facebook  youtube  line

รักลูก The Expert Talk EP.23: นั่ง ๆ นอน ๆ จนเป็นเรื่อง! ต้นตอพัฒนาการถดถอย

รักลูก The Expert Talk EP.23: นั่ง ๆ นอน ๆ จนเป็นเรื่อง! ต้นตอพัฒนาการถดถอย

“พฤติกรรมเนือยนิ่ง” นั่งๆ นอนๆ อยู่นิ่งๆ ไม่ออกกำลังกาย ไม่ค่อยได้เล่น เคลื่อนไหวร่างกายน้อย ปรากฎการณ์ที่เห็นได้คือ เด็กอ้วนขึ้น ซึม ง่วงเหงาหาวนอน แต่ที่ส่งผลกระทบมากกว่าที่ตาเห็นคือ หากเด็กอยู่ในภาวะเนือยนิ่งนานๆ รู้ไหมว่าส่งผลต่ออารมณ์และจิตใจ ทำให้เด็กเกิดความเครียดได้ง่าย

ฟังผลกระทบ พฤติกรรมเนือยนิ่ง นั่งๆ นอนๆ ส่งผลเสียกับลูกมากกว่าที่คิด โดย The Expert พญ.นลินี เชื้อวณิชชากร กุมารแพทย์ด้านพัฒนาการและพฤติกรรม โรงพยาบาล พญาไท 1

กระทบพัฒนาการด้านใดบ้าง

ก่อนหน้านี้เราคุยกันเรื่องความสูงว่ามีผลกระทบต่อพัฒนาการอย่างไร พ่อแม่จะทำอย่างไรให้ลูกสูงขึ้นได้อย่างถูกต้อง วันนี้อย่างที่บอกค่ะเจ้าตัวเล็กนั่งเรียนออนไลน์อยู่ที่บ้านบางคนเรียนตั้งแต่ 9.00-11.30 น. บ่ายสามเรียนต่อเรียนกันทั้งวัน กลายเป็นว่าบางบ้านไม่ได้ออกกำลังกายเพราะออกไปไหนไม่ได้ พฤติกรรมเหล่านี้ถ้าเรายังปล่อยให้ลูกเป็นแบบนี้ส่งผลต่อพัฒนาการระยะยาวของลูกบ้าง

ก็ต้องดูเรื่องพัฒนาการด้านการเจริญเติบโต ด้านร่างกายและ การเคลื่อนไหว ด้านการเรียนรู้สติปัญญา สังคม อารมณ์ เพราะเด็กที่เขานั่งๆ นอนๆ ส่วนใหญ่ที่เจอก็จะนั่งไปกินไปอาจจะกินอย่างเดียวไม่ได้เผาพลาญไม่ได้ออกแรงไม่ได้ใช้แรงก็อาจจะเจอเด็กที่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัวเยอะ อาจจะเจอเด็กที่ควรจะสูงแต่สูงไม่ได้เท่าที่ควรด้วยการที่ขาดการออกกำลังกายอย่างที่เราบอกไปใน EP ที่แล้ว

สิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือพัฒนาการเรื่องการเคลื่อนไหว การที่เด็กได้มีการเคลื่อนไหว เวลาที่เด็กเล่นได้เคลื่อนไหวได้ใช้ร่างกายสิ่งหนึ่งที่เราจะได้รับคือการที่เด็กได้ระบายพลังงาน ได้ฝึกเรื่องของความตื่นตัว เด็กหลายๆ คนที่มาปรึกษาคุณหมอเรื่องซน สมาธิสั้นอยู่ไม่นิ่งหลายๆ ครั้งหมอให้ฝึกออกกำลัง ออกแรง

ก่อนที่จะทำงานที่มีสมาธิ เด็กบางคนพอเขาอยู่นิ่งๆ มากเกินไปดีไม่ดีก็อาจจะอยู่ไม่นิ่งอยู่ไม่สุขหรือสมาธิในการเรียนรู้ถูกกระทบไหมอันนี้เป็นคำถามที่หมอสงสัยแล้วก็ได้ยินจากเด็กว่าตอนที่หนูอยู่หน้าจอแต่ว่าตามองไปทางอื่น หรือไปแชทคุยกับเพื่อน เพราะฉะนั้นเด็กที่นั่งๆ นอนๆ อย่างเดียวเขาก็อาจจะมีประเด็นเรื่องของความตื่นตัว ความพร้อมที่จะเรียนรู้ถ้าเป็นเด็กเล็ก

เราพบว่าสมองของเด็กเวลาที่เรียนรู้เวลาที่เราจะอ่านหนังสือ เขียนหนังสือ มันจะต้องมีการเชื่อมโยงกันของสมอง 2 ส่วน เพราะฉะนั้นการออกกำลังกาย การใช้ร่างกาย การได้เคลื่อนไหว การได้เล่น การใช้ร่างกาย 2 ซีกประสานกัน ก็จะช่วยให้การเรียนของเขาประสานกันได้ดีขึ้น

เด็กที่ขาดการเคลื่อนไหวเด็กที่นั่งๆ นอนๆ จริงๆ เราเจอมาก่อนโควิดคือเด็กจะนั่งๆ นอนๆ เล่นเกมกับดูทีวี เราก็พยายามจะบอกคุณพ่อคุณแม่ว่าเป็นไปได้ควรจะฝึกสมอง 2 ซีกให้ลูก

กิจกรรมหลายๆ อย่าง เทคนิคหลายๆ อย่างที่นักวิชาชีพฝึกให้เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนก็คือการเคลื่อนไหวร่างกาย การฝึกร่างกายเพื่อฝึกสมอง 2 ซีก หมอยังเป็นห่วงอยู่ว่าเด็กยุคนี้การเชื่อมโยงข้อมูลในสมองเขาจะมีประโยชน์ไหม

นอกจากนี้การที่เด็กได้เคลื่อนที่เคลื่อนไหวมันเป็นการระบายพลังงาน การระบายความคับข้องใจ อึดอัดใจ หมอจะได้ยินเด็กบางคนก็บอกว่าเบื่อ บางคนก็บอกว่าไม่ไหวแล้ว บางคนก็มาหาด้วยปัญหาพฤติกรรม เพราะเขาไม่มีโอกาสได้เคลื่อนไหว ได้ปลดปล่อยความคับข้องใจซึ่งมีอยู่เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ทุกคน

โรคเรื้อรังกระทบพัฒนาการ

สมาธิสั้น

หมอเจอเด็กบางคนมาปรึกษาด้วยอาการซนสมาธิสั้นอยู่ไม่นิ่ง ครูบอกเดินไปเดินมาในห้องเรียน อันนี้หมอพูดในเคสที่พบเกิดก่อนโควิด เด็กบางคนพอหมอประเมินแล้วหมอขอแก้ไขร่างกาย เพราะว่าลักษณะเหมือนออฟฟิศซินโดรมเลย เช่น หมอยกตัวอย่างเคสที่เดินไปเดินมาในห้องเรียน

ปรากฏว่าเวลามาประเมินกับหมอบางทีเขาก็ยืนบางทีก็นั่งกับเก้าอี้ บางทีก็นั่งกับพื้น หมอก็จะเห็นอิริยาบถของเขาอย่างเคสที่คุณหมอแนะนำคุณพ่อคุณแม่ไปหมอก็จะบอกคุณพ่อเคยสังเกตไหมว่าลูกไม่เคยยืนลงน้ำหนักที่เท้าทั้ง 2 ข้างในเวลาเดียวกัน หมอก็เลยให้เด็กยืนแล้วเด็กยืนไม่ได้ต้องยืนสลับขาซึ่งหมอสงสัยว่าอาจจะเป็นการตึงของกล้ามเนื้อบางส่วนที่อาจจะใช้อิริยาบถที่ผิดๆ ก็ต้องไปแก้ไขร่างกายไปฝึกหมอแนะนำท่าโยคะ ไปนวด

หรือเด็กบางคนมาหาหมอเพราะนั่งไม่ได้พอหมดตรวจร่างกายไม่มีก้น ไม่มีกล้ามเนื้อก้นแล้วนั่งผิดท่ามาตลอดเขาจะนั่งเลื้อย ปรากฏว่ากล้ามเนื้อก้นลีบไปหมดแทบไม่มีกล้ามเนื้อก้นกลายเป็นว่านั่งผิดตั้งแต่เล็กๆ

หมอบอกคุณพ่อคุณแม่ว่าลูกอาจจะซนแต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องแก้ไขเขาจะได้ไม่ยุกยิก ถ้าผู้ใหญ่เรียกว่าออฟฟิศซินโดรม แต่เป็นเด็กหมอเรียกตามสถานการณ์คนที่ก้นหายแต่ในที่สุดก็มาได้พอเราแก้ กล้ามเนื้อก้นก็ฟูขึ้น

พัฒนาการด้านร่างกาย

นอกจากพัฒนาการทางด้านร่างกายที่คุณหมอให้แนวทางคือร่างกายหายไปก็ต้องฟื้นฟูร่างกายขึ้นมา เช่นการใช้โยคะ การออกกำลังกาย จะช่วยได้ แล้วในส่วนของจิตใจหรือความเครียด เราเทียบว่าเคียงเด็กเป็นออฟฟิศซินโดรมเหมือนผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ที่อยู่หน้าจอนานๆ มีเบิร์นเอ้าท์ เด็กมีภาวะแบบนี้ไหมที่เขาเนือยนิ่งไม่มีกะจิตกะใจอยากจะทำอะไร เขามีภาวะแบบนี้ไหมแล้วพ่อแม่จะรับมืออย่างไร

ที่คุณหมอเจอหลักสูตรเรียนออนไลน์ของประเทศไทยก็แตกต่างกัน หมอเจอทั้งแบบ การบ้านเยอะกว่าไม่เรียนออนไลน์ บางโรงเรียนก็ไม่มีการบ้าน ถ้าถามเด็กมีความเครียดไหม จริงๆ แล้วมนุษย์เป็นสัตว์สังคมและมนุษย์ในช่วงวัย 6 ขวบขึ้นไปโดยประมาณเป็นเรื่องที่เด็กๆ เขาต้องมีโอกาสคล้ายๆ กับเจอประสบการณ์ตรง เช่น เราเรียนเรื่องต้นถั่วเด็กก็ควรจะเรียนจากต้นถั่วจากเมล็ดถั่วปลูกขึ้นมาไม่ใช่เรียนจากจอคอมพิวเตอร์แล้วเห็นถั่วงอก

ด้วยความเป็นเด็กเขาต้องเจอของจริงได้ลงมือปฏิบัติจริงได้เห็นภาพที่แท้จริง คาบการเรียนออนไลน์หมอไม่ใจว่าบางโรงเรียนเขาอาจจะจัดไหม คือสมมติเป็นชั่วโมงวิทยาศาสตร์ถ้าไปโรงเรียนครูอาจจะให้ทำให้ทดลองแต่อยู่ที่บ้านจะได้ทดลองไหม เด็กจะขาด

เรื่องพวกนี้ที่หมอเป็นห่วงหมอพยายามบอกพ่อแม่ว่าอยู่ที่บ้านมีเวลาอย่าไปโฟกัสแต่เรื่องเรียนออนไลน์ลองคิดกิจกรรมสนุกๆ ได้ผ่อนคลายได้ให้ลูกได้มีโอกาสเจอของจริงเพื่อที่เขาจะได้ไม่ขาดตกบกพร่องงานพัฒนาการของเขาให้เขามีโอกาสลงมือทำลงมือปฏิบัติมากกว่าการเรียนออนไลน์

เครียดสะสมหรือเครียดระยะยาวกระทบกับฮอร์โมน

แน่นอน มนุษย์เราจะมีฮอร์โมนความเครียด ซึ่งจริงๆ แล้วเราควรจะมีฮอร์โมนความเครียดบ้าง มีบ้างนิดๆ ให้ชีวิตมีอะไรท้าทายเพื่อที่จะสร้างเป้าหมาย แต่ถ้าความเครียดนั้นรุนแรงเกินไปเราก็พบว่าฮอร์โมนความความเครียดหลั่งมากเกินไปมีผลต่อการงอกของเซลประสาท

แต่พอเด็กค่อนข้างโตเซลล์ประสาทไม่แบ่งตัวแล้วแต่จะเป็นเรื่องของการเชื่อมโยงเครือข่ายสายใยประสาทอาจจะมีประเด็นปัญหาเรื่องพวกนี้ได้ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นไปได้หาโอกาสหากิจกรรมที่เด็กจะได้มีโอกาสคลายเครียดอาจจะถามจากเขาว่าอะไรที่ทำให้เขาผ่อนคลายอาจจะเน้นจากธรรมชาติเพราะหน้าจะก็ไม่ธรรมชาติอยู่แล้ว ช่วงนี้ฝนตกไปสัมผัสฝน ไปดมกลิ่นดินบ้าง ได้สัมผัสใบไม้ใบหญ้าทั้งหมดนี้มันช่วยผ่อนคลาย

คุณพ่อคุณแม่สังเกตลูกเมื่อเริ่มเครียด

สังเกตเรื่องการกินการนอนและพัฒนาการเขา ถ้าดูว่าลูกกินน้อยไปกินมากไป นอนน้อยไปนอนมากไป อะไรมากไปน้อยไปต้องเริ่มสังเกตแล้ว หรือแม้แต่เรื่องของพัฒนาการเด็กบางคนกลายเป็นพัฒนาการดูถดถอยเคยทำได้กลายเป็นทำไมได้ เราอย่าเพิ่งรีบไปดุลูกว่าทำไมทำไม่ได้ อาจจะค่อยดูว่าลูกกำลังสื่อสัญญาณอะไรหรือเปล่าว่าตอนนี้หนูจะไม่ไหวแล้วนะ

พ่อแม่แบบนี้ทำให้ลูกเครียดสะสม

ที่หมอเจอเยอะคือเด็กที่รับมือกับความเครียดไม่เป็น แต่เหตุผลที่เขารับมือกับความเครียด หมอใช้คำว่า ความทุกข์ คือจัดการกับมันไม่ได้ ปัจจัยเด็กยุคนี้ที่หมอเจอแล้วเขารับมือกับความทุกข์ไม่ไหวเป็นเพราะอะไร

1.พ่อแม่ไม่เข้าใจเรื่องของการเป็นโค้ชทางอารมณ์ให้ลูก

คือ พ่อแม่หลายคนไม่อยากเห็นลูกเสียใจ ไม่อยากเห็นลูกผิดหวัง เวลาที่ลูกแสดงแบบนั้นหรือแสดงอารมณ์โกรธอะไรก็ตามก็มักจะใช้คำว่า หนูอย่าเสียใจซิ แค่นี้ไม่เห็นต้องโกรธเลย ไม่เห็นต้องผิดหวังเลยไม่ได้ก็ไปซื้อเอา ความทุกข์เล็กที่เขาฝึกเจอตั้งแต่เด็กมันจะเป็นภูมิคุ้มกัน พ่อแม่ต้องยอมกับก่อนว่ามนุษย์มีความทุกข์ได้ มีอารมณ์เชิงลบได้ 17.20

2.ไม่รับฟังความรู้สึกของลูก

แสดงให้ลูกรู้สึกว่าอันนี้เป็นเรื่องปกติ ถ้าพ่อแม่ยอมรับลูกก็จะยอมรับความรู้สึกนี้ และเราค่อยๆ ปรับให้เขาแสดงออกอย่างเหมาะสมกับความรู้สึกนั้น เช่น เขารู้สึกโกรธหมอก็บอกเขาว่าโกรธได้เป็นเรื่องปกติเด็กๆ ใครมาทำแบบนี้กับคุณหมอ คุณหมอก็โกรธ เด็กก็จะทำหน้าว่าโกรธได้หรอ คุณหมอก็จะบอกว่าโกรธได้สิแต่ไม่มีสิทธิ์ไปทำร้ายใคร หรือโกรธได้แต่ทำร้ายตัวเองไม่ได้ มีอะไรที่อยากให้ผู้ใหญ่ช่วยบอกซิ

อันนี้คือการรับฟังไม่ได้ตามใจเขาแค่ให้เขาได้พูด ถ้าเรื่องที่เขาพูดเราไม่สามารถทำได้เราก็ปฏิเสธลูกได้ แม่รู้ว่าลูกโกรธเพื่อนมากจนอยากจะเอามีดไปฟัน อันนี้เรารับฟังแต่เราไม่ได้ให้เขาทำแล้วหมอก็จะก็บอกเขาว่าอันนี้แม่คงปล่อยให้ลูกทำไม่ได้หรอกมันมีวิธีอื่นไหมที่จะทำให้หนูรู้สึกดีขึ้น

คือถ้าพ่อแม่ฝึกฝนลูกในเรื่องนี้ความเครียดของยุคนี้ที่เด็กๆ รับมือกันได้ไม่ดีลูกจะค่อยรับมือได้ดีขึ้น โดยฝึกจากคนที่เขารู้สึกว่าไม่ว่าเขาจะเป็นเด็กดีหรือว่าตัวร้ายกำลังออกผู้ใหญ่คนนี้ก็ยอมรับ แต่ไม่ได้ยอมรับพฤติกรรม ยอมรับที่เราจะโกรธเราจะเด็กร้าย

หมอเจอปัญหานี้เยอะมากตั้งแต่เด็กโตไปถึงวัยรุ่นตอนปลาย ผู้ใหญ่ตอนต้นไปถึงผู้ใหญ่ตอนกลางก็จะพบว่าทุกข์แต่ไม่รู้จะรับมือกับความทุกข์อย่างไร บางคนซึมเศร้าบางคนก็เครียด บางคนรับมือกับชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้

สอนรับมือกับอารมณ์

เรามีสิทธิ์เครียดแต่ไม่จำเป็นต้องเป็นโรคเครียด ความเครียดใครๆ ก็มีหมอก็เคยมีทุกวันนี้ก็อาจจะมีอยู่ เด็กเล็กๆ ก็เครียดได้ เด็กเบบี๋แค่เขาส่งเสียงเรียกแล้วแม่ทำหน้าบึ้งตึงไม่ยิ้มกับเขาๆ ก็เครียดแล้ว เบบี๋วัยแรกเกิดจนถึงหนึ่งปีครึ่ง เป็นที่เขาต้องสร้างความรักใคร่ผูกพันที่มั่นคงปลอดภัยกับผู้เลี้ยงดูเพราะฉะนั้นการเลี้ยงดู มีร้องบ้างแต่ต้องไม่ปล่อยจนหยุดร้องด้วยตัวเองอันนั้นจะเครียดไปต้องตอบสนองเขาทันที

ช่วงวัย 1-3 ปี วัย Terrible กรี๊ดๆ คือเขาเครียดหรือยังค่ะ ไม่เครียด ถ้าในมิติของพัฒนาการทางสมอง 1 ขวบ เด็กจะเริ่มรับรู้ว่าฉันเกิดความรู้สึกแต่เด็กไม่รู้ว่าอันนี้เรียกว่าอะไรรู้แค่ว่าตัวมันร้อนหน้ามันแดงหัวใจเต้นเร็วแล้วก็อยากจะกรี๊ดๆ ซึ่งเวลาเจอแบบนี้หมอก็มักจะบอกเด็กว่าหนูโกรธเหรอ หนูหงุดหงิด บางคนเขาเป็นเพราะคับข้องใจ เขาอยากทำอย่างนี้แต่เขาทำได้ไม่เหมือนผู้ใหญ่

ในช่วง 1-3 ปีสมองส่วนอารมณ์กำลังพัฒนา เด็กเริ่มทำอะไรด้วยตัวเองได้มากขึ้น ถ้าเขาสามารถได้ทำอะไรด้วยตัวเองได้เราพยายามส่งเสริมให้เขาได้ทำ แต่ถ้าเขาทำไม่ได้เขาอาจจะเกิดความคับข้องใจ เช่น อยากได้อันนี้แต่แม่ไม่ให้แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องให้เพราะบางอย่างให้ไม่ได้จริงๆ ถ้าเขาจะร้องก็จำเป็น เราไม่เรียกว่าความเครียดแต่เขากำลังฝึกรับมือกำกับความรู้สึกขับข้องใจโดยมีเราเข้าใจเขา ไม่ดุซ้ำ หรือตัดใจซ้ำ

วัย 3-6 ปี เช่นเดียวกัน ถ้าใครมีลูก 3-4 ขวบ เรียกว่าพ่อแม่ต้องแกร่งเพราะว่าลูกเราช่วง 3-4 ขวบกำลังพยายามเปลี่ยนสถานะจากลูกของเรามากลายเป็นเจ้านายเราพยายามควบคุมพ่อควบคุมแม่ซึ่งหมอจะบอกพ่อแม่ว่ามันเป็นพัฒนาการตามวัยแต่ไม่ได้แปลว่าเราต้องให้เขาทำ ก็คือให้เขาทำก็ได้แต่เราไม่ได้ตามใจเขา

ยกตัวอย่าง เด็กบางคนพ่อพามาบอกว่านอนไม่ได้ทั้งคืน อุ้มลูกแล้วก็ชี้ขึ้นบนบันไดพ่ออุ้มขึ้นชั้นสอง ถึงชั้นสองลูกชี้ลงข้างล่างไม่ได้ชี้ธรรมดาชี้ไปร้องไปพ่อเลยเดินทั้งคืน หมอบอกว่าจริงๆ พ่อต้องหยุดลูกแค่ลองเฉยๆ ว่าฉันทำอย่างนี้ได้ไหม ฉันกับพ่อใครคือ authority

เราพบว่าเด็กหลายคนที่พ่อแม่ไม่เข้าใจประเด็นนี้แล้วไปตามใจลูกกลายเป็นเด็กยิ่งร้องยิ่งสับสนในตัวเอง เพราะเขาไม่ได้ต้องการให้พ่อแม่ตามใจเขาขนาดนั้นเขาต้องการให้พ่อแม่ Set boundary ที่เหมาะสมให้เขา

วัย 6-9 ปี ในมุมมองที่หมอมองบางทีก็ปล่อยผ่านในเรื่องวิชาการ หมอเข้าใจว่าพ่อแม่ซีเรียสเรื่องนี้แต่หมอก็พบหลายคนที่ต้องมาหาหมอตอนโตด้วยปัญหาทางอารมณ์ทางจิตใจ อยากให้พ่อแม่ปล่อยผ่านบ้างอย่าเอาจริงเอาจัง

แต่ก็เข้าใจคุณพ่อคุณแม่เช่นเดียวกันบางทีหลักสูตรก็ค่อนข้างเกินตัวเด็ก เราเรียนกันเยอะเกินไปหรือเปล่าหมายถึงว่าบางเรื่องมันก็ไม่จำเป็น บางเรื่องจำเป็นแต่อาจไม่ได้ถูกฝึก เช่น จากที่หมอเห็นลูกเพื่อน เห็นเด็กๆ เห็นทั้งเด็กที่เรียนเร่งๆ จนสามารถสอบได้ทุนไปเรียนต่างประเทศแต่ไม่สามารถรับมือกับความเครียดได้ แบกรับความคาดหวังจากพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก ต้องผ่อนคลายบ้าง

หมอว่าเด็กอาจจะผู้ใหญ่ด้วยขาดเรื่องการคิด หมอเคยอ่านบทความที่บอกว่า “จะให้ลูกคิดเป็น หรือจำเก่ง” ถ้าคิดเป็นไม่ต้องจำก็ได้พอเขาคิดปุ๊บว่าเจอปัญหานี้เขาจะไปค้นได้ที่ไหน

ครอบครัวสร้างพลังในการเรียนรู้

จริงสภาพความเป็นอยู่ก่อนเราจะมา WFH ทุกคนมีพื้นที่ส่วนตัว มีเวลาส่วนตัว ถึงแม้เวลานี้จะเป็นเวลาทำงานของแม่แต่แม่ก็อยู่ออฟฟิศแม่ในพื้นที่ส่วนตัวของแม่ ตอนนี้ความเครียดที่มันเกิดคือพื้นที่ส่วนตัวของเราหายเราจำเป็นต้องเอา Space ของเรามาอยู่ที่บ้าน

ลูกจำเป็นต้องเอา Space ของเขามาอยู่ที่บ้าน ทุกคนมาอยู่ด้วยกันหมด เพื่อให้ผ่อนคลายบ้างเราจำเป็นต้องหาเวลาเพื่ออยู่ตามลำพัง ต้องจัดตารางที่เด็กๆ รู้ว่าเวลานี้รบกวนแม่ได้ ตอนนี้แม่ขอเวลา ตอนนี้หนูมีเวลาส่วนตัว ถ้ามีลูกคนเดียวให้นึกถึงวงกลม 3 วง มันจะสวยถ้ามีช่วงที่เชื่อมโยงกันแต่ก็มีช่วงที่ไม่มาทับซ้อนกันแต่วงกลม 3 วงมันจะไม่สวยถ้ามาทับซ้อนกันหมดเพราะมันจะกลายเป็นวงกลมวงเดียว

หมอว่า WFH ข้อดีก็คือลองหากิจกรรมที่ในอดีตเราเลี้ยงลูกอยู่บ้านลองหากิจกรรมร่วมกัน ทำอาหาร ปลูกต้นไม้ เลี้ยงหนอนไหม

 

ติดตามฟังได้ที่รายการรักลูก The Expert Talk 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

รักลูก The Expert Talk EP.24: จอเรียน จอเล่น ไม่มีพัก วิกฤตตาเสื่อมช่วงเรียนออนไลน์

djembed

รักลูก The Expert Talk EP.24: จอเรียน จอเล่น ไม่มีพัก วิกฤตตาเสื่อมช่วงเรียนออนไลน์

ช่วงเวลาที่เด็กต้องเรียนออนไลน์เกือบทั้งวัน และผ่อนคลายความเครียดด้วยการเล่นเกม!! ส่งกระทบต่อสายตาลูกระยะยาวแน่นอน พ่อแม่จะรับมืออย่างไร ฟังคำแนะนำจากจักษุแพทย์เด็ก นพ.จรินทร์ ศักดิ์ธนะเศรษฐ จักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาโรคตาเด็กตาเหล่ มะเร็งลูกตา โรงพยาบาล BNH

 

เพราะช่วงนี้เด็กยังเรียนออนไลน์ วันนี้เราคุยกันเรื่องการใช้สายตาที่เด็กต้องจ้องจอตลอดทั้งวันยังไม่นับเวลารวมที่ลูกเล่นเกมหรือดูทีวีมันส่งผลกระทบอย่างไรต่อสายตาลูกบ้าง

อันตรายจากการใช้จอของเด็ก

ในฐานะของจักษุแพทย์ต้องบอกก่อนว่าจริงๆ แล้วแสงจากจอคอมพิวเตอร์ไม่ได้เป็นอันตรายต่อตาเด็กมากนักเพราะความเข้มของแสงที่ออกจากจอคอมพิวเตอร์ไม่ได้สว่างถ้าเทียบกับแสงแดดหรือแสงอาทิตย์จากภายนอก เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีจอในปัจจุบันปริมาณของรังสียูวีออกมาน้อยมากๆ

แต่ปัญหาที่เกิดจากการที่เด็กคนหนึ่งได้ดูจอที่เกิดกับตาคือการที่เขาสามารถใช้เวลากับจอได้เป็นระยะเวลานานเพราะว่าเขาต้องเรียนออนไลน์ด้วย อาจมีเกมหรือการ์ตูนที่เด็กสนใจ

ตาของเด็กที่เวลามองจอหรืออุปกรณ์พวกนี้สังเกตดูว่าจะไม่เหมือนเวลาที่เขาอ่านหนังสือ การที่เด็กอ่านหนังสือตาจะไล่ไปตามตัวหนังสือไล่ไปตามบรรทัดแล้วขึ้นบรรทัดใหม่ตาจะมีการขยับตลอดเวลามีเหลือบมองนอกหนังสือบ้าง แต่เวลาตาของเด็กเวลาจ้องอยู่กับจอคอมพิวเตอร์ตาเขาจะจ้องนิ่งอยู่กลางจอเพราะสิ่งที่เขาสนใจอยู่ตรงนั้น

ระยะของอุปกรณ์พวกนี้ในปัจจุบันเวลาเด็กดูจอคอมพิวเตอร์หรือแทปเล็ตหรือมือถือหรือ I-pad ระยะก็จะอยู่ประมาณ 30-50 เซนติเมตร ซึ่งถือว่าเป็นระยะค่อนข้างใกล้ การที่เด็กดูจอในระยะใกล้ขนาดนี้โดยธรรมชาติของตาเด็กๆ ก็จะมีสายตายาวอยู่แล้วอันนี้เป็นธรรมชาติของเด็กทุกคน

พอเด็กมองใกล้ก็จะเกิดการเพ่งเพื่อให้เกิดความคมชัดของภาพ การเพ่งต่อเนื่องระยะเวลานานๆ จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในลูกตาที่เกิดขึ้นได้คือเกิดการยืดออกตัวของตาขาวของลูกตาซึ่งเป็นกลไกให้เกิดสายตาสั้นได้

ส่วนเรื่องอื่นๆ การที่เด็กจ้องจอเป็นเวลานานสังเกตดูถ้าลูกจ้องจอเป็นเวลานานๆ โดยเฉพาะ Content ที่มีความน่าสนใจแล้วเขาสนใจตาของเขาในช่วงแรกที่จ้องจออัตราการกระพริบตาของเด็กจะลดลง บางครั้งก็อาจจะเกิดการระคายเคืองตาหรือตาแห้งตามมาได้ เราจะพบเห็นกันได้บ่อยๆ ว่าลูกหลานเราบางคนพอจ้องจอนานๆ สักพักจะมีการกระพริบตาถี่ขึ้น เกิดจากการที่เด็กก่อนหน้านั้นมีการเพ่งนาน

อาการระคายเคืองตา

การระคายเคืองตา การกระพริบตาเป็นการปั้มน้ำตาเพื่อมาช่วงหล่อเลี้ยงผิวหน้าดวงตาทำให้ตาชุ่มชื้นขึ้นทำให้เขาสบายตา ถ้าเราปล่อยให้ถึงขั้นกระพริบตาถี่ขึ้นแปลว่าแห้งไปแล้ว เพราะฉะนั้นก็จะมีวิธีที่จะจัดการหรือว่าจัดการเวลาให้เขาดูน้อยลง มีแบ่งช่วงเวลาให้เขาดูสั้นลง หรือว่าให้เขาดูห่างขึ้นก็อาจจะช่วยให้เขาสบายตาขึ้นได้

ผลกระทบจากแสงสีฟ้า

แว่นกรองแสงสีฟ้าแรกเริ่มเดิมทีมีจุดกำเนิดมาอย่างไร ในสมัยก่อนที่มนุษย์เรายังไม่มีการผลิตไฟฟ้าใช้เป็นมนุษย์ถ้ำมนุษย์ป่า สมองของคนเราเวลามองออกไปข้างนอกถ้าเห็นแสงสว่าง มองท้องฟ้าเห็นเป็นแสงสีฟ้าสมองเราจะรับรู้ว่าอันนี้เป็นเวลากลางวัน แล้วก็สมองของเราจะใช้แสงสีฟ้าเป็นตัวบอกว่านี่เป็นเวลากลางวันเราต้องออกไปทำมาหากิน เราต้องออกไปใช้ชีวิต หรือออกไปล่าสัตว์

แต่ถ้าเราออกไปมองท้องฟ้าไม่แล้วเห็นสีฟ้าเห็นเป็นสีดำกลางคืนอันนั้นเป็นเวลานอน จริงแล้วแสงสีฟ้าความสำคัญคือเป็นแสงที่เอาไว้คุมกลไกการหลับการตื่นของคนเรา ถ้ามีแสงสีฟ้ามันจะไม่บล็อคสารสื่อประสาทในฮอร์โมนชื่อว่าเมลาโทนิน พอมีแสงสีฟ้าเมลาโทนินจะไม่หลั่งแล้วก็ตื่น แต่ถ้าไม่มีแสงฟ้าเมลาโทนินก็จะออกมาเราก็จะง่วงนอนแล้วก็หลับได้

ในยุคต่อมาเราผลิตหลอดไฟได้เรามีอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์หลายคนที่ต้องทำงานหน้าจอเวลากลางคืนทำเสร็จแล้วนอนไม่หลับเพราะว่าแสงเข้าตาเยอะก็เลยมีการผลิตแว่นกรองแสงสีฟ้าขึ้นมา หลักๆ เดิมทีวัตถุประสงค์เพื่อให้เราใส่เวลาทำงานกลางคืนเวลาปิดจอแล้วสามารถนอนหลับได้

หลายๆ คนอาจจะติดซีรีย์กลางคืนดูหนังดูเสร็จแล้วนอนไม่หลับเพราะแสงจากจอทีวีหรือในมือถือบางคนต้องปิดไฟดูมืดๆ แสงยิ่งเข้าเยอะ แสงพวกนี้อาจทำให้ไปบล็อคเมลาโทนินทำให้เราตื่นอันนี้เป็นที่มาของการผลิตแว่นกรองแสงสีฟ้าครั้งแรก

จริงๆ แสงสีฟ้าเป็นแสงในสเปคตรัมที่ตาเรามองเห็นได้เรียกว่า Visible light แสงถ้าเราแบ่งเป็น 2 กลุ่มง่ายๆ คือ แสงที่ตามองเห็นได้ กับแสงที่ตามองเห็นไม่ได้ แสงในกลุ่มที่ตาเรามองเห็นได้แบ่งเป็น 7 สี ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง (สีรุ้ง) แสงที่อยู่ใต้แดงเรียกแสงอินฟาเรดที่นอกเขตสีแดงฝั่งซ้ายสุดอินฟาเรดเป็นแสงกลุ่มพลังงานต่ำอันนี้ก็จะปลอดภัยเราเอามาประดิษฐ์รีโมทคอนโทรงใช้ในบ้าน

ส่วนแสงกลุ่มพลังงานสูงคือแสงที่อยู่เหนือม่วงขึ้นไปเรียกว่าอุลตร้าไวโอเลต แบ่งเป็น ยูวีเอ ยูวีบี แสงกลุ่มนี้เป็นแสงพลังงานสูงเราเอาไว้ฆ่าเชื้อโรคอบฆ่าเชื้อโควิด หรือถ้าโดนผิดเราอย่างเวลาเราไปทะเลโดนแสงยูวีเยอะ จะให้ผิวเราร้อนไหม้บางคนลอกหรือว่าดำขึ้น

แสงที่เป็นอันตรายต่อตาเราคือแสงยูวี กลุ่มยูวีทั้งหมดแสงตั้งแต่สีม่วงลงมาเป็นแสงที่ตามองเห็นได้กับอินฟาเรดเป็นแสงที่ค่อนข้างปลอดภัยกับตา แสงกลุ่มสีฟ้า สีคราม สีม่วง

ถ้าสังเกตดูมันจะอยู่ติดกับกลุ่มยูวีซึ่งจัดเป็นแสงที่มองเห็นได้ในกลุ่มที่มีพลังงานสูงถ้าเทียบกันในกลุ่มของแสงที่ตามองเห็นได้แสงสีฟ้า สีคราม สีม่วงก็จัดว่าเป็นแสงที่เวลาที่เรามองเข้าไปมันคลายพลังงานความร้อนในจอประสาทตามากกว่าสีเหลือง สีแดง สีเขียว

เพราะฉะนั้นถ้าเอาแสงสีฟ้าออกไปด้วยนอกจากยูวี ก็น่าจะปลอดภัยกับจอตามากขึ้น มีการทดลองงานวิจัยระดับโลกว่าถ้าเทียบกันในแสงที่มองเห็นด้วยกัน ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง แสงสีน้ำเงิน สี ฟ้า สีม่วง เป็นแสงที่ส่งผลต่อจอประสาทตามากกว่าสีเหลือง สีแดง สีเขียว เพราะฉะนั้นการที่เราใส่แวนกรองแสงสีฟ้าเขาก็เชื่อว่ามันทำให้ถนอมจอประสาทตา ช่วยเรื่องของการนอนหลับที่พูดถึงไปก่อนหน้านี้

ผลกระทบจากการจ้องจอนาน

ปริมาณแสงจากจอคอมพิวเตอร์ไม่ได้เข้ม และไม่ได้อันตรายมาก หลักการง่ายๆ เลยถ้าแสงจากจอคอมพิวเตอร์เป็นแสงที่อันตรายและทำลายดวงตาเราโอกาสที่มันจะขายให้เราซื้อมาใช้ตามบ้านจะน้อย มันไม่ได้เป็นอันตรายที่เราส่องเข้าไปแล้วเป็นต้อหิน ต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อม แสงที่ทำให้จอประสาทตาเสื่อมต้องเป็นแสงที่ค่อนข้างเข้มมีรังสียูวี เช่น แสงที่เกิดจากการอ๊อกเหล็กแสงจ้า แสงจากดวงอาทิตย์ แสงไฟสปอทไลท์ที่มีความสว่างมากๆ พอเราไปจ้องมากๆ ปริมาณแสงเข้มๆ จะไปทำลายจอประสาทตา แต่

แสงจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นแสงที่ค่อนข้างไม่มีความอันตรายอย่างที่กลัวกัน ที่มีปัญหาคือเด็กจ้องใกล้และจ้องนาน อันนี้เป็นตัวปัญหาทำให้เกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของลูกตาเด็กทำให้เกิดสายตาสั้นได้

การใส่แว่นกรองแสงสีฟ้า หลายคนคิดว่าแว่นกรองแสงสีฟ้าพอให้ลูกเราใส่มันจะกันได้ทุกอย่างกันสายตาสั้นก็ได้ กันตาแห้งก็ได้ จริงๆ แล้วแว่นกรองแสงสีฟ้าไม่ได้ช่วยเรื่องสายตาสั้นเลย เพราะว่าสายตาสั้นเกิดจากการที่เด็กมองที่ใกล้เป็นระยะเวลานานๆ เกิดการเพ่ง เราจะใส่แว่นหรือไม่ใส่แว่นระยะมันเท่าเดิม เด็กจ้องใกล้

ต้องทำความเข้าใจนิดหนึ่งเพราะว่าพ่อแม่หลายคนบอกลูกใส่แว่นเราซื้อแว่นมาให้ลูกเราแล้วเราจะอนุญาตให้ลูกดูนานกว่าเดิมอันนี้เป็นความเข้าใจที่ผิด เราใส่ให้ปลอดภัยขึ้นแต่ไม่ได้ใส่แล้วอนุญาตให้ลูกดูได้นานขึ้น เพราะการที่ดูใกล้ดูนานทำให้เป็นสายตาสั้น ใส่แว่นแต่ยังดูใกล้อยู่ดูนานอยู่หรือนานกว่าเดิมอันนั้นเพิ่มโอกาสสายตาสั้นมากกว่าเดิม

แว่นกรองแสงสีฟ้าส่วนมากจะกรองแสงยูวีด้วย การที่เรากรองแสงยูวีออกกรองแสงสีฟ้าออกใส่แล้วจะทำให้สบายตาขึ้น จริงๆ แสงพอเวลาที่เข้ามาปริมาณมันก็จะมีพลังงานที่คลายให้กับลูกตาเราด้วยถ้าแสงเข้มมากก็จะมีอาการล้าตามมาได้ แต่แสงที่โดนตัดพลังงานออกไปบ้างจากแว่นกรองแสงสีฟ้าส่วนใหญ่ก็กรองแสงยูวีได้ด้วยก็จะทำให้อาการสบายตามีมากขึ้น เพราะฉะนั้นประโยชน์หลักๆ ของแว่นกรองแสงสีฟ้าคือ 1.ใส่แล้วสบายตา ลดพลังงานเข้าตา 2.ช่วยเรื่องนอนหลับ

ให้ลูกห่างจอบ้าง

จริงๆ อยากให้คุยกับลูกเลยว่าเวลาใช้งานคอมพิวเตอร์ สมมติถ้าไม่ใช่เรื่องเรียน ถ้าเขาใช้เรียนออนไลน์อยู่ก็คงต้องเรียนไปตามคาบตามชั่วโมงที่ครูสอน แต่ถ้าเป็นเรื่องอื่น เช่น ดูการ์ตูน หรือสื่อบันเทิงอาจจะต้องคุยกันว่าเราต้องพักทุก 15 หรือทุก 20 นาทีไหม

การที่เราวางจอห่างจากตาเด็กเท่าไหร่เราก็ได้ประโยชน์มากเท่านั้นการที่เด็กยิ่งดูใกล้และยิ่งดูนานเพิ่มความเสี่ยงสายตาสั้น ถ้ายิ่งดูไกลมากขึ้นแบ่งเวลาพักบ่อยๆ มีการใช้สายตาในที่ไกลบ้างอันนี้จะลดโอกาสสายตาสั้น การที่เด็กได้พักเด็กก็จะมีเวลากระพริบตามากขึ้นเรื่องตาแห้งก็จะลดลง เช่น 15 นาทีแล้วเดี๋ยวเรามองอย่างอื่นบ้างพ่อแม่อาจจะต้องเบรกให้มองนอกหน้าต่าง การมองนอกหน้าต่างไกลๆ ทำให้กล้ามเนื้อตาคลายตัว เด็กได้มีการกระพริบตาปั้มน้ำตาออกมาช่วยเรื่องตาแห้งได้ด้วย

ระยะห่างจอ

ยิ่งห่างยิ่งดี ยิ่งห่างยิ่งเพ่งน้อยลง ที่นี้ขนาดจอก็จะเริ่มมีผลแล้วเพราะว่าบางคนถ้าเรียนจอเล็กก็ต้องดูใกล้ เพราะดูไกลก็ไม่เห็น แต่ถ้าขนาดจอใหญ่หน่อยเด็กก็ถอยห่างได้ การเรียนบางที่บางโรงเรียนต้องมีการ Interactive หน้าจอด้วยอาจจะต้องใช้ Touch Screen ด้วยถ้าไกลมากเด็กจิ้มก็ไม่ถึง

ส่วนใหญ่หมอแนะนำว่าให้เด็กลองยกมือขึ้นมาแล้วยื่นออกไปสุดถ้าแต่จอได้คือใกล้ไปก็จะแนะนำให้ถอยออกมา เด็กส่วนใหญ่ถ้ามีจอเด็กก็จะค่อยๆ ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ยิ่งดูก็ยิ่งใกล้เข้าไปเรื่อยๆ เวลาเด็กเขาสนใจอะไรเขาก็อยากเข้าไปดูใกล้ๆ ดูชัด ไม่เหมือนผู้ใหญ่ถ้าเรายิ่งดูใกล้ยิ่งไม่ชัดอยากดูชัดเราต้องถอย

แต่เด็กจะมีความสามารถในการเพ่งสูงมากเลนส์ตาเขานิ่มมากเขามองระยะใกล้ 5 – 10 เซนติเมตร ชัดมาก เพราะฉะนั้นสบายเขาไม่ต้องออกแรงเยอะเวลาเขาดูหน้าก็จะใกล้เข้าไปเรื่อยๆ เวลาเราจะเตือนเขาอาจจะสอนเขาว่า หนูลองยื่นมือออกไปสิแตะจอได้คือใกล้ไปแล้วหนูต้องถอยออกมาแล้วเป็นข้อปฏิบัติง่ายๆ จริงๆ ถ้าให้ตอบเป็นเซนติเมตรก็อยากให้ห่างมากกว่า 40 เซนติเมตรขึ้นไป

หรือบางบ้านเขาเอาไม้บรรทัดมาวางไว้ถ้าหนูเข้าใกล้กว่านี้อันนี้คือใกล้ไปแล้วหนูต้องถอยออกมาเกินไม้บรรทัดนะคะ ถ้าเรียนออนไลน์เรียนผ่านจอทีวี สมาร์ททีวี ได้ก็จะยิ่งดี ยิ่งไกลยิ่งดี ถ้าเราต่อเม้าส์ที่เป็นไวเลสไกลๆ ได้จะยิ่งดีมาก

ภายในห้องมีแสงสว่างที่เพียงพอ เพราะถ้าแสงไม่สว่างม่านตาจะขยายแสงจะเข้าได้ในปริมาณมากมันมีแสงบางประเภทที่ไม่ได้เข้าแล้วโฟกัสบนจอตามันเข้าไปแล้วมันจะโฟกัสบริเวณขอบตาแสงประเภทนี้มันจะกระตุ้นให้เกิดสายตาสั้นได้

การจัดห้องเรียนออนไลน์ สภาพแวดล้อมแบบไหนเหมาะกับตาของเด็ก

อาจจะเป็นเรื่องโต๊ะกับเก้าอี้ เลือกโต๊ะเก้าอี้ที่มีความสูงพอเหมาะกับเด็กเวลาวางอุปกรณ์แล้วมันไม่สูงเกินตัวเขาไม่ทำให้หน้าเขาใกล้กับจอมากเกินไป แสงสว่างก็ควรมีแสงสว่างที่พอเพียงเด็กไม่ต้องจ้อง

ถ้ามีสิ่งที่เด็กพักสายตา อย่างเช่น มีหน้าต่างให้เขามองออกไปข้างนอกได้บ้างก็จะได้ประโยชน์ดีกว่าอยู่ในห้องที่แคบและมืด ก็แล้วแต่บ้านบางคนอยู่คอนโดก็ลำบากเรื่องของสถานที่ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องโต๊ะ เรื่องของแสงสว่างที่ต้องเพียงพอและระยะถ้าไกลได้ยิ่งดีอย่าใกล้มาก แบ่งเวลาพักบ่อยๆ สัก 15-20 นาทีก็พักสายตาสักครั้ง

เด็กมีปัญหาสายตามากขึ้น

จากการที่เรียนออนไลน์ เด็กมีปัญหาเรื่องสายตาเพิ่มขึ้น คือเด็กที่ก่อนหน้านี้เคยไปโรงเรียน การไปโรงเรียนเด็กก็นั่งอยู่และมองกระดานซึ่งค่อนข้างไกล ระยะเด็กถึงกระดานส่วนมากก็ 3-4 เมตรขึ้นไป แล้วแต่ว่าเด็กนั่งหน้า กลาง หรือหลังห้อง พอเรียนออนไลน์แทบจะทั้งวันเลยเด็กอยู่หน้าจอในระยะ 30-50 เซนติเมตร

การมองเพ่งใกล้ระยะไกลอย่างที่บอกแต่ต้นเพิ่มความเสี่ยงสายตาสั้น โดยปกติเด็กคนหนึ่งเวลาสายตาสั้นแล้วจะสั้นเพิ่มประมาณปีละ 50 – 100 สมมุติเด็กคนหนึ่งปีนี้สั้น 200 ปีหน้าเราคำนวณได้เลยเขาจะสั้นอยู่ประมาณ 250-300 แต่หลังๆ เราพบว่าสั้นเกินปีละ 100 เช่น ปีนี้ 200 ปีหน้า 350 แล้ว ซึ่งสั้นขึ้นค่อนข้างเร็ว อัตราเร่งจะสูงมากในเด็กอายุ 4-13 ขวบ แต่หลังจาก 13 ปี ยิ่งบ้านไหนมีกรรมพันธุ์พ่อแม่สายตาสั้นมาก เด็กใช้เวลาอยู่กับหน้าจอมือถือมากอันนี้จะขึ้นเกียร์สูงไปเร็วมาก ตัวการที่จะช่วยลด คือกรรมพันธุ์เราเปลี่ยนไม่ได้เราไม่พูดถึง

ถ้ามีความเสี่ยงแบบนั้นหมอก็จะแนะนำว่าหากิจกรรมในหนึ่งวันให้เด็กทำ เด็กเลิกเรียนออนไลน์เสร็จแล้วตอนเย็นหรือตอนเช้าอาจจะต้องมีการใช้สายตาในที่ๆ ไกล เช่น ไปวิ่งนอกบ้าน ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ ไปใช้สายตาข้างนอก ไปช่วยลด Progression ความชัดให้เพิ่มขึ้นให้มันช้าลง เจอขึ้นเยอะเด็กบางคนไม่เคยสั้นเลยพอมาเข้าช่วงเรียนออนไลน์ก็เริ่มสั้นแล้ว 50-100 คนไหนสั้นขึ้นเร็วเราก็ต้องมีมาตรการนอกจากให้ปรับพฤติกรรมแล้วก็ต้องให้เขาใช้ยาบางตัวหรือยาหยอดช่วยชะลอสายตาสั้นร่วมด้วย

ดูแลเมื่อลูกสายตาสั้น

เริ่มต้นถ้าเราสงสัยว่าลูกเราสายตาสั้นหรือต้องการจะเทสสงสัยว่าจะสั้นหรือยังไม่สั้นหมอแนะนำให้เทสจากที่ไกล ถ้าเรารอให้ลูกเราเอาหน้าเข้าไปจ่อทีวีอันนั้นคือสั้นแล้ว ถ้าจะเทส เช่น เวลาเราอยู่หน้าบ้านอาจจะมองไปที่ท้ายซอยหรือมองไปนอกหน้าต่างเห็นป้ายไหม ป้ายที่เรายังอ่านได้ถ้าเด็กอ่านไม่ได้หรือว่าเห็นเครื่องบิน นกบิน เห็นต้นไม้ไกล

หรือว่าขับรถออกไปนอกบ้านดูป้ายว่าอ่านได้ไหมในที่ไกลคนที่สายตาสั้นจะมองที่ไกลไม่ชัดก่อนแล้วระยะที่เขามองชัดจะถบสั้นมาเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นถ้ารอว่าดูทีวีที่บ้านแล้วไม่ชัดส่วนใหญ่จะมากแล้ว

ถ้าเราสงสัยเด็กคนหนึ่งสายตาสั้นไหมตอนนี้แนะนำให้พาไปตรวจกับหมอจักษุแพทย์ เพราะในเด็กไม่สามารถที่จะพาไปร้านแว่นแล้วเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์เพราะส่วนใหญ่อาจจะโดนเด็กหลอกได้

เขาจะมีความสามารถหนึ่งในการเพ่งมากๆ สมมุติเข้าอยู่หน้าเครื่องวัดสายตาด้วยคอมพิวเตอร์ในเครื่องวัดสายตาด้วยคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่เป็นลูกบอลลูนให้เด็กมอง ถ้าเด็กสามารถเพ่งได้มากอาจจะโดนเด็กหลอกจริงๆ เด็กอาจจะไม่สั้นแต่การที่เด็กเพ่งหน้าเครื่องพวกนี้ทำให้เครื่องอ่านออกมาว่าเด็กคนนี้สั้น 200 -300 ได้

หมอเคยมีเคสหนึ่ง เป็นลูกของร้านขายมือถือ พ่อแม่พาไปนั่งในร้านทั้งวันเด็กก็ดูมือถือทั้งวัน อย่างที่บอกว่าเด็กมีความสามารถในการเพ่งสูงมากกล้ามเนื้อตาเกรงตลอดเวลาวันหนึ่งเด็กเพ่งนานๆ หลายชั่วโมงติดกัน พอเงยหน้าขึ้นมาปรากฏว่าเขาบอกพ่อว่ามองไม่ชัดเพราะกล้ามเนื้อตามันเกร็งข้างอยู่

วัดสายตากับจักษุแพทย์

เมื่อพ่อพาไปวัดสายตาที่ร้านแว่นก็จับเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์เด็กก็เพ่งค้างวัดครั้งแรกได้ -3 300 ก็ตัดแว่น 300 มาใส่ แล้วเด็กก็ใส่เล่นเกมต่อ ผ่านไปอีก 1 เดือน เด็กบอกไม่ชัดอีกแล้วพ่อก็พาไปร้านแว่นอีกรอบร้านบอกตอนนี้สั้น 500 แล้วภายใน 1 เดือน แล้วก็ตัดแว่น 500 มาใส่ แล้วก็เล่นเกมอีกผ่านไป 2 เดือน เด็กเงยหน้าบอกไม่ชัดแล้วรอบหลังเด็กตาเหล่มาเพราะเด็กเพ่งมากจนตาเข้า การที่ให้แว่นที่สูงกว่าความเป็นจริงของสายตาเด็กจะทำให้เด็กเพ่งมากขึ้นแล้วทำให้สายตาสั้นลงไปเรื่อยๆ

เพราะฉะนั้นโดยมากถ้าเราสงสัยว่าเด็กคนไหนสายตาสั้นหมอแนะนำให้ไปที่โรงพยาบาลคุณหมอจะมีวิธีการตรวจทำให้ทราบค่าสายตาที่แท้จริงบางคนอาจจะต้องหยอดยาบ้างเพื่อให้กล้ามเนื้อตาคลายตัวแล้วเราจะทราบค่าสายตาที่แท้จริงไม่ได้แว่นที่ผิดไป

พอได้สายตาสั้นก็เอาแว่นมาใส่เด็กก็จะมองไกลชัด พ่อแม่หลายคนก็อาจจะกังวลว่าพอใส่แว่นแล้วสายตาสั้นจะแย่ลงไหม อันนี้เป็นธรรมชาติพอเด็กคนหนึ่งสายตาสั้นแล้วสายตาสั้นจะเพิ่มอยู่แล้วไม่ว่าเด็กคนนั้นจะใส่แว่นหรือไม่ใส่แว่น การใส่แว่นช่วยให้คุณภาพชีวิตของเด็กดีขึ้น พอเด็กใส่แล้วสามารถมองไกลชัด สามารถเดินลงบันไดได้แบบชัด ข้ามถนนได้แล้วชัดไม่โดนรถเฉี่ยวชน

หมอมีเด็กหลายคนที่มองไม่ชัดพอตัดแว่นแล้วกลับไปเรียนได้ที่หนึ่งคือก่อนหน้านี้เขาไม่เคยรู้ว่าเขาสายตาสั้น สมมุติดูเลข 8 เขาก็ดูเป็นเลข 6 แล้วก็จดมาแบบนี้ เขาไม่รู้ว่าสายตาสั้นเขารู้ว่าตัวเองมองไม่ชัดเขาไม่เข้าใจว่าอันนี้เป็นปัญหาด้วย ธรรมชาติของเด็กไม่เข้าใจว่าอันนี้เป็นปัญหาแล้วเขามองไม่ชัดเขาไม่รู้ว่าอันนี้เรียกสายตาสั้นกลับบ้านมาก็ไม่บอกแม่

