เพราะฉะนั้นลูกจะแยกออกยากว่าอันไหนคือฉันอันไหนคือเขา

ฉะนั้นตรงนี้มันมีที่มาที่ไป เกิดการสะสมประมาณ 2 ขวบไป 3 ขวบ ที่ลูกเริ่มรู้ว่าตัวเองแยกตัวตนออกจากพ่อแม่ นั่นก็เพราะว่าลูกพูดได้หรือยัง 2 ขวบ วิ่งได้หรือยัง ได้แล้ววิ่งไปไหนต่อไหน พ่อแม่เพิ่งจะเดินตามมา เพราะฉะนั้นฉันอยู่ตรงนี้มองไปพ่อแม่อยู่ตรงนู้น เริ่มรู้แล้วว่าฉันกับพ่อแม่เป็นคนละคน เวลาที่พ่อแม่บอกไปอาบน้ำ หนูไม่อาบ พ่อแม่โมโห หนูกับพ่อแม่เป็นคนละคนความอยากความต้องการคนละอย่างกัน

ฉะนั้นเขาจะเริ่มรู้แล้วว่าตัวเองมีความรู้สึกนึกคิดของตัวเองที่แตกต่างจากพ่อแม่ มีความสามารถที่ทำให้พ่อแม่โมโหได้ เวลาที่ลูก 2 ขวบ 3 ขวบ เป็นช่วงที่เขาเริ่มเดินได้ทำอะไรด้วยตัวเองได้เขากำลังเห่อความสามารถ เพราะฉะนั้นถ้าเขาทำให้พ่อแม่โมโหได้เขาก็เห่อ การเห่อคือการอยากอวดอยากใช้ พ่อแม่ต้องไม่เป็นเหยื่อ ดีใจไปกับลูกอย่าลืมร่วมทุกข์ร่วมสุข ดีใจและภูมิใจในเผ่าพันธุ์ของตัวเองว่าลูกเรามีความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง

วันไหนที่บอกลูกนั่ง ลูกก็นั่ง ลูกยืน ลูกก็ยืน ลูกหันมาถามให้เดินไปตรงไหนอีก แบบนี้ให้กังวลได้เลยเป็นปัญหาอย่างมากด้วย เพราะฉะนั้นถ้าลูกเริ่มมีตัวตนเราเริ่มสอนลูกได้แล้วเราเริ่มใส่ Value ก็คือ Sense of Belonging การรู้สึกว่าเป็นที่รักของคนสำคัญ Self Esteem ความรู้สึกภูมิใจ ภาคภูมิใจในตัวเอง แต่ต้องมี Self ก่อน

เพราะฉะนั้น 3 ขั้นนี้จะเห็นว่าเริ่มตั้งแต่ 6 เดือน ขั้นพ่อแม่มีอยู่จริง วัตถุมีอยู่จริง ขั้นที่สองความผูกพัน และขั้นที่สาม หนูมีอยู่จริง สิ่งที่ครูหม่อมอยากจะพูดคืออันนี้เป็นการพัฒนาเรื่องของตัวตนสำหรับเด็กแรกเกิด

แต่ครูหม่อมอยากให้จำรูปแบบของความสัมพันธ์ หากคุณพ่อคุณแม่มีลูกที่โตแล้วและลูกเราเสีย Self ทำอย่างไร เราไม่ต้องย้อนลูกกลับไปแรกเกิด แต่อยากให้พ่อแม่ทำอย่างไรก็ได้ให้เป็นพ่อแม่ที่มีอยู่จริงให้กับลูกและสร้างความผูกพันมั่นคงปลอดภัยไว้ใจได้ใหม่ แล้วลูกจะรู้สึกว่าตัวเองมีตัวตนเป็นคนสำคัญ

ยิ่งเมื่อลูกเข้าสู่วัยรุ่น ทำไมเรากับลูกถึงมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีจำแพทเทิร์นนี้ไว้เลยค่ะ อย่างไรก็ตามทำได้เริ่มต้นใหม่ได้เสมอ ทำอย่างไรก็ได้ให้เขารู้ว่าตัวเองมีตัวตน ตัวเองมีตัวตนแล้วเพิ่ม Value เข้าไป อยู่กับเราแล้วเขารู้สึกว่าเป็นที่รักของเราไหม เราสื่อสารความรักอย่างไรถ้าเกิดว่าเขารู้สึกว่าเขาเป็นที่รักของพ่อแม่ แล้วพ่อแม่เป็นฐานที่มั่นทางใจ เป็นที่ปลอดภัยของเขา เขาก็จะมีตัวตน ส่งเสริมให้เขามีความสามารถไหม

คำพูดพ่อแม่ที่บอกว่าศักดิ์สิทธิ์เพราะมันไปกระทบกับ Self ของลูก ถ้าเราบอกลูกดื้อ ทำอะไรก็ไม่ดีเขาจะไม่สามารถชอบตัวเองได้เลย เพราะแม้แต่คนที่เขารักยังไม่ชอบเลย เขาจะชอบตัวเองได้อย่างไร แล้วถ้ายิ่งเขาเองไม่รู้ว่าตัวเองมีความสามารถอะไร จะไปช่วยเหลือคนอื่นต้องคิดเยอะอีก ยากเข้าไปอีกชีวิตนี้ ถามว่าแล้วจะมีหลักคิดในการดำเนินชีวิตอย่างไร มองหันหลังกลับมาประสบการณ์เดิม พ่อด่าแม่ตี ไล่ออกจากบ้านแล้วฉันจะต้องเป็นคนอย่างไร ฉันควรจะดำเนินชีวิตอย่างไร

หรือบางคนที่มี Self ปลอมสร้างให้มาเป็นที่รักของคนอื่นแต่ไม่ใช่ตัวเองจริงถือเป็นโรคทางจิต อาจเป็นโรคของคนที่มีบุคลิกภาพเสีย การมีหลายบุคลิกภาพ การสร้างบุคลิกภาพปลอมขึ้นมาเพื่อที่จะสามารถเข้ากับคนอื่นได้ สร้างแต่ว่าไม่ได้เป็นมันก็ต้องใช้ Energy เยอะเหมือนกัน ใช้แรงโกหกเยอะ แรงที่จะต้องสร้างให้เห็นว่าฉันเป็นอย่างนั้น

เพราะฉะนั้นเวลาที่เรามีคำว่า True Self เป็นเรื่องที่ต้องสะสม แล้วสิ่งที่สะสมเหล่านี้ก็คือเกิดจากคำว่าต่อเนื่อง หากว่าเราจะเริ่มสร้าง Self ใหม่กับลูก เพิ่มความมั่นคงปลอดภัยเพิ่มความมั่นใจให้กับลูก สำหรับลูกที่โตแล้วสิ่งที่มันยากขึ้นแค่เวลาเท่านั้นเอง ไม่เหมือนกับเริ่มสร้างแต่ไม่ได้แปลว่ามันจะเป็นแบบนั้นตลอดไป แปลว่าเราสามารถกลับมาแก้ใหม่ได้แต่ต้องใช้ Energy เพิ่มมากขึ้น แต่ครูหม่อมว่าไม่มีพลังอะไรที่จะกล้าแกร่งได้เท่าพลังพ่อแม่อีกแล้ว

 

ติดตามฟังได้ที่รายการรักลูก The Expert Talk 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

 

 

รักลูก The Expert Talk EP.120 : สมองลูกไว พร้อมสำหรับอนาคต

 

รักลูก The Expert Talk Ep.120 : สมองลูกไว พร้อมสำหรับอนาคต

 

AI แย่งงานคน มหาวิทยาลัยยกเลิกการสอนวิชา… เพราะโลกเปลี่ยนทุกวัน เราไม่สามารถคาดเดาถึงการเปลี่ยนแปลงนั้นได้ การเตรียมลูกให้พร้อมสำหรับอนาคตจึงเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญ

ฟัง The Expert อาจารย์ พญ.ลลิต ลีลาทิพย์กุล กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์วัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บอกวิธีการเตรียมลูกให้พร้อมสำหรับอนาคตในทุกด้าน

พ่อแม่ต้องทำอย่างไรเพื่อให้ลูกสมองไวพร้อมได้ตั้งแต่วันนี้

 

รายการรักลูก The Expert Talk อาจารย์ พญ.ลลิต ลีลาทิพย์กุล

 

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่https://linktr.ee/rakluke  

รักลูก The Expert Talk EP.121 : How to be Functional Family เป็นพ่อแม่ไม่บกพร่องหน้าที่

 

รักลูก The Expert Talk Ep.121 : Family Out จอ Gen กับอาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ ตอนนี้ 3 How to be Functional Family เป็นพ่อแม่ไม่บกพร่องหน้าที่

 

AI แย่งงานคน มหาวิทยาลัยยกเลิกการสอนวิชา… เพราะโลกเปลี่ยนทุกวัน เราไม่สามารถคาดเดาถึงการเปลี่ยนแปลงนั้นได้ การเตรียมลูกให้พร้อมสำหรับอนาคตจึงเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญ

ฟัง The Expert อาจารย์ พญ.ลลิต ลีลาทิพย์กุล กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์วัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บอกวิธีการเตรียมลูกให้พร้อมสำหรับอนาคตในทุกด้าน

พ่อแม่ต้องทำอย่างไรเพื่อให้ลูกสมองไวพร้อมได้ตั้งแต่วันนี้

 

รายการรักลูก The Expert Talk อาจารย์ พญ.ลลิต ลีลาทิพย์กุล

 

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่https://linktr.ee/rakluke  

รักลูก The Expert Talk EP.123 : “รู้เท่าทันสื่อ Digital Literacy”

 

รักลูก The Expert Talk Ep.123 : Family Out จอ Gen กับอาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ ตอนที่ 4 รู้เท่าทันสื่อ Digital Literacy

 

จากงานวิจัยพบว่า เด็กใช้สื่อหน้าจอดิจิทัลมากขึ้น โดยใช้ในช่วงอายุที่น้อยลง แต่ใช้งานมากขึ้นทั้งในเชิงปริมาณต่อวัน ต่อครั้งการใช้งานและความถี่

และไม่ได้พบเฉพาะปัญหาสุขภาพและพฤติกรรมเท่านั้น แต่พบว่าเด็กถูกล่อลวงหรือว่าไปเจอ Cybercrime อาชญากรรมทางไซเบอร์ พ่อแม่จะรับมือกับปัญหานี้ได้อย่างไร?

 

ฟังอาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ 

 

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่https://linktr.ee/rakluke 

รักลูก The Expert Talk EP.124 : “พ่อแม่ขาดทักษะการใช้สื่อ กระทบสมองลูก”

 

รักลูก The Expert Talk Ep.124 : Family Out จอ Gen กับอาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ ตอนที่ 5 พ่อแม่ขาดทักษะการใช้สื่อกระทบสมองลูก

 

งานวิจัยพบว่าเด็กที่ใช้สื่อเย็นเซลล์สมองจะเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ได้มากกว่า

ขณะที่สื่อร้อนการเชื่อมต่อของเซลล์ที่ชั้นเปลือกสมองจะทําได้น้อย กระทบกับพัฒนาการของสมอง โดยเฉพาะทักษะสมอง EF

 

ไม่อยากให้ลูกติดจอ พ่อแม่ทำได้

ฟัง อาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริบอกแนวทางการฝึกทักษะให้พ่อแม่มี Digital Literacy เพื่อรับมือและรู้เท่าทันก่อนสื่อหน้าจอจะทำลายสมองลูก

 

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่https://linktr.ee/rakluke 

รักลูก The Expert Talk EP.125 : Cybercrime คืออะไร? รู้ไว้ก่อนลูกถูกลวง

 

รักลูก The Expert Talk Ep.125 : Family Out จอ Gen กับอาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ ตอนที่ 6 Cybercrime คืออะไร? รู้ไว้ก่อนลูกถูกลวง

เมื่อพ่อแม่ให้โทรศัพท์ แท็บแล็ตหรือสร้างแอคเคาท์บนโซเชียลมีเดียให้ลูก เราอาจจะคิดว่าอินเทอร์เน็ตมันเป็นโลกของข้อมูลความรู้

แต่ถ้าลองคิดในมุมกลับกัน เมื่อให้ลูกเข้าถึงโลกทั้งใบ โลกทั้งใบก็เข้าถึงลูกของเราได้เหมือนกัน…การเกิดอาชญากรรมออนไลน์จึงเกิดขึ้นได้ง่าย

 

รู้กลลวงของเหล่ามิจฉาชีพบนโลกออนไลน์เพื่อรับมืออย่างเท่าทัน ฟัง อาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ

 

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่https://linktr.ee/rakluke 

รักลูก The Expert Talk EP.126 : Cybercrime รับมือได้ พ่อแม่ต้องเท่าทัน

 

รักลูก The Expert Talk Ep.126 : Family Out จอ Gen กับอาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ ตอนที่ 7 Cybercrime รับมือได้ พ่อแม่ต้องเท่าทัน

 

เมื่อลูกถูมิจฉาชีพหลอกลวง พ่อแม่จะช่วยลูกและรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไร ฟัง อาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ

 

 

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่https://linktr.ee/rakluke 

รักลูก The Expert Talk EP.127 : ลูกปวดท้อง ต้องระวังโรคเกี่ยวกับลำไส้

 

รักลูก The Expert Talk Ep.127 : ลูกปวดท้อง ต้องระวังโรคเกี่ยวกับลำไส้

 

โรคลำไส้กลืนกัน ไม่ใช่แค่ลูกปวดท้องหากปล่อยให้รุนแรงอาจจะต้องตัดลำไส้

 

พ่อแม่รับมือและสังเกตก่อนอาการจะรุนแรงได้ รวมถึงฟังโรคและอาการที่ทำให้ลูกปวดท้องได้ จาก The Expert

พญ. สีวลี สีดาฟอง

แพทย์ผู้ชำนาญการโรคระบบทางเดินอาหารและตับในเด็ก โรงพยาบาลวิมุต

 

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่https://linktr.ee/rakluke 

รักลูก The Expert Talk EP.128 : โพรไบโอติกและพรีไบโอติก เลือกอย่างไรเหมาะกับเด็ก

 

รักลูก The Expert Talk Ep.128 : โพรไบโอติกและพรีไบโอติก เลือกอย่างไรเหมาะกับเด็ก


โพรไบโอติกและพรีไบโอติก เลือกแบบไหนเหมาะสำหรับเด็ก สายพันธุ์ไหนดี กินปริมาณเท่าไหร่เพียงพอ

ฟัง The Expert พญ. สีวลี สีดาฟอง

แพทย์ผู้ชำนาญการโรคระบบทางเดินอาหารและตับในเด็ก โรงพยาบาลวิมุต 

 

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่https://linktr.ee/rakluke 

รักลูก The Expert Talk EP.129 : แก้ปัญหาเด็กติดจอเริ่มที่พ่อแม่

 

รักลูก The Expert Talk Ep.129 : โพรไบโอติกและพรีไบโอติก เลือกอย่างไรเหมาะกับเด็ก

ติดจอแล้วลด ละ เลิกอย่างไร

  • กำหนดเวลาในการดูจอ
  • เลือกเนื้อหาที่มีประโยชน์
  • ปิดท้ายด้วยสื่อเย็น

ฟังแนวทางการลดละเลิกจอ และเลือกเนื้อหาที่ดีต่อพัฒนาการ จาก The Expert อาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่ https://linktr.ee/rakluke

รักลูก The Expert Talk EP.13: รักลูกเชิงบวก “เป็นพ่อแม่ไม่ยาก! สร้างทักษะพ่อแม่" กับครูหม่อม

รักลูก The Expert Talk EP.13: รักลูกเชิงบวก "เป็นพ่อแม่ไม่ยาก! สร้างทักษะพ่อแม่" กับครูหม่อม

ว่ากันว่าเลี้ยงเด็กสมัยนี้ยากกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า…เป็นเรื่องจริงค่ะ แต่ด้วยความรู้ เทคนิค วิธีการและตัวช่วยต่าง ๆ ที่มีอยู่ ก็ทำให้พ่อแม่อย่างเราก้าวผ่านไปได้อย่างไม่ยากนัก EP นี้ชวนคุณพ่อคุณแม่ มาสร้างทักษะการเป็นพ่อแม่กับครูหม่อมกันค่ะ หนทางที่จะทำให้เราไม่ต้องตั้งคำถามว่า ทำไมเลี้ยงเด็กยุคนี้ยากจัง ฟังครูหม่อม ผศ. ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร อาจารย์ประจำสถาบันแห่งชาติ เพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล

ทักษะพ่อแม่คืออะไร

ทักษะพ่อแม่ คือความสามารถในการเป็นพ่อแม่ ไม่ใช่ทุกคนเกิดมาจะมีความสามารถในการเป็นพ่อแม่คือมันไม่ได้ติดต่อแต่กำเนิด แต่ข้อดีคือมันสามารถติดอยู่ในเนื้อในตัวเราได้จากวิถีที่คุณพ่อคุณแม่เลี้ยงเรามา นั่นแปลว่าถ้าสมมติในรุ่นของเรา เราสามารถมีวิถีทางที่ไปในทางบวก ลูกของเราไม่ต้องไปหาเพิ่มเลยว่าฉันจะเป็นพ่อแม่ที่ดีได้อย่างไรเพราะเป็นวิถีที่ถูกถ่ายทอดมา แต่ถ้าเราไม่ได้ถูกถ่ายทอดมาด้วยวิถีทางที่เหมาะสม เราก็จำเป็นที่ต้องฝึกฝน

ทักษะพ่อแม่ฝึกฝนได้ต้องยอมรับว่าเราไม่ได้เกิดมาพร้อมทักษะเหล่านี้ แต่เป็นทักษะที่เราอาจจะได้มาจากสิ่งที่พ่อแม่เราสอนเรามา หรือเราอาจจะได้มาจากการที่เราหาวิธีการที่เหมาะสมกับลูกเราเหมาะสมกับตัวเองก็ฝึกทำกันไป

ทักษะที่พ่อแม่ต้องมี

1.Growth Mindset คือการเติบโตภายใน

กรอบแนวคิดของเราที่เติบโตขึ้น ทีนี้เรื่อง Growth Mindset กับ Fixed Mindset เป็นของคู่กัน Fixed Mindset ก็คืออยู่กับกรอบแนวคิดเดิมๆ อยู่กับความเชื่อเดิมๆ ที่เราคิดว่าเราไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงได้ แล้วเราก็ติดมาโดยที่เราไม่รู้ตัว ถ้าเราจะเป็นคุณพ่อคุณแม่ที่มีทักษะในการเป็นคุณพ่อคุณแม่ได้เราต้องมีกรอบแนวคิดเติบโตในการเป็นคุณพ่อคุณแม่ก่อนเช่น พวกเราอาจไม่ทันระวังว่าเรามี Fixed Mindset Parenting อย่างไร

เช่น ถ้าครูหม่อมถามทุกคนตอนนี้ว่า สมมติทุกคนนั่งอยู่กับลูก 5 ขวบ คำถามคือถ้าลูกกินข้าวไป 5 คำ แล้วบอกว่าอิ่ม “คุณพ่อคุณแม่จะบอกลูกว่าอะไร” “อีกคำ” อีกคำ มาจากไหน จากในตำราหรือเปล่า ทีนี้ถามว่าวิธีนี้มันใช่ทักษะพ่อแม่ไหม

ทักษะก็คือความสามารถที่จะพาลูกเราเป็นไปตามที่เราหวังตั้งใจเป็นไปตามเป้าหมาย แต่ถ้าเรายังใช้กรอบแนวคิดเดิมๆ อยู่ ก็คือสิ่งที่ครูหม่อมไว้ตั้งแต่ต้นว่าทักษะไม่ได้เป็นเรื่องที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดมันสามารถฝึกกันได้ หรือว่ามันอาจจะติดมาจากพ่อแม่ของเราได้

การสืบทอดรุ่นต่อรุ่นจะว่าน่ากลัวก็ไม่เชิงถ้าเป็นในทางที่ดีเราก็ไม่ต้องหาทำมากมายมันก็ติดตัวเรา แต่ถ้ามันเป็น Fixed Mindset หรือว่ามันเป็นอะไรที่ไม่เคยได้ผลและเราไม่เคยหยุดและมองดูว่าวิธีการเหล่านี้มันใช่ทักษะของพ่อแม่หรือไม่หรือเป็นการจำเขามา ถ้าจำเขามาไม่ใช่ทักษะ

ครูหม่อมเชื่อเลยว่าถ้าลูกของเรากินข้าวไป 5 คำ แล้วบอกว่าอิ่ม สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่จะทำก็คือ ขออีกคำ หรือบอกว่า กินให้หมด ขออีก 5 คำ สเต็ปต่อไปคือแกล้งนับผิด พอแกล้งนับผิดเสร็จลูกกินครบ 5 คำ สเต็ปต่อไปคือซดน้ำแกงด้วย กินผักด้วย พอทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยหมดแล้วเก็บข้าวที่หกเอาไปเก็บ มันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพิ่มขึ้นไม่พอแต่นึกถึงเด็กกินข้าวมื้อหนึ่งไม่มีอะไรดีเลย

แค่กินข้าวมื้อหนึ่งรู้สึก Self ตัวเองเหลือนิดเดียวคำถามที่สำคัญมากกว่านั้น คิดว่าเด็กไทยกินข้าวเคล้าน้ำตากี่เปอร์เซ็นต์ เด็กไทยถูกเข้มงวดเรื่องการกินข้าวตั้งแต่เด็ก โตขึ้นมาเด็กไทยเป็นโรคอ้วนกี่เปอร์เซ็นต์ โรคขาดสารอาการกี่เปอร์เซ็นต์ คำถามคือเข้มงวดตั้งแต่เด็กโตขึ้นมาควรจะกินเป็นใช่ไหม นี่คือสิ่งที่ครูหม่อมอยากเอามาว่าทำไมเราถึงต้องมีทักษะคุณพ่อคุณแม่

เพราะฉะนั้นถ้าเราทำตามที่เขาบอกหรือทำตามที่เราจำมา หลายครั้งที่เรามีแพทเทิร์นในการสอนที่ไปไม่ถึงเป้าหมาย เราลองดูนะคะนี่ครูหม่อมพูดแค่เรื่องกิน ครูหม่อมถามว่าปัจจุบันที่เราโตมาแล้วถามตัวคุณพ่อคุณแม่เองว่าไม่กินสักมื้อหนึ่งคุณพ่อคุณแม่มาว่าอะไรเราไหม ไม่ว่า กินขนมก่อนกินข้าวได้ไหม ได้โตแล้ว แล้วเด็กกินได้ไหม ไม่ได้ เพราะอะไร นี่คือสิ่งที่เราอยากจะมาพูดกัน

เพราะฉะนั้นที่ถามว่าทักษะอะไรบ้างที่จะต้องมี ทักษะการหยุดคิดแล้วทำกรอบแนวคิดของการเป็นพ่อแม่ให้เติบโตขึ้น ก็คือ Growth Mindset เปิดใจ รู้ว่าตัวเองฝึกฝนและเรียนรู้ไปพร้อมกับลูกได้ อะไรที่ลูกทำแล้วเรารู้สึกว่าพูดไปตามแพทเทิร์นเดิมเลยแต่ไม่ได้สอน เช่น พอลูกบอกแม่อิ่ม กินข้าวอีก 5 คำ กลืนคำนี้ลงไปแค่นี้ทักษะแรกเลย

ถามตัวเองว่าอยากได้อะไรจากลูก ใน EP เรื่องของการสร้างวินัยเชิงบวกสอนเอาไว้ว่าเราต้องมีเป้าหมาย ถ้าเราบอกว่าเราอยากให้ลูกกินข้าวให้หมดเรากำลังมีเป้าหมายสอนให้ลูกรับผิดชอบข้าวของตัวเอง พอเรามีเป้าหมายอย่างนั้นลองคิดวิธีการถ้าลูกต้องกินข้าวให้หมดต้องทำอย่างไร ใครควรเป็นคนตัก

เพราะฉะนั้นหากอยากให้ลูกกินข้าวให้หมด ให้ลูกหัดกะประมาณตนเอง หิว ถ้าลูกหิวกินเยอะแปลกไหม ถ้าลูกอร่อย กินไก่ทอดแล้วอร่อยก็จะกินแต่ไก่ทอดแปลกไหม เอาหลักการก็ไม่แปลก แต่จะกินแต่ไก่ทอดอย่างเดียวเหรอ กินอย่างอื่นบ้าง แต่พ่อแม่บางคน ตะกละไม่เหลือให้คนอื่นเลย พออะไรที่ตัวเองไม่ชอบไม่กินเลยเห็นแก่ตัว คำพูดเหล่านี้ถามว่าคุณพ่อคุณแม่หมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ ไหม หรือคิดว่าตัวเองสอนอยู่จากการที่ตัวเองจำเขามา เพราะฉะนั้นแยกให้ออก ลูกต้องกินข้าวให้หมดขอให้ลูกตักเอง

คำถามอีกถ้าวันนี้ลูกตักเองแล้วลูกกินข้าวไม่หมดทำอย่างไร ลองใหม่ มันใช้เวลาในการเลี้ยงลูกมันต้องมีการฝึกฝน ตักมากินไม่หมดจำไว้นะลูกวันนี้หนูตักเท่านี้ไม่หมดพรุ่งนี้ลองใหม่ เราไม่ได้เลี้ยงลูกแค่วันนี้ถึงวันพรุ่งนี้ ถ้าเราอยู่กับลูกอย่างน้อย 30 ปีที่เราจะอยู่ด้วยกันถ้าไม่มีใครเป็นอะไรไปซะก่อน 30 ปียังฝึกฝนกันได้

เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้ลองใหม่ ถ้าเราให้ลูกหัดลองตั้งแต่เล็ก หากวันนี้เขารู้ว่าเขาตักแค่นี้แล้วเขาเหลือเขามีข้อมูลเพียงพอที่จะตักใหม่วันพรุ่งนี้

ครูลองพูดให้ฟังแล้วลองดูว่าแบบไหนที่ลูกอยากจะให้ความร่วมมือ ตักซะเยอะเลยตะกละแล้วก็กินไม่หมดเหลือทิ้งพรุ่งนี้ตักใหม่ กับอันนี้มันเยอะไปใช่ไหมลูก ตอนนี้หนูอิ่มแล้ว ยังดีนะที่ลูกรู้จักอิ่มหนูจำไว้นะลูกอันนี้คือปริมาณที่มันเหลือพรุ่งนี้หนูว่าจะต้องทำอย่างไร มันมีอย่างหนึ่ง ดีนะที่ลูกรู้จักอิ่ม มันคือการเคารพตัวเขา แล้วเราก็ให้คุณค่าเขาว่าหนูอิ่ม แม่เข้าใจว่าหนูอิ่ม เป็นเรื่องของการสร้าง Self ด้วย

คุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่ที่จำมาจำวิธีมาก็มักจะเหลือทิ้งไม่ให้คุณค่าสงสารชาวนา ก่อนลูกจะสงสารชาวนาได้ ลูกต้องรู้สึกต้องถูกเห็นอกเห็นใจก่อนจากคุณพ่อคุณแม่ก่อนหนูถึงจะเห็นอกเห็นใจคนอื่นได้

เพราะฉะนั้นหากเรารู้ว่านี่คืออิ่ม พรุ่งนี้ลองใหม่เท่ากับว่าเรายังมีโอกาสให้เขาได้ฝึกอีกมาก พรุ่งนี้พอลองใหม่แล้วสำเร็จ ตรงนี้เป็นคุณค่าเป็นที่รักของคุณพ่อคุณแม่ ตัวเองมีความสามารถ เพราะฉะนั้นเราต้องมีโอกาสให้ลูกพัฒนา

2.ทำใจ

ทักษะนี้สำคัญแต่ไม่ยาก แค่คุณพ่อคุณแม่รู้หลักการคือว่าในโลกปัจจุบันคำว่าพัฒนาการเด็กมีอยู่ทั่วเลย คุณพ่อคุณแม่จะเสพข้อมูลเรื่องพัฒนาการเด็กอย่างไร เพื่อเอาไปเปรียบเทียบว่าลูกฉันทำไม่ได้ แล้วก็ไปเคี่ยวเข็ญ กดดัน ลูก หรือรู้พัฒนาการไปเพื่อเข้าใจลูก

ถ้าจะให้รู้พัฒนาการไปเพื่อเข้าใจลูกคุณพ่อคุณแม่ต้องทำใจยอมรับให้เร็ว เมื่อทำใจยอมรับให้เร็วได้เมื่อไหร่คุณพ่อคุณแม่จะสามารถฝึกทักษะได้เร็ว

ตัวอย่างเช่น คุณพ่อที่มีลูกสาว ลูกต้องมีแฟนตอนนี้ลูกยังเล็กอยู่ พอลูกสัก 9 ขวบ 10 ขวบ ลูกต้องมีเรื่องของเพศตรงข้ามเข้ามา ถามว่าลูกเราผิดปกติไหม ไม่ผิดปกติ แต่นั่นแปลว่าคุณพ่อมีเวลาฝึกตัวเอง 9 ปี ที่จะทำใจสอนลูกให้รับมือกับเรื่องเพศตรงข้ามอย่างไร เรามองแบบนี้แทนที่จะไม่ยอมรับ แล้วก็เลี้ยงไปเสร็จแล้วก็รับความคิดของคนอื่นที่จำเขามา เช่น เดี๋ยวโตมันก็ต้องมีแฟน ไปเป็นแฟนคนอื่นแล้วเราก็หัวเน่า ถ้าความผูกพันเราดี อย่างไรเราก็ไม่หัวเน่า เหมือนเราตอนนี้ที่แต่งงานกันแล้วพ่อแม่เราก็ไม่หัวเน่า

เพราะฉะนั้นเมื่อเราทำใจยอมรับ ทำใจดูเหมือนเป็นเรื่องยากแต่จริงๆ แล้วเป็นขั้นตอนเพื่อให้เรายอมรับว่าเดี๋ยววันหนึ่งพัฒนาการของลูกจะเป็นอย่างไร เมื่อวันนั้นมาถึงเราจะได้มี Growth Mindset ทัน แล้วก็ฝึกฝนทัน

วันหนึ่งลูกอาจจะเดินมาบอกว่าขอค้างบ้านเพื่อนได้ไหม เคยเตรียมคำตอบไหม เราคิดตอนนี้เราก็มักจะปฏิเสธตัวเองตลอด นี่คือเรื่องของธรรมชาติมนุษย์ คุณพ่อคุณแม่ถ้าใช้สัญชาตญาณเลี้ยงลูกจะไม่ค่อยยอมรับเรื่องเหล่านี้เพราะคิดไปถึงเรื่องนี้อีกยาวไกล แต่จริงๆ แล้วถ้าเราคิดเชิงบวกนี่คือช่วงเวลาที่คุณพ่อคุณแม่ทำใจและฝึกฝนไม่ให้หน้าตัวเองกระตุกเมื่อเวลานั้นมาถึง แม่ขาขอไปเที่ยวกลางคืนได้ไหมค่ะ แค่นี้เราก็เวลามันเร็วเวลานี้มาถึงแล้ว ลูกเรา 15 แล้ว กับ ทำอย่างไรดีละ ไป Panic ตอนนู้น ลูกอยู่กับเราตั้ง 15 ปีมีเวลาให้ Panic มานานแล้ว

นี่คือทักษะที่สองที่จำเป็นมากๆ คือ ทำใจยอมรับ วิธีการคือไปดูพัฒนาการเพื่อให้เข้าใจลูกและเตรียมพร้อมตัวเองเอาไว้ว่าเมื่อถึงเวลาเหล่านี้ ครูหม่อมเชื่อว่าตามธรรมชาติสัญชาตญาณของมนุษย์อะไรที่เป็นเรื่องไม่ดีเราจะมองเป็นเรื่องไกลตัวแต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ เช่น ลูกเราไม่ติดยาเสพติดหรอก ลูกเราไม่ท้องวัยใสหรอก ลูกเรายังไม่มีแฟนหรอก ลูกเราไม่สํามะเลเทเมาหรอก ของทุกอย่างมีเหตุและผล ลูกเราไม่เป็น เป็นเพราะเราไม่ได้เป็นเพราะใคร เพราะฉะนั้นในวันนี้เราก็ต้องหัดทำใจยอมรับและฝึกตัวเองให้ได้

หากเป็นพ่อเป็นแม่ที่เข้าใจลูกก็จะรู้ว่าในแต่ละช่วงวัยเราควรจะยืดหยุ่นได้ประมาณไหน หากว่าเราทำใจเตรียมพร้อมยอมรับเตรียมพร้อมตัวเองได้มากเท่าไหร่ ก็เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจได้มากเท่านั้น หากเราตกใจกับคำของลูกก็เท่ากับเราไม่เป็นฐานที่มั่นทางใจให้ลูก เขาก็จะรู้สึกว่าเรื่องใหญ่ พ่อแม่ไม่เข้าใจหนู จากที่เคยเข้าใจกลายเป็นไม่เข้าใจ แต่เมื่อไหร่ที่หนูกลับบ้านตอนกลางคืนได้ไหม หนูไปเที่ยวตอนกลางคืนได้ไหม เพราะฉะนั้นอะไรที่เคยสอนเขาหลักการเหมือนเดิมเลย ถ้าจะไปต้องทำอย่างไร

3.“ได้” แทนคำว่า ห้าม ไม่ อย่า หยุด

เรียกว่าให้หัดพูดคำว่าได้ แล้วคิดเร็วๆ ว่าได้เมื่อไหร่กับได้อย่างไร หนูขอเล่นโทรศัพท์มือถือได้ไหม ได้ เมื่อหนูอายุ 12 ขวบ อันนี้ได้เมื่อไหร่ ได้อย่างไร เช่น ได้ ทำการบ้านเสร็จ กินข้าวเสร็จ อาบน้ำเสร็จ 10 นาที แล้วคืน หัดตัวเองฝึกตัวเองไปเรื่อยๆ มีแฟนได้ไหม ได้ ได้เมื่อไหร่สำหรับครูหม่อมเรื่องของหัวใจครูหม่อมไม่รู้ว่าได้เมื่อไหร่

แต่ครูหม่อมสอนเรื่องได้อย่างไร อย่างหลานครู 5 ขวบ คนนั้นเป็นแฟนหนู คนนี้เป็นแฟนหนู แต่เราบอกไม่ใช่แฟนลูกคือเพื่อนเปิดช่องโหว่อีก เรากำลังชี้โพรงอีกว่าเพื่อนกับแฟนต่างกันโดยที่เรายังไม่รู้เลยว่าเขารู้ไหมว่าอะไรคือแฟนอะไรคือเพื่อน คนนี้คือแฟนหนู แล้วปฏิบัติต่อแฟนอย่างไรลูกจริงๆ เราก็สอนเหมือนปฏิบัติต่อเพื่อนคนอื่น หรือถ้าลูกโตแล้วมีแฟนได้ไหม ได้ แต่ละบ้านไปคิดกันเองว่าได้อย่างไร

อย่างบางบ้านที่ครูหม่อมพูดคุยกับคุณพ่อคุณแม่ ลูกอายุ 12 มีแฟน นี่คือมีแฟนของจริง ถามว่าได้ไหม คุณพ่อคุณแม่บอกกัดฟันกล้ำกลืนอยู่ว่า ได้ แล้วคุณพ่อคุณแม่ตกลงกันว่าอย่างไร คุยโทรศัพท์ได้วันละเท่าไหร่ ไลน์หากัน เรื่องเพศเปิดเลย เปิดเลยในที่นี้หมายถึงพูดกันเลย 12 แล้ว ห้ามมีเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องเดียวที่ขอ ไม่กลับบ้านกลางคืนกลับบ้าน 4-5 ทุ่ม อะไรก็ว่าไป พ่อหรือแม่ไปด้วยไม่ทางนั้นก็ทางนี้ คุณพ่อคุณแม่ฉลาดมากเกิดการคุยกัน

ถ้าเป็นเมื่อก่อนพ่อแม่สองฝ่ายเป็นอย่างไรค่ะ ไม่เจอหน้ากัน พ่อแม่ฝ่ายชายก็หวงลูกชายเขา พ่อแม่ฝ่ายหญิงก็หวงลูกสาวเขาเหมือนกัน แต่ครูหม่อมบอกเลยนี่คือความชาญฉลาดของผู้ใหญ่ว่าพอพ่อแม่คุยกันปุ๊บกลายเป็นว่าพ่อแม่ฝั่งนี้ไม่ว่า พ่อแม่ฝั่งนู้นดูไปมาหาสู่กันได้มาบ้านได้ มาบ้านสิดีพอมาในบ้านเขาก็บอกเลยว่าอะไรที่เรากังวลคือพูดความกังวลและความเป็นห่วงออกไป ไปเป็นว่าได้อย่างไรและถ้าลูกไม่ทำตามนั้นก็คือมีผลที่ตามมา หากไม่ทำตามนั้นแสดงว่าไม่พร้อมมีแฟน ถ้าพร้อมมีแฟนแสดงว่าเราดูแลตัวเองได้แบบนี้ มีขอบเขตกันอย่างไรได้

ทั้ง 3 ข้อนี้คือพูดถึงทักษะแต่ถ้าพูดถึงตัวเบสิกเลยครูหม่อมอยากให้คุณพ่อคุณแม่ ปลอบเป็น สอนเป็น ชมเป็น ซึ่งตรงนี้เราเคยพูดคุยกันหลายครั้งว่า

1.ปลอบให้เป็น

แปลว่าคุณพ่อคุณแม่แสดงความเข้าอกเข้าใจในเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกของลูกบอกไปเลยว่าเข้าใจว่าลูกรู้สึกอย่างไร ไม่ว่าลูกเราจะมีพฤติกรรมร้ายแรงอย่างไร กรี๊ด ตีคนอื่น เตะข้าวของ โตขึ้นมาต่อยกำแพง ทุบรถคนอื่น นั่นเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าเขาต้องการความช่วยเหลือ เขาไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของเขาได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะช่วยให้คนๆ หนึ่งที่จะแบ่งเบาอารมณ์ของเขาได้คือ การแสดงความเข้าใจอารมณ์ครูหม่อมถือว่าเป็นอะไรที่อยากให้ทำจนเป็นนิสัยของคุณพ่อคุณแม่ มองอารมณ์ลูกปุ๊บคอยแสดงความเข้าใจ นั่นคือการปลอบ

2.สอน

ก็คือการร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเขา พอเขาอารมณ์เย็นลงถามเขา ครั้งหน้าถ้าเกิดแบบนี้จะทำอย่างไร มีเพื่อนมาแกล้งจะทำอย่างไร เขาทำอะไรผิดพลาดไป เช่น บอกว่าเล่นเกม 30 นาที แล้วเอามาคืนปรากฏว่าไปแอบเล่น เราจะไม่พูดถึงคำว่าทำไมแอบ ทำไมขโมยเอาไปเล่น คราวหน้าเราจะถามว่าครั้งหน้าอยากเล่นควรทำอย่างไร

สิ่งหนึ่งที่ครูอยากจะบอกคือว่าที่อย่าเพิ่งดุ เพราะการที่เราบอกเขาว่าทำไมแอบเล่น ทำไมขโมยนี่คือการตัดสินตีตรา จริงๆ แล้วคือคนอยากเล่นแล้วมันควบคุมอารมณ์ไม่ได้เขาขาดทักษะ เพราะฉะนั้นพ่อแม่จะต้องสอนทักษะเหล่านี้เขาถึงจะสามารถควบคุมอารมณ์ได้

การแสดงความเข้าใจก็คือการปลอบมันเป็นช่วงหนึ่ง เช่น รู้เลยว่าอยากเล่นมากหนูเลยเอาไปเล่น แต่สิ่งที่ตามมา คราวหน้าอยากเล่นมากขนาดนี้อีกแทนการหยิบไปเล่นเลยหนูว่าหนูควรทำอย่างไร ก็คือการทวนอยู่อย่างนี้

3.การชม

คือการที่เรามองเห็นคุณค่าในตัวลูกเมื่อเขาทำดี ทำให้ลูกอยากมีส่วนร่วมกับเรา อยากทำความดีให้เห็นขึ้นไปอีก เวลาชม ชมให้ถึงคุณค่าเพื่อที่ตัวตนเขาจะได้พองฟู เช่น ถ้าเขาเอาน้ำมาให้เรา การเอาน้ำมาให้คุณค่ามันคืออะไร มีน้ำใจ ชมไปให้ถึง ขอบคุณมากเลยลูกหนูเอาน้ำมาให้หนูเป็นคนมีน้ำใจ หยอดกระปุกคุณค่าให้กับลูก

เมื่อไหร่ที่เราบอกว่าขอบคุณมากหนูถือน้ำมาให้หนูเป็นคนมีน้ำใจ คุณค่าของตัวตนแรก คุณค่าของคนรักได้ไหม คุณค่าต่อตัวเองได้ไหม คุณค่าต่อผู้อื่นได้ไหม ครบไหม คุณค่าต่อการใช้ชีวิตได้ไหม ครบถ้วน เมื่อเราชมลูกเป็นลูกก็ไปชมคนอื่นเป็น เขาก็จะมีวิธีที่ทำแบบนี้กับคนอื่นได้เหมือนกัน ก็กลับไปที่ต้น EP ที่ครูหม่อมบอกว่าวิธีการสอนมันถ่ายทอดได้จากรุ่นสู่รุ่น

ถ้าเกิดเรามาในทางที่ถูกรุ่นลูกเราจะสบายไม่ต้องไปหาอะไรที่ไหนเลย มันอยู่ในเนื้อในตัวของเขาเลยเพียงแต่ว่าที่ผ่านมาของพวกเรา เราถูกสอนโดยคุณพ่อคุณแม่รุ่นหนึ่งที่ความรู้ยังไม่เยอะขนาดนี้ และสถานการณ์โลกยังไม่สลับซับซ้อนขนาดนี้เราก็อยู่กันอย่างเบสิกได้ แต่เมื่อมันซับซ้อนมากขึ้นคุณพ่อคุณแม่ก็ต้องอัพเลเวล อัพสกิลตัวเองเหมือนกันความรู้ที่มีก็เอามาช่วย Growth Mindset ของตัวเอง ช่วยทำใจตัวเอง

สังเกตอย่างไรลูกเสีย Self

อันนี้คือทักษะการสังเกต ถ้าเกิดว่าลูกเราเป็นคนร่าเริงแล้ววันหนึ่งเงียบไปอันนี้ผิดสังเกตแน่นอนเห็นชัดเจน ถามตัวเองก่อน ตัวเองพูดอะไรหรือช่วงหนึ่งคงไม่ใช่แค่วันเดียวน่าจะเป็นเรื่องอะไรที่เราผิดใจกันทิ้งช่วงไว้นานไม่เคลียร์ใจหรือว่าสะสมเป็นระยะเวลาช่วงหนึ่งที่ทำให้ลูกรู้สึกว่าตัวเองไม่เป็นคนสำคัญจึงทำให้ลูกเงียบไป

หากไม่ใช่ย้ายไปเรื่องที่สองคุณค่าที่สองในตัวตน เขากำลังไม่ชอบใจในตัวเองอยู่หรือเปล่าเขากำลังทำอะไรแล้วรู้สึกตัวเองไม่สำเร็จไหม ไม่มีความสามารถไหมโดนคนอื่นไม่ยอมรับไหม ลองค่อยๆ ย้ายไปว่าที่มันเกิดถ้าไม่ใช่ตัวเราลูกกำลังประสบปัญหากับการไม่เห็นความสามารถของตัวเองหรือคนอื่นจากวงนอก

ส่วนใหญ่แล้วถ้าเป็นเด็กเล็กสองคุณค่าแรกจะสำคัญมากคือคุณค่าต่อคนรักคือคุณพ่อคุณแม่และตัวเองเห็นความสามารถของตัวเอง ถ้าลูกของเราเริ่มโตและเป็นวัยรุ่นคุณพ่อคุณแม่อย่าได้โทษตัวเอง อีกอันที่สำคัญคือถ้าลูกเป็นวัยรุ่นแล้วหรือเริ่มโตแล้วตัวตนเขาจะโหยหาความสำคัญจากคนอื่นด้วย เพราะฉะนั้นสิ่งคุณพ่อคุณแม่จะช่วยได้ก็เหมือนเดิม ปลอบ สอน ชม สำคัญ

ถ้าคุณพ่อคุณแม่อยู่ข้างเขาและแสดงความเข้าใจแล้วสอนไม่ใช่สั่ง เช่น ทะเลาะกับเพื่อนมา รู้เลยว่าลูกไม่สบายใจเพื่อนสนิทลูก ไปง้อเขาสิ หรือเพื่อนมีตั้งเยอะแยะก็ไปเล่นกับคนอื่นสิไม่เห็นต้องเล่นกับคนนี้เลย อย่าได้ทำ

ถ้าเรารู้แล้วและเราบอกลูกว่าเกิดจากแบบนี้ถ้าลูกมีเพื่อน ก็ต้องให้ทักษะเขาเรื่องนั้น ก็ต้องสอนเขาสอนอย่างไรให้เขามีส่วนร่วม หนูว่าหนูจะทำอย่างไรหนูไปลองถ้าลองไม่ได้เรามาหาวิธีกันใหม่ มั่นใจไปอีกว่ามันไม่ใช่วิธีการเดียว เพราะฉะนั้นลองดูว่าสังเกตลูกแล้วดูตัวเองเช็คตัวเองแล้วก็เช็ค Self ของลูกในแต่ละด้าน คุณค่าตรงไหนลดลงเราก็เพิ่มได้

มีลูกอีกประเภทนะ ถ้าตัวตนของลูกเราเป็นคนเงียบอยู่แล้วหรือเป็นคนขี้อายทำอย่างไรดียากเข้าไปอีก แต่ถ้าเราเป็นพ่อแม่ที่สนิทกับลูกเราก็จะพอรู้หรือคลำแนวทางได้ ทีแรกที่ตอบว่ายากเข้าไปอีกอันนี้เรียกว่าตอบตามสัญชาตญาณ สัญชาตญาณพ่อแม่คือ ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นถ้าเป็นอย่างนั้นจะทำอย่างไร

แต่พอมีทักษะเราจะคิดได้ว่า ถ้าเราสนิทเราจะยอมรับได้ว่านี่คือตัวตนของลูก ลูกเป็นคนขี้อายได้ไหม ได้เพียงแต่ว่าถ้าเขาอายแล้วเขาจะอยู่กับความรู้สึกนั้นอย่างไร ก้าวข้ามอย่างไร อันนี้มากกว่าที่จะเป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่จะอยู่เคียงข้างเขาตลอดไป ไม่ใช่พอลูกอายปุ๊บ ไม่เห็นต้องอายเลยไปยืนข้างหน้าเลยนี่คือการไม่เคารพตัวตนของเขาด้วยนะวิธีการแบบนี้

ทักษะพ่อแม่กับสถานการณ์ปัจจุบัน

ครูหม่อมมองเห็นว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนแปลงไป สมัยก่อนพ่อแม่ไม่จำเป็นต้องมีทักษะอะไรมากเพราะว่าพ่อแม่อยู่กับเรา แต่ว่าสมัยนี้พ่อแม่ไม่ได้อยู่กับลูกเราลองมองภาพว่าในวันหนึ่งพ่อแม่อยู่กับลูกได้กี่ชั่วโมง แล้วตอนที่อยู่เราพูดอะไรกัน เมื่อก่อนพ่อแม่ดุเราแต่เราก็ยังอยู่กับพ่อแม่

แต่สมัยนี้ดุกันเสร็จต่างคนต่างแยกย้าย ดุเสร็จลูกไปโรงเรียนตั้งแต่เล็กพ่อแม่ไปทำงานพอกลับมาเข้าบ้านความเดิมที่ทะเลาะกันเมื่อเช้าเก็บกดเอาไว้ไม่ได้เคลียร์ลูกก็เก็บไว้ตอนเย็นมาเก็บเข้าไปอีกแล้วก็รีบนอนพรุ่งนี้ก็มีเรื่องใหม่เติมเข้ามาอีก

สิ่งที่สะสมอยู่ในจิตใจของพ่อแม่และจิตใจของลูกมันเป็นลบ ด้วยความเร่งรีบและยุคสมัยที่เปลี่ยนทำให้เวลาที่เราอยู่ด้วยกันน้อยลงและเทคโนโลยีที่เข้ามา เมื่อก่อนพ่อแม่ตีเรา เราเข้าห้องไปเรารอพ่อแม่มาง้อในหัวเราสมองเราคิดถึงพ่อแม่ พ่อแม่ก็อยู่กับเรา ทำไมพ่อแม่ไม่เข้าใจทำไมไม่มาง้อสักที เพราะพ่อแม่อยู่เรารู้ว่าเดี๋ยวพ่อแม่ต้องมา เด็กสมัยนี้โกรธกับพ่อแม่ปิดประตูเข้าห้องไปที่เทคโนโลยีไปที่โซเชียลมีเดียพ่อแม่ไม่ได้อยู่ในหัว

เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่มีทักษะพ่อแม่ที่จะมี Growth Mindset ที่จะรู้จักพัฒนาการลูกแล้วก็ทำใจฝึกตัวเองรู้จักคำว่า ได้ ไม่รู้จักปลอบ ไม่รู้จักสอน ไม่รู้จักชม ในแต่ละวันที่เราอยู่กับลูกเราก็จะไปที่สั่ง ตัดสิน ตีตรา ควบคุม ลูกเมื่อไหร่ เราก็จะเป็นพ่อแม่ที่ไม่อยู่ในหัวลูกทันที

เพราะลูกเขามีที่ระบายอารมณ์ไปกับสิ่งอื่นที่ไม่ใช่เราใครทำให้เขาสบายเขาก็ไปหาแต่อย่าลืมว่าสิ่งที่น่ากลัวคือ ใครละอยู่ในโซเชียลมีเดีย ถ้าเป็นเพื่อนทักษะสังคมมีเหมือนกันไหม ทักษะอารมณ์ก็คงเท่าๆ กันไหม วุฒิภาวะ หรือไม่ใช่เพื่อนเขาแต่เป็นใครไม่รู้ที่มาหวังผลประโยชน์จากลูกเราตอนที่ลูกเราจิตอ่อนนี่คือความน่ากลัว เพราะฉะนั้นทักษะของพ่อแม่ในยุคนี้จึงต้องมีและต้องแกร่งกว่าพ่อแม่ยุคก่อน

 

ติดตามฟังได้ที่รายการรักลูก The Expert Talk 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

รักลูก The Expert Talk EP.14: “เสียงกรน” เรื่องไม่เล็กรีบเช็กก่อนพัฒนาการลูกล่าช้า

รักลูก The Expert Talk EP.14: “เสียงกรน” เรื่องไม่เล็กรีบเช็กก่อนพัฒนาการลูกล่าช้า

หลังเจ้าตัวเล็กหลับแล้ว ชวนเช็กเสียงกรนกันค่ะ เพราะเสียงกรน อาจจะไม่ใช่แค่เสียงในลำคออีกต่อไป แต่เป็นจุดเริ่มต้นของโรคระบบทางเดินหายใจ โรคอ้วน และอีกหลายโรค หากเรารู้เร็วก็จะสามารถแก้ไข ป้องกันได้เร็ว เพราะเรื่องกรนวันนี้ อาจจะส่งผลต่อพัฒนาการที่ไม่ดีในวันข้างหน้า ฟังวิธีการรับมือ และสังเกตลูกนอนกรน โดย พญ.นันทินี สายหยุดทอง กุมารแพทย์ สาขาโรคระบบการหายใจ โรงพยาบาลวิภาวดี

สาเหตุของการนอนกรน

เสียงนอนกรนจริงๆ คือเสียงของการหายใจที่ผ่านทางเดินหายใจที่ตีบแคบเมื่อทางเดินหายใจตีบแคบแล้วอากาศผ่านมา ก็จะทำให้เกิดเสียงกรนได้ เสียงกรนหลักๆ ของเด็กก็จะแบ่งเป็น 2 อย่าง ก็คือ กรนเป็นครั้งคราว กับกรนเป็นประจำอย่างเด็กน่าจะเป็นกรนเป็นครั้งคราว เวลาที่กรนเป็นครั้งคราวก็คือกรนน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือว่ากรนเฉพาะเมื่อมีอาการไม่สบาย ป่วย หรือมีน้ำมูก กลุ่มนี้จะไม่ค่อยอันตรายเท่าไหร่ เพราะว่าเดี๋ยวเมื่ออาการดีขึ้น มลภาวะหายไป อาการป่วยดีขึ้น ก็จะกรนน้อยลง

กลุ่มที่อันตรายจริงๆ เป็นกลุ่มที่กรนต่อเนื่อง กรนตลอดเวลา กลุ่มนี้จะกรนมากกว่า หรือเท่ากับ 3 คืนต่อสัปดาห์ หรือว่ากรนตลอดไม่ว่าจะช่วงสบายดี ช่วงป่วย กลุ่มนี้อาจจะอันตรายได้ ความอันตรายของมันเนื่องจากว่าอาจจะสามารถเกี่ยวข้องกับโรคๆ หนึ่งที่เราเรียกว่า “โรคหยุดหายใจขณะนอนหลับ” หรือว่า OSA (Obstructive Sleep Apnea: OSA

สาเหตุของการนอนกรนอย่างที่บอกว่ามันเป็นเสียงของทางเดินหายใจที่ตีบแคบ ตีบแคบหลักๆ ของเด็กมีอยู่ 2 อย่าง ก็คือ

สาเหตุแรก ตีบแคบจากการที่มีต่อมทอนซิลกับต่อมอะดีนอยด์โต

ต่อมนี้เป็นต่อมที่อยู่ในคอของเรา เมื่อมันโตขึ้นเราก็จะหายใจลำบากขึ้นโดยเฉพาะตอนนอน จะโตได้จากอะไรบ้าง ส่วนใหญ่ก็จะโตจากการที่เราป่วย ไม่สบายบ่อยๆ หรือในบางคนเช่น เด็กที่เป็นภูมิแพ้ กลุ่มนี้ก็จะกระตุ้นให้ต่อมโตได้มาก

สาเหตุที่สอง เด็กที่มีภาวะอ้วนหรือมีน้ำหนักเกิน

กลุ่มนี้ตัวไขมันที่อยู่รอบคอของเขา ก็จะไปกดเบียดทางเดินหายใจเวลานอนหลับเช่นเดียวกัน ส่วนสาเหตุอื่นๆ จริงๆ ก็พบได้น้อย เช่น ในกลุ่มที่มีโรคระบบประสาทควบคุมกล้ามเนื้อผิดปกติ หรือว่ามีรูปร่างหน้าตาโครงสร้างของใบหน้าผิดปกติ เช่น คางสั้น หรือขากรรไกรผิดปกติ กลุ่มนี้ก็จะกรนได้มากกว่าเด็กทั่วไป

สำหรับสาเหตุแรกโดยเฉพาะเด็กในช่วงอายุ 2-5 ปี ต่อมทอนซิลกับต่อมอะดีนอยด์โตจะโตเป็นปกติอยู่แล้ว พอเขาไปโรงเรียนด้วย ป่วย ติดหวัด มันก็จะยิ่งโตเรื้อรัง ส่วนสาเหตุที่ 2 ก็คือ อ้วน น้ำหนักเกิน มาแรงในช่วงนี้ ด้วยลักษณะการกินอาหาร แล้วก็ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายของเด็กๆ เป็นเทรนด์ใหม่ ส่วนใหญ่สมัยก่อนเราก็จะไปวิ่งเล่นออกกำลังกาย

แล้วเมื่อเด็กอายุประมาณ 5-6 ปี ต่อมทอนซิลกับต่อมอะดีนอยด์โตจะเริ่มยุบแล้ว แต่ในบางรายที่ยังโดนกระตุ้นบ่อยๆ เช่น เป็นภูมิแพ้ หรือเป็นหวัดเรื่อรัง ก็สามารถโตไปได้ถึง 7-8 ปี ก็ยังโตได้อยู่ ทีนี้กรนแบบไหนที่อันตราย ก็คือ

1.กรนเรื้อรัง กรนต่อเนื่อง หนึ่งสัปดาห์กรน 4-5 ครั้ง

2.กรนเสียงดังมาก เสียงดังกว่าคุณพ่อ คือเริ่มไม่ปกติแล้ว

3.ขณะกรนมีลักษณะอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น หยุดหายใจ หายใจเฮือก หรือว่าตื่นบ่อยๆ

นอกจากนั้นก็มีบางราย เนื่องจากตื่นบ่อยก็จะมีปัสสาวะรดที่นอนในเด็กที่โตแล้ว เช่น 5 ปีเขาเคยหยุดปัสสาวะรดที่นอนไปแล้ว กลับมาปัสสาวะรดที่นอนใหม่ กลุ่มนี้ก็เป็นเสียงกรนที่อันตราย แสดงว่าถ้าเขากรน มันไม่ใช่เฉพาะแค่เรื่องกรน มันกระทบต่อพัฒนาการด้านใดบ้างคะคุณหมอ

หากกรนแล้วมีอาการเยอะจนมีอาการภาวะหยุดหายใจ ก็จะมีปัญหาว่าช่วงที่เราหยุดหายใจ ออกซิเจนเข้าไปไม่ถึงสมอง ก็จะมีออกซิเจนตกระหว่างนอนหลับได้ พัฒนาการจะมีปัญหาทั้งทางร่างกาย แล้วก็ทางจิตใจ ทางร่างกายอย่างที่ทราบกันว่าโกรทฮอร์โมนของเราจะหลั่งตอนกลางคืน ตอนที่เรานอนหลับ พอนอนหลับไม่สนิท หลับๆ ตื่นๆ โกรทฮอร์โมนหลั่งไม่เต็มที่

เด็กก็จะมีปัญหาตัวเล็ก น้ำหนักน้อย หรือว่าตัวเล็ก ตัวเตี้ย ส่วนทางจิตใจนึกภาพเหมือนผู้ใหญ่นอนหลับไม่สนิท ไม่ได้นอน นอนไม่พอ ตื่นมาตอนเช้าบางคนง่วง หลับกลางวัน หลับที่โรงเรียนตลอด หรือบางคนหงุดหงิด ก้าวร้าว สมาธิสั้น บางคนคิดว่าลูกสมาธิสั้น จริงๆแล้วปัญหาของเขาคือ เขานอนไม่พอ

ดูแลรักษาโรคนอนกรน

การรักษา ต้องเริ่มจากการหาสาเหตุว่าการกรนของเด็กมีอันตรายหรือเปล่า สาเหตุก็อย่างที่กล่าวไป เวลาที่มาพบหมอ หมอก็จะเริ่มจากการซักประวัติ แล้วก็ตรวจร่างกายดูว่าการกรนของเขาสัมพันธ์แค่ไหน เป็นเยอะแค่ไหน ตรวจร่างกายก็อาจจะดูลักษณะอื่นๆ ลักษณะขากรรไกร ระบบประสาท ดูว่ามีลักษณะของภูมิแพ้หรือเปล่า แล้วก็อ้าปากดูต่อมทอนซิล ส่วนต่อมอะดีนอยด์จะอ้าปากไม่เห็น เราจะต้องทำการเอกซเรย์ดูต่อมทอนซิลและต่อมอะดีนอยด์ เพื่อหาสาเหตุ

จากนั้นก็อาจจะมีการทำการทดสอบอื่นๆ นอกจากการเอกซเรย์ เช่น ถ้าเกิดลูกมีอาการเหมือนภูมิแพ้ ก็อาจจะมีการทดสอบเรื่องภูมิแพ้ดูว่าแพ้อะไรบ้าง และอีกวิธีคือทดสอบการนอนหลับ โดยหลักๆ จะมี 2 ชนิดด้วยกัน คือ

1.การติดออกซิเจนระหว่างที่เขานอนตอนกลางคืน

2.การตรวจแบบ Polysomnogram สามารถตรวจได้หลายๆ ค่าในเวลาเดียวกัน ตรวจทั้งคลื่นสมอง คลื่นไฟฟ้าหัวใจ ค่าออกซิเจน ดูทั้งลมที่ออกมาจากจมูกตอนที่นอน

การทดสอบประเภทนี้ค่อนข้างแน่นอน แล้วก็ตรวจได้ชัดเจนกว่าประเภทแรก แบ่งการนอนกรนออกเป็นตามความรุนแรงของการหยุดหายใจ เป็นน้อย ปานกลาง มาก ถ้าอาการน้อยๆ เราอาจจะเริ่มจากการใช้ยาก่อน ทั้งแบบยากินและยาพ่นจมูก แล้วก็ติดตามอาการไป 2-4 อาทิตย์ แต่ถ้าไม่ตอบสนอง หรือว่าตรวจแล้วมีอาการค่อนข้างเยอะ เป็นรุนแรง ถ้าต่อมทอนซิลโตเราก็จะแนะนำให้ตัดต่อมทอนซิลและต่อมอะดีนอยด์

ซึ่งเวลาที่ตัดไม่ได้ตัดหมดเลย ก็จะเหลือเซลล์ไว้บ้าง เอาไว้สร้างสาร จริงๆ แล้วเวลาตัดก็จะเป็นคุณหมอหู คอ จมูก ตัดไม่มีแผลนะคะ เป็นอ้าปาก แล้วก็ใช้อุปกรณ์เข้าไปตัดข้างในปาก หลังตัดก็จะเจ็บอยู่ประมาณอาทิตย์นึง ตัดแล้วพบว่าประมาณ 80% จะหายจากอาการนอนกรน แต่มันสามารถโตขึ้นมาได้ใหม่ หากยังควบคุมเรื่องภูมิแพ้ หรือว่ายังควบคุมเรื่องเป็นหวัดบ่อยๆ ไม่ได้

Sleep Test ทดสอบการนอน

Sleep Test ของโรงพยาบาลวิภาวดีใช้แบบ Polysomnogram ผลที่ได้ค่อนข้างชัดเจน แล้วสามารถแบ่งความรุนแรงของโรคได้แน่นอน ทดสอบเหมือนผู้ใหญ่ เวลาทดสอบหมอจะนัดมา 1 คืน จองห้องให้ เวลานัดมาอาจจะมาเย็นๆ จากนั้นจะมีเจ้าหน้าที่มาติดอุปกรณ์ต่างๆ ตามร่างกายไม่ว่าจะเป็นที่หน้าผาก จมูก หน้าอก ที่นิ้วเพื่อวัดค่าออกซิเจน แต่ทั้งหมดจะไม่มีการเจาะเลือด หรือไม่มีความเจ็บปวดอะไร หลังจากนั้นก็จะให้นอนธรรมดาเลยค่ะ นอนพักในห้องที่มืด แล้วก็ไม่มีเสียงรบกวน นอนอยู่กับผู้ปกครอง

ตื่นมาตอนเช้าเจ้าหน้าที่ก็มาเก็บอุปกรณ์ออก แล้วก็กลับบ้านไปใช้ชีวิตได้ปกติเลย ผลจะออกหลังจากทำเทสต์ 1 อาทิตย์ คุณหมอก็จะนัดมาฟังผลอีกที ซึ่งก็จะรักษาไปตามสาเหตุที่เกิดขึ้น

รักษานอนกรนของผู้ใหญ่

สำหรับผู้ใหญ่ฃวสาเหตุจะต่างจากเด็กตรงที่ไม่มีสาเหตุจากต่อมทอนซิลกับต่อมอะดีนอยด์โต เพราะว่าต่อมจะยุบไปแล้ว เกิดจากกล้ามเนื้อที่คอค่อนข้างหย่อนไปตามอายุ มันก็เลยเป็นสาเหตุว่า เราไม่ค่อยได้ตัดต่อมในผู้ใหญ่ ถ้าผู้ใหญ่เป็นเยอะจริงๆ จะมีการใส่เครื่องเครื่องนึงที่เรียกว่า CPAP เป็นการอัดลมเข้าไปในจมูกในช่วงที่เรานอนหลับ คิดภาพเหมือนหลอดที่มันตีบ แล้วเราอัดลมเข้าไปเพื่อเปิดหลอดให้มันเปิดช่วงนอนหลับ ก็จะทำให้ทางเดินหายใจเราเปิดช่วงนอนหลับ เครื่องนี้ก็ใช่แค่ช่วงนอน ไม่เจ็บอะไร มีแค่หน้ากากมาครอบที่จมูกนิดนึง

ดูแลช่วงสภาวะฝุ่น PM2.5 ช่วงที่ ฝุ่นเยอะและอากาศเริ่มเปลี่ยนทำให้เด็กป่วยบ่อย นอกจากเรื่องการเป็นหวัด นอนกรน ก็มีเรื่องหอบหืดที่ต้องระวัง หอบหืดบางทีเราคิดว่าจะโดนกระตุ้นโดยการป่วยหรือหลอดลมอักเสบจากเชื้อโรค แต่บางครั้งแค่เจออากาศเปลี่ยน หรือเจอฝุ่นเยอะๆ หอบก็กำเริบขึ้นมาได้

กลุ่มนี้ต้องระวังเพราะบางทีคิดว่าลูกเราเป็นหลอดลมอักเสบ แต่ทำไมเป็นบ่อยมากเลย คือต้องพ่นยาเกิน 3 ครั้ง ในแต่ละเดือน ถ้าเป็นแบบนี้ต้องหาสาเหตุของโรคเพิ่มขึ้นว่ามาจากปัญหาเรื่องหอบ หรือหลอดลมไว

นอนกรนกระทบพัฒนาการ

นอกจากเรื่องภาวะทางร่างกายที่เราบอกว่าเจริญเติบโตไม่ดี ตัวเล็ก ทางจิตใจทำให้เป็นเด็กที่หงุดหงิดง่าย ก้าวร้าว นอกจากนี้มีการศึกษาว่าส่งผลต่อ IQ ของเด็กด้วยในกรณีที่เป็นระยะยาวแล้วเรานอนหลับไม่เพียงพอ IQ เขาอาจจะไปไม่ถึงเท่าที่เขาควรจะเป็น แล้วถ้าเด็กนอนกรนไปนานๆ ก็อาจจะเกิดภาวะความดันสูงในเด็ก หรือว่าหลอดเลือดในปอดมีความดันสูง บางรายถึงขั้นหัวใจวายได้เลยถ้าไม่ได้รับการรักษา

รวมไปถึงคุณภาพชีวิตของเด็ก คิดภาพว่าเรานอนไม่พอทุกวันคุณภาพชีวิตก็จะไม่ดีหรือว่าการเรียนเขาก็จะไม่ดี อย่างอื่นก็จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับระบบหายใจ เด็กที่ป่วยบ่อยๆ ทอนซิลโตก็จะยิ่งป่วยบ่อยเข้าไปอีก ทอนซิลที่โตแล้วก็จะยิ่งอักเสบเข้าไปอีก มันคือวนลูปพออักเสบบ่อยก็จะยิ่งโต

ดูแลสุขภาพห่างไกลนอนกรน

ดูแลรักษาตัวเองให้แข็งแรง พยายามลดการเจอเชื้อต่างๆ กินอาหารครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงสถานที่ชุมชน หรือที่ที่มีฝุ่นมลภาวะ ส่วนใหญ่หมอจะแนะนำให้ดูค่า PM2.5 ในแอพมือถือ ถ้าเกิดว่าช่วงไหนมันสูง ขึ้นสีแดง สีม่วง พยายามหลีกเลี่ยงการออกไปกลางแจ้ง อยู่ในบ้านก่อนแล้วก็เปิดเครื่องฟอกอากาศ นอกจากนั้นถ้าเกิดเรารู้ว่าลูกเราเป็นภูมิแพ้ แพ้อะไรบ้าง แพ้ฝุ่น แพ้หมา แพ้แมว ก็พยายามหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้

นอกจากนั้นที่สำคัญเลยก็คือพยายามรักษาน้ำหนักเราให้อยู่ในเกณฑ์ปกตินะคะ ผอมไป อ้วนไป ส่วผลต่อภูมิคุ้มกันทั้งหมด

 

ติดตามฟังได้ที่รายการรักลูก The Expert Talk 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

รักลูก The Expert Talk EP.15: ชวนพ่อแม่ “รู้” และ “เท่าทัน” สื่อ

รักลูก The Expert Talk EP.15: ชวนพ่อแม่ “รู้” และ “เท่าทัน” สื่อ

หลายบ้านมีกฎกับการใช้จอทุกประเภทแบบที่ทำได้ดีมาตลอด แต่...ทุกอย่างพังลงเมื่อลูกต้องเรียนออนไลน์ ความมั่นใจที่เคยคิดว่าเรารู้จักและใช้สื่อของลูกเป็นอย่างดีนั้น พอมาเจอภาคปฏิบัติ ตกม้าตายไปตามๆ กัน รักลูกThe Expert จึงชวนอาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ นักวิชาการด้านสื่อ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล มาพูดคุยกัน เพื่อให้เรารู้เทคนิค วิธีการที่จะรับมือกับทั้งสื่อ จอ และ Content หลากหลายรูปแบบ เพื่อให้เราผ่านช่วงเวลานี้ไปด้วยกันค่ะ

 

สื่อคืออะไร

ถ้านิยามคำว่าสื่อนึกถึงแต่ก่อนย้อนไปสัก 40 ปีที่เรายังไม่มี Facebook สื่อก็คงเป็น เรานึกถึงสื่อประเภทวิทยุ ละคร ลิเก ลำตัด หนังตะลุง อันนั้นเรียกว่าสื่อชุมชน แต่ถ้าเป็นเด็กปฐมวัยเราไม่ได้พาลูกไปดูละคร ไปดูโรงลิเก ไปดูโขนแต่แรกเราก็คงให้อยู่กับพ่อแก่แม่เฒ่า ปูย่า ตายาย

เพราะฉะนั้นเวลาเราบอกว่าอะไรเป็นสื่อ หรือไม่เป็นสื่อ สื่อก็คืออะไรก็ตามที่สื่อสารความหมายข้อความได้ เพราะฉะนั้นบุคคลก็เป็นสื่อถ้าเราโฟกัสไปที่เด็กปฐมวัยตั้งแต่ตั้งครรภ์มารดาจนออกมาเป็นทารกเตาะแตะ แล้วก็เป็นเด็กวัยปีนป่าย แล้วก็วัย Pre School เข้าอนุบาล 0-6 ขวบ หรือจริงๆ ก่อนเกิดตั้งแต่ติดลบ 9 เดือน ตั้งแต่ตั้งครรภ์ อันนี้คือช่วงปฐมวัย

สื่อที่ดีที่สุดก็คือถ้าคุณแม่ฟังเพลงอะไรก็ตามเปิดเพลงที่ทำให้บรรยากาศดีอันนี้ก็เป็นสื่อเด็กๆ ก็ได้ยิน คุณแม่พูดผ่านสายรกลูบคลำ นั่นก็สื่อประเภทหนึ่ง คุณแม่อารมณ์ดีพูดคุยกับคุณพ่อ คุณพ่อดูแลดีอารมณ์ดี กินอาหารดีก็เป็นสื่อเหมือนกัน

สื่อไม่จะเป็นต้องเป็นโทรศัพท์มือถือ สื่อไม่จำเป็นว่าต้องเปิดทีวีหรือเปล่า หรือเปิดการ์ตูนหรือเปล่า สมุดภาพ นิทาน น้ำตก บ่อทราย ชายหาด กิ่งไม้ ก้อนหิน ปีนป่าย เสียงผึ้ง แสงแดด ทุกอย่างเป็นสื่อได้หมด อย่างเช่น เวลาที่เราพาลูกออกไปสนามสีเขียวเด็กก็จะรู้สึกผ่อนคลาย หรือเรานึกถึงผู้ป่วยที่โคม่านอนติดเตียงแล้วก็รู้สึกว่าอยากจะกลับบ้านถ้าเขามองออกไปเห็นนอกหน้าต่างเขารู้สึกว่าผ่อนคลายลง เสียงนกร้อง สายลม แสงแดดก็เป็นสื่อ

ฉะนั้นลองคิดดูว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้สำหรับเด็กปฐมวัยมีค่าและความหมายมากขนาดไหน แต่ด้วยสถานการณ์โควิดทำให้อยู่กับบ้าน กักตัว ไม่ออกไปไหน Stay at Home / Work from Home / Social Distancing หรือ Lockdown ลองคิดดูเราอยู่ในบ้าน ผมจะคิดว่าในบ้านจริงๆ มีสื่อเยอะแต่สำหรับเด็กปฐมวัยสื่อที่สำคัญหรือบุคคลที่มีความสำคัญมากที่สุด คือ พ่อแม่ หรือผู้เลี้ยงดูอาจจะเป็นลุง ป้า น้า อา ปู่ ย่า ตา ยายก็แล้วแต่หรือพี่เลี้ยงที่เรามี

เพราะฉะนั้นเด็กปฐมวัยไม่จำเป็นต้องใช้ดิจิทัลมีเดียเลย สื่อที่เป็นวิทยุ ทีวี เพลงถ้าคุณพ่อคุณแม่ชวนร้องเพลงหรือว่าชวนอ่านนิทาน หรือเล่นสิ่งของต่างๆ ตุ๊กตา เด็กโตขึ้นมาหน่อยเล่นดินน้ำมัน วาดรูประบายสี ทุกอย่างเป็นสื่อได้ขึ้นอยู่กับว่าเจตนาเราจะใช้สิ่งนั้นเพื่อสื่อสารอะไรไปยังลูก แม้กระทั่งเด็กเล็กการโอบกอด Human Touch สัมผัส โอบกอดเอาหน้าลูกเข้ามาแนบอกเราเสียงหัวใจ ลูกสาวผมจะชอบนอนบนหน้าอกทุกคืนตอน 2 ขวบ เขาจะเอาหูแนบก็จะได้ยิน ตึ๊บตึ๊บ ตึ๊บตึ๊บ

ในช่วงขวบถึงขวบครึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเด็กทารกคือ Trust หรือว่าความไว้วางใจต่อโลกใบนี้ พอเขาเริ่มเตาะแตะขาได้ประมาณขวบครึ่งถึง 3 ขวบ เขาจะรู้สึก Autonomy ก็คืออยากทำนู้นทำนี่ได้เอง เพราะฉะนั้นจาน ชาม ช้อน หยิบส้มแล้วก็โยนลงพื้น หยิบลูกปิงปอง ลูกบอลแล้วก็ขว้างปา พวกนี้เป็นสื่อเพราะเขากำลังเรียนรู้บางอย่าง

สื่อไม่ใช่แค่เทคโนโลยี

คุณพ่อคุณแม่ต้องปรับความคิดความเข้าใจใหม่สื่อก็เป็นอะไรได้ทั้งหมดในบ้านตั้งแต่จาน ชาม ช้อน ซ้อม ลูกปิงปอง ตุ๊กตา ต้นไม้ ใบหญ้า เสียงสุนัข เสียงรถวิ่งข้างบ้าน ทุกอย่างเป็นสื่อได้หมดเลย แต่สื่อที่ดีที่สุดคือพ่อแม่

สเต็ปแรกเราต้องทำความใจว่าสื่อไม่ใช่แค่ทีวี คลิปวิดีโอ หรืออะไรต่างๆ ที่นี้เรามาสโคปเข้ามาในความใกล้ชิดของเรานิดหนึ่ง บางทีเราก็อยากใช้สื่อเหล่านั้นแต่บางทีเราที่เป็นพ่อแม่นี่ละไปยื่นโทรศัพท์ I-pad เราไปใช้สื่อที่เป็นเทคโนโลยีให้ลูกแทน อะไรเหล่านี้มองว่าเราทำไมพ่อแม่ต้องคิดว่าเราควรจะใช้สื่อที่ไม่ใช่เทคโนโลยีหรือที่เป็นไฟฟ้ามันมีอันตรายหรือความเสี่ยงอะไรถ้าลูกเราเสพติดในสื่อที่เป็นในส่วนของเทคโนโลยีมากเกินไป