อย่างลูกของเพื่อนที่เป็นหมอจดงานมาผิด ผิดมาเกือบทุกวัน จนวันหนึ่งคุณแม่ก็คอยไปสังเกตลูกที่ห้องเรียนปรากฏว่าลูกต้องเดินไปหน้ากระดานเดินกลับมาจดปรากฏว่าสายตาสั้น 400 อายุ 6 ขวบ สายตาสั้น 400 ซึ่งเด็กไม่เคยกลับมาบอกแม่ว่าตัวเองมองกระดานไม่ชัดด้วยความที่เขาเป็นเด็กเลยไม่รู้ว่านี้คือปัญหา

วัดสายตาทุกปี

นอกจากสายตาสั้นมันมีเรื่องอื่นด้วยเวลาเด็กมองไม่ชัด บางคนมีสายตาเอียงแต่กำเนิด หรือบางคนมีสายตายาวมากแต่กำเนิดหรือบางคนมีตาเหล่ ตาเขซ้อนเร้น หรือมีโรคต้อกระจกอยู่ในตาแต่กำเนิดซึ่งหลายโรคทำให้เขามองไม่ชัดมาตั้งแต่กำเนิดอยู่แล้วเนื่องจากเห็นอย่างนี้มาตั้งแต่เกิดเขาเลยไม่ทราบว่าอันนี้เรียกว่าไม่ชัดเพราะไม่เคยเห็นชัดมาก่อน พ่อแม่จะไม่ทราบเพราะไม่มีอาการ

จริงๆ ตอนนี้หมอแนะนำเขามีการณรงค์ว่าเด็กในช่วงอายุ 4-6 ขวบ ควรได้รับการตรวจตาโดยจักษุแพทย์อย่างน้อย 1 ครั้ง เพราะตาเรามองแทนกันไม่ได้ลูกเห็นอย่างไรแม่ไม่รู้ แต่เรารู้ว่าลูกวิ่งเล่นไปมาได้ดูเหมือนปกติเด็กบางคนดูภายนอกไม่มีทางออกว่าเด็กคนนี้มองเห็นผิดปกติ หลายคนเล่นกีฬาเก่งมาก เล่นเทนนิสเก่งมาก เล่นหรือเรียนหนังสือเก่งมาก มาวัดสายตาปรากฏว่ามีสายตาเอียงอยู่ 400-500

ในช่วง 12-13 ปีแรกของชีวิตระบบต่างๆ รวมทั้งระบบสมองก็มีการพัฒนาขึ้นต่อไปเรื่อยๆ ตาก็เป็นอวัยวะหนึ่ง ตาเป็นอวัยวะรับแสงแล้วตาก็จะส่งสัญญาณไปที่สมองที่อยู่ด้านหลัง สมองตัวนี้จะเป็นส่วนที่แปลภาพสัญญาณที่ประสาทตารับมาเป็นภาพให้เราเห็น

สมมติถ้าตาเราเห็นไม่ชัดมัวลงคุณภาพของภาพที่เห็นอยู่สักประมาณ 70% ของ 100% ที่ควรจะเป็นสมองที่ไม่เกี่ยว IQ สมองที่รับภาพจากตาสมองนี้ก็จะพัฒนาไปได้ 70% เท่ากับที่ตาเห็น เพราะมันจะได้เท่ากับสิ่งที่ได้รับการกระตุ้นอันนี้มีการทดลองแบบชัดเจนเมื่อก่อนทดลองกับลิงไม่ได้ทดลองกับคน ลูกลิงเกิดใหม่เขาจะเอาไหมเย็บตาไว้ไม่ให้ลืมตาได้ข้างหนึ่ง ผ่านไปหนึ่งปีตัดไหมออกตาข้างนั้นกลายเป็นตาบอด

Vietnam football matchbongdatructiepat any time

ถ้าเทียบง่ายคือ สมมติเราอยากให้ลูกพูดภาษาอังกฤษชัดแบบฝรั่งพูดเราต้องฝึกตั้งแต่เด็กก่อน 10 ขวบ เด็กก็จะพูดเหมือนพอโตโอกาสที่จะพูดสำเนียงเหมือนฝรั่งเปะๆ ยากมากเพราะว่าสกิลในการพัฒนาสมองที่จะปรับให้เหมือน 100% มันพัฒนาในช่วงของเด็กเท่านั้น พอหลังจาก 12-13 ปี อย่างไรก็ไม่เปะ ภาวะที่ลูกตาพัฒนาได้ไม่เต็ม 100 ในช่วงก่อน 12-13 ปี อันนี้เรียกว่าตาขี้เกียจที่สมองส่วนที่ดูแลเรื่องลูกตายังพัฒนาไม่พอ

สมองส่วนนี้ถ้าการมองเห็นไม่ได้รับการแก้ไขก่อนอายุ 10-12 ปี การมองเห็นที่ไม่ชัดจะอยู่ไปตลอดชีวิตมันแก้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นจำเป็นมากที่เราต้องตรวจช่วง 4-6 ขวบ เพราะถ้าตรวจเจอความผิดปกติช่วงนั้นเรายังมีเวลา 5-6 ปี ในการที่จะค่อยปรับสายตาเขาให้การมองเห็นเป็น 100%

 

ติดตามฟังได้ที่รายการรักลูก The Expert Talk 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

รักลูก The Expert Talk EP.25: 7 โรคตาเด็ก รู้เร็ว รักษาเร็ว ลดผลกระทบการเรียนรู้

รักลูก The Expert Talk EP.25: 7 โรคตาเด็ก รู้เร็ว รักษาเร็ว ลดผลกระทบการเรียนรู้

สัญญาณของ 7 โรคตาที่พบได้บ่อยในเด็กวัยเรียนรู้ บางอาการส่งผลกระทบกับการมองเห็นโดยตรง บางอาการสัมพันธ์กับเรื่องสมอง พ่อแม่ต้องรู้และสังเกตอาการ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการด้านอื่น ๆ โดย นพ.จรินทร์ ศักดิ์ธนะเศรษฐ จักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาโรคตาเด็กตาเหล่ มะเร็งลูกตา โรงพยาบาล BNH

 

1.กะพริบตาบ่อยเป็นสัญญาณของโรคหรืออาการอะไรบ้าง

 

ตอนนี้หมอมีคนไข้ที่คุณพ่อคุณแม่พามาตรวจตาด้วยเรื่องกะพริบตาบ่อยค่อนข้างเยอะ การกะพริบตาเกิดได้จากหลายสาเหตุ อาจจะเกิดจากการที่เด็กเคืองตาก็ได้ เกิดจากตาแห้งก็ได้ ไม่สบายตาก็ได้ ส่วนใหญ่พ่อแม่กังวลว่าการกะพริบตาแบบนี้เด็กจะเสียบุคลิกแล้วก็จะติดไปจนถึงเป็นผู้ใหญ่ แต่อย่างไรก็ดีส่วนใหญ่มักมีสาเหตุ การตรวจหาสาเหตุของกะพริบตาเป็นเรื่องที่สำคัญ

สาเหตุของการกะพริบตาส่วนใหญ่เพื่อให้ตาสบายขึ้น กะพริบตาเป็นการบีบเอาน้ำตาธรรมชาติให้ออกมาในผิวตา เพราะฉะนั้นก็จะสัมพันธ์กับอาการตาแห้งได้ เด็กหลายๆ คนพอดูจอไปนานก็จะกะพริบตาน้อยลง เด็กจ้องนานกะพริบตาน้อยลงตาแห้ง เขาก็ใช้วิธีการกะพริบตาเป็นการปั้มน้ำตาออกมาให้ตาชุ่มชื้นขึ้นสบายตามากขึ้นพอทำไปสักพักก็จะเริ่มติดแล้วเด็กก็จะทำแบบนี้มากขึ้น

หรือโรคบางอย่าง เช่น ภูมิแพ้ขึ้นตา เช่น ฝุ่นเข้าตา เหมือนเวลาที่มีฝุ่นเข้าตาเราเองเราก็จะมีการกะพริบตาให้เยอะขึ้น หลังจากกะพริบตาสักพักหนึ่งก็จะมีอาการเคืองตาก็จะมีน้ำตาไหลออกมาเป็นการล้างฝุ่นนั้นออก เด็กที่เป็นภูมิแพ้ตาก็มีมาด้วยอาการกะพริบตาได้ กลุ่มถัดมา เช่น อาจจะมีขนตาทิ่มตาเขาอยู่ มีเศษฝุ่นอยู่ในตาเด็กก็กะพริบตาได้

โรคสายตาผิดปกติ เช่น สายตาสั้น เด็กบางคนก็จะใช้วิธีการกะพริบตา โรคตาเข เด็กที่ตาเขออกบางรายก็จะใช้วิธีการกะพริบตาแบบนี้เป็นการควบคุมตาให้ตาเขากลับมาตรง เพราะฉะนั้นถ้าเด็กมีการกะพริบตาที่ผิดปกติ หมอก็แนะนำว่าไปตรวจก่อนว่าเกิดจากสาเหตุใดเพราะเกิดได้จากหลายสาเหตุ พอเราหาสาเหตุได้คุณหมอก็จะทำการรักษาตามสาเหตุต่อไป เช่น ถ้ามีขนตาก็เอาขนตาออกให้แนะนำอาจจะป้ายเจลเพื่อให้ตาสบายขึ้น ปรับเวลาการดูจอให้น้อยลง หรือจะสวมแว่นกรองแสง หรือว่าต้องหยอดยาเพื่อป้องกันโรคภูมิแพ้ เป็นต้น

กะพริบตาเป็นคนละอาการกับติกส์ไหม

คนละอาการ ถ้าติกส์จะเป็นอาการเคลื่อนไหวลักษณะผิดปกติมักมีอาการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อใบหน้าส่วนอื่นๆ ด้วย แล้วมันจะคอนโทรลไม่ได้ ติกส์จะมีอาการขยับปากเอียงคอแล้วก็มีอะไรหลายอย่างร่วมกันไม่ใช่แค่กะพริบตา เด็กกะพริบตาถ้าในบางคนที่ช่วงเขาเพลินๆ เช่น พาไปวิ่งเล่นออกนอนบ้านจะหายไม่กระพริบ ติกส์จะไม่กระพริบจะขยับตลอดเวลาไม่ว่าเด็กจะทำอะไร

บางทีการกะพริบตาอาจเกิดจากการที่เริ่มจากบางอย่าง เช่น เด็กดูจอนานแล้วเขากะพริบตาแล้วเขาสบาย เขาก็จะติดการกะพริบตานั้นได้ติดแต่ไม่ติดรุนแรง เขาอาจจะติดกะพริบตาหลังจากดูจอต่อเนื่องมาได้ กลุ่มนั้นก็อาจจะกะพริบตาแต่ถ้าเพลินๆ ก็อาจจะหาย อาจจะหยอดน้ำตาเทียมช่วยให้หายได้ แต่ถ้าเป็นติกส์จะมีอาการขยับเยอะมากแล้วก็คอนโทรลไม่ได้บอกให้หยุดก็ไม่หยุด

2.ตาเหล่กระทบกับการเรียนรู้ของเขาอย่างไร

ตาเหล่มีแบ่งได้ทั้งตาเหล่เข้าและตาเหล่ออก และก็อาจจะมีตาเหล่ขึ้นตาเหล่ลงได้ด้วย ตาเหล่เป็นกรรมพันธุ์บ้านไหนหรือครอบครัวไหนมีพ่อแม่หรือปู่ยาตายายพี่น้องที่เป็นตาเขหรือตาเหล่ก็สามารถถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ได้หรือเป็นเองก็ได้แบบไม่มีสาเหตุ ตาเหล่เข้าในมีแบบชนิดที่เป็นแต่กำเกิดและชนิดที่เกิดจากสายตายาว

ฉะนั้นถ้าเราสงสัยว่าเป็นตาเหล่อาจจะต้องมาตรวจโรงพยาบาลเพราะว่าการรักษาไม่เหมือนกัน ถ้าเป็นตาเหล่เข้าในแต่กำเนิดก็อาจจะต้องผ่าตัด ถ้าเกิดจากสายตาก็ใส่แว่นก็อาจจะหาย ตาเขออกจะพบบ่อยในช่วงเด็ก 2-4 ขวบ ตาจะเขออกไปข้างหนึ่ง

ตาเหล่กับตาเขผลกระทบต่อการมองเห็น

ธรรมชาติให้ตาเรามา 2 ข้าง ตา 2 ข้างทำงานพร้อมกันเวลาเราจ้องมองวัตถุ สมมติเราให้เด็กมองเลขหนึ่งที่กระดานตาซ้ายก็จะมองเห็นเลขหนึ่งตาขวาก็จะมองเห็นเลขหนึ่งทั้งคู่ ถ้า 2 ตามองจุดเดียวกันเรียกว่าตาตรง แต่ถ้าตาทางซ้ายมองเลขหนึ่งตาขวามองทางอื่นอันนี้เรียกว่าตาเหล่ไม่ว่ามองไปทางซ้ายหรือทางขวาสิ่งที่เกิดขึ้น

คือเด็กจะมองเห็นเป็น 2 ภาพเพราะตาซ้ายมองเลขหนึ่งตาขวาไปมองอย่างอื่นมองอะไรไม่รู้ เพราะแล้วแต่มุมองศาที่ตาเขไป สมองจะทำการเลือกภาพที่สนใจอยู่สมองสมมติสนใจเลขหนึ่งอยู่ก็ดูที่เลขหนึ่งแล้วก็จะตัดภาพทางขวานั้นไปเพื่อไม่ให้สับสนว่าเป็น 2 ภาพ

ฉะนั้นพอเกิดเหตุการณ์นี้ซ้ำไปเรื่อยๆ สมมติเด็กคนนี้ตาเหล่ใช้ตาซ้ายจ้อง พอเกิดเหตุการณ์นี้เรื่อยๆ ความสามารถของตาขวาจะลดลงเพราะสมองทำการตัดสัญญาณทิ้งไปเรื่อยๆ เพราะมันไม่มีการกระตุ้นจากแสงเขาเรียกตาขี้เกียจพอไม่มีการกระตุ้นต่อเนื่องสักพักพัฒนาการของสมองข้างนี้จะถดถอย ข้างที่ใช้อยู่ต่อเนื่องคือข้างซ้ายที่มองเลขหนึ่งแสงจะเข้าข้างนี้แสงจะไปกระตุ้นสมองข้างเดียวกันของที่รับต่างๆ ข้างซ้าย ตาซ้ายกับตาขวาสมองแยกกัน

เพราะฉะนั้นแสงที่เข้าจากตาซ้ายมันก็จะได้รับการกระตุ้น สมองที่ได้รับสัญญาณจากตาขวามันก็ไม่ได้รับการกระตุ้นตัดถูกสัญญาณทิ้งไปเรื่อยๆ เรียกว่าตาขี้เกียจ พอเด็กมองด้วยตาข้างเดียวสิ่งที่เกิดขึ้นคือ

1.มุมมองการมองเห็นก็จะแคบลงเพราะมองเห็นด้วยตาข้างเดียวสังเกตว่าเรามองด้วยสองตามุมจะกว้างแต่ถ้ามองด้วยตาข้างเดียวมันจะแคบกว่า

2.ความคมชัดจะลดลงเหมือนเวลาเรามองวัตถุมองด้วยตาเดียวก็ชัดในระดับหนึ่งแต่ถ้าเรามองด้วยสองตาก็ชัดดับเบิ้ลขึ้นไปอีก

3.การมองภาพ 3 มิติ หายการกะระยะชัดลึกหายซึ่งมีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น โตขึ้นต้องขับรถถ้ามองด้วยตาข้างเดียวจะกะระยะเบรกลำบาก หรือง่ายๆ เล่นกีฬาจะชู้ดบาสลงห่วงกะระยะความลึกพวกนี้จะสูญเสียไป

ในคนที่มองด้วยตาข้างเดียวหรือชัดในตาข้างเดียวและอีกอย่างคือตาที่เหล่การมองเห็นจะถดถอยไปตาจะมัวลงมองไม่ชัด สมมติว่าวันหนึ่งเด็กคนนี้อายุเลย 13 ปี อย่างที่เราคุยกันไปตอนที่แล้วสมองจะหยุดพัฒนาการไปแล้วตาที่เป็นตาเหล่ข้างนั้นจะมัวไปตลอด วันดีคืนดีตาข้างที่ชัดเกิดมีปัญหามองไม่เห็นตาข้างนี้ก็จะมัวไปด้วย

วิธีการรักษา

ต้องพาไปตรวจก่อนสาเหตุเกิดจากอะไรหมอจะทำการตรวจตาละเอียดขยายม่านตา วัดสายตา ดูการกรอกตาว่ามีความผิดปกติของกล้ามเนื้อ ความผิดปกติที่สายตาหรือผิดปกติที่ตำแหน่งไหนจะได้รักษาเบื้องต้นตามสาเหตุ เช่น ผิดปกติที่สายตาก็มีแว่นให้ใส่

ในบางคนที่มีตาขี้เกียจจะเห็นเด็กบางคนก็จะโดนปิดตาเพื่อเป็นการกระตุ้น สมมติตาข้างขวาเป็นตาขี้เกียจข้างซ้ายเป็นตาดีเขาก็จะให้ปิดตาข้างซ้ายที่เป็นตาดีและให้ใช้ตาขวาที่เป็นตาขี้เกียจให้เต็มที่

สมมติทั้งวันตาขวาเหล่ตาซ้ายตรงอยู่เราก็ปิดตาซ้ายใช้ตาขวาบ้างจะได้มีสัญญาณไปกระตุ้นสมองส่วนที่เลี้ยงด้วยตาข้างนั้นบ้าง ก็จะมีการสลับกันใช้ จนถึงวันหนึ่งถ้าตายังไม่ตรงหมอก็จะทำการผ่าตัดเพื่อทำให้กล้ามเนื้อตาทำให้ตามองที่เดียวกันใช้สองข้างได้พร้อมกันก็คือตาตรงจำเป็นมาก

เพราะตาเหล่บางอย่างอันตรายโรคบางโรคที่อยู่หลังลูกตาเราไม่รู้เช่น เด็กมีจอประสาทตาลอกอยู่ เด็กมีเนื้องอกหรือมะเร็งในลูกตา เด็กบางคนจะมาด้วยโรคตาเหล่ได้ ตาเหล่ไม่ใช่เรื่องที่รอได้ถ้าเจอเด็กคนหนึ่งตาเหล่ขึ้นมาต้องรีบหาสาเหตุ เพราะบางสาเหตุอันตรายถึงชีวิตได้

ตาเหล่ ตาเข สังเกตได้ตั้งแต่อายุเท่าไหร่

จริงๆ ในช่วง 4 เดือนแรกเป็นช่วงที่พัฒนาการมองเห็นอยู่ ถ้ามีการตาเหล่เข้าในหรือตาเหล่ออกนอกในช่วง 2-4 เดือนแรก อันนี้คุณแม่ยังไม่ต้องซีเรียสเด็กบางคนอาจจะตาออกเด็กบางคนอาจจะตาเข้าได้ โดยส่วนใหญ่พอถึงอายุ 6 เดือน ก็มักจะดีขึ้นแล้วหายไป

ถ้าหลัง 6 เดือนแล้วเด็กยังมีตาเหล่ตาเขอยู่ค้างอยูหรือเราเห็นเด็กตาเหล่ทั้งวันเลยให้พาไปหาหมอก่อนได้เลย โดยๆ ส่วนมากในเด็กเล็กๆ 2-4 เดือน ตาเหล่เขาจะไม่ได้เหล่ทั้งวัน ช่วงไหนเพ่งก็อาจจะเข้าช่วงไหนเหมอก็อาจจะไหลออกได้เป็นตาเขออกได้ จะเข้าๆ ออกๆ ได้อยู่ในช่วง 2-4 เดือนแรก ถ้าหลัง 6 เดือนไปแล้วยังมีตาเหล่อยู่อันนั้นผิดปกติไม่ว่าเหล่เข้าหรือเหร่ออกต้องพาไปตรวจ

วิธีการสังเกตง่ายๆ เดี๋ยวนี้พ่อแม่ทุกคนมีโทรศัพท์มือถือส่วนใหญ่ผมจะแนะนำว่า

1.ให้ลูกหน้าตรง ห่างสัก 1 เมตร

2.เอามือถือเปิดแฟลชและถ่ายรูปแล้วให้ดูแสงสะท้อนของแฟลชว่าอยู่ที่กึ่งกลางตาดำไหม

ถ้าอยู่กึ่งกลางของทั้ง 2 ตาเรียกว่าตาตรง แต่ถ้าข้างหนึ่งตรงอีกข้างหนึ่งแสงแฟลชที่เป็นสีขาวๆ อยู่ตรงขอบตาข้างใดข้างหนึ่งไม่อยู่ตรงกลางเรียกว่าตาเหล่ เบื้องหลังของตาเหล่ตาเขไม่ใช่แค่ตาขี้เกียจอย่างเดียวแต่อาจเป็นเรื่องของพัฒนาการทางสมองที่กระทบกับลูกได้ รักษาด้วยวิธีการของโรคเบื้องหลังตาเหล่ตาเข ถ้าเป็นเนื้องอกก็รักษาตามโรค ถ้ามีต้อกระจกก็ต้องผ่าต้อกระจกถ้าเป็นจากสายตาก็ตัดแว่นสายตา ตาเหล่ตาเขรักษาได้หายได้ทำให้เกิดตาตรงได้

3.ตาขี้เกียจ

ตาขี้เกียจไม่ใช่ตาเหล่ตาเขเป็นคนละเรื่องกัน ตาขี้เกียจเป็นเรื่องของสมองที่เกี่ยวกับการมองเห็นพัฒนาได้ไม่เต็มร้อยไม่เต็มที่ อาจจะเกิดจากตาเหล่ตาเขก็ได้ อาจจะเกิดจากสายตาผิดปกติมากก็ได้ เกิดจากโรคในตาก็ได้

พอเราพบว่าเด็กคนหนึ่งมีตาขี้เกียจพัฒนาไม่เต็มร้อยเราก็หาสาเหตุ สาเหตุเกิดจากอะไร เช่น สาเหตุเกิดจากต้อกระจกบังเราก็ทำการผ่าตัดต้อกระจกเปลี่ยนเลนส์ตาให้ ถ้าเกิดจากสายตาผิดปกติเราก็ตัดแว่นให้ แก้ที่สาเหตุเบื้องต้นเป็นอันดับหนึ่ง อันดับที่สองเรากระตุ้นการมองเห็นของเด็ก ในสมัยก่อนเราปิดตา ปิดข้างนี้เพื่อให้ใช้ข้างนี้เพิ่ม

ปัจจุบันก็จะมีวิธีการกระตุ้นมีเครื่องสำหรับรักษาบางโรงพยาบาล มีเครื่องกระตุ้นให้ตาข้างที่ขี้เกียจกลับมาใช้งานเยอะขึ้น สมัยใหม่อาจจะมี I-pad หรือแผ่นสกรีนบางอย่างให้เด็กใส่แว่นแล้วก็เล่นเกมเพื่อเป็นการกระตุ้นตาข้างที่มองเห็นถ้าใช้ตาข้างเดียวจะเล่นเกมนี้ไม่ได้มีการกระตุ้นให้เด็กใช้ 2 ตาพร้อมกันถึงจะเห็นตัวตุ่น ถึงจะทุบหัวตุ๊กตาตัวนี้ได้จะมีเกมที่กระตุ้นตาขี้เกียจขายอยู่ในท้องตลาดอยู่บ้าง

4.ภูมิแพ้ขึ้นตา

จริงๆ ภูมิแพ้ขึ้นตาก็จะสัมพันธ์กับภูมิแพ้ฝุ่น ภูมิแพ้อากาศ ภูมิแพ้ที่ทำให้เด็กน้ำมูกไหล เด็กที่มีภูมิแพ้อากาศอยู่ เช่น มีน้ำมูก มีหอบหืด เราก็พบว่ามีเรื่องของภูมิแพ้ขึ้นตาได้สูงกว่าเด็กทั่วไป

เพราะจริงๆ แล้วเยื่อบุในตากับเยื่อบุในจมูกจะมีส่วนที่เชื่อมถึงกันอยู่ทางท่อน้ำตา ฝุ่นที่เด็กแพ้พอเข้าจมูกแล้วมีน้ำมูกพอเข้าตาก็จะคันได้ มีคนเคยจัดอันดับอยู่ในเมืองไทยว่าแพ้อะไรอันดับหนึ่งส่วนใหญ่จะแพ้ไรฝุ่นในที่นอน หมอน ผ้าห่ม ตุ๊กตา หลายๆ บ้านชอบมีตุ๊กตาบนเตียงนอนของเด็ก

อาการแพ้ไรฝุ่นที่พบบ่อยเลยคือตื่นมาเช้าเด็กจะมีขี้ตาเยอะคันตา ตาบวมๆ ฉ่ำๆ เพราะเขานอนกับไรฝุ่นที่แพ้มาทั้งคืน อันดับสองฝุ่นแมลงสาป แมลงสาปเวลาตายตามท่อตามถนนจะเป็นผงเล็กๆ ปลิวไปกับอากาศ

มีคนเคยทำวิจัยเก็บตัวอย่างฝุ่นในบ้านที่กรุงเทพจะเจอแทบทุกบ้านเพราะมันฟุ้งกระจายไปทั่ว ฝุ่นก่อสร้างถ้ามีการก่อสร้างถนนข้างบ้านมีการก่อสร้างตึกเด็กก็จะแพ้ฝุ่นได้ง่าย ขนสุนัขขนแมวก็จะเจอบ่อย PM2.5 ก็จะเจอช่วงที่มี PM2.5 ก็จะมีการระคายเคืองตา ตาแดง PM2.5 ก็จะมีฝุ่นหลายชนิดที่มาด้วยกัน

อีกอันที่เจอก็คือพวกละอองเกสรดอกไม้ใบไม้ใบหญ้าพวกนี้บางทีอาจจะมาเป็นรอบปี เช่น เกสรของดอกไม้บางอย่างจะมาช่วงฤดูฝน เขาจะเรียก Seasonal allergy คือจะมาช่วงบางฤดู บางคนแพ้เกสรของดอกไม้ชนิดนี้

บางคนไปสวนลุมไม่ได้เลยเพราะว่าสวนลุมปลูกต้นไม้แบบนี้แล้วเป็นต้นไม้ที่เขาแพ้พอเข้าไปก็จะเกิดอาการคันมาก เราจะต้องรู้เป็นความจำเป็นที่เราต้องรู้ว่าแพ้อะไรเพราะการรักษาภูมิแพ้ที่ดีที่สุดคือหลักเลี่ยงสิ่งที่แพ้พอมีอาการภูมิแพ้แล้วค่อยมารักษาต่อด้วยการหยอดน้ำตาเทียมจะให้ยาแก้แพ้แบบหยอดหรือชนิดกินถ้าคนที่แพ้มากอาจต้องให้ยาสเตียรอยด์เพื่อลดอาการอักเสบภูมิแพ้

อาการภูมิแพ้ขึ้นตากระทบการมองเห็นของเด็ก

ภูมิแพ้มีหลายระดับ ถ้าภูมิแพ้ไม่เยอะมากคันๆ ตาเด็กอาจจะกะพริบตาหรือว่าขยี้ตา แต่พอเด็กขยี้ตาเยอะขึ้นเรื่อยๆ บางคนจะมีการอักเสบมากมีกระจกตาถลอก การอักเสบที่เกิดขึ้นจากภูมิแพ้สามารถทำให้กระจกตาถลอกการมองเห็นลดลงได้มากเพราะกระจกตาจะขุ่นถลอกการมองเห็นลดลงไป 2-3 เท่าได้เลย

นอกจากนี้การขยี้ตามากๆ ก็อาจทำให้เกิดการติดเชื้อของเยื่อบุตาทำให้เด็กเป็นตากุ้งยิงได้ บางทีเด็กมือไม่สะอาดพอคันมากก็ขยี้ตาก็มีตากุ้งยิงตามมาอีกการมองเห็นก็ลดลงเจ็บตาลืมตาไม่ขึ้นน้ำตาไหลทั้งวันก็ค่อนข้างกระทบกับคุณภาพชีวิตของเด็กพอสมควร

เพราะฉะนั้นเด็กคนหนึ่งเป็นภูมิแพ้เราก็ต้องรีบหาสาเหตุพยายามหลักเลี่ยงสาเหตุนั้นและรักษาอาการและคอนโทรลไม่ให้เขาเข้าใกล้สิ่งที่เขาแพ้

หากแพ้ไม่เยอะมากเมื่อโตขึ้นส่วนใหญ่มักจะดีขึ้นได้ เพราะว่าในวัยเด็กอายุยังไม่มากฝุ่นบางอย่างเขาอาจจะไม่เคยเจอพอได้รับมาก็อาจจะมี Reaction พอโตขึ้นไป Reaction ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับภูมิแพ้ที่เป็นในวัยเด็กอาจจะค่อยๆ ลดลงไปได้กับฝุ่นบางอย่าง แต่บางอย่างก็ไม่หายทุกครั้งที่โดนก็จะเป็นหนักบางคนมี Reaction ที่ดีขึ้นบางคนเป็นหนักเลยก็มี

5.โรคตาแดง

เป็นการอักเสบของเยื่อบุตาขาวและเยื้อบุของหนังตาด้านใน ส่วนตากุ้งยิงเป็นการอักเสบของต่อมไขมันที่เปลือกตาเป็นการอักเสบเหมือนกันแต่เป็นการอักเสบคนละส่วนของตา

โรคตาแดง เป็นการอักเสบอาจเป็นการติดเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัสก็ได้ ในเด็กส่วนใหญ่เราจะเจอว่าติดเชื้อไวรัส โรคตาแดงอาการก็จะแดงทั้ง 2 ข้าง มีขี้ตาเยอะๆ เด็กก็จะแพ้แสงแล้วก็มีน้ำตาตื่นเช้ามาก็มีขี้ตามาก การติดเชื้อที่เป็นการอักเสบจากแบคทีเรียอาจจะเกิดจากการที่น้ำสกปรกเข้าตาเด็กไปเล่นน้ำที่สกปรกหรือมีอะไรสกปรกเข้าตาก็จะติดเชื้อพวกนั้นมาหรือมือไม่สะอาดแล้วมาขยี้ตา

โรคตาแดงสามารถติดต่อได้ถ้าเด็กเป็นอาจจะต้องระวังพี่น้องในบ้านอาจจะมีการติดต่อกันได้ แนะนำว่าให้พามาตรวจดูว่าเป็นแบคทีเรียหรือไวรัสถ้าแบคทีเรียจำเป็นว่าต้องได้รับยาฆ่าเชื้อและต้องมีการดูแล เช่น ต้องเช็ดตา คอยดูว่ามีกระจกตาถลอกไหม

เพราะการอักเสบติดเชื้อพวกนี้จะทำให้กระจกตาถลอกเป็นแผลเป็นได้ โรคตาแดงบางอย่างมีอาการค่อนข้างรุนแรง และเราต้องดูว่าเด็กต้องล้างมือบ่อยให้ใช้สำลีหรือทิชชูที่สะอาดเช็ดตาแล้วทิ้งและล้างมือบ่อยๆ ความสะอาดเป็นเรื่องที่สำคัญในโรคตาแดง เราต้องป้องกันไม่ให้กระจายต่อไม่อย่างนั้นคนในบ้านก็จะเป็นต่อ

6.โรคตากุ้งยิง

เป็นการอักเสบของต่อมไขมันที่เปลือกตา ต่อมไขมันชนิดนี้มีหน้าที่สร้างน้ำมันเพื่อป้องกันไม่ให้เราตาแห้ง บางครั้งผลิตไขมันที่ไม่ดีออกมามันอุดตันมันจะคล้ายกับสิวคือต่อมไขมันบนผิวหน้าอุดตันแล้วมีแบคทีเรียเข้าไป

แบคทีเรียก็โตและเป็นหนองอยู่ข้างใน ตากุ้งยิงก็คล้ายๆ กันก็มักเกิดกับเด็กที่ชอบขยี้ตาบ่อยบางคนอาจจะมีภูมิแพ้ด้วยเลยขยี้ตาบ่อยแล้วเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในมือก็เข้าไปเติบโตเพราะเป็นต่อมไขมันก็จะมีอาหารให้แบคทีเรียได้ใช้ได้กิน ได้แพร่พันธุ์ได้ก็จะมีหนองอยู่ข้างใน

อาการเบื้องต้นของตากุ้งยิงคือ เจ็บ ถ้าเด็กบอกว่าเจ็บที่เปลือกตาดูแล้วบวมแดงๆ นิดหน่อยเบื้องต้นให้คุณแม่ประคบอุ่นก่อน ความอุ่นที่เหมาะสมคือ อุ่นสบาย รู้สึกว่าประคบไปแล้วไม่รู้สึกร้อนจนต้องทนอุณหภูมิอยู่ประมาณ 37-39 องศาเซลเซียส

การประคบอุ่นจะทำให้ไขมันที่มันอุดตันต่อมไขมันนิ่มลง ทำให้แรงดันที่อยู่ในก้อนของกุ้งยิงหนองมันมีแรงดันสูงมันก็จะดันไขมันที่อุดตันให้หลุดออกจากการประคบอุ่น ถ้ามีตาบวมแดงไม่ประคบเย็นจะทำให้ยิ่งอุดตันถ้าประคบอุ่นมีโอกาสที่กุ้งยิงจะระบายออก พอหนองได้ระบายออกจะยุบลง

หากประคบอุ่นถ้ายังไม่ดีอาจต้องได้รับยาปฏิชีวนะชนิดหยอดหรือป้ายช่วยเสริมทำให้กุ้งยิงดีขึ้น ถ้าไม่ดีขึ้นก็มาหาหมอเพราะอาจต้องมีการกดระบายหนองออกเพื่อให้หาย เพราะทิ้งไว้การติดเชื้อจะลามเข้าไปที่ตาหรือเบ้าตาได้ในเด็กเล็ก

7.หนังตาตก

ส่วนใหญ่จะเป็นชนิดเป็นตั้งแต่กำเนิด ส่วนใหญ่เราเห็นอาการตั้งแต่เด็กยังเล็กๆ อยู่ อาการหนังตาตกเกิดจากกล้ามเนื้อที่มีหน้าที่ดึงตาอ่อนแรงเลยทำให้ตก เวลาเจอเด็กหนังตาตกก็จำเป็นต้องพามาตรวจเพื่อประเมินว่าหนังตาที่ตกมีผลกับการมองเห็นของเด็กไหมถ้าหนังตาที่ตกลงมาบังรูม่านตาคือบังแสงที่จะเข้าตาอันนั้นถือว่ามีผลต่อการมองเห็นอันนั้นหมอก็จะต้องทำการรักษาด้วยการผ่าตัดเพื่อเปิดตาให้มันกว้างขึ้นเพื่อให้เด็กใช้ได้

เพราะถ้าหนังตาตกบังตาก็จะทำให้ตาข้างนั้นเป็นตาขี้เกียจหรือหนังตาที่ตกลงมากดกระจกตาก็อาจทำให้เด็กคนนั้นเป็นสายตาเอียงได้ หนังตาตกทำให้เกิดการมองเห็นผิดปกติได้ทั้งบังตาทั้งทำให้เป็นสายตาเอียงก็ได้

หากเจอหนังตาตกให้พาไปตรวจเราจะดูว่าปริมาณการตกมากน้อยแค่ไหนเด็กลืมตาได้มากน้อยแค่ไหน หรือว่าเลิกคิ้วได้ไหมเลิกคิ้วช่วยเพื่อให้ตาโต หมอก็จะประเมินดูว่าเมื่อไหร่ควรผ่าตัดถ้าบังมากแล้วมีผลต่อการมองเห็นก็จะต้องรีบหน่อย แต่ถ้าดูแล้วยังไม่บังก็อาจจะรอสักพักเพื่อให้เด็กได้ฝึกกล้ามเนื้อ

เวลาผ่าตัดหมอต้องเลือกวิธีการผ่าตัดเพราะวิธีการผ่าตัดหนังตาตกมีหลายแบบบางทีดูในตอนเด็กประเมินยากอาจจะต้องรอโตขึ้นหน่อยว่าฟังก์ชั่นการเปิดของตาได้มากน้อยแค่ไหนอาจจะผ่ามากผ่าน้อย

ท่อน้ำตาตัน

อีกอาการที่พบได้บ่อยคือ น้ำตาไหลบ่อยๆ ไหลเยอะ คือ อาการท่อน้ำตาตันแต่กำเนิดก็จะเจอบ่อยมักเป็นกับตาข้างใดข้างหนึ่งบางทีจะมีขี้ตาออกมามาก ซึ่งโดยมากท่อน้ำตาตันที่เรากังวลมากคือพอมันตันแล้วเกิดการติดเชื้อทำให้เกิดเป็นหนองหรือฝีที่บริเวณท่อน้ำตาบริเวณหัวตาเพราะน้ำตาจะอยู่บริเวณดั้งใต้จมูกตรงหัวตาทั้ง 2 ข้าง

น้ำตาคนเรามันจะไหลตรงหัวตาแล้วจะไหลลงจมูกถ้ามีการตันของท่อน้ำตาทำให้เกิดการขังของน้ำตาในท่อน้ำตาแล้วตัวแบคทีเรียจะโตทำให้เป็นหนองซึ่งอันตราย บางที่หนองแตกออกมาบริเวณข้างๆ ตาได้บางทีอาจทำให้เป็นรูถาวรรักษาไม่ดีพอมีน้ำตาไหลทำให้มีน้ำตาออกมาข้างๆ ได้

เพราะฉะนั้นถ้ามีท่อน้ำตาตันน้ำตาไหลตั้งแต่เด็กแรกเกิดคุณหมอจะแนะนำสอนวิธีการดูแลนวดหัวตาอย่างไรหยอดยาอย่างไรเพื่อทำให้มันดีขึ้น โดยปกติเด็กกว่า 90% ภายในอายุ 1 ปี ถ้านวดตาได้ดีท่อน้ำตาตันมักจะดีขึ้นและหายไป แต่ถ้าหลัง 1 ขวบ หรือขวบครึ่งยังไม่หายอาจต้องทำการแยงท่อน้ำตาเพื่อเปิดท่อน้ำตาให้

ส่วนโรคอื่นๆ ในเด็กส่วนใหญ่ก็จะเป็นอุบัติเหตุต่างๆ ที่เด็กอาจจะเกิดขึ้นได้เป็นประจำ เช่น ของเล่นชนตามีกระจกตาถลอก หรือเล่นกันแล้วนิ้วโดน บางคนอ่านหนังสือแล้วกระดาษบาดตาก็พบได้เรื่อยๆ ส่วนใหญ่เวลากระดาษบาดตาก็จะโดนกระจกตาดำก็จะเป็นรอยข่วน อาการเด็กก็จะแสบตาแพ้แสงน้ำตาไหลแต่ไม่มีขี้ตาแล้วเด็กก็จะพยายามปิดตาตลอดเวลาและเจ็บเป็นอาการที่บอกว่าน่าจะมีแผลที่กระจกตา

 

ติดตามฟังได้ที่รายการรักลูก The Expert Talk

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

รักลูก The Expert Talk EP.26: แก้ปัญหาพฤติกรรมลูก "ฉบับนักจิตวิทยา" แค่พ่อแม่ปรับ ลูกก็เปลี่ยน

ด้วยเจนเนอเรชั่นที่ห่างกันระหว่างพ่อแม่และลูก ขณะที่ความรู้ที่มีอยู่ก็ไม่สามารถนำมาใช้งานได้จริง มีสิ่งที่ต้องโฟกัสเยอะทั้งเรื่องงาน ครอบครัวและลูก บวกกับการเลี้ยงลูกด้วยความไม่เข้าใจและกลัว ทำให้เรามองว่าการเลี้ยงลูกเป็นเรื่องยาก และลูกมีปัญหาพฤติกรรมครบทุกด้าน

ฟังวิธีการรับมือกับปัญหาพฤติกรรมต่างๆ โดยนักจิตวิทยา อาจารย์อลิสา รัญเสวะ นักจิตวิทยาคลินิก ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและวัยรุ่น ศูนย์กุมารเวชกรรม โรงพยาบาลพระรามเก้า

 

การเลี้ยงลูกเดี๋ยวนี้ยากมาก ถามในมุมมองของนักจิตวิทยา

ด้วย Generation ที่เปลี่ยนไป เรากับลูก Generation ก็เริ่มห่างกันเยอะด้วยความที่เราเองอาจจะขาดความรู้ทั้งๆ ที่ความรู้มันเยอะแทบจะท่วมหัวเลยแต่ความรู้เหล่านั้นไม่มาประกอบกันได้ แล้วเราควรต้องทำแบบคนนี้คนนั้น หรือคนนู้นดี เลยเป็นเหตุให้เรารู้สึกว่าความรู้ที่เรามีอยู่มันเป็นสิ่งที่ทำได้ไม่จริง

ทั้งหมดมันดีแต่พอมาประกอบกันเราไม่สามารถเป็นอย่างนั้นได้เลยมันยากเพราะเรามีโฟกัสเยอะ เรามีเรื่องงานหนัก ไหนจะเรื่องชีวิตคู่เราอีก พ่อแม่ที่เราต้องรับผิดชอบอีก ไหนจะลูกอีกทุกอย่างเข้ามาพร้อมๆ กัน โดยเฉพาะในช่วงโควิด 2 ปีนี้หนักหนาสาหัสมาก เพราะทุกอย่างอยู่กับเราหมดเลยไม่ว่าจะเรื่องงานที่ยากขึ้น เรื่องของลูกที่ความเข้าใจของเราก็เหมือนจะไม่ค่อยเข้าใจเขาเท่าไหร่

จริงๆ โดยธรรมชาติเด็กไม่ได้เปลี่ยนไปเยอะก็คือเหมือนเดิม เหมือนเด็กเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เหมือนพวกเรา เพียงแต่ว่าพอเรามาเป็นพ่อแม่เองเรากลับรู้สึกว่ามันยากที่จะเข้าใจเหลือเกิน แล้วด้วยเหตุที่เราไม่เข้าใจเราก็กลัว พอเรากลัวบางครั้งเราก็เอาปมของเรามาแล้วเราก็จะไม่ทำอย่างที่เรามีปม เช่น ถ้าพ่อแม่เข้มงวดกับเรา เราก็ไม่อยากเข้มงวดกับลูก

แล้วเราก็ให้ทุกอย่างเพราะเราไม่เคยได้ อันนี้เราก็ถมปมตัวเองอีก แล้วเราก็ตามใจลูกเพราะรู้สึกว่าตอนเล็กๆ เราโดนพ่อแม่ขัดใจเราอยากจะถูกตามใจ เราเอาปมของเรามาเลี้ยงลูกยุคใหม่ ที่นี้ไปกันใหญ่เลยความเข้าใจก็ไม่ค่อยมี ความรู้ก็เอามารวมกันไม่ได้ สิ่งที่กลัวก็เยอะ เพราะฉะนั้นผลที่ออกมาเราจะเห็นว่า เด็กสมัยใหม่ทำให้เรารู้สึกว่าเราเลี้ยงเขายาก แต่จริงๆ เรารู้เทคนิคเด็กไม่ได้เลี้ยงยาก คนที่ยากทำให้เขายากคือเราเท่านั้นเอง

ปัญหาพฤติกรรมที่พบได้บ่อย

เยอะมาก สิ่งแรกก็คือการเรียนออนไลน์การเรียนรู้ของเด็กโดนฟรีสไป 2 ปี เรียนออนไลน์ไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่กับเด็ก

สอง เรื่องพัฒนาการเริ่มเกิดเด็กพัฒนาการช้ามากขึ้นเพราะถูกขังไว้ในพื้นที่แคบมันเลยไม่เกิดกระบวนการเรียนรู้ที่ดีกับเขา

สาม ปัญหาที่ตามมาจากโควิดอีกคือ การติดจอ ด้วยเทคโนโลยีที่เข้ามาอย่างรวดเร็วเด็กติดต่อสิ่งที่เกิดขึ้นคือเขาหมกมุ่นมากที่จะรอเวลาที่จะเล่น พอได้เล่นสิ่งนั้น Passion ในการใช้ชีวิตในการเรียนหนังสือในการทำสิ่งต่างๆ ก็หายไป

ปัญหาที่เข้ามาในโรงพยาบาลตอนนี้เยอะมากคือปัญหาพฤติกรรม ปัญหาทางด้านอารมณ์ ปัญหาทางด้านสมาธิ ปัญหาทางด้านการเรียนรู้ มาครบเลย เมื่อก่อนจะมาแค่ 1 ด้าน แต่ตอนนี้เด็ก 1 คนครบมากแล้วพอเป็นแบบนี้ก็ขาด Social Skill ปัญหาใหญ่เหมือนกันเพราะฉะนั้นตอนนี้คนที่มาถึงมือมีเรียงลำดับอายุ 3 ขวบ 6 ขวบ 10 ขวบ 13 ขวบ เจอโดนผลกระทบกันหมดเป็นเรื่องยากเหมือนกันของพ่อแม่ที่จะรับมือกับสิ่งนี้ที่จะช่วยลูก เลยทำให้สิ่งนี้ทำให้พ่อแม่เครียดมากไม่รู้จะจัดการอย่างไร

พ่อแม่ต้องปรับเรื่องไหนก่อน

1.พ่อแม่ต้องปรับทัศนคติตัวเองใหม่ก่อน

ตั้งสติดีๆ ก่อน เวลาที่ปัญหามันเข้ามาหาเราเยอะเราจะรู้สึกแพนิคและวิตกกังวลมันเยอะไปหมดไม่รู้จะจัดการอย่างไร จริงเริ่มที่เรา เราตั้งสติให้ดีแล้วเราเปลี่ยน Mindset ว่าเราจะไม่ทำเหมือนเดิมแล้วนะ

ถ้าเราทำเหมือนเดิมผลก็คือเหมือนเดิมเราต้องเปลี่ยนกระบวนการเลี้ยง เมื่อก่อนเราอาจจะเลี้ยงเขาแบบหนึ่ง ตอนนี้สิ่งที่เราเน้นเสมอเลยว่าตอนนี้ถ้าเราจะแก้มาจดจ่ออยู่กับลูกอย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมงอย่างมี Quality Time อยู่กับเขาสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเขา ตอนนี้เราเครียดเราก็เอากลับมาให้เขาแล้วเราก็รู้สึกกดดันเขา คาดหวังเขา เราคาดหวังในการเรียนออนไลน์ของเขาอย่างหนัก คำว่า คาดหวังอย่างหนัก พอเราเห็นเขานั่งไม่อยากเรียนเราก็รู้สึกหงุดหงิด พอเขาเปิดจอ 2 จอ 3 จอ 4 เราก็รู้สึกเครียด

เราต้องปรับ Mindset ใหม่ว่าเด็กคือมนุษย์คนหนึ่ง คิดถึงตัวเองเมื่อตอนเราเป็นเด็กมันก็ควบคุมทุกอย่างยาก 1. คือการเรียนออนไลน์เราต้องยอมรับแล้วว่าไม่เวิร์คมันได้ 50% ตั้งใจเกือบตายก็ได้แค่นี้ เพราะฉะนั้นเลิกกดดันลูก เลิกคาดหวังจากลูกเสียที

2.ตั้งสติ

แล้วดูปัญหาของลูกว่าตอนนี้เขากินอยู่หลับนอนเขาช่วยเหลือตัวเองได้หรือเปล่า ช่วยเหลือตัวเองในชีวิตประจำวันเป็นการกระตุ้นพัฒนาการที่ดีมากๆ กระตุ้นพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อมัดใหญ่ อย่างใส่เสื้อตัวต้องตั้งขึ้นมากล้ามเนื้อทั้งแท่งของกล้ามเนื้อมัดใหญ่ได้ใช้ แขนได้ใช้ ขาได้ใช้ กล้ามเนื้อมัดเล็กได้ใช้ นิ้วได้ใช้จับเสื้อติดกระดุม เรื่องของภาษาได้ใช้เพราะเวลาเราบอกลูกหยิบอันนั้น หยิบอันนี้ เขาต้องฟังต้องเข้าใจมีการสื่อสาร

ในเรื่องของการแก้ปัญหาก็เกิดเพราะฉะนั้นเราต้องกลับไปดูใหม่แล้วว่าการกินอยู่หลับนอนที่เราเคยทำให้ ที่เราเคยให้พี่เลี้ยงทำให้เราต้องเปลี่ยนทัศนคติแล้วโลกโหดร้ายกว่าที่เราคิดถ้าเขาช่วยตัวเองไม่ได้แค่เรื่องง่ายๆ แค่นี้เขาจะผ่านไปสู่เรื่องยากได้อย่างไร

เพราะฉะนั้นในชีวิตประจำวันถ้าเขาสามารถดูแลตัวเองได้เขาก็จะภูมิใจในตัวเองและเราเองก็จะเบาลง พอเราเบาลงเขาทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเองกินได้ด้วยตัวเองได้ สามารถอยู่กับตัวเองเป็น สามารถนอนได้โดยไม่ไปรบกวนคนอื่น พวกนี้กิจวัตรประจำวันทำได้เองเพิ่มเรื่องของการช่วยเหลือคนอื่นหน้าที่งานบ้านมันคือความรับผิดชอบต่อสังคมต่อคนอื่นต้องปลูกฝัง เพราะถ้าเราตามตอนนี้สังคมโหดร้ายมากดูข่าวเด็ก

เอาแต่ตัวเองโฟกัสแต่ตัวเองแล้วเราก็ให้ลูกไปโฟกัสแต่ตัวเองทุกวันนี้เป็นแบบนี้ มันเปลี่ยนไปมากเมื่อก่อนเราจะเป็นห่วงเป็นใยความรู้สึกของคนอื่นเราจะโพสต์เชียลเราจะแคร์ว่าเมนท์ไปแล้วเดี๋ยวเขาเสียใจเดี๋ยวนี้เราไม่มีความแคร์อันนี้เลยเราอยากจะพูดอะไร พิมพ์อะไร เมนท์อะไรเราก็ตรงๆ แรงๆ เราใส่อารมณ์ใส่ความรู้สึกเข้าไปโดยไม่แคร์คนอื่น

เพราะฉะนั้นแปลว่าตอนนี้เราเคารพแต่ตัวเองเราไม่เคารพความรู้สึกของคนอื่น อันนี้ Self Esteem คือการที่เรารู้จักตัวเองรักตัวเองเป็นแล้วต้องรักคนอื่นได้ด้วยเราต้องมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เราต้องมีความเมตตากับคนอื่น

ตอนนี้แทบไม่มีเลยคอมเมนท์ไม่มีความเมตตาเลยแล้วตามด้วย Cyber Bullying อีกปัญหายาวมาก คุณพ่อคุณแม่ตั้งสติก่อนเริ่มที่บ้านและตอนนี้เราพึ่งโรงเรียนไม่ได้เราต้องพึ่งตัวเองเราต้องเป็นครูของลูก เราต้องหากระบวนการเรียนรู้ที่มันใช้ได้จริงวิชาการหรืออินเตอร์เนทไปอ่านมาคนหนึ่งก็ไปทิศหนึ่งอีกคนก็ไปทิศหนึ่ง

บางคนบอกเราว่าต้องทุ่มเทเวลาทั้งหมด แล้วกินอะไรคำถามง่ายๆ แล้วกินอะไร แล้วพอลูกเรียนจบจะอยู่อย่างไรละ ความภาคภูมิใจของเราละ ชีวิตของเราละ พอลูกอายุ 15 ลูกก็ไม่เอาเราแล้วลูกก็ไปอยู่กับแฟน ลูกก็สนใจเพื่อน แล้วเราจะอยู่อย่างไรเราจะเหงาไหมเราจะขาดสังคมหรือเปล่า

ความจริงคือมันต้องไปด้วยกันเราคือมนุษย์หนึ่งคน ลูกคือมนุษย์หนึ่งคนอยู่กันอย่างไรให้เป็นความจริงที่สุดว่าเราอยู่ร่วมกันเรารับผิดชอบเขา เขารับผิดชอบตัวเองและมีปัญหาให้น้อยที่สุด การจะมีปัญหาให้น้อยที่สุดมันต้องเริ่มตั้งแต่ขวบปีแรกได้ปัญหาทุกอย่างมันจะเบาและน้อยที่สุดถ้าเริ่มด้วยความเข้าใจและความรู้ที่แท้จริงในการเลี้ยง

เราตั้ง Mindset ว่า เราฝากลูกไว้กับครูยากแล้วสิ่งที่สำคัญคือพ่อแม่เองเป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูกด้วยในเรื่องของอารมณ์ในเรื่องของวุฒิภาวะเวลาปกติเราเครียดเราวี๊ดเราก็ลงไปทีเขาเลย เพราะฉะนั้นเราอยากให้เขาโตขึ้นมีเหตุผลเราต้องทำสิ่งนั้นให้เขาเห็นด้วยว่าพ่อแม่ก็เป็นแบบนั้นลูกก็จะได้มีโมเดลที่ดี

ส่วนปัญหาที่มันมามากมายค่อยๆ โฟกัส จริงๆ ลูกไม่ได้แย่หลายๆ คนนั่งมาร์คจุดด้อยของลูกมีเป็นร้อยแต่ตัวเองก็จะมองกลับไปลองดูสิ่งที่เขาทำได้สิ จริงๆ แล้วเขาไม่ได้แย่ขนาดนั้น แต่เราลองมาดูว่าเขาทำอะไรไม่ได้เราก็สอนเขาให้เขาทำได้อะไรที่เป็นปัญหาหนักมือเราทำไม่ได้แล้วต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญก็หาความช่วยเหลือ