เด็กปฐมวัยยังชอบสื่อที่ไม่ได้ใส่วงจรอัลกอริทึมไฟฟ้าอิเลคโทรนิค สื่อพวกนั้นเกิดจากกระบวนการ Production คือ มีโปรดิวเซอร์ มีแอนนิเมเตอร์วาดการ์ตูน มีคนใส่เสียง มีคนตัดต่อ มีคนทำกราฟฟิกอะไรเยอะแยะมากมาย สื่อพวกนั้นเป็นสื่อที่มนุษย์ประกอบสร้างขึ้นมาผ่านงานโปรดักชั่นเขาก็จะมีเจตนาที่จะทำให้ สมมติว่าเป็นเกมส์ เป็นการ์ตูนมีคลิปคอนเทนต์ ยูทุปเบอร์ สื่อพวกนั้นมีเจตนาหลายอย่างที่มันสลับซับซ้อนจังหวะการเล่าเรื่อง การหวังยอดวิวโฆษณา ดราม่า มีเจตนาแฝง เจตนาเหล่านั้นเป็นเจตนาประกอบสร้าง

แต่ผู้ผลิตตุ๊กตาขึ้นมาตัวหนึ่งเพื่อวางขายแล้วลูกก็บอกว่าอยากได้ตุ๊กตา หรือแม่ซื้อตุ๊กตาให้ลูก ตุ๊กตาเหล่านั้นไม่มีเจตนาอะไรอีก ตุ๊กตาไม่รู้ตัวเองว่าเป็นตุ๊กตามันไม่มีเจตนาของผู้สร้างอีกต่อไป มันก็คือตุ๊กตาผ้ายัดนุ่นยัดเส้นใยอะไรที่ดูนุ่มๆ ดูน่ารัก สมุดภาพเจตนาของผู้สร้างก็เป็นแบบนี้ แต่ผู้สร้างนิทานไม่สามารถไปคอนโทรลอย่างอื่นได้อีก ไม่บอกว่าต้องอ่านกี่โมง ต้องอ่านหน้านี้ก่อน ผู้สร้างแค่วาดภาพ หรือตัวต่อจิ๊กซอว์ บล็อกไม้ ก็คือซื้อไปต่อ

สื่อร้อน สื่อเย็น

ฉะนั้นดิจิทัลเป็นสื่อที่มีลักษณะที่ร้อนหมายถึงว่าค่อนข้างที่จะเปิดปุ๊บติดปั๊บตัวมันร้อนได้เอง ได้ที่แล้วมันก็ร้อนเองกดเพลย์ เสียบปลั๊กปุ๊บมันก็ไหลไปเลย 5 นาที 10 นาที 20 นาที 2 ชั่วโมง แต่ว่ากลอง เปียโน มันวางอยู่เฉยๆ ตัวมันเย็นมันไม่มีปลั๊กให้เสียบ มันไม่มีวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ไม่มีอัลกอริทึม ไม่มีกดเพลย์ กลองเด็กก็ต้องตีถ้าหยุดตีคือเสียงไม่ดัง ดินน้ำมันวางอยู่เฉยๆ ถ้าไม่ปั้นมันก็อยู่ฟอร์มเดิม สมุดนิทานเล่มเล็กๆ 12 หน้า 8 หน้า ไม่เปิดอ่าน ถ้าง่วงนอนอ่านได้ไหม ไม่ได้ ฉะนั้นสื่อพวกนี้เราเรียกว่าสื่อเย็น

เด็กปฐมวัยการใช้สื่อเย็นสำคัญมากเพราะว่าหลังจากที่เขาประมาณ 3 ขวบที่เขามี Autonomy ก็คือทำเอง Autonomy คือความรู้สึกเอกอิสระอยากจะทำนู้นทำนี่ แม่ไม่เอาหนูอยากทำเอง แม่บอกอย่าลูกเดี๋ยวเกิดความเสียหาย ไม่ได้ครับปล่อยไป สื่อพวกนี้ ตุ๊กตาไม่เล่นกับเขาแต่เขาเล่นกับตุ๊กตาเด็กจะได้ใช้จินตนาการขึ้นเองไม่มีใครบอกบท ไม่มีสคริปต์ ไม่มีตัดต่อ ไม่มีใครบอกแอคชั่น เล่นยังไง คือเด็กจะเป็นโปรดิวเซอร์ของการเล่น เด็กเป็นผู้รังสรรค์การเล่นนั้นด้วยตัวเองซึ่งจะดีกับการพัฒนาเซลล์สมองเครือข่ายเส้นใยประสาทจะเชื่อมต่อเซลล์นี้กับเซลล์นี้เด็กต้องคิดริเริ่มขึ้นเองในการเล่น

ถ้าเราหยิบยื่นสื่อที่เป็นสื่ออิเล็กทรอนิกส์หรือเปิดการ์ตูนหนังยาว หรือเปิดคลิปเปิดซีรีย์หรือแม้กระทั่งการเปิดเสียงทีวีที่บ้านทิ้งไว้ เพราะเดี๋ยวนี้โควิดต้องรับข้อมูลข่าวสารเยอะๆ ยอดผู้ติดเชื้อวันนี้เป็นอย่างไร วัคซีนมาแล้วหรือยัง ยอดผู้หายป่วย กลับบ้านเท่าไหร่ เรามนุษย์แม่มนุษย์พ่อ มนุษย์ลุง ป้า น้า อา ในบ้าน ซึ่งไม่ดีลองคิดดูว่าเวลาที่เด็กไปโรงเรียนอนุบาลหรือศูนย์เด็กเล็กหรือ Pre-School โรงเรียนจะเงียบแต่ที่บ้านจะ โช้ง เช้ง ล้งเล้ง ตลอดเวลา เดี๋ยวคนนู้นเดี๋ยวคนนี้เข้า เปิดข่าวเปิดทีวีตลอด พ่อแม่ Work from Home ประชุมออนไลน์

คิดดูสิว่า Noise ตลอดเวลา เหล่านี้เป็นตัวทำลายภาวะความสงบ เด็กจะไม่ได้ยินเสียงตัวเองเด็กจะรู้สึกว่าไม่ได้ยินเสียงที่อยู่ในสมองไม่ได้ยินเสียงของความต้องการของเขาเพราะว่าข้างนอกมันดังไปหมด เพราะฉะนั้นลักษณะของดิจิทัลก็คือว่ามันนำพาเราแต่ถ้าเด็กเล่นของเล่นที่ไม่ได้ใส่ถ่านไม่ได้มีวงจรอิเล็กทรอนิกส์ไม่ได้มีประจุไฟฟ้าเปิดปิดแบตเตอร์รี่พาวเวอร์

ตัวพาวเวอร์ที่แท้จริงคือตัวเด็กที่จะต้องนำพาสมาธิเหล่านี้เขาเรียกว่าเป็น Active concentration คือเด็กมีสมาธิเชิงรุก เพราะเด็กต้องไม่ง่วงเหงาหาวนอน เด็กต้องนั่งแบบกระตือรือร้น เด็กต้อง Move forward ก็คือ เขาเรียกว่าไม่นั่งพิงเก้าอี้ คือถ้าดูทีวีก็จะนั่งพิงเก้าอี้ นอนบนโซฟา เอื่อยเปื่อยเรื่อยแฉะ แล้วก็ Sedentary คือมีพฤติกรรมนั่งเนื่อยนิ่ง

สื่อเย็นดีกับพัฒนาการ

แต่ถ้าเด็กใช้สื่อเย็น เช่น สนามเด็กเล่น เครื่องปีนป่าย ขี่จักรยาน ตัวต่อเลโก้ บล็อกไม้ ดินน้ำมัน บ่อทราย สระน้ำ อะไรแบบนี้เด็กต้อง Energy เด็กใช้สื่อเย็นแต่ตัวเด็กจะร้อนต้องเคลื่อนไหว ต้องมี Movement มันดีสำหรับเด็กเพราะว่าเขาได้ฝึกกำลังกายกล้ามเนื้อ Autonomy ของเขาจะชัด Autonomy ก็คือมี Will ความตั้งใจจะทำแต่พอเปิดสื่อดิจิทัล Will มันไม่มี เพราะมันเข้าสู่การนั่งเนื่อยนิ่งไม่มีเจตนาที่จะทำอะไร แต่ถ้าเดี๋ยววาดรูป เดี๋ยวไปเล่นตัวต่อ เดี๋ยวไปเล่นของเล่นไม้ เดี๋ยวไปเล่นไซโลโฟน เด็กจะมี Will มีเจตนาที่จะทำ จะออกตลอดเวลา นั่นคือการตอบสนองตามลักษณะพัฒนาการแล้ว

พอเข้าสู่ช่วงวัย 4-6 ขวบ ก็จะลักษณะ Stage ที่ 3 ก็คือความคิดริเริ่มเพราะฉะนั้นคุณดอยลองคิด เรามีลูกสาววัยใกล้เคียงกัน ลูกสาวผมเป็น ช่วงโควิด คุณพ่ออยู่บ้านแล้วไม่มีอะไรทำ มันเบื่อ พ่อแม่ก็พยายามหานู้นนี่ให้ทำ กะละมัง หม้อ ไห ขวดน้ำ เอามาเล่นหมดแล้วทุกอย่าง ของเล่นที่ซื้อมาก็ให้เล่น ของที่ไม่ให้เล่นก็ให้เล่นหรือนอกบ้านถ้าใครมีพื้นที่ก็พยายามที่จะให้พื้นที่

เช่น เตะฟุตบอล ขี่จักรยาน ขุดดิน ขุดทราย นึกๆ เบื่อเขาก็ถามว่าสมัยเด็กๆ พ่อเล่นอะไร ผมก็บอก พ่อก็เล่นแบบนี้ละเห็นต้นไม้ก็ปีน ต้นฝรั่ง ต้นชมพู ต้นมะม่วง พ่อก็ปีนอยู่ทั้งวันละ เพราะฉะนั้นเราคิดว่าธรรมชาติก็คือสื่อ ท่านใดที่บ้านมีพื้นที่ ที่บ้านสามารถเข้าถึงพื้นที่อากาศได้ เหล่านี้คือสื่อทั้งหมด แล้วถ้าเราโฟกัสอยู่ที่สื่อปฐมวัย เด็กปฐมวัยไม่จำเป็นเลยที่ต้องใช้สื่อดิจิทัล

รับมือเท่าทันสื่อ

ผมว่า 8 ใน 10 ของพ่อแม่ส่วนมากเป็นเหมือนคุณดอย บางครั้งผมก็หลุดขนาดเราว่าเราแม่นบางครั้งเราก็หลุดอยากจะใช้สื่อซึ่งจริงๆ ผลดีผลเสียมันมี การดูการ์ตูนการเล่นเกมหรือได้ดูหนังเรื่องยาวดูคลิปดูเพลงมิวสิควีดิโออะไรแบบนี้ พอเรายกมันไปเป็นสถานะของรางวัล เด็กก็จะรู้สึกว่าระบายสีน่าเบื่อ นั่งเรียนออนไลน์น่าเบื่อ ล้างจานน่าเบื่อ รดน้ำต้นไม้น่าเบื่อ ถ้าทำสิ่งนี้ สิ่งนี้เพ่อบอกถ้าทำเสร็จเดี๋ยวจะได้ดูการ์ตูนเด็กจะยก 2 กิจกรรมนี้ให้คุณค่าไม่เท่ากันก็จะกดคุณค่าของงานบ้าน

กิจวัตรประจำวัน ระบายสี ปั้นดินน้ำมัน กินข้าว น่าเบื่อแต่ว่าถ้าได้ดูการ์ตูนก็จะดีขึ้น เขาก็จะมองว่าสิ่งนี้มี Value หรือมีคุณค่ามากกว่าดีกว่า เพราะว่าตั้งเงื่อนไข Before and After แต่ถ้าเราพูดใหม่ว่า การ์ตูนก็ดูได้ แต่วันหนึ่งจะดูได้หลังจากที่ทำเรื่องอื่นเสร็จแล้ว และการ์ตูนก็ไม่ใช่กิจกรรมที่ดีกว่าอย่างอื่น

บางทีผมก็เปลี่ยนแปลงคือวันนี้ถ้าเราทำนู้นทำนี่เสร็จ เรากินข้าวเร็วนะ วันนี้พ่อจะอ่านการ์ตูนนิทานให้ฟัง ผมก็ต้องยกเปรียบเทียบว่ามีกิจกรรมอย่างอื่นที่อยู่ในสถานภาพที่เป็นรางวัลเหมือนกัน เช่น วันนี้จะอ่านนิทานให้เป็นพิเศษคนละ 3 เรื่อง เด็กก็จะดีใจไปหยิบนิทานมาถือ 3 เรื่อง เขาก็จะหยิบเรื่องที่เขาอยากอ่าน

กฎที่คุณพ่อคุณแม่ท่องไว้ก็คือว่า

1.ดิจิทัล Content หรือการ์ตูนจะต้องไม่ถูกยกสถาปนาเป็นรางวัล

มันต้องปฏิบัติเสมือนเป็นเรื่องปกติเหมือนกิจกรรมอื่นๆ จะต้องไม่ตั้งมาเป็นเงื่อนไข

2.พัฒนาการของเด็กที่เรามุ่งเน้นที่จะพัฒนาคือว่ามันไม่มีคำว่าพัฒนาการเร็วไป

พัฒนาการเร็วไปไม่ได้ว่าดี พัฒนาการล่าช้ามีปัญหา พัฒนาการที่ดีคือพัฒนาการสมวัย และในช่วงเด็กปฐมวัยสิ่งสำคัญคือ เล่นและกิจวัตรประจำวันไม่มีการเร่งเรียนรู้ ไม่มีเร่งเรื่องวิชาการ

สมมติถ้าเขาไม่ได้เล่นหมดชั่วโมงของการเล่นแล้ว 45 นาทีนี้ 30 นาทีนี้ คุณแม่ WFH คุณพ่อคุณแม่ควร WFH ประชุมหรือทำงานทีละประมาณ 45 นาทีก็พอพยายามลุกขึ้นมาดูลูกไม่ใช่ว่าแม่ WFH 9.00-12.00 น. ไม่ได้นะ คุณแม่ WFH คุณพ่อแยกกันคนละห้องแล้วลูกอยู่อย่างไร ลูกต้องการเวลาและการสนใจจากเรา เพราะฉะนั้นจัดสมดุลเวลาหน่อย บอกในที่ประชุมเราประชุมกันสั้นดีไหม 45 นาที

เพราะว่าเราไม่ได้เป็นคนทำงานอย่างเดียวนะ เราเป็นมนุษย์พ่อมนุษย์แม่ เรามี 2 บทบาท อย่าง 11.30 น. ผมต้องลงไปเตรียมอาหารแล้วนะ พอเที่ยงภรรยาผม WFH ก็คือกล่อมนอนเราก็ต้องสลับบทบาทกัน นโยบาย WFH ต้องมาด้วยนโยบายที่มีความเป็นมนุษย์ เช่น WFH with humanity เราก็ต้องคำนึงถึงว่าบางคนต้องดูแลพ่อแก่ แม่เฒ่าเป็นผู้ป่วยติดเตียง เราอยู่ในสังคมสูงวัย เราจะมานั่งทำงาน 9.00 – 12.00 น. เป็นไปไม่ได้ 11.30 น. เราก็ต้องไปเตรียมหุงหาอาหารแล้วมื้อเที่ยงจะกินอะไร อาบน้ำตอนเที่ยงกล่อมเข้านอน นอนตอนที่ยงก็สำคัญ WFH ไม่ได้หมายความว่า 9.00-12.00 น. หรือ 13.00-17.00 น. มันเป็นไปไม่ได้ ไม่ได้แค่ดูแลลูก ดูแลตัวเราเองก็ด้วย เพราะฉะนั้นสรุปคือ

เทคโนโลยีใช้ได้แต่ต้อง...

1.อย่าให้มันเป็นรางวัล

2.อย่าให้มันเป็นเงื่อนไข

3.อย่าให้รู้สึกว่ามีความจำเป็นต้องใช้

เช่น เร่งเท่าทันคนอื่น ให้ทันสมัยเดี๋ยวลูกจะคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง บอกเลยว่าไม่จำเป็นพัฒนาการ 0-6ปี ไม่จำเป็นต้องใส่เทคโนโลยีเข้าไปในเด็กก็ยังได้ ไม่ต้องใช้เลยก็ได้ เพราะว่าความลับของทุกๆ เทคโนโลยีคือถูกออกแบบมาให้ใช้ง่าย ใช้วันนี้พรุ่งนี้เป็น

การที่ลูกจิ้ม I-Pad กดปุ่มคอมพิวเตอร์ ไม่ใช่สาระสำคัญ ไม่ใช่ Skill ไม่ใช่ทั้ง Hard Skill / Soft Skill เลยในเด็กปฐมวัย เด็กปฐมวัยไม่มี Indicator ตัวบ่งชี้เหล่านี้เลย จนกว่าเขาจะไปเรียนชั้นประถมศึกษา คอมพิวเตอร์เปิดอย่างนี้ รู้จัก Digital literacy แต่ถ้าไปโฟกัสเด็กปฐมวัยทิ้งมันไปเพิกเฉยไปเลย หนังสือ สมุดภาพ ผนังบ้าน ประตู ห้องนอน เขียนรูป ทุกอย่างต้องเล่นได้

เทคโนโลยีถูกออกแบบมาเพื่อให้ User อย่างเราๆ ใช้ง่ายที่สุดไม่มีเทคโนโลยีไหนออกแบบมาแล้วมีคัมภีย์ 300 หน้า แล้วคุณต้องไปอ่าน 30 ชั่วโมงก่อนถึงจะมาใช้อุปกรณ์นี้ได้ ลองนึกถึงเราซื้อโทรศัพท์มือถือ ซื้อคอมพิวเตอร์มามีคู่มือมาคุณดอยเคยอ่านก่อนไหม ต้องอ่านจบให้เรียบร้อยแล้วค่อยเอามือถือมาชาร์จไหม ลักษณะของเทคโนโลยีออกแบบมาตาม User Friendly คือ ออกแบบให้เป็นมิตรกับผู้ใช้ เพราะฉะนั้นเด็กๆ จำเป็นต้องเขียนอัลกอริทึ่มในสมองตัวเองก่อนก็คือ หยิบนี่ โยนนู้น ปีนป่าย ดึงตัวเองขึ้นแล้วก็ Falling ลงมาแรงโน้มถ่วง แรงโยก แรงเหวี่ยง แรงหมุน แรงดึง แรงลม พวกนี้ต้องรู้จักก่อน

การเล่นกับแรงทำไมความลับของสนามเด็กเล่นคือการให้เด็กรู้จักแรงของตัวเองเพราะเด็กปีนป่ายแล้วจะเกิดความคิดเชื่อมั่นตรงที่ว่าเขามี Autonomy ได้ในการปีนป่าย เพราะฉะนั้นสนามเด็กเล่นตอนนี้ไม่มี คุณพ่อคุณแม่ทำชั้นขวนเสื้อผ้าราวตากผ้าต้องปีนได้ โหนบาร์ โหนประตู ปีนตู้หนังสือ เปลี่ยนบ้านเป็นสนามเด็กเล่น เพราะไปสนามเด็กเล่นไม่ได้ช่วงนี้ปิดหมดเลย

เพราะฉะนั้นเทคโนโลยีถูกออกแบบมาแล้วโดยมนุษย์ แต่สนามเด็กเล่นธรรมชาติมันยังไม่ได้ถูกออกแบบมาเด็กจะต้องออกแบบการเล่นเอง นี่คือความลับว่าทำไมเราจะต้องชะลอเทคโนโลยีไว้ก่อน

 

ติดตามฟังได้ที่รายการรักลูก The Expert Talk

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

รักลูก The Expert Talk EP.16: เลี้ยงลูกยุคโควิด ไม่สร้างรอยร้าวในใจเด็ก สร้างความเข้มแข็งให้ครอบครัว

รักลูก The Expert Talk EP.16: เลี้ยงลูกยุคโควิด ไม่สร้างรอยร้าวในใจเด็ก สร้างความเข้มแข็งให้ครอบครัว

ในช่วงวิกฤตโควิดที่เกิดขึ้น เรากำลังจะสูญเสียเวลาทองของเด็กในช่วง 6 ปีแรกไปอย่างไม่สามารถจะย้อนกลับมาได้ แล้วเราจะรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ได้อย่างไร

หนึ่งในทางออกคือ เราต้องรับรู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เพื่อช่วยเป็นข้อมูลในการประมวล คิด วิเคราะห์เพื่อหาทางออกที่เหมาะสมให้กับครอบครัว EP นี้จึง The Expert ที่เป็นหนึ่งในกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนงานสร้างสุขภาวะเด็กและเยาวชนมาพูดคุยกัน "คุณณัฐยา บุญภักดี" ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชนและครอบครัว สสส.

 

วิกฤตเด็กไทยยุคโควิด

กลุ่มเด็กที่ครอบครัวมีความพร้อมอาจจะไม่ถึงครึ่งหนึ่งของเด็กไทยที่เป็นกลุ่มเด็กปฐมวัยอันนี้เป็นความจริงที่ต้องยอมรับว่าเด็กวัย 0-6 ปี ของเราจำนวนมหาศาลอยู่ในครอบครัวที่ยังต้องดิ้นรนขลุกขลักอยู่กับการทำมาหากิน จำนวนมากไม่ได้อยู่กับพ่อแม่เนื่องจากพ่อแม่ต้องออกไปทำงานต้องเข้ามาทำงานในเมืองใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ หรือจังหวัดใหญ่ๆ ที่เศรษฐกิจดีๆ แล้วลูกเล็กก็ให้ปู่ย่าตายายช่วยกันเลี้ยงดูอยู่ที่บ้านต่างจังหวัดส่วนใหญ่จะเป็นแบบนั้น อีสานเยอะมากภาคเหนือก็รองลงมา ที่อีสานศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบางแห่งเด็กเกือบจะ 100% เลยเป็นเด็กที่อยู่กับปูย่าตายายไม่ได้มีพ่อแม่อยู่ด้วย อยากให้อันที่หนึ่งรับทราบสถานการณ์ของประเทศภาพใหญ่เป็นแบบนี้ คือ เด็กไม่ได้อาศัยอยู่กับพ่อแม่ อยู่กับปู่ย่าตายาย และศูนย์เด็กเล็กปิดทำการ

ศูนย์เด็กเล็กปิด คือศูนย์เด็กเล็กบ้านเรามีอยู่เป็นจำนวนมากถ้าดูทั้งระบบอาจจะราวๆ 60,000 แห่ง โดยที่ในต่างจังหวัดแต่หลายสังกัดถ้าเป็นศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่รับเด็กตั้งแต่ 2 ขวบจนถึง 3 ขวบ คือเด็ก 2 ขวบ ก็เข้าได้แล้วอยู่ถึง 3 ขวบ จากนั้นก็จะไปโรงเรียนอนุบาล 2 ขวบ เข้าศูนย์เด็กเล็กส่วนใหญ่จะเป็นสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แต่พอแตะ 3 ขวบ จะต้องไปโรงเรียนอนุบาล โรงเรียนอนุบาลก็มักจะอยู่ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการอันนี้มีจำนวนเยอะเลย

เด็กปฐมวัยทั่วไปประเทศเรามีสัก 4 ล้านคน อยู่กับโรงเรียนอนุบาลสังกัดกระทรวงศึกษาประมาณล้านกว่า ล้านหนึ่งก็จะอยู่กับศูนย์พัฒนาเด็กเล็กขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อยู่ในตำบลหมู่บ้านต่างๆ ก็ประมาณหนึ่งล้าน แล้วก็มีเอกชนอีกนิดหน่อย นอกนั้นอยู่ในกรุงเทพฯ อีกสักราวๆ แสนคน ซึ่งแน่นอนศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในกรุงเทพฯ ปิดหมดเพราะเราเป็นพื้นที่สีแดงเข้ม สถานการณ์โดยรวมเป็นแบบนี้ ปัญหาด้านพัฒนาการของเด็กไทย

เพราะฉะนั้นตั้งแต่ปีที่แล้วที่เกิดสถานการณ์โควิดมาจนถึงทุกวันนี้ก็ถือว่าค่อนข้างซ้ำเติมปัญหาของเด็กปฐมวัยบ้านเราเหมือนกัน เพราะก่อนหน้าที่จะมีโควิดเดิมเรามีปัญหาอยู่ระดับหนึ่งอยู่แล้วทางกระทรวงมหาดไทยเคยสำรวจเด็กปฐมวัย 4 ล้านกว่าคนพบว่าเฉพาะเจาะไปดูเด็กแรกเกิดจนถึง 2 ปี ก่อนจะเข้าศูนย์เด็กเล็กก็จะพบว่าครอบครัวโดยมากจะไม่มีความรู้ความเข้าใจเรื่องเกี่ยวกับพัฒนาการเด็กการเติบโตของสมองการพัฒนาของกล้ามเนื้อมัดต่างๆ

ความรู้เหล่านี้เป็นความรู้สมัยใหม่ทั้งสิ้น ครอบครัวโดยมากไม่มีความรู้เหล่านี้ก็จะเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดเด็กอ่อนก็จะเลี้ยงดูไปตามที่เคยถูกเลี้ยงดูมา ถึงเวลาก็ให้กินอาจจะเล่นด้วยบ้างแต่ไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจว่าในสมองของเด็กกำลังเกิดอะไรขึ้นกลไกต่างๆ ของร่างกายพัฒนาอย่างไรจะกระตุ้นอย่างไรกล้ามเนื้อมัดเล็กมัดใหญ่เหล่านี้ไม่มีความรู้ เกิดปัญหาทั้งจาก 1.ปัญหาการเลี้ยงดู 2.ศูนย์เด็กเล็กไม่มีคุณภาพ 3.ขาดหน่วยงานทำหน้าที่พัฒนาศักยภาพครู

1.อับดับแรกที่เป็นปัญหาของเด็กปฐมวัยบ้านเราคือ เรื่องของการเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสมสอดคล้องกับพัฒนาการเด็ก

2.เรื่องของสถานพัฒนาเด็กเล็กซึ่งอย่างที่บอกบ้านเรามีอยู่หลายหมื่นแห่งก็จริงแต่ที่มีคุณภาพได้มาตรฐานมีไม่มากที่ผ่านเกณฑ์ในระดับดีๆ มีไม่มากและแน่นอนกระจุกตัวอยู่ในเขตชุมชนเมือง ส่วนมากที่กระจายอยู่นอกพื้นที่เขตเทศบาล เขตกึ่งเมืองกึ่งชนบทหรือเขตชนบทคุณภาพมาตรฐานก็แตกต่างกันไป

3.ขาดหน่วยงานทำหน้าที่พัฒนาศักยภาพคุณครูที่อยู่ประจำศูนย์

ถ้าเราจำกันได้สมัยก่อนเขาเรียกว่าเป็นศูนย์เด็กเล็กที่อยู่ในวัดต่างๆ เพราะว่าแนวคิดในการเลี้ยงดูเด็กเล็กในตอนนั้นซึ่งตอนนี้ก็ยังติดค้างอยู่นะยังเป็นมรดกตกค้างมาคิดว่าเลี้ยงเด็กอ่อนไม่ได้มีอะไรมากกินอิ่มนอนหลับเด็กเล็กก็ให้เล่นกันพอถึงเวลาก็อาบน้ำปะแป้งเตรียมกลับบ้าน ที่นี่วัดเนื่องจากระบบการศึกษาสมัยใหม่ที่มีโรงเรียน เริ่มต้นก็คือโรงเรียนวัดเพราะฉะนั้นศูนย์เด็กเล็กก็เริ่มต้นจากวัด แต่พอยุคหลังมาที่เริ่มเป็นระบบการศึกษาสมัยใหม่เราก็เริ่มให้ความสำคัญกับการศึกษาของเด็กปฐมวัยก็มีการแยกสังกัดออกมาที่นี่วัดก็ไม่ได้เป็นผู้ดูและศูนย์เด็กเล็กแล้ว

แต่ศูนย์เด็กเล็กจำนวนมากยังอยู่ในวัดถ้าไปต่างจังหวัดจะเห็นชัดเจนมากเอาแค่ปริมณฑลก็ได้ก็ยังเห็นอยู่ แต่ตอนนี้ในแง่ของวิชาการก็ยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยดูแลไม่ใช่สถานที่รับเลี้ยงเด็กอ่อนที่วัดเคยดูแลอีกต่อไปละวัดก็ยังช่วยอุดหนุนอยู่ในแง่ของงบประมาณก็ช่วยกัน แต่ในแง่วิชาการมีหลายหน่วยงานเข้าไปช่วยในแง่ของสุขภาพก็จะมีระบบของสาธารณะสุขที่เข้ามาช่วยดูแลวัดพัฒนาการ จุดต่างๆ เหล่านี้ยังไม่สอดประสานกันดีเท่าไหร่

ในระดับนโยบายก็มีความที่จะพยายามสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ ที่ทำหน้าที่ดูและเด็กเล็กกัน แต่ต่างคนต่างทำกระจัดกระจายตอนนี้ภาพใหญ่จะเป็นแบบนี้

ขาดความรู้ในการเลี้ยงเด็ก

ยกตัวอย่างที่เป็นปัญหาคารังคาซังมาเป็นสิบปีคือในเรื่องของพัฒนาการของเด็กปฐมวัยเนื่องจากพัฒนาการของเด็กปฐมวัยเป็นองค์ความรู้ใหม่อย่างที่บอกไป เพราะฉะนั้นปู่ย่าตายายพ่อแม่ไม่รู้ว่ามันคืออะไรแล้วมันต้องดูกันอย่างไร หนึ่งเดือน สามเดือน สี่เดือน จะต้องทำอะไรได้ แล้วในครอบครัวขยายก็ยังเถียงกันอยู่คนรุ่นปู่ยาตายายก็อาจจะบอกว่าต้องเลี้ยงแบบี้ คนรุ่นพ่อแม่เป็นรุ่นใหม่แล้วอาจจะได้ความรู้สมัยใหม่มาแล้วแต่ว่าก็ยังต้องเถียงกันอยู่

เรามีปัญหาเรื่องพัฒนาการของเด็กซึ่งมีความล่าช้าโดยเฉพาะเรื่องของการพูดรองลงมาก็จะเป็นเรื่องของกล้ามเนื้อการใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่มัดเล็กมีปัญหาหมด ทักษะสมอง Executive Function ก็ยังมีปัญหา ประเด็นมันอยู่ตรงการตรวจวัดพัฒนาการเด็กกระทรวงสาธารณสุขก็จะทำโครงการเชิงรุกเขาจะออกหน่วยไปตรวจที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ตรวจเด็กที่อยู่ตามบ้านตรวจแล้วถ้าพบว่ามีพัฒนาการล่าช้าก็ต้องให้ครอบครัวช่วยพาเด็กเข้าสู่กระบวนการกระตุ้น ถ้าเราพลาดพัฒนาการในแต่ละช่วงวัยเหมือนก่อกำแพงบ้านต้องเริ่มต้นจากอิฐแนวฐานแรกต่อแถวสองแถวสามจนเป็นกำแพงสูงถ้ามันโหว่ตรงไหนมันกลับมา Fix ไม่ได้แล้วฐานก็ไม่แน่น

เพราะฉะนั้นกระบวนการที่ตรวจพัฒนาการเชิงรุกอันนี้ดีแต่พอตรวจเจอว่ามีดีเลย์หรือสงสัยว่าจะดีเลย์ในด้านใดด้านหนึ่งกระบวนการที่จะเข้าไปกระตุ้นเด็กคนนั้นให้พัฒนาการกลับมาตามปกติตามวัยของเขาตรงนี้เป็นจุดที่มีปัญหามากเลยทำให้เด็กที่มีพัฒนาการสงสัยว่าล่าช้าหรือว่าล่าช้าไม่ได้รับการแก้ไขในเวลาที่เหมาะสม

เมื่อเข้าอนุบาล 1 ป.1 มันก็จะโผล่อีกอาจจะเป็นเรื่องแอลดีเรียนรู้ช้าหรือมีปัญหาเรื่องสมาธิหรืออะไรต่างๆ ซึ่งสุดท้ายก็กลายเป็นฐานทุนชีวิตของเด็กที่ไม่แข็งแรงพอที่จะส่งให้เขาต่อยอดศักยภาพในชั้นประถม มัธยมหรืออะไรต่อๆ ไปสุดท้ายเราเห็นผลสอบแข่งขันวัดความสามารถวิชาการของเด็กไทยไม่ว่าจะเป็นผลสอบด้านใดก็ตามก็จะออกมาไม่ค่อยดีมันเป็นลูกโซ่แบบนี้ก็

ปัญหาเริ่มต้นที่ครอบครัว

จุดที่หนึ่งที่เป็นปัญหาคือเรื่องครอบครัวซึ่งมีมิติทางเศรษฐกิจเข้ามาเกี่ยวข้องค่อนข้างเยอะประเทศไทยมีลักษณะพิเศษอยู่อย่างหนึ่งคือมีการย้ายถิ่นภายในประเทศสูงมากเพื่อทำมาหากินเป็นเหตุผลหลัก บางหมู่บ้านวัยหนุ่มสาววัยที่เป็นพ่อแม่ไม่อยู่เลยพอ 18-19 ปี ไปหางานทำแล้วมีลูกก็ส่งกลับมาที่หมู่บ้านก็จะมีผู้สูงอายุแล้วก็มีเด็กเป็นอะไรที่เราเห็นจนชินตา แต่นั้นคือลักษณะของสังคมไทยที่ทำให้ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่

เพราะฉะนั้นมันมีผลการศึกษาที่ชัดเจนมากเมื่อเปรียบเทียบกลุ่มเด็กปฐมวัยที่ถูกเลี้ยงโดยพ่อแม่กับที่ถูกเลี้ยงโดยไม่ใช่พ่อแม่อาจจะเป็นปู่ย่าตายายพี่ป้าน้าอา พัฒนาการของเด็กสองกลุ่มแตกต่างกันโดยชัดเจน เราเดาได้กลุ่มที่อยู่กับพ่อแม่จะมีพัฒนาการที่ดีกว่ากลุ่มที่ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่

สำหรับกลุ่มคุณพ่อคุณแม่ที่มีความพร้อมแต่ขาดความรู้ มีความพร้อม มีเวลา มีงบประมาณ แต่ขาดความรู้ว่าจะสร้างการเรียนรู้ที่บ้านอย่างไรดี จะทำกิจกรรมอะไรกับลูกวัยนี้วัยนั้นดี หรือจะไปเสาะหาความรู้เครื่องมืออุปกรณ์ ชุดการเรียนรู้ ชุดกิจกรรม หรือว่าผู้รู้ที่ไหนดีกลุ่มนี้ สสส. ไม่ค่อยห่วง

ทีนี้สำหรับกลุ่มเด็กที่อยู่กับครอบครัวที่ไม่ได้พร้อมขนาดนี้ สสส. ก็สนับสนุนให้มีโครงการในพื้นที่เลยเป็นการเข้าไปสนับสนุนให้ชุมชนมีโครงการที่บุกเข้าไปถึงบ้าน เป็นอาสาสมัครที่จะเข้า Coaching วิธีการเลี้ยงดูเด็กวิธีการกระตุ้นพัฒนาการเด็กหรือการวัดพัฒนาการเด็กไปถึงที่เลย

บางทีก็เป็นคนในพื้นที่อยู่แล้วที่เราเข้าไปสนับสนุนให้เขาทำโครงการสำหรับกระตุ้นพัฒนาการเด็กปฐมวัยในพื้นที่ของเขา เราก็สนับสนุนชุดสื่อชุดอุปกรณ์ทำกิจกรรมต่างๆ หรือกล่องของขวัญหรือหนังสือนิทานอันนี้เราก็จะสนับสนุนในระดับพื้นที่

มีโครงการที่เข้าไปสนับสนุนคุณครูศูนย์เด็กเล็กแม้ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กปิดคุณครูก็ยังรันกิจกรรมเหล่านี้ไปกับครอบครัวได้ ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ทำอยู่ ในกลุ่มที่ยากลำบากจริงๆ เลยขาดแคลนเงินทอง อาหารการกินอุปกรณ์เพื่อการดูแลสุขภาพช่วงนี้หน้ากาก เจล อันนี้ต้องการกล่องยังชีพ ถุงยังชีพเลย สสส. ก็ร่วมมือกับแพลตฟอร์มลงทุนออนไลน์ เทใจดอทคอม https://taejai.com/th/ เทใจดอทคอม ชุมชนการให้เพื่อคนไทย เท่ากับ สสส. ก็เตรียมไว้สำหรับครอบครัวรูปแบบต่างๆ ที่ลำบากแตกต่างกันไป แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ต้องบอกว่าฝากความหวังไว้ที่ สสส. จะไม่ไหวเอา เพราะเราไม่ใช่หน่วยงานรัฐที่มีงบประมาณเยอะเหมือนกระทรวงหลัก เพราะฉะนั้นทุกสิ่งที่เล่าไปที่เราได้ทำมันจะทำเป็นหย่อมๆ ทำเป็นโครงการในอำเภอนี้ ตำบลนี้ จังหวัดนี้ ไม่ใช่ทั้งประเทศ สิ่งที่เราอยากผลักดันก็คือตัวอย่างของการทำโครงการเล็กๆ ที่เข้าไปในพื้นที่แบบนี้หน่วยงานที่เป็นหน่วยงานเจ้าภาพหน่วยงานหลักสามารถหยิบวิธีการทำงานไปขยายผลได้เลย

Lost Generation การสูญเสียโอกาสทางการศึกษา

เด็กปฐมวัยอายุตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 ขวบ ตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงปีนี้เขา Lost Generation เราอาจจะเป็นพ่อแม่ที่มีความพร้อมแต่ลูกเราจะอยู่กับ Lost Generation ของเขา อยู่กับสภาพแวดล้อมเพื่อนที่เป็น Lost เหมือนกันแล้วในที่สุดเราก็จะเหน็ดเหนื่อยและจ่ายภาษีเยอะมากแต่คนอีกจำนวนมากไม่ได้มีศักยภาพจ่ายภาษีได้เท่ากับเรา เขาเป็นกลุ่มที่ตกหล่นมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ภาพรวมของประเทศของเด็กรุ่นนี้ที่โตไปจะสภาพสังคมที่ค่อนข้างยากลำบากทีเดียว

จริงๆ ตอนนี้ถ้าให้ตัวเองฟันธงสักเรื่องหนึ่งที่เป็นเรื่องที่น่าจะอยู่ในมือทุกคนสามารถที่จะทำได้ด้วยตัวเองโดยที่ไม่ต้องไปหวังให้หน่วยงานไหนมาช่วยเราคือเราต้องมองให้ทะลุไปเลยว่าท่ามกลางความยากลำบากทุกอย่างที่กำลังเผชิญอยู่ตอนนี้หากเราสามารถที่จะสร้างความเข้มแข็งเชิงจิตใจให้กับคนในครอบครัวของเราได้เราก็จะรับมือกับความทุกความยากลำบากได้ในระดับหนึ่ง

สร้างความเข้มแข็งทางจิตใจให้กับครอบครัว

ถ้าเราทำให้บ้านในสถานการณ์เศรษฐกิจ สถานการณ์โรคระบาดกำลังรุมเร้าแต่เราพยุงบรรยากาศภายในบ้านรักษากำลังใจเพื่อที่จะทำให้ภายในบ้านยังคงมีบรรยากาศของความหวังบรรยากาศในเชิงบวกเด็กเล็กๆ ในบ้านไม่ต้องซึมซับความเครียด ความเศร้า ความวิตกกังวล ไม่ต้องอยู่ท่ามกลางผู้ใหญ่ที่ทะเลาะกันเพราะความเครียด เด็กจะยังสามารถมีความเข้มแข็งในจิตใจซึ่งอีกปีสองปีเขาจะค่อยๆ ต่อยอดไปได้ไม่ต้องมีแผลเป็นในใจเราคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญมากๆ แต่เข้าใจว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเป็นเรื่องยากมากๆ

ทั้งหมดนี้เป็นสถานการณ์ที่เด็กรุ่นนี้จะต้องเผชิญคนรุ่นเราต้องเผชิญอีกปีสองปีที่อาจจะค่อยๆ ดีขึ้นผู้ใหญ่จะพอฟื้นตัวได้ แต่เด็กปฐมวัยอย่างที่บอกอิฐแต่ละชั้นที่กำลังก่อกันอยู่มันมีช่องโหว่มันมีความแตกหักถ้าเราไม่แก้ไขตอนนี้เลยหรือป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นโอกาสที่เขาจะไปฟื้นตัวเหมือนผู้ใหญ่จะไม่มีผ่านแล้วจะผ่านเลยในแง่ของพัฒนาการเด็กปฐมวัย

จริงๆ สสส. มีแผนงานจำนวนมากไม่ใช่แค่แผนสุขภาวะเด็กเยาวชนและครอบครัว เช่น แผนงานทางสุขภาพจิตซึ่งก็ได้ทำงานใกล้ชิดกับกรมสุขภาพจิตที่จะพัฒนาระบบต่างๆ ขึ้นมาเพื่ออุดช่องโหว่ช่องว่าง หรือแผนที่เกี่ยวกับความเข้มแข็งของชุมชนซึ่งทำงานร่วมกับชุมชนต่างๆ ซึ่ง สสส. ก็มองว่าเราเป็นส่วนหนึ่งจับมือกับอีกหลายๆ หน่วยงานที่จะไปส่งเสริมให้ชุมชนเข้มแข็งขึ้นให้ระบบองค์กรต่างๆ เข้มแข็งขึ้นและให้จิตอาสาที่มีอยู่ทั่วประเทศทุกคนมีความเป็นจิตอาสาในตัวเองได้มีช่องทางในการแบ่งปันเวลา แบ่งปันความคิด ความรู้ของเราในช่องทางต่างๆ สสส. เข้าไปช่วยเป็นกาวเป็นน้ำยาประสานเชื่อมเป็นสะพานส่งต่อเชื่อมโยงคงเป็นบทบาททำนองนี้ รวมไปถึงอาจจะไปช่วยลงทุนทำต้นแบบหรือโมเดลส่งต่อให้หน่วยหลักกระจายต่อทั่วประเทศ

ฝากถึงคุณพ่อคุณแม่นิดนึงค่ะเราเป็นผู้ใหญ่สะสมประสบการณ์ชีวิต บทเรียนชีวิตมันพอที่จะให้เรารับมือกับปัญหาต่างๆ ได้ในระดับที่ดีพอสมควร เรารู้วิธีจัดการความเครียดหรือว่าเราหาได้ความรู้หาไม่ยากและเมื่อเราลงมือทำเราก็จะช่วยเหลือตัวเองได้ แต่เด็กเล็กลูกเราเล็กๆ เขาต้องการเราที่จะช่วยถ้าเราเต็มไปด้วยความเครียด ความทุกข์ เด็กๆ เหมือนฟองน้ำเขาซึมซับ เขารับรู้เร็วมากๆ แม้เราไม่ได้เอ่ยออกมา แม้เราไม่ได้โวยวายใส่เขา แต่เด็กเล็กจะซึมซับได้ด้วยสัญชาตญาณของเขาด้วยความละเอียดอ่อนของเขาแล้วมันจะสะสม เขาจะแสดงออกไม่เก่งด้วยวัยของเขา ความเครียดของเด็กเล็กดูออกยากมาก ความกังวลใจของเด็กเล็กดูออกอยากมากแล้วเขาจะซึมซับไว้ทั้งหมด เหมือนรอยข่วนที่มันจะลึกขึ้นตามวันเวลาที่ผ่านไปแต่ละอาทิตย์แต่ละเดือนที่ทางบ้านจมอยู่กับความเครียดหรือข่าวร้าย

ไม่สร้างรอยร้าว รอยข่วนในจิตใจเด็ก

อยากจะบอกคุณพ่อคุณแม่ว่าหันไปมองคนที่เล็กที่สุดของบ้าน คนที่อ่อนแอที่สุดของบ้านเราจะปกป้องเขาได้อย่างไร และแน่นอนเราต้องเริ่มที่ตัวเราเองก่อนแล้วเดี๋ยวมันจะค่อยๆ เข้าไปเติมความเข้มแข็งให้เด็กตัวเล็กๆ ในบ้านเราได้ ก็ขอเป็นกำลังใจให้ว่าช่วงเวลาที่อยากลำบากแบบนี้เราจำเป็นต้องมีความหวัง เราจำเป็นต้องมองทะลุไปให้ถึงวันที่เราจะรอดว่าเรายังจะรักษาความเข้มแข็งไปให้ถึงวันที่เราจะรอดได้อย่างไรแล้วก็ช่วยเหลือคนที่อ่อนแอกว่าได้ย่างไร เป็นกำลังใจและขอให้ช่วยๆ กันนะคะ

 

ติดตามฟังได้ที่รายการรักลูก The Expert Talk 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

รักลูก The Expert Talk EP.17: How To ทิ้ง “จอ” จากคุณพ่อธาม

รักลูก The Expert Talk EP.17: How To ทิ้ง “จอ” จากคุณพ่อธาม

โลกดิจิตอล และโลกแห่งข้อมูลข่าวสาร ที่กำลังถาโถมเข้ามาอย่างทุกวันนี้ อาจจะกำลังทำให้พ่อแม่กำลังหลงทิศผิดทาง พาลูกกระโจนลงไปด้วย…

แต่ในความเป็นจริง เด็กปฐมวัยยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องท่องโลกดิจิตอล เด็กควรได้เรียนรู้โลกใบเล็กๆ ของเขา ได้เติมเต็มความไว้เนื้อเชื้อใจ ให้มีความไว้วางใจในโลกใบเล็กของเขาก่อน.... จะรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไร ในโลกที่ทุกวันเด็กต้องเรียน Online!! ฟังวิธีการรับมือจาก อาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ นักวิชาการด้านสื่อ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล

สื่อ จอ รอบตัวลูก

ผมก็เป็นมนุษย์คุณพ่อมนุษย์คุณแม่ทั่วไปที่โตมาในยุคที่สื่อเยอะมาก สื่อปัจจุบันที่เป็นเทคโนโลยีมือถือ คุณพ่อคุณแม่บางคนคิดว่าเราอยู่ในยุค 5G ยุค IT แต่ในทางนิเทศศาสตร์เราจะเรียกสื่อยุคนี้ว่า Immersive Media คือ Immersive แปลว่า จุ่มให้เปียก มีแก้วทำปากกา ดินสอหล่นลงไป ดินสอเปียก ลูกชิ้นจุ่มลงไปน้ำจิ้มลูกชิ้นเปียกน้ำจิ้ม ฟังดูไม่รู้เรื่องเลย Immersive Media ยุคนี้ก็คือยุคที่สื่อเต็มไปด้วยประสบการณ์ เต็มรูปแบบ

โทรศัพท์มือถืออยู่ในกระเป๋า ทีวีอยู่ตรงหน้า โน้ตบุ๊กอยู่ตรงนี้ tabletอยู่ตรงนั้น วิทยุก็เปิดฟัง มีสื่อเยอะไปหมดประสบการณ์ผมก็โตมาจาก Generation X ก็อายุผมประมาณ 40 เพราะฉะนั้นผมโตมาในยุคที่คุ้นชินกับการมีสื่อตั้งแต่ดั้งเดิมคือวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ถ้าย้อนกลับไปตอนที่ผมยังไม่เป็นพ่อตอนที่ผมเป็นเด็ก ผมก็จะบอกว่าประสบการณ์ในวัยเด็กของผมคือเล่นอยู่กับธรรมชาติ เล่นอยู่กับเพื่อน ในวัยเด็กการมีเพื่อนเล่นสำคัญกว่าการมีของเล่น

กุศโลบายของการละเล่นไทยก็คือการให้เด็กมีเพื่อนเล่นมากกว่ามีของเล่น ของเล่นก็มาจากธรรมชาติ ม้าก้านกล้วย ทางมะพร้าว ต้นไม้ใบหญ้า ลูกกะลา ลูกหมาก อะไรก็ตาม เล่นหม้อข้าวหม้อแกง วันนี้ผมเดินเข้ามาลูกสาวผมเขาก็มา พ่อๆ ดูนี่สิหนูเอาดอกไม้สีต่างๆ แล้วเขาก็คั้นเป็นน้ำ สีแดงมาจากดอกเข็ม สีเหลืองมากจากทองอุไร ฉะนั้นเราจะค้นพบว่าธรรมชาติของเด็กปฐมวัย ก็เหมือนธรรมชาติประสบการณ์ของผมตอนเล็กๆ ก็คือว่าเด็กปฐมวัยต้องการเรียนรู้ที่จะไว้ใจโลกใบนี้เขาต้องแน่ใจว่าโลกใบนี้อยู่รอดปลอดภัยอาศัยได้ เพราะฉะนั้นถ้าเขาไปเล่นดิจิทัลนั่นคือโรคเสมือนจริงมันเป็น Virtual World มันไม่สามารถทดแทนกับโลกจริงๆ ได้ เพราะฉะนั้นการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยก็คือ แม่มีอยู่จริง พ่อมีอยู่จริง ยายมีอยู่จริง บ้านนี้มีอยู่จริง ร้องแล้วได้กินนมมีอยู่จริง ร้องแล้วได้อกไออุ่นมีอยู่จริง เพื่อนมีอยู่จริง หิวแล้วได้กินไม่อยู่จริง

ที่นี้สำรวจโลกของเขานี่ห้องนอน นี่ห้องน้ำ ไฟมืดกลางคืนหนูไม่กล้าไปห้องน้ำไม่เป็นไรลูกลองไปห้องน้ำดูเปิดไฟห้องน้ำดู ในบ้านไว้ใจได้ หน้าบ้านไว้ใจได้ ข้างบ้านไว้ใจได้ ซอยข้างๆ ซอยนี้เดินปลอดภัย ถ้าเราเลี้ยงลูกมาในช่วงปฐมวัยเราจะเข้าใจว่า Trust ของเขาวิธีการสร้างความรู้สึกว่าเขา Trust ดิจิทัลไม่สามารถทดแทนได้เลยเพราะสิ่งแรกที่เขาต้องไว้ใจได้คือโลกใบนี้ที่เขาอาศัยอยู่ เพื่อน 4-5 คน ที่โรงเรียน คุณครูคนนี้ที่เข้าไปโรงเรียนวันแรกกลัวแต่วันหลังๆ “ครูคะ หนูปวดท้องมากเลยค่ะ” เขาต้องกล้าที่จะมอบความไว้ใจให้กับโลกใบเล็กๆ

โลกดิจิทัล

แต่ดิจิทัลไม่ใช่โลกใบเล็ก ดิจิทัลเป็นโลกใบใหญ่และเป็นโลกเสมือนจริงและเป็นโลกที่เขาไม่จำเป็นต้องไว้ใจ มันเป็นโลกห่างไกลระยะความใกล้ชิดสัมพันธ์มันไม่มี โลกดิจิทัลเราไม่รู้พูดว่ากี่เมตรแต่คุณพ่อคุณแม่คือเดินออกจากห้องนู้นเจอห้องนี้ มันพูดได้ว่าจากชั้น 1 ลงมาชั้น 2 มันมีระยะในเชิงกายภาพ เพราะฉะนั้นดิจิทัลถ้าผมแชร์ประสบการณ์ก็คือว่า

โลกของเด็กช่วงปฐมวัยที่ผมมีลูก 2 คน ต่อไปลูกก็จะออกห่างไปเรื่อยระยะเชิงกายภาพ คือ โลกที่แท้จริงที่เด็กจะต้องเรียนรู้จากประสบการณ์จริงเขาจะต้องมีเพื่อนสนิทที่อยู่ในซอยในโรงเรียนในหมู่บ้านเดียวกันในกิจกรรมเดียวกัน เขาไม่จำเป็นที่จะต้องมีเพื่อนที่อยู่ในดิจิทัล เขาไม่จำเป็นต้องสร้างจินตนาการที่ห่างไกลมากไปกว่า Intimacy ระยะความสัมพันธ์ใกล้ชิดในความเป็นมนุษย์

เพราะฉะนั้นเราถึงพูดว่ามนุษย์ในสถานการณ์โควิดจริงๆ แล้วเราไม่ต้องการ Content หรอกเราต้องการ Context มากขึ้นก็คือว่าเราต้องการบริบทว่าเรายังเป็นมนุษย์อยู่ พ่อแม่ที่คิดว่าจะเองสื่อดิจิทัลมาเพราะเราอยู่ในยุคสังคมสารสนเทศทุกคนต้องมีมือถือ มีความเร็วของอินเตอร์เนท มีความแรง บ้านไหนเข้าไม่ถึงแสดงว่าลูกฉันด้อยโอกาส ให้คุณพ่อคุณแม่ตั้งสติก่อนดิจิทัลเทคโนโลยียังไม่จำเป็นลูกของฉัน 0-6 ขวบ โลกของเขาเป็น Small World สวนสัตว์ไว้ใจได้ แปลงเกษตรชุมชน สวนบ้านท้ายสวน บ้านริม 4 5 บ้านในซอยนี้ไว้ใจได้ฝากฝังได้ ดังนั้นเราลองมองว่าโลกของเด็กยังไม่จำเป็นต้องขยายใหญ่เหมือนกับโลกดิจิทัล

อย่าเพิ่งไปสร้างโลกใหญ่ขนาดนั้น ผมจะพูดประโยคถ้าฟังแล้วคุณพ่อคุณแม่ตั้งสติให้ดี มนุษย์ไม่ได้มีวิวัฒนาการขึ้นมาเพื่อให้เรามีเพื่อน 1 ล้านคน เด็กไม่จำเป็นต้องมีเพื่อน 1 ล้านคน เราไม่จำเป็นต้องมี follower 10,000 คน เราไม่จำเป็นต้องมีผู้ติดตาม 2 แสนคน เด็กปฐมวัยจำเป็นที่จะต้องไว้ใจคนในครอบครัว หรือมีเพื่อนสัก ป. 4-5 มีเพื่อนที่รู้จักสนิทชิดเชื้อนอนคุยบอกความลับเล็กๆ กันได้ตอนกลางวันประมาณ 2-3 คนเท่านั้นเอง อย่าลืมว่าเทคโนโลยีดิจิทัลไม่ใช่เทคโนโลยีเพียงแค่ดูการ์ตูน เทคโนโลยีดิจิทัลคือสื่อสังคมที่สร้างสังคมเสมือนจริงขึ้นมาด้วย

เวลาการใช้สื่อกับลูกแต่ละช่วงวัย

โดยกฎทั่วๆ ไปวัย 0-2 ขวบ ห้ามใช้สื่อดิจิทัลเลย ใช้ได้อย่างเดียวเท่านี้คือ VDO Call จะคุยกับปู่ย่าตายายที่ต่างจังหวัดใช้ได้แค่ VDO Call นั่นคือสิ่งเดียว แต่ว่าถ้าเป็นวัย 2 ขวบเป็นต้นไปพอจะใช้ได้ที่เป็นดิจิทัลที่เป็นการ์ตูนอาจจะจำกัดเวลาระยะต่อครั้งประมาณ 10 นาที แต่ทั้งวันไม่ควรเกิน 45 นาที ถ้าเป็นเด็กเล็ก มากที่สุดที่ให้ได้คือประมาณ 1 ชั่วโมงต่อวันที่เป็นดิจิทัล

เราไม่นับรวมค่าชั่วโมงพ่อแม่ต้องคิดแบบนี้ถ้าเป็นดิจิทัลคุณหมอบอก กุมารแพทย์บอก ผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อบอกว่าต้องไม่เกิน 45 นาที หรือ 1 ชั่วโมงต่อวัน ที่นี้กิจกรรมอื่นๆ การเล่นดินน้ำมัน การไปสนามเด็กเล่นไม่นับเป็นชั่วโมงการเล่นใช้สื่อเลย คุณแม่บ้างคนบอกแล้วเรียนออนไลน์นับด้วยไหม ไม่นับ เรียนออนไลน์ไม่นับคุณครูจะเรียกเข้ามาเจอเพื่อนกี่นาทีก็ต้องไม่นับ

เพราะฉะนั้นนับชั่วโมงจะเป็นแบบนี้ 0-2 ขวบ ใช้ไม่ได้ / 2-4 ขวบ วันละประมาณ 35-45 นาที พอไปถึง 6 ขวบ ไม่ควรเกินวันละ 1 ชั่วโมง จำนวนที่ผมพูดเมื่อกี้คือจำนวนที่เป็นดิจิทัลที่เป็น Content ที่เป็นทีวีออนไลน์ ที่เป็นการ์ตูน ที่เป็นคลิป คำแนะนำอื่นๆ เช่น ถ้าพ่อแม่อยากเปิดการ์ตูนให้ลูกดูต้องเป็นเรื่องสั้นๆ หรือมีเนื้อหาที่เกี่ยวกับกิจวัตรประจำวัน การ์ตูนค่ายใหญ่ๆ ทำการ์ตูนหนังยาวปกติการ์ตูนเหล่านั้นไม่เหมาะกับเด็กต่ำกว่า 7 ขวบ

เพราะว่าวัย 0-6 สิ่งที่เขาจะเรียนรู้มีแค่เรื่องกิจวัตรประจำวันเรื่องของเหตุการณ์ในชีวิตจริง เขายังไม่พร้อมที่จะไปแฟนตาซี ความแฟนตาซีคือจินตนาการเรื่องที่ต้องแฟนตาซีเรื่องที่ surreal เหนือชีวิตมากเกินไปเขาจะไม่คุ้นชิน ซินเดอเรลล่า สโนวไวท์ ทำไมเปิดฉากมามีแม่เลี้ยงแล้วก็ต้องทำงานบ้าน เพราะแม่มีอยู่จริงถึงจะแม่เลี้ยงใจยักษ์แต่ว่างานบ้านก็มีอยู่จริงเหมือนแม่ด้วย

เพราะฉะนั้นเหตุผลที่เราบอกว่าจำนวนชั่วโมงที่เราพูดกันก็คือจำนวนชั่วโมงของการใช้สื่อแต่จำนวนชั่วโมงที่สำคัญกว่าก็คือไม่ใช่ Screen Time แต่เป็น Play Time หรือ Face Time ก็คือจำนวนชั่วโมงที่ตามองตาเราคุยกันโอบกอดกันใกล้ชิดกันอย่างนี้สำคัญ Face Time สำคัญ Screen Time อย่าเกิน 1 ชั่วโมง Play Time สำคัญด้วยคือเวลาที่เล่นด้วยกันจริงๆ แล้ว Play Time ไม่ต้องไปนับเลยกี่ชั่วโมงเล่นลูกเดียว คือมีลูกกี่คนก็เล่นกับลูกอย่างเดียวเลย เพราะฉะนั้นจำนวนชั่วโมงที่จะใช้คำถามของพ่อแม่ก็คือในช่วงนี้ Screen Time อาจจะเสี่ยงมากขึ้นเด็กอยู่บ้านมากขึ้น

ลูกสาวผมก็เป็นผมแชร์ประสบการณ์ก็คือไม่อะไรทำวิธีการที่ผมใช้คือจะให้ทำกิจกรรมคือวาดรูปก่อนวาดนู้นวาดนี่ ผมจะไม่ได้ให้ดูสื่อทุกวันถ้าจะให้ดูจะ Fix คือให้ดูอยู่กับที่การ์ตูนจะไม่ตามเราไปในรถยนต์ การ์ตูนจะไม่ตามเราไปทะเลไม่ตามเราไปน้ำตก ไม่ตามเราไปตลาดไม่ตามเราไปนั่งรอเบื่อๆ การ์ตูนจะอยู่กับที่อยู่ที่จอทีวีจอใหญ่ พอลูกติดกับดักเสร็จแล้วลูกเรียกร้องอยากจะดูจะทำอย่างไร

อยากจะดูบนรถไม่อนุญาตให้ดูบนรถมันคือเมื่อไหร่ก็ได้ยิ่งไปตอบสนองความเมื่อไหร่อย่างไรก็ได้มันก็จะมาบ่อยๆ เหล่านี้เป็นเทคนิคที่ผมใช้ ยอมรับว่าเทคนิคพวกนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละบ้านมีระเบียบวินัยสไตล์การเลี้ยงลูก

0-2 ขวบ ไม่ควรใช้เลย ยกเว้น VDO Call

2-4 ขวบ ไม่เกินวันละ 30 นาที

4-6 ขวบ ไม่ควรเกินวันละ 1 ชั่วโมง

และทั้งหมดที่พูดไปก่อนการนอนครึ่งชั่วโมงห้ามใช้เด็ดขาด วันนี้หนูยังไม่ดูเลยขอดูก่อนนอนได้ไหม แต่หนูกำลังจะนอนแล้วนะลูกใช้ไม่ได้ กิจกรรมก่อนนอนควรเป็นกิจกรรมที่ไม่มีแสงสีฟ้าจากหน้าจอ นาที16.57 จำนวนชั่วโมงสะสมได้ไหม ลูกเจ้าเล่ห์เจรจาต่อรองเมื่อวานไม่มีสักชั่วโมงวันนี้ขอสองชั่วโมงได้ไหม ไม่ได้เรื่องนี้ไม่ใช่คูปองสะสมนะลูก ห้ามใช้ระบบสะสม ระบบคูปองกับลูก บางบ้านก็มีทริคแปลกๆ แต่ไม่ได้บอกว่าดีหรือไม่ดี เช่น

ถ้าทำดีติดดาวแล้วหนูมาขออะไรก็ได้ ถ้าอย่างนั้นขอดูการ์ตูนได้ไหม เห็นไหมเขาให้คุณค่าการดูการ์ตูนกลายเป็นเรื่องดีกว่า ระบบพวกนี้เน้นว่าต้องเพลาๆ หน่อย พอโตไปจะไปสร้างแรกจูงใจที่ผิดจะทำดีสำหรับตัวเองกิจวัตรประจำวันไม่บกพร่องก็ต้องมีเรื่องเทคโนโลยีเข้ามาล่อลวงล่อหลอกคืออย่าไปวางเล่ห์กลกับลูกมาก ลูกก็จะเลียนแบบรู้จักเล่ห์กลภายหลังเราก็จะปวดหัวฉันไม่น่าวางกฎไว้แบบนี้เลยแล้วลูกก็เอามาย้อนรอยเราทีหลังในที่สุด

เพราะฉะนั้น 0-2 ขวบ ไม่ควรใช้เลย ใช้ได้เฉพาะVDO Call โควิดห่างไกลกันแบบนี้โทรติดต่อกันได้กับปู่ย่าตายาย 2-4 ขวบ วันละ 30 นาที 4-6 ขวบ ไม่ควรเกินวันละ 1 ชั่วโมง หลัง 2 ทุ่ม หรือครึ่งชั่วโมงก่อนอนไม่ควรใช้เลย วันเสาร์อาทิตย์ถึงจะบอกว่านอนดึกจริงๆ แล้วกิจกรรมที่ดีที่สุดสำหรับเสาร์อาทิตย์คือกิจกรรม Outdoor Intimacy ใกล้ชิด Interaction ปฏิสัมพันธ์ 2 In นี้สำคัญที่ต้องบ่มเพาะในเด็ก สัมพันธ์ใกล้ชิดและให้ปฏิสัมพันธ์ที่เป็นมนุษย์จะดีกว่า

เลือกสื่อเหมาะกับวัย

รายการทีวีที่ออนแอร์รายการนี้ต่อรายการนี้ผมจะไม่ให้ดูเพราะว่าดูจบแล้วหยุดไม่ได้เพราะลูกจะเห็นว่ามีรายการถัดไปเพราะฉะนั้นการดูแบบออนแอร์บ้านผมจะไม่ไห้ดู ผมจะไม่เปิดทีวีทิ้งไว้เพราะลูกจะรู้สึกว่าทีวีเป็นเรื่องปกติ ทีวีไม่ใช่เรื่องปกติก่อนหน้านี้เราไม่มีทีวี ถ้าจะเปิดให้ดูจริงๆ ผมจะเปิดออนดีมานในยุคนี้เราเปิดออนดีมานได้แต่ทีวีหรือสื่อดิจิทัลจะเป็นเบื้องหลังก่อนเพราะว่าผมจะลงทุนกับหนังสือการ์ตูนหนังสือนิทาน

ถ้าจะต้องเปิดจริงๆ สมมตินิทานอ่านแล้วหรือวันนี้ผมหมดแรงแล้วแม่ก็หมดแรงด้วยต้องใช้ตัวช่วยผมจะเลือกออนดีมานคือการ์ตูนที่สามารถจะเปิดเมื่อไหร่ก็ได้หยุดเมื่อไหร่ก็ได้ และจบก็คือจบ จบเป็นตอนๆ ไป การ์ตูนที่เลือกก็ให้ต่ำกว่าวัย 7 ขวบ ถามว่า 5 ขวบดูต่ำกว่า 7 ขวบได้ไหม ดูได้ การ์ตูนที่ผมมักเลือกมีเนื้อหาไม่แฟนตาซีแบบ Surreal

ผมจะเน้นเรื่อง Child Center คือเกี่ยวกับเด็กเป็นหลัก เช่น เรื่องการผจญภัย DORA หรือ Puffin Rock สำหรับเด็ก 3-4 ขวบ หรือดูการ์ตูนที่เป็นเรื่องสั้นๆ การ์ตูนที่ไม่มีคำพูดและตัดภาพเร็ว บางคนสงสัย คุณพ่อคุณแม่ไม่ค่อยใส่ใจเรื่องนี้นะ การ์ตูนที่ตัดภาพเร็ว การ์ตูนที่ดี

สำหรับเด็กปฐมวัยคือไม่ตัดฉากเร็วเพราะเด็กยังคงต้องการ Mapping ในสมองว่าตรงนี้เกิดขึ้น ตรงนี้เกิดขึ้นเหมือนเราดูสมุดนิทานภาพ เพราะฉะนั้นถ้าจะต้องดูซินเดอเรลล่าผมจะเลือกนิทานก่อน 36 หน้า เลือกนิทานที่ตัวอักษรน้อยเพราะผมต้องเล่าเองก่อน ถ้าจะต้องดูการ์ตูนจากจอทีวีจริงๆ จะเลือกทีมีความยาวต่ำกว่า 20 นาที เพราะว่าเด็กมี concentration

ดูเป็นตอนๆ สั้นๆ

ในช่วงปฐมวัยในช่วง 3-4 ขวบ ประมาณ 35 นาทีเต็มที่แล้วลากกว่านั้นสมองจะล้า เพราะฉะนั้นเทคนิคก็คือดูเป็นตอนๆ สมมติการ์ตูนยาวมากผมจะให้ดูเป็นพัก แล้วก็จะนั่งดูไปกับลูกเสมอเพื่อบ่งชี้อธิบายฉากบงฉากที่เขาไม่ทันหรือตีความไม่ได้การรับรู้ของเด็กตีความได้ไม่เหมือนกับผู้ใหญ่

เพราะฉะนั้นพ่อแม่นั่งอยู่ข้างๆ โซฟาเป็นสิ่งจำเป็นมากพ่อแม่บางคนบอกเปิดดูการ์ตูนแล้วฉันก็สบายใจฉันจะไปทำงานไม่ต้องมานั่งดูลูก การนั่งทำงานอยู่กับลูกคือสาระสำคัญพ่อแม่บางคนบอกเปิดการ์ตูนไว้แล้วสบายใจ อย่าทิ้งลูกไว้กับทีวี ถ้าเป็นไปได้ปล่อยทีละ 35 นาทีหยุดก่อน

เพราะว่ามันออนดีมานเราสามารถกดหยุดได้ เอาละแม่ว่าน่าจะพอก่อนนะเรื่องมาถึงตรงนี้ทบทวนดูสิว่าเป็นอย่างไรพรุ่งนี้มาดูต่อถ้าเป็นเรื่องยาว แต่อย่างที่บอกเด็กปฐมวัยเขาอยากดูอะไรที่มันสั้นๆ 10 นาทีกำลังดี เลือกสีที่ไม่ฉูดฉาด เลือกสีละมุนละม่อมสีที่มันเป็นธรรมชาติ จังหวะเล่าเรื่องไม่เร็วเกินไปไม่มีแสงตัดวูบวาบไม่มีเสียงดังอึกกะทึกไม่มี Visual Graphic ที่เยอะแยะมากมาย

แต่การ์ตูนที่เล่าเห็นในปัจจุบันมันตัดภาพเร็วเกินไปนั่นคือแรกที่จะสกรีนก่อน เพราะฉะนั้นเทคนิคสำหรับผม ผมจะดูก่อนภาพ เนื้อเรื่องเหมาะสมไหม ปัญหาอย่างมากที่พ่อแม่นึกไม่ถึงนี่เป็นกับดักเลยพ่อแม่คิดว่าการ์ตูนก็คือวาดแอนิเมชั่น เป็นภาพวาดการ์ตูนระบายสี ตัวละครคาแรคเตอร์เป็นการ์ตูนปลอดภัยจริงๆ ไม่ใช่

ในเด็กปฐมวัยพ่อแม่ต้องดูมากกว่านั้นคือจะต้องดูโครงเรื่องเส้นเรื่องพลอตเรื่องคาแรคเตอร์ของการ์ตูนดูสาระสำคัญของการ์ตูนว่ามีเหตุการณ์ สถานการณ์อะไรแล้วเรื่องเหล่านั้นที่กำลังฉายอยู่เป็นเรื่องที่เหมาะกับเด็กปฐมวัยหรือเปล่า เพราะการ์ตูนหลายเรื่องภาพวาดดูเป็นการ์ตูนจริงแต่เรื่องราวเนื้อหามันไม่ใช่สำหรับเด็กปฐมวัย เพราะฉะนั้นต้องสกรีนเอาออกไปยังไม่ใช่เวลาที่จะต้องดู

พ่อแม่ = สื่อที่ดีที่สุด

อันนี้เป็นเทคนิคที่ผมให้เวลาคุยกับลูกซึ่งผมก็จะพูดว่าการ์ตูนเรื่องนี้หนูยังอายุไม่ถึง ตอนนี้หนู 4 ขวบ อันนี้เขาบอกว่า 7 ขวบ แล้วพ่อดูแล้วเนื้อหายังไม่เกี่ยวข้องกับวัยหนู อย่าเพิ่งดูดีกว่าเดี๋ยวเราหาเรื่องอื่นดีไหม สัปดาห์หนึ่งจะไม่ได้ดูทุกวันจะดูวันศุกร์กับวันเสาร์เท่านั้น สไตล์การเลี้ยงลูกของพ่อแม่สำคัญลักษณะงานของพ่อแม่ การมีเวลาหรือไม่มีเวลาของพ่อแม่อันนี้ก็สำคัญมาก

แต่ลักษณะที่สำคัญน้อยและไม่ค่อยเกี่ยวข้องแล้วพ่อแม่อย่าเพิ่งหามาเป็นเหตุข้ออ้างคือความรู้เรื่องนี้ฉันไม่มี จงนึกไว้ก่อนว่าตัวเองคือเทคโนโลยีสิ่งที่สำคัญที่ลูกจะเล่นได้ บางวันผมนึกไม่ออกลูกสาวก็มาเกาะแกะปีนหลังวันนี้คุณพ่อเป็นควายให้หน่อยก็คือผมต้องลงไปนั่งคุกเข่าแล้วให้ลูกสองคนปีนแล้วก็เล่น

เห็นไหมว่าร่างกายของพ่อแม่ก็คือสนามเด็กเล่นของลูก หลังบ่าไหล่คอแขนขาในวันที่สนามเด็กเล่นทำไม่ได้ คุณพ่อคุณแม่ต้องแข็งแรงร่างกายกระดูกทุกอย่างใช้กำลังวังชาจงใช้พื้นที่ร่างกายเพื่อเป็นสนามเด็กเล่นให้ลูกทุกวันนี้ผมก็ทำอยู่แล้วรู้สึกว่าลูกยิ้มได้ อันนี้เราพูดถึงเด็กเล็กนะ 4-5 ขวบ เขายังสนุกกับเราอยู่ ฉะนั้นฉกฉวยเวลาพวกนี้เอาไว้ วันหนึ่งที่ลูกไม่เล่นกับเราจะรู้สึกอย่างไร จริงๆ

แล้วผมใช้ความเป็นพ่อมากกว่านักวิชาการนะสัญชาตญาณความเป็นพ่อจะมากกว่า เวลาเราเลี้ยงลูกเราจะรู้สึกว่าความรู้เอาไว้ก่อนเพราะลูกแต่ละคนคาแรคเตอร์ไม่เหมือนกันจริตจิตวิทยาแต่ละคนไม่เหมือนกันฉะนั้นใช้สัญชาตญาณของความเป็นพ่อเป็นแม่เรียนรู้จากลูกใช้ความรักเยอะๆ ให้เวลาเยอะๆ รับรองไม่มีผิดพลาด

 

ติดตามฟังได้ที่รายการรักลูก The Expert Talk 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

รักลูก The Expert Talk EP.18: “สมอง” สนองสื่อแบบไหน กับ อาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ

รักลูก The Expert Talk EP.18: “สมอง” สนองสื่อแบบไหน กับ อาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ

สมองของเด็กปฐมวัยมีค่าและมีเวลาทองที่ต้องใช้เวลาบ่มเพาะ หากเราพลาด ละเลย หรือไม่เข้าใจการทำงานของสมอง ก็อาจจะทำให้พลาดโอกาสทองไปอย่างน่าเสียดาย มาฟังกันว่าแล้วสมองต้องการสื่อแบบไหน กิจกรรมแบบไหนที่สมอง need มากที่สุด โดย อาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ นักวิชาการด้านสื่อ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล

 

การเรียนรู้ภาษาของเด็ก

ปกติเวลาเราพูดว่าปัญหาออทิสติกที่ไม่ได้มาจากยีนไม่ได้มาจากพันธุกรรมที่พูดถึงปัญหาออทิสติกเทียมที่มาจากสื่อ พัฒนาการล่าช้าที่เราเจอเคสกันในทางการแพทย์ ส่วนใหญ่พัฒนาการล่าช้าทางด้านภาษา ทางด้านสังคม พอพัฒนาการช้าทางภาษาก็จะไม่ได้เรียนรู้กับมนุษย์เพราะพัฒนาการแรกๆ ของเด็กปฐมวัยคือเรียนรู้ทางจากภาษาเป็นหลัก

ภาษาคือเครื่องมือหลักในการที่จะเรียนรู้ทำความรู้จัก ภาษาไม่ใช่เพียงแค่ Verbal คำพูด ภาษายังคงหมายถึงสีหน้า แววตา ท่าทาง อารมณ์ บรรยากาศมาคุ บรรยากาศแฮปปี้ เสียงของพ่อแม่ phonic สัทศาสตร์ สำคัญหมด เพราะฉะนั้นเทคโนโลยีไม่ได้สิ่งเหล่านั้น

เวลาเราบอกว่าพ่อแม่ให้เด็กดูการ์ตูนที่เป็นภาษาอังกฤษแล้วพ่อแม่บอกว่าลูกพูดภาษาอังกฤษเองได้ อันนั้นไม่ใช่การเรียนรู้ภาษาที่ถูกต้อง การเรียนรู้ที่เป็นธรรมชาติของมันคือ Two Way Communication สื่อสารสองทาง ถามไป รอคอย ประมวลผล ตอบกลับ > ตอบกลับ ประมวลผล โต้ตอบ การพูดคุยโต้ตอบสื่อสารระหว่างพ่อแม่ ตั้งแต่เล็กที่พ่อแม่เล่น จ๊ะเอ๋ ก็คือ การมี การหาย เสียงของพ่อจำได้ แล้วก็เด็กเล็กๆ ถ้าคุณพ่อคุณแม่สังเกตดีๆ ลูกจะอ่านปากในวัยตั้งแต่ 0-3 ขวบ ลูกจะอ่านปากก็คือการเห็นริมฝีปาก