หาข้อมูลที่สามารถทำได้จริงเป็นไปได้เราเข้ากับข้อมูลอันนั้นเป็นข้อมูลที่คลิ๊กกับเรา เราจะรู้เลยว่าข้อมูลนี่เป็นไปได้เราทำได้ เพราะนั้นตั้งสติเปลี่ยน Mindset ว่าอย่าพึ่งคนอื่นพึ่งตัวเอง

สร้างบ้านให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของลูก

เพราะจริงๆ เมื่อก่อนเราส่งลูกไปที่โรงเรียนแล้วลูกก็อยู่ที่โรงเรียนถึงเย็น เราก็คาดหวังว่าคุณครูจะให้ลูกกลับมา 1 2 3 4 ลูกต้องเพอร์เฟคสำหรับฉันแต่ตอนนี้หน้าที่อยู่ที่พ่อแม่หมดเลย แล้วโรงเรียนก็น่าสงสารในตอนนั้นอย่าลืมว่าในห้องคุณครูต้องสอนวิชาการแล้วคุณครูก็ต้องสอนกติกา

คุณครูก็ต้องสอนมารยาท ต้องให้ Social Skill ลูก เพราะเด็กในห้องเรียนหนึ่ง 30 คน หมอทำกรุ๊ปเด็กเพื่อทำพัฒนา Social Skill รับไม่เกิน 5 คน เพราะเราดูละเอียด เด็กในเรื่องของ Social Skill ไม่ใช่ 30 คนแล้วเราสามารถพัฒนาได้ อยู่ที่บ้านเราทำกับลูกที่บ้านได้เลยเราสามารถพัฒนาเขาได้ทุกๆ ด้าน พัฒนาการกล้ามเนื้อมัดใหญ่เราทำได้ที่บ้าน กระโดดโลดเต้นหากิจกรรมเคลื่อนที่ในที่แคบให้ลูกทำ

พัฒนาการกล้ามเนื้อมัดเล็กใช้ศิลปะได้ ใช้การเล่นของเล่นได้ พัฒนาการทางด้านภาษาพูดเป็นเพื่อนกับลูกก่อนได้ในช่วงนี้ เราจะเน้นมากช่วงนี้เด็กเวลาคุยไม่ค่อยมองหน้าไม่ค่อยสบตาเพราะเวลาเราคุยกับลูกเราเล่นมือถือ ลูกก็ไม่รู้ว่าต้องมองหน้า

ซึ่งความสัมพันธ์ที่แท้จริงของมนุษย์ที่มันต่างกับอย่างอื่นคือมองหน้า สบตา พูดคุย อันนี้ต้องให้เกิดทักษะสังคม เบสิกอันนี้ต้องเกิดก่อนรู้จักมองหน้าคน รู้จักมองตา สบตา พูดคุย อันนี้เริ่มที่บ้านได้ทำเลยมีเวลา 1 ชั่วโมง สร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกเล่นกับลูกเราก็ต้องรู้ด้วยว่าจะเล่นอะไร บางครั้งการเล่นเราก็เป็นแม่เกินไป เราก็เป็นครูเกินไปหรือบางทีเราก็เป็นเพื่อเกินไป มันพอดี

สร้างหลักความพอดี สร้างจุดสมดุล

เข้าใจก่อนว่าการเป็นเพื่อนเล่นของลูกกับการเลี้ยงลูกเหมือนเพื่อนไม่เหมือนกัน ในช่วงแรกของชีวิตตั้งแต่แรกเกิดจนถึงก่อนเข้าวัยรุ่นเลี้ยงลูกให้เป็นลูกได้ ไม่ต้องเป็นเพื่อน

เลี้ยงดูอย่างเข้าใจธรรมชาติของวัย

เพราะเราต้องสอน ต้องสั่ง ต้องออกคำสั่ง เราต้องให้เขาเชื่อฟังเรา แต่หลังจากวัยรุ่นไปแล้ว 10 ขวบไปแล้วเราต้องเลี้ยงเขาแบบเพื่อนเราจะหยุดการสอน

เราจะพูดคุยเราจะใช้เหตุผล เราจะแสดงความเห็นที่ต่างกันได้เราจะรับฟังกันมากขึ้น เพราะฉะนั้น 10 ปีนี้ เวลาที่เล่นคือเล่น เวลาที่เลี้ยงคือเลี้ยง เวลาที่สอนคือสอน แต่เวลาสอนก็ไม่ใช่พูดเรื่องเดิม เราต้องรู้แล้วว่าเราสอนเขามา 5 ปี ในเรื่องนี้เราพูดเหมือนเดิมประโยคเดิมอารมณ์เดิมเขารู้แล้วที่เขาไม่ทำเพราะยังพูดเหมือนเดิมอารมณ์เดิมประโยคเดิมเราไม่เรียนรู้แต่ลูกเรียนรู้

คนฉลาดคือคนที่ต้องเรียนรู้ว่าสิ่งไหนไม่เวิร์คต้องหยุด เพราะฉะนั้นเราพูดจ้ำจี้จ้ำไชมาไม่เกิดผลเราต้องหาวิธีใหม่ วิธีจ้ำจี้จ้ำไชก็ไม่น่าใช่วิธีที่เหมาะกับลูกเรา เราก็ต้องตั้งสติดีๆ ว่าอะไรถึงจะพอดีออกคำสั่งชัดๆ เด็ดขาดแต่ไม่ได้ใช้อารมณ์ อย่างเช่น ไปอาบน้ำ ธรรมดา ลูกบอกว่าเดี๋ยว ก็ค่อยๆอารมณ์เพดาน ขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเป็นตัวเองก็จะให้แค่ 3 ครั้ง ที่จะไปอาบน้ำ รอบที่สอง ไปอาบน้ำ ให้เสียงต่ำลง สูงขึ้นคือใช้อารมณ์

เวลาเราจะกดดันใครให้เราใช้เสียงต่ำ เวลาเราโกหกเราจะใช้เสียงสูงเราจะใช้อารมณ์ ครั้งที่ 3 ไม่พูดลากไปเลยค่ะ คือการกระทำที่ชัดเจนเด็ดขาดว่าแม่ให้แค่นี้ แค่นี้คือแค่นี้ทำไปสัก 2-3 ครั้งเกิดการเรียนรู้ คือลูกเกิดการเรียนรู้ดีกว่าผู้ใหญ่

เรียนรู้ลูก

สังเกตไหมบางคนมีลูกมา 10 แล้วมาเรียนรู้เลยยังใช้วิธีเดิมแต่ลูกเรียนรู้ตลอดเวลา ปรับเพื่อจะสู้กับเราตลอดเวลา แล้วการต่อลองเป็นการดึงที่เขาต้องการ เช่น การบอกว่าเดี๋ยว อีกแป๊บหนึ่ง อีกหน่อยหนึ่ง อีก 10 นาที อีก 5 นาที เหมือนได้ตลอดเลยไม่เคยเดี๋ยว

เพราะฉะนั้นเขาเรียนรู้และรู้จักใช้วิธีแต่เราไม่ได้เรียนรู้เราใช้วิธีเดิม พอรอบที่ 1 ไม่ได้เราก็ใช้ประโยคเดิมซ้ำเดิมแล้วเราก็วี้ด เสียงก็สูงขึ้นๆ อารมณ์ก็สูงขึ้นด้วย ถามว่าแล้วใครได้ประโยชน์ ลูกได้สิ่งที่ลูกต้องการไม่ใช่เรา กลับมาใหม่ว่า

พอดี

พอดี คืออะไร พอดี คือพูดน้อยๆ ชัดๆ เด็ดขาด ให้เขารู้ว่าทำคือต้องทำการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันคือเรื่องซีเรียส แต่เวลาเล่นกับลูก เล่นแบบเพื่อนไม่ใช่เล่นแบบออกคำสั่ง ไม่ใช่เป็นครูไม่ใช่เป็นพ่อแม่ เล่นแบบเพื่อนหมายความว่าอย่างไรเราเป็นคนหนึ่งที่ให้เขาเรียนรู้กติกามีการสลับพลัดเปลี่ยนกันถึงตาลูก ถึงตาแม่มีความสนุก

มีการทำให้ลูกเห็นว่าเราไม่ได้เก่งไปทุกอย่าง ไม่ได้ชนะลูกทุกครั้ง สลับกันแพ้สลับกันชนะ แกล้งแพ้บ้าง แกล้งชนะบ้าง แกล้งเสมอบ้าง เพื่อให้เขาปรับตัวว่าจริงๆ ไม่เป็นไร เราเป็นตัวอย่างให้ดูว่าแพ้ไม่เป็นไร ชนะอย่าเยาะเย้ยลูก ชนะอย่าโห่ฮิ้วมากแล้วเขาจะรู้สึกเยอะ

เพราะฉะนั้นเราก็เล่นให้เขาเรียนรู้กติกา ว่าการเล่นมีกติกาอยู่ เขาสนุกกับเราได้เวลาที่เขาเล่น อย่างของหมอก็จะมีชั่วโมงเรียกว่า Happy Time คือการอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ไม่ต้องมีอะไรไม่ต้องสอนไม่ต้องมีกติกา เป็นยังไง วันนี้ไปเจออะไรมาบ้าง แต่ไม่ได้หมายความว่าชั่วโมงนั้นเราจะเอาความทุกข์ไปไว้ที่ลูกไปเราว่าวันนี้แม่เจอความเครียด ไม่ใช่

หรือพ่อแม่บางคนชอบจะเอาความทุกข์ไปใส่ไว้ที่ลูก เช่น ทะเลาะกับพ่อของเขาไปว่าพ่อให้ลูกฟัง ไปบอกลูกว่าพ่อนิสัยไม่ดียังไง หรือพ่อเองก็มาว่าแม่ให้ลูกฟังสิ่งนี้ไม่ควรทำ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ ความทุกข์เรื่องงาน ความทุกข์เรื่องเงิน

เด็กไม่ควรต้องมารับผิดชอบเรื่องนี้ในเวลาที่เขาเป็นเด็ก คุณกำลังจะดับฝันเขาเหมือนคุณกำลังจะบอกเขาว่าชีวิตไม่ได้มีความสุขเลยจริงๆ แล้วมีความทุกข์หนักมาก แล้วเราก็เอาความทุกข์เราไปไว้ในใจเขา เวลาเด็กที่เขาซับเอาความทุกข์ไปเขาไม่เหมือนเรา เขาไม่รู้ว่าความทุกข์สามารถหยุดได้หมดได้ แต่เขาจะเก็บเอาไว้แล้วก็ซึมซับความทุกข์นั้นไว้จนเป็นอารมณ์ตัวเองแล้วก็ไม่อนุญาตให้ตัวเองมีความสุข

เช่น คุณแม่บอกว่าวันนี้แม่ทุกข์ทรมานต่างๆ นาๆ ลูกก็จะรู้สึกว่าฉันมีความสุขไม่ได้ ฉันอยู่หลังแม่ฉันเด็กจะไม่ยอมให้ตัวเองมีความสุข มันก็ส่งผลกระทบไปที่เขาเพราะฉะนั้น Happy Time คือการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน พูดคุยกัน ผ่อนคลาย พยายามรับฟังเขา

จริงๆ เป็นช่วงติดตามว่าเทรนด์ของเขา เขาสนใจอะไรกำลังโฟกัสอะไร เขาสามารถเล่าเรื่องทุกอย่างให้เราฟังได้นะ เราเป็นคนที่เขาไว้ใจได้แล้วก็ยังไม่ต้องสอนอะไรเก็บเอาไว้ เวลาเขาเล่าอะไรหรือไปทำอะไรมาก็แล้วแต่คุณพ่อคุณแม่มักใจร้อนเผลอสอน

พอดี หมายความว่า รอเวลาที่พอดีที่จะสอน แล้วการรับฟังไม่ใช่ว่า แม่หนูไปทำอันนี้มา ลูกไม่ควรทำแบบนั้นนะแล้วก็สอนไปยาว แล้วใครจะเล่าให้คุณฟังเพราะมันก็จะมีตำหนิตามมา

พอดี คือ คิดถึงใจตัวเองไว้ว่าถ้าเราเป็นเขาเราอยากได้อะไรคิดถึงใจเราถ้าไม่ใช่เวลาสอนก็อย่าสอนตลอดเวลา สอนให้เป็นเวลาแล้วพูดให้น้อย เพราะเวลาที่เราพูดเยอะๆ เด็กจะเข้าใจว่าเราบ่น เขาจะรู้สึกว่านี่คือบ่นแล้วไม่มีสาระแล้วโทนเสียงระดับเกินมาตรฐานของแม่คือการที่แม่พร่ำเพ้อแล้วลูกก็จะดับหูก็จะไม่อยากฟังเลี้ยงลูกจริงๆ ต้องมีจิตวิทยาเยอะมาก มีดีเทลเยอะ

เป็นแบบอย่างให้ลูก

เป็นแบบอย่างให้ลูก แต่พอช่วงวัยรุ่นมันเปลี่ยนวิธีการเลี้ยงหมดเลย หยุดสอน ฟังให้เยอะ พูดให้น้อย คอนเซปต์ของการเลี้ยงวัยรุ่น

ซ่อมแซม Learning Loss ในมุมมองของนักจิตวิทยา

ตอนนี้ปัญหาเข้ามารอบด้าน กรูเข้ามาทุกทางสมัยก่อนปัญหาก็เยอะแต่ทำไมไม่กรูหาเด็กขนาดนี้ ไม่มาหาเราขนาดนี้ ที่มาเยอะเพราะโซเชียลมีเดีย เพราะการรับข้อมูลเยอะแล้วช่องรับมันเร็ว กว้างและเร็ว มันอิมแพคเร็วมากในการที่มี Respond ของสังคม

การที่ใครทำอะไรที่ไหนอย่างไรรู้หมด เพราะฉะนั้นตอนนี้เรากลับรู้สึกว่าอยู่ยากขึ้นหนักขึ้น ตัวเด็กเองก็ยากขึ้นหนักขึ้นเช่นกัน แต่ว่าคนที่เป็นผู้ใหญ่ต้องตั้งสติก่อนว่าบางครั้งตัวเราเองเมื่อความรู้ไม่มากพอความกลัวที่เยอะเราก็จะมองมันใหญ่เกินที่จะเป็นจริง

เวลาที่ Learning Loss เกิดขึ้น เวลาจะ Loss อะไรมันมักจะ Loss เป็นชุดใหญ่ๆ มันไม่มีการ Loss ที่มันค่อยๆ แต่พอมัน Impact แล้วมันก็ Impact ในหลายๆ ระบบเหมือนพัฒนาการที่พอมันช้า 1 ก็โดนกระทบไปหมด เด็ดดอกไม้ก็สะเทือนไปถึงดวงดาว

ให้กระบวนการคิดที่ดี

ตั้งสติว่าสิ่งที่เราต้องให้ลูกในเบสิกของชุดกระบวนความคิดของสมองของลูกมันไม่ใช่ว่าจะต้องให้ข้อมูลที่เยอะแต่เราต้องให้กระบวนการคิดที่ดี ถ้าเด็กมีกระบวนการคิดที่ดีเขาจะดีทุกเรื่อง

ถ้ามีกระบวนการคิด มี Process ในการคิดว่าต้องทำสิ่งนั้นต้องทำสิ่งนี้มีกระบวนการคิดที่ดีจะแก้ปัญหาทุกปัญหาได้หมด อย่างเช่น เขาเรียนแล้วเขาไม่ตั้งใจ ถ้าเขามีกระบวนการคิดที่ดีเรื่องนี้จะเป็นปัญหาน้อยมากเพราะเขารู้ว่าเขาจะตั้งใจยังไง จะมีกระบวนการเรียนรู้ยังไง ในชีวิตประจำวันกระบวนการคิดถ้าได้เกิด ได้สร้างจะทำเขาสามารถแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันของเขาได้

ในการเรียนหนังสือแก้ปัญหาโจทย์ใช้กระบวนการความคิดหมดเลย รวมไปถึงการโตเป็นผู้ใหญ่อย่างเรากระบวนการคิดสำคัญมากถ้าเราไม่เคยถูกใช้พวกนี้มันจะไม่พัฒนา แล้วใครทำให้กระบวนความคิดอันนี้เกิด เกิดน้อย หรือไม่เกิดก็คือพ่อแม่

ปัญหาสังคมตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเพศ ยาเสพติด อาชญากร โซเชียลมีเดียที่ส่งผลต่ออารมณ์เด็กพวกนี้กระบวนความคิดของเด็กคนนั้นไม่พอที่จะหยุดคิดว่าสิ่งนั้นควรทำหรือไม่ควรทำ สิ่งนั้นดีหรือไม่ดี อย่างยาเสพติดเรารู้เราเรียนแต่ทำไมยังมีกลุ่มที่ติดยาเสพติด เพราะกลุ่มพวกนั้นมีกระบวนความคิดอีกแบบหนึ่ง กลุ่มพวกนั้นไปโฟกัสสิ่งที่ได้จากยาเสพติด

เห็นไหมว่าเด็กมีกระบวนความคิดที่ไม่เหมือนกัน ทำไมเราถึงไม่ยุ่งเพราะเรามีกระบวนการคิดว่ามันไม่เป็นประโยชน์กับเรามันเป็นโทษมากกว่าประโยชน์เราเลือกจะไม่ทำสิ่งที่เป็นโทษมากกว่าประโยชน์ อันนี้เป็นกระบวนความคิดทั้งหมดเลย

ถ้าเราใส่กระบวนการเรียนรู้ กระบวนความคิดที่ถูก จะแก้ปัญหาทุกอย่างได้ลูกจะเลือกเพื่อนเป็น ลูกจะเลือกสื่อเป็น ลูกจะเลือกทำในสิ่งที่จำเป็นจะต้องทำก่อน ลูกจะเลือกสิ่งต่างๆ เข้ามาในชีวิตเป็นสิ่งที่ดีไม่ใช่สิ่งที่แย่

สร้างกระบวนการคิดต้องหยุดคิดแทน

ถามว่าแล้วพ่อแม่จะสนับสนุนให้เกิดกระบวนความคิดนี้ได้อย่างไร คุณต้องหยุดคิดแทนทำแทน ต้องหยุดตอบสนองเกินความจำเป็น สอนให้ลูกคิดเป็น วิธีการง่ายๆ สอนให้ลูกคิดเป็น คุณคิดอย่างไรคุณก็พูดให้ลูกฟัง

เช่น เราเลือกของเล่นให้ลูกมีของเล่นอยู่ 2 ชิ้น แล้วเราเลือกชิ้นนี้มาเราก็บอกเขาว่าชิ้นนี้มันดีกว่ามันคุ้มกว่าอย่างไร ของเล่นเช่นนี้มันทำให้หนูได้เรียนรู้เรื่องของกล้ามเนื้อมัดเล็กได้สร้างสมอง มีเสียงด้วย ราคาเท่านี้ มันเล่นได้สามปี กับของเล่นชิ้นที่แพงมากแล้วสวยมากแต่เล่นได้ฟังก์ชั่นเดียวแล้วก็พังง่าย

สองอย่างนี้พอเทียบกันแล้วแม่เลยเลือกชิ้นนี้ให้ลูก คุณสามารถทำแบบนี้ได้กับทุกๆ อย่าง เช่น คุณเลือกซื้อนมให้เขา นมมีหลายยี่ห้อทำไมแม่เลือกนมอันนี้ กระเป๋ามีหลายยี่ห้อทำไม่แม่เลือกใบนี้ มือถือมีหลายยี่ห้อทำไมแม่เลือกอันนี้ ความคุ้มค่าของมันที่เราต้องสอนลูกว่าเหตุผลวิธีการคิดของเราที่วางแผนในหัวเราพูดมันออกมา

แค่ชีวิตประจำวันทำไมต้องแปรงฟันก่อนล้างหน้า ทำไมต้องล้างหน้าก่อนแปรงฟัน แต่ละบ้านทำไม่เหมือนกัน แต่เราก็ให้ลูกทำเหมือนที่เราทำ เพราะบางทีเราก็ไม่ได้คิด แต่ทุกอย่างเราต้องใส่กระบวนความคิด เขาจะตั้งคำถามขึ้นมาทันทีถ้าเราให้เหตุผลกับทุกอย่างที่เขาทำ เขาจะถามว่าทำไมไม่ทำอย่างนั้น เพราะอะไรต้องทำอย่างนี้

ถ้าคุณถูกฝึกจนชินคุณจะอธิบายเหตุผลได้จนลูกยอมรับ ซึ่งการฟังเหตุผลมันก็วางแผนไปยิ่งวัยรุ่นด้วยว่าถ้ามีสิ่งที่เราต้องคุยกับเขา สังคมการเมือง รุนแรงมากขึ้น วันหนึ่งลูกเราอาจไปอยู่สถานการณ์คับขันที่เราก็พูดไม่ได้ไม่รู้จะสอนอย่างไรไม่รู้จะให้ข้อมูลอย่างไร เพราะอัลกอลิทึ่มของเราไม่เหมือนกัน นอกจากว่าถ้าเราปลูกฝังเหตุผลแล้วเราบอกเขาว่าในมุมของแม่แม่คิดอย่างนี้เราก็สามารถให้เหตุผลกับสิ่งที่เราต้องการได้แล้วลูกเองก็ให้เหตุผลกลับมาในสิ่งที่เขาต้องการได้เช่นกัน

เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญที่จะทำให้มนุษย์อยู่รอดตอนนี้คือการสร้างกระบวนการคิดให้เกิดขึ้นก่อนโดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่สร้างได้ที่บ้านเลยว่าทำไมคุณพ่อคุณแม่อยากให้ลูกอาบน้ำแล้ว ทำไมอยากให้อาบเดี๋ยวนี้พูดไปเลยสอนกระบวนการคิดไปเลย

ปกติเราใช้อารมณ์ อาบน้ำได้แล้วลูก แล้วไม่เคยบอกลูกเลยว่าทำไมต้องอาบตอนนี้ ทำไมลูกถึงใช้คำว่าเดี๋ยวเพราะเขาไม่คิดว่าต้องเป็นตอนนี้ การจะทำให้ลูกเชื่อเรา เราต้องมีเหตุผล ทำไมหมอเองเวลามีคนไข้แล้วคนไข้จะชอบมาเจอมาคุยเพราะเรามีวิธีการคิดแล้วเราคิดให้ฟัง

เราไม่ได้บอกว่าสิ่งนี้ดีเพราะสิ่งนี้ดีเราจะบอกเหตุผลว่าทำไมเราคิดว่าสิ่งนี้ดีทุกคนต้องการเหตุผล ไม่ใช่ดีเพราะพ่อแม่บอก พ่อแม่ก็อยากรู้ว่าในความคิดของเรามุมมองของเราเหตุผลคืออะไร ไม่ใช่เราบอกว่าต้องทำสิ่งนี้นะต้องทำสิ่งนั้นนะ เราไม่เคยทำอย่างนั้นเลยแต่เราจะบอกว่าทำไมเหตุผลคืออะไรทำไมต้องทำ ไม่ต้องทำ ทำแล้วได้อะไร ทำแล้วไม่ได้อะไร เลือกเลยข้อมูลคุณมีแล้วเราอยากให้มีกระบวนความคิดเหมือนกัน เพราะฉะนั้นถ้าคุณมีกระบวนการคิดที่ดี Product ของคุณก็จะดีด้วย

Learning Loss แก้ได้ด้วยกระบวนการคิด

ใช่ คือพื้นฐานเลย Learning Loss หรืออะไร ก็แก้ได้หมด จริงๆ เริ่มได้ตั้งแต่ 3 ขวบเลยการสร้างกระบวนความคิด 3 ขวบสมัยนี้ กับเรา 3 ขวบ ไม่เหมือนกันเลยนะ ชิพสมอง 3 ขวบสังเกตเรา ฟังเรา ฟังว่าเราพูดอะไร สังเกตว่าเราทำอะไร เก็บมาแล้วมาใช้กับเรา ในขณะที่เราตอนเด็กๆ รู้สึกว่าชิพของเรามันช้า

กว่าจะฟังว่าพ่อแม่คิดอะไร 7 ขวบ กว่าที่เราจะพยายามฟังว่าเขาต้องการอะไร คิดอะไร ทำอะไร แล้วเราอยากเลียนแบบหรือเราอยากจะสู้ ต่อต้าน สมัยนี้ 3 ขวบหูผึ่งเลยเวลาเราคุยกับสามีเขาก็ฟังว่าวิธีการคิดของเราคืออะไร เรากำลังทำอะไรกับเขาอยู่ เวลาเอาเด็กมาที่ห้องบำบัด เวลาเราอยู่ด้วยกันเราจะสังเกตเลยว่าลูกมักจะแอบฟังอย่างตั้งใจ แต่เราก็รู้สึกว่าเขาฟังได้แล้วเขาควรจะได้ฟังเพราะเรามีเหตุผล ซึ่งถ้าฝึกการใช้เหตุผลมาตั้งแต่เด็กๆ โตขึ้นก็ไม่มีปัญหาที่จะใช้เหตุผล พ่อแม่วางแผนเลี้ยงลูกตั้งแต่ยังเด็ก

การเลี้ยงเด็กมันยากและเยอะ อยากให้ตั้งสติดูเขาปีต่อปีเพราะเด็ก 1 ขวบปีก็เปลี่ยน อัตราการเปลี่ยนเขาสูงกว่าผู้ใหญ่ เราผู้ใหญ่ 29 กับ 30 ไม่ต่างกัน แต่เด็ก 1 ขวบ กับ 2 ขวบ ต่างกัน เราไม่จำเป็นต้องไปเสพข้อมูลที่เยอะมาก เวลาใครเข้ามาเราจะบอกว่า สมมติลูก 9 เดือน เราจะมองไปที่ 12 เราจะมองไปแค่ 1 ปีนี้

เพราะฉะนั้นเวลาที่เราเสพข้อมูล เราก็ดูว่า 1 ปีนี้มันนาน 1 ปี คือ 12 เดือน ทำให้มันนี้ในหนึ่งปีนี้วางแผนหาข้อมูลใน 1 ขวบปี 2 ขวบปี ต่อยอดไปเรื่อยๆ อย่าไปมองว่าต้องรู้ทั้งหมด คุณไม่มีทางรู้ทั้งหมดได้เพราะ 1 ปีนี้ในปีนี้ กับ 1 ปีนี้ในปีหน้า

ปัญหาเปลี่ยน สถานการณ์แวดล้อมอย่างโรคระบาดก็เปลี่ยนเขาเปลี่ยนเรา โฟกัสช่วงสั้นๆ มองว่าสิ่งที่เราต้องการวางเป้าให้ชัดว่าเราเลี้ยงลูกต้องการอะไรอยากได้อะไรเพื่อให้เขารอด ไม่ใช่อยากได้อะไรเพื่อให้เรามีความสุข

เราต้องมองว่าอะไรจะเป็นเครื่องมือให้เขาอยู่ได้ถ้าไม่มีเรานี่คือเป้าหมาย หากระบวนการเรียนรู้ที่ถูกต้องถ้าไม่รู้ก็หาผู้เชี่ยวชาญ ถ้าให้แนะนำก็เป็นนักจิตวิทยาคลินิกเด็กและจิตแพทย์ 2 อาชีพนี้ทำงานไม่เหมือนกัน

นักจิตวิทยามีหลายๆ สาขา แต่ในเรื่องของการตรวจวินิจฉัยและบำบัดจะต้องเป็นนักจิตวิทยาคลินิก คำว่า คลินิก คือโรงพยาบาลที่มี License มีใบประกอบวิชาชีพในการตรวจวินิจฉัย ต่างกันกับจิตแพทย์อย่างไร ต่างกันกับคุณหมอพัฒนาการอย่างไร

นักจิตวิทยาคลินิกจะมีเครื่องมือที่สามารถตรวจ เครื่องมือคือแบบทดสอบทางจิตวิทยาสามารถตรวจพัฒนาการได้ สามารถตรวจการทำงานของสมองได้ สามารถตรวจเรื่องของอารมณ์ได้ สามารถตรวจ EQ ได้ นี่ก็คือการตรวจ ที่มีเครื่องมือซึ่งมีความแม่นยำสูงมากผลออกมาเหมือนตรวจเลือดออกมาเป็นตัวเลข

มีรายละเอียดให้เห็นว่า Picture ข้างในของลูกมันคืออะไร เรารักษาด้วยการไม่ใช้ยา แต่จิตแพทย์หรือคุณหมอพัฒนาการรักษาด้วยการใช้ยา ซึ่งนักจิตวิทยาคลินิกก็จะมีเครื่องมือโดยไม่ต้องใช้ยาเลย เช่น ลูกสมาธิสั้นเราสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแก้ไขปัญหาสมาธิสั้นได้

ลูกมีปัญหาการเรียนรู้ก็สามารถแก้ไขปัญหาการเรียนรู้ได้ คือ ซ่อม สร้างได้โดยไม่ใช้ยา เพราะก็คงไม่มียาที่กินเข้าไปแล้วเด็กฉลาด มันใจในตัวเอง Self Esteem ดี ไม่มีพวกนี้ต้องสร้างเอง นักจิตวิทยาคลินิกเขาจะมีวิธีการบำบัดรักษาการใส้ทรีทเม้นท์เขาไปให้สิ่งนี้เกิด เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากใช้ยาก็มาที่นักจิตวิทยาคลินิกเด็ก

แต่ถ้าอยากใช้ยาก็ไปตรวจกับจิตแพทย์ ทำงานไม่เหมือนกันแต่คล้ายกัน แต่ถ้าสมมติว่าลำบากก็สามารถหาช่องทางที่ใกล้บ้าน หาคนที่คลิกกับเราไม่บังคับว่าต้องมาหาเราเอาคนที่เราคุยแล้วรู้สึกว่ามันเป็นไปได้สำหรับเรา คุยแล้วมีแนวโน้มว่าเราจะทำมันได้ตามที่เขาแนะนำเรา

 

ติดตามฟังได้ที่รายการรักลูก The Expert Talk

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

 

รักลูก The Expert Talk EP.27: "รักลูก" เลี้ยงลูกแบบนักจิตวิทยา

วิธีคิด วิธีการเลี้ยงลูกแบบนักจิตวิทยา จะทำให้เราก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากของการเลี้ยงลูกในแต่ละช่วงวัยไปได้ เลี้ยงแบบไหนที่นักจิตวิทยาแนะนำ ฟังวิธีการเลี้ยงลูกโดยนักจิตวิทยา อาจารย์อลิสา รัญเสวะ นักจิตวิทยาคลินิก ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและวัยรุ่น ศูนย์กุมารเวชกรรม โรงพยาบาลพระรามเก้า

 

วิธีคิดหรือการเลี้ยงลูกแบบนักจิตวิทยาแบบไหนที่จะทำให้เราก้าวผ่านสถานการณ์แบบนี้ได้

จริงๆ ถ้าคุณพ่อคุณแม่สังเกตลูกตัวเอง ถ้าตอนนี้เรามีลูก 4 ขวบแล้วจะเห็นว่า 1 ขวบแบบหนึ่ง 2 ขวบแบบหนึ่ง 3 ขวบแบบหนึ่ง 4 ขวบแบบหนึ่งอัพเลเวลความยากขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นความรู้พื้นฐานเลย

1.พ่อแม่ต้องรู้ก่อนว่าโดยธรรมชาติของเด็กนั้นเป็นอย่างไร

ถ้าเราไม่รู้เหมือนเราปลูกต้นไม้ถ้าเราไม่รู้ว่าต้นไม้ต้นนี้ชอบน้ำ ต้นไม้ต้นนี้ต้องให้ปุ๋ยอย่างไร ต้นไม้นี้จะไม่เติบโต เพราะฉะนั้นเราต้องรู้ว่าธรรมชาติของเด็กคือมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเคลื่อนที่จิตใจ นิสัย และร่างกายอยู่ตลอดเวลา

เพราะฉะนั้น 1 ขวบไป 2 ขวบ มีการเปลี่ยนตลอด ต้องยอมรับข้อนี้ถ้าลูกเปลี่ยนวิธีการก็ต้องเปลี่ยน ถ้าวิธีการยังเหมือนเดิมยัน 15 ไม่เวิร์คแล้ว เหมือนอากาศเปลี่ยน ร้อน หนาว เย็น ต้องหาเครื่องมือที่จะมารับสิ่งนี้ให้ได้

2.ความต้องการของลูกสิ่งนี้ไม่เคยเปลี่ยน

ความต้องการของลูกที่ไม่เคยเปลี่ยนคือเขาต้องการความรักต้องการความอบอุ่น ต้องการการยอมรับจากเราซึ่งไม่เคยเปลี่ยน 15 ปีก็ไม่เคยเปลี่ยน ยกเว้นเราทำให้รู้สึกว่าเขาถูกเราปฏิเสธ เขาจะเปลี่ยนเลย เขาจะหันมาปฏิเสธเราเพราะเขาเจ็บปวด

สมมติเราสนใจเขาไม่มากพอ หรือเลือกที่จะสนใจอย่างอื่นเขาจะจำเอาไว้พอถึงช่วงเวลาหนึ่งที่เขามีทางออก เช่น เมื่อเราเริ่มให้จอ ให้มือถือเขา เขาจะเลือกปฏิเสธเราทันทีแล้วเขาก็จะไปยึดติดกับสิ่งนั้น เราเด็กสมัยนี้ก็เรียกมันว่าเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจแทนที่จะเป็นพ่อแม่ เพราะปล่อยให้เขาอยู่กับอะไรเขาก็จะเป็นอย่างนั้น

เพราะฉะนั้นข้อที่ 2 ลูกไม่เคยเปลี่ยนความต้องการเลยไม่ว่าจะ 1 ขวบ จนถึง 15 ขวบ สิ่งที่เขาต้องการคือความรักความสนใจการยอมรับจากเรา ถ้าเราสังเกตจะเห็นว่าเขายอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้คำชม ให้เรารู้สึกพอใจ หมุนวนรอบเราตรงนี้คือโอกาสในการที่เราจะสอนจะพัฒนาเขา

แต่เรามักจะไม่ใช้โอกาสคือคนส่วนใหญ่จะชอบใช่ชีวิตให้จบไปวัน 1 วันจบก็แฮปปี้แล้วเราขาดการวางแผนในอนาคต ถ้าเรารู้ว่าเขาต้องการความรักความสนใจเพราะฉะนั้นเราใช้จุดนี้พัฒนาเขาได้เราคือศูนย์กลางของความรู้สึกของเขา เราสามารถให้คุณให้โทษกับความรู้สึกเขาได้เราไปสร้างสิ่งที่ดีในตัวเขาด้วยข้อ Condition อันนี้เราก็จะสามารถทำให้เขาจากปิศาจร้ายมาเป็นนางฟ้า

เป็นโอกาสที่ดีเราเป็นเหมือน Reward ของเขา จริงๆ ลูกเขารักเรามากนะ รักพ่อแม่มากที่สุดหัวใจ กลับมามองตัวเอง จริงๆ เราบอกว่าเรารักลูกสุดหัวใจแต่พองานมาเราก็เอางานก่อน ธุระมาเอาธุระก่อน มันสุดหัวใจตรงไหน มันไม่สุดหัวใจขนาดเขาในขณะที่เขารู้สึกว่าเราสุดหัวใจมาก เพราะฉะนั้นเรามี Condition เยอะแยะเลยรอบตัวเรา เราทำแบบที่เขารักเราแบบนั้นไม่ได้ ในเมื่อเขามองแต่เราเหมือนสายตาเขาหัวใจเขามันปักอยู่ที่เรา เราก็ใช้มันให้เป็นประโยชน์

3.พ่อแม่ต้องรู้พัฒนาการ

ที่บอกว่าเด็กเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเราต้องรู้การเปลี่ยนแปลงอันนั้นเพื่อทำความเข้าใจและใช้มันให้ถูก ในช่วงเวลาขวบปีแรกคุณพ่อคุณแม่ต้องรู้อะไรบ้างในเชิงจิตวิทยา ใครที่กำลังจะมี ใครที่กำลังจะตั้งท้อง หรือใครกำลังมีลูก 6 เดือน มีประโยชน์มาก

ขวบปีแรก ตอบสนองทันที

ขวบปีแรกสิ่งที่เด็กต้องการคือการตอบสนองในเรื่องของกินอยู่หลับนอนให้ดี ดีหมายความว่าต้องการแล้วต้องได้และต้องได้เดี่ยวนั้นทันทีอย่ารออย่าปล่อยให้ร้อง คุณปล่อยให้เขารอปล่อยให้เขาร้องเขาจะยิ่งไม่มั่นใจในตัวคุณ

เขาจะรู้สึกว่าเราพึ่งพาได้เหรอเราร้องตั้งนานเขายังไม่ถึงตัวเราเลย ไม่มั่นคงปลอดภัย 1 ขวบปีแรกตอบสนองให้ดีร้องปุ๊บพยายามทำความเข้าใจอย่างน้อยตัวเราไปถึงเขาก่อนพูดคุยกับเขาสัมผัสเขาให้เขารู้สึกมาแล้วนะลูก แต่แม่ก็พยายามคาดเดาแม่ก็ไม่รู้แต่ความพยายามอันนี้ลูกจะรู้

เพราะฉะนั้นอย่าพึ่งตกใจ บางคนพึ่งท้องแรกก็ไม่เข้าใจว่าร้องต้องการอะไรก็เดาไปเรื่อยแต่จริงๆ เสียงของเด็กก็มีเลเวลของเขาอยู่เราเลี้ยงกันมาเราจะรู้ว่านี่คือเปียก นี่คือหิว นี่คือหนาว อันนี้อยากให้กอดอยากให้อุ้มช่วงขวบปีแรกคือช่วงสปอยทำเลยโอบอุ้มอยากจะสปอยอยากจะเป็นทาสทำเลยทำเต็มที่

2-3ขวบ ให้ลูกเรียนรู้การปรับตัว

ทีนี้หลังจากขวบปีแรกแบ่งเป็น 2 ขวบไปถึง 3 ขวบ ช่วงนี้เด็กจะใช้ตัวเองเป็นศูนย์กลาง แต่การเป็นศูนย์กลางอันนี้ไม่ใช่เรื่องที่เขาพยายามเป็นแต่มันเป็นโดยธรรมชาติ ธรรมชาติบอกว่าเขาต้องเสพทุกอย่างเพื่อเขาจะได้เติบโตและอยู่รอด ถ้าลูกเอาแต่ใจอย่าไปรู้สึกว่าทำไมลูกเอาแต่ใจ

ทำไม tantrum ทำไมไม่มีเหตุผล มันไม่มีคือมันไม่มีอย่าพยายามไปสร้างเหตุผลตอนนี้เพราะตอนนี้จะเป็นช่วงที่จะเสพทุกอย่างเข้ามาให้ฉันมั่นใจว่าฉันจะรอด ในขวบปีนี้ 2 ขวบไปจนถึง 3 ขวบ

การร้องตอนนี้เป็นการพยายามจัดการเราแล้วเกิดการควบคุมเรา ตอนนี้ปล่อยให้ร้องได้เราต้องปล่อยให้เขาปรับตัว เวลาที่เขาร้องในช่วงนี้ถ้าเราตอบสนองทันทีเขาจะเรียนรู้ว่าเขาร้ายกับเราได้ เอาแต่ใจได้ใช้อารมณ์ได้เพราะฉะนั้นสิ่งนี้ก็จะอยู่ต่อ แต่ถ้าเรารู้สึกว่าจริงๆ เราทำมาดีแล้วใน 1 ขวบปีแรกช่วง 2 ขวบ 3 ขวบ ตอนนี้เราต้องให้เขาปรับตัวเข้ามาสู่การพูดการสื่อสารการรอคอยการบอกความต้องการเพราะฉะนั้นต้องปล่อยให้ร้องนี่คือเทคนิค

พ่อแม่บางคนทำสลับหมดเลยตอนเล็กๆ ปล่อยให้ร้องพอตอนนี้ประคบประหงมเอาใจ แล้วก็ต้องปล่อยให้เขาเรียนรู้บางครั้ง 2-3 ขวบ เรารู้สึกว่าเดินก็ยังไม่แข็งแรง วิ่งก็ยังไม่ดีเราไม่ค่อยจะปล่อยแต่อยากให้ปล่อย

ธรรมชาติสร้างกล้ามเนื้อมัดใหญ่มาเพื่อเคลื่อนที่เข้าไปหาสิ่งที่เรียนรู้ สร้างนิ้วมาเพื่อไปหยิบสิ่งของต่างๆ เข้ามาหาเราเพื่อเราจะต้องเรียนรู้มัน เพราะฉะนั้นต้องปล่อยให้ลูกได้ใช้ฟังก์ชั่นนี้ ปล่อยให้ลูกปรับตัว ปล่อยให้ลูกเรียนรู้ ปล่อยให้ลูกรอคอยทำให้ลูกเข้าใจอารมณ์ของตัวเองมากขึ้น

โดยการที่เขาอารมณ์ไม่ดีร้องให้ก็อยู่กับเขาตรงนั้นเป็นแบบอย่างให้เห็นว่าร้องก็ไม่ได้ช่วยอะไร ร้องพ่อแม่ก็จะรออย่างสงบ วิธีการคือรออย่างสงบไม่ต้องตอบสนองอะไรทั้งสิ้นจนเขาหยุดเราก็จะออกประโยคคำสั่งสักประโยคหนึ่ง เช่น ขอมือหน่อย Hi5 หน่อย แล้วก็ชมเขาก็จะเรียนรู้ว่าถ้าเขาทำตามคำสั่งพ่อแม่เขาจะได้รับการยอมรับนี่คือความต้องการของเขาเลย

5-7ขวบ พูดคุยด้วยเหตุผล

ทีนี้หลังจาก 3 ขวบไปจนถึง 5 ขวบ 7 ขวบ ช่วงนี้เริ่มเติบโตขึ้นสื่อสารได้เป็นประโยค มีเหตุผล เริ่มใช้ตัวเองเป็นศูนย์กลางน้อยลงแต่สิ่งที่ต้องการคือความรักความอบอุ่นจากพ่อแม่เหมือนเดิม ปัญหาคือ พ่อแม่ชอบคาดหวังกับเขาเพราะรู้สึกว่าโตแล้ว ลูกพูดมาเยอะตอบมาเยอะประเด็นคือเราพูดเยอะสอนเยอะผิดเวลา เราไปพูดเยอะสอนเยอะตั้งแต่ขวบปีแรก 2 ขวบ 3 ขวบ ไม่พูดในขณะที่เขายังฟังไม่เป็นประโยค 2 ขวบ 3 ขวบ ฟังได้เป็นประโยคสั้นๆ 3 ขวบ เริ่มเข้าใจเหตุผลนิดหน่อย

จะเข้าใจเหตุผลจริงๆ ประมาณ 5 ขวบ 4 ขวบ ยังเป็นเหตุผลของตัวเองอยู่เลย เพราะฉะนั้นการพูดด้วยเหตุผลกับเขาเราต้องรู้ด้วยว่าข้อจำกัดของเขาคืออะไรแต่เราพยายามใช้แต่เราอย่าไปถามหาเหตุผลจากเขา เราทำให้เขาเห็นทำให้เขาเรียนแบบเพื่อให้เขาชินกับการใช้เหตุผล แต่อย่าไปคาดคั้น ไหนบอกเหตุผลแม่มาสิ เขายังไม่เข้าใจ

เรียนรู้เรื่องอารมณ์

เพราะฉะนั้นในช่วงนี้สอนด้วยเหตุผลได้ แล้วก็เรียนรู้เรื่องอารมณ์มากขึ้น เช่น การรู้จักอารมณ์ของเขาว่าตอนนี้เขากำลังรู้สึกอะไรอยู่ บางครั้งเขาร้องไห้เราก็ต้องบอกเขาว่าหนูร้องไห้เพราะอะไร เพราะหนูเสียใจ รู้สึกน้อยใจ มันมีความละเอียดของอารมณ์อีก

ถ้าสมมติว่าเรารู้เราก็บอกเขาไปว่าหนูน้อยใจ หนูเสียใจ หนูรู้สึกอย่างไรเราบอกเขา หรือเราจะให้ช้อยส์เขาเลือกก็ได้เราต้องรู้ก่อนว่า

1.อารมณ์นั้นคืออะไร 2. อะไรทำให้เกิดอารมณ์นั้น เช่น หนูน้อยใจคุณพ่อไม่เล่นด้วย หลังจากนั้นเมื่อเกิดอารมณ์นั้นแล้วหนูจะควบคุมอารมณ์นั้นไว้กับตัว ควบคุมอารมณ์นั้นได้อย่างไรเป็นสิ่งที่ต้องสอน เพราะเอาจริงๆ ผู้ใหญ่บางครั้งก็ไม่มีเวลาเราขับรถใครปาดหน้าเราก็โกรธแล้วเราก็ไม่ทันว่าเราโกรธขับรถจี้เลย บีบแตรเลย

เพราะฉะนั้นเราอย่าไปคาดหวังกับลูกว่าเราอยากให้ลูกโตแบบเรา มันไม่ได้เพราะเราเอาตัวเราไปเทียบเราลืมไปว่าถ้าจริงเรา 4 ขวบไปเทียบกับเขาเราก็ห่างไกลกับเขา เขาเก่งกว่าเราเยอะ ชิพสมองก็ดีกว่าเราทุกอย่างสังคมพร้อมกว่าเราเยอะ

สอนให้จัดการอารมณ์

เราก็บอกเขาเลยโกรธ น้อยใจ พ่อไม่เล่นด้วยก็เลยน้อยใจมาค่ะเรามาจัดการอยู่กับมันกัน เราก็นับ 1-10 ลูกรู้สึกอย่างไรบ้างดีขึ้นหรือยัง ถ้ายังไม่ได้แม่นับต่อนะ คือไม่ต้องไปสนใจไม่ต้องไปหมกมุ่นไปกับอารมณ์ เปลี่ยนโฟกัสตั้งสติ

เหมือนเอาอารมณ์มาวางบนมือ ทุกข์ ไม่มีความสุข อยู่กับมันซิแล้วพออยู่กับมัน ทุกข์ ไม่มีความสุข วางไหม วาง หยุดไหม หยุด ถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็จะพาไปถึงการจัดการกับอารมณ์แต่สำหรับเด็กก็คงจัดการกับอารมณ์ยากเพราะผู้ใหญ่เองบางคนก็จัดการยากมาก

ถ้าเป็นเด็กแล้วเราอยากให้เขาจัดการ จัดการได้ระดับหนึ่ง เช่น หนูน้อยใจที่คุณพ่อไม่เล่นด้วย หนูรู้สึกแย่หนูอยู่กับมันพออารมณ์แล้ว ทำอย่างไรคุณพ่อจะเล่นด้วยนี่คือการแก้ปัญหา ไปที่ปัญหานั้นแล้วจัดการที่ปัญหานั้นแล้วให้เขาบอกว่าเขาจะทำอะไรได้บ้างก็แชร์กับลูก เช่น ถ้าเป็นแม่แม่จะ…. แล้วก็เลือกเวลาส่งให้ลูกเลือกถ้าลูกเลือกไปทางสิ่งที่เราไม่อยากได้เราก็ต้องมีวิธีการ

คุณพ่อคุณแม่หลายท่านไปไม่ถูกเลือกสิ่งที่ไม่ดีเลย สมมติเพื่อนตี ตีเพื่อนกลับ ถ้าแบบนี้ให้สอนต่อว่าผลที่ได้คืออะไรบ้าง ผลดี ผลเสีย และถ้าทำวิธีที่คุณแม่แนะนำผลที่ได้คืออะไร ผลเสียคืออะไร

เพราะฉะนั้นทำอะไรดี ถ้าสมมติเขาบอกว่าไม่เขาจะเลือกวิธีที่หนูทำ หนูพูด หนูคิด ก็ปล่อยแล้วหนูรับมือกับมันได้นะ ถ้าเพื่อนโกรธหนูไม่คบกับหนู ถ้าเพื่อนเกลียดหนูกลับหนูทนได้นะ คุณครูดุหนูๆ โอเคนะหนูต้องรับผิดชอบกับมันนะ นี่คือการสอนถ้าสอนอย่างนี้ได้ก็ปล่อยบินเลย กลับมากระเซอะกระเซิงเพื่อนจิกตบกลับมาก็ค่อยมาบอกที่เราคุยกัน กับนี่ไงที่แม่บอกแล้ว ไม่เหมือนกันนะ นี่ไงแม่บอกแล้ว คือการซ้ำเติม ที่เราคุยกันคือสิ่งที่เราได้ Discuss กันแล้ว ได้คุยกันแล้วเรารู้แล้ว นี่คือการจัดการในอายุ 3-7 ขวบ

คาดหวังตามวัย

ความคาดหวังจะสูงมากในช่วงอายุนี้ ตัวเขายืดขึ้นเขาไม่ใช่เด็กเบบี๋เดินกระเซาะกระแซะแล้วเราจะคาดหวังเขาในช่วงนี้สูง เราอยากให้เขารับผิดชอบตัวเอง เราอยากให้เขาทำสิ่งที่ดี เราอยากให้เขาเรียนดีๆ เราอยากให้เขาตั้งใจ แต่เราไม่เคยสอน How To เวลาเราสอนลูกเราเอาความหวังไปไว้กับอะไรไม่รู้ที่เขาไม่มี Way

เราต้องให้ Way กับลูก เราอยากให้เขารับผิดชอบอะไรที่เป็นไปได้บ้างไม่ใช่เกินตัวเขา อาจจะเริ่มง่ายๆ ก่อนในตัวเองที่ต้องรับผิดชอบแล้วพ่อแม่หลายๆ คนชอบให้รางวัลลูก เวลาที่ลูกต้องรับผิดชอบตัวเองนี่ก็ตลกอีกเหมือนจ้างให้คนหายใจ อะไรที่เป็นพื้นฐานชีวิตคุณต้องทำคือต้องทำ

พ่อแม่ก็ไม่เคยจ้างเราให้มีชีวิตอยู่เพราะจ้างอย่างนั้นก็กลายเป็นว่าคุณทำให้เด็กไม่มี Passion ในการมีชีวิตอยู่ แต่มี Passion ในการหาเงิน วันๆ หนึ่งคุณแม่อาบน้ำแล้วขอเงินหน่อย มี Passion ในการหาเงินไม่ได้มี Passion ในการมีชีวิตอยู่ แล้วต่อไปใครจะจ้างเขาให้อาบน้ำกินข้าว ซักผ้า ที่จะต้องดูแลตัวเอง

ฉะนั้นอย่าจ้างลูกให้มีชีวิตอยู่แต่จงสอนลูกว่าการมีชีวิตอยู่ต้องมีเครื่องมืออะไรบ้าง อย่างน้อยเขาต้องช่วยตัวเองได้ การที่จะสอนลูกให้มีความรับผิดชอบเริ่มจากรับผิดชอบตัวเอง สิ่งง่ายๆ ที่ตัวเองต้องทำ อาบน้ำกินข้าว แปรงฟัน

ส่วนการรับผิดในเรื่องการเก็บที่นอน เสื้อผ้าก็ทำตามลำดับค่อยๆ สอนไป เริ่มจากเก็บเสื้อผ้าใส่ตะกร้าก่อน เมื่อได้สมบูรณ์แล้วก็ย้ายจากตะกร้าไปสอนซักผ้าด้วยเครื่องซักผ้า ซักผ้าเสร็จเอาผ้าออกมาต้องทำอะไรต่อสอนได้เลย เด็กบางคนชอบด้วย จริงๆ เด็ก 3 ขวบ ชอบมากพอ 4 ขวบจะขี้เกียจสุดเมื่อทำได้แล้วก็จะเลิก แต่ก็ต้องสร้างแรงจูงใจให้อยู่ต่อได้ไม่ต้องจ้าง

สร้างแรงจูงใจ

แรงจูงใจที่ดีที่สุดก็คือข้อที่ 2 พูดไปตั้งแต่ต้น คือ การถูกรัก ถูกยอมรับจากพ่อแม่ ถูกสนใจจากพ่อแม่ ถ้าเขาทำแล้วเราเฉยๆ เหมือนเขาไม่ได้รางวัล ถ้าเขาทำแล้วเราชมเขาจะรู้สึกชื่นใจมีกำลังใจที่จะทำมันให้ดีขึ้นเรื่อยๆ

อย่าคิดว่าเป็นกิจวัตรของเขา มันง่ายมากแค่ชมแค่กอดเวลาลูกทำสิ่งดีๆ เพื่อให้เขามีกำลังใจจะทำสิ่งนั้นได้ต่อ เพราะฉะนั้นจากรับผิดชอบตัวเองจาก 3-7 ขวบ เริ่มโตแล้วต้องรับผิดชอบคนอื่นด้วย

งานบ้านต้องมี 4 ขวบ อาจจะเอาเสื้อผ้าของคุณพ่อมาไว้ที่เครื่องซักผ้า เอาน้ำมาให้คุณพ่อคุณแม่เวลากลับจากที่ทำงาน ต้องสอนนะบางบ้านบอกว่าสิ่งนี้ไม่ต้องมันจะเกิดขึ้นเอง มันจะเกิดได้อย่างไรเมื่อไม่เคยเห็น มันจะเกิดได้ถ้าเคยเห็น เช่น เวลาพ่อกลับบ้านแม่เอาน้ำให้พ่อกิน เพราะฉะนั้นเราจะสอน เราจะทำให้ลูกดู ทำให้ลูกเห็นทำเป็นตัวอย่างให้ดู พ่อกลับบ้านเอารองเท้าไปเก็บใส่ตู้ให้พ่อ

ปลูกฝังคุณธรรมเบื้องต้น

การมีน้ำใจแบบนี้เป็นการปลูกฝังความรับผิดชอบ ความเอื้อเฟื้อ เขาเรียกว่าต่อยอดสายสัมพันธ์ คนที่บอกอยากให้ลูกกตัญญู คุณไม่เคยทำให้ลูกรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบคนในบ้านความกตัญญูไม่เกิด