เพราะฉะนั้นพูดช้าๆ คอมพิวเตอร์ คลิปวีดิโอในยูทูป มันพูดแล้วพูดเลย กล้อง Wild Screen เด็กจะอ่านปากได้ไหม ยิ่งในแทปเล็ต ในมือถือจอมันก็ยิ่งเล็กลูกไม่มีโอกาสที่จะอ่านปาก นั่นคือเหตุผลว่าทำไมพัฒนาการภาษาล่าช้า พัฒนาการทางภาษาจะทำงานได้ดีก็คือว่า ตามองเห็นปาก หูได้ยินเสียง ตาทำงานกับหูสัมพันธ์กัน แม่บอก ดอกไม่สีแดง ลูกบอล ลูกปิงปอง ข้าวเหนียวหมูปิ้ง ซาลาเปา

พัฒนาการทางภาษา

วิธีการประกอบสร้างคำภาษา คือ ตามองเห็นสิ่งนั้น หูได้ยินสิ่งนั้น ตามองเห็นปากการอ่านและเห็นรูปสิ่งนั้นอยู่ มันจะไป Mapping กันในหัว แล้วถ้าเด็กทำหน้าไม่เข้าใจ พ่อแม่สามารถ Repeat ซ้ำได้ แต่ในคลิปมัน Repeat ไม่ได้ มัน Replay ได้แต่เด็กจะกดตรงนั้นไหม

การเรียนรู้ของเด็กคือการเรียนรู้โดยใช้ประสาทสัมผัสทั้งหมดเลย แต่สื่อดิจิตอลอิเล็กทรอนิกส์ ทีวี อินเทอร์เน็ต วิทยุ เกม โทรศัพท์มือถือ ไม่ได้ส่งเสริมให้เด็กเรียนรู้โดยใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ทำงานร่วมกัน เพราะฉะนั้นปัญหาที่มักเกิดเลยในทางมิติของสมอง ก็คือพัฒนาการทางภาษาล่าช้าเพราะการเรียนรู้ภาษาผ่านอิเลคทรอนิคส์ ผ่านคลิปวีดิโอ ผ่านจอทีวี ไม่ใช่การเรียนรู้ทางภาษาแบบปกติ จึงทำให้เด็กขาดความมั่นใจในการที่สื่อความหมาย ออกเสียงได้ตามคำ และการอดทนรอคอยตีความ

ภาษามันคือการใส่รหัส ถอดรหัส แต่ในยูทูปในคลิปวีดิโอ ในสื่อสังคมออนไลน์ ในทีวี รายการโทรทัศน์ การ์ตูน มันเป็นแค่การได้ยินเสียงเฉยๆ แต่มันไม่ได้เห็น Non Verbal คือ อวัจนภาษา นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราไม่ควรให้เด็กปฐมวัยเรียนรู้จากสื่อดิจิตอลมากเกินไป เพราะว่ามันทำให้เขามีระบบการเรียนรู้ทางภาษา

ทำไมพัฒนาการที่สองที่ล่าช้าถึงเป็นทางสังคม เพราะมาจากภาษาล่าช้า มนุษย์เป็นสัตว์สังคมการเรียนรู้ การเข้ากลุ่ม การรู้อารมณ์ กาลเทศะ หมวดอารมณ์ของพ่อแม่ รู้น้ำเสียง รู้โทน วิธีการเรียนรู้เหล่านี้เด็กจะได้เรียนรู้ทั้งภาษาทางตรงและภาษาโดยอ้อม Denotative ความหมายตรง กับ Connotative ในดิจิตอลไม่มี Connotative มีแต่ Denotative ก็คือความหมายตรงๆ ทางเดียวด้วย

ภาษาคือการ Comparative เราไม่สามารถอธิบาย ก ไก่ ได้ถ้าเราไม่มี ข ไข่ แต่ในคลิปวีดิโอ ยูทูป หรือคลิปสื่อสังคมออนไลน์ หรือว่าโซเชียลมีเดียต่างๆ มันไม่ใช่ภาษาแบบ Comparative มันคือการ Communicative เฉยๆ ฉันพูดคุณจะฟังรู้เรื่องหรือไม่รู้เรื่องก็เรื่องของคุณ ภาษาเหล่านั้นมันขาดบริบท ขาด Setting ขาดว่ากำลังพูดอยู่ในที่แห่งใด

ฉะนั้นเมื่อเด็กไม่ได้เอาตัวเองไปสถาปนาในเหตุการณ์ ในกาลเทศะ ในบริบท เหล่านั้น เด็กจะเรียนรู้ภาษาได้แย่มากและเมื่อเรียนรู้ภาษาได้แย่มาก การเรียนรู้ทาง Interactive ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมก็แย่ลงไปด้วย พูดคุยไม่จ้องมองไม่สบตา ในยูทูปเราจะสบตาใคร ในจอ Screen ใน แทปเลต ใน Netflix / Tiktok เราจะดูอะไรเราไม่มี Eye Contact แล้วเรากำลังมองหน้าคนที่ไม่รู้จักอยู่ด้วย

เพราะฉะนั้น Attachment หรือสายใยสัมพันธ์ก็หายไปด้วย Intimacy พวกนี้จะหายไปหมด เด็กเล็กปฐมวัยส่วนใหญ่ที่มีปัญหาก็ตั้งแต่ 0-3 ขวบ เด็กใช้สื่อดิจิทัลเร็วเกินไป แล้วก็ทำให้เวลาที่เขาเรียนรู้ แปลเจตนาความหมายทางภาษามันก็พร่องลงไปด้วย แล้วก็ส่งผลต่อพัฒนาการทางสังคม และแน่นอนเมื่อทั้งอย่างนี้ที่เป็นฐานรากหลักเสียไปก็จะส่งผลต่อ IQ สติปัญญา เพราะวิธีสร้างความฉลาดเกิดจากการเรียนรู้จากสังคมก่อน เรียนรู้ว่าอะไรทำได้ สิ่งไหนเกิดขึ้น มันเป็นเหตุผลซึ่งกันและกันในมิติเชิงสังคม

สื่อกระทบต่อสมองส่วนหน้า EF

สื่อดิจิทัลเขามีเส้นเรื่องของมันเองที่เขาทำมาแล้วคลิป 5 นาที 10 นาที 2 ชั่วโมง สมองต้องการช่วงเวลาพักคิด โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม สมองทำงานคล้ายกัน คือ มันต้องมีเวลาในการเชื่อมโยงเซลล์ประสาทต่างๆ ถ้ามันเร็วเกินไป สมองของเด็กเหมือนคอมพิวเตอร์ที่ยังประมวลผลไม่ทัน ดิจิตอลเส้นเรื่องเส้นเดียวกันไม่ว่าคนจะดู คลิปนี้ วิดีโอนี้ การ์ตูนนี้ กี่ล้านคนเส้นเรื่องคือแบบเดียวกัน

แต่ถ้าคุยกับพ่อแม่ ช้าเร็ว เด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน คุยกับย่าก็จะอะไรนะย่า อะไรนะปู ช้าเร็วไม่เหมือนกัน เราอยากรู้ว่าการ์ตูนเรื่องแค่ไหน กิจกรรมเพลงแบบไหนที่เราจะเปิดให้ลูกได้ วิธีการง่ายนิดเดียวดูจังหวะการก้าวเท้าเดินของลูกแล้วนับ เส้นเรื่องก็ประมาณนั้น ถ้าช้าลูกก็เดินช้าๆ เตาะแตะ ซ้ายขวา

ผมใช้เกณฑ์นี้ในการวินิจฉัย EF ของลูกต้องสัมพันธ์ในการคิดเชิงบริหารของลูกได้ ลูกไม่ใช่รีบิวต์คอมพิวเตอร์แบบนาโนเมตรการคิดคำนวน เพราะฉะนั้นต้องช้าๆ ก่อน เขาถึงพูดว่าในเด็กปฐมวัย Slow it Golden ช้าคือทองคำ เร่งคือทำลายวิธีคือของเด็ก ดิจิตอลเป็นระบบคิดที่อัลกอลิทึมคิดมาเสร็จแล้ว แต่ถ้าเด็กได้คิดเองได้ใช้สื่อเอง ได้ใช้ดินน้ำมันจับโยนวาง เล่นตัวต่อจับผิดจับพลาด tryout and Error การเรียนรู้การผิดพลาด คือสาระสำคัญของการเรียนรู้ของเด็ก

ไม่ใช่ว่าเด็กซึมซับ Absorb รับทุกอย่างดูคลิปแล้วสูบทุกอย่าง ลูกฉันต้องฉลาดแน่เพราะดูทั้งสารคดีสัตว์โลก สัตว์ป่า ลูกไม่ใช่ฟองน้ำ สมองรับได้ประมาณหนึ่งแล้วก็ต้องประมวลผลต้องเก็บนอนเอาไว้ก่อน

เพราะฉะนั้นเวลาที่หลับนอนตอนกลางคืน ความทรงจำระยะยาวถูกเขียน สมองก็จะดึงเอาความทรงจำที่มีประโยชน์ เพราะว่าอะไรละทำไมมันเป็นความทรงจำในระดับลึกละ เพราะว่ากิจกรรมนั้นเป็นกิจรรมที่ Immersive เต็มครบประสาทสัมผัส ตอนนั่งทำกิจกรรมนี้นั่งตักพ่อ พ่อโอบเห็นหน้าแม่ยิ้ม เห็นน้องหัวเราะ เห็นบรรยากาศ เหล่านี้สร้างความทรงจำไว้ทั้งหมด

แต่ถ้าเป็นดิจิทัลบริบทอื่นไม่เกี่ยว ยิ่งเด็กสวมหูฟังเล่นเกมใครเรียกไม่ได้ยิน เข้าสู่ภาวะ Voice Noise ห้องมืดไม่เห็นตัดบริบททั้งปวง เพราะฉะนั้นบริบทการเรียนของเด็กเป็นตัวช่วยประกอบสร้างประสบการณ์ให้เด็กทุกรูปแบบ ฉะนั้นคือเหตุว่าทำไม EF ในการเรียนรู้ในแบบโลกจริง โลกที่เป็น Real Experience จากการทำกิจกรรม EF เรารู้ คือ ทำงานบ้าน วาดรูป ปีนป่าย หรืออ่านนิทาน 4 อย่างนี้คือกิจกรรมที่ส่งเสริม EF ดีมากเพราะว่า 1 คือช้า 2 สร้างประสบการณ์เต็มรูปแบบ 3 Intimacy ที่เด็กได้รับตอนที่อยู่สัมผัสกับพ่อแม่ และที่สำคัญมี Interactive การ Two Way Communication เกิดขึ้นได้

พัฒนาการของสมองเด็ก

ปกติสมองก็เหมือนต้นทุนถัวๆ ไปมันมีระยะเวลาการพัฒนาของมัน เราบอกเราลองปล่อยไปเรื่อยๆ ลองดูสิว่าผล 8 ปี 8 ขวบจะเกิดอะไรขึ้น 10 ขวบจะเกิดอะไรขึ้นแล้วค่อยไปซ่อมตอนนั้น ประเด็นคือมันไม่ใช่ เวลาที่เราง่วงนอน 3 ติด เราขอนอน 3 วันติดชดเชย 3 วันที่แล้วได้ไหม

การนอนเป็นการพักผ่อนวันต่อวัน การกินโภชนาการของเด็กวันนี้พร่อง วันนี้ก็คือพลาด ไปเติมวันพรุ่งนี้ได้ไหม ไม่ได้ โภชนาการเด็กสำคัญมื้อต่อมื้อ การนอนสำคัญวันต่อวัน ขวดนมสำคัญกล่องต่อกล่อง พลาดแล้วคือพลาดเลย เพราะฉะนั้นสมองมีวิธีการเรียนรู้แบบนี้ พลาดแล้ววันนี้คือพลาดแล้ว พรุ่งนี้ซ่อมไม่ได้ เพราะเราเสียโอกาสพลาดแล้วคือพลาดเลย

ฉะนั้นวิธีการคือการพัฒนามิติเชิงสมองหรือคุณภาพของสมองจะต้องทำในตอนที่เป็นเด็กปฐมวัย จะไปทำตอนเด็กโตไม่ทันแล้ว เมื่อกี้คำถามคือ ก็ปล่อยให้ดูไปก่อนได้ไหม ก็ยังไม่เห็นผลกระทบ มันยังไม่เห็นตอนสิ้นวันนี้แต่มันจะค่อยๆ สะสมไป ก็จะทำให้พัฒนาการของสมองล่าช้า คุณพ่อคุณแม่ถึงมามีปัญหาพัฒนาการทางภาษา ทางสังคม ทางสติปัญญา และส่งผลสุดท้ายที่คุณพ่อคุณแม่มักเอามามหาหมอจริงๆ คือ พัฒนาการทางด้านอารมณ์ไม่สมดุล กรีดร้อง โวยวาย ก้าวร้าว รุนแรง อาละวาด แย่แล้วถึงพามาหาหมอซ้ำ อันนี้คือล่าช้าไปมาก เป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดี ของพวกนี้คือของที่สะสม

ธรรมชาติสร้างสมดุลสมอง

อีกเรื่องคือดิจิทัล มีลูกบอกไหมระบายสีติดระบายสี วันนี้ไม่ได้ระบายสีรู้สึกขาดใจ ไม่เคยมีเด็กคนไหน หนูอยากเตะฟุตบอล ไม่มี ผมจะบอกว่ากิจกรรมเหล่าเป็นกิจกรรมที่เด็กใช้พลังงานไปกับมัน แล้วเด็กก็จะรู้สึกผ่อนคลาย วิ่งออกกำลังกายสัก 45 นาที รู้สึกกระปรี้กระเปร่า เอ็นดอร์ฟิน โดมาปีนหลั่ง เวลาเราออกไปแคมปิ้ง เอาท์ดอร์ ปีนน้ำตก ปีนภูเขา ไปทะเล เรารู้สึกว่า เวลา 1 ชั่วโมง หรือ 1 วันที่เราทำกิจกรรมเหล่านี้เรารู้สึกเหมือนได้ชาร์จแบต ธรรมชาติจะมอบพลังเหล่านี้กลับมาให้เรา

จริงๆ คนเราการ Retreat การบำบัดทำให้ตัวเองได้ผ่อนคลาย ธรรมชาติหรือกิจกรรมเหล่านี้ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย แต่ในทางกลับกัน แบบนี้แล้วกันลูกวันนี้ 8 ชั่วโมงแทนที่จะทะเล แม่ขอทดสอบหน่อย 8 ชั่วโมงนี้ให้ลูกเล่นเกมไปเลย เด็กจะรู้สึกอย่างไรหลังจากจบ 8 ชั่วโมงเล่นเกมต่อเนื่อง

การทดลองและข้อเท็จจริงส่วนมากบอกแล้วว่าดิจิตอลฉกฉวยเวลาพลังงานสูบไปจากเรา แต่ถ้าเด็กทำกิจกรรมเอาท์ดอร์เยอะๆ เด็กจะเหมือนกับว่าได้รับพลังงานธรรมชาติ ธรรมชาติมีกลไกเยียวยามนุษย์ให้รู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้มันทำเรารู้สึกเติมเต็ม โอโซน อากาศ ออกซิเจน สีเขียว แสงแดด สายลม สายน้ำ ของพวกนี้คือการ Retreat

ฉะนั้นเด็กๆ ก็จะส่งผลการเรียนรู้ที่สมดุล เพราะธรรมชาติไม่พูดอะไรแต่ดิจิตอลพูดตลอดเวลา ธรรมชาติไม่พูดอะไรเด็กต้องเรียนรู้ Connotative ภาษาความหมายแฝงตลอดเวลา แสงแดดหมายถึงอะไร นกร้องหมายถึงอะไร คลื่นลมพัดหมายถึงอะไร เด็กจะได้เรียนรู้ มันไม่บอกเราโต้งๆ สังเกตดูว่าเด็กกลุ่มสแกนดิเนเวีย กลุ่มประเทศนอร์เวย์ ฟินแลนด์ สวีเดน เขาจะให้เด็กเล่นตอนเช้า ปีนต้นไม้ตอนเช้า ออกกลางแดดกลางแจ้งตอนเช้า

นักเรียนไทยตอนเช้าทำอะไร เข้าแถว เคารพธงชาติ บางโรงเรียนมีออกกำลังกาย สาระของเราคือสวดมนต์ เคารพธงชาติ ธงชาติขึ้นสู่ยอดเสา จริงๆ แล้วสิ่งที่ควรขึ้นสู่ยอดเสา ขึ้นสู่ส่วนสูง คือเด็กควรปีนต้นไม้ เด็กปฐมวัยควรปีนต้นไม้ทุกวันตอนเช้า กระบวนการทางสมองคือแบบนี้

สมมติลูกสาวผมปีนต้นไม้ เธอต้องคิดว่าระยะแขนของเธอ ชัก จับ ดึง ปีนป่าย ได้เท่าไหร่ เธอต้องคาดการณ์กิ่งนั้น ต้องมองกิ่งนี้ ต้นไม้ไม่บอกวิธีใช้ ต้นไม้ไม่บอกอะไร ไม่กระซิบอะไรเด็กต้องคิด ต้องฟังเสียงตัวเอง คาดการณ์กำลังของตัวเอง และเรียนรู้ว่าการคาดการณ์ว่าถ้าจับกิ่งนี้ จะไปกิ่งนี้ ขาแบบนี้จะลงไม่ได้ เด็กจะเรียนรู้ใช้วิธีการใช้การสมองครบทุกมิติ นั่นคือเหตุผลทำไมเด็กปีนต้นไม้ถึงฉลาด เพราะต้นไม้ไม่มีสูตรสำเร็จในการปีน

ต้นไม้ 1 ต้นมีวิธีการปีนแต่ละแบบของเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกันด้วย ปีนแบบเมื่อวาน ปีนแบบวันนี้ก็ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นนี่เป็นสิ่งที่บอกว่าทำไมเราถึงเลือกใช้สื่อ ต้นไม้คือสื่อถ้าเราเลือกใช้เป็น ดิจิตอลพักไว้ก่อน ต้นไม้ของจริง ขี่จักรยานของจริง เพื่อนเล่นมีจริง การมีเพื่อนเล่นสำคัญกว่าการมีของเล่น

ความสัมพันธ์พ่อแม่สร้างสมอง

ช่วงเด็กปฐมวัยสัมพันธภาพสำคัญมาก อีกเรื่องที่สำคัญคือ ความสัมพัทธ์ Relative ความสัมพันธ์คือ Relation ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับแม่ กับลูก กับพี่น้อง กับปู่ยาตายาย พวกนี้สำคัญมาก สำคัญมากกว่าที่เด็กจะไปให้ความสัมพันธ์กับสิ่งที่อยู่ในดิจิตอล

อีกตัวก็คือ ความสัมพัทธ์ Relative คือ รู้ว่าตอนนี้ต้องทำอะไร รู้ว่าตอนนี้พระอาทิตย์ตก รู้ว่าลม รู้ว่าฝน รู้ว่ามีใครอยู่ที่บ้าน รู้ว่าข้างบน ข้างล่างเป็นอย่างไร รู้ว่าข้างหน้า ข้างหลัง รู้ว่ามื้อเช้ามือเย็น รู้ว่าร้อน รู้ว่าเย็น ความรู้สึกเหล่านี้ที่จะทำให้เด็กสนใจ ได้ยินเสียงของตัวเอง

เพราะฉะนั้นของเล่นอะไรก็ตามที่ทำให้เขาได้ยินเสียงของตัวเองได้สัมผัสอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง อันนั้นคือสิ่งที่มีความหมาย เพราะฉะนั้นการที่พ่อแม่เลือกของเล่น ตอนที่นั่งเล่นเราก็ต้องไปมีปฏิสัมพันธ์กับลูก ลูกได้รู้ว่าคนนี้สัมพัทธ์กับเรา ก็คือว่าอยู่ในเวลานี้ตอนนี้ในความทรงจำนี้

เพราะฉะนั้นถ้าคุณไม่สร้างประสบการณ์และความทรงจำในเวลานี้ตอนนี้คุณจะไปสร้างตอนไหน เพราะฉะนั้นเด็กปฐมวัย พัฒนาการสมวัยไม่ได้บอกเด็กฉลาดอย่างเดียว พัฒนาการสมวัยคือ ภาษา ร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ สังคม 5 มิตินี้ต้องมีความสมดุลซึ่งกันและกัน

มิติเชิงสัมพัทธ์ เช่น รู้ว่านกอยู่ข้างบน รู้ว่าไส้เดือนอยู่ข้างล่าง รู้ว่านกบินได้ รู้ว่านกบินเร็ว อันนี้คือการเรียนรู้มิติเชิงสัมพัทธ์ ซึ่งจะส่งผลให้สมองทำงานอย่างสมดุลด้วย แต่ในดิจิตอลโทรศัพท์มือถือ แทบเลต มันทำได้นิ้วสัมผัส ไม่ต้องออกแรง แต่ดินสอสี 1 แท่ง สีแดง จับกำ จับจด ดินน้ำมันจับบิด ของเล่นในชีวิตจริงคือของเล่น 3 มิติ

แต่ของเล่นในดิจิตอลมิติไม่มี เมื่อมันไม่มีมิติ กว้าง x ยาว x สูง x เวลา เพราะฉะนั้นเด็กถึงไม่อยู่กับ Rehourity เพราะว่าในของจริง เช่น ตอนนี้เล่นไม่ได้นะตนไม้ลื่นฝนตกถ้าปีนจะลื่นตก ต้นไม้ที่ปีนไม่ได้ มีเรื่องแห้งเรื่องเปียก เรื่องลื่น เรื่องจับถนัด แต่ดิจิตอลกดกี่ทีก็เรื่องเดิม แต่ในของจริงในชีวิตจริงบริบทมันมีมิติเชิงสัมพัทธ์เยอะมาก แล้วเด็กที่ฉลาดก็จะรู้ว่าไปสนามเด็กเล่นตอนนี้ไม่ได้ฝนเพิ่งตก เดี่ญวรออีกสักชั่วโมงมันแห้งคือเล่นได้ แห้งคือไม่ลื่น ไม่ลื่นคือปลอดภัย เด็กจะมีมิติของการใช้ความเชื่อมโยงสมองในเชิงบูรณาการสูงกว่า เขาถึงบอกว่าการเล่นในโลกจริงมันสร้าง EF ได้ดีกว่าการเล่นในโลกเสมือนจริง

 

ติดตามฟังได้ที่รายการรักลูก The Expert Talk 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

รักลูก The Expert Talk EP.19: “รับมือภูมิแพ้ลูก...รู้เร็วหายได้”

รักลูก The Expert Talk EP.19: “รับมือภูมิแพ้ลูก...รู้เร็วหายได้”

ด้วยสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย ประกอบกับฝุ่น ควัน มลพิษที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้เด็กมีอาการของภูุมิแพ้เพิ่มมากขึ้น และยิ่งในช่วงที่มีการระบาดของเชื้อโรคสายพันธุ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นไข้หวัดใหญ่ และโควิด-19 ก็สร้างความกังวลให้ให้กับพ่อแม่เป็นอย่างมาก จะรับมือกับอาการภูมิแพ้ของลูกน้อยกันอย่างไรบ้าง พบกับวิธีการดูแลสุขภาพลูก โดย รศ.พญ.รวีรัตน์ สิชณรังษี กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน โรงพยาบาลพระรามเก้า

สถานการณ์เด็กที่เป็นภูมิแพ้ในปัจจุบันเป็นอย่างไรบ้าง

ตอนนี้ด้วยสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ทุกท่านคงเดาได้ว่าภูมิแพ้เมื่อเทียบกับในอดีตมันเพิ่มขึ้นหรือลดลง มันเพิ่มขึ้นแน่นอนโดยเฉพาะใครที่อยู่ในเมืองมีมลภาวะ เช่น PM2.5 เยอะๆ สถานการณ์ก็เพิ่มขึ้นจนถึงขั้นมีบางงานวิจัยเขามีการคาดการณ์ว่าเด็กที่เกิดในยุคนี้ โดยเฉพาะเกิดกลางเมืองที่ Pollution ต่างๆ เยอะ เขามีโอกาสที่จะเป็นโรคภูมิแพ้สูงเกือบ 50% เลย สถานการณ์ของโรคภูมิแพ้ถ้ามีการเปรียบเทียบสถานการณ์สถิติในแต่ละปีจะเห็นได้ว่าเพิ่มขึ้นทุกปี อาจจะเพิ่มขึ้นมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมในแต่ละที่ ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นด้วย จากข้อมูลที่เก็บกันล่าสุดเด็กที่เป็นภูมิแพ้ เอาแบบคร่าวๆ 3 โรค ที่เป็นโรคภูมิแพ้ที่พบบ่อย

1.โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ 2. โรคหืด หรือหอบหืด 3. โรคผื่นภูมิแพ้ ผิวหนังอักเสบ

โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้จากสถิติที่เคยเก็บไว้ล่าสุดบอกว่าเด็กไทยประมาณเกือบ 30% บางการศึกษาบอกว่าเกือบ 40% เป็นโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้หรือที่เราเรียกง่ายๆ กันว่า แพ้อากาศ

โรคหืดหรือบางคนยังไม่ถึงขั้นวินิจฉัยว่าเป็นโรคหืดเพราะยังเล็กๆ อยู่ยังเป่าศักยภาพปอดไม่ได้ เริ่มมีหลอดลมไว ก็เจอได้บ่อยประมาณเกือบ 20%

โรคผื่นภูมิแพ้ ผิวหนังอักเสบ เจอได้ประมาณ 10 กว่าเปอร์เซ็นต์ แต่ละโรคก็มีแนวโน้มจะเยอะขึ้นในปัจจุบันทั้งเด็กผู้ใหญ่ด้วย

สาเหตุโรคภูมิแพ้

1.พันธุกรรม

จะ Strong มากถ้าใครมีคุณพ่อและคุณแม่เป็นจะมีความ Strong ในความเสี่ยงของการเกิดโรคภูมิแพ้ เช่น ถ้าเป็นโรคที่มีการ Study เก็บสถิติชัดๆ ก็จะเป็นกลุ่มภูมิแพ้ทางเดินหายใจพวกจมูกอักเสบภูมิแพ้ หรือว่าโรคหืด โดยเฉพาะโรคหืดชัดมากว่าถ้าคุณพ่อคุณแม่เป็นโอกาสที่ลูกจะเป็นก็สูงมาก สูงกว่า 50% ที่จะเป็น

แต่ถ้าคุณพ่อหรือคุณแม่เป็นคนใดคนหนึ่งสัดส่วนก็จะลดลงมาอาจจะสัก 40-50% ถ้าสมมติว่าทั้งคุณพ่อและคุณแม่เป็นอย่างที่บอกเยอะมากๆ แต่เขาก็เก็บการศึกษาว่าถ้าเกิดว่าคุณพ่อและคุณแม่เป็นโรคเดียวกันโอกาสที่ลูกจะเป็นโรคนั้นๆ ก็ยิ่งสูงมากขึ้น แล้วถ้าเทียบคุณพ่อกับคุณแม่ เขาบอกว่าถ้าคุณแม่เป็นโอกาสที่ลูกจะเป็นก็อาจจะสูงกว่าคุณพ่อเป็น ประมาณนี้ฉะนั้นกรรมพันธุ์สำคัญที่สุดอันดับหนึ่ง กรรมพันธุ์เป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงยาก

2.สิ่งแวดล้อม

สิ่งแวดล้อมก็จะมีทั้งสิ่งแวดล้อมที่เป็นสารก่อภูมิแพ้ก็จะแบ่งเป็นสารภูมิแพ้ในอากาศ สารก่อภูมิแพ้ที่เป็นอาหาร กับสิ่งแวดล้อมที่เป็นสารกระตุ้น สารระคายเคือง

3.สารก่อภูมิแพ้

พวกสารกระตุ้น สารระคายเคือง อย่างเช่น มลภาวะต่างๆ ที่เราเผชิญกันอยู่ทุกวันนี้ แล้วก็ควันบุหรี่ อันนี้ก็จะเป็นสาเหตุใครอยู่กับสิ่งเหล่านี้มากๆ ก็ทำให้มีโอกาสเกิดโรคภูมิแพ้ได้มากขึ้น ฉะนั้นแนะนำว่าถ้าเลือกได้ก็อย่าอยู่ในที่ที่มีเรื่องของมลภาวะเยอะตั้งแต่คุณแม่ตั้งครรภ์เลยไม่ใช่แค่เฉพาะหลังจากที่ลูกเกิดมา

ส่วนสารก่อภูมิแพ้ที่เป็นสารภูมิแพ้ในอากาศ เช่น ในฝุ่น แมลงสาบ ละอองเกสร เขาก็บอกว่าถ้าคุณแม่สัมผัสกับสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่ท้อง แล้วลูกเกิดมาก็ยังสัมผัสต่อโอกาสที่เขาจะเป็นภูมิแพ้ก็จะสูง ที่จะแพ้สิ่งต่างๆ เหล่านี้

สารภูมิแพ้ที่เป็นอาหาร มีการศึกษาว่าถ้าคุณแม่ตั้งแต่ท้องเลย ทานอาหารที่เป็นอาหารกลุ่มเสี่ยงแพ้บ่อย เช่น นมวัว ไข่ ถั่วเหลือง แป้งสาลี ถั่วลิสง เยอะตั้งแต่ตอนท้อง เยอะในที่นี้คือเยอะเกินปกติ เช่น สมมติปกติไม่ได้ทานไข่ทุกวัน พอท้องทานวันละ 3 ฟอง อันนี้ที่หมอเจอจริงๆ ปกติไม่ทานนมเท่าไหร่แต่พอท้องก็ต้องบำรุงเยอะๆ ทานวันละ 1-2 ลิตร แบบนี้มันจะเพิ่มความเสี่ยงในการที่ลูกจะเป็นภูมิแพ้ รวมถึงถ้าลูกเกิดมาก็ควรให้เขาทานอาหารตามวัย อาหารตามวัยในที่นี้ก็คือเราจะเริ่มที่อายุ 4-6 เดือน บางคนขอเริ่มหลัง 6 เดือนขึ้นไป แต่อย่าเริ่มช้ากว่านั้นเพราะว่าถ้าเราให้ลูกทานอาหารต่างๆ ช้ากว่าเกณฑ์ที่เหมาะสมก็อาจจะทำให้เขามีโอกาสที่จะแพ้อาหารได้

ตอนที่ท้องเราก็ได้ข้อมูลว่าอัดอันไหนเยอะเกินไปทำให้มีผลได้ ก็คือคุณแม่ท้องใช้ชีวิตตามปกติกินอย่างไรก็กินอยู่อย่างนั้น ไม่จำเป็นต้องโด๊ป ไม่จำเป็นต้องอด ใช้ชีวิตตามปกติ ทานอาหารที่มีประโยชน์ ไม่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่จะเสี่ยงต่อการเป็นภูมิแพ้ ทั้งของตัวเองรวมถึงมีผลต่อลูกได้ตั้งแต่ตอนตั้งครรภ์

อาการแบบไหนที่ใช่ภูมิแพ้ ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หรือโควิด

ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่อย่างเราเองมีอาการทางจมูกที่เราสงสัยว่าแพ้อากาศ หรือติดเชื้ออันดับแรกเรามาแยกง่ายๆ ก่อนว่าแพ้อากาศ หรือติดเชื้อ หรือบางคนมีสองอย่าง ถ้าใครเป็นจมูกอักเสบจากภูมิแพ้แล้วคุมอาการไม่ดี จมูกมีการอักเสบเรื้อรังอยู่โอกาสที่เขาติดเชื้อมันจะง่ายขึ้น หมอมีคนไข้หลายคนที่เป็นจมูกอักเสบจากภูมิแพ้แล้วไม่คุมอาการโรคเท่าไหร่ติดหวัด ไซนัส เป็นแล้วเป็นอีกก็มีผล

อาการภูมิแพ้ จมูกอักเสบภูมิแพ้ จะมีอาการคันจมูก จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล 4 อย่างนี้ ขออย่างน้อย 2 อย่าง ต่อเนื่องเกิน 4 อาทิตย์ขึ้นไป เขาก็จะสงสัยว่าอาการที่คนไข้เป็นเรียกว่าจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ ซึ่งถ้าสงสัยอาการอย่างนี้ ระยะเวลายาวนานเรื้อรังอย่างน้อย 4 อาทิตย์ขึ้นไป สิ่งหนึ่งที่จะช่วยคอนเฟิร์มการวินิจฉัยคือคุณหมอตรวจแล้วจมูกบวม แล้วก็ซีด น้ำมูกใส อันเป็นการอักเสบจากูมิแพ้

ถ้ามีการติดเชื้อก็อาจจะมีจมูกแดงน้ำมูกอาจจะใส ถ้าเป็นไวรัสน้ำมูกจะเปลี่ยนเหลืองเขียวถ้าติดเชื้อแบคทีเรีย และอีกอย่างที่ช่วยได้ว่าแพ้จริงเหรอแพ้จากอะไรคือการทำทดสอบภูมิแพ้ที่จะมี 2 วิธีคือ

1.การสะกิดผิวด้วยสารก่อภูมิแพ้ที่เราเรียกว่าการทำ Skin Test

2.การเจาะเลือดเพื่อหาสารก่อภูมิแพ้

ฉะนั้นถ้ามีอาการ คัน จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล 2 ใน 4 อย่าง ต่อเนื่องกันอย่างน้อยประมาณเดือนหนึ่งขึ้นไป คุณหมอตรวจแล้วว่าเหมือนจมูกภูมิแพ้จริงๆ แล้วก็เคยทำ Test แล้วว่าแพ้จริงๆ ไม่ว่าจะ Skin Test หรือการเจาะเลือด อันนี้ก็ครบวินิจฉัยได้ 100% ว่าน่าจะเป็นภูมิแพ้จริงๆ

แต่ถ้าในสถานการณ์ตอนนี้ยังไม่กล้ามาโรงพยาบาล คุณหมอยังไม่ดูจมูกยังไม่ทำการทดสอบ เบื้องต้นให้สังเกตอาการอย่างนี้

คุณพ่อคุณแม่ดูได้ว่าลูกคันจมูก ขยี้ๆ จามบ่อยๆ คัดจมูกหายใจฟืดฟัด มีน้ำมูกใสๆ ไหล เป็นช่วงเวลา เช่น กลางคืน เช้ามืด ที่อากาศเย็น ไปใกล้สิ่งที่เขาแพ้ เช่น บางคนไปมุดผ้าม่าน เด็กโตหรือผู้ใหญ่ไปปัดฝุ่น มีอาการทันที คันตาก็ด้วยอาการตาเป็นอาการร่วมของจมูกอักเสบภูมิแพ้ แต่บางคนก็มีภูมิแพ้ทางตาอย่างเดียว เป็นอาการที่เจอร่วมกันได้ แต่เกณฑ์การวินิจฉัยเราจะเน้นเรื่องของจมูกภูมิแพ้ขึ้นตาเจอได้บ่อยมาก อาการจมูกอักเสบจากภูมิแพ้นอกจากจะมีอาการเวลาเราดูคีย์เวิร์ดว่าต่างจากติดเชื้ออย่างไร เวลาหมอแนะนำคนไข้นะคะ

ก็คือถ้าเขามีอาการเป็นช่วงๆ กลางคืน เช้ามืด หรือไปโดนสิ่งที่แพ้ เช่น แพ้สุนัข แพ้แมว ไปเล่นกับมันแล้วเป็นทันทีอันนี้คือชัดแล้วว่าเป็นแค่ภูมิแพ้ จะแยกกับติดเชื้ออย่างไร ถ้าเมื่อไหร่มีอาการติดเชื้อแทรกเข้ามาติดเชื้อทางเดินหายใจไม่ว่าจะเป็นหวัด ไข้หวัดใหญ่ โควิด มันก็จะเป็นทั้งวัน จาม คัดจมูก มีน้ำมูกเป็นทั้งวัน แต่อาการคันจะไม่เด่น

ถ้าไม่ได้มีภูมิแพ้อยู่ด้วยติดเชื้ออย่างเดียวจะไม่คันจมูก คันจมูก คันตา อาการเด่นคือภูมิแพ้ แต่อย่างที่บอกบางคนก็มี 2 อย่าง ภูมิแพ้แย่ยังเรื้อรังติดเชื้อแทรกเข้ามาก็อาจจะต้องสังเกตดูว่าช่วงก่อนหน้านี้เขามีอาการเรื้อรังอยู่เฉพาะกลางคืน เช้ามืด แต่ช่วงนี้เหมือนเป็นทั้งวันเลยแล้วก็เริ่มมีไข้ มีไอ มีเสมหะ อันนี้ก็อาจจะมีเรื่องของการติดเชื้อทางเดินหายใจแทรกเข้ามา

บางคนบอกว่าเป็นทั้งเลยแต่กลางคืนอาการเป็นเยอะ ถ้าใครติดเชื้อทางเดินหายใจกลางคืนอากาศเย็นก็จะมีอาการเยอะขึ้น โดนแอร์เป่าอาการก็อาจจะเป็นเยอะได้เหมือนกันแต่ช่วงกลางวันระหว่างไม่ได้โดนสิ่งที่แพ้ก็น่าจะอาการหายไป ถ้าเป็นอย่างนั้นก็เป็นแค่ภูมิแพ้

ส่วนใหญ่คีย์เวิร์ดง่ายๆ ที่หมอถามประโยคแรกเลย เป็นทั้งวันหรือเปล่าค่ะ อาการเป็นทั้งวันเหมือนกันไหมแล้วแย่ลงตอนกลางคืนถ้าอย่างนั้นก็คือติดเชื้อ อาการกลางวันไม่เป็นเลยค่ะ ร่าเริง แฮปปี้ พอหลังเที่ยงคืน เช้ามืด เริ่มเป็น โดนฝุ่นเยอะๆ เริ่มเป็น ฝนจะตกเริ่มเป็น อันนี้อาจจะเป็นแค่ภูมิแพ้ วิธีการแยกแบบง่ายๆ

แล้วก็มีไข้ไหม มีไอ มีน้ำมูก มีเสมหะอะไรหรือเปล่า อันนั้นก็อาจจะบ่งว่าถ้ามีไข้ก็อาจจะมีเรื่องของการติดเชื้อแล้ว

ไข้หวัดธรรมดาอาการจะคล้ายภูมิแพ้แต่จะเป็นทั้งวัน ไข้หวัดใหญ่อาการก็จะหนักกว่าไข้หวัดธรรมดาก็จะมีไข้สูง ป่วย เพลีย ซึม คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ไอ น้ำมูกเยอะ

ไข้หวัดใหญ่กับโควิดคล้ายกันมาก แยกกันง่ายๆ คือ ประวัติการสัมผัสเชื้อ เช่น คนใกล้ตัวเรามีใครมีแนวโน้มเป็นหรือเปล่าแล้วเราไปใกล้ชิดกับเขาไหม อันนี้ก็อาจจะมีความเสี่ยงว่าเราอาจจะติดโควิดไหม และการที่เด็กติดโควิดต้องมองหาคนในบ้านแน่นอนเพราะเด็กไม่ได้ไปโรงเรียน ไม่ได้ไปไหนต้องรับเชื้อมาจากคนใกล้ชิด นี่คือแยกง่ายๆ

แต่ช่วงนี้โรคไข้หวัดใหญ่ไม่ค่อยระบาดโควิดเจอบ่อยกว่า ฉะนั้นใครที่มีอาการสงสัยหมอคิดว่าอาจจะต้องตรวจ บางคนไม่รู้ตัวประวัติไม่ชัดเจน

ภูมิแพ้เรื้อรังกระทบกับพัฒนาการ

อาการภูมิแพ้ถ้าเป็นยืดเยื้อเรื้อรังมีผลต่อร่างกายและจิตใจแน่นอนโดยเฉพาะถ้าเป็นเรื้อรังการอักเสบ เช่น เป็นจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ หรือเป็นโรคหืด ยืดเยื้อเรื้อรังมันยิ่งเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ บางคนเป็นแค่จมูกอักเสบจากภูมิแพ้ปล่อยให้เป็นเรื้อรังไม่รักษาให้ดีๆ ก็จะกลายเป็นโรคหืดในอนาคตได้ ทางเดินหายใจส่วนบนกับส่วนล่างมีการอักเสบเกี่ยวเนื่องต่อเนื่องกัน

ถ้าเกิดเขาเป็นมันมีผลต่อคุณภาพชีวิตการเจริญเติบโต เพราะว่าถ้าใครเป็นจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ เป็นเยอะๆ กลางคืนเขาจะหายใจไม่ออกคัดจมูกตื่นมา บางคนตื่นมาไอ ตื่นมาจาม ตื่นมาหายใจไม่ได้เลยต้องลุกขึ้นนั่งก็มีผลต่อการนอนของเขาชั่วโมงการนอนลดลงแน่นอน หรือบางคนตื่นมาหอบกลางคืนถ้าเป็นโรคหอบโรคหืดแล้วไม่สามารถคุมอาการให้ดี แม้แต่เป็นผื่นภูมิแพ้ผิวหนังอักเสบถ้าตื่นมาเกาตลอดก็ไม่สามารถที่จะนอนได้ดีอีก ก็จะมีผลถ้านอนไม่ดีผลตามมาเยอะมากไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่

ถ้าเป็นเด็กเราก็ Concern เรื่องของ Growth Hormone นอนไม่ดีการเจริญเติบโตไม่มีจะมีผลเรื่องของภูมิคุ้มกันด้วยถ้านอนน้อยจะทำให้เขามีความแข็งแรงของร่างกายลดลง ก็อาจจะมีการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น

นอกจากนั้นในเรื่องของพัฒนาการก็มีผลถ้าสมมติว่าเขาป่วยบ่อยๆ ติดเชื้อบ่อยๆ สมมติเป็นภูมิแพ้กำเริบมันก็จะติดเชื้อแทรกเข้ามาเยอะเป็นได้อย่างที่หมอเล่าให้ฟัง หรือโรคหืดกำเริบบ่อยๆ เขาก็ต้องหยุดเรียนร่างกายเขาอ่อนแอไม่สบายก็ต้องพักผ่อน สมรรถภาพ ประสิทธิภาพ พัฒนาการย่อมจะมีปัญหาอยู่แล้ว

ฉะนั้นทั้งร่างกายและจิตใจก็จะมีความเครียด ป่วยบ่อยก็จะรู้สึกแย่กับตัวเองแล้วก็เรื่องของพัฒนาการ แทนที่เขาจะได้รับการเรียนรู้อย่างเหมาะสมตามวัยโอกาสก็จะลดลง รวมถึงบางคนเป็นหนักถึงขั้นจมูกอักเสบภูมิแพ้เยอะๆ ก็จะมีภาวะอุดกั้นทางเดินหายใจขณะหลับขาดออกซิเจนตอนนอน ถ้าเกิดมีต่อมอดีนอยด์ ทอนซิลโต มีภาวะขาดออกซิเจนก็ยิ่งมีผลต่อร่างกายรุนแรงมากๆ ด้วย

ฉะนั้นภูมิแพ้ไม่ใช่เรื่องเล็กแต่จะนำมาซึ่งปัญหาใหญ่ๆ ได้ถ้าเราไม่ควบคุมให้ดี แต่ถ้าเรารักษาดีๆ เขาก็อาจจะหายเลย บางคนรักษาเร็วตั้งแต่เล็กโอกาสหายมีได้ไม่ว่าจะเป็นจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ก็ตาม แต่ถ้ามารักษาตอนเป็นผู้ใหญ่เป็นมานานหลายสิบปี ทางเดินหายใจมีการอักเสบเรื้อรังมานานแล้วโอกาสที่จะหายก็ยากขึ้นภาวะแทรกซ้อนก็จะเยอะ

วิธีการรักษาลูกเป็นภูมิแพ้

เอาหลักการเลยเริ่มจากไม่ใช้ยาเลย หลักก็คือถ้ามีโอกาส เราคิดว่าลูกเป็นภูมิแพ้เท่าที่ฟังคุณหมอเล่าแล้วคิดว่าเขาเป็น มีโอกาสควรพบคุณหมอเพื่อหาสาเหตุว่าเขาแพ้อะไร เช่น เราเลี้ยงแมวแล้วเขาแพ้แมวหรือเปล่า เราก็ต้องพิจารณาอีกทีหนึ่ง เรื่องของไรฝุ่น เราต้องจัดการกับไรฝุ่นถ้าเขาแพ้ สามารถทำการทดสอบภูมิแพ้ ไม่ว่าจะทำการ Skin Test หรือการเจาะเลือดได้ มาพบหมอภูมิแพ้ แล้วคุณหมอก็จะประเมินว่าตอนนี้เป็นเยอะแค่ไหน ต้องรีบรักษาแค่ไหน ควรรักษาด้วยวิธีใดบ้าง แล้วก็เขามีภาวะแทรกซ้อนหรือยัง เช่น บางคนอุดกั้นทางเดินหายใจขณะหลับขาดออกซิเจน บางคนเป็นไซนัสอักเสบยืดเยื้อเรื้อรังจะต้องได้รับการแก้ไข

1.เราทำทดสอบเรารู้ว่าเลี่ยงอะไร

แล้วเราก็หลีกเลี่ยงสิ่งที่เราแพ้คือสารก่อภูมิแพ้ รวมถึงหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น ไม่ว่าจะเป็นควันบุหรี่ มลภาวะ คุณพ่อคุณแม่ดูแลช่วยให้ลูกหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ให้ได้มากที่สุด ถ้าแพ้อาหารก็จะได้หลีกเลี่ยงอาหารที่เราแพ้ทำให้อาการของเราดีขึ้น

2.รักษาร่างกายให้แข็งแรง

หมอเป็นจมูกอักเสบจากภูมิแพ้มาตั้งแต่เด็กมาดูแลตัวเองดีมากๆ จริงๆ ตอนมาเป็นหมอภูมิแพ้ก็รู้รักษาไม่หายขาดเพราะเป็นมานานมากตั้งแต่เด็กแต่เรารู้วิธีการดูแลตัวเองให้เราสบายไม่เป็นอะไร เราทำตัวเองให้ร่างกายแข็งแรงก็จะลดอาการที่กำเริบได้

3.นอนพักผ่อนให้เพียงพอ

ถ้าวันไหนนอนน้อยสังเกตเลยกำเริบ อาการคัดจมูก มีน้ำมูกจะมาง่าย เด็กๆ และผู้ใหญ่ก็เช่นกัน เด็กๆ ต้องนอนถึง 10 ชั่วโมง ผู้ใหญ่ถ้า 8 ชั่วโมงจะดีมากในทางปฏิบัติบางคนก็ทำไม่ได้ ทำให้ได้เยอะที่สุดเท่าที่ทำได้ตามหน้าที่ของเรา

ถ้าเรานอนเยอะภูมิแพ้ก็จะกำเริบน้อยลงแน่นอน การออกกำลังกาย ใครเป็นจมูกอักเสบจากภูมิแพ้แล้วได้ออกกำลังกายสังเกตว่าจมูกจะโล่งอาการจะดีขึ้น พยายามให้ลูกและตัวเราออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ถ้ามีโอกาสทำได้ทุกวันก็ดี หรืออย่างน้อยวันเว้นวัน วันละครึ่งชั่วโมง การออกกำลังกายก็จะทำให้สุขภาพดี ภูมิแพ้กำเริบน้อยลงอาการดีขึ้น

4.กินอาหารครบ 5 หมู่อย่างสมดุล

เด็กๆ อาจจะไม่ชอบทานผักผลไม้ ซึ่งมีวิตามินช่วยให้ร่างกายเราสมดุล โอกาสที่ภูมิแพ้จะกำเริบก็ลดลง การอักเสบต่างๆ ในร่างกายก็จะลดลงได้ เป็นหลักการดูแลง่ายๆ เวลาที่ลูกหรือเราเองเป็นภูมิแพ้ก็ตาม ยารักษาโรคภูมิแพ้

ถ้าใครมีอาการจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ โรคหืด หรือแม้แต่ผื่นภูมิแพ้ผิวหนังคุณหมอก็จะสั่งให้กินยาแก้แพ้กลุ่ม Antihistamine สำหรับเด็กมียาแก้แพ้บางตัวที่ใช้ต่อเนื่องได้เป็นปีๆ บางคนเป็นหนักต้องกินนานมีการศึกษาว่าไม่มีผลต่อตับต่อไต มีแต่เราต้องเลือกใช้อย่างถูกต้อง ไม่แนะนำให้เริ่มใช้ยาด้วยการซื้อมาทานเองแล้วก็ใช้ต่อไปเรื่องๆ โดยที่ไม่ปรึกษาคุณหมอแนะนำให้ดูแลอาการกับคุณหมอก่อน

แล้วก็จะมียารักษาภูมิแพ้อื่นๆ เช่น ยากลุ่มต้านสาร leukotrienes ที่ใช้รักษาโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้และใช้ในโรคหืด นอกจากนั้นก็จะมียาในกลุ่มที่เป็นยาสูตร สมมติว่าใครที่เป็นโรคหืดก็ใช้อย่างสม่ำเสมอแต่ไม่ใช่ซื้อใช้เองต่อไปเรื่องๆ โดยที่ไม่ไปพบคุณหมอ อันนั้นไม่แนะนำ

ยาพ่นจมูกถ้าเป็นจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ก็สามารถใช้ต่อเนื่องได้ภายใต้การดูแลของคุณหมอไม่แนะนำให้ใช้นานเหมือนกัน แต่ในบางเคสที่เป็นหนักหมอก็จะพิจารณาว่าจะให้ใช้ต่อเนื่องเป็นหลักหลายๆ เดือนแล้วก็อาจจะหยุดเป็นพักๆ รวมถึงยาทาด้วยบางคนเป็นผื่นผิวหนังอักเสบเรื้อรังแล้วก็ทาสเตียรอยด์ทาต่อเนื่องก็ไม่ดี

บางคนเป็นภูมิแพ้หลายระบบทางเดินหายใจด้วยผื่นด้วย ยาทาสเตียรอยด์หมอไม่แนะนำให้ทาต่อเนื่องเพราะมันจะมีผลได้ เช่น กดภูมิต้านทาน หรือกดการเจริญเติบโตของเด็กถ้าใช้ภายใต้การดูแลของคุณหมอก็น่าจะดีกว่า ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้าร่างกายเราไม่เป็นมากบางช่วงไม่ต้องใช้ยาเลย เช่น คุณหมอมีคนไข้จมูกอักเสบจากภูมิแพ้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่บางคนเป็นไม่เยอะมีน้ำมูกนิดหน่อยล้างจมูกก็หาย การล้างจมูกก็เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยได้แต่ก็ไม่จำเป็นต้องล้างทุกวันล้างตามอาการก็พอ

วิตามินช่วยเรื่องภูมิแพ้ได้ไหม

ต้องถามก่อนว่าเขาสามารถทานอาหารที่มีวิตามินได้หรือเปล่า ลองนึกถึงโบราณภูมิแพ้ก็มีไม่เยอะเราไม่ได้มียามีวิตามินอะไรมากมาย เด็กบางคนก็ไม่ชอบกินวิตามินเม็ดก็พยายามเชียร์ให้เขาทานผักผลไม้ที่มีวิตามินครบถ้วนก็จะช่วยให้เขาอาการภูมิแพ้ลดลง

บางคนบอกว่ากินวิตามินซีก็จะช่วยเยอะกินวันละ 1,000 มิลลิกรัมในผู้ใหญ่ แต่ในเด็กหมอไม่แนะนำให้กินเยอะเพราะทานมากไปวิตามินซีมีความเป็นกรดอาจมีการระคายกระเพราะ และอาจเป็นนิ่วในทางเดินปัสสาวะได้หากทานเยอะเกินไป แต่ถ้าผู้ใหญ่ไตดีไม่ได้มีปัญหาอะไรแต่อยากให้ทานอย่างสมดุลดีกว่า

มีการศึกษาว่าวิตามินซีป้องกันหวัดได้จริงไหม แต่โดยรวมการศึกษา ณ ปัจจุบันวิตามินซีก็อาจจะช่วยลดระยะเวลาและความรุนแรงของโรคหวัดได้ถ้าทานอย่างสม่ำเสมอแต่ว่าไม่ถึงกับป้องกันไม่ให้เป็นหวัดเลย แต่วิตามินไม่ว่าจะเป็นวิตามินซีหรือวิตามินอื่นๆ ก็ตามก็จะช่วยให้ภาวะต่างๆ ในร่างกายสมดุลไม่ควรที่จะขาดวิตามินไม่ว่าจะวิตามินใดๆ อยากจะให้ทานผักผลไม้กัน ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ถ้าทานได้ไม่ปัญหาที่จะต้องทานยาหรือวิตามินเสริมอะไร

หลายคนถามหมอเรื่องวิตามินป้องภูมิแพ้ รักษาภูมิแพ้ มันอาจจะยังไม่มีข้อมูลงานวิจัยที่ชัดเจนที่จะมาซัพพอร์ตจะไม่เหมือนวัคซีนหรือยา พยายามให้ลูกทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ อย่าลืมพวกกลุ่มวิตามินผักผลไม้เพราะเด็กจะไม่ค่อยชอบทานพยายามเชียร์กันหน่อย หรือเห็นว่าทานไม่ได้จริงๆ จะลองปรึกษาคุณหมอเรื่องของวิตามินเสริมก็ได้แต่อยากให้ใช้ในการดูแลของคุณหมอ

ภูมิแพ้มียาหรือวัคซีนไหม

คำว่าวัคซีนภูมิแพ้ไม่ใช่วัคซีนป้องกันโรคแต่เป็นวัคซีนที่ใช้ในการรักษา วัคซีนภูมิแพ้หรือที่เราเรียกว่า IMMUNOTHERAPY คือการที่เราฉีดสิ่งที่เราแพ้ที่สกัดมาเป็นรูปของยาเข้าไปในร่างกายเป็นระยะเวลา 3-5 ปี จนกระทั่งเขาสามารถทนต่อสิ่งนั้นได้สัมผัสกับสิ่งนั้นแล้วไม่มีอาการ เช่น วัคซีนภูมิแพ้ไรฝุ่นที่หมอฉีดให้คนไข้อยู่เป็นประจำก็เอาไรฝุ่นที่เขาแพ้ คือทำ Skin Test เจาะเลือดแล้วรู้ว่าแพ้เจ้าตัวไรฝุ่นนี้มาสกัดเป็นยาแล้วค่อยๆ ฉีดเพิ่มปริมาณและความเข้มข้นไปเรื่อยๆ

โดย 5-6 เดือนแรกเจอคุณหมอฉีดยาทุกอาทิตย์ ฉะนั้นเราจะไม่ทำในเด็กเล็กจะทำในเด็ก 5-6 ขวบขึ้นไปที่ยินยอมพร้อมใจมาฉีดยาทุกอาทิตย์ หรือบางคนสะดวกมาอาทิตย์ละ 2-3 ครั้งก็ได้ผู้ใหญ่บางคนที่ทำอยู่ทำไปเรื่อยๆ จนกระทั่งจากทุกอาทิตย์ก็เป็น 2 อาทิตย์ 3 อาทิตย์4 อาทิตย์ครั้ง สุดท้ายที่ประมาณเดือนละครั้งจนไปถึง 3-5 ปี มีการศึกษาว่าทำให้เขาหายการจากแพ้ไรฝุ่นไปเลยโดนฝุ่นแล้วไม่เป็นอะไร ยกเว้นโดนหนักจริงๆ อาจจะมีอาการนิดหน่อย หรือบางคนแพ้แมวมาฉีดวัคซีนภูมิแพ้แมวเขาก็เลี้ยงแมวได้โดยที่ไม่มีอาการ

วัคซีนภูมิแพ้จะมีแบบฉีดและแบบอมใต้ลิ้น แบบอมใต้ลิ้นคืออมวันละหนก็อมยาทีสกัดจากไรฝุ่น วัคซีนแบบอมใต้ลิ้นในประเทศไทยตอนนี้มีแต่ตัวไรฝุ่น อมทุกวันก็จะช่วยให้หายจากการแพ้ไรฝุ่นได้ใช้เวลาเป็นปีๆ เหมือนกัน แต่ไม่ได้เป็นวัคซีนป้องกันโรคไม่ได้ฉีดครั้งเดียวแล้วป้องกันภูมิแพ้ไม่มี

เป็นภูมิแพ้สามารถหายได้ไหม

ภูมิแพ้มีหลายแบบทั้งหายและไม่หายขึ้นอยู่กับชนิดของโรค ถ้าในกรณีที่หายแน่ๆ สถิติหายเยอะมากคือ แพ้อาหารในเด็กเบบี๋ แพ้นมวัว แพ้ไข่ ถั่วเหลือง อันนี้หายแน่ๆ แต่แพ้อาหารบางอย่างก็ไม่หาย เช่น แพ้ถั่วลิสง ถั่วเปลือกแข็ง บางคนแพ้จนโตไม่หาย แพ้แป้งสาลีบางคนหายหลัง 5 ขวบ แต่บางคนก็ไม่หายเลย

ขึ้นอยู่กับว่าแพ้อะไร ความรุนแรงของโรคเป็นแค่ไหน เช่น บางคนแพ้นมวัวหมอเจาะเลือดดูค่าสารภูมิแพ้ สมมติว่าเกณฑ์ที่เราจะเอาเป็นบวกมากกว่า 0.35 Specific IGE สมมติเด็กคนนี้เจาะมาตอน 1 ขวบได้ค่าประมาณ 0.9 แล้วอาการก็ไม่ได้รุนแรงหมอก็จะบอกว่าเดี๋ยวหาย เราก็เจาะดูอย่างน้อยปีละครั้ง แต่เด็กอีกคนหนึ่งมีอาการเยอะ แล้วเจาะมาค่า Specific IGE ต่อนมมากว่า 100 อันนี้หมอก็จะบอกว่าขอดูกันต่อไป ยังไม่กล้ารับปากว่าจะเป็นอย่างไร หายสนิทไหม และหายเมื่อไหร่ ขึ้นอยู่กับแพ้อะไร ความรุนแรงของโรค แล้วก็ขึ้นอยู่กับว่าเป็นโรคอะไรด้วย

เช่น จมูกอักเสบจากภูมิแพ้ กรณีแพ้ไรฝุ่น เขาบอกว่าถ้าเด็กเป็นจมูกอักเสบจากภูมิแพ้แล้วได้รับการรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่เล็กที่เริ่มเป็น เช่นเป็นมาไม่ถึงปีแล้วเริ่มรักษา โอกาสหายแม้จะแพ้ไรฝุ่นที่เจอกันทุกวันก็ตาม มากกว่า 20% หายแน่ ไม่ได้เป็นจนโต โรคหืดถ้ารักษาดีๆ หลายคนหายก่อนเข้าวัยรุ่น ฉะนั้นถ้าคุณพ่อคุณมี่ลูกเป็นภูมิแพ้อย่าให้เขาเสียโอกาสในการที่เขาจะหายจากโรค ควรจะต้องดูแลเขาอย่างดีให้ได้รับการรักษาที่ถูกต้องตั้งแต่ยังเล็ก

สงสัยลูกแพ้ควรทำ Skin Test หรือตรวจเลือดเลยไหม

ถ้าเราสงสัยว่าลูกมีอาการเรื้อรัง ทางเดินหายใจเรื้อรัง มีความคัดจมูกน้ำมูกไหล เป็นๆ หายๆ มีเรื่องของการเหนื่อยหอบผิดปกติ หายใจวี้ดๆ หรือมีผื่นคันเรื้อรังเป็นๆ หายๆ อันนี้แนะนำให้มาตรวจกับคุณหมอเพื่อหาสาเหตุด้วยการทำ Test เลย วิธีการทำ Test ถ้าเป็นการทำ Skin Test

Skin Test

ข้อมูลเด็กเล็กที่สุดที่สะกิด Skin Test แล้วจะขึ้นในกรณีที่แพ้จริงๆ ถ้าเล็กกว่า 4 เดือนมักไม่ค่อยขึ้น ถ้าจะมีโอกาสขึ้นสูงๆ สามารถทำ Skin Text ได้ตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป แต่ถ้าใครอยากทำเร็ว 4 เดือน ก็เคยมีการศึกษาก็ขึ้นเหมือนกัน แต่ด้วยความที่เขายังเล็กเซลล์ในการตอบสนองต่อการ Test มันอาจจะยังทำหน้าที่ได้ไม่สมบูรณ์เหมือนเด็กที่โตขึ้น รวมถึงการแพ้สารภูมิแพ้ในอากาศ เช่น ไรฝุ่น บางคนไม่ได้เจอฝุ่นเยอะมาตั้งแต่แรกทำ Test ตอนเป็นเบบี๋อาจจะยังไม่ขึ้นหลัง 2 ขวบถึงจะค่อยขึ้น

การเจาะเลือด

สามารถทำได้เลยในทุกวัยก็คืออายุ 2-3 เดือนก็เจาะเลือดได้ต่อสารก่อภูมิแพ้ ทั้งนี้ทั้งนั้นแต่ละ Test ก็มีข้อดีข้อเสียต่างกัน คุณหมดต้องดู Condition ของคนไข้นอกจากอายุแล้วก็จะมีอื่นๆ ว่าเขาควรใช้ Test อะไรดี เช่น ถ้าเขากินยาแก้แพ้อยู่เราจะทำ Skin Test ไม่ได้ ต้องหยุดยาแก้แพ้อย่างน้อย 7 วัน ก็ต้องเจาะเลือดเอา ซึ่ง

สมมติว่าถ้าเขามีการทำ Skin Test แล้วได้ผลไม่ชัดแต่เราสงสัยว่าแพ้อันนั้นจริงๆ ก็อาจจะใช้วิธีเจาะเลือด บางคนอาจจะต้องทำ 2 Test เพื่อ Confirm กันและกัน จริงๆ แล้วหลักในการทำทดสอบภูมิแพ้มี 3 อย่าง 1. Skin Test 2. เจาะเลือด เป็นการอ้อมๆ เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายแก่คนไข้ 3. Challenge Test คือการลองกินเลย หรือสูดไรฝุ่นเลยดูว่ามีอาการภูมิแพ้จริงไหมซึ่งทางปฏิบัติเราไม่ค่อยทำ เราจะทำ Skin Test หรือเจาะเลือดกันมากกว่า

ในช่วงนี้สถานการณ์ตอนนี้คือโควิดระบาดแต่เด็กไม่ได้ไปโรงเรียนแต่เด็กทุกคนอาจจะมีเรื่องของอาการภูมิแพ้กำเริบได้จากการที่ช่วงนี้ฝนตกบ่อย โดยเฉพาะภูมิแพ้ทางเดินหายใจ แพ้อากาศ ไอ จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล อยากให้คุณพ่อคุณแม่สังเกตดู ถ้าไม่สงสัยว่าเขาเป็นภูมิแพ้มาก่อน ก็อาจจะสังเกตดูว่ามีอาการไหนที่หมอเล่าให้ฟังหรือเปล่า ถ้ามีแนะนำให้พบคุณหมอเพื่อตรวจหาสาเหตุและได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ถ้าไม่เคยตรวจเลยแล้วไม่อยากไปโรงพยาบาลบ่อยๆ

ครั้งแรกก็อาจจะเป็นการไปตรวจก่อนหลังจากนั้นก็สามารถนัดคุยกับคุณหมอได้ เช่น หมอทำตอนนี้ที่โรงพยาบาล ถ้าไม่เคยเจอกันเลยครั้งแรกมาตรวจกันหลังจากนั้นหมอก็จะนัดทำ Telemedicine คุยกันทาง VDO Call ส่งถึงบ้านได้ เพราะเราเคยตรวจเขามาแล้วว่าเขาเป็นอะไรอย่างไร แต่ถ้าไม่เคยเจอกันมาก่อนเลยก็อาจจะยาก แล้ว

ถ้าได้รับการวินิจฉัยแล้วคุณพ่อคุณแม่รักษาดูแลเขาให้ดีที่สุด หลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้ ทำให้ร่างกายแข็งแรง นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย ทานอาหารที่มีประโยชน์ แล้วถ้าคุณหมอมีความเห็นว่าเขาควรใช้ยาอะไรก็ให้เขาได้รับยาตามที่หมอบอก ถ้าคุณหมอนัดดูอาการก็ควรมาดูอาการที่โรงพยาบาล หรือถ้าไม่สะดวกก็นัดคุยกันทำ Telemedicine คุยกันทาง VDO Call ได้ไหมก็คุยกับคุณหมอที่ดูแล อย่างที่โรงพยาบาลพระรามเก้าก็จะมีบริการเหล่านี้ช่วยเหลือคนไข้อยู่

 

ติดตามฟังได้ที่รายการรักลูก The Expert Talk 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

 

รักลูก The Expert Talk EP.20: “รับมือวิกฤตในวิกฤต เมื่อลูกต้องเรียนออนไลน์”

รักลูก The Expert Talk EP.20: “รับมือวิกฤตในวิกฤต เมื่อลูกต้องเรียนออนไลน์”

วิกฤตในวิกฤตของเด็กปฐมวัย เมื่อโรงเรียนสอนแบบ On Site ไม่ได้ พัฒนาการด้านสังคมของเด็กจึงเริ่มถดถอย ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมขาดหาย และสูญเสียโอกาสในการเรียนรู้หลายมิติ พ่อแม่รับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไร รับฟังความคิดเห็นนักวิชาการด้านการศึกษา ผศ.ดร.ยศวีร์ สายฟ้า รองคณบดี คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

สาเหตุหลักที่เราไม่สามารถ On site ได้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าเราคำนึงเรื่องความปลอดภัยของเด็กๆ เป็นหลัก ด้วยการแพร่ระบาดของโรคมีอัตราค่อนข้างสูงในแต่ละวัน แล้วโรงเรียนเป็นสถานที่หนึ่งที่รวมบุคคลเข้าด้วยกันอาจจะเป็นคลัสเตอร์ได้เลยหากเกิดอะไรขึ้นมา

เพราะฉะนั้นต้องทำความเข้าใจมันมีความจำเป็นของมันจริงๆ ที่ไม่สามารถ On site ได้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาก็จะส่งผลกระทบต่อกันเป็นทอดๆ เลยเป็นที่มาว่าอย่าเพิ่ง On site ก็คงไม่ได้เป็นแบบนี้ตลอดไปอาจจะต้องมีกระบวนการบางอย่างมีแนวคิดในทำนองว่าถ้าตัวเลขลดลงมาถึงในระดับที่น่าจะรับมือกันได้ หรือการกระจายของจำนวนพื้นที่ที่ผู้ติดเชื้อมีการกระจายตัวหรือพื้นที่สถานการณ์ดีแล้ว ก็เชื่อว่าสถานการณ์น่าจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ ท้ายที่สุดการที่อยากให้เด็กกลับเข้าไปเรียนในโรงเรียน เชื่อว่าผู้เกี่ยวข้องไม่ว่าจะผู้บริหารหรือคุณครู คุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครอง ก็ต้องสบายใจที่จะให้ลูกไป ถ้าสมมุติว่าเราที่เป็นคุณพ่อคุณแม่มีความรู้สึกว่าหายห่วง

อีกประเด็นในมุมของคุณครูก็อยากให้มา การสอนทุกวันนี้มันทำให้งานของเขายากด้วยไม่ใช่ทุกคนที่จะเรียนรู้ได้อย่างเต็มที่ภายใต้สถานการณ์ตรงนี้ ซึ่งคุณครูส่วนใหญ่รับทราบข้อมูลประเด็นนี้ถ้าเลือกได้ ถ้าสถานการณ์มันดีกว่านี้มากๆ แล้วเลือกได้ก็อยาก On site

วิกฤตการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย

ต้องเล่าก่อนว่าเป็นเหมือนภาคต่อเรื่อยๆ ของระลอกใหม่ ถ้าเปรียบกับปีการศึกษาปี 2563 ที่เริ่มวิกฤตกันประมาณเมษายนจะเปิดเทอมกันตั้งแต่พฤษภาคมก็เปิดไม่ได้เขยิบไปมิถุนายนแล้วก็ประกาศอีกที เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมปีที่แล้วก็เปิดแบบ On site แต่เปิดแบบมีเงื่อนไขต้องเว้นระยะห่าง ในรอบนั้นลักษณะการเรียนรู้แบบออนไลน์หรือเรียนรู้จากที่บ้านเป็นเหมือนการชิมราง มีเป้าหมายว่าเปิดเทอม 1 กรกฎาคม เปิดเทอมเพราะฉะนั้นการสอนของคุณครูบางโรงเรียนที่มีความพร้อมเยอะหน่อยเขาก็สอนไปตามปกติเพราะเขาก็มีช่องทางที่เข้าถึง

เพียงแต่ในหลายๆ โรงเรียนที่เหมือนพอได้บางเหมือนกับซ้อมรอก่อนเปิดเทอมเป็นการเรียนรู้ค่อยเป็นค่อยไป บางที่ก็จะหาอย่างอื่นมาให้เด็กๆ ทำในช่วงระหว่างรอเปิดเทอมแต่นั่นคือปีที่แล้ว แต่พอมาปีนี้สถานการณ์คือ 1.ตัวเลขแย่ลง ผู้ป่วยมีเยอะขึ้นๆ ก็จะมีการเลื่อนเปิดเทอมไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงจุดทำใจว่าเทอมนี้ต้องอยู่กันยาวๆ เลยเกิดเป็นคำถามว่าสถานการณ์ของปีที่แล้วกับสถานการณ์ของปีนี้มันต่างในแง่ของการเรียนรู้ อย่างปีทีแล้วจะรู้ว่าช่วงสั้นๆ 1 กรกฎาคม ก็จะเปิดเทอมแล้วเดี๋ยวถึงมือคุณครูก็จะสบายใจ

แต่ตอนนี้ประเมินสถานการณ์ไม่ได้ เลยเป็นที่มาของการสำรวจสถานการณ์ว่าคุณครูในระดับปฐมวัยจนถึงระดับประถมศึกษาตอนต้นเขาดำเนินอย่างไรกัน ซึ่งเราก็พยายามสำรวจกับกลุ่มเป้าหมายคือกลุ่มคุณครูเป็นการเฉพาะ

ทำไมถึงต้องเลือกศึกษาเฉพาะกลุ่มเด็กปฐมวัยกับเด็กประถมศึกษาตอนต้นเพราะว่าในแง่ของการเรียนรู้เราจะพบว่าด้วยวุฒิภาวะด้วยสมาธิต่างๆ เด็กกลุ่มนี้ถ้าเวลาที่เขาเรียนอยู่ที่บ้านจำเป็นจะต้องมีผู้ใหญ่มาคอยช่วยเหลือช่วยสนับสนุน พูดง่ายๆ คือต้องมีคนคอยประกบ ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่สามารถเรียนรู้ได้

ซึ่งมันจะต่างกับพี่ๆ มัธยมหรือพี่ๆ ประถมปลาย ที่พอมีวุฒิภาวะรู้ว่าเวลานี้จะต้องเรียนเข้าออนไลน์ได้หรือสมมติว่ามีลักษณะกิจกรรมที่เป็น On hand เขาก็จะรู้ได้ว่าต้องทำอะไรอย่างไรแล้วเขาก็จะกำกับตัวเองได้ แต่เด็กปฐมวัยกับเด็กประถมต้นอันนี้ยากเพราะต้องมีคนกำกับเราเลยอยากสำรวจตรงนี้มันก็จะสอดคล้องกับคำแนะนำของทางกระทรวงที่เขาก็จะมีคำแนะนำหรือแนวทางที่จะจัดให้กับคุณครูที่จะจัดในช่วงที่ยังเปิดเรียนแบบ On Site ไม่ได้ก็จะมีเป็น 5 On

1.On site ซึ่งตอนนี้ทำได้น้อยมากเพราะส่วนใหญ่พื้นที่ไม่สีแดงเข้มก็สีแดงไม่ก็สีส้ม ในต่างจังหวัดบางส่วนได้ On site แต่บางส่วนก็ได้ On site ในระยะเวลาสั้นๆ ยกตัวอย่างจังหวัดเชียงใหม่

พอดีทำงานวิจัยงานหนึ่งที่เชียงใหม่ เลยได้ข้อมูลจากโรงเรียนว่าช่วงแรกเปิดเรียนแบบ Onsite แต่เป็นการเปิดแบบมีเงื่อนไข คือโชคดีที่โรงเรียนแห่งนี้จำนวนเด็กต่อห้องไม่เยอะเวลาเรียนก็จะกระจายตัวได้ก็จะมีบางส่วนที่ตอนแรกเปิดเรียนชิมรางไปแล้วช่วงสั้นๆ ขณะนี้ก็ไม่ได้เปิดแล้ว ตอนนี้เกือบทุกพื้นที่แทบจะ On site ไม่ได้


2.On Air ให้นึกถึงภาพโทรทัศน์ดาวเทียม สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมที่จะมี ภาษาคุณครูก็จะเหมือนครูตู้ ครูที่อยู่ในตู้ ซึ่งการเรียน On Air ก็จะเป็นตารางวันหนึ่ง คือช่องหนึ่งก็จะเป็นระดับชั้นหนึ่ง

เช่น ป.1 ช่องนี้ ป. 2 ช่องนี้ จะแยกช่องกัน แล้วในแต่ละวันเขาก็จะมีตารางเรียนว่าชั่วโมงนี้วิชานี้ของชั้นนี้ เขาก็จะมีตารางเรียนไว้ไห้ การเรียนเราต้องเข้าไปตามเวลาของเขา แต่ข้อเสียคือเป็นการปฏิสัมพันธ์ทางเดียวเด็กๆ ดูอย่างเดียวไม่สามารถพูดกับคุณครูได้

3.On Demand จะคล้ายกันมีตารางให้ แต่ไม่จำเป็นต้องเข้าตามเวลาเป็นลักษณะ Login หรือ Access อะไรบางอย่างที่เข้าไปถึงคลิปที่ทางโรงเรียนหรือหน่วยงานจัดระบบไว้ให้ เขาจะแขวนคลิปไว้ให้เราอยากเข้าไปดูคลิปไหนก็ไปคลิกดูคลิปนั้น

ซึ่งเป็นลักษณะของ On demandก็จะสบายหน่อยเป็นลักษณะสะดวกเมื่อไหร่ก็ค่อยเรียนสะดวกเวลาไหนก็ค่อยมา ตอนเช้าคุณพ่อคุณแม่ไม่สะดวกดูแลลูกเขาก็จะให้รอตอนเย็นกลับมาจากทำงานแล้วค่อยให้ลูกดูคลิปแล้วเราก็ช่วยดูไปเป็น On demand แต่หลักการก็จะเป็นหลักการเดียวกันคือผู้รับฝ่ายเดียวไม่ใช่ลักษณะของการสื่อสารสองทาง

4.Online เป็นลักษณะของการสอนเสมือนจริงอาจจะผ่านจอ ผ่านระบบบางอย่างซึ่งสามารถมีปฏิสัมพันธ์สื่อสารสองทางได้คุณครูพูดเด็กโต้ตอบกลับคุณครูได้ เด็กๆ คุยกับเพื่อนได้ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Zoom, Google meet ข้อจำกัดของออนไลน์ไม่ใช่ว่าผู้ปกครองทุกคนจะสามารถสะดวกคุณครูบางคนก็ใช้วิธีเอาสิ่งที่ง่ายที่สุดไม่ต้องไปลงแอปอะไรเพิ่มเติมใช้กรุ๊ปไลน์สอน

ในกรุ๊ปไลน์ก็จะมีฟังก์ชั่นวีดิโอคอล สมมุติคุณครูใช้ไลน์จากเครื่องเดสท็อปหรือโน๊ตบุคก็สามารถแชร์หน้าจอได้เวลาสอนแล้วก็สะดวกเพราะคุณพ่อคุณแม่ทุกคนส่วนใหญ่จะมีไลน์ แต่ก็พบว่าไม่ใช่คนทุกที่จะเข้าถึงตรงนี้ได้