คุณทำให้เขารู้สึกว่าคุณเป็นสิ่งที่ต้องเลี้ยงเขาไปจนโตแล้วเขาจะกตัญญูกับอะไร เขาไม่รู้สึกเป็นบุญคุณด้วย เขาจะรู้สึกว่าก็อยากมีก็รับผิดชอบไปสิ เพราะฉะนั้นต้องปรับวิธีการแต่ไม่ใช่การทวงบุญคุณกับลูก แต่ถ้าราสอนลูกเหมือนพวกเรา เราต้องดูแลพ่อแม่ด้วยสิ่งที่พ่อแม่ทำให้เราต้องดูแล เราต้องแคร์พ่อแม่ด้วยสิ่งที่พ่อแม่ทำให้เห็นว่าเขาเหนื่อยเราอยากถูกยอมรับเหมือนกันแต่เราเลือกทำอีกแบบหนึ่งเราเลือกทำตัวเองให้ดีเรียนหนังสือให้ได้ประสบความสำเร็จเพื่อให้เขาชื่นใจ

หาจุดโฟกัสที่ดีให้ลูก

แต่เด็กสมัยนี้คุณต้องยอมรับว่าจุดที่จะเบี่ยงเบนความสนใจของลูกมีเยอะโดยเฉพาะโซเชียลมีเดีย แทนที่ลูกจะโฟกัส พวกเราโฟกัสง่ายตอนสมัยเราเด็กๆ เราไม่ค่อยมีอะไรให้ทำมากเราก็เรียนหนังสือกลับบ้านเพื่อนก็อยู่ที่โรงเรียน หรือเพื่อนข้างบ้าน แต่เด็กสมัยนี้อยู่มือถือแผ่นเดียวมีทุกอย่างจะไปอเมริกา อิตาลี สวิสเซอร์แลนด์ หรือจะเล่นเกม เขาไม่เคยโฟกัสคือโฟกัสเขาเสีย

เรากำลังยื่นสิ่งที่ทำให้เขาหลุดโฟกัสไปได้ง่าย เพราะจริงๆ มนุษย์สามารถโฟกัสสิ่งสำคัญได้ครั้งละ 1 โฟกัสเท่านั้น เช่น ถ้าเรามีกล้องอยู่สัก 2 ตัว เรามองกล้อง 2 ตัวพร้อมกันไม่ได้ เราจำเป็นจะต้องมองกล้อง 1 ตัว ในเมื่อลูกสามารถหลุดโฟกัสได้ง่ายด้วยเทคโนโลยีต่างๆ คุณพ่อคุณแม่เองก็ต้องเป็นผู้ช่วยที่จะลดโฟกัสที่มากมายให้เขามีโฟกัสแค่โฟกัสเดียวก่อน

ล่าสุดมีเด็กเข้ามาแล้วเขาเล่นเกม เล่นมาแค่ 3 เดือน คุณพ่อคุณแม่ให้เล่นวันละ 1 ชั่วโมง แต่ผลกระทบคือเด็กเริ่มไม่สนใจการเรียนเลยไม่โฟกัสการเรียน ข้อสอบมาครูกำลังให้ทำข้อสอบยังไม่โพสต์ขึ้นมาเขาทำครบ 10 ข้อไปแล้วตอบคำถามตั้งแต่ยังไม่มีคำถาม

เขาทำทุกอย่างให้มันผ่านพ้นชีวิตเขาไปเพื่อให้เขามี 1 ชั่วโมงที่เขามีความสุขและรอคอยนั่นคือการเล่นเกม นั่นคือเขาไม่มีโฟกัสอยู่กับชีวิต 23 ชั่วโมง เขาไปโฟกัส 1 ชั่วโมงนั้น เขาก็หลุดโฟกัสจากสิ่งที่เขาต้องทำ

เด็กน่ารักมากเขาเดินเข้ามาในห้อง คือคุณพ่อคุณแม่คงคุยกับเขาว่าให้คุยกับคุณหมอสิว่าคุณหมอว่าอย่างไรเรื่องเล่นเกม เขาเข้ามาเขาก็ถามว่าหนูจะสามารถเล่นเกมได้วันละกี่ชั่วโมงคะ เราเลยถามเขากลับไปว่าทำไมหนูต้องเรียนหนังสือคะ เขาก็บอกหนูจะได้มีงานดีๆ ทำแล้วหนูก็จะได้มีชีวิตที่ดีๆ

เลยบอกว่าหนูก็ไปเล่นเกมตอนนั้นไง จะเล่น 24 ชั่วโมงก็ได้ เขาก็บอกว่าถ้าหนูทำงานแล้วหนูก็ไม่ควรเล่นเกมไงคะ หนูก็ต้องทำงานสิคะ เลยบอกว่า ใช่ค่ะ ตอนนี้หนูเป็นนักเรียนหนูก็ต้องเรียนสิคะ ไม่ใช่เล่นเกมเพราะฉะนั้นเล่นเกมไม่ได้เลยค่ะ

เคสนี้เราทำ IQ Test เราเจอว่า 1. สมาธิไม่ดี เหมอลอยง่าย 30 นาที ไม่มี Consent แล้วก็ทำอะไรชุ่ยๆ อยากเสร็จเร็วๆ อยากให้มันผ่านๆ ไป จริงเป็นคนฉลาดเป็นคนที่เก่งมาก่อน เป็นคนตั้งใจเรียน พูดเก่ง แต่ตอนนี้ลักษณะลอย ทำไมต้องถามหนูละคะ ไม่รู้หรอคะถึงมาถามหนู หนูก็ไม่รู้เหมือนกัน ให้มันผ่านๆ ไปทำอะไรให้มันพ้นไปเพื่อจะมี 1 ชั่วโมงดีๆ เท่านั้นเอง ฉะนั้นเวลานี้คุณพ่อต้องรู้แล้วว่าเรากำลังอยู่กับอะไร

เด็กในช่วงนี้ต้องการการควบคุมเยอะ เพราะเขายังขาดการยับยั้งชั่งใจคอนโทรลตัวเองได้ไม่ดี เราอาจจะยังต้องพูดเรื่องเดิม สอนเรื่องเดิมแต่ไม่ได้บ่น การบ่น การสอน ไม่เหมือนกันถ้าตามหลักจิตวิทยาเราอยากให้สอนด้วยการใช้เหตุผล

เวลาเราใช้เหตุผลแล้วใครที่ไม่ฟัง คนที่ไม่ฟังเขาจะรู้ตัวเองว่าเป็นคนไม่มีเหตุผล แต่เวลาที่เราบ่นแล้วใครไม่ฟังไม่เหมือนกันเวลาที่เราพูดบ่นๆ ไปเรื่อยๆ ไม่มีเหตุผลเลย เขาจะรู้สึกว่าเราผิดเพราะเราไม่มีเหตุผลมันต่างกัน

ช่วงที่ต้องควบคุมดูแลใกล้ชิด คุณพ่อคุณแม่หลายๆ ท่านบอกว่าไว้ใจให้เลยมือถือ รู้อีกทีลูกมีแฟน 7 คน เครียดเลย เกิดเหตุนี้ อย่าคิดว่ามันไม่เกิด อย่าคิดว่าไม่เป็นไร ลูกเราไม่เป็นแบบนั้นหรอก แต่ทุกอย่างเข้ามาเร็ว บอกแล้วว่ามันกว้างและเร็วและ Impact มาก และสิ่งที่เรารู้สึกกังวลก็คือเมื่อมือถือมันเข้ามาเร็วใน

ช่วงนี้ 3-7 ขวบ เป็นช่วงที่ยังไม่มีเหตุผลแล้วก็ยังเป็นช่วงที่ยังไม่แข็งแรงเป็นช่วงที่รับกับ Negative Emotional ยาก โพสต์ไปไม่มีใครกดไลค์รู้สึกแย่ โพสต์ไปมีคอมเม้นท์ไม่ดีแคร์ สิ่งที่จะตามมาคือปัญหาเรื่องของอารมณ์ รู้สึกเศร้าทำไมเราไม่ถูกยอมรับ ทำไมเขาไม่ชอบเรา ซึ่งเราเป็นผู้ใหญ่เรารู้ว่าเขาไม่ยอมรับเราก็ไม่แปลก เขาไม่ชอบเราก็ไม่แปลก แต่เด็กไม่ได้เพราะความรู้สึกเขาคือต้องการการยอมรับอย่างมาก ปกป้องลูกให้ผ่านพ้นช่วงนี้ไปได้

สร้าง Self สร้างเกราะป้องกัน

ถ้าเราพูดถึง Self Esteem ก็จะต่างกับ Self Confident ไม่เหมือนกันเลย Self Confident เป็นแค่จุดเล็กๆ ของ Self Esteem เพราะ Self Esteem มันหมายความว่าเขามีความเข็มแข็งทางจิตใจ รักตัวเองเป็น รู้จักตัวเองทั้งข้อดีข้อเสียรับกับข้อเสียของตัวเองได้แล้วรู้จักขายข้อดีของตัวเอง

ถึงฉันจะเตี้ยแต่ฉันก็ฉลาด รู้จักที่จะ Defend ให้ตัวเอง เวลาใครว่าอะไรรับมือกับสิ่งที่ว่าได้คอมเม้นท์ได้ แล้วรู้จักรักษาขอบเขตของตัวเองไม่ไปล้ำเส้นคนอื่น และไม่ปล่อยให้คนอื่นมาล้ำเส้นตัวเองปกป้องตัวเองได้ ซึ่งสิ่งนี้ผู้ใหญ่บางคนก็ไม่ดี ถ้าพูดถึง Self Esteem ก็จะยาวมากมีลักษณะของ Self เล็ก คือ ใครว่าอะไรก็รู้สึก Sensitive ไม่มั่นใจรู้สึกว่าเราไม่มีคุณค่า เรามันบังเอิญ ที่อยู่ได้ ประสบความสำเร็จทุกวันนี้เพราะบังเอิญ

ส่วนคน Self บวม คือ Over มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นแต่รู้สึกอย่างนั้น เช่น ฉันสวย ฉันเก่ง แต่จริงๆ ไมได้เก่งขนาดนั้นแต่รู้สึก Proud to Present / Proud to be แล้วทำให้ตัวเองลืมไปว่าจริงลึกๆ เรา Self เล็กกว่าคน Self เล็กอีก เพราะฉะนั้น Self ที่ดีคือ Self ที่พอดีตัวรู้จุดอ่อน จุดแข็ง จุดไม่ดี ยอมรับจุดไม่ดีได้ ไม่ใช่ไม่เห็นจุดไม่ดีของตัวเอง คน Self บวม

คือคนที่ไม่เห็นจุดไม่ดีของตัวเองแล้วพยายามหลอกตัวเองว่าฉันดีพอ ส่องกระจกแล้วบอกว่าฉันดี ฉันเก่ง ฉันสวย ฉันทำได้ ความจริงมันไม่เป็นอย่างนั้น ความจริงเป็นเรื่องที่เรารับไม่ได้

ฉะนั้นพ่อแม่ต้องมีสิ่งนี้ก่อน ถึงจะพัฒนา Self Esteem ให้ลูกได้ ต้องเช็กตัวเองก่อนเราเซไหม เราโดนคอมเม้นท์ เราเซไหมเราไม่มีใครกดไลค์ เราเซไหมเวลาใครบอกว่าเราเป็นแบบนู้น แบบนี้ ทั้งที่เราเป็นหรือไม่เป็น

ถ้าคุณไม่เซแล้วเคารพตัวเองเป็น รักตัวเองเป็น รักคนอื่นได้แบบที่ดี ไม่ไปหมุนวนรอบคนอื่น ไม่แคร์การตอบสนองคนอื่น แปลว่าคุณแข็งแรงมากพอที่จะสอนลูก ช่วงนี้ก็เป็นช่วงดีที่จะสอน ตั้งแต่ 3 ขวบขึ้นไปเขาเริ่มมีภาษาที่ดีขึ้นและบางครั้งเองเราก็เป็นตัวถ่วง Self Esteem ของลูกด้วยคำติ คำชม คำแซว การหยอก การว่า ก็เหมือนเราบูลลี่ลูกเราทุกวัน พ่อแม่ยังรังแกเขา แล้วเขาจะปกป้องตัวเองได้อย่างไรเพราะเราเป็นพ่อแม่เขาก็ไม่กล้าจะปกป้องตัวเอง นั่นเป็นสิ่งที่พ่อแม่ต้องรู้ด้วยว่าเรามีส่วนสำคัญมากที่จะทำให้ลูกมีความเข้มแข็งในตัวเอง

ความสัมพันธ์ที่ดีพื้นฐานต่อยอดทุกเรื่องดี

ฉะนั้นในช่วงนี้เน้นไปเลยว่าทำอะไรทำได้ทำให้เต็มที่ เป็นช่วงทองของการเรียนรู้ เพราะถ้าเมื่อไหร่ก็ตามไป 8- 10 ปี เข้าสู่กระบวนการวัยรุ่นตอนนั้นถ้าความสัมพันธ์ของคุณไม่ดีคุณอย่าหวังว่าจะจัดการลูกได้ เพราะลูกจะเริ่มรู้แล้วว่าการยอมรับหรือความรักของคุณที่มีให้เขามันโอเคไหม

ถ้าเขารู้สึกว่าคุณไม่ได้รักเขาเลยเขาจะเริ่มปฏิเสธคุณทันทีในวันนี้เขาจะเริ่มมีโลกของตัวเองเพื่อนของตัวเองเริ่มอยู่กับตัวเองแข็งแรงขึ้นที่จะอยู่กับตัวเองเพราะฉะนั้นช่วงวัยต้นที่พูดมาต้องแน่นๆ เลยแล้วสร้างความสัมพันธ์ดีๆ เวลาคนเรามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมันจะง่าย

อย่างเช่นเราสองคนจะพูดอะไรก็ง่ายไปหมดเพราะเรามีความสัมพันธ์ที่ดีรู้จักกันแล้ว แต่คนที่ไม่รู้จักกันคนแปลกหน้าขับรถชนกันยากทุกเรื่องเลย ยากตั้งแต่อารมณ์ ลงมาปุ๊บอารมณ์มาเต็ม แต่ถ้าเราสองคนเห็นหน้ากันแล้วขับรถชนกันเราก็จะทักกันแล้วเราก็จะไม่เป็นไรมันจะเล็กทันที

เพราะฉะนั้นความสัมพันธ์ที่ดีเป็นเครื่องมือในการจัดการปัญหาของคนกับคนไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม ที่ทำงาน ที่บ้าน ในสังคม

เริ่มสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกในช่วงวัยรุ่นเป็นสิ่งสำคัญมากวัยรุ่นเป็นวัยที่ไม่ต้องการการสอนแล้ว เพราะเขารู้สึกว่าเขารู้แล้ว เก่งแล้วโตแล้ว ปีกกล้าขาแข็งแล้วต้องยอมรับมองกลับไปที่ตัวเองเราก็เคยรู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน เราสอนลูกมาเพื่อสิ่งนั้นไม่ใช่หรอ เราเรียนมาเพื่อสิ่งนั้นไม่ใช่หรอ

พอวันหนึ่งเขาปลีกกล้าขาแข็งเราก็ว่าเขา มาย้อนดูจริงๆ เราก็อยากให้เขาขาแข็งไม่ใช่หรอ ต้องเข้าใจแล้วว่าสอนมาเยอะแล้วเป็น 10 ปี ถ้าคนทำงานมา 10 ปีถือว่าเก่งแล้วนะ

เพราะฉะนั้นเปลี่ยนวิธีเราจะไม่คุยแบบเดิมแล้ว เราต้องทำตัวเป็นเพื่อนมากขึ้นใช้เหตุผลเหมือนเดิมรับฟังมากขึ้นรับฟังด้วยใจ ให้รู้ก่อนว่าเขากำลังรู้สึกอะไรมองออกมาจากมุมของลูกมันอาจจะไม่ถูกต้อง เขาไปบูลลี่เพื่อนมันอาจจะไม่ถูกต้องมองในมุมของเขาๆ อาจจะไม่รู้ว่านั่นคือบูลลี่

เขาอาจจะไม่รู้ว่าเพื่อนกำลังเสียใจ เขาอาจจะไม่รู้ว่าสังคมไม่ยอมรับสิ่งนี้ หน้าที่เราทำให้เขาแคร์คนอื่นมากขึ้นคนอื่นได้รับผลกระทบอะไร ซึ่งถ้าเราสอนเขาด้วยเหตุผลมาตั้งแต่ต้น ถึงจุดนี้จะง่ายมาก ฉะนั้นช่วงวัยรุ่นเป็นช่วงที่พ่อแม่บอกว่าเป็นช่วงเลี้ยงยากที่สุดนั่นจริง เพราะพูดกันไม่ได้เลย เริ่มพูดไม่เข้าหู

มีเคสวัยรุ่นที่เข้ามาสู่กระบวนการบำบัดด้วยตัวเอง เขามาเพราะเขาบอกว่าเวลาที่เขาอยู่กับแม่ แม่เป็นคนที่เขารักมากแต่เขารู้สึกหายใจไม่ออกเขาเลยอยากจะมาเปลี่ยนตัวเองมันอึดอัดน้ำตาจะไหลอยู่ตลอดเวลา เพราะเขารู้สึกว่าอยู่ด้วยไม่ได้

จริงถ้าเราย้อนกลับไปดูพ่อแม่เราพ่อแม่เราก็ทำให้รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน เวลาที่เราเหนื่อยเราต้องการคนที่บอกเราว่ามานี่มานั่งลงแล้วก็กอดเรา เราไม่ต้องการถามว่าทำไมกลับมาป่านนี้ ทำไมเพิ่งกลับ เพราะฉะนั้นเราต้องหยุดแล้วพอลูกเริ่มเป็นวัยรุ่น เดี๋ยวนี้เข้าเร็ว 8 ขวบแววมาแล้ว แต่ทำไม 8 ขวบถึงเริ่มเข้าเร็วเพราะช่วงต้นทำไมดี ช่วงต้นไม่ได้ให้เวลาไม่ได้อยู่กับเขาปล่อยเขาอยู่กับโซเชียล มีเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจอันอื่นเพราะเราปฏิเสธเขา เพราะเราอาจจะไม่ได้โฟกัสที่เขามากพอ

ให้ความรักให้เวลา

วิธีการที่จะโฟกัสมากพอทำให้เห็นจริงๆ ว่าอยากเจออยากคุยทุกครั้งที่เขาเดินเข้ามา เช่น เขามาปุ๊บทำงานอยู่กับมือถือเงยหน้าขึ้นพูดไม่ได้ก็ลูบหัว หอม กอด ทำให้เห็นจริงๆ เขาเป็นสุดที่รักของเราเขาก็จะรู้สึกได้ ช่วงวัยรุ่นเขาก็จะเบาลง

ปัญหาวัยรุ่นมีอีกเยอะมาก ช่วงวัยรุ่นเป็นเคสที่ใครๆ ก็ไม่ค่อยอยากทำจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น จิตวิทยาคลินิกเองก็รู้สึกว่าปัญหาถูกสะสมมาเป็น 10 ปี เวลาเราจะมารื้อใช้เวลาเปลี่ยนแปลงแล้ววัยรุ่นมีความคิดเป็นของตัวเอง แต่เป็นความคิดที่เจลลี่กึ่งเด็กกึ่งผู้ใหญ่

ซึ่งเปลี่ยนยากในขณะที่เราเปลี่ยนเด็กเลยตั้งแต่ 0-7 ขวบ เปลี่ยนง่ายมากพร้อมเปลี่ยนทุกอย่างใส่ทรีทเม้นท์เข้าไปดี เปลี่ยนวัยรุ่นวันนี้ได้พรุ่งนี้ไม่ได้มะรืนนี้ได้มันไม่มั่นคงไม่อยู่กับที่เลยไม่ Stable แล้วแต่เขาไปเจออะไรมาบ้างที่สำคัญพอเวลาทำงานกับวัยรุ่นเราจะเจอปัญหาว่าพอทำงานกับวัยรุ่นไม่ใช่วัยรุ่ยที่เป็นปัญหาอย่างเดียวพ่อแม่เองก็เป็นปัญหาด้วย Mindset ของพ่อแม่ก็มีปัญหาด้วย

เปลี่ยน mindset “ปัญหาไม่ใช่ปัญหา”

เพราะฉะนั้นอยากให้คุณพ่อคุณแม่เปิดใจว่าทุกคนถ้ามองว่าคนอื่นเป็นปัญหามันไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงง่ายๆ เลยถ้าเรามองว่าเราอยากแก้ปัญหานี้แล้วเรายอมรับว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาแล้วเปลี่ยนเราก่อนปัญหาทุกอย่างจะเล็กทันที

เพราะฉะนั้นเปลี่ยน Mindset ควรจะเปลี่ยน ถ้ามันมีปัญหาสักอย่าง สมมติคุณปลูกต้นแอปเปิ้ลพอออกลูกมามันกินไม่ได้ คุณต้องยอมรับระบบของคุณมันไม่ดีไม่ใช่ตัวคุณไม่ดี ไม่ใช่ต้นแอปเปิ้ลมันไม่ดีแต่ระบบมันไม่ดี ระบบน้ำ ระบบปุ๋ย ระบบธรรมชาติ ระบบสิ่งแวดล้อม มันไม่ดีถึงได้ออกมาเป็นผลผลิตที่ไม่ดี

เราไม่ต้องบอกว่าฉันไม่ดีไม่ต้องโทษตัวเอง การโทษตัวเองไม่ได้ทำให้คุณหลุดออกจากปัญหาได้ แต่การยอมรับปัญหาว่ามันมีโอกาสที่จะเกิดแล้วเราไม่รู้มันก็เลยเกิด สิ่งที่จะต้องทำเมื่อมีปัญหาคือต้องยอมรับก่อนว่าเกิดปัญหา เราเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาเราปรับเราก่อนเพราะคุณบอกว่าจะเอาลูกวัยรุ่นมาหาคุณหมอมันเป็นเรื่องยากมาก เพราะวัยรุ่นจะรู้สึกว่าหนูมีปัญหาหรอ

พบนักจิตวิทยาไม่ใช่คนป่วย

จริงๆ ต้องเปลี่ยน Mindset ก่อน เพราะเดี๋ยวนี้คนตั้งแต่คลอดก็เอามาเจอนักจิตวิทยาคลินิกเลย เขาอยากรู้ว่าเขาจะต้องเลี้ยงอย่างไร เขาอยากรู้ว่าจะต้องจัดการอย่างไร เขาอยากรู้ว่าทำอย่างไรลูกจะฉลาด

เพราะฉะนั้นเราเปลี่ยน Mindset เราต้องยืนยันก่อนว่าเราต้องการสิ่งนี้เรารู้ตัวเองเราต้องการผู้เชี่ยวชาญช่วยเราตรงนี้ การสร้างดีกว่าการแก้ถ้าราเอาตั้งแต่เล็กๆ ก็ค่อยๆ สร้างเหมือนสร้างตึกเขาบอกเราว่าอันนั้นอย่าทำเพราะอะไร แต่ถ้าอยากลองอยากทำก็ลองทำดู แต่ถ้าทำแล้วผิดจะแก้อย่างไรก็มาคุยกัน แล้วเวลาที่จะพาลูกมามันก็จะมีสายตาคนอื่น บางคนโพสต์ในเฟสบุ๊คว่ามา

รพ.พระรามเก้าอยู่แผนกกระตุ้นพัฒนาการ มากระตุ้นพัฒนาการคนมาคอมเม้นท์เลยไม่เห็นต้องรีบเลย ลูกเธอไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรเลย ไม่ต้องสนใจ เพราะโดยส่วนตัวแล้วไม่เคยรีบแต่เวลาไหนต้องทำคือทำ เวลาไหนยังไม่ทำไปทำมันจะเสียต้องรอทำให้มันพอดี

เราต้องรู้คอมเม้นท์ของเพื่อนเพราะเพื่อนไม่รู้เพื่อนก็เลยกังวลก็อธิบายตัวเองก่อน ถ้าเพื่อนสนิทก็อธิบาย ถ้าเพื่อนไม่สนิทเราก็ต้องมี Self Esteem ที่แข็งแรงพอที่บอกว่าฉันรู้ว่าฉันทำไปเพื่ออะไร ในส่วนของลูกที่โตขึ้นมาหน่อยอยากพาลูกมาหานักจิตวิทยาคลีนิคจะพูดกับลูกว่าอย่างไร

คุณพ่อคุณแม่กังวลมากจะพูดอย่างไร เด็กเดี๋ยวนี้ฉลาดเข้ามาเด็กก็ถามเลย เด็กที่มาเทรนเพื่อต้องการฉลาดขึ้นเพราะต้องการพัฒนาตนเองเขาจะถามเลยว่าอันนี้ทำแล้วได้อะไร อันนี้คุณหมอกำลังทำอะไรอยู่ เขาจะถามกลับไปที่บ้านเขาต้องทำอะไรบ้าง คุณอย่าไปรู้สึกว่าต้องกลัวแน่เลย

เปิดใจครั้งแรกก่อนบอกว่าเราจะมาหาคนที่สามารถทำให้หนูมีความสุขได้ ทำให้หนูเรียนรู้ได้ดีขึ้น ทำให้พ่อแม่เข้าใจหนูมากขึ้น พ่อแม่อยากเข้าใจหนูมากเลยแต่บางครั้งพ่อแม่ก็ไม่เข้าใจ มันจะมีคนที่เข้าใจหนูๆ ลองมาคุยดู

เพราะจริงๆ แล้วตัวเองนั่งอยู่ที่คลินิกเด็กทุกคนที่เข้ามาก็อยากจะกลับมาอีกรอบหนึ่ง เขาจะมา Report เลยว่าพ่อแม่หนูยังไม่เปลี่ยนเลย พ่อยังชอบเล่นมือถืออยู่เลยคะ ส่วนในตัวของวัยรุ่นเองตอนนี้ Process ของเราในการรับมือกับเด็กแก้ปัญหาเด็กเป็นในเชิงรุกกับเชิงรับ

พ่อแม่บางคนอยากให้มีโค้ชชิ่งสำหรับลูก พอเริ่มเขาวัยรุ่นเขาก็มาเลยเขาก็แค่บอกลูกว่าอยากให้มีใครสักคนอยู่กับลูกแล้วไว้ใจได้ที่ไม่ใช่แม่ เพราะบางอย่างลูกก็ไม่อยากคุยกับแม่ แต่คนๆ นี้แม่ไว้ใจเขาได้ เขาสามารถบอกในสิ่งที่ลูกควรต้องทำและสามารถให้เหตุผลกับลูกได้ด้วย หรือในเชิงรับที่มันเกิดปัญหาแล้วให้พ่อแม่บอกลูกว่าปัญหาอยู่ที่พ่อแม่

แม่รู้สึกว่าแม่ไม่เข้าใจหนูแล้วทำให้หนูรู้สึกไม่สบายใจ หนูช่วยมาคุยกับคุณหมอได้ไหมว่าอะไรบ้างที่แม่ทำให้หนูไม่สบายใจแม่อยากเปลี่ยนตัวเองแม่อยากปรับตัวเองให้ดีขึ้น ยอมรับว่าเราเป็นปัญหาลูกจะสบายใจที่จะมาหาผู้ที่จะมาฟ้องว่าถูกทำอะไรมาบ้าง ผู้เชี่ยวชาญช้วยเหลือชี้แนะ

ในฐานะนักจิตวิทยาคลินิกเรามองว่าปัญหาของการเลี้ยงลูกเยอะและละเอียดมาก ให้คุณพ่อคุณแม่ดูแค่ช่วงๆ หนึ่งของลูก ช่วงนี้ควรต้องทำอะไร แล้วก็ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่คุณสะดวกจะได้มีโค้ชที่จะบอกว่าทำได้ ทำไม่ได้เหตุผลอะไร เราเลี้ยงตามกระแสจะทำให้ไปไหนก็ไม่รู้ กระแสมี Base Basic อยู่ไม่กี่ทฤษฎีแต่จะแตกไปตามจุดขาย อย่างเช่น เราพูดกันถึงเรื่อง EQ ก็ออกมา EF AQ เต็มเลยเราหมุนตามกระแสไม่ทัน

เพราะฉะนั้นไปเจอผู้เชี่ยวชาญเขาจะรู้ว่าอะไรที่เป็น Point จริงๆ ที่คุณพ่อคุณแม่ต้องโฟกัส อะไรจริงๆ ที่เราจะต้องรู้ เราจะได้ไม่ต้องตื่นตูมกับความมากมายของข้อมูลเราจะได้ใช้ข้อมูลที่มีเอาพอดีๆ

เพราะตัวเองจะบอกพ่อแม่เสมอเอาเท่านี้ก่อน อย่าเยอะเพราะเยอะคุณก็จำไม่ได้คุณก็ทำไม่ไหว ผิดที่ผิดเวลาผิดเทคนิคไปหมด เพราะฉะนั้นเลี้ยงลูกอย่างไรแบบมีจิตวิทยาก็ต้องเข้าใจความต้องการของลูก ต้องเข้าใจธรรมชาติของลูก เราจะเลี้ยงต้นไม้ต้นนี้ให้ออกดอกออกผลเขามีธรรมชาติของเขาไม่ใช่สุ่มสี่สุ่มห้าเขารดน้ำเรารดบ้าง เขาใส่ปุ๋ยเราใส่บ้าง เราใส่ปุ๋ยต้องมีเทคนิคไม่ใช่ใส่จนท่วมโคนต้นก็ตาย ให้เยอะก็ตายให้น้อยก็ขาดให้พอดีๆ เดินทางสายกลาง

วันนี้คงได้กันแล้วว่าเอาพอดีๆ แล้วก็อย่าแตกตื่นเอาตามจังหวะชีวิตของลูกตั้งสติดีๆ ช่วงนี้อยู่ในช่วง 4-7 ขวบ ต้องเลี้ยงแน่นๆ ด้วยเหตุผลไม่ใช่ด้วยอารมณ์ เป็นตัวอย่างให้ลูก คอยช่วยเหลือเขาต้องเข้มงวดเรื่องของระเบียบวินัยและการช่วยเหลือตัวเองอย่างนี้ก็ทำเลย

ช่วยให้ลูกง่ายขึ้นด้วยการเอาสิ่งล่อลวงของลูกให้ออกไปไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ อันนี้เป็นอุปสรรคของการเจริญเติบโตของลูกมาก พ่อแม่ก็ตลกบางครั้งอยากให้ลูกเป็นตัวของตัวเองมีความคิดพอลูกเถียงก็ว่าลูก อยากให้ลูกมีความคิดของตัวเอง อยากให้ลูกฉลาด อยากให้ลูกเป็นคนเก่ง แต่อย่าเถียงเรา ก็ไม่ได้

ต้องโฟกัสดีๆ เลี้ยงลูกต้องการอะไร ประเด็นของเป้าหมายสำคัญมากถ้าคุณพ่อคุณแม่บอกว่าเลี้ยงเพื่อ 1 2 3 แล้วคุณก็จะรู้ว่าคุณจะไปทางไหน แต่อย่าบอกว่าเลี้ยงให้เขามีความสุขกว้างไป อยากให้ลูกมีความสุขไม่ใช่ทำทุกอย่างให้ลูกมีความสุข การมีความสุขไม่ใช่ใครมาทำแล้วเรามีความสุข แล้วถ้าคนที่ทำให้เรามีความสุขหายไปจากชีวิตเขาจะอยู่ต่ออย่างไร

ตอนี้คุณอยู่คุณทำได้ คุณซื้อรถ ซื้อบ้านให้เขาได้ คุณให้เงินให้อาหารให้สิ่งดีๆ ได้ แล้ววันหนึ่งเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าใครจะมาให้ต่อ อย่างนั้นความสุขก็คงต้องเปลี่ยนละ อยากให้ลูกมีความสุขก็ต้องเพิ่มว่ามีความสุขได้ด้วยตนเองมีจิตใจที่เข้มแข็ง สามารถทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ ยอมรับในจุดบกพร่องของตัวเองได้มี Self Esteem ที่ดีอันนี้เป็นเครื่องมือที่จะทำให้ลูกอยู่รอด

 

 ติดตามฟังได้ที่รายการรักลูก The Expert Talk

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

รักลูก The Expert Talk EP.28: รับมือโรคติดเชื้อเจ้าถิ่นและวิธีการดูแลตัวเองจากโรคอุบัติใหม่

รักลูก The Expert Talk EP.28: รับมือโรคติดเชื้อเจ้าถิ่นและวิธีการดูแลตัวเองจากโรคอุบัติใหม่

โรคเจ้าถิ่นก็ต้องระวังตัว โรคอุบัติใหม่ก็ต้องรับมือ ฟังสาเหตุ อาการ และการดูแลสุขภาพเบื้องต้นเพื่อรับมือกับโรคติดเชื้อที่มักจะเกิดขึ้นกับเจ้าตัวเล็ก โดย พญ. กฤตพร พรไพศาลสกุล แพทย์เฉพาะทางด้านกุมารเวชศาสตร์โรคติดเชื้อ โรงพยาบาลนวเวช

โรคที่ต้องระวังช่วงฤดูหนาว

ในช่วงฤดูหนาวจะมีโรคที่พบได้บ่อยอยู่ 4-5 โรค แบ่งเป็นระบบต่างๆ ระบบทางเดินหายใจ ระบบทางเดินอาหารและอีกอย่างคือไข้ออกผื่น ในระบบทางเดินหายใจก็จะมีทั้งไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ และที่ยังมีอยู่ในทุกวันนี้ก็คือ โควิด ที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยทั้ง 3 โรคนี้เป็นโรคที่ติดต่อกันทางเดินหายใจผ่านสารคัดหลั่งของผู้ป่วย ทั้งน้ำมูก เวลาไอจามใส่กัน

ไข้หวัด

เป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่เป็นกันอยู่บ่อยๆ ที่รู้จักกันดีเป็นการติดเชื้อไวรัส ซึ่งไวรัสไข้หวัดมีหลายชนิดบางคนเป็นแล้วเป็นอีกได้ การติดต่อกันคือติดต่อกันผ่านทางการไอ จามใส่กันหรือสัมผัสสารคัดหลั่งโดยตรงหรือโดยอ้อมสัมผัสสิ่งของที่ปนเปื้อนสารคัดหลั่งของผู้ป่วยก็ทำให้มีอาการได้

ซึ่งในเด็กอาการก็จะเหมือนไข้หวัดที่เรารู้จักทั่วไปที่เวลาคุณหมอถามว่าเป็นอะไร เป็นหวัด คือมีไข้อาจจะไข้สูงหรือไข้ต่ำก็ได้ มีน้ำมูก มีไอ มีเสมหะหรือไอแห้งๆ ก็ได้ บางคนถ้ามีไข้สูงมากก็จะมีอาการปวดศีรษะตามมาได้ ส่วนการรักษาไม่ได้มีการรักษาเฉพาะรักษาตามอาการเพราะว่าเป็นเชื้อไวรัสหายได้เองแต่ต้องใช้เวลา 3-5 วัน อาการมักไม่ได้รุนแรงมากหายได้เอง

ไข้หวัดใหญ่

อาการจะคล้ายไข้หวัดแต่จะรุนแรงกว่า อาจจะมีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัวได้ หรือในบางคนอาจจะมีอาการทางระบบทางเดินอาหารร่วมด้วย เช่น ท้องเสีย อาเจียน ร่วมด้วย ซึ่งการรักษาโดยทั่วไปส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องให้ยารักษาอะไร

แต่ในคนกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นรุนแรงอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้คือเด็กที่มีอายุน้อยกว่า 2 ขวบ ผู้ใหญ่ที่มีอายุมากกว่า 65 ปีหรือหญิงตั้งครรภ์ คนอ้วน คนที่มีโรคเรื้อรัง โรคปอด โรคตับ โรคไต โรคหัวใจ ก็จะถือเป็นกลุ่มเสี่ยงเราก็จะพิจารณาให้ยาต้านไวรัสยาโอเซลทามิเวียร์เพื่อรักษาไข้หวัดใหญ่

โควิด

จริงๆ อาการแยกค่อนข้างยากเพราะอย่างที่บอกว่าเป็นอาการทางเดินระบบทางเดินหายใจเหมือนกันส่วนใหญ่จะมาคล้ายๆ กัน ไข้สูง ไอ มีน้ำมูก มีเจ็บคอ เสียงแหบร่วมด้วยได้ แต่โควิดก็จะมีอาการเฉพาะเพิ่มเติมอย่างเช่น ไม่รู้รส ไม่ได้กลิ่น หรือได้ประวัติเพิ่มเติมว่าไปสัมผัสผู้ที่ติดเชื้อหรือไปพื้นที่ที่มีความเสี่ยง

แล้วก็ทำให้สงสัยว่าเป็นโควิดมากขึ้นอย่างที่บอกว่าแยกโดยอาการค่อนข้างยากจะต้องใช้การตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อช่วยแยกจากโรคไข้หวัดหรือโรคไข้หวัดใหญ่

โรคโควิดในเด็กอาการมักจะไม่ค่อยรุนแรง อาการมีได้ตั้งแต่ไม่มีอาการเลยจนถึงรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ ส่วนใหญ่ถ้าอาการที่จะพัฒนาถ้าจะรุนแรงก็จะสังเกตเห็นได้ภายใน 3-5 วัน ดูจากอาการเขาเป็นหลักส่วนใหญ่จะเป็นเหมือนไข้หวัดมีไอ น้ำมูก หรือเจ็บคอคัดจมูก

หรือบางคนที่บ่งบอกว่ามีอาการปอดติดเชื้อก็อาจจะมีหายใจหอบเหนื่อย ถ้าเด็กที่เคยร่าเริงเล่นดีๆ ก็อาจจะซึมลง ไม่ค่อยเล่น กินได้น้อยลง สังเกตได้จากอาการเขา เด็กบางคนก็จะลงปอดกับไม่ลงปอด ถ้าไม่ลงปอดอาการก็จะอยู่ในช่วง 10-14 วัน ก็จะดีขึ้นใช่ไหม จริงๆ โควิดอาการอาจจะเป็นไม่นานประมาณ 3-5 วัน 10-14 วัน เป็นระยะที่ต้องแยกตัวจากคนอื่น

ผลกระทบกับปอด

จริงปอดอักเสบจากเชื้อโควิดก็เหมือนกับปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสทั่วๆ ไปก็คือต้องใช้เวลา อาการจะดีขึ้นก่อนภาพเอ็กซ์เรย์ปอดส่วนใหญ่อาการจะดีขึ้นภายใน 1-2 อาทิตย์ ส่วนเอ็กซ์เรย์ปอดต้องใช้ระยะเวลาเป็นเดือนกว่าภาพจะดีขึ้น ส่วนใหญ่ไม่ถึงขั้นเป็นโรคไม่ส่งผลตามมาว่าเป็นปอดเรื้อรัง ประมาณ 1-2 อาทิตย์อาการก็จะค่อยๆ ดีขึ้น รอเวลาให้ปอดรักษาตัวให้ตัวโรคดีขึ้นส่วนใหญ่ก็จะหายเป็นปกติไม่ค่อยทิ้งรอยโรคไว้

อาการหลังจากโควิด (Long Covid) เด็กเป็นไหม

ส่วนใหญ่ก่อนหน้านี้ถ้าเป็นเด็กแข็งดีไม่ได้มีโรคประจำตัว ไม่ได้มีโรคปอดเรื้อรังอยู่เดิมส่วนใหญ่ไม่ได้ทิ้งรอยโรคไว้

โรคโรต้าไวรัส

โรคท้องเสียจากโรต้าไวรัส โรคท้องร่วงในเด็กเกิดได้จากเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรียแต่ที่เป็นปัญหาเยอะๆ ในประเทศไทยก็คือจากเชื้อโรต้าไวรัสส่วนใหญ่มักจะรุนแรงโดยเฉพาะในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี ตามชื่อโรคเลยติดจากเชื้อไวรัสโรต้าจะทำให้มีอาการไข้สูง ในเด็กเล็กบางคนอาจจะมีไข้สูงและชักได้ และมีอาเจียนนำมาก่อน มีท้องเสียถ่ายเหลวเป็นน้ำตามมา ถ้าอาการรุนแรงมากๆ ถ่ายเหลวเยอะๆ ก็จะทำให้มีภาวะขาดน้ำถึงขั้นช็อคได้อาจจะต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล

สำหรับการรักษาคือเหมือนกันติดจากเชื้อไวรัสไม่มียารักษาเฉพาะเป็นการรักษาตามอาการดูตามอาการเป็นหลักคือถ้ามีอาการขาดน้ำไม่มากก็อาจจะให้เป็นเกลือแร่แล้วก็กลับไปสังเกตอาการที่บ้าน หรือถ้าถ่ายเหลวเยอะๆ ไข้สูงมากๆ ก็อาจจะรับไว้ในโรงพยาบาลเพื่อให้น้ำเกลือทดแทนจากที่ถ่ายเหลวออกไป

แต่โรต้าไวรัสในปัจจุบันเราสามารถป้องกันได้คือการฉีดวัคซีน และนมแม่ช่วยลดความรุนแรงของโรคได้ สำหรับวัคซีนโรต้าเริ่มให้ได้ตั้งแต่เด็กอายุ 2 เดือน ถ้าให้ครบ 2-3 เข็มแล้วแต่ยี่ห้อก็จะช่วยให้เด็กมีภูมิคุ้มกันลดโอกาสการเกิดโรคและลดความรุนแรงของโรคได้ วัคซีนไม่ได้ป้องกันไม่ให้เกิดโรคไม่ใช่หยอดวัคซีนไปแล้วจะไม่ติดเลยแต่จะช่วยลดความรุนแรงของโรค

โรต้าไวรัสอยู่ตามสิ่งแวดล้อมเลยจะติดผ่านทางการกินอาหาร การป้องกันคือดูแลรักษาความสะอาดมือ สิ่งของ เช็ดของเล่นทำความสะอาด งดใช้ของเล่นหรือสิ่งของร่วมกับผู้อื่นในช่วงที่มีอาการระบาดก็ช่วยป้องกันได้ เน้นว่าต้องล้างมือ hand hygiene และสุขลักษณะที่ดี

ปีนี้ที่ผ่านมาปกติแล้วตัวไข้หวัดใหญ่กับไข้หวัดมักจะมีเยอะในหน้าฝนกับหน้าหนาว ซึ่งฤดูฝนที่ผ่านมาแทบไม่ค่อยเจอไข้หวัดใหญ่เลย อาจเป็นเพราะทุกคนตระหนักว่าการใส่แมส ใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือ เว้นระยะห่าง อีกอย่างที่สำคัญคือไข้หวัดใหญ่เรามีวัคซีนสามารถฉีดป้องกันไข้หวัดใหญ่ได้ ถ้าทุกคนทำตามนี้โอกาสที่จะเกิดโรคหรือแพร่กระจายโรคก็จะลดลงได้เยอะ

โรคสุกใส

โรคสุกใสหรืออีสุกอีใสจากเชื้อไวรัสชื่อว่า Varicella ติดต่อผ่านทางอาการหายใจรดกัน ไอจามใส่กันหรือสัมผัสถูกตัวผู้ป่วยก็จะทำให้ติดต่อโรคกันได้ ซึ่งลักษณะอาการก็คือเด็กจะมีไข้สูงในช่วง 1-2 วันแรก พอมีไข้สัก 2 วัน ก็จะมีตุ่มขึ้นในช่วงแรกจะเป็นเม็ดแดงๆ เล็กเป็นผดก่อน หลังจากนั้นลักษณะเด่นของไข้สุกใสก็คือมีมีตุ่มน้ำใสขึ้นตามตัว ผื่นจะขึ้นที่บริเวณลำตัวก่อนแล้วก็จะไปที่หน้าที่แขนขาตามลำดับ

วัคซีนโรคสุกใส

มีวัคซีนที่สามารถป้องกันได้เริ่มฉีดตั้งแต่เด็กอายุ 1 ปีขึ้นไป ฉีดทั้งหมด 2 เข็ม เข็มแรกฉีดตอน 1 ขวบขึ้นไป เข็มที่สองฉีดกระตุ้นช่วง 2-4 ขวบ แต่ว่าถ้าเด็กที่อายุน้อยกว่า 13 ปี สามารถฉีด 2 เข็มห่างกัน 3 เดือนได้ แต่ถ้าเกิน 13 ปีไปแล้วให้ฉีด 2 เข็มห่างกัน 1 เดือน

เป็นแล้วจะไม่เป็นอีกความเชื่อนี้จริงไหม

สุกใสเป็นแล้วถือว่ามีภูมิคุ้มกันแต่ว่าเชื้อมันจะไม่ได้หายไป เชื้อจะไปหลบซ้อนตามปมประสาทของร่างกาย ถ้าวันไหนที่ร่างกายอ่อนแอ หรือภูมิคุ้มกันตกลงอาจจะเป็นซ้ำได้ ถ้าในคนภูมิคุ้มกันบกพร่องมีโรคประจำตัวอาจจะกลับมาเป็นซ้ำได้ถ้าในคนที่แข็งแรงเกิดอ่อนเพลียพักผ่อนไม่เพียงพอจะกลับมาเป็นซ้ำได้แต่มาในรูปแบบของงูสวัสเป็นเชื้อตัวเดียวกัน

สุกใสสามารถติดกันได้ง่ายแค่หายใจใส่กันก็สามารถติดได้แล้ว ซึ่งช่วงนี้โรงเรียนทยอยเปิดเด็กไปอยู่รวมกันถ้ามีเด็กคนหนึ่งเป็นไปเล่นด้วยกันเล่นของเล่นน้ำลายหรือถูกตัวกันโอกาสแพร่กระจายในกลุ่มเพื่อนหรือกลุ่มเด็กด้วยกันก็จะง่ายมาก

ภาวะแทรกซ้อนของสุกใสจะไม่ค่อยรุนแรงมาก ถ้าเป็นตุ่มน้ำใสตามตัวบางคนไปแกะหรือเกาก็อาจจะติดเชื้อแบคทีเรียตามตุ่มแผลตามมาได้ ถ้ารุนแรงหน่อยก็อาจติดเชื้อเข้ากระแสเลือด หรือบางคนอาจจะมีปอดอักเสบหรือสมองอักเสบได้ถ้ารุนแรงขนาดนั้นก็มีโอกาสเสียชีวิตได้

แต่ว่าเจอน้อยมากๆ ช่วงนี้สุขอนามัยดีจะไม่ค่อยเจอ เน้นย้ำเรื่องการล้างมือถ้าช่วงไหนมีการแพร่ระบาดหรือถ้าพ่อแม่ทราบว่าบุตรหลานของตัวเองเป็นสุกใสก็ให้หยุดเรียนแยกตัวจากคนอื่นก็จะช่วยลดโอกาสการแพร่เชื้อ

โรคหัดหรือไข้ออกผื่น

โรคหัดเป็นไข้ออกผื่นชนิดหนึ่งจากเชื้อไวรัสตัวหนึ่ง อาการช่วงแรกจะมีไข้ 3-4 วัน อาการจะเหมือนไข้หวัดนำมาก่อน มีไข้ มีน้ำมูก มีตาแดง ไข้สูงสัก 3-4 วันก็จะเริ่มมีผื่นขึ้น ซึ่งลักษณะผื่นจะขึ้นบริเวณไรผมหลังใบหูก่อนค่อยลามมาที่คอลำตัวแขนขาพอผื่นลงถึงขาไข้ก็จะลดลง ผื่นก็จะค่อยๆ หายไปแต่ว่ามันจะทิ้งรอยคล้ำไว้ใช้เวลาเป็นปีกว่าจะค่อยๆ จางลงไป

ซึ่งพบได้บ่อยในเด็กอายุ 2- 14 ปี เจอบ่อยในช่วงหน้าหนาวมกราคม-มีนาคม แต่จะไม่ค่อยเจอในเด็กเล็กๆ ช่วง 6-8 เดือน เพราะว่าเรายังมีภูมิคุ้มกันที่ได้จากคุณแม่อยู่ก็จะไม่เจอในเด็กเล็กมากๆ จะเจอในช่วงเด็กโตเช่นเดียวกันโรคนี้สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน ซึ่งในปัจจุบันวัคซีนหัดเยอรมัน คางทูม อยู่ในวัคซีนพื้นฐานของเด็กไทยทุกคนต้องได้อยู่แล้วตั้งแต่ 9 เดือน ถึง 1 ปีในเข็มแรกช่วยลดโอกาสการเกิดโรคและช่วยลดการแพร่ระบาดและการกระจายของเชื้อได้ ปัจจุบันกระตุ้นเข็ม 2 อีกทีหนึ่งประมาณขวบครึ่ง

ที่คุณหมอพูดมาโรต้าไวรัส สุกใส หัดหรือหัดเยอรมันมีวัคซีน ถ้าให้วัคซีนพื้นฐานอย่างต่อเนื่องอาการพวกนี้ก็จะพบน้อยลง

ดูแลตัวเองอย่างไรให้ปลอดภัยจากภาวะโรคติดเชื้อ

จริงๆ ทุกวันนี้ทุกคนทำอยู่ถือว่าเป็นมาตรการที่ดีมากๆ แล้วทั้งการใส่หน้ากากอนามัย การล้างมือพกเจลแอลกอฮอล์ ล้างด้วยเจลแอลกอฮอล์หรือน้ำสบู่ รวมถึงการเว้นระยะห่างจากคนสู่คนเว้นระยะห่าง 1-2 เมตร ก็จะช่วยลดการแพร่กระจายเชื้อได้

นอกจากนี้คือการทำร่างกายให้แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำเยอะๆ ก็จะช่วยทำให้ร่างกายเราแข็งแรงและช่วยให้ปลอดจากสภาวะอื่นๆ ได้ ติดตามข่าวสารอัพเดทตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นโรคโควิดหรือโรคอื่นๆ ที่อาจตามมาในอนาคต

วิตามินซี หรือวิตามินใดที่ช่วยป้องกันเสริมสร้างภูมิคุ้มกันมีส่วนช่วยอย่างไรบ้าง

วิตามินเสริมอาจไม่จำเป็นเลยถ้าเด็กคนนั้นสามารถรับประทานอาหารได้ครบ 5 หมู่ เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย การทานอาหารครบ 5 หมู่ก็ทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่เพียงพอที่จะต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ เพราะฉะนั้นพวกวิตามินอื่นๆ รวมถึงวิตามินซีก็อาจไม่ได้จำเป็น

ถ้าลูกไม่กินผักผลไม้เลย สามารถกินวิตามินทดแทนได้ไหม

จริงๆ มันเทียบไม่ได้ ถ้ากินอาหารมันดีกว่าเน้นย้ำว่ากินครบ 5 หมู่ ถ้ามันจำเป็นจริงๆ กินไม่ได้การกินวิตามินซีช่วยด้วย ถ้าเป็นไปได้กินผักผลไม้ตามธรรมชาติในชีวิตประจำวันให้ครบ 5 หมู่จะดีกว่า

เช็กลิสต์อาการเบื้องต้น ไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่

โรคไข้หวัดหรือโรคติดเชื้อไวรัสอาการจะดีขึ้นใน 3-5 วัน ถ้าสมมติว่าอาการเบื้องต้นเช่น ไข้ ไอ น้ำมูก หากมียาสามัญประจำบ้านให้กินยาเบื้องต้นได้ก่อน

มีไข้ก็ใช้การเช็ดตัว เช็ดตัวสามารถได้ตลอดไม่ต้องทุก 4 ชั่วโมงเหมือนยาลดไข้ หรือว่าเช็ดตัวแล้วไข้ยังไม่ลงก็ใช้ยาลดไข้ช่วย หรือถ้ามีน้ำมูกมีเสมหะการดื่มน้ำอุ่นเยอะๆ คือยาที่ดีที่สุดคือช่วยลดเสมหะ

ถ้า 3-5 วันไปแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น เริ่มมีน้ำมูกหรือเสมหะเปลี่ยนสีเป็นสีเขียวหรือข้นมากขึ้น เริ่มสังเกตว่าน้องมีอาการหายใจหอบเหนื่อยมากขึ้น ไม่ร่าเริงเหมือนเดิม ซึม ไม่ค่อยเล่น กินข้าวไม่ค่อยได้อันนี้อาจเป็นอาการที่จะต้องพามาตรวจที่โรงพยาบาลว่ามีอะไรแทรกซ้อนนอกจากเชื้อไวรัสหรือเปล่า

โดยส่วนใหญ่เชื้อไวรัสประมาณ 3-5 วัน ก็จะดีขึ้นถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อนอย่างเช่นติดเชื้อแบคทีเรียตามมาก็จะเป็นประมาณที่ 3 วันขึ้นไป

เน้นย้ำการไปเที่ยวหรือออกนอกบ้าน ต้องใส่หน้ากากอนามัยล้างมือและการเว้นระยะห่างจากครอบครัวอื่นๆ เน้นสุขอนามัยที่ดี รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำอุ่นเยอะๆ ก็จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ไม่เอาเชื้อจากนอกบ้านเข้ามาหรือไม่เอาเชื้อจากเราไปสู่คนอื่น

 

ติดตามฟังได้ที่รายการรักลูก The Expert Talk

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

 

รักลูก The Expert Talk EP.29: ลูกแค่ซึม หรือเข้าขั้นซึมเศร้า

รักลูก The Expert Talk EP.29: ลูกแค่ซึม หรือเข้าขั้นซึมเศร้า

ลูกเครียดหรือกำลังอยู่ในภาวะซึมเศร้า พ่อแม่ต้องสังเกต เพราะผลกระทบมากกว่าที่ตาเห็น ทั้งพัฒนาการทางสมองและพฤติกรรมในอนาคต ฟังวิธีการสังเกตและรับมือโดยนพ.รัตนภูมิ วัฒนปัญญาสกุล แพทย์เฉพาะทางด้านจิตเวชศาสตร์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลนวเวช

 

สถานการณ์เด็กที่มีอาการความเครียดหรือนำไปสู่ภาวะซึมเศร้ามีเพิ่มขึ้น

จากตัวเลขที่ทดสอบมา ทำวิจัยมาทั้งในประเทศทั้งในต่างประเทศภาวะซึมเศร้ามากขึ้นทุกวัยไม่ว่าจะทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่บางรายงานมีมากกว่าเดิม 3 เท่า บางรายงานมีมากกว่าเดิม 2 เท่า เอาเป็นว่ามากขึ้นทุกที่ทุกเพศทุกวัย

ก่อนหน้านี้มีสถิติเพิ่มขึ้นทุกปีอยู่แล้ว แต่พอมาเป็นช่วงนี้สถานการณ์โควิดตั้งแต่ปี 63 ทั้งปี ขึ้นแบบก้าวกระโดดเลยอย่างที่หมอบอกไป 2-3 เท่าเลยทีเดียว โดยปัจจัยของโควิด คือด้วยตัวโควิดเองก็เครียดอยู่แล้ว เป็นเรื่องที่เราไม่สามารถควบคุมได้ คาดการณ์ก็ไม่ได้ โควิดมันแรงขึ้นมันจะกลายพันธุ์หรือเปล่า เดี๋ยวเปิดประเทศจะกลับมาอีกไหม ซึ่งมันคาดการณ์อะไรไม่ได้

เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามที่มันควบคุมไม่ได้มันจะส่งผลต่อจิตใจมนุษย์อย่างมาก มนุษย์จะเกิดความกังวลไปซะทุกเรื่อง เครียดไปซะทุกเรื่องมากกว่าปกติทั่วๆ ไป

ความเครียดของเจ้าตัวเล็ก

เด็กเล็กๆ จะดูยาก เพราะเขายังไม่ได้เป็นวัยที่จะพูดอารมณ์อะไรออกมาได้ดีไม่สามารถที่จะเล่าเรื่องอะไรออกมาได้เต็มที่เหมือนเรา หมออยากให้ผู้ปกครองสังเกตดูว่าลูกเปลี่ยนแปลงไปหรือเปล่า มีอารมณ์เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมต่อเนื่องหรือเปล่า

จากเดิมเป็นเด็กร่าเริงกลายเป็นเด็กซึม ทำอะไรก็ไม่มีความสุข จากเดิมไปเล่นอะไรกับพ่อแม่ก็ดูสนุกสนานดี ตอนบ่ายนั่งซึมนั่งจ๋อยๆ ถ้าเป็นต่อเนื่องให้ระวัง หรือเด็กบางคนนอนไม่ค่อยหลับจากเดิมหลับดี ธรรมชาติเด็กเขาไม่เครียดอยู่แล้ว

โดยทั่วไปเขาจะเครียดเรื่องอะไร เขาไม่ต้องมาทำงานเหมือนเราไม่ได้มีเรื่องเครียดเหมือนผู้ใหญ่ แต่ถ้าเด็กนอนไม่หลับให้ระวังว่ามีอะไรหรือเปล่าเพราะโดยธรรมชาติเด็กจะไม่เครียดไม่คิดอะไรเขาจะหลับได้ดี

แต่ถ้านอนไม่หลับต่อเนื่องเป็นเวลาหลายคืน ที่หมอเจอบ่อยในช่วงนี้ พ่อแม่พามาด้วยเรื่องของลูกนอนไม่หลับ เราจะรู้ว่าลูกนอนไม่หลับคือเขาตื่นมาแล้วจะง่วง ตื่นมาไม่สดชื่น สะลึมสะลือ กลางวันก็ง่วงแต่พอกลางคืนก็ไม่หลับ เด็กเขาก็อยากนอนเขาก็ง่วงแต่ทำไมเขานอนไม่หลับ เขาก็กลิ้งไปกลิ้งมาเด็กบางคนกลิ้งทั้งคืนก็ยังไม่หลับ อารมณ์อะไรก็ตามที่เปลี่ยนไป

การนอนอะไรก็ตามที่เปลี่ยนไปต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานอันนี้ต้องระวังเป็นสัญญาณอย่างหนึ่งว่าเด็กกำลังมีภาวะทางอารมณ์เกิดขึ้น

คุณหมอยังไม่ใช้คำว่าเครียดแต่เขาเริ่มมีภาวะบางอย่างที่คุณพ่อคุณแม่ จริงๆ 2 ข้อก็สังเกตได้แล้ว 1. ลูกเหวี่ยงงอแงง่าย 2. กระสับกระส่ายนอนไม่หลับก็สังเกตได้ หากปล่อย 2 อาการนี้ไปในระยะยาว ทำให้กระทบพัฒนาการหรือไปถึงซึมเศร้า

ต้องบอกข้อมูลก่อนว่าเด็กหรือไม่เด็กก็ได้คนทั่วไปที่มีภาวะซึมเศร้า ความเครียดนานๆ ค้นพบว่าเลือดที่ไปเลี้ยงสมองส่วนหน้าลดลง เลือดที่ไปเลี้ยงสมองส่วนความจำก็ลดลง เราก็ต้องมาดูว่าสมองส่วนหน้ามีหน้าที่อะไร

สมองส่วนหน้ามีหน้าที่จัดการชีวิตวางแผนชีวิต จัดระเบียบจัดความสำคัญ มีหน้าที่ในการควบคุมอารมณ์ มีหน้าที่สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ เมื่อสมองส่วนหน้าเลือดไปเลี้ยงลดลงแน่นอนว่าส่งผลต่อเด็กในระยะยาวแน่นอนเด็กไม่สามารถคิดวางแผนอะไรในอนาคตได้

เด็กไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของเขาได้ ฉะนั้นมันส่งผลต่อการควบคุมอารมณ์ ส่งผลต่อการวางแผนชีวิตในอนาคต วางแผนอะไรในการคิดเด็กไม่สามารถจัดลำดับความสำคัญอะไรได้ถูก เด็กกลุ่มนี้พอเวลาไปเรียนหนังสือก็จะไม่มีสมาธิตาวอกแวกนั่งเหม่อไปเรื่อยๆ ใจไม่มีแล้วใจไม่อยู่เพราะเลือดไปเลี้ยงสมองส่วนนั้นลดลง

นอกจากสมองส่วนหน้าแล้วยังมีสมองส่วนความจำอีก เด็กก็จะความจำไม่ดีไม่สามารถที่จะเรียนรู้ จำอะไรใหม่ๆ ได้ ส่งผลอย่างมาก ถ้าเป็นต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานๆ พบว่าสมองของส่วนดังกล่าวฝ่อล

ไม่ใช่เรื่องของอารมณ์แล้วมันลามไปสมองพอเด็กกลุ่มนี้โตไป เขาจะรู้สึกว่าไม่มีอะไรที่จะคิดวางแผนอะไรได้ทำให้เขาไม่มั่นใจตัวเอง รู้สึกไม่ดีกับตัวเอง รู้สึกแย่กับตัวเอง ทัศนคติต่อคนอื่นก็แย่ลง ถ้าปล่อยต่อไปเรื่อยๆ ไวทำงานถึงวัยแต่งงานเขาก็จะส่งต่อทัศนคติตรงนี้ให้ลูกๆ ให้กับครอบครัว ต้องระวัง ฉะนั้นการสังเกตตั้งแต่เริ่มถือเป็นจุดสำคัญอย่างมาก

เครียดสาเหตุนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า

สาเหตุตรงนี้ส่งผลต่อซึมเศร้าแน่นอน นอกเหนือจากซึมเศร้าก็จะมีเรื่องวิตกกังวลต่างๆ เช่น โรควิตกกลัวทุกเรื่อง ด้วยอาการของโรคซึมเศร้าอย่างที่หมอบอก

1.เรื่องของอารมณ์ อารมณ์เศร้าต่อเนื่อง เบื่อไม่อยากทำอะไรเลย กิจกรรมที่เคยทำแล้วมีความสุขจากเดิม อาจจะดูซีรีย์ ดูการ์ตูนเรื่องนั้นแล้วมีความสุขพอกลับไปดูอีกรอบกลับไม่มีความสุข สิ่งที่เคยทำแล้วมีความสุข ไม่สุขเหมือนเดิมอีกแล้ว อันนี้คือภาวะซึมเศร้าถ้าเป็นต่อเนื่องเกิน 2 สัปดาห์ให้ระวัง

2.การนอน นอนไม่หลับต่อเนื่อง 2 อาทิตย์ก็ให้ระวัง

พ่อแม่จะรับมืออาการอย่างนี้ได้อย่างไร

1.เข้าใจภาวะซึมเศร้า

ต้องเข้าใจว่าภาวะซึมเศร้าไม่ใช่เรื่องของดราม่า ไม่ใช่เรื่องของภาวะทั่วๆ ไป แต่มันเกี่ยวข้องกับสมองมันเป็นโรค สมองมีการเปลี่ยนแปลงสารสื่อประสาทมีการเปลี่ยนแปลง เลือดเลี้ยงสมองลดลงจริงๆ คุณพ่อคุณแม่ต้องเข้าใจว่าเป็นเรื่องของโรคเรื่องของข้อจำกัด เท่าที่หมอคุยกับเด็กๆ ไม่อยากทุกข์อยากมีความสุข เด็กอยากคิดดีกว่านี้อยากเล่นแต่เขาไปแล้วไม่ได้จริงๆ

อยากให้คุณพ่อคุณแม่เข้าใจก่อนว่ามันคือตัวโรคมันคือข้อจำกัดไม่ใช่ความดราม่า ไม่ใช่ความอ่อนแอ มันเป็นข้อจำกัดทางสมอง ในช่วงนี้พ่อแม่อยู่กับลูกตลอดช่วงโควิด ช่วงนี้เจอบ่อยมากเจอเยอะขึ้นการที่อยู่ด้วยกันตลอดกลายเป็นเรื่องของความพัวพันมากขึ้น เหมือนเด็กไม่มีโลกส่วนตัว

2.มีพื้นที่ส่วนตัว

เด็กวัยรุ่นหมอเจอบ่อยมากอยู่กับพ่อแม่ทั้งวันไม่มีพื้นที่ส่วนตัวเหมือนแม่เข้ามายุ่งกับการเรียนตลอดเข้าห้องมาตลอด มนุษย์ต้องมีพื้นที่ส่วนตัวของฉัน ของเธอ ของพ่อแม่และของเรา เหมือนวงกลมฉันกับเธอที่ไม่ควรเหลื่อมกันเกินไป ไม่ควรก้าวก่ายกันเกินไป การที่วงกลมฉันกับเธอมันก้าวก่ายกันมากเกินไปทำให้เด็กขาดพื้นที่ส่วนตัว เด็กขาดความเป็นตัวเอง

สถานการณ์โควิดทำให้เราอยู่กันมากขึ้นมากเกินไป พื้นที่ส่วนตัวนี้เลยก้าวล่วงกันมากนิดหนึ่งทำให้เด็กอึดอัดพออึดอัดไม่ได้ระบายไปไหนก็ไม่ได้ หมอเคยคุยกับเด็กที่เขาอยู่คอนโดน่าสงสารมากอยู่กับพ่อแม่เป็นลูกคนเดียวเขาอึดอัด จะลงมาว่ายน้ำก็ไม่ได้ จะลงมาเล่นลู่วิ่งก็ไม่ได้

เขาก็นั่งอยู่ในห้องเขาไม่ไหวก็ทุบหัวตัวเองเขาอยากออกเหงื่อออกแรงแต่ทำไม่ได้ หมอเลยแนะนำในหลายๆ บ้านที่พอมีพื้นที่ บางคนหมอแนะนำให้เอากระสอบทรายที่ใส่น้ำไว้ตรงฐานให้เด็กต่อยเล่น

3.หากิจกรรมให้ลูกทำ

พ่อแม่ต้องสรรหากิจกรรมให้เด็กได้ระบายได้ออกแรงบ้าง อย่าให้เขาหมกตัวอยู่กับมือถืออย่างเดียว สรรหาพื้นที่สรรหากิจกรรมให้เด็กได้ระบายได้ออกแรงทำกิจกรรม ต้องเข้าใจธรรมชาติของเด็กๆ ต้องได้ขยับตัวไม่ให้กล้ามเนื้อฝ่อ ต้องขยับตัวให้มีกล้ามเนื้อบ้าง พอเด็กไม่ได้ขยับตัวไม่ได้ออกไปไหนไม่ได้ระบายเลย แล้วมนุษย์เป็นสัตว์สังคมเล่นกับเพื่อนก็ไม่ได้

การออกแรงออกกำลังของลูกมี Effect กับสมองอย่างไรบ้าง

Effect มากงานวิจัยเขาบอกว่าการออกกำลังกายมีผลเท่ากับยาบางรายงานดีกว่ายาเพราะการออกกำลังกายช่วยเพิ่มเลือดไปเลี้ยงสมองอันนี้เป็นข้อเท็จจริงให้เราเห็นว่าการออกกำลังกายมันเพิ่มเลือดเลี้ยงสมองเพราะเวลาเราขยับตัวมันต้องสั่งการจากสมองเวลาเราขยับตัวเลือดต้องไปที่สมองเพื่อจะสั่งการให้ขยับตัว

การออกกำลังกายต้องถึงมีผลอย่างมากช่วยภาวะซึมเศร้าอย่างมากโดยทั่วไปการออกกำลังกายไม่ใช่แป๊บๆ ต้องเกิน 30 นาที 5-10 นาทีไม่ช่วยต้อง 30 นาทีขึ้นไป อาทิตย์หนึ่งให้ได้มากที่สุดเท่าทำได้ขั้นต่ำประมาณ 3 วัน

วิธีช่วยผ่อนคลายความเครียดหรือซึมเศร้าของเด็ก

การอยู่ด้วยกันช่วงโควิดอย่างที่หมอเกริ่นไป การอยู่ด้วยกันนานๆ มากเกินไปจากผูกพันกลายเป็นพัวพัน ต้องมีพื้นที่แม่ต้องมีพื้นที่ของแม่ ลูกต้องมีพื้นที่ความคิดของลูกอย่าก้าวก่ายซึ่งกันและกันมากเกินไปให้เขามีอารมณ์เป็นของตัวเองมีความคิดเป็นของตัวเอง

เพราะการอยู่ด้วยกันแน่นอนมันส่งเสริมให้เกิดการพัวพันเว้นพื้นที่เว้นช่องว่างให้กันและกันบ้าง เพราะเรื่องนี้มีปัญหามากเลยเด็กเล็กอาจจะไม่เท่าไหร่แต่วัยรุ่นมีปัญหามากเลย อยู่ด้วยกันทุกวันพัวพันซึ่งกันและกันระบายก็ไม่ได้ เว้นพื้นที่ซึ่งกันและกัน เว้นช่องว่างซึ่งกันและกัน เคารพสิทธิการเป็นตัวของตัวเองซึ่งกันและกันช่วยได้

1.เข้าใจธรรมชาติของเด็ก

มนุษย์แต่ละคนไม่เหมือนกัน มีความคิดมีอารมณ์เป็นของตัวเอง เด็กไม่ใช่ผ้าขาวเด็กมีสีของเขาอยู่แล้วเขามีโทนสีตั้งแต่เกิดอยู่แล้วถ้าเราอยากให้เขาเป็นอย่างที่เราอยากให้เป็นมันก็ไมได้เราต้องเข้าใจธรรมชาติของเด็กและเคารพธรรมชาติของเด็ก เด็กแต่ละคนมีความคิดความอ่านมีสีของเขาตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว

2.มีกิจกรรมร่วมกันในครอบครัว

มีกิจกรรมร่วมกันระหว่างครอบครัว ในยุคโควิดจากเดิมติดโซเชียลอยู่แล้วพอมีโควิดยิ่งติดโซเชียลมากขึ้นการที่เด็กเล่นโซเชียลมากเกินไปเป็นข้อเสียเหมือนกัน เพราะโซเชียลส่งเสริมการเปรียบเทียบซึ่งกันและกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

อย่างสมัยก่อนถ้าเราจะเห็นใครไปเที่ยวต่างประเทศ หรือใครมีชีวิตดีๆ เขาต้องมาเล่าให้เราฟังหรือเอารูปให้เราดูต้องพูดอวดในห้อง แต่ยุคนี้ไม่ใช่เปิดคลิกเข้าไปเราก็เห็นแล้วชีวิตเขาดีจังเลยดูชีวิตเรา คือมันส่งเสริมให้เปรียบเทียบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉะนั้นการติดโซเชียลทำให้เรารู้สึกว่าทำไมฉัน มันเกิดการเปรียบเทียบ

สิ่งหนึ่งที่จะดึงเด็กออกจากโลกโซเชียลได้คือกิจกรรมของครอบครัวให้มีกิจกรรมร่วมกันดึงเขาออกจากโลกเสมือนจริงมาอยู่โลกแห่งความเป็นจริงบ้างจะช่วยลดการเปรียบเทียบ เพราะฉะนั้นให้มีกิจกรรมครอบครัวมีพื้นที่ซึ่งกันและกัน

แนวทางรักษาโรคซึมเศร้า

หลักๆ เรื่องของซึมเศร้ามีวิธีการรักษาอยู่ 2 หลักใหญ่ๆ คือ

1.การใช้ยา

ยุคนี้สมัยนี้มียาแล้ว การรักษาซึมเศร้าไม่ได้ยากเหมือนสมัยก่อน สมัยก่อนต้องมานั่งคุยเป็นเดือนๆ ปีๆ สมัยนี้มียาซึ่งช่วยภาวะซึมเศร้าได้เร็วแนะนำว่าอย่ารอบางคนรอๆ แล้วรออีก อย่างที่บอกไปสมองฝ่อไปแล้วถ้ามัวแต่รอเลือดไปเลี้ยงสมองส่วนหน้าลดลงเรื่อยๆ เลือดไปเลี้ยงสมองส่วนความจำลดลงๆ สมองฝ่อพอดีโอกาสที่จะกลับมารักษาก็จะอยากขึ้น ฉะนั้นถ้ามีภาวะโรคซึมเศร้าเกิดขึ้นแล้วแนะนำให้พบจิตแพทย์แนะนำให้รักษาโดยการใช้ยามันช่วยจริงๆ

การใช้ยาพบว่าสมองส่วนที่ฝ่อไปแล้วมันเติบโตขึ้นได้อีก ช่วยให้สมองมีการาแตกแขนงเกิดขึ้นจากเดิมที่ฝ่อเล็กไปแล้ว ยาในเรื่องของรูปพรรณทำให้เซลสมองพัฒนาเจริญเติบโตมันช่วยได้เร็วทำให้ผลกระทบระยะยาวลดลง

เพราะถ้าเราปล่อยให้สมองฝ่อไปแล้วทัศนคติด้านลบจะเกิดในใจเขาๆ ก็เชื่อไปอย่างนั้นแล้วว่าฉันไม่ดี โลกนี้สิ้นหวังเหลือเกินฝังอยู่ในสมองส่วนหน้า ฝังเป็นทัศนคติต่อให้รักษาทัศนคติตัวนี้ก็จะส่งต่อไปเมื่อเขาโตขึ้น พอเขามีครอบครัวก็จะส่งต่อไปยังลูก รีบรักษาดีกว่า

2.จิตบำบัด

คือเป็นการพูดคุยอาจจะนำครอบครัวมาพูดคุยด้วย เอาครอบครัวมารวมในการทำจิตบำบัดด้วย ดูว่าความคิดที่ฉันไม่ดี หนูไม่ดีหนูมันแย่จริงหรือเปล่าหรือความคิดเฉยๆ หรือเป็นความจริง เราจะพูดคุยกับเด็กให้เด็กตระหนัก ให้เด็กมีสติว่ามันไม่ใช่ฉันมโนไปเอง

เคสเด็กมีความเครียด

หมอเจอเรื่อยๆ เจอประจำ มีเด็กคนหนึ่งค่อนข้างวัยรุ่นแล้วครอบครัวมีปัญหาอย่างมาก ปะทะกันรุนแรง ด่ากันรุนแรง เด็กก็เลยมีอาการอารมณ์ซึมเศร้าเกิดขึ้น ตอนแรกมาหาหมอด้วยเรื่องของไม่กินไม่นอนข้าวไม่กินนั่งเฉยๆ หมอเลยรับปรึกษาที่โรงพยาบาลให้หมอเขาไปดูเด็กนั่งเงียบนั่งนอนเป็นผักเลย

ขนาดขับถ่ายยังไม่ไปเลยใส่ผ้าอ้อมเด็กโตแล้วด้วย ไม่ทำอะไรเลยเขาเบื่อชีวิตเซ็งชีวิตมาก หมอขึ้นไปเจอครอบครัวเขาพ่อแม่ทะเลาะกันรุนแรงมากจริงๆ ในโรงพยาบาลเลยต่อหน้าหมอเลย ปัญหาทุกอย่างมาหมด

หมอพยายามคุยกับเด็กว่าเกิดอะไรเพราะอะไร เพราะว่าการที่หนูเป็นแบบนี้การที่หนูไม่ขยับตัวแบบนี้ส่วนหนึ่งหนูจะได้ไม่ต้องไปเจอเรื่องไม่ดี พ่อแม่ได้ไม่ทะเลาะกันอย่างนี้ใช่หรือเปล่า เด็กพยักหน้า

ทางออกต้องให้หยุดจากเดิมที่ทะเลาะกันรุนแรงด่ากันรุนแรงถ้าเขามีอาการอะไรบางอย่างเกิดขึ้นมันทำให้ครอบครัวหยุดความรุนแรง แล้วเขาเจออย่างนี้ทุกวันจนเขาสิ้นหวังเขาเลยไม่รู้จะพูดอะไร

เคสนั้นมีปัญหามากกว่าหมอจะจับพ่อแม่มานั่งคุยกันเรื่องความรุนแรง ช่วงแรกหมอให้เด็กไปอยู่กับปู่ย่าก่อนเลยเพราะพ่อแม่มีปัญหากันเยอะมากจริงๆ ไปอยู่กับปู่ย่าเขาอาการดีขึ้นกินข้าวได้เหมือนเดิมมีแรงขับถ่ายตามปกติเลย

ครอบครัวนี้เป็นตัวอย่างเลยที่ครอบครัวอยู่ด้วยกันในช่วงโควิดแล้วมีปัญหากันรุนแรงส่งผลกับเด็กจริงๆ ต้องรีบแก้บริบทครอบครัวต้องรีบแก้ที่ผู้ปกครอง ครอบครัวสำคัญจริงบริบท บรรยากาศครอบครัวมีความสำคัญกับเด็กจริงๆ

พ่อแม่รับมือในสถานการณ์ความเครียด

วิธีการสอนเด็กที่ดีที่สุดคือการเป็นตัวอย่างให้ดู ถ้าเราไม่อยากให้ลูกติดหน้าจอเราก็อย่าติดหน้าจอ ถ้าเราอยากให้ลูกเอาตัวออกมาจากหน้าจอเราก็ต้องเอาตัวออกมามีกิจกรรมร่วมกันกับเด็กและเมื่ออยู่ด้วยกันแล้วเว้นช่องว่างซึ่งกันและกันเคารพสิทธิ เคารพความคิด เคารพอารมณ์ของแต่ละคนซึ่งกันและกัน เท่านี้บรรยากาศครอบครัวก็จะดีขึ้นแล้ว อึดอัดพัวพันก็จะกลายเป็นความผูกพัน

 

ติดตามฟังได้ที่รายการรักลูก The Expert Talk

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

รักลูก The Expert Talk EP.30: แม่ท้องต้องรู้ เรื่องสำคัญใน 3 ไตรมาส

รักลูก The Expert Talk EP.30: แม่ท้องต้องรู้ เรื่องสำคัญใน 3 ไตรมาส

ช่วงเวลาทองของการตั้งครรภ์ทั้ง 3 ไตรมาส มีเรื่องอะไรบ้างที่คุณแม่ต้องโฟกัสและห้ามพลาด เพราะทุกการกระทำของแม่ท้องส่งผลกับการพัฒนาการและการเจริญเติบโตของลูกน้อยในครรภ์ ฟังการดูแลสุขภาพของคุณแม่ตั้งครรภ์ทั้ง 3 ไตรมาสโดย The Expert นพ.ภูมิพร อัจฉรารัตนโสภณ สูตินรีแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ โรงพยาบาลเวชธานี

 

แม่ท้องต้องรู้ เรื่องสำคัญใน 3 ไตรมาส

การดูแลตัวเองของคุณแม่ในแต่ละไตรมาส คุณแม่ท้องแต่ละคนดูแลตัวเองดีอยู่แล้ว 3 ไตรมาสเขารู้อยู่แล้วว่าต้องดูแลตัวเองอย่างไร อยากให้คุณหมอบอกถึงพัฒนาการแต่ละไตรมาสที่สำคัญที่คุณแม่จะต้องรู้ก่อน 3 ไตรมาสนี้มีอะไรที่คุณแม่ห้ามพลาดบ้าง

ร่างกายแม่ไตรมาสที่1

พอเราตั้งครรภ์ไม่ว่าจะคุณแม่มือใหม่หรือมือเก่าแต่ละท้องจะมีความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อย ๆ หรือรายละเอียดเล็กน้อยที่ที่ไม่เหมือนกัน ในส่วนของไตรมาสแรกที่หมอจะพูดถึงจะเป็นช่วงที่ละเอียดอ่อน

ไตรมาสแรกคือช่วงที่เขามีชีวิต เขาเริ่มฝังตัวกับมดลูก ฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในสภาพแวดล้อมต่างๆ คุณแม่เองอาจมีทั้งบางคนที่สุขภาพดีมาตลอดหรือบางคนที่มีโรคประจำตัว เบื้องต้นถ้าโดยส่วนตัวถ้าพูดถึงการพัฒนาในไตรมาสแรกเป็นช่วงที่เราต้องระวังเกือบทุกอย่างเลย

ส่วนที่ 1 ถ้าคุณแม่ได้ตรวจปัสสาวะและพบว่ามีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นหมอแนะนำอย่างหนึ่งเลยรีบไปพบคุณหมอ การที่เราจะตรวจเบื้องต้นในไตรมาสแรกคุณหมอมีตรวจหลายรูปแบบไม่ว่าจะดูประวัติคุณแม่ ประวัติครอบครัว การแพ้ยา ประวัติโรคประจำตัว การใช้ชีวิต การเข้าสังคมต่างๆ ซึ่งแต่ละส่วนก็จะมีเอฟเฟกต์ที่มีผลต่อทารกในท้องและตัวคุณแม่เอง

อย่างเบื้องต้นถ้าคุณแม่มีการตรวจปัสสาวะแล้วพบว่ามีการตั้งครรภ์ ให้ไปตรวจกับคุณหมอก่อนว่าการตั้งครรภ์เป็นผลตรวจปัสสาวะให้ผลลวงไหม หรือตรวจแล้วปัสสาวะให้ 2 ขีดแล้วตั้งครรภ์จริงไหม เพราะมีหลายเคสที่เราตรวจปัสสาวะขึ้น 2 ขีด บอกว่าตั้งครรภ์แต่เราไปตรวจจริงๆ แล้วมีการตั้งครรภ์จริงหรือไม่

เพราะการตรวจปัสสาวะเป็นการบอกการตั้งครรภ์อย่างหนึ่งซึ่งการตั้งครรภ์ที่เพี้ยนกว่าปกติ เช่น การตั้งครรภ์ที่เป็นท้องลม หรือการตั้งครรภ์ที่เป็นท้องนอกมดลูกเขาก็ให้ผลที่เป็น 2 ขีดเหมือนกันเมื่อเจอคุณหมอ

คุณหมอจะมีการตรวจอัลตร้าซาวด์ซึ่งตัวนี้เป็นการยืนยันที่แน่นอนว่าคุณแม่ตั้งครรภ์และการฝังตัวที่เหมาะสม พอมีการตั้งครรภ์ที่เหมาะสมคุณหมอตรวจอัลตร้าซาวด์คุณหมอสามารถตรวจโพรงมดลูกให้คุณแม่ได้ด้วยว่าลักษณะมดลูกมีความผิดปกติหรือการเปลี่ยนแปลงอย่างไร

หมอจะบอกคร่าวๆ ว่าเวลาที่คุณหมอตรวจอัลตราซาวด์ถ้าคุณแม่ไปพบคุณหมอๆ ตรวจอะไรบ้าง เบื้องต้นคุณหมอก็จะมีการตรวจว่าเขาฝังตัวดีไหม การฝังตัวของตัวอ่อนก็มีผลก่อนที่เขาจะพัฒนาเป็นตัวการฝังตัวที่ไม่เหมาะสมมันก็มีเอฟเฟกต์ เช่น การฝังตัวที่นอกมดลูก หรือการฝังตัวที่ตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม มันก็อาจจะมีการหลุดหรือมีภาวะแทรกซ้อนได้

ส่วนที่ 2 คุณหมอจะมีการดูโครงสร้างมดลูกที่สำคัญนอกจากตัวมดลูกเอง ปีกมดลูกคุณแม่มีก้อนมีซีสต์มีอะไรที่ผิดปกติไหมถึงแม้เราจะตรวจสุขภาพทุกปี เราพบว่าบางคนที่เราตรวจสุขภาพประจำปีทุกปีในแต่ละเดือนที่ผ่านไปบางทีมันอาจจะมีก้อนซีสต์ก้อนเล็กๆ หรือเนื้องอกก้อนเล็กๆ เกิดขึ้นมาซึ่งพวกนี้ก็มีเอฟเฟกต์เหมือนกันต่อทารก

ส่วนสำคัญอีกส่วนคือการฝังตัวของตัวอ่อนตำแหน่งที่ฝังตัวที่เหมาะสมจะเป็นยอดมดลูก คุณหมอสามารถวัดตั้งแต่ที่เขาเป็นถุงตั้งครรภ์เล็กๆ ว่าเยื้อบุมีความหนาเหมาะสมไหมของการฝังตัว ในบางเคสที่เยื่อบุไม่เหมาะสมมีความบางเราอาจจะต้องระวังและเทคแคร์ตัวเองมากกว่าปกติเพราะในเยื่อบุมดลูกที่บาง ก็เหมือนหน้าดินที่บางเวลาเราปลูกต้นไม้พื้นดินที่ไม่ค่อยเหมาะสมเมล็ดพืชที่มันเกิดขึ้นมาเป็นต้นมันก็จะไม่เหมาะสม ฉะนั้นการฝังตัวเราดูเยื่อบุได้และทำนายได้ว่ามันจะดีหรือไม่ดี

ส่วนถัดไปน้องเองพัฒนาจากเซลล์เล็กๆ ที่เราเห็นเป็นแค่ถุงน้ำคร่ำที่ฝังตัวจากนั้นเขาก็จะค่อยๆ เป็นตัวและมีการเชื่อมสายใยกันโดยมีการสร้างเป็นทั้งรกสายสะดือและมีการส่งเลือด Pass ระหว่างแม่กับลูกผ่านทางรกและสายสะดือ อวัยวะสำคัญที่เขาเริ่มพัฒนาเลยตั้งแต่ช่วงแรกก็จะเป็นโครงสร้างลำตัวสมอง หัวใจ และระบบประสาทต่างๆ จะเป็นตัวเริ่มแรกที่มีการพัฒนา ที่นี้เราต้องระวังอะไรบ้างเราดูแลตัวเองดีแล้ว ผลที่มันมีเอฟเฟกต์หลายอย่างที่หมอกล่าวไปมีตั้งแต่

1.โรคประจำตัวแฝงอยู่โดยที่เราไม่รู้

ตรวจสุขภาพแต่บางโรคที่เราตรวจสุขภาพประจำปีอาจไม่ได้โฟกัสเรื่องการตั้งครรภ์ เช่น เป็นภาวะเลือดจาง เป็นมีพาหะเป็นเลือดจางธารัสซีเมียซึ่งมีเอฟเฟกต์กับตัวอ่อนหรือทารกในครรภ์

2.พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน

บางอย่างที่คุณแม่เคยใช้ชีวิตประจำวัน เช่น เราอาจมีการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา ถ้ามีการตั้งครรภ์บางอย่างเราก็ต้องควรเลี่ยง หรือแม้แต่บางทีคุณแม่ไม่ได้สูบบุหรี่แต่ว่าที่ทำงานเพื่อนๆ หรือคนแวดล้อมมีการสูบบุหรี่ ซึ่งเราพบว่าการที่เราได้รับควันเข้ามาก็มีเอฟเฟกต์ต่อเด็กในท้องเหมือนกัน ส่วนการเตรียมตัวอย่างอื่น ภาวะ Nutrition ที่เหมาะสม

รับมือแม่แพ้ท้อง

คุณแม่บางคนพอตั้งครรภ์ขึ้นมาบางทีเราพบว่าจะมีอาการของคนแพ้ท้อง เช่น อาการคลื่นไส้อาเจียน เวียนหัว หน้ามืด บ้านหมุน ซึ่งภาวะแบบนี้จริงๆ แล้วบางส่วนเราสามารถดูแลรักษาเพื่อบรรเทาไม่ให้คุณแม่ทุกข์ทรมานมาก

โดยคุณแม่ก็ต้องไปปรึกษาคุณหมอเล่าถึงอาการต่างๆ ว่า มีอะไรที่มันเปลี่ยนแปลงแล้วรู้สึกไม่ปกติรู้สึกลำบากในการใช้ชีวิต เช่น เวียนศรีษะบ้านหมุนเป็นภาวะที่รุนแรงมากผิดปกติไหม หรือบางคนคลื่นไส้อาเจียนมาก

เราก็จะมีทั้งตัวยาที่บรรเทารักษาตามอาการ การรักษาอาการเวียนศรีษะบ้านหมุน ตัวยาที่ช่วยลดอาการคลื่นไส้อาเจียน ตลอดจนถึงวิตามินบางตัวสามารถลดอาการอาเจียนได้อย่างวิตามิน B6 ก็พบว่าสามารถช่วยเรื่องอาการคลื่นไส้อาเจียนแพ้ท้องได้ดีเหมือนกัน ซึ่งคุณหมอเวลาจัดให้คุณแม่อาการต่างๆ พอดีขึ้นเราก็ดำเนินชีวิตได้ปกติมากขึ้น

พัฒนาการลูกในครรภ์ไตรมาสที่1

จริงๆ แล้วก่อนที่จะถึงปลายไตรมาสแรกพอคุณหมอตรวจพบ น้องเริ่มพัฒนามากขึ้นในปลายไตรมาสแรกน้องเริ่มมีการพัฒนาแขนขามือเท้าที่สมบูรณ์ ในช่วงนั้นคุณหมอด้านเวชศาสตร์มารดาหรือคุณหมอสูก็จะมีการตรวจโดยวัดต้นคอเด็ก

ข้อดีขอการวัดอัลตราซาวนด์ดูต้นคอเด็กสามารถทำนายได้ทั้งดาวซินโดรม หรือกลุ่มโคโมโซมที่ผิดปกติหรือกลุ่มโรคต่างๆ ที่ผิดปกติได้ซึ่งจริงๆ ในส่วนที่เราดูต้นคอยังมีตัวชี้แนะอีกหลายตัว อย่างเช่น เราพบภาวะหินปูนที่ห้องหัวใจน้อง หรือเราตรวจอัลตราซาวด์เราพบว่า ส่วนกระดูกดั้งจมูกของน้องไม่มีหรือสั้นกว่าปกติ

อันนี้ก็จะเป็นตัวทำนายเหมือนกัน จริงๆ ในยุคปัจจุบันเรามีการอัลตราซาวด์เชิงลึกเพื่อคัดกรองโรคต่างๆ ในไตรมาสแรกของน้องด้วย ในไตรมาสแรกเราพบว่ากระเพาะอาหารน้องจะเริ่มทำงานก็คือน้องจะเริ่มมีการกลืนน้ำคร่ำเข้ามา

ฉะนั้นในปลายสัปดาห์ที่ 11-12 เราควรอัลตร้าซาวด์แล้วก็เห็นกระเพาะของน้องทำงาน ซึ่งตัวนี้ก็เป็นตัวหนึ่งที่บอกสุขภาพบางอย่างหรือการทำงานของอวัยวะบางอย่างของเขาได้ ในไตรมาสแรกเราสามารถตรวจลิ้นหัวใจการรั่วได้ด้วย

ซึ่งข้อดีของการตรวจลิ้นหัวใจรั่วก็คือ มันบ่งชี้ถึงความผิดปกติของสุขภาพน้อง เป็นทั้งตัวหนึ่งที่บ่งชี้ได้ว่าน้องอาจจะมีความผิดปกติ เพราะว่าเด็กดาวซินโดรมเราพบว่าอาจจะพบมีภาวะลิ้นหัวใจด้านขวารั่วได้บ่อยกว่าเด็กอื่น รวมทั้งลำไส้บางคนมีลำไส้ที่เข้มกว่าปกติก็จะมีกลุ่มโรคบางอย่างที่ทำให้ลำไส้เข้มกว่าปกติ

ในเคสที่คุณแม่น้ำหนักไม่สูง หน้าท้องไม่ใหญ่มากในบางเคสก็สามารถเห็นได้ในระดับแขนขามือเท้า ซึ่งน้องบางคนน่ารักร่วมมือดีก็แบนิ้วให้เรานับด้วยตั้งแต่ไตรมาสแรกเลย

ไตรมาส 2 คุณแม่มีอะไรที่ต้องรู้และต้องระวังบ้าง

ปลายไตรมาสแรกเราจะมีการเจาะเลือดต่างๆ พอไตรมาสที่ 2 จะเป็นช่วงที่คุณแม่มา Follow up เราก็จะมีการแนะนำถึงผลเลือดต่างๆ ที่คุณแม่ได้เจาะว่ามีความผิดปกติผิดเพี้ยนอะไรไหมในช่วงประมาณ 15-16 สัปดาห์

พัฒนาการลูกในครรภ์ไตรมาสที่2

จากนั้นโครงสร้างของเขาพัฒนาอีกเราสามารถดูโครงสร้างที่ละเอียดอ่อนได้ อย่างเช่นการทำงานของไตหรือการพัฒนาของเนื้อไตเราก็จะเริ่มเห็นชัดขึ้นเลยตั้งแต่เริ่มไตรมาสที่ 2 พอกลางไตรมาสประมาณ 18-22 สัปดาห์ จะเป็นช่วงที่เช็กโครงสร้างโดยละเอียดของเด็ก

จะมีการตรวจโครงสร้างหลายๆ ส่วนของเด็กที่มีการพัฒนา เรารู้ว่าปกติเราตั้งครรภ์อยู่ที่ 9 เดือน สำหรับ 5 เดือนเรียกได้ว่าเกินครึ่งทางแล้วเรามาโฟกัสแล้วว่าการพัฒนาของน้องในท้องมีมากขึ้นมีอะไรที่มันผิดเพี้ยนไหม

ต้องบอกว่าตลอด 9 เดือนน้องเขาพัฒนาตลอดแล้วก็ไม่เพียง 9 เดือนที่เขาพัฒนาตลอดหลังจากคลอดเขาก็มีการพัฒนาอีกจะเหมือนกับที่อาจารย์หมอด้านพัฒนาการเด็กได้บอกไป เขาก็จะมีการพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ แต่ในแต่ละเดือนจะมีจุดโฟกัสที่เขามีการพัฒนาไปเรื่อยๆ

อย่างเดือนที่ 4 15-16 สัปดาห์ อวัยวะภายนอกของเด็กจะพอเห็นเพศแล้วว่าเป็นชายหรือหญิง ก็สามารถดูเรื่องเพศได้ ส่วนอื่นที่การทำงานเห็นชัดมากขึ้นในประมาณหลังไตรมาสแรกเข้าสู่ไตรมาส2 ก็อาจจะเห็นน้องมีการทำงานของไตเราอาจจะเห็นปัสสาวะในกระเพาะปัสสาวะของน้องก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่เราเห็นชัดมากขึ้น ในทางการแพทย์เราก็จะมีการตรวจอัลตร้าซาวด์เรียกว่ามาร์คเกอร์ต่างๆ ของเด็ก

ในไตรมาส 2 เช่น ต้นคอในไตรมาสแรก ต้นคอในไตรมาส 2 เราก็จะมีตัววัดเช่นกัน และส่วนอื่นๆ อีกที่เรามีการวัด ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างต่างๆ อวัยวะต่างๆ รวมถึงเราจะมีการวัดน้ำหนักน้องด้วยว่าขึ้นอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมไหม คุณแม่บางคนอาจจะกังวลในไตรมาสแรกแพ้มากน้ำหนักลดลง

น้ำหนักคุณแม่ไตรมาสที่2

แต่พอไตรมาส 2 โดยปกติแล้วก็จะแพ้ลดลง ทีนี้อาการแพ้ลดลงคุณแม่เริ่มทานได้ เราก็มาโฟกัสว่าน้ำหนักคุณแม่ที่ขึ้นมาเหมาะสมไหม ส่วนที่ 2 การขึ้นน้ำหนักของคุณแม่ที่เหมาะสมไปถึงน้องไหมบางคนคุณแม่ขึ้นดีมากแต่น้องยังตัวเล็ก ซึ่งถ้าน้องเล็กมากนอกจากภาวะที่คุณแม่กินผิดวิธีหรือกินอาหารผิดประเภททำให้น้องไม่โตและไปลงคุณแม่อย่างเดียว

มันก็จะมีอีกอย่างส่วนที่เราพบน้องตัวเล็กก็อาจมีภาวะผิดปกติเกิดขึ้น เช่น ภาวะติดเชื้อซ้อนแสงบางอย่าง หรือการทำงานของรกที่ไม่ค่อยดีส่งอาหารไม่ดีตั้งแต่ไตรมาสแรก ตั้งแต่ปลายไตรมาสแรกเข้าไตรมาส 2 น้องก็ตัวเล็กผิดปกติ

ความผิดปกติที่พบบ่อยไตรมาสที่2

ไตรมาสที่ 2 เราดูเรื่องความผิดปกติของน้องความสมบูรณ์ของน้องและการเจริญเติบโตของน้องว่าเหมาะสมไหม ส่วนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ คุณหมอก็จะมีการโฟกัสดูทั้งรก การไหลเวียนของเลือดที่สายสะดือหรือที่สามารถทำนายการทำงานของรกได้บางส่วน และสุขภาพคุณแม่ก็จะเริ่มเปลี่ยนไปถึงแม้จะแพ้น้อยลงแต่ว่าพอหลังจาก 4-6 เดือน

เบาหวาน

น้ำหนักคุณแม่จะเริ่มเพิ่มขึ้นซึ่งตรงนี้จุดหนึ่งคุณหมอก็จะดูน้ำหนักการเพิ่มแต่ละช่วงของเดือนที่มาฝากครรภ์เหมาะสมไหมหรือเป็นภาวะเกินภาวะที่น้ำหนักขึ้นมากเกินไปจากการกินอาหารผิดประเภท มีภาวะเบาหวานเกิดขึ้นไหม หน้าท้องที่เล็กเกินไปน้ำคร่ำน้อยไปไหม หรือหน้าท้องที่ใหญ่เกินไปน้องก็โตปกติแต่น้ำคร่ำเยอะจนทำให้หน้าท้องคุณแม่ขยายก็จะเป็นภาวะที่ไตรมาส 2 ที่เราดูได้

แท้ง

ส่วนอีกอันที่ปัจจุบันเราตรวจกันมากขึ้นคือการวัดความยาวปากมดลูกในการคัดกรองจริงๆ แล้วเราจะคัดกรองเฉพาะกลุ่มคุณแม่ที่มีความเสี่ยง อย่างเช่น เคยมีประวัติคลอดก่อน เคยมีประวัติแท้งน้องในช่วงไตรมาสที่ 2 ความยาวปากมดลูกเป็นตัวหนึ่งที่เราพบว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติทำให้เกิดภาวะแท้งน้องได้ แล้วก็เกิดภาวะคลอดก่อนกำหนดได้ด้วย

ครรภ์เป็นพิษ

ทีนี้การที่เราเกิดภาวะแบบนี้เราต้องบอกว่าบางที่การตรวจที่ดูระยะการเปลี่ยนแปลงของปากมดลูกมันทำนายได้ดีพอสมควรเลย จริงในปัจจุบันถ้าไตรมาสนี้ถ้าในต่างประเทศหรือในโรงพยาบาลใหญ่ๆ หลายๆ ที่เราจะมีการเจาะเลือดทำนายค่าการเกิดความผิดปกติที่จะเป็นภาวะครรภ์เป็นพิษ

เราจะมีการตรวจเอนไซน์บางตัวหรือสารเคมีในเลือดบางตัวที่ทำนายได้ว่าปกติเรารู้ว่าการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษจะเกิดหลัง 20 สัปดาห์ แต่จะมีสารเคมีบางตัวที่เจาะตัวนี้แล้วเราพบว่าอีกประมาณ 6-8 สัปดาห์ก็จะเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษได้ ซึ่งค่าทำนายก็ดีพอสมควรประมาณ 70 กว่าเปอร์เซ็นต์ ถ้าคุณแม่ที่มีความเสี่ยงหมอแนะนำเลยว่าอาจจะตรวจตัวนี้เพิ่ม ส่วนคุณแม่ที่ไม่มีความเสี่ยงคุณแม่จะตรวจเพิ่มก็ต้องคุยกับคุณหมอก่อน

เข้าสู่ไตรมาส 3

อย่างสรีระที่เปลี่ยนแปลงไป ที่พูดถึงเรื่องปวดหลังบางคนก็จะเริ่มเกิดตั้งแต่ภาวะช่วงปลายไตรมาสที่ 2 เข้าสู่ไตรมาสที่ 3 เพราะสรีระที่เรามีขนาดมดลูกที่โตมากขึ้นนอกจากทำให้เราอึดอัดแน่นมากขึ้น

บางส่วนของคนไข้ที่ช่วงโครงร่างรูปร่างค่อนข้างเล็กมันจะมีการเบียดถึงระดับซี่โครงทั้ง 2 ข้าง บางคนคุณแม่มีการเจ็บซี่โครงด้วย บางส่วนก็มีการเจ็บไปที่หลัง ที่นี้เมื่อมีการเบียดแบบนี้มากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากเกิดภาวะที่เจ็บ ทั้งปวดหลัง ทั้งปวดชายโครง บางคนก็เป็นกรดไหลย้อนเพิ่มขึ้นอันนี้ก็เกิดขึ้นได้ตั้งแต่ปลายไตรมาส 2 เข้าสู่ไตรมาส 3

ทีนี้ในส่วนไตรมาสที่ 3 จริงๆ ตั้งแต่ต้นไตรมาสที่ 3 เราจะมีการ Repeat การตรวจเป็นการตรวจคัดกรองเบาหวาน การตรวจเลือดการติดเชื้อในไตรมาสที่ 3 เพี่อดูว่ามีการติดเชื้ออะไรเพิ่มเติมไหมแล้วคุณหมอก็จะมีการ Follow ทั้งการโตของหน้าท้องคุณแม่ การเพิ่มขึ้นของน้ำหนักของคุณแม่แล้วก็มีการเช็กอัลตราซาวด์น้องโตเหมาะสมกับส่วนที่ควรจะเป็นไหม

พัฒนาการลูกในครรภ์ไตรมาสที่3 เราพบว่าตั้งแต่ 7 เดือน คนไข้กว่า 70-80% ทารกบางคนจะเริ่มกลับหัวแล้ว ซึ่งถ้าบางคนกลับคุณแม่ก็จะมีอาการปวดหลัง ปวดเหนือหัวเหน่า แล้วก็อาจจะมีการปวดขาหนีบ ในบางเคสที่มีอาการเรียกว่ามดลูกมีการเกร็งตัวบ่อยคุณแม่นกจากมีการปวดหลังสิ่งที่ต้องระวังก็คือพอมีการแข็งตัวของมดลูกบ่อยเราต้องระวังเรื่องการเจ็บท้องก่อนกำหนด

ซึ่งภาวะนี้เป็นภาวะที่ต้องบอกว่าถึงแม้เราจะมีการตรวจการทำนายแต่เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด ฉะนั้นอาการต่างๆ ที่ไม่แน่ใจคุณแม่ต้องไปปรึกษาคุณหมอที่ฝากครรภ์ คุณหมอที่ฝากครรภ์ก็จะเป็นเหมือนนักสืบค้นว่าคุณแม่มีความเสี่ยงตรงไหนมีอาการอะไรที่ผิดสังเกต

ปัจจุบันมีเครื่องที่ตรวจวัดสุขภาพเด็กโดยเราเอาไปวัดที่หัวใจน้องวัดเสร็จเราก็จะมีเครื่องวัดการบีบตัวของมดลูกซึ่งตรงนี้ถ้าเรามีการบีบตัวมดลูกที่มากกว่าปกติ ถี่มากกว่าปกติและผิดปกติเราก็สามารถดูได้ว่าความถี่ที่มากขึ้นส่งผลให้ปากมดลูกมีการเลี่ยนแปลงเปิดหรืออ้าออกก่อนกำหนดไหม ส่วนสุขภาพหัวใจหมอก็จะตรวจได้ในไตรมาส 3 ถ้าน้องที่สุขภาพดีนอกจากโตดี การดรอปของหัวใจที่น้องเต้นก็เป็นอีกสัญญาณหนึ่งที่อาจจะบ่งชี้เด็กที่สุขภาพไม่ดี

ความเสี่ยงนี้ที่ห้ามทำ

ช่วงฝังตัวระยะแรก

เป็นการฝังตัวที่เหมือนเราปลูกต้นไม้เป็นช่วงที่ละเอียดอ่อน ฉะนั้นการสะเทือนที่รุนแรง การเกาะของเขายังเป็นระดับถุงน้ำคร่ำมาเกาะรกก็ยังบางอยู่การฝังตัวของรกเข้าสู่ผนังมดลูกก็ยังไม่เหมาะสม ฉะนั้นกิจกรรมใดๆ ที่คุณแม่ทำแล้วเสี่ยงต่อการสะเทือน

เช่น คุณแม่บางคนเป็นนักแบท ไปตีแบทหรือบางคนชอบกระโดดเชือก กีฬาที่สะเทือนมากๆ กีฬาที่มีความเสี่ยงที่จะมีการกระทบกระแทกกระเทือน เป็นสิ่งที่ไตรมาสแรกต้องเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง ส่วนที่ 2 ในไตรมาสแรกน้องจะเป็นช่วงที่ละเดียดอ่อนและ Sensitive ต่อสารเคมีและยาต่างๆ

บางคนอาจมีการใช้ยาประจำคุณแม่สามารถไปปรึกษาคุณหมอได้ครับว่ายาตัวนี้เราต้องเปลี่ยนไหม หรือยาตัวนี้เราสามารถทานต่อได้ไหมเพื่อควบคุมโรคที่เรามีอยู่หรือคุณแม่บางคนอาจมีการทานวิตามินหลากหลายเยอะมาก ซึ่งวิตามินบางตัวถ้ามากเกินความจำเป็นที่ควรจะมีก็จะมีเอฟเฟกต์กับเด็ก

ข้อห้ามช่วงตั้งครรภ์ไตรมาสที่2

ป็นช่วงที่แฮปปี้ที่สุดอาการแพ้หายไป ในเคสที่คุณแม่ชอบออกกำลังกาย ในไตรมาสที่ 2 เป็นช่วงที่เริ่มได้ จะสามารถออกกำลังกายเบาๆ บางประเภทได้ เช่น การว่ายน้ำ การเดินจ๊อกกิ้ง แต่ก็ยังแนะนำว่ากีฬาที่มีการกระแทกกระเทือนหรือเสี่ยงต่อการล้ม เช่น คุณแม่ชอบปั่นจักรยานขึ้นลงภูเขา

พวกนี้จะเสี่ยงต่อการหกล้มซึ่งคนท้องหกล้มไม่ดีอยู่แล้ว นอกจากเราช้ำเราก็ไม่สามารถประเมินได้ว่าลูกเราจะเป็นอย่างไรลูกเราจะอันตรายไหมก็กลายเป็นความกังวลเราก็ต้องมาพบคุณหมออีก

ข้อห้ามช่วงตั้งครรภ์ไตรมาสที่3

สรีระเราเปลี่ยนไปเยอะน้ำหนักเราขึ้น การออกกำลังกายก็ค่อนข้างลำบาก ในไตรมาส 2 กับ 3 ในส่วนที่ออกกำลังกายหรือส่วนที่ปรับชีวิตที่เหมาะสม อย่างเช่น การออกกำลังกายโดยการเล่นโยคะ การยืดกล้ามเนื้อหลังในท่าที่สะดวก ใช้ชีวิตการทำงานในท่าที่ไม่ Fix เกินไป

เช่น บางคนอาจจะต้องทำงานหน้าจอต้องนั่งหน้าคอมประมาณวันละ 6-8 ชั่วโมง จะแนะนำว่านั่งทำได้แต่เราอาจจะมีการพักสายตา เราอาจจะต้องเปลี่ยนสรีระ อย่างเช่น นั่งสักพักหนึ่งเราก็อาจจะเปลี่ยนท่าเพื่อรีแลกซ์ ทั้งความเครียด ทั้งการพักสายตา ก็มีส่วนทำให้คุณแม่ไม่อึดอัด มีส่วนการพักกล้ามเนื้อการปวดหลังก็จะดีขึ้น

ส่วนคุณแม่ที่ขับรถเองหมอแนะนำว่าการใช้หมอนรองการใช้เบาะที่นุ่มมากขึ้นหรือแม้แต่บางทีคุณแม่ที่น้ำหนักตัวเพิ่มเร็วจะแนะนำเปลี่ยนรองเท้าที่นุ่มขึ้นเพราะบางคนน้ำหนักขึ้นมากๆ ก็เป็นรองช้ำพบว่าส้นเท้าหรือเอ็นข้อเท้าต่างๆ อักเสบและปวดได้

ก็เป็นการปรับตัวเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้ชีวิตแต่ละไตรมาส ทีนี้โควิดเข้ามาชีวิตเราเปลี่ยนแปลงหมด เราก็พบว่าบางอย่างเราอยากทำก็ทำไม่ได้ การออกกำลังกายก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไป เราต้องบาลานซ์ระหว่างอันตรายที่เกิดขึ้นกับสุขภาพที่เรามี