5.On Hand คือลักษณะของการสอนที่คุณครูจะเตรียมชุดกิจกรรม หรือแพ็คเกจสำหรับนักเรียนซึ่งในนั้นก็อาจจะประกอบไปด้วย เด็กอนุบาลก็จะเป็นสื่ออุปกรณ์ทำผลงานศิลปะหรือของเล่น หรือเกมการศึกษาหรือหนังสือนิทานอยู่ในชุดแล้วก็จัดอยู่ในซองซิปล็อคว่าสัปดาห์ที่หนึ่งชุดนี้ สัปดาห์ที่สองชุดนี้

อันนี้กรณีที่เป็นอนุบาล ถ้าเป็นประถมเขาก็จะมีหนังสือแล้วก็มีลิสต์รายการว่าสัปดาห์ที่หนึ่งเรียนเรื่องนี้แบบเรียนหนังสือวิชานี้เรียนหน้านี้วันนี้ทำแบบฝึกหัดถึงหน้านี้ที่เหลือเด็กก็จะโซโล่เอง

On Hand คือทุกคนเข้าถึงได้แน่นอนเพราะว่าแค่มารับอุปกรณ์ที่โรงเรียนหรือบางคนใช้บริการไปรษณีย์ไทยส่งมาให้ที่บ้านเพราะฉะนั้นทุกคนเข้าถึงได้อยู่แล้วถ้าเป็น On Hand แต่ข้อจำกัดคือเรียนรู้ด้วยตัวเองเลย แล้วถามว่าใครสอน พ่อแม่สอนนี่เลยเป็นข้อจำกัด

เราดูตามนโยบายของกระทรวงว่าเขาแนะนำอะไรให้คุณครูปฏิบัติบ้างแล้วก็เกิดความสงสัยอยากรู้ว่าในโรงเรียนเขาสอนแค่ไหนใช้วิธีการแบบไหนเลยเป็นที่มาของงานวิจัยว่าเราก็อยากรู้ว่าเขาสอนกันอย่างไรเราก็จะได้เห็นภาพรวมว่าการสอนสวนใหญ่ของบ้านเราเด็กปฐมวัยเด็กอนุบาลเด็กประถมต้นเป็นแบบนี้จะส่งผลอย่างไรกับเด็กบ้างในระยะยาว

พื้นที่การสำรวจ สำรวจทั่วประเทศ มีคนตอบมา 4 พันกว่าคน มีแต่คนอยากตอบคำถาม เราจะมีคำถามที่เป็นปลายเปิดเพราะฉะนั้น 4 พันกว่าคนตอบมาหมดเรามีข้อความ 4 กว่าข้อความที่ต้องวิเคราะห์ แต่ก็ดีใจที่คุณครูสื่อสารให้เราได้ยิน

ผลที่ได้ออกมาค่อนข้างเซอร์ไพรส์ในหลายๆ เรื่อง แต่ผลสืบเนื่องมากจากครูส่วนใหญ่ 4 พันกว่าคนประมาณร้อยละ 70 เป็นครูในบริบทโรงเรียนรัฐบาลซึ่งก็คือรวมหมดเลยทั้งสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ สังกัดกระทรวงมหาดไทย ที่เหลือก็จะมีคุณครูโรงเรียนเอกชน ครูโรงเรียนนานาชาติ โรงเรียนสาธิต ข้อมูลที่ได้มาค่อนข้างเซอร์ไพรส์พอสมควร

คือสมมติเปรียบเทียบเป็น On ทั้ง 4 เราตัด On site ไปเพราะเรารู้ว่าส่วนใหญ่ไม่ได้ On Site อยู่แล้วก็จะมี 1.On Air 2.Ondemand 3.Online 4.On Hand ตอนแรกเราคิดว่า Online จะเวิร์คที่สุดปรากฏไม่ใช่

สิ่งที่ถูกใช้มากที่สุดคือ On Hand ใช้ค่อนข้างเยอะซึ่งพอข้อมูลที่เป็น On Hand ค่อนข้างเยอะ ก็เลยคิดต่อว่าถ้าเป็น On Hand แล้วไม่มีกระบวนการอะไรมาสอดรับกันเด็กจะ Lost พอสมควรเลย เป็นโจทย์ที่ทำให้เห็นว่า On Hand ถูกใช้เยอะมารองลงมาเป็น Online ส่วน On Air กับ On demand กลายเป็นว่าไม่เยอะมากนักเป็นเพราะช่วงวัยด้วยอย่างอนุบาลระบบการเรียนรู้ผ่านโทรทัศน์อาจจะไม่ได้เหมาะเลยกลายเป็นข้อค้นพบว่าตอนนี้ส่วนใหญ่ใช้วิธี On Hand ต้องคิดต่อว่าเด็กจะได้รับผลกระทบอะไรบ้าง

มีข้อคำถามอีกข้อหนึ่งที่เราถามคุณครูไปว่า จากสถานการณ์ตอนนี้รูปแบบการสอนที่เขาใช้ไปส่วนใหญ่จะเป็นรูปแบบ On Hand เขาประเมินแล้วว่าเด็กจะได้รับผลกระทบด้านไหนบ้าง ให้เขาประเมินนักเรียนในช่วง 2-3 เดือนที่ต้อง Off โรงเรียนไปต้องเรียนรู้แบบ On Hand เด็กได้รับผลกระทบอะไรบ้างปรากฏว่าคะแนนที่สูงเลย

64% คุณครูบอกว่าเสียโอกาสในการเรียนรู้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ประการต่อมาก็จะมองว่าการพัฒนาเรื่องของทักษะทางสังคมก็จะหายไปเลยเพราะการไม่ได้พบเจอเพื่อนในห้องเรียนหรือทำกิจกรรมร่วมกันกับเพื่อนในห้องเรียนหรือแม้กับคุณครูเองมันหาย

เรียกว่าบริบทแวดล้อมทางสังคมของเด็กก็ค่อนข้างจำกัด คือแคบลงพอล็อคดาวน์ต้องอยู่บ้านไปห้างก็ไม่ได้ไปสถานที่อื่นๆ ก็ไม่ได้เสี่ยงไปหมดต้องอยู่กับบ้านนี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่กระทบแล้ววิเคราะห์ผลที่เกิดขึ้นตามมา

55% มองว่าพัฒนาการถดถ้อยสำหรับคุณครูมองเด็ก ในหลายๆ มิติอย่างเรื่องของภาษาการฟังการพูดการสื่อสารพอเด็กได้อยู่บ้านวิธีการสอนของโรงเรียนเข้าไปไม่ถึงตัวเด็กได้ พัฒนาการหลายๆ มิติเด็กไม่ได้พัฒนาเด็กอยู่แต่บ้านอาจจะสื่อสารมากสื่อสารน้อยขึ้นอยู่กับสมาชิกในครอบครัวถ้าพูดคุยกับเขาเยอะเขาก็มีโอกาสได้ฝึกฝนได้ใช้ภาษาเยอะ

ถ้าบางคนเลี้ยงลูกให้อยู่กับจอลูกก็ฟังอย่างเดียวไม่ได้สื่อสารไม่รู้จักการใช้ภาษาในการพูดคุยก็สูญเสียเสียโอกาสในการที่จะพัฒนาและเป็นที่มาของพัฒนาการถดถ้อยตามมา

หรือเรามองเรื่องของกิจกรรมทางกายการออกกำลังกายหรือการเล่นกลางแจ้ง ถ้าอยู่แต่ในบ้านหรือสถานที่ที่บ้านหรือบางที่อยู่คอนโดแล้วค่อนข้างไม่ปลอดภัยที่จะออกไปเล่นร่วมกันเลยเป็นข้อจำกัดที่พัฒนาการเด็กไม่ได้รับการพัฒนาอย่างที่ควรจะเป็นเลยเป็นผลเสีย

ซึ่งจริงๆ แล้วในบรรดา 4 On ที่เรามองกันนักวิชาการก็จะมองกันว่าในสภาวะที่ลำบากที่สุดแบบนี้ในแง่ของการสอนที่ไม่สามารถสอนแบบ On Site ได้ On ที่เราคิดว่าน่าจะพอช่วยได้คือ Online เพราะอย่างน้อยที่สุดโดยเครื่องมือของมันยังมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ยังมีการกำกับติดตามของคุณครูได้อย่างเป็นปัจจุบัน

วันนี้เราจะชวนกันออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมกายเคลื่อนไหวและจังหวะแล้วก็ทำพร้อมกันผ่านจอ เด็กก็ทำที่บ้านดูคุณครูฟังเสียงสัญญาณจากคุณครูผ่านจอถ้าได้ยินเสียงสัญญาณนี้ให้ทำท่านี้อะไรแบบนี้ยังพอทำได้บ้างแม้ว่าจะเป็นเสมือนจริงก็ตามทีแต่ข้อจำกัดของออนไลน์ตามที่บอกไปตอนต้นก็คือมันไม่ใช่ทุกคนที่สามารถเข้าถึงได้เลยเป็นข้อจำกัดที่ค่อนข้างยากลำบากในการที่จะจัดการแก้ไขให้มันดีขึ้นได้

สำหรับกระทรวงศึกษาธิการเองเขาก็จะมีมิติช่วยเหลือคุณครูในเรื่องของการสอนอย่างในระดับประถมศึกษาก็จะมีเนื้อหาสาระค่อนข้างเยอะแล้วผู้ปกครองก็จะกังวลเรื่องของการวัดประเมินผลซึ่งที่ผ่านมากระทรวงศึกษาธิการก็จะออกแนวทางหรือให้คำแนะนำว่าไม่จำเป็นต้องสอนครบในหลักสูตรก็ได้ภายใต้สถานการณ์แบบนี้

สอนเฉพาะเรื่องที่สำคัญเขาก็จะมีลิสต์รายการเป็นตัวชี้วัดที่ต้องรู้ต้องมีเรื่องอะไรบ้างซึ่งจะหายไปเยอะมากจากตัวหลักสูตรเพราะฉะนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คุณครูค่อนข้างสบายใจว่าไม่ต้องเครียดกับการสอนให้เด็กต้องได้เนื้อหาครบถ้วนตามหลักสูตรกำหนดไว้

ในขณะเดียวกันกระทรวงศึกษาธิการก็ให้พื้นที่คุณครูในการออกแบบการวัดประเมินผลมากขึ้น แน่นอนคงไม่สามารถวัดโดยการใช้ข้อสอบได้ วิธีการสอบเด็กเครียดเลย

อย่างตอนนี้เป็น Viral ว่าจะสอบแล้วคุณพ่อคุณแม่อ่านหนังสือหรือยัง เลยมีคำแนะนำว่าอาจจะเปลี่ยนวิธีการในการวัดประเมินผลคือ

1.เด็กไม่ต้องมีภาวะเครียด 2.ลดภาระพ่อแม่ในการช่วยเหลือ งานวิจัยนี้ก็ถามในหลายมิติ ในแง่ความพร้อมของเด็กในการเรียนรู้แบบต่างๆ ทั้ง 4 On ในความคิดเห็นของคุณครูที่ดูแลเด็กเขาประเมินว่าเด็กของเขามีความพร้อมในการเข้าถึงแต่ละ On มากแค่ไหน

งจริงๆ เขาเลือกวิธีที่ผู้ปกครองพร้อมที่สุดคือ On Hand แต่ความน่าสนใจคือหลายโรงเรียนไม่ได้ใช้แค่วิธีการเดียวเขาก็จะมีการผสมผสานซึ่งอันนี้ถือว่าเป็นแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของคุณครูได้ค่อนข้างดี

ยกตัวอย่างเช่น โรงเรียนรัฐบาลที่อยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัดแน่นอนว่าเด็กไม่พร้อมที่จะมีคอมพิวเตอร์ มี I-Pad จะมาออนไลน์ ก็ทำให้รู้ว่าคุณครูแก้ปัญหาดีเขารู้ว่าโดยนโยบายเขาก็จัดเป็น On Hand ให้ก็ส่งส่งอุปกรณ์ชุดการเรียนรู้ไปให้เด็ก มีกระบวนการกำกับติดตามซึ่งวิธีการกำกับติดตามของเขาถ้าไปหาเด็กที่บ้านเลย

ส่วนใหญ่ก็อยู่ละแวกใกล้ๆ โรงเรียนก็ไปหาที่บ้านได้ กับอีกส่วนคือใช้โทรศัพท์เพราะโทรศัพท์อย่างไรก็ถึงได้ไม่ต้องวีดิโอคอลก็โทรเลยพูดคุย เขาก็จะเซทตารางเลยว่าวันหนึ่งเขาต้องหาใครอาทิตย์หนึ่งต้องโทรคุยกับเด็กทุกคน ซึ่งก็ดีอย่างน้อยที่สุดปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียนก็ไม่หายแล้วครูก็รู้ว่าเด็กแต่ละคนใช้ชีวิตหรือเรียนรู้ที่บ้านเป็นอย่างไรบ้าง ก็เป็นกระบวนการที่ช่วยทำให้เห็นความพยายามของคุณครูในการช่วยเอาใจใส่กำกับติดตามเด็ก เคยคุยกับผู้บริหารโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่งตอนนี้เขาจำแนกเด็กออกเป็น 4 กลุ่ม แปลว่าเขาต้องเตรียมการสอน คุณครูห้องเรียนเดียวต้องเตรียมการสอนเด็กแบบ 4 กลุ่ม

กลุ่มที่ 1 ต้องใช้แบบ Online คือพร้อมถึงจำนวนก็ไม่ได้ถึง 20% สมมุติห้องหนึ่งมี 30 คน ก็จะ Online ได้ 7-8 คน

กลุ่มที่ 2 เป็นลักษณะ On hand อย่างเดียว

กลุ่มที่ 3 เป็น Online On Hand และ On Demand เพราะฉะนั้นเอาแค่ 3 แบบครูต้องเตรียมการสอนในวิชาเดียว 3 อย่าง

กลุ่มที่ 4 ติดต่อไม่ได้หายไปจากสาระบบ ซึ่งยังแก้ปัญหาไม่ได้ แต่กลุ่มนี้เราจะพบในโรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัด แล้วก็เป็นครอบครัวที่ต้องสัญจรไปตามที่ต่างๆ ย้ายถิ่นฐานตามการทำงานของเขา

เพราะฉะนั้นข้อมูลตรงนี้อยากให้กำลังใจคุณพ่อคุณแม่ว่าท่านไม่ได้หนักหนาสาหัสแต่เพียงลำพัง ฟังคุณครูคือทำงานแทบจะ 7 วัน ภูมิปัญญาอีกอันของเขาคือใช้เป็น Online แต่ Online ของเขาคือเขาก็จะสอนตามตารางสอนจะมีนักเรียนบางคนในห้องที่สะดวกเรียนตามช่วงเวลานั้นพร้อมเรียนคุณพ่อคุณแม่เตรียมให้เพราะฉะนั้นครูก็จะสอนสด

แต่ขณะเดียวกันการสอนสดของคุณครูก็ต้อง Record ไว้เพื่อเอามาทำเป็น On demand ให้กับเด็กที่ดูย้อนหลัง คุณครูรอบคอบเห็นประโยชน์กับเด็กไม่ทิ้งเด็กไว้อยู่เบื้องหลังเลย ซึ่งเบื้องหลังคุณครูต้องทำงานมี Post Production ต้องตัดต่อเพราะเวลาสอนสดจะมีทำแบบฝึกหัดก็จะมีเฉลยเราต้องมาตัดต่อส่วนนั้นออกเพื่อให้เด็กได้ทำจริงเป็นการ Up Skill คุณครู

พ่อแม่ทำอย่างไรเมื่อต้องเรียนออนไลน์

ตอนนี้โรงเรียนส่วนใหญ่เขาทราบอยู่แล้วว่าต้องคลายอะไรบ้างในการเรียนการสอนเพื่อให้เด็กเกิดการเรียนรู้ในบริบทแบบนี้ให้ได้มากที่สุดโดยที่ไม่เกิดความเครียดหรือความกดดัน คือเขาต้องหาวิธีการให้เด็กเรียนรู้อะไรบางอย่างพอเท่าที่ได้ แต่ถ้าไม่ได้ทุกคนก็พอเข้าใจว่าไม่ได้เพราะอะไร แต่ในมุมของพ่อแม่ก็อย่างที่บอกโรงเรียนก็ผ่อนมาแล้ว

ทีนี้แต่ละบ้านจะมีข้อจำกัดในการดูแลลูกไม่เหมือนกัน แต่สิ่งหนึ่งถ้ามองในนักวิชาการประเด็นที่ได้จากงานวิจัยเราค่อนข้างเป็นห่วงเด็กรุ่นนี้ในเรื่องของความหยุดนิ่งของการพัฒนาช่วงหนึ่งที่เขาจะ Lost ไปเลยในพัฒนาการในด้านต่างๆ เด็กมีแนวโน้มอ้วนขึ้นเพราะอยู่บ้านทานเยอะมาก แล้วก็ในเรื่องของภาษาพูดพัฒนาการล่าช้าลงเพราะอยู่บ้านไม่ได้สื่อสารคือฟังอย่างเดียวแต่ไม่ได้สื่อสารจากการพูด

เรายังไม่ได้พูดถึงการอ่านการเขียนในระดับอนุบาลแค่ฟังกับพูดเป็นหลักพบว่าถ้าไม่มีโอกาสให้ฝึกฝนก็ไม่ได้รับการพัฒนา ซึ่งรวมกับเรื่องทักษะทางสังคมคือการได้พบปะพูดคุยกับผู้คนมากหน้าหลายตาต่างเพศต่างวัยมันเป็นประสบการณ์ที่ทำให้เขาได้พัฒนาทักษะทางสังคมได้ สามารถนำพาไปสู่การปรับตัวเข้ากับคน เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ง่ายขึ้น

สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เรารู้ว่ามันยากมากกับการสอนเขาช่วงนี้ ส่วนที่พูดทั้งหมดเราจะบอกว่าพัฒนาการพวกนี้มันรอคอยไม่ได้เพราะว่ามันมีช่วงเวลาในการพัฒนาของมัน เพราะฉะนั้นอันนี้อยากจะฝากให้คุณพ่อคุณแม่ อันนี้มุมที่เป็นคุณพ่ออาจารย์จะพยายามดีไซน์ให้กิจกรรมของลูกๆ ในแต่ละวันมีความหลากหลายไม่มุ่งเน้นไปที่เรื่องการพัฒนาเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นการเฉพาะ คือ

1.พ่อแม่ต้องไม่คาดหวังให้ลูกได้เรื่องวิชาการอย่างเดียว

การเรียนรู้เรื่องของวิชาการแฝงไปด้วยความเครียดของการทำได้กับทำไม่ได้แต่ตอนนี้ไม่มีระบบคะแนนเข้ามาแต่ถ้าเมื่อก่อนต้องทำให้ได้ต้องสอบต้องเก็บคะแนนก็จะมีความเครียดตามมา ถ้าไม่คาดหวังเขาในขณะเดียวกันก็เอาเท่าที่เขาทำได้แต่ทำได้ในที่นี้คือเขาต้องรับผิดชอบในหน้าที่อย่างเต็มที่แล้วจริงๆ แต่ได้แค่ไหนคือได้แค่นั้น

นอกจากเรื่องของวิชาการที่ควรจะต้องยืดหยุ่นแล้วก็ไม่ต้องคาดหวังแต่ให้เขาทำอย่างเต็มที่ที่สุดตามความรับผิดชอบหรือตามศักยภาพของเขาที่จะมี

2.พัฒนาการด้านอื่นๆ

การออกกำลังกาย dารเคลื่อนไหวร่างกายทักษะทางสังคมอาจจะต้องให้ความสำคัญกับตรงนี้ด้วยซึ่งจริงๆ การพัฒนาพวกนี้ง่ายนิดเดียว อย่างพัฒนาการด้านสังคมแค่เราพูดคุยกับเขาบ่อยๆ เรื่องที่พูดคุยก็สัพเพเหระดูการ์ตูนชวนพูดชวนคุยให้เขาได้ใช้ภาษาเยอะๆ หรือใช้โทรศัพท์เครื่องมือสื่อสารให้เขาได้คุยกับเพื่อนหรือญาติพี่น้องให้เขาฝึกฝนในเรื่องนี้บ้างไม่ใช่ให้เขาอยู่แต่กับเราที่เป็นพ่อแม่กับตัวเขาเองลำพังในช่วงเวลาหนึ่งนานๆ เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยได้

อย่างเรื่องการเคลื่อนไหวร่างกายอาจต้องแบ่งเวลาบ้าง ทั้งวันไม่ได้ออกข้างนอกร่างกายไม่ได้ใช้เลยประกอบกับรับประทานเยอะก็มีแนวโน้มที่จะน้ำหนักเยอะขึ้นแล้วฮอร์โมนไม่ได้ใช้เต็มที่เด็กมีพลังที่จะต้องปล่อยออก อยู่แต่บ้านอย่างเดียวไม่ได้ทำอะไรก็เป็นการเสียโอกาสในการพัฒนาหลายๆ อย่าง

จริงๆ หลายบ้านถ้าอยากจะให้ความสำคัญเรื่องนี้อาจจะต้องดูแลในเรื่องของการเรียนแต่ต้องไม่คาดหวัง เช่น คุณครูสั่งให้ลูกทำอะไรมาแล้วลูกทำไม่ได้ อย่าไปโกรธ ไปว่าทำไมทำไม่ได้ คือถ้าเขาทำเต็มที่พยายามแล้วทำไม่ได้จริงๆ เราไม่ว่าเขาเลยแต่เราสนับสนุนเขา หนูลองตั้งใจไม่วอกแวก ถ้าไม่ได้พ่อไม่ว่า ถ้าถึงจุดที่เต็มที่แล้วไม่ได้จริงๆ เราจะไม่ว่าเขา

ถ้าถึงจุดที่เขายังพอไปได้อยู่เราจะผลักให้เขาไปเต็มที่แล้วถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ไม่เป็นไร ถ้าได้ก็สบายใจ ต้องช่วยเขาดูแลลูกเรายังอยู่ในวัยที่ในแง่ของการเรียนที่บ้านไม่มีทางที่เขาจะไม่พึ่งพาผู้ใหญ่เขาต้องพึ่งพาเราเสมอแต่การพึ่งพาต้องไม่ไปมีอิทธิพลกับเขาให้เรียนรู้ของเขาเป็นไปตามธรรมชาติการทำหน้าที่ของเราก็คือดูแลเขาอำนวยความสะดวก

ถ้าเป็น On Hand ก็ปล่อยให้เขาทำไปติดขัดตรงไหนมาถามได้ แต่ไม่ใช่ไปนั่งประกบแล้วต้องแบบเอาให้ได้ถ้าเป็นแบบนี้ค่อนข้างกังวลว่าบรรยากาศตรงนั้นจะไม่น่าเรียนรู้สำหรับลูก ที่สำคัญคุณพ่อคุณแม่ก็จะเครียดด้วยเพราะเราคาดหวังแล้วเป็นไม่ได้อย่างที่คาดหวังก็จะเครียด ทุกวันนี้เรามีเรื่องเครียดมากพอแล้ว

 

ติดตามฟังได้ที่รายการรักลูก The Expert Talk 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

รักลูก The Expert Talk EP.21: ฟื้นฟู “ภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ ” ให้เด็กยุคโควิด 19

รักลูก The Expert Talk EP.21: ฟื้นฟู “ภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ ” ให้เด็กยุคโควิด 19

Learning Loss ภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ เป็นผลของการเสียโอกาสในการเรียนรู้มีผลทำให้ทักษะต่าง ๆ ที่เด็กควรจะได้รับการพัฒนาตามช่วงวัยมันสูญเสียตามไปด้วย ภาวะถดถอยการเรียนรู้คืออะไร กระทบกับพัฒนาการด้านใดบ้าง พ่อแม่จะรับมือ ฟื้นฟู ภาวะถดถอยที่เกิดขึ้นนี้ได้อย่างไร ฟังมุมมองจากนักวิชาการด้านการศึกษา ผศ.ดร.ยศวีร์ สายฟ้า รองคณบดี คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

Learning Loss กับ Lost Generation สถานการณ์ ในต่างประเทศเป็นอย่างไร

ต้องอธิบายก่อนว่าในหลายๆ ประเทศที่เป็นประเทศชั้นนำโอกาสของเด็กๆ ค่อนข้างมีความพร้อมในหลายๆ มิติการประสานความร่วมมือของเขามีความพร้อม อย่างอุปกรณ์ในการเข้าถึงการเรียนรู้ออนไลน์เขาก็จะไม่มีปัญหา ปีที่แล้วในช่วงแรกๆ ที่จำเป็นจะต้องหยุดเรียน ยกตัวอย่าง ประเทศสิงคโปร์เขาจะมีนโยบายว่าถ้าเด็กคนไหนไม่มีอุปกรณ์ในการเรียนออนไลน์ที่บ้านคือใช้ยืมโรงเรียนได้เลยให้สัญญาณอินเตอร์เน็ต

ฉะนั้นโอกาสที่เด็กจะไม่ถูก Lost ก็ค่อนข้างน้อยลง ถ้าเปรียบเทียบกับหลายๆ ประเทศที่เขารับมือกับเรื่องนี้ได้ดีก็อาจจะต้องมองในเชิงของความพร้อมตรงนี้เลยเป็นปัจจัยที่ทำให้การ Lost มีสัดส่วนที่ไม่เท่ากัน แต่ถึงจะเรียนออนไลน์สิ่งที่ได้จากการเรียนออนไลน์ก็ไม่เท่ากับการเรียนในโรงเรียนไม่เท่ากับการเรียนในห้องเรียนแต่อย่างน้อยที่สุดก็ดีกว่าเด็กไม่ได้อะไรเลย

Loss ด้านใดบ้าง

ที่เรามองในเชิงของ Learning Loss เรามีความกังวลใจในการพัฒนาในบางมิติของเด็กที่มันจะมีช่วงเวลาของมันถ้าเลยพ้นช่วงเวลาหรือเลยช่วงอายุช่วงนี้ของเขาไปแล้วมันจะพัฒนาเรื่องนี้ค่อนข้างยากแต่ที่ไม่สบายใจได้อย่างคือเรื่องที่มันมีช่วงเวลาไม่ใช่เรื่องของวิชาการ เพราะอย่างการเรียนรู้ของวิชาการโตขึ้นไปเรียนรู้อย่างไรก็ไม่สาย

คนสมัยก่อนที่เขาไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือตอนเด็กๆ ต้องทำงานพอเขาโตขึ้นมาเขากลับมาเรียนแบบศึกษาผู้ใหญ่การเรียนรู้เชิงวิชาการก็สามารถทันได้ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเราในแง่ Learning Loss เรามองว่าในแง่การเรียนรู้เชิงวิชาการสามารถตามทันกันได้

ขาดทักษะทางสังคม

สิ่งที่เรากังวลใจในเรื่องพัฒนาการคือการพัฒนาเด็กในด้านอื่นๆ ที่เป็นตัวสำคัญที่จะหล่อหลอมตัวตนลักษณะนิสัยบุคลิกภาพของเขา ยกตัวอย่างทักษะทางสังคมใน EP ที่แล้วเห็นตัวอย่างชัดเจนเลยว่าวิธีการเรียนการสอนแบบออนไลน์มันทำให้เด็กขาดโอกาสที่จะมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมแบบตัวต่อตัวหรือในบางรูปแบบเช่น On Air On Hand หรือ On demand ที่ไม่มีเลยเรื่องของปฏิสัมพันธ์ทางสังคม

เป็นสิ่งที่เห็นภาพได้ชัดเจนเลยว่าเด็กไม่มีการพัฒนา แล้วจะโชคร้ายมากเลยถ้าสมมุติว่าเด็กเรียนจาก On Hand แต่ถ้าไปอยู่ในบ้านที่เป็นครอบครัวใหญ่มีลูกพี่ลูกน้องเล่นด้วยกัน หรือมีพี่ป้าน้าอาที่มีคนหลายเพศหลายวัยอย่างน้อยบริบทที่เขาอยู่ในบ้านแบบนั้นก็จะมีโอกาสได้ฝึกฝนทักษะทางสังคม แต่ถ้าเด็กที่อยู่ในคอนโดคุณแม่ก็ทำงานออนไลน์ทั้งวัน คุณพ่อออกไปทำงานข้างนอก ก็จะสังเกตเห็นว่าเป็นลักษณะของการที่เขาหายไปเลยเด็กจะไม่ได้รับการสูญเสียตรงนี้

เพราะฉะนั้น Learning Loss เป็นผลของการเสียโอกาสในการเรียนรู้มีผลทำให้ทักษะต่างๆ ที่เด็กควรจะได้รับการพัฒนาตามช่วงวัยมันสูญเสียตามไปด้วย อย่างทักษะทางสังคม

ขาดพัฒนาการด้านตัวตน

เรื่องของ Value ทั้งหลายค่านิยม คุณธรรม จริยธรรม อะไรที่เป็นตัวตนของเด็กที่จะฟอร์มตัวเป็นบุคลิกของเขาว่าเขาจะเป็นคนเฟรนลี่ คนเก็บตัว คนขี้อาย หรือเป็นคนมั่นใจในตัวเอง สิ่งเหล่านี้จะถูกฟอร์มได้สภาพแวดล้อมในโรงเรียนมีผลกับเขาเยอะมากการมีเพื่อน

การทำกิจกรรมร่วมกันกับเพื่อน การมีโอกาสได้ทำอะไรหน้าชั้นเรียนหน้าเสาธงแสดงความเป็นผู้นำสิ่งนี้ที่เรากังวลว่าจะไป Learning Loss สำหรับเด็ก เพราะ Online ไม่สามารถทำให้เด็กได้ฝึกฝนสิ่งเหล่านี้ได้อย่างเป็นจริงเป็นจัง On Air On Hand หรือ On demand ไม่ต้องพูดถึงลืมไปได้เลย

พร่องพัฒนาการด้านภาษา

นั่นคือสิ่งที่เรามองในแง่ของ Learning Loss แต่สิ่งเหล่านี้ก็มีผล อย่างถ้าเราพูดถึงการเรียนรู้เชิงวิชาการมันมีผลสืบเนื่องกัน สมมติว่าเรามองในแง่ของพัฒนาการในด้านภาษาการเรียนรู้ของเด็กในช่วงนี้ที่เป็น On Site ไม่ได้ สมมุติว่าเด็กไม่ได้รับการพัฒนาในเรื่องของภาษาอยู่บ้านไม่ค่อยได้พูดคุยกับใคร เล่น I Pad ดู YouTube อย่างเดียวหรือเล่นเกมอย่างเดียว

เด็กไม่ได้ฝึกฝนภาษาเลยพอเข้ามาสู่บริบทของการเรียนรู้ข้อจำกัดของภาษาในการสื่อสารทำให้ศักยภาพหรือประสิทธิภาพในการเรียนรู้ของเขาก็จะลดลงมันก็จะมีผลตามมาเพราะฉะนั้นมันก็จะสัมพันธ์กันไปหมด หรือบางคนเกิดความเคยชินกับการอยู่บ้านถ้าถึงวันหนึ่งโรงเรียนพร้อมแล้วปลอดภัยแล้วปรากฏว่า School Phobia ไม่ไปไม่ชอบ ชอบอยู่บ้าน

ขาดระเบียบวินัย

อีกส่วนหนึ่งคือระเบียบวินัยความรับผิดชอบอันนี้เสียหายแล้วเป็นช่วงวัยเพราะพัฒนาการเด็กโดยเฉพาะเด็กอนุบาลหรือเด็กประถมครูหรือบริบทแวดล้อมยังมีส่วนจูงใจเขาในการทำอะไร อย่างสมมุติว่าอยู่ในห้องก็จะมีกฎกติกาข้อตกลงในห้องเรียน เขารู้ต้องทำแบบนี้ๆ แล้วเพื่อนทำเขาจะไม่ทำเหรอ เพื่อทำแล้วครูชมทำไมเขาจะไม่ทำ มันก็จะมีกลไกในการที่จะหล่อหลอมเขา

อันนี้คือข้อจำกัดที่เราบอกว่ามันหายไปแล้วข้อที่น่ากังวลคือมันมีช่วงเวลาของมัน สมมุติถ้าเราอยู่แบบนี้ไปอีก 1-2 ปี เด็กประมาณ 5-6 ขวบแล้วอยู่แบบนี้ 1-2 ปี แล้วเขาไม่ได้พัฒนาเรื่องนี้เลยมันน่าจะมีผลกับบุคลิกภาพของเด็กกลุ่มนี้อาจจะนำพาไปถึงเข้าสังคมไม่เป็นหรือปรับตัวกับคนอื่นไม่ได้

คือผลจากการ Learning Loss ที่มองว่าควรจะเป็น แต่ส่วนตัวไม่ได้มอง Learning Loss ในแง่ของวิชาการอ่านเขียนไม่ได้ บวกลบเลขไม่ได้ แก้โจทย์ปัญหาเลขสามสี่ชั้นไม่ได้เรามองว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่ตามทันได้

สังเกตลูกกำลังพัฒนาการถดถอย

พัฒนาการของเด็กแต่ละด้านไม่เท่าต้องสังเกตอย่างเดียว คือต้องสังเกตและรู้จักเขาด้วย ถ้าเราสังเกตลูกตลอดและเรารู้จักตัวตนของลูกอะไรเปลี่ยนเราจะรู้ทันทีว่าอันนี้ผิดปกติ อย่างจากที่คุยพูดเยอะๆ มาวันหนึ่งถามคำตอบคำเราก็จะงอนอะไรพ่อหรือเปล่าหรือเป็นอะไรบอกพ่อได้ไหมมาคุยกันหน่อยสองคนคือต้องสังเกตถึงจะรู้

อีกส่วนที่สามารถจะรู้ได้คือสถานการณ์ให้เห็นสถานการณ์บางอย่างเกิดขึ้นแล้วเขาแสดงหรือไม่แสดงพฤติกรรมอะไรออกมาบางทีดูจากตรงนั้นได้ เช่น พฤติกรรมด้าน Value ตัวหนึ่งคือการแบ่งปันถ้าสมมุติเขาอยู่แต่บ้านเขาไม่เคยแชร์กับใครเพราะเขาเป็นลูกคนเดียวปรากฏว่าช่วงเวลา On site เขาไม่เคยได้รับการถูก Treatment สอนว่าการแบ่งปันดีอย่างไรเราก็ไม่รู้ว่าลูกหายตรงนี้ไป

พอมีสถานการณ์ที่ลูกต้องแชร์อะไรบางอย่างแล้วเราเห็นว่าลูกทำไม่ได้ เราจึงเกิดการเรียนรู้ว่าเราลูกมีปัญหาตรงนี้จริงๆ บางเรื่องบาง Learning ของเด็กเรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่าหรอก ต้องสังเกตเขาไปเรื่อยๆ รู้จักเขาเพียงพอหรือต้องมีสถานการณ์บางอย่างมาให้เราเห็นว่าเขาทำได้เปล่าหรือเขาไม่มีตัวนี้เราต้องช่วยเขาเรื่องนี้ พ่อแม่รับมือลูกพัฒนาการถดถอย

เอาตำราการเป็นครูมาใช้กับที่บ้าน อย่างลูก 2 คน จะเรียนผสมระหว่าง Online กับ On Hand ในแต่ละวันคุณครูก็จะมีคลิปประมาณ 9.30 น. คุณครูก็ส่งคลิปมาทางไลน์ไม่ได้เป็น Real time เป็นลักษณะ On demand คุณพ่อคุณแม่สะดวกเวลาไหนก็ดู แต่อย่างที่บอกพอเราอยู่กับลูกเราต้องดูแลลูกเรื่องนี้

มีตารางเวลา

เด็กต้องมี routine เหมือนเวลาอยู่โรงเรียน เวลาเราอยู่ที่บ้านเราก็จะมี routine คุณจะตื่นนอนกี่โมงก็ได้แต่แปดโมงเช้าทุกคนต้องทานข้าวแล้ว อาบน้ำแต่งตัวทานข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็จะรู้แล้วว่าเวลาที่เราจะช่วยเขาดูแลในเรื่องของอาบน้ำแต่งตัวเราจะช่วยดูแลเขาได้ก่อนแปดโมง ถามว่าเขาดูนาฬิกาเป็นไหม ไม่เป็น แต่เขาจะใช้วิธีถามว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว เขายังเด็กยังดูนาฬิกาไม่เป็นแต่เราก็จะให้เขารู้ว่าต้องตื่นได้แล้วใกล้ถึงเวลาแล้ว

ไม่เคร่งครัดการเรียนเกินวัย

ช่วงเวลา 8.00 – 9.30 น. โดยประมาณคือช่วงเวลาที่เขาทานอาหารเช้า แล้ว 9.30 น. เป็นช่วงเวลาที่เขาดูคลิปของคุณครู คลิปก็จะมีความยาว 10-15 นาที ก็จะใช้วิธีเปิด I-Pad แล้วเราก็จะนั่งทำงานของเราไปด้วย พ่อจะเริ่มทำงานประมาณ 8.30 น. หรือ 9.00 น. พอถึงเวลาที่เขาทานข้าวเสร็จก็ปล่อยเขาเล่นอิสระของเขาไปก่อนพอถึงเวลา 9.30 น. เราก็จะเรียกเขากลับเพื่อมาดูคลิป พอเรียนเสร็จ 2 คลิป คลิปแรกเหมือนเป็นเสริมประสบการณ์มีเรื่องเราตามธีมตามหัวเรื่องตามหน่วย เสร็จแล้วก็เป็นกิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ

คลิปที่ 3 กิจกรรมสร้างสรรค์ ซึ่งบ้านนี้ไม่เคยทำเลยเพราะกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ใช้เวลามากเคยทำกับลูกแล้วเราก็เครียดไปด้วยเพราะเหมือนลูกไม่ฟังคำสั่งครูเลยครูบอกให้พับเขาก็ขยำ ทำไมหนูไม่พับละครับครูให้ทำอย่างไรเราก็ Replay ให้ดูใหม่กระดาษแผ่นใหม่เขาก็ไม่ได้ เราเลยรู้สึกว่าก่อนหน้ากิจกรรมสร้างสรรค์เขาเรียนผ่านมาแล้ว 2 คลิป คุณครูเขาก็ยืดหยุ่นคุณครูก็ไม่ได้อะไรกับเรามากว่าต้องได้นะคุณพ่อ เราก็จะบอกวันอาทิตย์เช้าเราจะมาเคลียร์

กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ เตรียมอุปกรณ์ทุกอย่างให้พร้อม เพราะคุณครูเขาจะมีลิสต์มาในแต่ละวันต้องเตรียมอุปกรณ์อะไรบ้าง ช่วงแรกๆ ก็มีเหมือนกันบางวันเปิดคลิปมาพร้อมจะทำละปรากฏว่าต้องมีแกนกระดาษชำระ ก็ต้องไปหาในห้องน้ำแล้วแงะออกมา

เพราะฉะนั้นกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์เราจะยกยอดไปวันอาทิตย์เลยทำพร้อมกัน พอเสร็จแล้วก็ปล่อยให้เขาเล่นอิสระทานข้าวบ้านนี้ยังคงให้นอนกลางวันอยู่ routine พวกนี้เราต้องจูนกันพักใหญ่ไม่ใช่จู่ๆ เราเซทขึ้นมาโดยที่ลูกเราโอเคหรือไม่โอเคกับ routine เหล่านี้หรือเปล่าก็ไม่รู้

ชมเชยเมื่อทำได้ดี

แล้วก็มีระบบการชมเชยเขาใช้ระบบเหมือนกับเวลาเขาอยู่ในห้องเรียน ที่ฝาตู้เย็นจะมีกระดาน Reward อย่างวันนี้ถ้าอาบน้ำเดี๋ยวได้หนึ่งดาวแล้วเราจะสะสมแต้มไปเรื่อยๆ แต่ก็จะไม่บอกว่ารางวัลคืออะไรพอให้เป็นสีสันเป็นลูกเล่นให้เขามีอะไรตื่นเต้นว่ามีอะไรท้าทายเขาบ้างในบางเรื่อง

แต่ที่โรงเรียนเขาจะดีอย่างตรงที่จะมี VDO Call ให้สัปดาห์ละครั้งไว้ใช้คุยกับเพื่อนเขาจะมีหัวข้อให้ว่าอาทิตย์นี้จะคุยเรื่องอะไร เพราะฉะนั้นก่อนที่จะคุยกับเพื่อนๆ ในห้องเราต้องคุยกับลูกก่อนเพื่อเตรียมข้อมูลว่าต้องคุยอะไรกับเพื่อน หลังเขาก็จะรู้งานเขาจะเรียนรู้ระบบที่ว่านี้เอง

แต่ช่วงหลังตื่นนอนกลางวันจะเหมือนโรงเรียนเลยก็จะมีอาหารว่างให้เขารีเฟรช แล้วก็ออกกำลังกายแล้วก็จะมีช่วงเวลาทองของเขาให้เรารู้ว่าเด็กกับจอเด็กกับการ์ตูนเป็นของคู่กัน เราจะมีกติกาเราจะมีเช็คลิสต์ให้เขาว่าถ้าวันนี้ตั้งใจเรียนคุณครู 2 คลิป นอนกลางวันครบ กินข้าวหมด เก็บจานที่อ่างล้างจานทำหน้าที่ครบมี 5 ติ๊ก จะได้รางวันดู I-Pad ให้ดู YouTube เขาก็จะมีลิสต์ของเขามาเราก็จะมี Reward ให้ เราก็จะคุมให้ดูในช่วงเวลาคือตอนหนึ่งก็ประมาณ 20 นาที จะบอกว่ากว่าจะได้มาถึงตรงนี้ต้องปรับต้องจูน

ซึ่งช่วงแรกๆ ก็ผ่านความเครียดกันมาพอสมควร เพราะว่าลูกก็ยังปรับตัวไม่ได้กับการที่อยู่ๆ วันหนึ่งพ่อแม่ต้องมาดูเขาในเรื่องที่ต้องเรียนกับคุณครู ในมุมลูกเขาจะมีความรู้สึกว่าในเรื่องของการเรียนคุณครูต้องเป็นคนดูแลเขาสิทำไมวันนี้เป็นพ่อเป็นแม่แล้วเขาต้องฟังไหม พอถึงจุดหนึ่งสรุปเราต้องฟังพ่อแม่หรือฟังครูก็เป็นจุดนั้นที่เป็นจุดเปลี่ยนผ่านจนกระทั่งเขาเกิดการเรียนรู้ว่าต้องฟังพ่อแม่แล้วเพราะพ่อแม่ช่วยเราดูแลเรื่องที่เราเรียน

อาจารย์เคยคุยกับเพื่อน เพื่อนก็มีลูกเหมือนกันก็มาปรึกษาว่าต้องทำอย่างไรลูกทำนี่ทำนั่นไม่ได้เลย ผมเลยถามเพื่อนว่าตอนเด็กๆ พ่อแม่เคยดูเราไหม เขาบอกดูสิ แล้วเรารู้สึกชอบไหม เขาก็บอกไม่ชอบ นั่นละลูกเราก็รู้สึกเหมือนกัน

ไม่เรียนอนุบาลข้ามชั้นไปเลย? คนที่กำลังจะส่งลูกเข้าเรียนอนุบาล 1 ก็จะมีคำถามว่าไม่ต้องส่งลูกเข้าเรียนไหมดรอปเลยได้ไหม เพราะลูกเรียนออนไลน์ที่บ้านเราก็ต้องเรียนกับลูกดูแลลูกอยู่ดี แบบนี้ทำให้ลูกเสียโอกาสไหม

ต้องอธิบายอย่างนี้ในอนุบาลการศึกษาปฐมวัยยังไม่นับว่าเป็นการศึกษาภาคบังคับพอยังไม่เป็นการศึกษาภาคบังคับการดรอปไม่ค่อยซีเรียสเท่าไหร่อันนี้มองในแง่ตัวบทกฎหมายก่อนดรอปได้ถ้าอยากดรอปไม่ใช่การศึกษาภาคบังคับ มองในมุมของคุณพ่อคุณแม่ประเด็นข้อคำถามข้อนี้มักได้ยินในบริบทโรงเรียนที่มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง เช่น โรงเรียนนานาชาติ ที่มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง เข้าใจในข้อจำกัดของทุกฝ่ายว่าตอนนี้ทุกคนได้รับผลกระทบในทางใดทางหนึ่งเหมือนกันหมด

ในมุมมองนักวิชาการอย่างที่บอกไปตอนต้นพัฒนาการบางด้านมันรอคอยไม่ได้หรือพัฒนาการเรียนรู้บางอย่างมันจำเป็นต้องอาศัยความต่อเนื่องในการพัฒนาในส่วนๆ นั้นมันถึงจะทำให้ฐานการเรียนรู้ของเขามีความแม่นยำ คงทน หนักแน่น พอจะใช้เป็นฐานในการเรียนรู้ในระดับที่มันสูงขึ้นต่อไปได้

เพราะฉะนั้นถ้าถามในมุมของนักวิชาการถ้าการดรอปของคุณพ่อคุณแม่อยู่บนเงื่อนไขและความจำเป็นของข้อจำกัดเรื่องของค่าใช้จ่าย เรื่องของอะไรต่างๆ นานา แล้วเรามีความมั่นใจว่าเรามีความสามารถที่จะดูแลลูกได้อย่างเต็มที่ในขณะที่เขาอยู่ที่บ้านในช่วงระหว่างที่เขาดรอปอันนี้ก็ค่อนข้างคลายความกังวลใจไปได้เยอะ

ถ้าเป็นรูปการแบบนี้ดีไม่ดีอาจจะดีกว่าด้วยถ้าคุณพ่อคุณแม่เป็น Full Time ที่อยู่กับลูกทั้งวันได้สามารถ Educate หากิจกรรมทำกับลูกก็เข้ากับ In person การพัฒนาที่เป็นแบบ In person อาจจะดีกว่า Online แต่ต้องมีความพร้อมจริงๆ ถึงจะสามารถทำได้

แต่ถ้าในบริบทที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้มีเวลาให้กับลูกเต็มที่ขนาดนั้นหรือลักษณะของการให้ลูกอยู่กับคุณย่าคุณยายหรือคุณปู่คุณตาพี่ป้าน้าอาช่วยดูแล้วทุกท่านก็มีภาระกิจส่วนตัวของท่านหมด อันนี้ค่อนข้างกังวลใจการดรอปเป็นการทำให้เด็กสูญเสียโอกาสไปโดยปริยาย มันพูดยากว่าควรหรือไม่ควรเพราะแต่ละบริบทมีความพร้อมมีข้อจำกัดแต่ละบ้านจะมีเหตุมีผลเชิงปัจจัยที่ไม่เหมือนกัน

แต่ท้ายที่สุดสิ่งที่จะคิดเป็นเหตุผลหลักในการตัดสินใจเรื่องนี้คือต้องดูที่ประโยชน์ของตัวลูกเป็นหลักถ้าดรอปแล้วลูกไม่เสียประโยชน์ก็สามารถทำได้ แต่ถ้าสมมุติว่าดรอปแล้วจากเดิมที่ลูกเรียนปกติได้เต็มร้อยพอเรียนออนไลน์อาจจะลงมาเหลือ 50 หรือ 60 แต่ถ้าเราดรอปแล้วเราไม่มีความพร้อม 50-60 เราก็จะไปไม่ถึง

เพราะฉะนั้นมันคือได้นิดได้หน่อยก็ถือว่ายังได้ ที่น่ากลัวคือถ้ามันผ่านไปแล้วมันจะกลับมาแก้ไม่ได้ โอกาสที่จะพัฒนาเรื่องนี้มันผ่านไปแล้วมันจะกลับมาพัฒนาได้แต่โอกาสที่ได้จะไม่เต็มที่ไม่เต็ม 100

พ่อแม่รับมือก่อนลูกพัฒนาการถดถอย

ต้องจัดการตัวเองที่เป็นพ่อแม่ก่อน ถ้าเรายังจัดการตัวเองไม่ได้เราจะไม่มีความพร้อมที่จะไปช่วยลูกได้ ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าการเรียนรู้ของลูกที่เรียนรู้จากที่บ้านขณะนี้ลูกเราอยู่ในวัยพึ่งพิงผู้ใหญ่

จัดระบบเวลาที่เอื้อกับลูก

ลูกยังไม่มีวุฒิภาวะที่จะพึ่งพาตัวเองได้ในทุกๆ เรื่องยังต้องการพึ่งพาเราอยู่ เพราะฉะนั้นในแง่ของการดูแลลูกเพื่อที่จะไม่ให้สูญเสียอะไรไปมากกว่านี้เราก็ต้องพร้อมก่อน ความพร้อมของเราหลักๆ ที่ลูกต้องการคืออะไร คือเวลา เราอาจจำเป็นจะต้องปรับเวลาชีวิตของเราใหม่

อย่างอาจารย์เองช่วงเวลาที่จะสามารถตรวจการบ้านนิสิตหรือทำงานคือช่วงเวลา 5.70-7.30 น. คือตื่นแต่เช้ามืดแล้วมาทำก่อนเขาตื่น ถ้าเขาตื่นขึ้นคืองานของเราต้องพักก่อนแล้วก็มีภาคบ่ายต่อ เราทำงานถึง 7.30 น. ก็ไปดูเขาอาบน้ำ ทานข้าวเสร็จ เราก็ทำงานต่อประมาณ 8.30 น. พอ 9.30 น. ก็ช่วยเขาดูเรื่องเรียนในขณะที่เราเรียนด้วยความที่เขาเรียนจากคลิปเราก็ทำงานของเราไปด้วย อีกช่วงเวลาทองคือช่วงเขานอนกลางวัน

พอมันจัดระบบตัวเองได้ จัดระบบชีวิตได้แล้วเราเอาตัวเองไปอยู่ในระบบชีวิตนั้นได้แล้วแล้วลูกก็เรียนรู้กับระบบเราก็สามารถปรับตัวเขามาได้ มันก็ทำให้การใช้ชีวิตมันไปได้

ปกติบ้านอาจารย์ต้องออกบ้านตลอดทุกเดือนต้องไปเที่ยวสักที่หนึ่งมาถึงตอนนี้ที่เราอยู่ในสภาวะล็อคดาวน์บ้านเราจะอยู่ได้หรือเปล่า เราไม่เคยอยู่กันนิ่งๆ เลย ช่วงแรกคิดว่าเราจะมีปัญหากับเรื่องนี้เหมือนกัน

ปรากฏว่าพอเราปรับ Routine การใช้ชีวิตของเราทั้งตัวเราเองแล้วก็ลูกด้วย บางช่วงเราคิดว่าลูกอยู่แต่ในบ้านเราควรต้องพาไปเปิดหูเปิดตา เช่น วันอาทิตย์เราก็จะไปนั่งรถเล่นไม่ต้องไปแวะไหน ไม่ต้องไปลงตรงไหน นั่งรถเล่น พาไปได้ 2 ครั้งๆ 3 เขาก็ไม่ไปแล้วเพราะเวลาที่ไปคือเวลาหลังจากที่เขาตื่นนอนกลางวันมันจะเป็นช่วงเวลาพักผ่อนของเขา เช่น ทานอาหารว่าง เล่น การที่ออกไปนั่งรถเล่นเขาไม่สนุก เราก็ฟังเขาหลังจากนั้นก็บอกถ้าหนูอยากออกเมื่อไหร่ให้บอก แต่ถ้าหนูไม่อยากออกก็ไม่เป็นไรเราก็อยู่บ้าน คือ 1.ให้เวลาเขา 2. ต้องสังเกตดูความต้องการเขาว่าต้องการความช่วยเหลืออะไรจากเราแล้วก็ให้ในสิ่งที่เขาต้องการความช่วยเหลือ

 

ติดตามฟังได้ที่รายการรักลูก The Expert Talk 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

รักลูก The Expert Talk EP.22: อยากให้ลูกสูง ต้องรู้ก่อนเสริม

รักลูก The Expert Talk EP.22: อยากให้ลูกสูง ต้องรู้ก่อนเสริม

หนึ่งในปัญหาที่พ่อแม่กังวลเรื่องการเจริญเติบโตของลูก คือเรื่องของความสูง กลัวสูงไม่ถึงเกณฑ์ กังวลว่าจะสูงน้อยกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน และก็มองหาวิธีการทำให้ลูกสูงขึ้น ซึ่งบางครั้งวิธีการก็ไม่ได้ผล และอาจจะกระทบกับการเจริญเติบโตของลูก รักลูก The Expert Talk จึงเชิญ พญ.นลินี เชื้อวณิชชากร กุมารแพทย์ด้านพัฒนาการและพฤติกรรม โรงพยาบาล พญาไท 1 มาพูดคุยเพื่อให้คุณพ่อคุณแม่เข้าใจพัฒนาการความสูงของเด็ก พร้อมวิธีการกระตุ้นให้ลูกสูงอย่างถูกต้อง

 

หนึ่งในปัญหาที่พ่อแม่มักกังวลกันมากโดยเฉพาะในเรื่องการเจริญเติบโตของลูกก็คือเรื่องของความสูง กังวลกันตั้งแต่เรื่องความสูงไม่ถึงเกณฑ์ สูงน้อยกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน เชื่อว่าพ่อแม่จะหาวิธีการต่างๆ ที่จะทำให้ลูกสูงขึ้น วันนี้เราเชิญ The Expert เพื่อมาพูดคุยกันเพื่อให้คุณพ่อคุณแม่รู้เรื่องของการกระตุ้นความสูงได้อย่างถูกต้อง

เกณฑ์เฉลี่ยความสูงของเด็กแต่ละวัย

ในเด็กเล็กจะไม่เรียกว่าสูงเราจะเรียกว่ายาว ก็คือเด็กจะยาวประมาณ 50 เซนติเมตร ที่เป็นเกณฑ์เฉลี่ยหลังจากนั้นช่วง 1 ปีแรกเด็กจะยาวโดยประมาณ 75 เซนติเมตร หลังจากนั้นเราจะเริ่มเรียกเป็นความสูงหลัง 2 ขวบ อยู่ที่ประมาณ 87 เซนติเมตร คือเด็กจาก 1 ขวบ มา 2 ขวบ ความสูงของเด็กจะเพิ่มปีหนึ่งประมาณ 12 เซนติเมตร

แต่เด็กบางคนอาจจะสูงกว่านี้หรือเตี้ยกว่านี้หน่อย ก็ต้องไปดูที่ Growth Chart ที่เป็นตารางบอกเรื่องของการเติบโต แต่ถ้าเป็นเฉลี่ยเราก็จำตัวเลขนี้เอาไว้ สำหรับเด็ก 3 ขวบ เราก็จำไว้ที่ประมาณ 95 เซนติเมตร 4 ขวบ 1 เมตร (100 เซนติเมตร) และหลังจากนั้นก็จำไว้ว่าเด็กจะสูงขึ้นเฉลี่ยปีละ 5 เซนติเมตร จนกว่าเขาจะเข้าสู่วัยรุ่นซึ่งวันรุ่นของแต่ละคนก็อาจจะมาไม่เท่ากันบางคนเร็วหน่อยก็ประมาณ 9 ขวบ บางคนอาจจะ 12-13 ขวบ

แต่เมื่อไหร่ที่เขาเข้าสู่วัยรุ่นความสูงเขาจะสูงขึ้นเร็วถ้าเราจำตอนที่เรายังวัยรุ่นได้เด็กผู้หญิงก็จะสูงเร็วปีหนึ่งก็อาจจะ 10 เซนติเมตรได้เลย เด็กผู้ชายก็อาจจะขึ้นได้ 12-15 เซนติเมตรได้ อันนี้เป็นตัวเลขที่ให้คุณพ่อคุณแม่จำได้ง่ายๆ เลยเบื้องต้น

โดยส่วนตัวของลูกเราเองจะมีสมุดสุขภาพของลูกที่จะมีบันทึกการฉีดวัคซีน มีการบันทึกความสูงของเด็ก แนะนำให้คอยพล็อทกราฟไว้อย่างสม่ำเสมอ เพราะว่าความสูงที่คุณหมอบอกไว้แค่จำง่ายๆ แต่เด็กแต่ละคนเขามีความสูงเป็นของตัวเองและต้องพยายาม Keep Track ของตัวเองไม่ให้ตกจากกราฟจนดูแล้วผิดปกติเวลาไปหาคุณหมอ คุณหมอจะดูกราฟอันนี้ถ้ากราฟเบ้ไป หรือตกมาเร็วกว่า Percent time ที่ควรเป็นคุณหมอก็จะเริ่มสงสัยว่ามีอะไรหรือเปล่า

ความสูงสัมพันธ์กับพัฒนาการเด็ก

โดยปกติในเชิงการแพทย์ความสูงเราถือว่าสิ่งที่มีปัจจัยต่อความสูงของเด็กหลักๆ เลยพันธุกรรม 80% อีก 20% เป็นเรื่องของโภชนาการหรือเป็นเรื่องฮอร์โมน หรือเรื่องการขยับ เคลื่อนไหว หรือบางคนก็เป็นเรื่องของการเล่นกีฬาร่วมด้วย หรืออีกอันที่สำคัญเรียกว่าภาวะทางการแพทย์ เช่น เด็กบางคนอาจจะมีโรคอะไรบางอย่างที่ทำให้ความสูงมีการชะงักงัน หรืออาจจะไม่ใช่โรคแต่เขาขาดอาหารมากจนไม่ได้กระทบแค่น้ำหนักตัวแต่กระทบถึงความสูงด้วย

ส่วนใหญ่แล้วถ้าเวลาที่เราดูเด็กเราจะไม่ได้ดูแค่จุดเดียวเราจะดูต่อเนื่องเป็นการเฝ้าระวังต่อเนื่องเป็นระยะยาว เพราะฉะนั้นการที่เราได้มีโอกาสพบคุณหมอหรือพบสถานพยาบาลอย่างต่อเนื่องหรืออย่างน้อยช่วงนี้เราอาจจะต้องย้าย เช่น พ่อแม่อาจจะไม่อยากอยู่กรุงเทพอยากย้ายไปอยู่ที่คนไม่พลุกพล่านโรคไม่เยอะสิ่งที่จะช่วยให้โรคพยาบาลปลายทางทราบคือสมุดสีชมพูแล้วก็ต้องขยันพล็อทกราฟ ทุกครั้งที่ไปแนะนำให้ Plot Graph เอาไว้ เราก็ดูตามอายุตามนั้น แล้วความสูงเราก็ พล็อทไว้ ก็จะช่วยให้เราคอยเฝ้าระวัง ซึ่งทำได้ปีละครั้งไปจนถึงลูกเข้าสู่วัยรุ่นเขาจะโตจนถึงอายุ 18

โดยประมาณ 18 ปี แต่จะมีเรื่องของการมีประจำเดือนการที่เข้าสู่วัยรุ่นเร็วก็อาจจะทำให้เขาหยุดสูงได้เร็วเหมือนกัน หรือความเจ็บป่วยบางอย่างก็ทำให้หยุดสูงได้เร็วเพราะฉะนั้นเราจำเป็นต้องคอยติดตามดูว่าความสูงปีนี้เป็นอย่างไรโดยส่วนใหญ่เท่าที่คุณหมอเห็นพอลูกเข้าสู่โรงเรียนคุณครูเขาก็จะมีการชั่งน้ำหนักวัดส่วนสูงเราก็ใช้ตรงนั้นมา Plot Graph กับอีกเทคนิคหนึ่งที่คุณหมอมักจะแนะนำพ่อแม่ก็เห็นหลายบ้านทำก็คือที่กำแพงบ้านขีดเลยว่าส่วนสูงเท่าไหร่ วัดลูกในวันที่เท่าไหร่

โรคหรืออาการอะไรที่ส่งผลกระทบต่อความสูง

เขาเรียกว่าโรคที่เข้าสู่ภาวะวัยหนุ่มสาวเร็ว ก็คือลักษณะที่เด็กมีภาวะมีเตานมเร็วกว่าปกติบางคนก็อาจจะมาปรึกษากุมารแพทย์ต่อมไร้ท่อด้วยปัญหาลูกอายุเท่านี้เองเริ่มมีเต้า นมเริ่มตั้งเต้าแล้ว หรือภาวะเด็กประสบอุบัติเหตุกระทบกระเทือนกับขาหรืออะไรเหล่านี้เราก็ต้องระมัดระวังว่าจะกระทบต่อการเจริญเติบโตไหม

ที่คุณหมอเคยเจอเด็กคนหนึ่งที่เขามีการกระทบกระเทือนที่กระดูกต้นขามีการรักษาพยาบาล มีการดามเหล็ก โชคร้ายที่เขาไม่ได้อยู่กับคุณพ่อคุณแม่เลยทำให้เขาขาดช่วงเหล็กอยู่กับขาเขาตั้งนานแล้วไม่ได้เอาออก แล้วคุณหมอไปพบว่าเขามีภาวะขาสั้นยาวไม่เท่ากัน แบบนี้เราต้องคอยระวังถ้าลูกเกิดอุบัติเหตุมีความจำเป็นต้องผ่าตัด เราต้องปรึกษาคุณหมอว่าเหล็กดามเราต้องเอาออกไหม

หรือเวลาที่ลูกเขาวัยหนุ่มสาวเร็วก็ต้องรีบไปดู ไปหาสาเหตุด้วยว่าทำไมลูกถึงเป็นหนุ่มเป็นสาวเร็วเกินไป ฮอร์โมนเพศทำไมออกมาไว นอกจากหาสาเหตุแล้วเป้าหมายที่สำคัญคือความสูงของเด็ก เด็กที่เป็นวัยหนุ่มสาวเร็วมักจะพบว่าช่วงเล็กๆ เขาจะดูสูงกว่าเพื่อนแต่ตอนหลังกลายเป็นว่าความสูงเขาจะชะลอเร็ว ก็จะถูกเพื่อนแซงแล้วเขาก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ตัวเตี้ย

พ่อแม่สูง ลูกก็สูง

ความสูงของเด็กเวลาที่เราคำนวณโดยอ้างอิงความสูงของคุณพ่อคุณแม่ เพศมีปัจจัยถ้าเรามีลูกสาวเอาความสูงคุณพ่อบวกความสูงคุณแม่แล้วลบ 13 แล้วหาร 2 จะได้ความสูงแต่เราจะ บวก ลบ อีก 5 เซนติเมตร

เราลองเอาความสูงของสามีและภรรยามารวมกัน

ความสูง พ่อ+แม่ – 13/2 = เด็กหญิง บวก ลบ 5 เซนติเมตร

ความสูง พ่อ+แม่ +13/2 = เด็กชาย บวก ลบ 5 เซนติเมตร

เช่น ได้ลูกสาวคำนวณแล้วได้ 160 เซนติเมตร เพราะฉะนั้นเขามีโอกาสสูงได้ 155 – 165 เซนติเมตร หมอก็มักจะบอกเด็กๆ ว่าหนูก็มีทางเลือกพ่อแม่ให้มาประมาณนี้หนูอาจจะสูง 155 เซนติเมตร หรืออาจจะสูง 165 เซนติเมตรก็ได้แต่ขึ้นอยู่กับหนูพอสมควร แต่จริงๆ ในทางทฤษฎีเขาบอกว่าโภชนาการตั้งแต่ในท้องแม่สำคัญ เพราะมนุษย์เราสูงเร็วที่สุดตอนอยู่ในท้องแม่

โภชนาการเพิ่มความสูง

ก็ต้องบาลานซ์ จริงๆ แล้วเขาจะบอกว่าต้องเป็นบาลานซ์ไดเอท คำว่า บาลานซ์ ก็คือต้องรอบด้านและสมดุล บาลานซ์ไดเอทกินผักผลไม้ตามเหมาะสม แต่ถ้าเป็นอาหารที่เฉพาะเจาะจงกับการเจริญเติบโตเลยเราก็จะพูดถึงโปรตีนและแคลเซียมแต่ก็ต้องบาลานซ์ ไม่ใช่รู้ว่าแคลเซียมทำให้ลูกสูงเลยอัดแคลเซียมเม็ดฟู่ 10 เม็ดต่อวันก็ไม่ใช่ก็ต้องอย่างเหมาะสมด้วย

สำหรับบางบ้าน ก็มีความเป็นไปได้เพราะว่าถ้าเป็นลูกชายอย่างที่เราบอกว่าเราให้บวกเข้าไปได้อีกแล้วก็ภาวะโภชนาการ พยายามให้ลูกมีการนอนที่เพียงพอ เพื่อกระตุ้นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโต และเรื่องของการออกกำลังกายที่ต้องมีการกระแทกข้อนิดๆ เช่น เล่นบาส หรือกระโดดหนังยาง กระโดดเชือก เพราะช่วงปลายกระดูกเป็นจุดที่สามารถยืดออก

ในช่วงของวัยเด็กกระดูกตรงนี้ยังไม่ปิดและจะถูกกระตุ้นให้เจริญเติบโตได้ต้องมีแรงกระแทกนิดๆ แต่ไม่กระแทกจนรุนแรง เพราะหากออกกำลังกายหนักเกินไปก็มีปัญหาเรื่องเตี้ยได้เหมือนกัน

ออกกำลังกายเพิ่มความสูง

ออกกำลังกายที่กระดูกมีการกระทบกันนิดๆ ช่วง 1-12 ปี สามารถทำได้ เช่น เล่นกระโดดหนังยาง เล่นสนาม ปีนป่าย ส่วน แทมโพลีน ถ้าในมิติด้านพัฒนาการเราจะรู้ว่าเด็กมีความตื่นตัว พบว่าเด็กบางคนมีความตื่นตัวสูงมาก พบว่าไปกระโดดแทมโพลีนวันละ 200 ครั้ง ซึ่งมันเร้ามากเกินไปหมอก็จะบอกว่าเยอะไปให้ทำอย่างอื่นบ้างเราไม่จำเป็นต้องเล่นแบบเดียว การเล่นมีหลายรูปแบบ

ความสูงเกี่ยวกับร่างกายหรือเฉพาะแค่ข้อต่อ

มันเกี่ยวข้องกับบริเวณที่เป็นกระดูกยาว กระดูกยาวก็คือ กระดูกท่อนขา ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับกระดูกสันหลัง แต่กระดูกสันหลังไม่ค่อยมีใครพูดถึง เน้นการออกกำลังกายที่เน้นกระดูกช่วงยาวให้มีการกระทบกันนิดหน่อยต้องไม่หักโหมมาก หักโหมมากจะกลายเป็นบาดเจ็บกลายเป็นว่ากระดูกที่จะต้องยืดออกก็ไม่ยืด

นม แคลเซียม ฮอร์โมน กระตุ้นความสูงได้

นมเป็นอาหารที่มีโปรตีนสูง แคลเซียมสูง สามารถใช้ได้ ใช้คำง่ายๆ เนื้อ นม ไข่ เวลาที่เราแนะนำพ่อแม่กินเนื้อ นม ไข่ ควบคู่กับการนอนให้พอและการออกกำลังกาย อาหารก็ต้องบาลานส์สมดุล ถ้ากินมากเกินไปก็อาจเป็นปัญหาได้ เช่น เด็กอ้วนเพราะนม เพราะในนมเองมีโปรตีน มีแคลเซียมแต่ก็มีไขมัน

วิตามินเร่งความสูง มันสูงได้จริงไหม มีผลกระทบอย่างไรบ้าง

หมอไม่แน่ใจว่าวิตามินที่ใช้เพิ่มความสูงหมายถึงวิตามินตัวไหน แต่หมอมักได้ยินพ่อแม่มาถามก็จะแนะนำแคลเซียมให้ทานพอสมควรเอาจากอาหารก็ได้ แต่ถ้าเป็นฮอร์โมนที่มีคนพูดถึงในทางการแพทย์เขามีการใช้ในรายที่จำเป็นต้องใช้

วิตามินบางอย่างกินมากไปก็ไม่ดี ในเชิงโภชนาการ การกินเยอะไม่ใช่ร่างกายจะนำไปใช้ได้เยอะ ร่างกายจะดูดซึมสารอาหารไปใช้ได้ตามความเหมาะสม บางอย่างกินมากเกินไปก็อาจจะกระทบ เช่น บางคนเสริมแคลเซียม บางคนอัดโปรตีน กินโปรตีนเยอะบางทีอาจจะมีผลต่อการขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะก็ต้องมาเสริมแคลเซียม เพราะฉะนั้นเวลากินเราเลยต้องบาลานซ์ไดเอท โดยที่เราจะดูว่าบาลานซ์ได้อย่างไรให้ไปดูธงโภชนาการของกระทรวงสาธารณสุขแล้วเราก็ดูว่าลูกควรจะกินแบบไหน

ดูแลเด็กที่มีปัญหาเรื่องความสูงไม่ได้ตามเกณฑ์

เราต้องทราบก่อนว่าฮอร์โมนที่มีผลกับความสูงของเด็กมี 3 ชนิด

1.Growth Hormone

ฮอร์โมนการเจริญเติบโต เด็กจะมาด้วยตัวเตี้ยสมส่วน หน้าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตา อันนั้นขาด Growth Hormone ที่เป็นโรค ไทรอยด์ฮอร์โมน จะมีผลต่อการเรียนรู้เรื่องสติปัญญา ในเมื่อก่อนจะใช้คำว่าเด็กเอ๋อ ในยุคก่อนเรายังไม่มีการรณรงค์ให้ตรวจไทรอยด์ฮอร์โมนตั้งแต่แรกเกิด หรือแม้แต่ยุคก่อนที่เราจะมีการเสริมไอโอดีนในอาหารทั่วประเทศ เราเคยมีเด็กที่ขาดไทรอยด์ฮอร์โมน แล้วก็มีเด็กที่น้องจากเตี้ยแล้วก็ยังมีปัญหาเรื่อง สมองทึบด้วย ในปัจจุบันน่าจะน้อยลงมาก

2.ฮอร์โมนเพศ

เอสโตรเจน คือ ฮอร์โมนเพศหญิง เทสโทสเตอร์โรน คือ เพศชาย เด็กที่มาด้วยเป็นหนุ่มเป็นสาวเร็วกระตุ้นให้สูงเร็วแต่ก็กระตุ้นให้ปลายกระดูกปิดเร็ว อย่างที่หมอบอกไปตอนต้นถ้าเขามาด้วยเป็นหนุ่มเป็นสาวเร็วเราต้องหาสาเหตุเพื่อหาสาเหตุและป้องกันไม่ให้เขาเป็นผู้ใหญ่ตัวเตี้ย

ปัจจัยที่ทำให้เด็กไม่สูงตามเกณฑ์

ต้องออกตัวก่อนว่าหมอไม่ใช่หมอต่อมไร้ท่อก็อาจจะเจอเด็กที่ตัวเตี้ยเยอะหน่อย แต่หมอเป็นมิติของหมอพัฒนาการ งานของหมอมี 2 มิติ หมอก็จะทำทั้งในมิติ Practice ในโรงพยาบาล แต่หมอก็มีมิติที่ลงไปดูเคสที่สืบเนื่องมาจากเคสเมื่อ 2-3 ปีก่อนที่มีเด็กเสียชีวิตจากด้วยโรคหัดเยอะมากใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้แล้วเราพบว่าเด็กที่นั่นไม่ได้ฉีดวัคซีนด้วยความเชื่อต่างๆ รวมถึงมีภาวะทุพโภชนาการ ใน Practice ส่วนตัวที่โรงพยาบาลพญาไท ด้วยเคสคนไข้มักอยู่ในกลุ่มเศรษฐานะดีพ่อแม่มีความรู้ เพราะฉะนั้นส่วนใหญ่เคสที่เจอแล้วตัวเตี้ยมีไม่ค่อยเยอะ มีบ้าง หมอพยายามให้เขาออกกำลังกายเพิ่มเสริมฮอร์โมนแต่ดูแล้วอาจจะเป็นพันธุกรรมเพราะคุณแม่ตัวไม่สูงมาก

แต่ถ้าเป็นเคสที่คุณหมออยู่ในพื้นที่พบว่าภาวะทุพโภชนาการเป็นสาเหตุที่แรกที่ทำให้เด็กน้ำหนักน้อยและตัวเตี้ยด้วย เรื่องของการเข้าถึงของอาหารไม่ได้เป็นปัญหามากถึงแม้ว่าจะเป็น 3 จังหวัดชายแดนแต่ความเข้าใจเรื่องของการกินอาหารจะมีปัญหาเราต้องปรับวิธีการใช้ชีวิตในระดับหนึ่งคือเราพยายามไม่รบกวนวิถีชีวิตของเขามากแต่ก็ต้องปรับบางอย่าง

สรุปจากที่คุณหมอพูดเรื่องของความสูงมากจากพันธุกรรมและปัจจัยอื่นๆ ไม่ว่าจะโภชนาการ เป็นฮอร์โมน การออกกำลังกาย ทุกอย่างกลับไปที่บาลานซ์ กินก็ต้องบาลานซ์ ออกกำลังกายก็ต้องบาลานซ์ บาลานซ์กับมอนิเตอร์ความสูงและน้ำหนักของลูกให้สมดุลกัน

การนอนช่วยทำให้สูง

อย่างน้อยเด็กในช่วงวัยรุ่นก็ควรสัก 8 ชั่วโมง และนอนก่อน 4 ทุ่ม เพื่อให้เขาได้หลับยาวเพื่อให้มีช่วงของการหลับลึก การหลับลึกจะทำให้ Growth Hormone หลั่งออกมา ถ้าเขาหลับไม่ลึกอาจจะด้วยอะไรก็ตาม เช่น ก่อนนอนอาจจะเล่นเหนื่อยมากเกินไป หรือเล่นหน้าจอมากเกินไป ตอนนี้ที่คุณหมอห่วงเด็กที่เรียนออนไลน์ก็คือเรื่องนี้การดูหน้าจอก็อาจจะกระทบเรื่องของการนอนอาจทำให้เด็กหลับไม่ลึก หลับไม่สนิทก็อาจจะส่งผลได้ในอนาคต

ถ้าคุณพ่อคุณแม่กังวลเรื่องความสูงลูก คุณหมออยากจะเน้นย้ำคือ

1.เด็กจำเป็นต้องมีการเล่น

หมอพบว่าเด็กขาดการเล่นค่อนข้างเยอะ ควรเล่นเยอะขนาดไหน วันละ 3 ชั่วโมงต่อวัน ในยุคนี้เด็กเรียนหนักเกินไปหรือเปล่า ที่เรียนหนักก็ควรเรียนแล้วได้ประโยชน์ เช่น ในวัย 10 ขวบ เขาควรต้องได้เล่นและเรียนรู้

2.การนอน

โดยเฉพาะบางที่เด็กขาดการนอนกลางวัน ไม่ใช่แค่กลางคืนอย่างเดียวเด็กบางคนขาดการนอนกลางวัน นอนกลางวันก็สำคัญ และดูหน้าจอเยอะ เป็นไปได้พยายามให้ลูกอยู่ในที่มืดบ้าง

เพราะการที่อยู่หน้าจอเพราะเด็กต้องเรียนออนไลน์ มันจะไปกระตุ้นทำให้เมลาโทนินที่อยู่ในสมองเราหลั่งน้อยลงก็จะกระทบการนอนของเด็กได้อีก เป็นเรื่องที่ห่วงอยู่แต่หมอก็ไม่แน่ใจว่าจะมีการทำวิจัยหรือตามดูการเจริญเติบโตของเด็กอนาคตหรือเปล่าแต่คิดว่ามีอาจจะเห็นอะไรบางอย่างออกมาว่าเด็กที่อยู่หน้าจอตัวเตี้ยลงหรือเปล่า

 

ติดตามฟังได้ที่รายการรักลูก The Expert Talk 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

Jos valitset https://www.porno-videot.com/, valitse sitten paras.