ฉะนั้นหมอคิดว่าคนท้องก็ยังออกกำลังกายได้เราอาจจะเลือกสถานที่ อย่างเช่น แทนที่จะเดินนอกบ้านก็อาจจะเป็น Exercise ในบ้าน การที่จะไปสถานออกกำลังกายเราอาจจะต้องเลือกที่ๆ ไม่แออัด ตลอดจนการว่ายน้ำระหว่างตั้งครรภ์จริงๆ เหมาะสมแต่เราอาจจะเลือกบริเวณสระที่ผู้คนไม่พลุกพล่าน

อาจจะมีความเป็นส่วนตัวเพื่อลดการแพร่เชื้อ จริงๆ การว่ายน้ำต้องบอกว่าคนท้องถึงไม่ได้ว่ายน้ำเขาก็มีโอกาสจะเป็นตะคริวได้ง่ายขึ้น ฉะนั้นถ้าคุณแม่ไปว่ายน้ำหมอแน่นำอย่างหนึ่งคุณแม่ต้องมีบัดดี้ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อหรือเพื่อนไปด้วยพอเกิดอะไรขึ้นมาอย่างน้อยช่วยเราได้

ความเครียดกระทบลูกในครรภ์

ความเครียดเป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้ตั้งแต่เราตั้งท้องแรกๆ เพราะบางเคสอาจมีการตั้งครรภ์ที่ยังไม่พร้อมมันก็เกิดความเครียดแล้ว หรือพอตั้งครรภ์ขึ้นมามีการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนของร่างกาย ซึ่งคุณแม่ก็จะเกิดความเครียดตลอดจนถึงภายนอกสมมุติในช่วงนี้คุณแม่ตั้งครรภ์ขึ้นมาเชื้อโรคต่างๆ สภาวะแวดล้อมต่างๆ ไม่ว่าจะฝุ่น PM2.5 โควิด ต่างๆ เข้ามาทีนี้การต้องอาศัยทั้งตัวคุณแม่เองการรีแลกซ์เป็นส่วนหนึ่งซึ่งบางทีเราบอกอยาก

คนรอบข้างช่วยคลายความเครียด

ส่วนที่ช่วยได้มากๆ คือคนข้างตัวคุณพ่อคุณตาคุณยายที่อยู่รอบข้างต้องคอยเฝ้าสังเกตเพราะว่าคนท้องบางคนจะมีการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนและเกิดภาวะซึมเศร้าได้ ฉะนั้นคนรอบข้างอาจจะมีส่วนช่วยที่คนรอบข้างเองอาจจะไม่ได้อุ้มท้องเขาอาจจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนและเขาก็สามารถเฝ้าสังเกตคนท้องได้ว่าภาวะเป็นอย่างไร

คุณพ่อก็อาจจะมีหน้าที่หลักคุณแม่อยากทานอะไรที่สามารถเซอร์วิสคุณแม่ได้คุณพ่อช่วย คนท้องจะมีอารมณ์ที่เหวี่ยงอาจจะดีหรือเลวหรืออารมณ์เปลี่ยนแปลงเร็วคุณพ่อมีส่วนช่วยในการรับมือเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนคุณพ่อก็ดูแลคุณแม่ได้ คุณแม่ก็จะมีความรีแลกซ์

พักผ่อนให้เพียงพอ

ต้องบอกว่าเวลาเราท้องการได้ยิน การรับรสการรับกลิ่นเราจะเปลี่ยนไปทำให้การหลับนอนที่ไม่สนิทก็เกิดความเครียด การรับมือกับความเครียดก็ทำได้เหมือนกับเรื่องทั่วๆ ไปก็คือบางทีเราก็อาจจะไปเที่ยวชายทะเลบ้าง

เพลงช่วยผ่อนคลาย

การเปิดเพลงได้ประโยชน์นอกจากคุณแม่ฟังเพลงแล้วเราพบว่าเพลงดนตรีบางประเภท เช่น เพลงโมสาร์ท เพลงดนตรีบางประเภทช่วยเสริมทักษะด้าน EQ ของน้องด้วย ซึ่งตรงนี้เป็นประโยชน์คุณแม่ได้รีแลกซ์ การผ่อนคลายจะมีการหลั่งสารบางอย่างที่ช่วยให้กล้ามเนื้อเราคลายตัวและเกิดการผ่อนคลาย

ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่แนะนำสำหรับคุณแม่มือใหม่หรือคุณแม่มือเก่าท้องที่ 2 ท้องแรกเราไม่ได้ทำอะไรเลยท้องที่ 2 เราอาจมีการเปิดเพลงกระตุ้นแล้วเราก็ได้พักผ่อนคุณพ่อคอยดูคอยสังเกตอาการคุณแม่แล้วก็พาไปเที่ยว การทำกิจกรรมบางอย่างร่วมกันก็สามารถช่วยได้คนในครอบครัวช่วยกันคุณแม่เหนื่อยมามากแล้วอุ้มท้องมาตลอด 9 เดือน เขาต้องการคนดูแลร่วมด้วยที่ดี

ซึ่งถ้าทั้งครอบครัวคนรอบข้างช่วยกันดูแลดี คุณแม่เองบางครั้งอาจจะรับมือไม่ไหวคนเดียว แต่ว่ามีคุณพ่อ คุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย ช่วยกันดูแลคุณแม่เป็นตัวสำคัญเลยทุกๆ คนเป็นปัจจัยที่มีส่วนให้คุณแม่ดำเนินการท้องตลอด 9 เดือน คุณแม่คลอดหลานหรือลูกที่น่ารักออกมาเป็นความสุขของทุกๆ ท่าน

หมั่นสังเกตตัวเอง

คุณแม่พอจับจุดได้ว่าเราเริ่มเครียด ถ้ารับมือกับปัญหาไม่ไหวสิ่งที่ช่วยได้ก็คือการพูดคุยไม่ว่าจะพูดคุยกับเพื่อนสนิท การพูดคุยกับแฟน การพูดคุยกับคนในครอบครัว ต้องบอกว่าเหมือนหลักจิตวิทยาคุณหมอที่มีการรักษาคนไข้ที่มีความเครียด

คุณหมอจะให้เขาพูดคุยระบายออกมาในส่วนที่เขามีความกังวลส่วนที่เขาไม่สบายใจคนที่อยู่รอบข้างจะเป็นคนที่มีการเสริมไม่ว่าจะเป็นการรับฟังเฝ้าดูเขา ภาวะที่มีเหล่านี้ในเคสบางเคสถ้ารับมือด้วยตัวเองได้คุณแม่เยี่ยมมาก แต่ถ้าเราไม่ไหวจริงๆ คุณแม่สามารถปรึกษาคุณหมอได้ คุณหมอจะมีการประเมินสกอร์ความเครียดอยู่ระดับไหนแล้วก็ส่งปรึกษาอาจารย์ที่เป็น Special list ด้านเกี่ยวกับความเครียดแล้วก็มีกิจกรรมให้ทำ

เราพบว่าโควิดตอนนี้มีลักษณะที่เข้าแล้วออกไปแล้วคงอยู่กับเราโดยที่เราสามารถใช้ชีวิตอยู่โดยไม่เป็นอันตรายกับชีวิตมากนักเราอาจมีการจัดกิจกรรมเพื่อคุณแม่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยในการผ่อนคลาย บางคนท้องแรก 9 เดือนจะคลอดอย่างไรคุณแม่สามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญแล้วก็ฟังรายการรักลูก

คุณแม่ก็จะมีประสบการณ์ในส่วนที่ได้ยิน Expert แต่ละท่านมาพูดตลอดจนเราได้ข้อมูลข่าวสารบางอย่างที่เราสงสัยเราอาจจะเก็บความสงสัยแล้วไปถามข้อมูลกับคุณหมอที่ฝากท้องไม่จำเป็นต้องเก็บไว้คนเดียว หลายอย่างเราคิดได้กังวลได้แต่ถ้าเรามีการพูดคุยเราอาจจะรู้ว่าจริงๆ แล้วสิ่งนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เป็นอันตรายหรือการเปลี่ยนแปลงนี้เราสามารถรับมือได้เมื่อเราไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ

 

ติดตามฟังได้ที่รายการรักลูก The Expert Talk

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

รักลูก The Expert Talk EP.31: เลี้ยงลูกให้ฉลาดได้ตั้งแต่ในครรภ์

พันธุกรรมเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ทำให้ลูกฉลาด แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่การส่งเสริม กระตุ้นและดูแลลูกในครรภ์อย่างเหมาะสม ฟังเคล็ดลับส่งเสริมให้ลูกฉลาดตั้งแต่ในครรภ์ โดยนพ.ภูมิพร อัจฉรารัตนโสภณ สูตินรีแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ โรงพยาบาลเวชธานี

การดูแลตัวเองของคุณแม่ในแต่ละไตรมาส

คุณแม่ท้องแต่ละคนดูแลตัวเองดีอยู่แล้ว 3 ไตรมาสเขารู้อยู่แล้วว่าต้องดูแลตัวเองอย่างไร อยากให้คุณหมอบอกถึงพัฒนาการแต่ละไตรมาสที่สำคัญที่คุณแม่จะต้องรู้ก่อน 3 ไตรมาสนี้มีอะไรที่คุณแม่ห้ามพลาดบ้าง

ร่างกายแม่ไตรมาสที่1

พอเราตั้งครรภ์ไม่ว่าจะคุณแม่มือใหม่หรือมือเก่าแต่ละท้องจะมีความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อย ๆ หรือรายละเอียดเล็กน้อยที่ที่ไม่เหมือนกัน ในส่วนของไตรมาสแรกที่หมอจะพูดถึงจะเป็นช่วงที่ละเอียดอ่อน

ไตรมาสแรกคือช่วงที่เขามีชีวิต เขาเริ่มฝังตัวกับมดลูก ฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในสภาพแวดล้อมต่างๆ คุณแม่เองอาจมีทั้งบางคนที่สุขภาพดีมาตลอดหรือบางคนที่มีโรคประจำตัว เบื้องต้นถ้าโดยส่วนตัวถ้าพูดถึงการพัฒนาในไตรมาสแรกเป็นช่วงที่เราต้องระวังเกือบทุกอย่างเลย

ส่วนที่ 1 ถ้าคุณแม่ได้ตรวจปัสสาวะและพบว่ามีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นหมอแนะนำอย่างหนึ่งเลยรีบไปพบคุณหมอ การที่เราจะตรวจเบื้องต้นในไตรมาสแรกคุณหมอมีตรวจหลายรูปแบบไม่ว่าจะดูประวัติคุณแม่ ประวัติครอบครัว การแพ้ยา ประวัติโรคประจำตัว การใช้ชีวิต การเข้าสังคมต่างๆ ซึ่งแต่ละส่วนก็จะมีเอฟเฟกต์ที่มีผลต่อทารกในท้องและตัวคุณแม่เอง

อย่างเบื้องต้นถ้าคุณแม่มีการตรวจปัสสาวะแล้วพบว่ามีการตั้งครรภ์ ให้ไปตรวจกับคุณหมอก่อนว่าการตั้งครรภ์เป็นผลตรวจปัสสาวะให้ผลลวงไหม หรือตรวจแล้วปัสสาวะให้ 2 ขีดแล้วตั้งครรภ์จริงไหม เพราะมีหลายเคสที่เราตรวจปัสสาวะขึ้น 2 ขีด บอกว่าตั้งครรภ์แต่เราไปตรวจจริงๆ แล้วมีการตั้งครรภ์จริงหรือไม่

เพราะการตรวจปัสสาวะเป็นการบอกการตั้งครรภ์อย่างหนึ่งซึ่งการตั้งครรภ์ที่เพี้ยนกว่าปกติ เช่น การตั้งครรภ์ที่เป็นท้องลม หรือการตั้งครรภ์ที่เป็นท้องนอกมดลูกเขาก็ให้ผลที่เป็น 2 ขีดเหมือนกันเมื่อเจอคุณหมอ

คุณหมอจะมีการตรวจอัลตร้าซาวด์ซึ่งตัวนี้เป็นการยืนยันที่แน่นอนว่าคุณแม่ตั้งครรภ์และการฝังตัวที่เหมาะสม พอมีการตั้งครรภ์ที่เหมาะสมคุณหมอตรวจอัลตร้าซาวด์คุณหมอสามารถตรวจโพรงมดลูกให้คุณแม่ได้ด้วยว่าลักษณะมดลูกมีความผิดปกติหรือการเปลี่ยนแปลงอย่างไร

หมอจะบอกคร่าวๆ ว่าเวลาที่คุณหมอตรวจอัลตราซาวด์ถ้าคุณแม่ไปพบคุณหมอๆ ตรวจอะไรบ้าง เบื้องต้นคุณหมอก็จะมีการตรวจว่าเขาฝังตัวดีไหม การฝังตัวของตัวอ่อนก็มีผลก่อนที่เขาจะพัฒนาเป็นตัวการฝังตัวที่ไม่เหมาะสมมันก็มีเอฟเฟกต์ เช่น การฝังตัวที่นอกมดลูก หรือการฝังตัวที่ตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม มันก็อาจจะมีการหลุดหรือมีภาวะแทรกซ้อนได้

ส่วนที่ 2 คุณหมอจะมีการดูโครงสร้างมดลูกที่สำคัญนอกจากตัวมดลูกเอง ปีกมดลูกคุณแม่มีก้อนมีซีสต์มีอะไรที่ผิดปกติไหมถึงแม้เราจะตรวจสุขภาพทุกปี เราพบว่าบางคนที่เราตรวจสุขภาพประจำปีทุกปีในแต่ละเดือนที่ผ่านไปบางทีมันอาจจะมีก้อนซีสต์ก้อนเล็กๆ หรือเนื้องอกก้อนเล็กๆ เกิดขึ้นมาซึ่งพวกนี้ก็มีเอฟเฟกต์เหมือนกันต่อทารก

ส่วนสำคัญอีกส่วนคือการฝังตัวของตัวอ่อนตำแหน่งที่ฝังตัวที่เหมาะสมจะเป็นยอดมดลูก คุณหมอสามารถวัดตั้งแต่ที่เขาเป็นถุงตั้งครรภ์เล็กๆ ว่าเยื้อบุมีความหนาเหมาะสมไหมของการฝังตัว ในบางเคสที่เยื่อบุไม่เหมาะสมมีความบางเราอาจจะต้องระวังและเทคแคร์ตัวเองมากกว่าปกติเพราะในเยื่อบุมดลูกที่บาง ก็เหมือนหน้าดินที่บางเวลาเราปลูกต้นไม้พื้นดินที่ไม่ค่อยเหมาะสมเมล็ดพืชที่มันเกิดขึ้นมาเป็นต้นมันก็จะไม่เหมาะสม ฉะนั้นการฝังตัวเราดูเยื่อบุได้และทำนายได้ว่ามันจะดีหรือไม่ดี

ส่วนถัดไปน้องเองพัฒนาจากเซลล์เล็กๆ ที่เราเห็นเป็นแค่ถุงน้ำคร่ำที่ฝังตัวจากนั้นเขาก็จะค่อยๆ เป็นตัวและมีการเชื่อมสายใยกันโดยมีการสร้างเป็นทั้งรกสายสะดือและมีการส่งเลือด Pass ระหว่างแม่กับลูกผ่านทางรกและสายสะดือ อวัยวะสำคัญที่เขาเริ่มพัฒนาเลยตั้งแต่ช่วงแรกก็จะเป็นโครงสร้างลำตัวสมอง หัวใจ และระบบประสาทต่างๆ จะเป็นตัวเริ่มแรกที่มีการพัฒนา ที่นี้เราต้องระวังอะไรบ้างเราดูแลตัวเองดีแล้ว ผลที่มันมีเอฟเฟกต์หลายอย่างที่หมอกล่าวไปมีตั้งแต่

1.โรคประจำตัวแฝงอยู่โดยที่เราไม่รู้

ตรวจสุขภาพแต่บางโรคที่เราตรวจสุขภาพประจำปีอาจไม่ได้โฟกัสเรื่องการตั้งครรภ์ เช่น เป็นภาวะเลือดจาง เป็นมีพาหะเป็นเลือดจางธารัสซีเมียซึ่งมีเอฟเฟกต์กับตัวอ่อนหรือทารกในครรภ์

2.พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน

บางอย่างที่คุณแม่เคยใช้ชีวิตประจำวัน เช่น เราอาจมีการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา ถ้ามีการตั้งครรภ์บางอย่างเราก็ต้องควรเลี่ยง หรือแม้แต่บางทีคุณแม่ไม่ได้สูบบุหรี่แต่ว่าที่ทำงานเพื่อนๆ หรือคนแวดล้อมมีการสูบบุหรี่ ซึ่งเราพบว่าการที่เราได้รับควันเข้ามาก็มีเอฟเฟกต์ต่อเด็กในท้องเหมือนกัน ส่วนการเตรียมตัวอย่างอื่น ภาวะ Nutrition ที่เหมาะสม

รับมือแม่แพ้ท้อง

คุณแม่บางคนพอตั้งครรภ์ขึ้นมาบางทีเราพบว่าจะมีอาการของคนแพ้ท้อง เช่น อาการคลื่นไส้อาเจียน เวียนหัว หน้ามืด บ้านหมุน ซึ่งภาวะแบบนี้จริงๆ แล้วบางส่วนเราสามารถดูแลรักษาเพื่อบรรเทาไม่ให้คุณแม่ทุกข์ทรมานมาก

โดยคุณแม่ก็ต้องไปปรึกษาคุณหมอเล่าถึงอาการต่างๆ ว่า มีอะไรที่มันเปลี่ยนแปลงแล้วรู้สึกไม่ปกติรู้สึกลำบากในการใช้ชีวิต เช่น เวียนศรีษะบ้านหมุนเป็นภาวะที่รุนแรงมากผิดปกติไหม หรือบางคนคลื่นไส้อาเจียนมาก

เราก็จะมีทั้งตัวยาที่บรรเทารักษาตามอาการ การรักษาอาการเวียนศรีษะบ้านหมุน ตัวยาที่ช่วยลดอาการคลื่นไส้อาเจียน ตลอดจนถึงวิตามินบางตัวสามารถลดอาการอาเจียนได้อย่างวิตามิน B6 ก็พบว่าสามารถช่วยเรื่องอาการคลื่นไส้อาเจียนแพ้ท้องได้ดีเหมือนกัน ซึ่งคุณหมอเวลาจัดให้คุณแม่อาการต่างๆ พอดีขึ้นเราก็ดำเนินชีวิตได้ปกติมากขึ้น

พัฒนาการลูกในครรภ์ไตรมาสที่1

จริงๆ แล้วก่อนที่จะถึงปลายไตรมาสแรกพอคุณหมอตรวจพบ น้องเริ่มพัฒนามากขึ้นในปลายไตรมาสแรกน้องเริ่มมีการพัฒนาแขนขามือเท้าที่สมบูรณ์ ในช่วงนั้นคุณหมอด้านเวชศาสตร์มารดาหรือคุณหมอสูก็จะมีการตรวจโดยวัดต้นคอเด็ก

ข้อดีขอการวัดอัลตราซาวด์ดูต้นคอเด็กสามารถทำนายได้ทั้งดาวซินโดรม หรือกลุ่มโคโมโซมที่ผิดปกติหรือกลุ่มโรคต่างๆ ที่ผิดปกติได้ซึ่งจริงๆ ในส่วนที่เราดูต้นคอยังมีตัวชี้แนะอีกหลายตัว อย่างเช่น เราพบภาวะหินปูนที่ห้องหัวใจน้อง หรือเราตรวจอัลตราซาวด์เราพบว่า ส่วนกระดูกดั้งจมูกของน้องไม่มีหรือสั้นกว่าปกติ

อันนี้ก็จะเป็นตัวทำนายเหมือนกัน จริงๆ ในยุคปัจจุบันเรามีการอัลตราซาวด์เชิงลึกเพื่อคัดกรองโรคต่างๆ ในไตรมาสแรกของน้องด้วย ในไตรมาสแรกเราพบว่ากระเพาะอาหารน้องจะเริ่มทำงานก็คือน้องจะเริ่มมีการกลืนน้ำคร่ำเข้ามา

ฉะนั้นในปลายสัปดาห์ที่ 11-12 เราควรอัลตร้าซาวด์แล้วก็เห็นกระเพาะของน้องทำงาน ซึ่งตัวนี้ก็เป็นตัวหนึ่งที่บอกสุขภาพบางอย่างหรือการทำงานของอวัยวะบางอย่างของเขาได้ ในไตรมาสแรกเราสามารถตรวจลิ้นหัวใจการรั่วได้ด้วย

ซึ่งข้อดีของการตรวจลิ้นหัวใจรั่วก็คือ มันบ่งชี้ถึงความผิดปกติของสุขภาพน้อง เป็นทั้งตัวหนึ่งที่บ่งชี้ได้ว่าน้องอาจจะมีความผิดปกติ เพราะว่าเด็กดาวซินโดรมเราพบว่าอาจจะพบมีภาวะลิ้นหัวใจด้านขวารั่วได้บ่อยกว่าเด็กอื่น รวมทั้งลำไส้บางคนมีลำไส้ที่เข้มกว่าปกติก็จะมีกลุ่มโรคบางอย่างที่ทำให้ลำไส้เข้มกว่าปกติ

ในเคสที่คุณแม่น้ำหนักไม่สูง หน้าท้องไม่ใหญ่มากในบางเคสก็สามารถเห็นได้ในระดับแขนขามือเท้า ซึ่งน้องบางคนน่ารักร่วมมือดีก็แบนิ้วให้เรานับด้วยตั้งแต่ไตรมาสแรกเลย

ไตรมาส 2 คุณแม่มีอะไรที่ต้องรู้และต้องระวังบ้าง

ปลายไตรมาสแรกเราจะมีการเจาะเลือดต่างๆ พอไตรมาสที่ 2 จะเป็นช่วงที่คุณแม่มา Follow up เราก็จะมีการแนะนำถึงผลเลือดต่างๆ ที่คุณแม่ได้เจาะว่ามีความผิดปกติผิดเพี้ยนอะไรไหมในช่วงประมาณ 15-16 สัปดาห์

พัฒนาการลูกในครรภ์ไตรมาสที่2

จากนั้นโครงสร้างของเขาพัฒนาอีกเราสามารถดูโครงสร้างที่ละเอียดอ่อนได้ อย่างเช่นการทำงานของไตหรือการพัฒนาของเนื้อไตเราก็จะเริ่มเห็นชัดขึ้นเลยตั้งแต่เริ่มไตรมาสที่ 2 พอกลางไตรมาสประมาณ 18-22 สัปดาห์ จะเป็นช่วงที่เช็กโครงสร้างโดยละเอียดของเด็ก

จะมีการตรวจโครงสร้างหลายๆ ส่วนของเด็กที่มีการพัฒนา เรารู้ว่าปกติเราตั้งครรภ์อยู่ที่ 9 เดือน สำหรับ 5 เดือนเรียกได้ว่าเกินครึ่งทางแล้วเรามาโฟกัสแล้วว่าการพัฒนาของน้องในท้องมีมากขึ้นมีอะไรที่มันผิดเพี้ยนไหม

ต้องบอกว่าตลอด 9 เดือนน้องเขาพัฒนาตลอดแล้วก็ไม่เพียง 9 เดือนที่เขาพัฒนาตลอดหลังจากคลอดเขาก็มีการพัฒนาอีกจะเหมือนกับที่อาจารย์หมอด้านพัฒนาการเด็กได้บอกไป เขาก็จะมีการพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ แต่ในแต่ละเดือนจะมีจุดโฟกัสที่เขามีการพัฒนาไปเรื่อยๆ

อย่างเดือนที่ 4 15-16 สัปดาห์ อวัยวะภายนอกของเด็กจะพอเห็นเพศแล้วว่าเป็นชายหรือหญิง ก็สามารถดูเรื่องเพศได้ ส่วนอื่นที่การทำงานเห็นชัดมากขึ้นในประมาณหลังไตรมาสแรกเข้าสู่ไตรมาส2 ก็อาจจะเห็นน้องมีการทำงานของไตเราอาจจะเห็นปัสสาวะในกระเพาะปัสสาวะของน้องก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่เราเห็นชัดมากขึ้น ในทางการแพทย์เราก็จะมีการตรวจอัลตร้าซาวด์เรียกว่ามาร์คเกอร์ต่างๆ ของเด็ก

ในไตรมาส 2 เช่น ต้นคอในไตรมาสแรก ต้นคอในไตรมาส 2 เราก็จะมีตัววัดเช่นกัน และส่วนอื่นๆ อีกที่เรามีการวัด ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างต่างๆ อวัยวะต่างๆ รวมถึงเราจะมีการวัดน้ำหนักน้องด้วยว่าขึ้นอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมไหม คุณแม่บางคนอาจจะกังวลในไตรมาสแรกแพ้มากน้ำหนักลดลง

น้ำหนักคุณแม่ไตรมาสที่2

แต่พอไตรมาส 2 โดยปกติแล้วก็จะแพ้ลดลง ทีนี้อาการแพ้ลดลงคุณแม่เริ่มทานได้ เราก็มาโฟกัสว่าน้ำหนักคุณแม่ที่ขึ้นมาเหมาะสมไหม ส่วนที่ 2 การขึ้นน้ำหนักของคุณแม่ที่เหมาะสมไปถึงน้องไหมบางคนคุณแม่ขึ้นดีมากแต่น้องยังตัวเล็ก ซึ่งถ้าน้องเล็กมากนอกจากภาวะที่คุณแม่กินผิดวิธีหรือกินอาหารผิดประเภททำให้น้องไม่โตและไปลงคุณแม่อย่างเดียว

มันก็จะมีอีกอย่างส่วนที่เราพบน้องตัวเล็กก็อาจมีภาวะผิดปกติเกิดขึ้น เช่น ภาวะติดเชื้อซ้อนแสงบางอย่าง หรือการทำงานของรกที่ไม่ค่อยดีส่งอาหารไม่ดีตั้งแต่ไตรมาสแรก ตั้งแต่ปลายไตรมาสแรกเข้าไตรมาส 2 น้องก็ตัวเล็กผิดปกติ

ความผิดปกติที่พบบ่อยไตรมาสที่2

ไตรมาสที่ 2 เราดูเรื่องความผิดปกติของน้องความสมบูรณ์ของน้องและการเจริญเติบโตของน้องว่าเหมาะสมไหม ส่วนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ คุณหมอก็จะมีการโฟกัสดูทั้งรก การไหลเวียนของเลือดที่สายสะดือหรือที่สามารถทำนายการทำงานของรกได้บางส่วน และสุขภาพคุณแม่ก็จะเริ่มเปลี่ยนไปถึงแม้จะแพ้น้อยลงแต่ว่าพอหลังจาก 4-6 เดือน

ภาวะเบาหวาน

น้ำหนักคุณแม่จะเริ่มเพิ่มขึ้นซึ่งตรงนี้จุดหนึ่งคุณหมอก็จะดูน้ำหนักการเพิ่มแต่ละช่วงของเดือนที่มาฝากครรภ์เหมาะสมไหมหรือเป็นภาวะเกินภาวะที่น้ำหนักขึ้นมากเกินไปจากการกินอาหารผิดประเภท มีภาวะเบาหวานเกิดขึ้นไหม หน้าท้องที่เล็กเกินไปน้ำคร่ำน้อยไปไหม หรือหน้าท้องที่ใหญ่เกินไปน้องก็โตปกติแต่น้ำคร่ำเยอะจนทำให้หน้าท้องคุณแม่ขยายก็จะเป็นภาวะที่ไตรมาส 2 ที่เราดูได้

ภาวะแท้ง

ส่วนอีกอันที่ปัจจุบันเราตรวจกันมากขึ้นคือการวัดความยาวปากมดลูกในการคัดกรองจริงๆ แล้วเราจะคัดกรองเฉพาะกลุ่มคุณแม่ที่มีความเสี่ยง อย่างเช่น เคยมีประวัติคลอดก่อน เคยมีประวัติแท้งน้องในช่วงไตรมาสที่ 2 ความยาวปากมดลูกเป็นตัวหนึ่งที่เราพบว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติทำให้เกิดภาวะแท้งน้องได้ แล้วก็เกิดภาวะคลอดก่อนกำหนดได้ด้วย

ภาวะครรภ์เป็นพิษ

ทีนี้การที่เราเกิดภาวะแบบนี้เราต้องบอกว่าบางที่การตรวจที่ดูระยะการเปลี่ยนแปลงของปากมดลูกมันทำนายได้ดีพอสมควรเลย จริงในปัจจุบันถ้าไตรมาสนี้ถ้าในต่างประเทศหรือในโรงพยาบาลใหญ่ๆ หลายๆ ที่เราจะมีการเจาะเลือดทำนายค่าการเกิดความผิดปกติที่จะเป็นภาวะครรภ์เป็นพิษ

เราจะมีการตรวจเอนไซน์บางตัวหรือสารเคมีในเลือดบางตัวที่ทำนายได้ว่าปกติเรารู้ว่าการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษจะเกิดหลัง 20 สัปดาห์ แต่จะมีสารเคมีบางตัวที่เจาะตัวนี้แล้วเราพบว่าอีกประมาณ 6-8 สัปดาห์ก็จะเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษได้ ซึ่งค่าทำนายก็ดีพอสมควรประมาณ 70 กว่าเปอร์เซ็นต์ ถ้าคุณแม่ที่มีความเสี่ยงหมอแนะนำเลยว่าอาจจะตรวจตัวนี้เพิ่ม ส่วนคุณแม่ที่ไม่มีความเสี่ยงคุณแม่จะตรวจเพิ่มก็ต้องคุยกับคุณหมอก่อน

เข้าสู่ไตรมาส 3

อย่างสรีระที่เปลี่ยนแปลงไป ที่พูดถึงเรื่องปวดหลังบางคนก็จะเริ่มเกิดตั้งแต่ภาวะช่วงปลายไตรมาสที่ 2 เข้าสู่ไตรมาสที่ 3 เพราะสรีระที่เรามีขนาดมดลูกที่โตมากขึ้นนอกจากทำให้เราอึดอัดแน่นมากขึ้น

บางส่วนของคนไข้ที่ช่วงโครงร่างรูปร่างค่อนข้างเล็กมันจะมีการเบียดถึงระดับซี่โครงทั้ง 2 ข้าง บางคนคุณแม่มีการเจ็บซี่โครงด้วย บางส่วนก็มีการเจ็บไปที่หลัง ที่นี้เมื่อมีการเบียดแบบนี้มากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากเกิดภาวะที่เจ็บ ทั้งปวดหลัง ทั้งปวดชายโครง บางคนก็เป็นกรดไหลย้อนเพิ่มขึ้นอันนี้ก็เกิดขึ้นได้ตั้งแต่ปลายไตรมาส 2 เข้าสู่ไตรมาส 3

ทีนี้ในส่วนไตรมาสที่ 3 จริงๆ ตั้งแต่ต้นไตรมาสที่ 3 เราจะมีการ Repeat การตรวจเป็นการตรวจคัดกรองเบาหวาน การตรวจเลือดการติดเชื้อในไตรมาสที่ 3 เพี่อดูว่ามีการติดเชื้ออะไรเพิ่มเติมไหมแล้วคุณหมอก็จะมีการ Follow ทั้งการโตของหน้าท้องคุณแม่ การเพิ่มขึ้นของน้ำหนักของคุณแม่แล้วก็มีการเช็กอัลตราซาวด์น้องโตเหมาะสมกับส่วนที่ควรจะเป็นไหม

พัฒนาการลูกในครรภ์ไตรมาสที่3 เราพบว่าตั้งแต่ 7 เดือน คนไข้กว่า 70-80% ทารกบางคนจะเริ่มกลับหัวแล้ว ซึ่งถ้าบางคนกลับคุณแม่ก็จะมีอาการปวดหลัง ปวดเหนือหัวเหน่า แล้วก็อาจจะมีการปวดขาหนีบ ในบางเคสที่มีอาการเรียกว่ามดลูกมีการเกร็งตัวบ่อยคุณแม่นกจากมีการปวดหลังสิ่งที่ต้องระวังก็คือพอมีการแข็งตัวของมดลูกบ่อยเราต้องระวังเรื่องการเจ็บท้องก่อนกำหนด

ซึ่งภาวะนี้เป็นภาวะที่ต้องบอกว่าถึงแม้เราจะมีการตรวจการทำนายแต่เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด ฉะนั้นอาการต่างๆ ที่ไม่แน่ใจคุณแม่ต้องไปปรึกษาคุณหมอที่ฝากครรภ์ คุณหมอที่ฝากครรภ์ก็จะเป็นเหมือนนักสืบค้นว่าคุณแม่มีความเสี่ยงตรงไหนมีอาการอะไรที่ผิดสังเกต

ปัจจุบันมีเครื่องที่ตรวจวัดสุขภาพเด็กโดยเราเอาไปวัดที่หัวใจน้องวัดเสร็จเราก็จะมีเครื่องวัดการบีบตัวของมดลูกซึ่งตรงนี้ถ้าเรามีการบีบตัวมดลูกที่มากกว่าปกติ ถี่มากกว่าปกติและผิดปกติเราก็สามารถดูได้ว่าความถี่ที่มากขึ้นส่งผลให้ปากมดลูกมีการเลี่ยนแปลงเปิดหรืออ้าออกก่อนกำหนดไหม ส่วนสุขภาพหัวใจหมอก็จะตรวจได้ในไตรมาส 3 ถ้าน้องที่สุขภาพดีนอกจากโตดี การดรอปของหัวใจที่น้องเต้นก็เป็นอีกสัญญาณหนึ่งที่อาจจะบ่งชี้เด็กที่สุขภาพไม่ดี

ความเสี่ยงนี้ที่ห้ามทำ

ช่วงฝังตัวระยะแรก

เป็นการฝังตัวที่เหมือนเราปลูกต้นไม้เป็นช่วงที่ละเอียดอ่อน ฉะนั้นการสะเทือนที่รุนแรง การเกาะของเขายังเป็นระดับถุงน้ำคร่ำมาเกาะรกก็ยังบางอยู่การฝังตัวของรกเข้าสู่ผนังมดลูกก็ยังไม่เหมาะสม ฉะนั้นกิจกรรมใดๆ ที่คุณแม่ทำแล้วเสี่ยงต่อการสะเทือน

เช่น คุณแม่บางคนเป็นนักแบท ไปตีแบทหรือบางคนชอบกระโดดเชือก กีฬาที่สะเทือนมากๆ กีฬาที่มีความเสี่ยงที่จะมีการกระทบกระแทกกระเทือน เป็นสิ่งที่ไตรมาสแรกต้องเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง ส่วนที่ 2 ในไตรมาสแรกน้องจะเป็นช่วงที่ละเดียดอ่อนและ Sensitive ต่อสารเคมีและยาต่างๆ

บางคนอาจมีการใช้ยาประจำคุณแม่สามารถไปปรึกษาคุณหมอได้ครับว่ายาตัวนี้เราต้องเปลี่ยนไหม หรือยาตัวนี้เราสามารถทานต่อได้ไหมเพื่อควบคุมโรคที่เรามีอยู่หรือคุณแม่บางคนอาจมีการทานวิตามินหลากหลายเยอะมาก ซึ่งวิตามินบางตัวถ้ามากเกินความจำเป็นที่ควรจะมีก็จะมีเอฟเฟกต์กับเด็ก

ข้อห้ามช่วงตั้งครรภ์ไตรมาสที่2

ป็นช่วงที่แฮปปี้ที่สุดอาการแพ้หายไป ในเคสที่คุณแม่ชอบออกกำลังกาย ในไตรมาสที่ 2 เป็นช่วงที่เริ่มได้ จะสามารถออกกำลังกายเบาๆ บางประเภทได้ เช่น การว่ายน้ำ การเดินจ๊อกกิ้ง แต่ก็ยังแนะนำว่ากีฬาที่มีการกระแทกกระเทือนหรือเสี่ยงต่อการล้ม เช่น คุณแม่ชอบปั่นจักรยานขึ้นลงภูเขา

พวกนี้จะเสี่ยงต่อการหกล้มซึ่งคนท้องหกล้มไม่ดีอยู่แล้ว นอกจากเราช้ำเราก็ไม่สามารถประเมินได้ว่าลูกเราจะเป็นอย่างไรลูกเราจะอันตรายไหมก็กลายเป็นความกังวลเราก็ต้องมาพบคุณหมออีก

ข้อห้ามช่วงตั้งครรภ์ไตรมาสที่3

สรีระเราเปลี่ยนไปเยอะน้ำหนักเราขึ้น การออกกำลังกายก็ค่อนข้างลำบาก ในไตรมาส 2 กับ 3 ในส่วนที่ออกกำลังกายหรือส่วนที่ปรับชีวิตที่เหมาะสม อย่างเช่น การออกกำลังกายโดยการเล่นโยคะ การยืดกล้ามเนื้อหลังในท่าที่สะดวก ใช้ชีวิตการทำงานในท่าที่ไม่ Fix เกินไป

เช่น บางคนอาจจะต้องทำงานหน้าจอต้องนั่งหน้าคอมประมาณวันละ 6-8 ชั่วโมง จะแนะนำว่านั่งทำได้แต่เราอาจจะมีการพักสายตา เราอาจจะต้องเปลี่ยนสรีระ อย่างเช่น นั่งสักพักหนึ่งเราก็อาจจะเปลี่ยนท่าเพื่อรีแลกซ์ ทั้งความเครียด ทั้งการพักสายตา ก็มีส่วนทำให้คุณแม่ไม่อึดอัด มีส่วนการพักกล้ามเนื้อการปวดหลังก็จะดีขึ้น

ส่วนคุณแม่ที่ขับรถเองหมอแนะนำว่าการใช้หมอนรองการใช้เบาะที่นุ่มมากขึ้นหรือแม้แต่บางทีคุณแม่ที่น้ำหนักตัวเพิ่มเร็วจะแนะนำเปลี่ยนรองเท้าที่นุ่มขึ้นเพราะบางคนน้ำหนักขึ้นมากๆ ก็เป็นรองช้ำพบว่าส้นเท้าหรือเอ็นข้อเท้าต่างๆ อักเสบและปวดได้

ก็เป็นการปรับตัวเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้ชีวิตแต่ละไตรมาส ทีนี้โควิดเข้ามาชีวิตเราเปลี่ยนแปลงหมด เราก็พบว่าบางอย่างเราอยากทำก็ทำไม่ได้ การออกกำลังกายก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไป เราต้องบาลานซ์ระหว่างอันตรายที่เกิดขึ้นกับสุขภาพที่เรามี

ฉะนั้นหมอคิดว่าคนท้องก็ยังออกกำลังกายได้เราอาจจะเลือกสถานที่ อย่างเช่น แทนที่จะเดินนอกบ้านก็อาจจะเป็น Exercise ในบ้าน การที่จะไปสถานออกกำลังกายเราอาจจะต้องเลือกที่ๆ ไม่แออัด ตลอดจนการว่ายน้ำระหว่างตั้งครรภ์จริงๆ เหมาะสมแต่เราอาจจะเลือกบริเวณสระที่ผู้คนไม่พลุกพล่าน

อาจจะมีความเป็นส่วนตัวเพื่อลดการแพร่เชื้อ จริงๆ การว่ายน้ำต้องบอกว่าคนท้องถึงไม่ได้ว่ายน้ำเขาก็มีโอกาสจะเป็นตะคริวได้ง่ายขึ้น ฉะนั้นถ้าคุณแม่ไปว่ายน้ำหมอแน่นำอย่างหนึ่งคุณแม่ต้องมีบัดดี้ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อหรือเพื่อนไปด้วยพอเกิดอะไรขึ้นมาอย่างน้อยช่วยเราได้

ความเครียดกระทบอะไรกับลูกในท้อง

ความเครียดเป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้ตั้งแต่เราตั้งท้องแรกๆ เพราะบางเคสอาจมีการตั้งครรภ์ที่ยังไม่พร้อมมันก็เกิดความเครียดแล้ว หรือพอตั้งครรภ์ขึ้นมามีการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนของร่างกาย ซึ่งคุณแม่ก็จะเกิดความเครียดตลอดจนถึงภายนอกสมมุติในช่วงนี้คุณแม่ตั้งครรภ์ขึ้นมาเชื้อโรคต่างๆ สภาวะแวดล้อมต่างๆ ไม่ว่าจะฝุ่น PM2.5 โควิด ต่างๆ เข้ามาทีนี้การต้องอาศัยทั้งตัวคุณแม่เองการรีแลกซ์เป็นส่วนหนึ่งซึ่งบางทีเราบอกอยาก

คนรอบข้างช่วยคลายความเครียด

ส่วนที่ช่วยได้มากๆ คือคนข้างตัวคุณพ่อคุณตาคุณยายที่อยู่รอบข้างต้องคอยเฝ้าสังเกตเพราะว่าคนท้องบางคนจะมีการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนและเกิดภาวะซึมเศร้าได้ ฉะนั้นคนรอบข้างอาจจะมีส่วนช่วยที่คนรอบข้างเองอาจจะไม่ได้อุ้มท้องเขาอาจจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนและเขาก็สามารถเฝ้าสังเกตคนท้องได้ว่าภาวะเป็นอย่างไร

คุณพ่อก็อาจจะมีหน้าที่หลักคุณแม่อยากทานอะไรที่สามารถเซอร์วิสคุณแม่ได้คุณพ่อช่วย คนท้องจะมีอารมณ์ที่เหวี่ยงอาจจะดีหรือเลวหรืออารมณ์เปลี่ยนแปลงเร็วคุณพ่อมีส่วนช่วยในการรับมือเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนคุณพ่อก็ดูแลคุณแม่ได้ คุณแม่ก็จะมีความรีแลกซ์

พักผ่อนที่เพียงพอ

ต้องบอกว่าเวลาเราท้องการได้ยิน การรับรสการรับกลิ่นเราจะเปลี่ยนไปทำให้การหลับนอนที่ไม่สนิทก็เกิดความเครียด การรับมือกับความเครียดก็ทำได้เหมือนกับเรื่องทั่วๆ ไปก็คือบางทีเราก็อาจจะไปเที่ยวชายทะเลบ้าง

เพลงช่วยผ่อนคลาย

การเปิดเพลงได้ประโยชน์นอกจากคุณแม่ฟังเพลงแล้วเราพบว่าเพลงดนตรีบางประเภท เช่น เพลงโมสาร์ท เพลงดนตรีบางประเภทช่วยเสริมทักษะด้าน EQ ของน้องด้วย ซึ่งตรงนี้เป็นประโยชน์คุณแม่ได้รีแลกซ์ การผ่อนคลายจะมีการหลั่งสารบางอย่างที่ช่วยให้กล้ามเนื้อเราคลายตัวและเกิดการผ่อนคลาย

ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่แนะนำสำหรับคุณแม่มือใหม่หรือคุณแม่มือเก่าท้องที่ 2 ท้องแรกเราไม่ได้ทำอะไรเลยท้องที่ 2 เราอาจมีการเปิดเพลงกระตุ้นแล้วเราก็ได้พักผ่อนคุณพ่อคอยดูคอยสังเกตอาการคุณแม่แล้วก็พาไปเที่ยว การทำกิจกรรมบางอย่างร่วมกันก็สามารถช่วยได้คนในครอบครัวช่วยกันคุณแม่เหนื่อยมามากแล้วอุ้มท้องมาตลอด 9 เดือน เขาต้องการคนดูแลร่วมด้วยที่ดี

ซึ่งถ้าทั้งครอบครัวคนรอบข้างช่วยกันดูแลดี คุณแม่เองบางครั้งอาจจะรับมือไม่ไหวคนเดียว แต่ว่ามีคุณพ่อ คุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย ช่วยกันดูแลคุณแม่เป็นตัวสำคัญเลยทุกๆ คนเป็นปัจจัยที่มีส่วนให้คุณแม่ดำเนินการท้องตลอด 9 เดือน คุณแม่คลอดหลานหรือลูกที่น่ารักออกมาเป็นความสุขของทุกๆ ท่าน

หมั่นสังเกตตัวเอง

คุณแม่พอจับจุดได้ว่าเราเริ่มเครียด ถ้ารับมือกับปัญหาไม่ไหวสิ่งที่ช่วยได้ก็คือการพูดคุยไม่ว่าจะพูดคุยกับเพื่อนสนิท การพูดคุยกับแฟน การพูดคุยกับคนในครอบครัว ต้องบอกว่าเหมือนหลักจิตวิทยาคุณหมอที่มีการรักษาคนไข้ที่มีความเครียด

คุณหมอจะให้เขาพูดคุยระบายออกมาในส่วนที่เขามีความกังวลส่วนที่เขาไม่สบายใจคนที่อยู่รอบข้างจะเป็นคนที่มีการเสริมไม่ว่าจะเป็นการรับฟังเฝ้าดูเขา ภาวะที่มีเหล่านี้ในเคสบางเคสถ้ารับมือด้วยตัวเองได้คุณแม่เยี่ยมมาก แต่ถ้าเราไม่ไหวจริงๆ คุณแม่สามารถปรึกษาคุณหมอได้ คุณหมอจะมีการประเมินสกอร์ความเครียดอยู่ระดับไหนแล้วก็ส่งปรึกษาอาจารย์ที่เป็น Special list ด้านเกี่ยวกับความเครียดแล้วก็มีกิจกรรมให้ทำ

เราพบว่าโควิดตอนนี้มีลักษณะที่เข้าแล้วออกไปแล้วคงอยู่กับเราโดยที่เราสามารถใช้ชีวิตอยู่โดยไม่เป็นอันตรายกับชีวิตมากนักเราอาจมีการจัดกิจกรรมเพื่อคุณแม่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยในการผ่อนคลาย บางคนท้องแรก 9 เดือนจะคลอดอย่างไรคุณแม่สามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญแล้วก็ฟังรายการรักลูก

คุณแม่ก็จะมีประสบการณ์ในส่วนที่ได้ยิน Expert แต่ละท่านมาพูดตลอดจนเราได้ข้อมูลข่าวสารบางอย่างที่เราสงสัยเราอาจจะเก็บความสงสัยแล้วไปถามข้อมูลกับคุณหมอที่ฝากท้องไม่จำเป็นต้องเก็บไว้คนเดียว หลายอย่างเราคิดได้กังวลได้แต่ถ้าเรามีการพูดคุยเราอาจจะรู้ว่าจริงๆ แล้วสิ่งนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เป็นอันตรายหรือการเปลี่ยนแปลงนี้เราสามารถรับมือได้เมื่อเราไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ

 

ติดตามฟังได้ที่รายการรักลูก The Expert Talk

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

รักลูก The Expert Talk EP.32: รู้ทัน “โรคหืด” ก่อนกระทบพัฒนาการ

รักลูก The Expert Talk EP.32: รู้ทัน “โรคหืด” ก่อนกระทบพัฒนาการ

จากการสำรวจจำนวนเด็กที่เป็นโรคหืด พบจำนวนเพิ่มขึ้นทุกๆ 10 ปี โดยเฉพาะที่ภาคเหนือ สาเหตุหลักมาจากสภาพแวดล้อมและมลพิษต่างๆ หากไม่ต้องการให้กลายเป็นโรคเรื้อรัง ต้องแก้ที่ต้นเหตุ ใช้ยาอย่างต่อเนื่องและติดตามการรักษากับคุณหมอ เพื่อไม่ให้โรคหืดกลายเป็นโรคเรื้อรังที่กระทบกับพัฒนาการและสุขภาพในระยะยาว

โดยผศ.ดร.นพ.สิระ นันทพิศาล หัวหน้าหน่วยโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

 

สาเหตุที่ตัวเลขโรคหืดเพิ่มขึ้น

ในประเทศไทยมีการสำรวจจำนวนเด็กที่เป็นโรคหืดมาประมาณ 30 ปีแล้ว และก็ทำมาเรื่อยๆ ประมาณทุก 10 ปี และพบว่าตัวเลขเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะที่ภาคเหนือในระยะ 10 ปีที่ผ่านมามีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนรวมไปถึงโรคภูมิแพ้อื่นๆ เช่น จมูกอักเสบภูมิแพ้

ซึ่งเป็นโรคคู่กันก็เจอเยอะขึ้นโดยเฉลี่ยอยู่ประมาณ  4-10%  ในประเทศไทยแล้วแต่ภูมิภาค ในกรุงเทพประมาณ6-7% สำหรับทุกช่วงอายุในผู้ป่วยเด็ก ถ้าโยงเกี่ยวกับเรื่องฝุ่นมลพิษหรือเปล่าจริงต้องบอกว่า

ปัจจัยการเกิดโรคหืดแต่เดิมเราบอกมันมีหลายปัจจัยก็คือเป็นเรื่องของพันธุกรรมเพราะคุณพ่อคุณแม่ที่เป็นโรคหืดมาก่อน ลูกจะโอกาสเป็นโรคหืดได้มากขึ้นตั้งต้นมาเหมือนต้นทุนเดิม 

ทีนี้ระหว่างที่เขาเติบโตมาเขาจะเผชิญกับสภาพแวดล้อมต่างๆ  ซึ่งหลายๆ คนก็จะบอกว่าเป็นเรื่องของสัตว์เลี้ยงหรือเปล่าการเลี้ยงสุนัข เลี้ยงแมวในบ้านจะสามารถทำให้เกิดเป็นโรคหืดได้ไหม ซึ่งอันนี้ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่า 2 อย่างนี้จะเป็นปัจจัยทำให้เกิดหืด

มลพิษ ควันบุหรี่ตัวร้าย

แต่สิ่งที่ชัดเจนมากๆ เลยคือส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของมลพิษ มลพิษอันดับแรกที่เรายังไม่ได้พูดถึงกันก็คือ ควันบุหรี่ อันนี้ตัวร้ายเลยเพราะว่ามีการศึกษาออกมาชัดเจนว่ามารดาที่ตั้งครรภ์ และระหว่างตั้งครรภ์สูบบุหรี่จะเป็นสาเหตุเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอาการหอบหืดในเด็กโดยเฉพาะเด็กอายุน้อยกว่า 3 ปี ชัดมาก ถือว่าเป็นปัจจัยหลัก

มีการศึกษาเพิ่มเติมด้วยว่าเป็น Secondhand Smoker คือหมายความว่าตัวคุณแม่ไม่จำเป็นต้องสูบเองแต่อยู่ในครอบครัวหรือในสภาพแวดล้อมที่มีควันบุหรี่เยอะๆ อันนี้ก็ส่งผลกับปอดของเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์เหมือนกัน เพราะฉะนั้นพอเด็กออกมามีความเสี่ยงถ้ายังอยู่ในสภาพแวดล้อมเดิม เขาก็จะเจอกับสารก่อภูมิแพ้ หรือสารระคายเคืองจากบุหรี่เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ 

PM2.5 ตัวการสำคัญ

ในระยะ 10 ปีถ้าเราติดตามข่าวสารกันก็จะทราบว่าภาวะโลกร้อนเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ปริมาณ PM2.5 เพิ่มมากขึ้น จริงๆ เรารู้จักกันมานานพอสมควรแล้วสำหรับฝุ่น PM2.5 แต่เพิ่งมาให้ความสนใจกันเยอะมากในปัจจุบัน ในช่วงประมาณ 10 ปีที่ผ่านมาตัวเลขจะมีการมอนิเตอร์กันเป็นประจำก็จะพบว่าในกรุงเทพมีค่ามลพิษโดยเฉพาะ PM2.5 เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

มีการศึกษากันแล้วว่าจุดตั้งต้นก่อน เอาง่ายๆ เลยมีการศึกษากันแล้วว่าถ้าเป็นแฝดแต่แยกที่กันเลี้ยงคนหนึ่งอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มี PM2.5 เยอะ อีกคนอยู่อีกที่หนึ่งหรือว่าพี่น้องกัน ปรากฎว่าคนที่อยู่ในสภาวะที่มี PM2.5 นานๆ เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคภูมิแพ้มากขึ้น 

ไรฝุ่นต้นเหตุที่มักถูกลืม

สุดท้ายเรื่องสารก่อภูมิแพ้ในอาการซึ่งอันนี้เราต้องแยกว่า PM2.5 ควันบุหรี่ อันนั้นเป็นการระคายเคืองทำให้อาการภูมิแพ้กำเริบ แต่สารก่อภูมิแพ้ก็คือโปรตีนต่างๆ เล็กๆ น้อยๆ ที่มันอยู่ในสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ เช่น ไรฝุ่น ไม่ใช่ฝุ่นละอองที่เรากวาดบ้านถูบ้านเจอกัน คือสัตว์เล็กๆ ที่กินรังแคเราเป็นอาหารรังของเขาก็คือที่นอนของเราเป็นบ้านหลักเลยอยู่กันทีเป็นล้านตัว

เพราะฉะนั้นเขาก็จะกินอาหารคือผิวเราเองแล้วเขาก็จะอุจจาระออกมาซึ่งตัวอุจจาระเป็นตัวก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้โดยเฉพาะในทางเดินหายใจ แล้วก็ยังมีซากละอองแมลงสาป เหล่านี้เป็นสิ่งที่แยกได้ยากมากหมายความว่าหลีกเลี่ยงยากมาก เพราะไรฝุ่นกับแมลงสาปอยู่กับเรามานานแสนนานเพราะฉะนั้นเราคงไม่สามารถไปกำจัดเขาให้ออกไปจากสภาพแวดล้อมได้

3 ปัจจัยจัยก่อโรคหืด

เพราะฉะนั้นหลักๆ สรุปเป็นประเด็น 3 ประเด็น คือ 1. พันธุกรรม 2. สารก่อภูมิแพ้ในอากาศ ที่เพิ่มมากขึ้นมาคือพวก ละอองเกสรดอกไม้ ตั้งแต่น้ำท่วมปี 54 และร่วมกับโลกร้อนจำนวนและสัดส่วนของหญ้าต่างๆ ในประเทศไทยเปลี่ยนเยอะและพวกนี้เป็นตัวกระตุ้นให้ปริมาณสารก่อภูมิแพ้ในอากาศโดยเฉพาะละอองเกสรดอกไม้มีมากขึ้นและมีการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนอย่างชัดเจน  3. มลพิษ

สังเกตุอาการโรคหืด

จริงๆ แล้วที่ถูกเราควรเรียกว่าโรคหืด แต่เวลาที่เด็กมีหืดกำเริบเราจะเรียกว่าอาการหอบ หลักๆ เราจะแบ่งการสังเกตอาการและสาเหตุการกระตุ้นอาการหอบเป็น 2 กลุ่มอายุ คือกลุ่มอายุน้อยกว่า 5 ปีและเกิน 5 ปีขึ้นไป

กลุ่มอายุน้อยกว่า 5 ปีอาการหืดกำเริบของเขาส่วนใหญ่จะสัมพันธ์กับการติดเชื้อทางเดินหายใจก็คือการเป็นหวัด แปลว่าเด็กที่มีอาการหอบเวลาที่เขาเป็นหวัดแต่ละครั้งจะมีอาการหอบกำเริบค่อนข้างง่าย อาจจะไม่ได้รุนแรงมาก สามารถสังเกตอาการได้อย่างไรถ้าอาการไม่รุนแรง

1. เด็กจะมีอาการไอค่อนข้างมาก สมมติมีเด็ก 2 คน คนหนึ่งเป็นหอบ คนหนึ่งไม่เป็นหอบ มานั่งคู่กันคนที่เป็นหอบเขาจะไอเยอะกว่าชัดเจน เวลาไปโรงพยาบาลบางครั้งเขาจะได้ยาขยายหลอดลมมากิน คนที่เป็นโรคหืดแล้วมีอาการหอบกำเริบเขาจะกินยาขยายหลอดลมแล้วอาการไปลดลงแปลว่าอาการไอควรจะตอบสนองกับการขยายหลอดลม

2. ไอนานมากเป็นหวัดส่วนใหญ่ไอ 5-7 วัน หาย เด็กที่เป็นหอบก็จะ 7-10 วัน ไปแล้วก็ยังไม่หายไอ ถ้าไม่เป็นหวัดอาหารที่พอสังเกตได้คือเขาวิ่งเล่นเหนื่อยๆ แล้วมีอาการไอเพราะว่าการออกกำลังเป็นตัวกระตุ้นทำให้อาการหอบกำเริบได้ 

หรือมีอาการไอตอนกลางคืนเพราะอากาศเย็นอันนี่ก็เป็นสิ่งที่กระตุ้นทำให้อาการไอหรือหอบหืดกำเริบเพิ่มมากขึ้น ตอนกลางวันถ้าไปเจอฝุ่นละอองหรือมลพิษต่างๆ เขาก็จะมีอาการไอ ลักษณะสำคัญเลยคืออาการไอเหล่านี้ถ้าได้รับยาขยายหลอดลมแล้วเขาจะดีขึ้น 

ในขณะที่เด็กโตจะเห็นค่อนข้างชัดเจนคือโอกาสการเป็นหวัดจะลดลง เพราะฉะนั้นเขาจะเป็นลักษณะของการแสดงออกที่สัมพันธ์กับกิจกรรมประจำวันมากกว่า เช่น ออกกำลังแล้วมีอาการไอ หรือสัมผัสสารก่อภูมิแพ้อันนี้ค่อนข้างชัดมาก เช่น คุณแม่กวาดบ้านอยู่ลูกไปวิ่งเล่นแถวนั้นก็เกิดอาการไอขึ้นมา 

ถ้าอาการรุนแรงมากขึ้นเขาก็จะมีอาการหอบซึ่งอาการหอบเหมือนวิ่งแล้วหอบ คือหายใจแรงขึ้น หายใจไม่ทัน มีอาการบ่นได้ก็จะบอกว่าแน่นหน้าอกอันนี้เป็นลักษณะของเด็กที่มีอาการหืดกำเริบ

หืดกับโรคภูมิแพ้

อาการอื่นๆ ที่อาจจะมีได้ก็อาการของโรคภูมิแพ้ที่มักจะพบร่วมกันกับอาการโรคหืดก็คืออาการภูมิแพ้ทางจมูก ซึ่งประมาณ 85% ของเด็กที่เป็นโรคหืดจะมีภูมิแพ้ทางจมูกร่วมด้วยก็เป็นอาการน้ำมูก จาม คันและคัดแน่นจมูกมีคันตาร่วมด้วย หลายๆ คนก็จะมีอาการนอนกรน อันนี้ก็เป็นอาการของโรคภูมิแพ้จมูกอักเสบซึ่งพบร่วมกันในเด็กที่เป็นโรคหืด

RSV ต่างจากโรคหืด

RSV จะเป็นในเด็กที่อายุน้อยกว่า 2 ปี ซึ่งอาการโรคหืดยังไม่ค่อยแสดงออกเท่าไหร่ ความคล้ายกันของเขาคือเขาจะมีอาการหอบเหมือนกันเวลาที่เราติดเชื้อ RSV เพราะว่า RSV เป็นการติดเชื้อของทางเดินหายใจส่วนล่าง หลอดลมฝอยมีการอักเสบเด็กจะมีหายใจเสียงหวีดเหมือนหอบหืดได้เลย

แต่ RSV พ่นยาขยายหลอดลมแล้วไม่ค่อยตอบสนองคือจะไม่หายหอบเท่าไหร่คือต้องรอให้เขาหายเอง อาการติดเชื้อดีขึ้นเสมหะในปอดลดลง อาการหอบก็จะลดลง ในขณะที่ถ้าเป็น RSV แล้วเด็กมีอาการหอบอยู่ด้วยรวมกันมันจะส่วนหนึ่งที่จะตอบสนองกับยาขยายหลอดลม

เป็นหวัดทั่วไปก็เหมือนกันปกติถ้าเป็นหวัดเป็นการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน เด็กทั่วไปก็จะไม่มีอาการหอบ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เป็นไข้หวัดธรรมดาแล้วมีอาการเหนื่อยหอบ หายใจเร็วแล้วก็ได้ยินว่าหายใจมีเสียงหวีดๆ เกิดขึ้น อันนี้เราก็จะบอกว่าแสดงว่ามีโรคหืดแฝงอยู่ เพราะฉะนั้นการตรวจ จริงๆ แล้วเราก็บอกว่าควรให้แพทย์เป็นคนวินิจฉัย

การทดสอบสมรรถภาพปอดในอายุน้อยกว่า 5 ปี มีข้อจำกัดคือทำไม่ได้เพราะต้องอาศัยความร่วมมือของผู้ป่วยต้องเกิน 5 ปีไปถึงพอจะทำได้ การวินิจฉัยถ้า 5 ปีขึ้นไปแล้วเราสงสัยว่าเป็นหรือไม่เป็นเราก็ส่งตรวจสมรรถภาพปอดไปเลย เป็นจุดยากเลยเป็นยาขมสำหรับหมอเด็กเหมือนกันไม่ใช่พ่อแม่อย่างเดียว หมอเด็กเองก็เด็กคนนี้อายุ 3ปี พ่นยามาแล้ว 3 รอบใช่หรือไม่ใช่โรคหืด

เพราะฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่ที่มีประวัติลูกเป็นแบบนี้เป็นหวัดแต่ละครั้งดูอาการแล้วแบบไอเยอะ ไปโรงพยาบาลก็ต้องมีการพ่นยา

การพ่นยาจะเป็นแบบฝอยละอองแล้วใช้เป็นตัวครอบแทนเป็นกรวยแล้วใช้เป็นยากดพ่น ก็ลองถามคุณหมอหลังจากที่มีการให้ยาขยายลมพ่นว่าลูก หลาน ตอบสนองไหม เสียงหายใจหวีดลดลงไหมหรือหายใจเร็วลดลงไหมหลังจากใช้ยาขยายหลอดลมถ้าเป็นอาการแบบนี้คือตอบสนองกับยาขยายหลอดลมได้ดีและปีหนึ่งเกิน 3 ครั้ง อันนี้มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคหืดสูง

แนวทางการรักษาโรคหืด

ต้องเป็นข้อความที่เราจะสื่อสารกันเป็นหลักไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครองหรือตัวผู้ป่วยที่เป็นผู้ใหญ่เราต้องแก้ความเข้าใจกันใหม่ เพราะเวลาที่คนไข้มาพบแพทย์ส่วนใหญ่เขาบอกว่ายาที่ดีที่สุดในการรักษาโรคหืดคือยาขยายหลอดลมซึ่งจริงๆ ถูกแค่บางส่วน เพราะว่ายาขยายหลอดลมจะใช้เมื่ออาการโรคหืดกำเริบคือมีอาการหอบเป็นเป้าหมายที่ลดความรุนแรงของอาการหอบที่กำเริบ

แต่จริงๆ เป้าหมายหลักของการรักษาโรคหืดคือเราต้องการให้ไม่เกิดอาการหืดกำเริบคนไข้ต้องไม่หอบเลย เพราะฉะนั้นเป้าหมายสำคัญคือควบคุมไม่ให้เกิดอาการหอบเพราะการหอบแต่ละครั้งเวลาที่เกิดอาการแต่ละครั้งมันจะมีการอักเสบในทางเดินหายใจหลอดลมฝอยจะมีการอักเสบเกิดขึ้นถ้ามีการปล่อยไว้ให้การอักเสบเป็นไปเรื่อยๆ มันจะมีการเสียสภาพของหลอดลมในระยะเบื้องต้น

ถ้าหอบยังไม่เป็นมากสภาพหลอดลมที่เสียไปสามารถกลับมาสู่สภาวะที่เป็นปกติได้ด้วยการรักษาของการใช้ยาควบคุมโรคหืด แต่ถ้าไม่ได้ใช้เลยการที่หลอดลมมันเสียสภาพมักจะกลายเป็นเสียถาวร

ยารักษาโรคหืด

เพราะฉะนั้นคิดเอาว่าถ้าเสียสภาพถาวรตั้งแต่เป็นเด็กโตขึ้นไปเขาจะไม่มีทางที่สมรรถภาพปอดเขาจะกลับมาสู่สภาวะปกติหรือเทียบเท่ากับคนอื่นได้ เพราะฉะนั้นต้องย้ำไม่ว่าโรคหืดจะเกิดเมื่อไหร่ก็ตาม ช่วงอายุไหนก็ตาม ยารักษาหลักคือยาควบคุมโรคหืดที่ไม่ทำให้เกิดอาการหอบ ซึ่งตรงนี้ในประเทศไทยหรือทั่วโลกเราจะมียาอยู่ 2 กลุ่ม

1. ยาพ่นชนิดสเตียรอยด์ 

2. ยากินที่สามารถใช้รักษาควบคุมโรคหืดได้ สองอย่างนี้จะเป็นยาหลักที่ใช้ในการรักษา ซึ่งผู้ป่วยจำเป็นต้องใช้ทุกวันไม่ว่าจะมีอาการหืดหรือไม่มีอาการหืดก็ตาม ถ้าเมื่อไหรก็ตามที่มีอาการกำเริบขึ้นมาเมื่อนั้นเราจึงจะใช้ยาขยายหลอดลมพ่นเพื่อทำให้บรรเทาอาการหืดกำเริบเฉียบพลัน เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วเราต้องรักษาที่สาเหตุหลักก็คือใช้ยาควบคุมโรคหืด

สำหรับยาสเตียรอยด์ จริงๆ แล้วเป็นยาที่ปลอดภัยและสามารถใช้ได้ทุกช่วงอายุแต่ก็จะมีข้อจำกัดบางอย่างเพราะว่าสเตียรอยด์ในเด็กอุปกรณ์ที่ยาจะอยู่เป็นชนิดพ่นจำเป็นจะต้องพ่นผ่านกระบอกต้องอาศัยความร่วมมือกับผู้ป่วยพอสมควรมีอุปกรณ์ต่อเพราะถ้าพ่นใส่ปากโดยตรงยาจะไม่ถึงปอด 

ผู้ปกครองหลายๆ คนจะมีความกังวลพูดขึ้นมาว่าเป็นสเตียรอยด์จะทำให้ส่งผลต่อการเจริญเติบโต ใช้ไป 1-2 ปีลูกจะเตี้ยไม่โตหรือเปล่า ติดเชื้อง่าย จริงๆ ต้องบอกว่าในปริมาณของการใช้เพื่อควบคุมโรคหืดจะเป็นขนาดที่ไม่มีผลกระทบข้างเคียงเยอะขนาดนั้น

ยากลุ่มที่ 2 ยาต้านการอักเสบที่ยับยั้งการทำงานของสารลิวโคไทรอีน เป็นยาชนิดกินซึ่งเป็นยาที่สามารถใช้ควบคุมโรคหืดได้เหมือนกันแต่เราก็จะมีการบริหารยาที่ง่ายเพราะจะมีทั้งเป็นแบบผง แบบเม็ด ซึ่งอันนี้ให้เด็กกินทุกวันต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน 

ทั้ง 2 ตัวมีประสิทธิภาพในการควบคุมโรคหืดได้ใกล้เคียงกัน แต่ต้องย้ำว่าทั้ง 2 ตัวนี้ไม่ใช่ยาขยายหลอดลมเพราะฉะนั้นพอหลายๆ คนบอกว่าต้องใช้ไปทุกวันถ้าเวลาหืดกำเริบขึ้นมาอย่างไรก็ต้องกลับไปใช้ยาขยายหลอดลม

แต่เป้าหมายหลักของเราถ้าใช้ยาตัวใดตัวหนึ่งไม่ว่าจะเป็นสเตียรอยด์พ่น หรือยากินควบคุมโรคหืดแล้วเราหวังว่าผู้ป่วยจะไม่มีอาการหืดกำเริบและก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ยาขยายหลอดลมสูตรพ่นเลยอันนี้คือเป้าหมายหลักจริงๆ 

โรคหืดรักษาและกินยาอย่างต่อเนื่อง

จริงๆ เรามีการให้ความรู้กับแพทย์ อัพเดทความรู้เราก็จะบอกเขาไปในกลุ่มของแพทย์ผู้ดูแลโดยเฉพาะหมอเด็กเพราะเรามีการอัพเดทแนวทางการรักษาอยู่เป็นประจำแล้วก็อยากยืนยันว่ายามีความปลอดภัยในการใช้ระยะยาว

ปัญหาสำคัญเลยคือผู้ปกครองมักจะหยุดยาก่อนถึงเวลาอันควร แต่จริงๆ รอยโรคในหลอดลมฝอยที่เวลาเราเกิดโรคหืดขึ้นมาแล้วมันอาจจะเป็นแผลที่ใหญ่พอสมควร ยิ่งเป็นมานานเป็นรุนแรงก็จะเป็นแผลที่ใหญ่

เพราะฉะนั้นการที่เราจะสมานแผลตรงนี้ให้มันกลับมาปกติได้และความไวของหลอดลมมันลดลงไปได้มันต้องใช้เวลายาวนานพอสมควรอย่างน้อยเป็นปี เพราะฉะนั้นกินยาหรือพ่นยาไปประมาณ 1-2 เดือนอาการสงบดีอย่าเพิ่งหยุด ควรจะมีการประเมินก่อนซึ่งคุณหมอก็เป็นคนประเมิน ซึ่งก็จะมีหลักการหลายๆ ข้อ อยากให้ไปพบแพทย์อย่าหยุดยาเองโดยเฉียบพลันโดยตัวเองลูกอาการสงบดีแล้วก็หยุดยาจริงๆ ถึงจะอาการสงบแต่ภายในอาจจะไม่สงบก็ได้ เป็นคลื่นใต้น้ำมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

ผลกระทบหากหยุดใช้ยา

มีผลโดยตรงกับพยาธิสภาพในปอดก็คือหลอดลมจะมีการเสียอาจจะถาวรได้ถ้ารักษาช้าหรือรักษาไม่ถูกต้องอันนี้หลอดลมเสียสภาพถาวรได้ซึ่งมันจะไปส่งผลกระทบทางอ้อมกับสุขภาพทางกายและทางใจของเด็ก

เพราะว่าเวลาที่เขามีภาวะหลอดลมไวเด็กเขาจะถูกกระตุ้นได้ง่ายถ้าเจออากาศเย็น เจอไรฝุ่นเล็กน้อยจะมีอาการไอแล้วสำคัญเลยโรคหืดมักจะไอตอนกลางคืนเด็กมักจะตื่นมาไอตอนตีสองตีสามซึ่งเป็นเวลาทองของการหลั่ง Growth Hormones เด็กจะโตได้จริงๆ แล้วเวลาทองของการนอนคือ 4ทุ่ม ถึงตีสอง แต่โรคหืดเวลากำเริบตอนกลางคืนแล้วเด็กไอตื่นขึ้นมา Growth Hormones มันจะหายไป

มีการศึกษาออกมาชัดเจนแล้วว่าเด็กที่เป็นโรคหืดแล้วรักษาด้วยสเตียรอยด์โตเร็วกว่าเด็กที่เป็นโรคหืดแล้วไม่ได้รับการรักษา 1 ปีประมาณ 1เซนติเมตรถือว่าเยอะอันนี้คือผลกระทบแน่ๆ ต่อการเจริญเติบโตแล้วถ้าตอนกลางคืนหลับไม่สนิทผลที่ตามมาคือตื่นเช้ามางอแง ปลุกไม่ตื่น ไม่อยากไปโรงเรียนทำให้ประสิทธิภาพในการเรียนลดลง ไม่ตั้งใจเรียน ทำข้อสอบไม่ได้อันนี้เราพบว่าอาจจะมีความสัมพันธ์กับสมาธิสั้นด้วย

อันนี้สำคัญอย่างที่บอกไปแล้วว่าโรคหืดกำเริบได้ด้วยการออกกำลังกาย เพราะฉะนั้นเวลาที่เด็กไปโรงเรียนสิ่งที่เขาอยากทำคือวิ่งเล่นกับเพื่อ เด็กที่เป็นโรคหืดเขาจะหยุดตัวเองโดยอัตโนมัติเพราะเขาจะรู้ว่าเขาวิ่งได้เท่านี้ เขาจะไม่วิ่งต่อหยุดเล่นเพื่อนก็วิ่งไปได้ไกลทั้งสนามแล้วแต่ลูกเราวิ่งไปได้ 50 เมตรก็หยุดวิ่งเขาก็จะรู้สึกเหมือนเป็นปมด้อยแล้วเขาก็จะไม่เข้าสังคมในเด็กเพื่อนๆ เขาได้ก็เป็นผลกระทบต่อทั้งจิตใจและร่างกายของเด็กพัฒนาการของเด็กด้วย

ภูมิแพ้ต้นตอโรคหืด

ในส่วนที่ต้องทำในเด็กเล็กหรือในเด็กที่น้อยกว่า 12 ปี เกือบ 100% จะเป็นกลุ่มที่เป็นภูมิแพ้แล้วตรวจพบว่ามีการไวต่อสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ เช่น ไรฝุ่น แมลงสาป สุนัข แมว หญ้าต่างๆ หรือเชื้อราอย่างใดอย่างหนึ่ง

ซึ่งถ้าเป็นไปได้อยากให้ไปตรวจกับกุมารแพทย์โดยเฉพาะกุมารแพทย์เชี่ยวชาญภูมิแพ้เพื่อประเมินทดสอบการแพ้ทางผิวหนังหรือตรวจเลือดดูว่าแพ้อะไร ระหว่างนี้ถ้าทราบแล้วก็อยากให้พยายามควบคุมสภาพแวดล้อมในบ้าน อย่างเช่น ถ้าแพ้ไรฝุ่นก็ต้องมีการลดปริมาณไรฝุ่นภายในบ้านให้ได้มากที่สุดซึ่งเป็นศัตรูตัวร้ายกาจ

เพราะประมาณ 70-80% ของผู่ป่วยเด็กที่เป็นภูมิแพ้จะแพ้สารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่นซึ่งเป็นศัตรูตัวจิ๋วที่อยู่ในบ้านเราแล้วก็สะสมอยู่บนที่นอนออกลูกออกหลานเก่งมากเป็นแมลงตัวเล็กที่มีเป็นร้อยเป็นพันเป็นล้านตัวในที่นอนเรา 

ฉะนั้นการกำจัดต้องใช้ความร้อนในการกำจัดต้องซักผ้าปูที่นอนด้วยน้ำร้อน 60 องศาขึ้นไป หมายถึงเอาผ้าไปอบเพื่อกำจัดรังของเขา หรือเป็นที่นอนที่สามารถกันไรฝุ่นได้หรือเป็นผ้าคลุมพิเศษที่หุ้มที่นอนที่ไรฝุ่นไม่สามารถเข้าไปอยู่อาศัยได้

อีกสิ่งที่เป็นที่สะสมไรฝุ่นก็คือตุ๊กตาต้องเอาไปซักทำความสะอาดถ้าเอาออกได้จะดีสุดถ้าต้องเก็บไว้จริงๆ เป็นน้องเน่าขออนุญาตน้องเอาไปล้างไปซักไปทำความสะอาดเพื่อให้ปริมาณของสารก่อภูมิแพ้ของไรฝุ่นลดลง ส่วนมากเทคนิคที่จะบอกพ่อแม่คือให้เขาเลือกไว้ตัวหนึ่งแล้วก็จัดห้องให้โล่งไม่มีฝุ่นเกาะ

เลี่ยงฝุ่นPM2.5 และควันจากการเผา

ฝุ่นและควันจากการเผาทำให้เกิดโรคหืด และโรคทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้ทางผิวหนังที่อาการจะกำเริบ มีอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ทำการศึกษาแล้วว่าระหว่างที่มี PM2.5 หนักๆ ที่เชียงใหม่มีอัตราการเกิดโรคเส้นเลือดสมองแตกเพิ่มมากขึ้นเพราะตัว PM2.5 เองมันสามารถทำให้เกิดการอักเสบที่เส้นเลือดของร่างกายได้เพราะฉะนั้นเส้นเลือดสมองเป็นจุดเป้าหมายเลยที่ทำให้เกิดอาการผิดปกติ

เพราะฉะนั้นไม่ใช่โรคหืดอย่างเดียวแต่กลับมาที่เด็ก PM2.5 ก็มีส่วนจริงที่ทำให้ตัวอาการโรคหืดเป็นเยอะขึ้นควบคุมได้ยากขึ้น ที่การกำจัดเราจะบอกไม่ให้ลูกออกไปนอกบ้านหรือไม่ให้ PM2.5 เข้าบ้านก็คงทำไม่ได้ช่วงนี้เป็นช่วงที่ดีเพราะว่าเด็กใส่แมสเราก็จะมีโอกาสสัมผัสฝุ่น PM น้อยลง

ต้องช่วยกันรณรงค์ในเรื่องของฝุ่น PM2.5 การเผาไหม้ทั้งหลายแล้วก็มลพิษจากการเผาไหม้รถยนต์ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ PM2.5 เยอะขึ้นถ้าบ้านไหนที่ Sensitive จริงๆ ก็อาจจะจำเป็นต้องมีเครื่องฟอกอากาศภายในบ้านแล้วก็แนะนำว่าถ้าจะเป็นห้องนอนช่วงที่มี PM2.5 เยอะๆ อาจจะต้องปิดหน้าต่างตอนกลางวันแล้วก็รอยรูรั่วต่างๆ ก็พยายามปิดไม่ให้ลมมันระบายเข้ามาและฟอกอากาศอย่างน้อยประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนเข้าห้องนอนก็สามารถช่วยได้อย่างชัดเจนพอสมควร

แนวทางการรักษาของโรคหืดและการใช้ยา

โรคหืดเป็นโรคที่เจอได้พอสมควรประมาณ 10% ในประเทศไทยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ไม่ใช่สิ้นหวังโรคหืดสามารถรักษาได้ควบคุมได้เพียงแต่การใช้ยาต้องทำความเข้าใจว่าโรคสามารถหายได้ควบคุมได้แต่ต้องใช้ยาอย่างสม่ำเสมอและใช้ยาถูกประเภท ยาควบคุมอาการโรคหืดไม่ว่าจะเป็นยาสเตรียรอยด์สูตรพ่นหรือว่ายากินที่เป็นยาต้าน

ในการรักษาโรคหืดระยะยาวและมีความปลอดภัยขอให้ผู้ปกครองและผู้ป่วยเองมีความมั่นใจในความปลอดภัยของตัวยา แต่อย่างไรก็ตามอย่าใช้ยาเอง อย่าหยุดยาเองควรมีการนัดติดตามจากแพทย์ผู้สั่งยา เพื่อปรับยาได้สม่ำเสมอและประเมินอาการว่ารักษาเพิ่มเติมอย่างไรนอกจากยา

ขณะเดียวกันก็จะได้ทราบวิธีการปฎิบัติตัวเวลาหืดกำเริบการใช้ยาขยายหลอดลมควรทำอย่างไร มีการตรวจประเมินเรื่องของภูมิแพ้ดูว่าต้องมีการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมในบ้านหรือว่าสภาพแวดล้อมทั่วไปรอบตัวของทั้งตัวเด็กเองและตัวผู้ใหญ่อย่างไร ฉะนั้นพบแพทย์สามารถดูแลได้รักษาได้ ในระยะยาวโรคหืดอาจจะไม่ได้หายขาดหายสนิทไปจากชีวิตเมื่อเป็นแล้ว แต่ควบคุมไม่ให้เกิดอาการเราก็จะสามารถมีชีวิตและการเจริญเติบโตของเด็กที่ปกติได้ไม่ต่างจากคนทั่วไป

ติดตามฟังได้ที่รายการรักลูก The Expert Talk

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

Steroids for sale on Christopher Briney is reputable online source

รักลูก The Expert Talk EP.33 : ฝุ่น PM2.5 ตัวร้ายทำลายภูมิคุ้มกัน

 รักลูก The Expert Talk EP.33 : ฝุ่น PM2.5 ตัวร้ายทำลายภูมิคุ้มกัน

ฝุ่น pm2.5 หรือชื่อเล่นว่า ฝุ่นจิ๋ว ความรุนแรงและผลกระทบไม่จิ๋วดังชื่อ เพราะหากไม่ป้องกันอย่างถูกต้อง เจ้าฝุ่น pm2.5 จะกระทบกับพัฒนาการ และทำให้เกิดโรคระยะยาวได้

 ฟังความรุนแรงของเจ้าฝุ่นจิ๋วพร้อมวิธีการรับมือ โดย The Expert 
พญ. สิริรักษ์ กาญจนธีระพงศ์ กุมารเวชศาสตร์ โรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน โรงพยาบาลนวเวช
 
 
PM2.5 ส่งผลกระทบอย่างไรกับสุขภาพของลูกเราบ้าง จริงๆ ก็ต้องมารู้จักกับฝุ่น PM2.5 ก่อน ชื่อเล่นของเขาฝุ่นละเอียด PM มาจากคำว่า Particulate matter คือฝุ่นที่มีอนุภาคเส้นผ่าศูนย์กลางเล็กกว่า 2.5 ไมครอน เล็กขนาดไหน เล็กขนาดที่ตามองไม่เห็นเล็กกว่าเส้นผมเราเกือบ 100 เท่า เล็กขนาดที่ขนจมูกเราไม่สามารถกรองไว้ได้ เพราะฉะนั้นความน่ากลัวของเขาๆ เป็นฝุ่นที่มีขนาดเล็กมากเขาก็ผ่านจมูกเราเข้าไปได้ หมายความว่าเขาก็จะผ่านไปในทางอากาศทางเดินหายใจทั้งส่วนบนลงไปส่วนล่างไปจนถึงหลอดเลือดได้เลยความน่ากลัวของเขาคือตรงนี้ เขาก่อโรคอะไรได้บ้าง

 

รวมถึงระบบอื่นคือผิวหนังกับดวงตาก็เป็นลักษณะระคายเคืองคล้ายๆ ระบบทางเดินหายใจจะพบว่าเด็กมีอาการแสบตา คันตา น้ำตาไหลง่าย รวมถึงแพ้แสงได้จากการที่ฝุ่นเข้า รวมถึงเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคตาแดงหลังจากที่มีอาการเยื่อบุตาอักเสบ

ส่วนที่ผิวหนังก็เป็นลักษณะอาการระคายเคืองเราจะแสบที่ผิวหนังผิวหน้าบริเวณที่เราไม่ได้ใส่แมสเราจะรู้สึกได้บางคนที่เป็นโรคภูมิแพ้อยู่แล้วอาการโรคผิวหนังที่เกิดจากภูมิแพ้อาจจะกำเริบก็จะมีลักษณะที่เป็นผื่นสากๆ แดงๆ คัน ขึ้นตามข้อพับแขนขาได้ คนที่เป็นโรคภูมิแพ้รุนแรงอยู่แล้วบางคนถึงขั้นลมพิษขึ้นอาการบวมที่ดวงตาและปากได้ถ้าเป็นระบบที่ค่อนข้างรุนแรง

เนื่องจากว่าฝุ่นละเอียดทะลุทะลวงมากไปถึงระบบหลอดเลือดเขาจะผ่านเข้าไปในระบบทางเดินหายใจหลังจากนั้นเขาก็จะเข้าถุงลมสามารถเข้าทางเส้นเลือดฝอยได้ เพราะฉะนั้นฝุ่นตัวนี้จะเข้าไปเป็นสารอนุมูลอิสระในหลอดเลือด ซึ่งสารอนุมูลอิสระจะทำให้เกิดการสร้าง Antioxidants ขึ้นมา เพราะฉะนั้นระบบเมตาบอลิซึมในร่างกายเราจะรวนจากฝุ่นตัวนี้ได้ เขายังสามารถนำพาโลหะหนักเข้าไปในร่างกายได้ด้วยเพราะฉะนั้นเขากลายเป็นสารก่อมะเร็งได้เช่นกัน

สังเกตเบื้องต้นแพ้ฝุ่น PM2.5

ในยุคปัจจุบันเราจะมีการเตือนอยู่แล้วผ่านทางพยากรณ์อากาศหรือ Application วัดค่า AQI เพราะฉะนั้นลักษณะของค่า AQI ค่อนข้างสูงในช่วง 1-50 ถือว่าปกติอากาศดีออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งได้ช่วง 50-100 เด็กที่เป็นภูมิแพ้ต้องระวัง ถ้าเกิน 100-200 ก็ค่อนข้างต้องระมัดระวังเป็นพิเศษหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งดีกว่า เพราะฉะนั้นตัวชี้วัดที่เป็นตัวเลขช่วยได้อยู่แล้ว นอกนั้นเราก็สังเกตจากอาการ อาการส่วนใหญ่มันทำให้เกิดการระคายเคือง เพราะฉะนั้นบริเวณทางเดินหายใจส่วนต้น ผิวหนังและดวงตาจะเป็นบริเวณที่ Sensitive เป็นพิเศษ ถ้าบุตรหลานมีอาการแสบ ระคายเคือง คันโดนที่ไม่มีสาเหตุที่ชัดเจนอาจจะเกี่ยวกับฝุ่น PM2.5

ดูแลเบื้องต้นเมื่อลกแพ้ฝุ่น PM2.5

1.ระบบทางเดินหายใจ เนื่องจากว่าอาการคล้ายโรคภูมิแพ้อากาศ โพรงจมูกอักเสบ อาจมีน้ำมูก น้ำตาไหล ก็คือกลุ่มอาการคัด คัน จามทั่วไปเราก็เน้นการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือเป็นวิธีการเบื้องต้น

2.ถ้าเป็นดวงตาหรือผิวเราก็เน้นการทาโลชั่นที่มีมอยเจอร์ไรซ์เซอร์สูง ถ้าเราสัมผัสแล้วเราไม่แน่ใจให้ชำระล้างร่างกายให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ช่วยลดความรุนแรงของส่วนนี้ได้ ถ้าเป็นผื่นลมพิษเราใช้คารามายได้ แต่ถ้าเป็นลักษณะผื่นแสบคันเราเน้นใช้มอยเจอร์ไรซ์เซอร์มากกว่า

PM2.5 กระทบการทำงานสมอง

เข้าไปรบกวนเมตาบอลิซึม พอระบบเมตาบอลิซึมเรามีปัญหาก็จะเกิดอาการอ่อนเพลียได้ค่อนข้างง่าย คล้ายๆ กับการพักผ่อนไม่เพียงพอ เนื่องจากว่ามันเข้าไปในระบบหลอดเลือดมันก็เป็นสารอนุมูลอิสระอย่างหนึ่ง พอระบบเผาพลาญพลังงานหรือระบบเมตาบอลิซึมมีปัญหาเราก็จะอ่อนเพลียง่าย ก็จะรู้สึกว่าทำไมลูกเราอ่อนเพลียทั้งที่พักผ่อนเพียงพอกินอาหารเพียงพอ อันนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากการสูดฝุ่น PM2.5

วิธีดูแลป้องกันฝุ่น PM2.5

หลักการดูแลทั่วไปในช่วงที่มีฝุ่น PM2.5 สาเหตุของฝุ่น PM2.5 อันดับหนึ่งมาจากท่อไอเสียรถยนต์ การเผาไม่ว่าจะเป็นเผาขยะ ควันธูป การสูบบุหรี่ รวมถึงความกดอากาศมีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งจะเห็นว่าเวลามีปัญหา PM2.5 บริเวณแถบภาคเหนือภาคอิสานจะได้รับผลกระทบค่อนข้างเยอะจากเรื่องความกดอากาศของเขา เพราะฉะนั้นการดูแลหลักๆ เลยคือ

ใส่หน้ากากที่เป็นมาตรฐาน สำหรับป้องกันฝุ่น PM2.5 จริงๆ มีหน้ากาก N95 เท่านั้น แต่ที่เรารู้กันคือหน้ากาก N95 มีราคาค่อนข้างสูงแล้วการใส่ N95 ค่อนข้างอึดอัดไม่สบายทำให้หายใจลำบากในเด็กและไซส์ของ N95 ก็ไม่เหมาะกับเด็กเท่าไหร่ เราก็อาจจะใช้เป็นลักษณะหน้ากากกรอง 3 ชั้น เรียกว่าหน้ากากอนามัยเราสามารถใส่หน้ากากอนามัยซ้อนกัน 2 ชั้นได้เพื่อป้องกันฝุ่น PM2.5 หรือเราอาจจะใช้หน้ากากที่เป็นผ้าฝ้ายแล้วใส่แผ่นกรองอากาศหรือกระดาษทิชชูก็พอจะลดปริมาณฝุ่น PM2.5 อนุภาคได้พอสมควรเหมือนกันอาจจะเหมาะกับลักษณะทางเดินหายใจและใบกับโครงหน้าของเด็กมากกว่า N95

สำหรับเด็กสามารถใส่หน้ากากได้ทั้งวันแต่ขอเป็นเด็กที่อายุเกิน 2 ปีขึ้นไปเพราะถ้าอายุต่ำกว่า 2 ปี ลักษณะการใส่หน้ากากตลอดเวลาอาจจะไปอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนต้นได้

สำหรับเครื่องฟอกอากาศถ้าเป็นลักษณะอาคารเปิดอย่างเช่น โรงเรียน หรือห้างสรรพสินค้าเราจะเป็นว่าไม่ได้เป็น Area ที่ปิดอยู่ตลอดเวลาเพราะฉะนั้นก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีฝุ่นผ่านเข้าไปบ้าง เครื่องฟอกอากาศก็เป็นอีกอุปกรณ์หนึ่งที่มาช่วย ณ ปัจจุบัน เครื่องฟอกอากาศปัจจุบันเป็นลักษณะการกรองแบบ Hepa Filter ทั้งอยู่แล้ว แต่ Hepa Filter จะเป็นลักษณะการกรองที่เป็นไรฝุ่นมีขนาด 5 ไมครอนขึ้นไปแต่เจ้าฝุ่นละเอียดของเรา PM2.5 มันเล็กกว่า 2.5 ไมครอน

เพราะฉะนั้นมันจะใช้เทคนิคเพิ่มเติมอื่นๆ สำหรับเครื่องฟอกอากาศ เช่น พวกกลุ่ม Airstream เทคนิคนี้คือการปล่อย Electron ประจุเร็วๆ ช่วยเข้ามาจับฝุ่นหรือ plasma cluster จะคุ้นหู อันนี้จะปล่อยประจุบวก ประจุลบ สำหรับการจับฝุ่นและการจับเชื้อโรค และมีเรื่องของ Minus ion generator ตัวนี้น่าจะคุ้นหูเพราะดังมากเป็นเครื่องฟอกอากาศแบบพกพาตัวนี้เขาจะปล่อยประจุลบออกมาเพื่อดักจับฝุ่นโดยเฉพาะฝุ่น PM2.5 ไม่เข้ามาในระบบทางเดินหายใจของเรา จะเป็นคำตอบช่วยผู้ปกครองได้ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องฟอกอากาศไม่ว่าจะเป็นเครื่องฟอกอากาศแบบตั้งโต๊ะ หรือเครื่องฟอกอากาศแบบห้อยคอติดตัวช่วยได้ในระดับหนึ่งเลือกให้เหมาะสม

สถิติเด็กที่เป็นภูมิแพ้จากฝุ่น PM2.5

เพิ่มขึ้น 3-5 เท่าจากรายงานปี 2021 อาจจะด้วยหลายๆ อย่าง เรื่องของเปลี่ยนแปลง เรื่องของการติดเชื้อไวรัสด้วย เรื่องของฝุ่นด้วย ยอดตัวเลขของภูมิแพ้เยอะขึ้นไม่ว่าจะภูมิแพ้อาหาร แพ้อากาศ รวมไปถึงโรคหอบหืดด้วย มาจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ณ ปัจจุบัน แต่เดิมเราอาจจะให้คำอธิบายว่าโรคภูมิแพ้มาจากพันธุกรรม 50% สิ่งแวดล้อม 50% แต่ตอนนี้ยังไม่มีใครบอกได้แน่นอนว่าเปลี่ยนไปเยอะขนาดไหน ก็พบว่าเป็นตัวเลขที่เยอะขึ้นกว่าในอดีตเกือบ 10 เท่าเลยทีเดียว

ฝุ่นกระทบแม่ตั้งครรภ์

จริงๆ อีกประเด็นคือฝุ่น PM2.5 ในหญิงตั้งครรภ์ก็ส่งผลกระทบพอสมควร เราพบว่าในช่วงที่มี PM2.5 เยอะๆ เราพบรายงานการคลอดก่อนกำหนดกับเด็กที่น้ำหนักน้อยกว่าปกติเยอะขึ้นมากแล้วก็เห็นว่ามันส่งผลกระทบช่วงตั้งครรภ์ เพราะฉะนั้นการดูแลในช่วงพีคของ PM2.5 เราแนะนำตั้งแต่ในช่วงตั้งครรภ์เลย

อยากให้คุณแม่ตั้งครรภ์ดูแลสุขภาพและระวังในเรื่องฝุ่น PM2.5 ให้มากๆ น้องที่คลอดออกมาอยากกระตุ้นแนะนำให้กินนมแม่อย่างน้อย 6 เดือน ถ้าเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงเยอะๆ อาจจะต้องกินนมพิเศษสำหรับการป้องกันภูมิแพ้ไปจนถึงอายุ 1 ปี นอกนั้นทั่วๆ ไปเราก็เน้นการกินอาหารที่มีประโยชน์ เน้นอาหารหลัก 5 หมู่ ส่วนอาหารที่ช่วยเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระพวกกลุ่มวิตามินซี วิตามินอี โอเมก้า เราก็แนะนำให้รับประทานมากขึ้น สุดท้ายคือการออกกำลังกายช่วยเสริมสร้างสมรรถภาพทางปอดลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคภูมิแพ้ได้ในทุกโรคภูมิแพ้อยู่แล้ว ช่วงนี้เน้น 3 เรื่องคือ 1.การใส่หน้ากากอนามัยให้ถูกวิธี 2. ล้างมือบ่อยๆ เน้นแอลกอฮอล์ 70% Food grade สำหรับเด็กเพื่อป้องกันอาการระคายเคือง
3. Social Distancing เว้นระยะห่างทางสังคม ช่วงพีคของฝุ่น PM2.5 เช็คค่า AQI ก่อนออกจากบ้านทุกครั้งด้วย

 
ฟังความรุนแรงของเจ้าฝุ่นจิ๋วพร้อมวิธีการรับมือ โดย The Expert 
พญ. สิริรักษ์ กาญจนธีระพงศ์ กุมารเวชศาสตร์ โรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน โรงพยาบาลนวเวช
 
 

รักลูก The Expert Talk Ep.34 : “โรคอ้วน” ก่อกวนพัฒนาการ

รักลูก The Expert Talk EP.34 : "โรคอ้วน" ก่อกวนพัฒนาการ

น้ำหนักที่เพิ่มขึ้น = จำนวนโรคที่เพิ่มขึ้น

ควบคุมน้ำหนักก่อนลูกอ้วน เพราะผลกระทบไม่ใช่แค่น้ำหนัก แต่กระทบถึงสุขภาพกายใจและพัฒนาการระยะยาว

 

ฟังวิธีการดูแลเมื่อลูกอ้วน โดย The Expert พญ. สิริรักษ์ กาญจนธีระพงศ์ กุมารเวชศาสตร์ โรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน โรงพยาบาลนวเวช

แบบไหนที่เรียกว่าลูกเราอ้วนแล้ว หรือแค่เจ้าเนื้อ จ้ำม่ำ 

เราพูดถึงนิยามของ โรคอ้วน ปัจจุบันเราใช้คำจำกัดความ 2 อย่าง 1. ดูน้ำหนักต่อส่วนสูงเกณฑ์มาตรฐาน หรือ Weight for Height ถ้า Weight for Height Percentile มากกว่า 95 เราถือว่าเริ่มอ้วนหรืออวบ ถ้าเกิน Percentile ที่ 99 เมื่อไหร่โรคอ้วนแล้ว แต่วิธีที่ง่ายขึ้นคือการดูดัชนีมวลกายหรือ BMI Body Mass Index  ที่เราคุ้นเคยคือการดูน้ำหนักต่อความสูงยกกำลังสองที่เป็นเมตรถ้าอยู่ที่ Percentile 86-95 เรียกว่าอวบ ถ้าเกิน Percentile ที่ 95 เรียกโรคอ้วนเหมือนกัน

ซึ่งสาเหตุโรคอ้วนไม่ได้มาจากสิ่งแวดล้อมอย่างเดียวมีเรื่องของพันธุกรรม กรรมพันธุ์ด้วยบางคนอ้วนตั้งแต่เกิดแล้วก็เป็นโรคกรรมพันธ์อย่างหนึ่ง หรือบางกลุ่มก็อาจจะเกี่ยวกับเกี่ยวกับต่อมไร้ท่อการหลั่งฮอร์โมนที่ผิดปกติ แต่ในหัวข้อที่เราคุยกันวันนี้น่าจะเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างเดียว สิ่งแวดล้อมที่พูดถึงคือไลฟ์สไตล์ทั่วไป หรือที่เราสงสัยว่าไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ในยุคโควิดเด็กเรียนออนไลน์ที่บ้านการออกกำลังกายลดลง

เพราะคุณพ่อคุณแม่จะกังวลการออกนอกบ้านของเด็กๆ รวมถึงเด็กเรียนออนไลน์นั่งอยู่เฉยๆ การขยับเขยื่อนเคลื่อนไหวรางกายลดลง พวกเมตาบอลอซึมก็ลดลง เดี๋ยวนี้มีเดลิเวอร์รี่เด็กก็หาอาหารทานกันสะดวกขึ้นการควบคุมอาหารก็จะลดลงก็เป็นความเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคอ้วนได้ในปัจจุบัน

 อ้วนกระทบระยะยาว

 จริงๆ ในเด็กเราต้องพูดถึงพัฒนาการก่อนเรื่องของการกระทบ เราแบ่งพัฒนาการออกเป็น 2 ส่วน คือร่างกายกับเรื่องของจิตใจและอารมณ์

 ด้านร่างกายหลักๆ อ้วนก็คือรูปร่างก็จะดูอ้วน ส่วนทางด้านร่างกายตรงๆ เลยพัฒนาการก็จะเกี่ยวกับเรื่องกล้ามเนื้อกระดูกและข้อ เด็กที่มีน้ำหนักตัวเยอะน้ำหนักจะกดที่กระดูกข้อเข่ากับข้อเท้าก็จะเกิดภาวะขาโก่ง Blount Disease ก็จะเห็นว่าเด็กที่น้ำหนักตัวเยอะก็จะดูขาโก่ง อีกกลุ่มหนึ่งจะเห็นไขมันสะสมบริเวณต้นขาเยอะ กลุ่มนี้จะข้อสะโพกหลุดค่อนข้างง่ายพอข้อสะโพกหลุดเด็กก็จะมีลักษณะเป็นขาฉิ่งตรงข้ามกับขาโก่งเราเรียก Knock knee กลุ่มนี้พอเดินบ่อยๆ จะสะดุดล้มค่อนข้างง่ายกระดูกก็หักง่ายเช่นกัน นี่คือผลกระทบโดยตรงของลักษณะพัฒนาการด้านร่างกาย 

 ส่วนเรื่องของจิตใจและอารมณ์เป็นอะไรที่เลี่ยงไม่ได้ เด็กที่เป็นโรคอ้วนเขาจะมีปัญหาเรื่องการหายใจอยู่แล้วเรารู้จักกันบ่อยๆ OSA Obstructive Sleep Apnea กลุ่มนี้เขาจะหลับไม่ค่อยสนิทตอนกลางคืนหรือมีภาวะหายใจลำบากนอนกรน การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอของเขาพอมาเรียนออนไลน์หรือมาเรียนหนังสือในตอนกลางวันเขาก็จะง่วง พอง่วงเขาก็จะขาดสมาธิเด็กบางคนผลการเรียนตกลงค่อนข้างชัดเจน อีกกลุ่มคือหงุดหงิดง่ายพอเราพักผ่อนไม่พอก็จะควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้ก็จะอารมณ์เสียง่าย สุดท้ายที่เลี่ยงไม่ได้เด็กจะสูญเสียความมั่นใจจากรูปร่างของตัวเองเกิดเป็นปัญหาระยะยาวเรื่องของ Self Confident ของเขาเอง 

ดูแลเมื่อลูกเริ่มอ้วน

การดูแลเริ่มจาก การควบคุมอาหาร 

1.เนื่องจากคนไทยกินข้าวเป็นหลักอยู่แล้วก็เน้นการกินข้าวกล้องมีโปรตีนและใยอาหารสูงทำให้อยู่ท้อง

2.อาหารประเภทผักผลไม้ที่หลากหลายสีสันได้พวกใยอาหารจะทำให้อยู่ท้องมากขึ้น

3.สุดท้ายลดแป้งไม่ต้องงดก็ได้ และลดอาหารที่มีน้ำตาลสูงๆ ลดอาหารประเภทของทอดที่มีไขมันสูงๆ เราอาจจะหา Snack ที่เป็นกลุ่มผลไม้ให้กินก่อนก็ได้จะได้อยู่ท้อง

การดูแลต้องเน้นการออกกำลังกายเพราะสาเหตุมาจากการเคลื่อนไหวของเราที่ลดลง เพราะฉะนั้นเด็กคนหนึ่งควรมีการออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมง ซึ่งจริงๆ แล้วถามว่าครอบครัวช่วยอะไรได้ คือไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการงดอาหารหรือการออกกำลังกายทำคนเดียวไม่ค่อยมีกำลังใจ ถ้าอยากให้ลูกลดน้ำหนักอย่างน้อยคุณพ่อคุณแม่ก็งดอาหารหรืออกกำลังกายไปพร้อมกับเขา ความร่วมมือภายในบ้านสำคัญมากคือถ้าทุกคนช่วยกันในบ้านแต่มีใครสักคนเผลอเอาขนมมาเก็บไว้ก็อาจจะล่อหน้าล่อตาได้อยากจะให้ทุกคนในบ้านร่วมมือไปพร้อมๆ กัน 

อีกเรื่องคือการพักผ่อนให้เพียงพอ นอนดึกเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคอ้วน และการนอนดึกทำให้เราหิวและถามหาตู้เย็นกันบ่อย

สุดท้ายเรื่องของการใช้อุปกรณ์อิเลคทรอนิคในปัจจุบันถ้าเราใช้นานๆ เหมือนเราไม่ได้ขยับเขยื่อน ร่างกายใช้ไปใช้มาเราก็จะหิวไปด้วย อยากให้ที่บ้านจำกัดเวลาการใช้อุปกรณ์อิเลคทรอนิคของบุตรหลานด้วย

อ้วนหรือภาวะน้ำหนักตัวทำให้เป็นโรคเรื้อรัง

ระยะยาวเรื่องของโรคเรื้อรังเป็นอะไรที่ควบคุมได้ยากมากถ้าเราปล่อยให้มีอาการของโรคเรื้อรัง

1.ระบบหัวใจและหลอดเลือด เด็กอ้วนจะมีเรื่องของความดันโลหิตสูงอยู่แล้วซึ่งจะทำให้หลอดเลือดมีปัญหา ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดได้ นอกจากต้องเป็นตั้งแต่เด็กแล้วก็ยาวไปจนถึงผู้ใหญ่เลยทีเดียว ถ้ามีความดันสูงเรื่อยๆ ก็อาจทำให้ความดันในปอดสูงจะทำให้ระบบหายใจและระบบหมุนเวียนโลหิตล้มเหลวได้เฉียบพลันเลย

2.ระบบทางเดินหายใจจะเห็นว่าเด็กที่เป็นโรคอ้วนจะมีไขมันสะสมค่อนข้างเยอะเขาขยับเขยื่อนร่างกายนิดเดียวเขาก็จะเหนื่อยง่ายเพราะระบบเผาพลาญพลังงานเขามีปัญหา รวมถึงการพักผ่อนการหายใจเด็กที่เป็นโรคอ้วนมักจะหายใจค่อนข้างเสียงดังเพราะมีการอุดกั้นทางเดินหายใจ อย่างที่กล่าวไปตอนต้นอย่างโรค OSA (Obstructive Sleep Apnea) เมื่อเวลาเขานอนหรือเปลี่ยนท่านอนเขาจะหายใจลำบาก หายใจมีเสียงกรน มีเสียงวีด ซึ่งตรงนี้จะรบกวนเวลาพักผ่อนของเขา ระยะยาวทำให้เป็นโรคถุงลมโป่งตามมาได้ด้วย

3.ระบบทางเดินอาหารก็เป็นอีกระบบที่ค่อนข้างสร้างความรำคาญให้เด็กๆ เพราะคนที่เป็นโรคอ้วนเขาจะมีปัญหาเรื่องกรดไหลย้อน พอเขากินอาหารมากหน่อยหรือเปลี่ยนท่าทางเร็วหน่อย เขาจะมีลักษณะกรดไหลย้อนมีอาการแสบร้อนกลางอกอาหารย่อยยากทำให้เกิดความไม่สบายตัวขึ้นมาได้ บางคนก็จะมีนิ่วในถุงน้ำดี มีไขมันพอกในตับซึ่งพวกนี้รบกวนระบบเมตาบอลิซึมทั้งนั้นเลย เป็นความเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งตับต่อเนื่องไปด้วย

4.ระบบของต่อมไร้ท่อเรารู้อยู่แล้วว่าถ้าเป็นโรคอ้วนจะมีภาวะต้านอินซูลินก็หมายความว่าเด็กจะมีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 จะต้องใช้ยาในการควบคุมทำให้ลักษณะคุณภาพชีวิตเปลี่ยนไปแล้วก็จะมีไขมันในเลือดสูงเหมือนผู้ใหญ่ 

5.กลุ่มวัยรุ่นเด็กผู้หญิงเราจะพบว่ามีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคถุงน้ำในรังไข่ ซึ่งถุงน้ำในรังไข่จะทำให้ประจำเดือนมาผิดปกติ เด็กผู้หญิงบางคนจะมีสิวขึ้น ขนดก และเสียงห้าว

ทั้งหมดนี้เป็นโรคเรื้อรังที่ค่อนข้างอันตรายในเด็กที่เป็นโรคอ้วน 

ควรให้ลูกลดความอ้วนเมื่ออายุเท่าไหร่

ในช่วง 5 ขวบปีแรกยังถือว่าเขายังเป็นเด็กอยู่เขายังสูงได้อีกเยอะเราจะเน้นในเรื่องการคุมอาหารและเน้นให้เขาสูงมาทันน้ำหนักเขาเพราะใช้เกณฑ์น้ำหนักต่อส่วนสูงเป็นตัวตัด เพราะฉะนั้นถ้าเด็กสูงได้น้ำหนักส่วนสูงก็จะบาลานซ์กัน 

โตขึ้นมาอีกหน่อย 5-9 ปี เรียกว่าจะเข้าใกล้วัยรุ่นก็เน้นเรื่องการคุมอาหารให้มากขึ้นก็จะเน้นงดแป้ง งดน้ำตาล งดไขมัน และให้ออกกำลังกายมากขึ้นการกินนมก็จะมีการบังคับมากขึ้นว่าอย่างน้อยต้องเป็นนมไขมันต่ำ พร่องมันเนย 

อายุมากกว่า 9 ปีขึ้นไปเราเรียกว่าเข้าวัยรุ่นแล้วจะมีเรื่องของฮอร์โมนเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องอาการแทรกซ้อนหรือระบบเรื้อรังจะเป็นได้ค่อนข้างเยอะ เราก็จะเน้นเป็นพิเศษเรื่องการคุมอาหารมีการคำนวณแคลอรี่ที่มากขึ้น คำนวณแคลอรี่ก็คือจะมีการจำกัดกลุ่มอาหารคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมันที่ชัดเจนขึ้นอีกอย่างเด็กโตแล้วเราสามารถควบคุมสิ่งเหล่านี้ได้มากขึ้น

เรารักษาเด็กที่เป็นโรคอ้วนโดยเฉพาะกลุ่มโรคอ้วนที่มีโรคเมตาบอลิซึมด้วยเราจะมี Table Time สำหรับการออกกำลังกายของแต่ละวันที่เหมาะสมด้วย ถ้ามีอาการแทรกซ้อนให้เห็นส่วนใหญ่จะรักษาควบคู่กับการใช้ยาบางคนอาจจะจำเป็นต้องใช้ฮอร์โมนควบคู่กันไป อีกอย่างในเรื่องของการรักษาผ่าตัดแบบผู้ใหญ่เรายังไม่ค่อยแนะนำเท่าไหร่

โรคที่ทำให้อ้วน

เป็นกลุ่มโรคทางกรรมพันธุ์Hypothyroid Disease โรคพร่องไทรอยด์ เมื่อไหร่ที่เด็กมีภาวะของโรคอ้วนคือเกิน Percentile ที่ได้บอกไว้ตามคำจำกัดความโดยต้องมีการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม ซึ่งการตรวจระดับเมตาบอลิซึ่มในร่างกายและการตรวจฮอร์โมนเป็นสิ่งหนึ่งที่ต้องตรวจเสมอเพื่อดูว่าเขาอ้วนมาจากพันธุ์กรรมหรือโรคเดิมของเขาหรือจากไลฟ์สไตล์ของเขา

ฝากดูแลเด็กๆ ในช่วงนี้เรื่องของอาหารการกินอาหารที่มีประโยชน์ คุมแป้ง คุมน้ำตาล คุมไขมัน ดื่มนมให้เพียงพอ พักผ่อนให้เพียงพอ แล้วก็ออกกำลังกายเป็นเพื่อนลูกๆ ด้วย

ควรกินนมเท่าไหร่ต่อวัน

หมอใช้คำว่าปริมาณแคลเซียมต่อวัน ก็คือเด็กคนหนึ่งต้องการปริมาณแคลเซียมต่อวันอยู่ที่ 600-1000 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งนมเป็นอาหารที่มีแคลเซียมค่อนข้างสูงเราเลยนิยมให้เด็กกินนม ก็จะมีเด็กที่กินนมยากหรือกินนมไม่ได้อย่างกลุ่มที่แพ้โปรตีนนมวัวหรือมีปัญหาเรื่องย่อยน้ำตาลแลคเตส หมอก็แนะนำให้กินเป็นอาหารเสริมประเภทแคลเซียมได้เลย แต่ถ้าเป็นเด็กที่ชอบกินนมเราก็เน้นเรื่องของนมไขมันต่ำ นมพร่องมันเนย เพราะไขมันต่ำแคลเซียมสูงก็จะทำให้เด็กน้ำหนักดีคุมได้ดีแล้วก็มีความสูงที่เพิ่มมากขึ้น

ธงโภชนาการเด็ก

สำหรับเด็กที่น้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วนเราให้อาหารแบบที่เรียกว่าธงโภชนาการ ธงก็จะมีลักษณะของสามเหลี่ยมหัวคว่ำปลายแหลมฐานกว้างอยู่ข้างบน มีอะไรบ้าง กลุ่มของเครื่องปรุง นม เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ แป้ง โดยที่เครื่องปรุงอยู่ล่างสุดคือใส่แค่นิดเดียว น้ำตาล เกลือ น้ำปลา ซีอิ้ว ต้องใส่ให้น้อยเราใช้วาใส่ปริมาณเพียงเล็กน้อย นม อัตราส่วนอยู่ที่ประมาณ 1-2 แก้ว หรือ 1-2 กล่อง ต่อวันเป็นอย่างต่ำ 

 เนื้อสัตว์เป็นอัตราส่วนเพียงเล็กน้อยก็คือ 2-4 ส่วน ผลไม้ผัก และแป้ง แป้งเรานับเป็นทัพพีอยู่ที่ 8-12 ทัพพีต่อวัน นี่คือธงโภชนาการแนะนำให้กินแบบนี้ต่อวัน ผักผลไม้เป็นตัวไฟเบอร์ทำให้อยู่ท้อง การขับถ่ายดีก็จะทำให้การเผาผลาญพลังงานดีเช่นกัน ถ้าผลไม้อยากให้กินผลไม้ที่มีรสหวานน้อยเป็นกลุ่มมันแกว ฝรั่ง ชมพู่ แก้วมังกร จะค่อนข้างอยู่ท้องดี ทริคก็คือเรากินเป็นสแนคบ่ายเหมือนกินก่อนกินอาหารพอน้องๆ อยู่ท้องก็จะไม่กินส่วนที่เป็นแป้งเยอะเกินไปเมื่อเป็นมื้อหลัก ถ้าเราปล่อยให้เขาหิวเขาจะกินเยอะขึ้น ใช่ค่ะ ทำให้กินไวด้วยและวเขาไม่รู้สึกตัวว่าเขาอิ่ม  

ทริคของการกินอาหารก็คือเวลากินอาหารเราอยากให้เด็กกินช้าๆ ฉะนั้น 1 คำหมอต้องขอว่าเคี้ยวนานๆ หน่อยขอเคี้ยว 5 10 ครั้ง จะได้รู้ตัวว่าอิ่ม บางทีกินเร็วๆ ไม่รู้ตัวว่าอิ่มก็จะกินต่อได้เรื่อยๆ กินไปนับไป จะเป็นว่ากลุ่มเด็กที่เป็นโรคอ้วนจะเคี้ยงอาหารเร็วมาก เคี้ยว 2 ครั้งกลืนเลย ถ้าเคี้ยวสัก 5 ครั้ง 10 ครั้ง ก็จะ Taketime มากขึ้น

ฝากเรื่องการสังเกตเด็กๆ ของเราว่าเขาดูน้ำหนักขึ้นเร็วหรือเปล่าช่วงนี้ แล้วเขาเริ่มมีภาวะทางด้านจิตใจหรือยังว่าเขา Concern กับรูปร่างของตัวเองเมื่อไหร่ที่เขามีเป็นปัญหาแล้วเพราะว่าเขามาบอกเรา นอกนั้นเราก็ต้องสังเกตด้วยตัวของเราเองด้วยเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในระยะยาว ทั้งนี้การป้องกันที่ดีที่สุดคือการดูแลเรื่องของอาหารของครอบครัวเราและชวนกันไปออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดี

 

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่...

Apple Podcast :https://apple.co/3m15ytB

Spotify :https://spoti.fi/3cvAVcX

YouTube Channel :https://bit.ly/3cxn31u

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

รักลูก The Expert Talk Ep.35 (Rerun) : “Opened Mindset or Fixed Mindset"

 

รักลูก The Expert Talk EP.35 (Rerun) : "Open Mindset or Fixed Mindset"

พ่อแม่ที่ Fixed Mindset จะทำให้ลูกมีวุฒิภาวะต่ำ แต่พ่อแม่ที่มี Open Mindset จะทำให้ลูกมีวุฒิภาวะดี และจะติดตัวอยู่กับลูกไปตลอด

อยากให้ลูกเป็นแบบไหน… พ่อแม่เลือกได้

 

รับฟังวิธีการเลี้ยงลูกสไตล์หมอเดว รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการ ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน)

Mindset  ถ้าแปลเป็นไทยง่ายๆ  ก็คือทัศนคติ คือถ้ามีทัศนคติหรือจิตใจที่เรียกว่าไม่เปิดกว้าง  จิตใจที่ไม่เปิดกว้างกับจิตใจที่เปิดแล้ว สังคมในยุคปัจจุบัน ที่กลายเป็นสังคมที่ไร้พรมแดน เป็นโลกยุคดิจิทัลจะเห็นเลยว่าเด็กๆ  ยุคปัจจุบันนี้เขาสามารถที่จะบริโภคสื่อผ่านระบบโชเชียลมีเดียแม้กระทั่งที่เรากำลังทำ Podcast  มันเป็นวิธีการใหม่หมดเลย พอมันเป็นวิถีชีวิตในลักษณะแบบนี้

เด็กเจนเนอเรชั่นใหม่เขาสามารถเข้าถึงเรื่องพวกนี้ได้หมดเลย สถานภาพของครอบครัวจึงมีอาคันตุกะใหม่เพิ่ม  ถ้าทัศนคติของเราเปิดเราสามารถเรียนรู้ข้ามวัยกัน  เรียนรู้บนความหลากหลายทางเพศ อันนี้จะเป็นลักษณะของ  Open Mindset 

แต่ถ้า  Fix Mindset  เลยเหมือนอุตสาหกรรม เช่น  ระบบการศึกษาปัจจุบันนี้ ที่เข้าสู่สายพาน อันนี้หมอไม่ได้โทษใครแต่โทษทั้งระบบ เช่น  เราต้องมีระบบแพ้คัดออก  เวลาเข้าสู่อนุบาลก็ต้องเข้าไปเรียนประมาณนี้  คิดนอกกรอบไม่ได้ แล้วเวลาขึ้นสู่อนุบาล  1 2 3 เสร็จแล้วก็ต้องสอบเข้า แล้วก็ต้องเข้าโรงเรียนดังๆ  เข้าไปเสร็จก็ต้องเรียนเยอะๆ การบ้านเยอะๆ

 

ตื่นตีห้าล้อหมุน  6 โมงเช้า กินข้าวเช้าบนรถ มาถึงโรงเรียนก็มีการบ้านเช้า ครูเขียนไว้บนกระดาน พอถึงเวลาปุ๊บ ถ้ามาสายเกิน  7 โมงครึ่ง ลบกระดานออก หมอก็ถามว่าแล้วคนที่มาสายกว่าทำอย่างไร ลอกเพื่อนเอาตัวรอด ตามมาด้วยวิชาที่เรียน แล้ววิชาที่เรียนก็กลายเป็น  Fix หมด ลักษณะที่  Fix หมดทั้งหลายที่ไม่สามารถเปิดทางเลือกใดๆ ได้เลย 

การบ้านที่คุณครูก็ให้นึกว่าเรียนวิชาแกวิชาเดียวเทกระจาดเข้าไป จนตกเย็นไปกวดวิชา ดินเนอร์บนรถ รถติดไปถึงบ้าน ทำการบ้านเสร็จกว่าจะเรียบร้อย เข้านอนเกือบเที่ยงคืน  ตื่นตี 5 ล้อหมุน 6 โมงเช้า เหมือนเดิมเป็นแบบนี้จันทร์ถึงจันทร์

หมอมีคนไข้เด็ก ม.4 โรงเรียนสาธิตแห่งหนึ่ง  เดินเข้ามาอย่างกับซอมบี้ ผีดิบ เขาเรียนจันทร์ถึงจันทร์ เขาภูมิใจมากเลยเรียนจันทร์ถึงจันทร์ แต่ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นบนการเรียนรู้แบบ  Fix Mindset  ไม่ใช่  Open Mindset  

ความปรารถนาดีความรักที่พ่อแม่มีให้กับลูกเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าเรา Open Mindset  สักนิดนึงแล้วเราถอยออกมาแล้วเราอยู่ในสถานะที่ เราใช้คำว่า  Scaffolding (นั่งร้าน) คือครูหรือพ่อแม่ในยุคปัจจุบัน จะต้องทำเป็นนักอำนวยการเรียนรู้ ไม่ใช่ไปครอบงำ เพราะโลกมันเปิดหมดแล้ว  สิ่งที่เราเรียนในตำราเรียนแบบเดิม แต่ถ้าไปเรียนรู้ต่างวัฒนธรรมมันอาจจะไม่ใช่ 

แต่ในขณะที่เขาสามารถไปสัมผัสสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้เลย แล้วถ้าเรารังสรรค์สิ่งเหล่านี้ให้เกิดในบ้าน  เรียกว่าครอบครัวหัวใจประชาธิปไตยมันเกิดขึ้นในบ้านเลยไม่ได้เหรอ แล้วเกิดขึ้นในโรงเรียนไม่ได้หรอ คือถ้ามันเกิดขึ้นในลักษณะนี้หมอเชื่อแน่ว่าผู้ใหญ่สิ่งที่จะต้องปรับเลยคือ  Open Mindset  ทัศนคติต้องเปิด  ใจต้องเปิด ถ้าใจไม่เปิดสมองไม่เกิดการเรียนรู้ อันนี้เป็นหลักการ คือถ้าใจไม่เปิดแล้วใจเราปิด เราคิดเลยว่าสิ่งที่ลูกคิดอยู่นี้พ่อแม่อาบน้ำร้อนมาก่อน ดีที่มันไม่ลวก

อาบน้ำร้อนมาก่อน ต้องเชื่อพ่อแม่  อย่าลืมว่าพ่อแม่เติบโตในยุคนู้น แล้วถ้ายิ่งเป็นปู่ย่า ตายาย อีกยิ่งในยุคนู้นไปอีก อันนี้มันยุคนี้  ทีนี้จะอยู่อย่างไรให้มันกลายเป็นการ  Open Mindset  ที่เรียกว่าทัศนคติเราเปิดแล้ว ทัศนคติที่เปิดแล้วระบบการศึกษาก็จะไม่ได้เป็นลูฟแบบนี้ พ่อแม่ไม่ต้องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น  ลูกเรียนเข้าไว้ ต้องเรียนสูงๆ เข้าไว้ จบด็อกเตอร์พูดภาษาคนไม่รู้เรื่อง มันไม่ใช่ในลักษณะนั้น

เราเป็นพ่อแม่ต้องถอยกลับมานั่งมองเลยว่า ลูกจะอยู่ร่วมกับสังคมอย่างไร เวลาลูกเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในรั้วโรงเรียนลูกจะต้องมีวิชาชีวิต ลูกก็ต้องเรียนรู้การอยู่ร่วมกันกับคนอื่น  ในขณะเดียวกันเองเวลาที่มาที่บ้าน 

หมอเคยพูดไว้หลายครั้งเลยว่า เช็ด ปัด กวาด ถูบ้าน ซักผ้า ล้างจาน เป็นเบสิกขั้นพื้นฐานมากเลย ถ้าเราเปิดใจในลักษณะนี้ วันนี้ลูกหลานเราจะไม่เป็นหุ่นยนต์เดินได้ เพราะเรากำลัง Fix Mindset  เข้าสู่สายพานเข้าอนุบาล  1 2 3 จะต้องกวดวิชาแค่ไหน แล้วจะต้องไปสอบเข้า พอสอบเข้าเสร็จปุ๊บ ต้องเข้าโรงเรียนดัง ต้องสายอินเตอร์ เป็นไบลิงกัวร  อันนี้เป็นประชานิยมนิดนึง มีการบลั๊ฟกันระหว่างพ่อแม่อีก ว่าลูกเธอเรียนที่ไหนเนี่

สมมติมีลูก 2 คน คนหนึ่งเรียนโรงเรียนสาธิต อีกคนเรียนโรงเรียนวัด คนที่เรียนโรงเรียนวัดหงอยไปเลยนะ อันนี้คือลักษณะของ Fix Mindset  ทั้งสิ้น ถ้าใจเปิดเราจะรังสรรค์ให้เกิดการเรียนรู้ได้ รูปแบบต่างๆ การสุนทรียสนทนาในบ้านจะเกิดขึ้น 

5 หัวใจที่มันจะกลายเป็น Open Mindset  เป็นกระบวนการที่ทำให้พ่อแม่ทุก Generation จะไม่มีปัญหากับลูกทุก Generation  

 1. รักอบอุ่น  และไว้วางใจ   นัยยะของหมอคือรักร่วมทุกข์ ร่วมสุข วันนี้กลับไปถามใจตัวเองก่อน จริงหรือป่าวว่ารักร่วมทุกข์ร่วมสุข แม้แต่เช็ด ปัด กวาด ถูบ้าน ซักผ้า ล้างจาน  ทุกวันนี้บางคนกางเกงในตัวเองยังไม่ซักเลย ถุงเท้าตัวเองก็ไม่ซัก ถ้ารักต้องรักร่วมทุกข์ร่วมสุข คุณแม่ตอนที่เกิดมาตั้งท้อง แม่ไม่ได้สบายกายนะ ทุกข์กายแต่ใจพองโต 

 แล้วความทุกข์ทางกายสุดยอดตอนที่คลอดลูก เจ็บปวดที่แม่ได้รับ แสดงว่ารักนี้เกิดขึ้นบนความเจ็บปวด แต่เป็นความเจ็บปวดที่หัวใจพองโต ได้ยินเสียงลูกร้อง เอาลูกมาซบอกดูดนมแม่ กลายเป็น  Tender loving care รักนี้จึงกลายเป็นรักที่สมบูรณ์แบบที่ต่อให้ลูกจะเป็นอะไรก็ตามก็รักหมดใจไม่มีเงื่อนไข ทำไมเราไม่ใช้กระบวนการนี้ในการฝึกลูกเราบ้าง 

 เมื่อเขาเติบโตขึ้นไปเขาต้องรักเป็น  รักเป็นไม่ใช่สำลักความรัก แต่ต้องบนรักที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกัน เบสิกพื้นฐานเลย วันนี้คุณพ่อคุณแม่กลับไปถามใจตัวเองเลยว่าลูกเช็ด  ปัด กวาด ถูบ้าน ซักผ้า ล้างจานบ้างไหม แล้วลองฝึกหัดเขาบนเรื่องนี้เลยแล้วคุณธรรมจะเกิด  รักต้องร่วมทุกข์ร่วมสุข ไม่ใช่รักอบอุ่นและไว้วางใจ เทไปเลยลูกอยากได้อะไร เดี๋ยวแม่จะให้คนใช้ไปใส่ถุงเท้าบนห้องนอน อันนี้เยอะไปแล้วคุณพ่อคุณแม่

2.การสื่อสารพลังบวก  การใช้วิธีการสื่อสารซึ่งกันละกันที่ดีๆ ก็จะทำให้เกิดสุนทรียสนทนา เราอาจจะกำหนดกติกาก็ได้ว่าความคิดเห็นแต่ละคนมันหลากหลาย ลูกคนโตกับลูกคนเล็ก ลูกผู้ชายกับลูกผู้หญิง อาจจะไม่เหมือนกัน พ่อแม่ก็อาจจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน 

 เวลาเราจะสุนทรียสนทนาในบ้านซึ่งกันและกันเราอาจจะกำหนดกติการ่วม ถ้าเมื่อไหร่ที่อินไปกับอารมณ์แล้วเราอาจจะขอพักเบรก กติกาง่ายๆ ในลักษณะแบบนี้จะทำให้เกิดการเปิดใจ  เป็น  Open Mindset  อันนี้คือการสื่อสารที่ดี ที่หมอใช้คำว่าสุนทรียสนทนา

3.บ้านต้องมีวินัย มันเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีวินัย แต่เป็นวินัยเชิงบวกที่หมอใช้คำว่า  Kindly but Firmness คือ มีหลักการ มีเหตุผล แต่ยืดหยุ่นได้ หมายถึงว่าไม่ใช่กฎกติกาที่ออกโดยใครคนใดคนนึง แต่มาจากการมีส่วนร่วม แม้แต่เสียงเด็กเล็กๆ เชื่อไหมว่าแม้แต่อนุบาลเรายังสามารถคุยกับลูกของเราเพื่อกำหนดกติกาได้เลย

 โดยใช้คำพูดง่ายๆ ว่า แม่รู้ว่าลูกเสียใจ แม่รู้ว่าลูกร้องไห้ บอกแม่สิเกิดอะไรขึ้น และถ้าคราวหน้าไม่ไห้เกิดแบบนี้ลูกจะทำยังไง คราวหน้าไม่เกิดแบบนี้จะทำยังไง  มันจะกลายเป็นกติกา  โอเคนะ ลูกสัญญาแล้วนะ ว่าคราวหน้าลูกทำแบบนี้แล้วจะไม่เกิดแบบนี้เกิดขึ้น เป็นกติกาง่ายๆ และลูกเป็นเจ้าของความคิดด้วย เราไม่ได้ไปครอบงำความคิดเขา

เพราะฉะนั้นการใช้หลักการแบบนี้ บ้านต้องมีวินัยด้วย ความหมายคือวินัยอย่างมีส่วนร่วม คือ ทุกคนฟังเสียงซึ่งกันและกัน สามารถเติมเต็ม และเกิดข้อตกลงร่วม แม้แต่ลูกวัยอนุบาลก็ทำได้ 

  วินัยเชิงบวกต้องเข้าใจก่อนว่า ไม่ใช่หมายถึงหันซ้ายหันขวา ไม่ใช่การลงโทษ สมัยก่อนต้องใช้วิธีการลงโทษ อันนี้เป็น  Fix Mindset  คิดแบบเดิม  แต่ถ้าเป็น Open Mindset ยืดหยุ่นได้ อยู่บนเมตตาธรรม 

ถ้าเราน็อตหลุด ไม่ทำตามวินัย กติกาคุยกันไว้แล้วทำไมแกไม่ทำ เราโกรธ เราอาจจะบอกได้ว่าตอนนี้พ่อโกรธ พ่อคุมอารมณ์ไม่ได้ ขอพักออกไปก่อน เรามาคุยกันดีๆ แล้วก็กลับมาเหลาความคิดใหม่

 ถ้าไม่ให้เกิดแบบนี้ลูกจะทำยังไง คือลักษณะการคุยกันจะทำให้เกิดการทบทวนซ้ำอีกครั้งหนึ่ง  แล้วครั้งหน้าลูกไม่ทำแล้วทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก จะให้พ่อทำยังไง เขาเรียกว่าบ้านต้องมีวินัย

4.รู้จักควบคุมอารมณ์ ซึ่งกันและกัน  อันนี้คือ Mindset ทัศนคติ ที่จะทำให้เปิดได้ เราต้องรู้จักการจัดการอารมณ์ได้  ไม่งั้นไม่สามารถที่จะ  Open Mindset  ได้  คุณลักษณะในลักษณะนี้ของผู้ใหญ่จะกลายเป็นหัวใจเปิด มีสุนทรียสนทนา มีวินัยในการจัดการซึ่งกันและกัน สามารถควบคุมอารมณ์ตนเอง 

 5.มนุษย์ทุกคนมีศักดิ์ศรี แม้แต่เจ้าตัวเล็กๆ  ก็มีศักดิ์ศรี เขามีตัวตนคือถ้าเราเข้าใจว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมามีศักดิ์ศรี ในสถานะของเขา เราจะไม่เหยียดหยาม เราจะไม่ดูถูกซึ่งกันและกัน เราจะไม่บอกว่าอันนี้คือความหลากหลายทางเพศ อันนี้คือคิดมาได้อย่างไร แม่อาบน้ำร้อนมาก่อน  ประโยคแบบนี้จะไม่หลุดออกมาเลย 

เพราะเรารู้อยู่ว่ามนุษย์ทุกคนมีเกียรติและศักดิ์ศรีของเขา เมื่อเป็นอย่างนั้นการฟังซึ่งกันและกัน ก็จะเกิดขึ้นได้  นี่คือคุณลักษณะที่จะนำไปสู่เรื่องของ  Open Mindset  ใจจะเปิดขึ้นทันที หัวใจสำคัญอันนี้จะกลายเป็นเรื่องของหัวใจแห่งประชาธิปไตย

 วันนี้เราไม่ต้องไปวุ่นวายตรงไหนเลย เรากลับมาเลี้ยงลูกด้วยหัวใจประชาธิปไตย แต่ครอบครัวในปัจจุบันนี้ที่เราเคยสำรวจกัน การเลี้ยงลูกที่เป็นแบบ Fix Mindset  บางจังหวะก็อาจจะโอเคนะ  เช่น ถ้าเรามีวิธีการ กระบวนการ การจัดการทัศนคติ ของเราเองในลักษณะแบบนี้อยู่แล้ว  ในบางเหตุการณ์มันอาจจะจำเป็น เช่น ในตอนที่ลูกเราเล็กๆ  แล้วเราจำเป็นต้องควบคุมเพื่อไม่ให้ลูกเกิดอันตราย ปกป้องคุมครอง ใช้อำนาจในการเลี้ยง อันนั้นอาจจะเหมาะสมในสถานการณ์นั้น แต่เมื่อเขาโตขึ้นลักษณะพวกนี้เราต้องค่อยๆ ถอยลงไป เพราะ  Fix Mindset  ของเราอาจจะทำให้ลูกอ่อนแอในเรื่องวุฒิภาวะ 

ถ้าเรา Open Mindset  วุฒิภาวะเขาจะแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ และจะอยู่กับเขาไปตลอด อย่างตอนที่ลูกเราเล็กๆ เราคิดแทนเขาตัดสินใจแทน ว่าอยากได้อะไร  Mindset  ของเราเป็นแบบไหน เราก็ว่าแบบนั้น เราเลือกเรียนโรงเรียนไหน ให้เข้าอะไรยังไง ลูกก็ทำไปตามนั้น แต่เมื่อโตขึ้นมาเรื่อยๆ  เปิดพื้นที่ให้เขามากขึ้น เขาเริ่มแสดงทัศนคติตัวเอง เริ่มแสดงความคิดเห็น ตรงนี้พ่อแม่ต้องภูมิใจว่าลูกเริ่มมีความคิด และทัศนคติของตนเองแล้ว 

เราจะเริ่มเปลี่ยนจาก Fix ให้กลายเป็น Open  คือเปิดพื้นที่มากขึ้นเรื่อยๆ แต่เปิดพื้นที่มากถึงขนาดที่ตอนลูกเข้าวัยรุ่นอำนาจของเราจะเหลืออยู่แค่ 30%  อีก 70% จะกลายเป็น  Open Mindset  แล้วอะไรๆ  ก็จะสามารถมารังสรรค์ซึ่งกันและกันได้ สามารถที่จะออกแบบ สามารถที่จะอยู่ร่วม เกิดพื้นที่ส่วนตัวของเขา การเรียนรู้อยู่ร่วมกันบนวิถีชีวิตที่แตกต่างกันไป ยิ่งถ้าเป็นเยาวชน ขึ้นมาก็อาจจะกลายเป็น  10%  ยิ่งถ้าโตขึ้นไปก็จะลดน้อยลง ทั้งหมดนี้ถ้ามันเกิดขึ้นได้ก็จะสามารถทำให้เกิด Open Mindset  ได้

ลูกช่วยฝึก Open Mindset พ่อแม่ “ลูกคือแบบฝึกหัดชีวิต พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกแบบเปิดใจ รับฟังลูกได้บนความคิดที่แตกต่างกัน พ่อแม่จะเก่งขึ้น มีทักษะเพิ่มขึ้นและจะเลี้ยงลูกได้อย่างมีความสุข เพราะไม่ต้องกังวลกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น” “พ่อแม่ที่มี Open Mindset เปิดใจ ”จะเก่งขึ้นเรื่อยๆ เพราะต้องอดทน  ต้องเปิดใจ แม้แต่ทัศนคติเราต้องรับฟังลูกเราได้บนความคิดที่ต่าง วิธีการที่แตกต่างกัน  ใจของเราเปิดขึ้น เราเก่งขึ้น  อันนี้คนเป็นพ่อแม่เก่งขึ้นนะ  เก่งขึ้นตามลูกไปด้วย 

ตอนลูกอยู่ปฐมวัยเราก็ปรับตัวอีกแบบ  พอขึ้นวัยเรียนเราก็ต้องปรับตัวตามเขาเรื่อยๆ  ยิ่งบางบ้านมีลูกคนเดียว บางบ้านมีลูกสองสามคน พื้นฐานอารมณ์ไม่เหมือนกันอีก  พ่อแม่ที่ใจเปิดจะเลี้ยงลูกสองแบบที่แตกต่างได้อย่างมีความสุข เพราะไม่ต้องกังวล 

แม้แต่ครูเองถ้าใจเปิดไม้เรียวไม่ต้องมี  Classroom Management  แต่เราจะใช้คำว่า Flipped Classroom เป็นห้องเรียนกลับทาง เกิดขึ้นได้หมดเลย แต่ทุกวันนี้เป็น  Fix Mindset  พอเป็น  Fix Mindset  ก็สอนแบบเดิม ๆ อัดเนื้อหาวิชาเข้าไป เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เด็กไม่สามารถตั้งคำถามได้  ไม่สามารถแสดงความคิดเห็นได้ อันนี้จะกลายเป็นปัญหาทันที  

แล้วจงภาคภูมิใจเอาไว้ถ้าเมื่อไหร่ที่เราฝึกฝนตนเองให้กลายเป็นคนที่  Open Mindset  ทัศนคติเปิดท่านจะอยู่ในที่ทำงานได้อย่างมีความสุข  อยู่ที่บ้านก็อยู่อย่างมีความสุข อยู่ในสังคมก็กลายเป็นสังคมที่เปิด เราเชิญชวนกันอยากให้เป็น open  Mindset

 

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่...

Apple Podcast :https://apple.co/3m15ytB

Spotify :https://spoti.fi/3cvAVcX

YouTube Channel :https://bit.ly/3cxn31u

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

รักลูก The Expert Talk Ep.36 (Rerun) : เลี้ยงลูกเชิงบวกตอน ชวนพ่อแม่เป็น "ผู้ประคอง" แทน "ผู้ปกครอง”

 

รักลูก The Expert Talk EP.36 (Rerun) : เลี้ยงลูกเชิงบวก ตอน ชวนพ่อแม่เป็น "ผู้ประคอง" แทน "ผู้ปกครอง"

ชวนเปลี่ยนบทบาทจากเคยเป็น “ผู้ปกครอง” มาเป็น “ผู้ประคอง”

ผลลัพธ์ที่ได้ก็แตกต่างกัน เพราะการเป็น “ผู้ประคอง” เหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบันที่กำลังผันผวน เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

 

ฟังการ เลี้ยงลูกเชิงบวก เปลี่ยนพ่อแม่เป็นผู้ประคอง โดย ผศ. ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร

อาจารย์ประจำสถาบันแห่งชาติ เพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล

 

ความหมายของผู้ประคอง

ที่จริงคำนี้ครูหยิบมาพูดเพราะว่า พอพูดแล้วมันคลิกว่าคุณพ่อคุณแม่ติดเป็นผู้ปกครองลองเป็นผู้ประคอง พอบอกเป็นผู้ประคองคำนี้ทุกคนจะผ่อนคลาย กลายเป็นว่าที่ครูหม่อมอธิบายมาเป็นชั่วโมงมันจบอยู่ที่ผู้ปกครองแต่พอเราคลายคำว่าลองเป็นผู้ประคองดูแล้วความปกครองเราจะหายไป ปรากฏว่าคุณพ่อคุณแม่เข้าใจครูหม่อมเลยหยิบยกคำนี้ขึ้นมาและพูดถึงอยู่บ่อยๆ ความต่างก็ตามความรู้สึกหรือความหมายตามที่เรารู้สึก

ถ้าเราเป็นผู้ปกครองเมื่อไหร่ก็กลายเป็นเราต้องไปปกครองเขาคอยสั่ง ตัดสิน ควบคุม ตีตรา แต่ถ้าเราลองเป็นผู้ประคองแปลว่าเรากำลังอนุญาตให้ลูกได้รู้สึกในแบบที่เขารู้สึกจริงๆ คิดในแบบที่เขาคิดจริงๆ มันจะผิดหรือถูกไม่รู้มันไม่ใช่ประเด็น ประเด็นอยู่ที่ความคิด ความรู้สึกนึกคิดของลูกเกิดขึ้นจริง แล้วเราจะประคองลูกเราอย่างไรให้กลับมาอยู่บนทิศทางที่ควรจะเป็นถ้าเราประคองเขาได้วันหนึ่งเขาก็จะอยู่ได้ประคองตัวเองได้ แต่ถ้าเราปกครองเขาวันหนึ่งเราไม่อยู่แล้วใครจะไปควบคุมเขา หรือถ้าเราไปทำแทนไปทำให้วันหนึ่งเราไม่ทำให้ใครจะไปทำให้เขา

แต่ตอนนี้เรากำลังให้เขาทำให้เขาคิดให้เขารู้สึกแล้วเราประคองสิ่งที่เขาคิดสิ่งที่เขาทำสิ่งที่เขารู้สึกให้อยู่ในลู่ในทาง คนเป็นพ่อเป็นแม่มักไม่ค่อยอนุญาต บางทีไม่อนุญาตตัวเองให้ทำอย่างนู้นอย่างนี้ด้วย ยิ่งเป็นลูกเราก็เผลอไปปกครอง เราอนุญาตให้เขาทำสิ่งนั้นสิ่งนี้โดยที่เราค่อยๆ เรียกให้เขากลับเข้าลู่ทางที่มันควรจะเป็น อย่างเช่น ถ้าลูกอยากไปพัทยาเราไม่ห้ามลูกไปพัทยาแต่เขาก็จะหาวิธีทางไปของเขาถ้าเขาอ้อมไปหัวหินเราก็ต้องกวักมือกลับมาแต่ในการกวักมือเราก็ต้องอยู่ข้างๆ ทางที่เขาไปหัวหินประคองเขากลับมาเพื่อไปสู่พัทยา แต่ถ้ายืนอยู่ตรงนี้แล้วตะโกนไปตรงนั้น มาทางนี้ ต้องไปทางนี้ แบบนี้ก็จะยากคือการปกครอง

ลูกจะมาเวลาที่เราไปสั่ง ตัดสิน ตีตรา ควบคุมลูก สิ่งที่เกิดขึ้นคือลูกทำเพราะกลัวกับลูกไม่ทำเพราะก้าวร้าวเราจะได้ลูกแบบนี้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เราประคองเราจะได้ลูกที่เรียนรู้ลองผิดลองถูกเรียนรู้ได้จากสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสมคือเขาจะเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองว่าอันนี้ไม่เหมาะสมและสิ่งที่เขาทำไม่เหมาะสมมันเกิดอะไรไม่ดีกับเขาบ้าง แต่ถ้าเราเป็นผู้ประคอง เป็นคุณพ่อคุณแม่ที่เขารักอะไรที่เราเสียใจจะกลายเป็นบทลงโทษของลูกเราอย่างหนักมาก แต่ถ้าเรายังเป็นไม้เบื่อไม้เมากับลูก บางครั้งลูกประชดประชันแกล้งทำให้มันไม่ดีเพื่อให้พ่อแม่เสียใจเพราะสะใจลูกอันนี้คือความต่างผลลัพธ์ของผู้ประคองและผู้ปกครอง

Checklist เราเป็นผู้ปกครองหรือผู้ประคอง

1.วันนี้ทั้งวันเราพูดอะไรกับลูกมากที่สุด

ตั้งแต่เช้าจรดเย็น ส่วนใหญ่ที่ครูหม่อมเจอคือชื่อลูก เสียงหนึ่ง เสียงสอง เสียงสาม ถ้าวันหนึ่งๆ เรามีเสียงไหนเราต้องเรียกลูกด้วยน้ำเสียงอย่างไรตลอดทั้งวัน เราสามารถจะตัดสินเองได้ว่าเราเป็นผู้ประคองหรือผู้ปกครอง

2.ถามตัวเองว่าเราสั่งหรือสอนลูกมากกว่ากัน

ตั้งแต่เช้าเราพูดอะไรกับลูกเป็นคำสั่งหรือคำสอนมากกว่ากัน ถ้าเป็นคำสอนต้องเป็นการสอนจริงๆ ไม่ใช่เป็นการปรับพฤติกรรมเด็กไทยในวันหนึ่งๆ ได้ยินเสียงคำสั่งเยอะ ครูหม่อมเคยทำงานวิจัยเชื่อหรือไม่ภายใน 1 นาที เด็กไทยได้ยินคำว่า ห้าม ไม่ อย่า หยุด เกือบประมาณ 80 ครั้ง ภายใน 1 นาที จากหลายๆ ทาง ลูกไม่ อย่า ห้ามอยู่ตลอดเวลา คำถามคือให้เราลองนึกถึงตัวเรามีคนมาสั่งเราทั้งวันมันกระตุ้นอารมณ์เราไหม

3.คำถามต่อไปลองเช็กดูเราดุหรือปลอบลูกมากกว่ากัน

4.ตำหนิลูกหรือชมลูก

ทั้งวันมานี้เราตำหนิหรือชมลูก วันหนึ่งๆ คุณพ่อคุณแม่ลองเช็คตัวเองดูว่าสายตาเราไปจ้องจับผิดหรือมองเห็นสิ่งดีๆ ของลูกเรา ผู้ปกครองจะคอยมองว่าทำอะไรผิด จับผิด แต่ถ้าจะเป็นผู้ประคองเราต้องประคองเขาจากสิ่งที่เขาทำได้ดี แล้วไปพัฒนาตัวเขาให้ดีขึ้นไปอีกเพราะธรรมชาติของมนุษย์คือการเรียนรู้ เราอยากประสบความสำเร็จก็จะมีกำลังที่จะไปต่อ แต่ถ้าทำอันนี้ก็ย่อท้อ อันนั้นก็ไม่ดีเราจะรู้สึกว่าไม่กล้าทำ ไม่ยากทำ ยิ่งทำแล้วโดนดุด้วย ทำแล้วโดนตัดสินว่าเป็นคนไม่ดี ทำแล้วโดนตัดสินว่าเป็นคนไม่เก่ง มันจะไม่อยากโชว์ ไม่มีใครอยากโชว์ความไม่เก่งของตัวเองความมั่นใจสูญเสีย

แต่ถ้าเกิดทำแล้วมันมีคนเห็นมันเพิ่มพลังใจ มันอยากจะทำเข้าไปอีก 4 ข้อนี้ เอาไว้ Checklist ก่อนนอน หากว่าเราเช็กในวันนี้คืนนี้กลายเป็นว่าสั่งมากกว่า ดุมากกว่า ตำหนิมากกว่า ไม่เป็นไรพรุ่งนี้เริ่มใหม่ เราเริ่มใหม่แล้วเราอยู่กับลูกไม่ใช่แค่วันนี้พรุ่งนี้เราอยู่กับลูกอย่างน้อย 30 ปี ก่อนเขาแต่งงาน

เพราะฉะนั้นใน 30 ปี ตั้งจิตอธิษฐานไว้เลย อะไรที่ผ่านมาลูกเราอาจจะแค่ 5 ขวบ 6 ขวบ หรือ 10 หรือ 15 ขวบ ไม่เป็นไรยังเหลือเวลาอีก 25 ปี เหลือเวลาอีกเยอะที่เราจะปรับและลองใหม่ ค่อยๆ ปรับไป

พ่อแม่เป็น “ผู้ประคอง” สำคัญในยุคนี้

ต้องบอกว่ายุคนี้อะไรก็เปลี่ยนแปลงเร็ว ยิ่งเป็นยุคที่โควิดมาพร้อมกับเทคโนโลยี เทคโนโลยีเรายังตั้งรับมือได้ไม่ดีเลย แต่สถานการณ์ที่มันผันผวนปรวนแปร โควิดเราก็ไม่เคยคิดว่าจะมีระลอก 2 ระลอก 3 แล้วก็ไม่รู้จะมีอะไรอีก เพราะฉะนั้นเรื่องความมั่นคงทางอารมณ์ของมนุษย์เราจะต้องเจอกับสิ่งที่ผันผวนปรวนแปรอยู่อย่างนี้ ถ้าเราไม่มีคนคอยประคองอารมณ์เราก็จะรับมือกับสถานการณ์เหล่านี้ลำบาก

ผู้ประคองมีเอาไว้สำหรับ เป็นหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่และผู้ใหญ่ที่จะต้องประคองอารมณ์ตัวเองพอเราประคองอารมณ์ตัวเองเสร็จเราจะไปประคองอารมณ์คนข้างๆ ได้ ถ้าเกิดเราหวั่นไหว คนข้างๆ ก็หวั่นไหว

ในยุคสมัยนี้อารมณ์ของเราจะขึ้นลงเยอะเพราะสิ่งที่มาปะทะหรือข้อมูลภายนอกจะเร็วผันผวนควบคุมไม่ได้มันส่งผลกันมนุษย์เราแน่นอน อะไรที่เราหวังไว้ อะไรที่เราตั้งใจไว้มันไม่เป็นไปตามนั้น ความเครียดก็เกิดถ้าไม่มีผู้ประคองความเครียดเรา เราก็จะประคองความเครียดตัวเองลำบาก แต่ถ้ามีคนมาประคองความเครียดเรา เราก็จะประคองความเครียดตัวเองได้ และเราก็จะไปประคองความเครียดก็คือไปรับมือความเครียดของคนอื่นได้อีก

เพราะฉะนั้นผู้ประคองจะสำคัญมากๆ ในยุคสมัยนี้ เวลาที่เราบอกว่าประคองไม่ไหวแล้วครูว่าอันนี้คือเทคนิค เมื่อไหร่ที่เราเริ่มรู้ตัวว่าเราประคองไม่ไหวแล้วนั่นคือทักษะอารมณ์อีกเช่นเดียวกัน ส่วนใหญ่คนที่เขวี้ยงอารมณ์ ขว้างปาอารมณ์ เหวี่ยงอารมณ์ใส่คนอื่น คือคนที่ไม่รู้ตัวว่ากำลังประคองอารมณ์ตัวเองไม่อยู่

เพราะฉะนั้นจุดเริ่มแรกในเทคนิคเลยคือ

1.รู้ความรู้สึกตัวเอง ถ้าเป็นคุณพ่อคุณแม่อยากให้คิดไว้เลยว่าถ้าเมื่อไหร่ที่เราโมโหเราจะทำอย่างไร มันคือเรื่องของ Anger management หรือเรื่องการจัดการความโกรธเป็นเรื่องที่เราต้องฝึกและคิดด้วยตัวเอง เราอาจจะฟังคนอื่นมาเวลาโกรธหายใจเข้า – ออก นับ 1-10 สิ เราอาจจะรู้วิธีแต่เราไม่เคยฝึกก็ต้องฝึกด้วยตัวเองว่าวิธีนี้มันเวิร์คกับเราไหม ถ้าไม่เวิร์คหาวิธีใหม่มันไม่ได้มีวิธีเดียว

2.หาวิธีประคองตัวเอง แต่ต้องคุยกับตัวเองเยอะๆ ทะเลาะกับตัวเองให้เสร็จ อย่างที่ครูบอกทะเลาะกับตัวเองให้เสร็จแล้วเราจะไม่ไปทะเลาะกับใคร เราไม่เคยทะเลาะกับตัวเอง พอเราโมโหเราไปทะเลาะกับคนอื่น แต่ถ้าเราโมโหเมื่อไหร่และเราบอกว่าฉันกำลังโมโหฉันอยากจะพูดคำนี้แต่ฉันจะไม่พูดคำนี้เดี๋ยวจะทำให้สายสัมพันธ์ฉับลูก กับสามี ฉันกับภรรยาเกิดการขัดแย้งกัน ฉันจะต้องทำอย่างไรกับความโกรธนี้ คุยกับตัวเองให้เสร็จ

เพราะฉะนั้นเวลาที่เราจะคิดได้ว่าเราจะจัดการความโกรธอย่างไรเราต้องคิดตอนที่เราไม่โกรธ ว่างๆ คุณพ่อคุณแม่นั่งคิด เป็นอีกหนึ่งเรื่องนะคะนอกจากคิดหาเงินเข้าบ้าน เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เราต้องคิดว่าเวลาโกรธเราทำอย่างไร ถ้าเรารำคาญลูกทำอย่างไร นั่งคิดไว้เลย ครูจะเล่าให้ฟังว่ามีงานวิจัย งานวิจัยนี้เขาทำการแบ่งกลุ่มคนที่ไม่เคยชู้ตบาสลงห่วงมาก่อน เขาแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม เป็นงานวิจัยที่ทำกับเด็กอายุ 15 – 60 แบ่งผู้เข้าร่วมวิจัยออกเป็น 3 กลุ่ม


กลุ่มแรกคือไม่เคยชู้ตบาสอย่างไรก็ไม่เคยชู้ตบาสอย่างนั้นไม่ต้องชู้ตเลย

กลุ่มที่สองให้ดูคลิปวีดิโอให้ดูจนกว่าจะจำได้ พอดูเสร็จในทุกๆ วันจะพาคนกลุ่มที่สองมานั่งเปิดเพลงแล้วให้เรานึกถึงการชู้ตบาสที่เราดูคลิปมา

กลุ่มที่สามคือให้ไปชู้ตบาสจริงเลย ผ่านไป 1 เดือนเขาเอาคนทั้งสามกลุ่มมาชู้ตบาส ปรากฏกลุ่มที่1 ก็ตามคาดชู้ตสะเปะสะปะชู้ตไม่ได้เพราะไม่เคย สิ่งที่เราสนใจกลุ่มที่ 2 ชู้ตได้ไม่ดีเท่าฝึกปฏิบัติเหมือนกลุ่มที่ 3 แต่จุดสำคัญคือบางคนในกลุ่มที่ 2 สามารถทำได้ดีกว่ากลุ่มที่ 3

งานวิจัยชิ้นนี้สรุปไว้แบบนี้ว่ากลุ่มที่ 3 ทำได้ดีฝึกซ้อมด้วยการปฏิบัติจริงทำให้คนที่ไม่มีพรสวรรค์เลยก็สามารถทำได้ แต่กลุ่มที่ 2 ที่ให้ใช้สมองนึกจินตนาการ เขาให้ดูทีเดียวแต่วันที่เหลือนั่งนึกวิธีการชู้ตบาสไม่ให้ทำท่า ให้นั่งแล้วก็นึกว่าต้องชู้ตบาสตามภาพที่เคยเห็นให้มันลงได้อย่างไรคลิปดูทีเดียวแล้วหลังจากนั้น 1 เดือนให้นึกจินตนาการ แล้วเขาก็บอกว่าให้นึกจินตนาการพอมาให้ชู้ตจริงๆ บางคนชู้ตได้ดีมากเป็นเพราะเรื่องของพรสวรรค์ด้วย

แต่ที่น่าแปลกใจคือเขาชู้ตได้ทุกคน แล้วงานวิจัยนั้นก็บอกว่าสมองของคนเราแม้ว่าตัวเราไม่เคยชู้ตบาส แต่การนั่งนึกไปตลอดหนึ่งเดือนนั้นสมองเราได้ฝึกแล้ว

ครูกำลังจะชวนทุกท่านมาเป็นนักบาสกลุ่มที่ 2 คือเราโกรธ เราต้องทำใจไปก่อนเลยว่าเราไม่ได้ฝึกตัวเองว่าไม่ให้โกรธเราต้องโกรธเหมือนที่บอกว่าผู้ประคองจะอนุญาตความรู้สึกนึกคิดเพราะเราเป็นมนุษย์ที่มีชีวิตจิตใจ อิจฉาคนอื่นได้ไหม ได้แต่อิจฉาแล้วทำอย่างไรเป็นเรื่องที่เราต้องคิด โกรธคนอื่นได้ไหม โกรธได้แสดงว่าเราปกติแต่การโกรธนั้นเรารู้แล้วว่าเราโกรธ โกรธเสร็จเราจะจัดการกับมันอย่างไร

ผู้ประคองสอนลูกอย่างไร

เหมือนกันเวลาลูกโกรธก็สอนลูกแบบนี้ว่าครั้งหน้าหนูโกรธหนูจะทำอย่างไร เวลาลูกโกรธถ้าเราเป็นผู้ปกครองเราจะบอกว่าอย่าทำอย่างนี้ โกรธแล้วตีแม่ไม่ได้นะ คำพูดนี้ สั่ง ตัดสิน ตีตรา ควบคุม ครบเลยแต่ถ้าเราบอกลูกว่า หนูกำลังโกรธ แล้วหยุดแล้วไม่ต้องพูดอะไร หนูกำลังโกรธหนูเลยตีแม่ แค่นั้นไม่ต้องพูดอะไร ทำไมถึงให้หยุดอยู่แค่นั้น

เพราะว่าเวลาที่ลูกของเรากำลังโกรธอยู่เป็นช่วงเวลาที่ลูกของเราต้องการผู้ประคองมากที่สุด โกรธแล้วเขาไม่รู้จะทำอย่างไร วิธีการที่จะระบายโกรธได้ดีที่สุดก็คือการตีคนอื่น การขว้างของ การตะโกน มันไม่ผิดเป็นเรื่องปกติเหมือนปวดฉี่ก็ต้องระบายออก ปวดฉี่มากมันต้องระบายออกเพราะฉะนั้นการระบายออกที่ดีที่สุดนั่นคือฉี่ราด โกรธแล้วตี โกรธแล้วขว้างของ โกรธแล้วกรี๊ด โกรธแล้วตะโกน นี่คือง่าย

เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราทำได้คือการบอกให้เขารู้ตัวก่อนว่าหนูกำลังโกรธ แต่พออารมณ์เขาลงสิ่งที่เราจะสอนเขาคือครั้งหน้าแทนการกรี๊ดเมื่อหนูโกรธแทนการตีแม่หนูจะทำอะไรได้ นั่นคือสิ่งที่เราจะสอนลูก ที่ครูถามว่าสั่งหรือสอนมากกว่ากันเราสอนลูกให้ลูกคิดหรือเปล่าเวลาสอนก็บอกเป้าไปว่าถ้าโกรธต้องทำอย่างไรแต่ที่เหลือคือลูกเป็นคนคิด

แต่ถ้าเราบอกว่าถ้าครั้งหน้าหนูโกรธหนูต้องนับ 1-10 ไม่ก็เดินหนีไป ไม่ใช่มาตีแม่ แบบนี้สอนหรือสั่ง ในคำพูดจะบอกเลยว่าเป็นคำสั่งหรือคำสอน ปกติที่ผ่านมาเราอาจจะคิดว่าเราพูดแบบนี้ว่า คราวหน้าถ้าโกรธทำอย่างนี้อีกไม่ได้นะ ไม่น่ารักเลย เราคิดว่าเราสอนอยู่แต่คนฟังไม่ใช่นะ สั่งไม่พอ ตัดสิน ตีตรา ทำแบบนี้ไม่น่ารัก ถ้าแม่ปล่อยไปลูกก็จะไปทำกับคนอื่น.

แบบนี้เราคิดว่าสอน แต่ถามว่าลูกได้คิดอะไรไหม ความรู้สึกนึกคิดของลูกไม่มีเลย มีแต่เราไปปกครองเขาอยู่อย่างเดียว ผู้ประคองประคองอารมณ์ ประคองให้เขาค่อยๆ ฝึกทักษะไปกับเรา เวลาเห็นลูกโมโหสิ่งที่ครูอยากให้มองใหม่คือดีใจในเผ่าพันธุ์ ภูมิใจว่าลูกเรามีสมองส่วนความรู้สึก มีรัก มีหลง มีอารมณ์ มีโกรธ มีอิจฉา มีอยากได้ ถ้าเกิดว่าลูกเราเป็นแบบนี้ดีใจเอาไว้

เพราะมีเด็กที่ไม่รู้สึกอะไรเลย มีตั้งแต่ไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่เข้าใจ เด็กเฉย เด็กที่ตัดตัวเองออกจากโลกไม่อยากจะรู้สึกอะไรชินชา เพราะฉะนั้นเวลาที่ลูกเรามีอารมณ์ที่หลากหลายนั่นคือพรอันประเสริฐแล้ว ที่เหลือคือเราจะประคองให้เขาแสดงออกอารมณ์เหล่านั้นอย่างไรให้อยู่บนลู่บนทางที่เหมาะสม

เพราะฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่นั่งคิดฝึกตัวเอง ฝึกตัวเองเสร็จเอาวิธีนี้ไปสอนลูก คาถาการเป็นผู้ประคอง คาถาของครูหม่อมจะมีคำว่า มั่นคง ปลอดภัย ไว้ใจได้ ถ้าเมื่อไหร่ที่เราท่องคาถา มั่นคง ปลอดภัย ไว้ใจได้ แล้วคาถานี้เข้าไปอยู่ในใจลูกเราจะกลายเป็นฐานที่มั่นทางใจให้ลูกได้ทันที เพราะฉะนั้นให้ท่องคาถานี้เมื่อไหร่ก่อนจะพูดอะไรก่อนพูด มั่นคง ปลอดภัย ไว้ใจได้ ไหมถ้าพูดไปแล้ว มั่นคง ปลอดภัย ไว้ใจได้ พูดเลย

 

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่...

Apple Podcast :https://apple.co/3m15ytB

Spotify :https://spoti.fi/3cvAVcX

YouTube Channel :https://bit.ly/3cxn31u

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

รักลูก The Expert Talk Ep.37 : ปัญหาระดับชาติ เด็กไทยอ่านไม่ออก แก้ยังไงดี

 

รักลูก The Expert Talk EP.37 : ปัญหาระดับชาติ เด็กไทยอ่านไม่ออก แก้ยังไงดี

จากงานวิจัยของยูนิเซฟล่าสุด พบว่าความสามารถในการอ่านออกเขียนได้ของเด็กไทย มีแนวโน้มลดลงกว่า 30%

แล้วถ้าเด็กไทยอ่านไม่ออก กระทบอะไรบ้าง สะท้อนภาพการศึกษาไทยอย่างไร พ่อแม่จะรับมือกับสถานการณ์นี้ได้อย่างไร

 

ฟัง ผศ.ดร.ยศวีร์ สายฟ้า

รองคณบดีฝ่ายบริหาร คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เป้าหมายของการอ่าน

แบ่งเป็น 2 ช่วงใหญ่ ช่วงแรก เด็กปฐมวัย และประถมศึกษาตอนต้นอายุ 6-8ปี เป้าหมายเพื่อ Learn to Read เรียนรู้เพื่ออ่านให้ออกเขียนให้ได้ เด็กปฐมวัยรู้ความหมายการอ่าน ไม่ใช่อ่านตัวหนังสือ แต่คือความสามารถของการประมวลการรับสาร ซึ่งสารที่เห็นอาจจะรูปภาพ สัญลักษณ์ สิ่งเหล่านี้ใช้ทักษะของการอ่านหมดเลย

การอ่านวัยนี้หมายถึงการ การรู้ภาพ รู้สัญลักษณ์และบอกความหมายของภาพนั้นได้ ก็เป็นพื้นฐานของการอ่านแล้ว

ประถมศึกษาตอนต้น 6-8ปี สามารถอ่านแบบอ้างอิงตามหลักการทางภาษามากยิ่งขึ้น มีการประสมคำ การแจกลูก การอ่านเพื่อเดาความหมายหรือตีความในลักษณะต่างๆ ในช่วงแรกจะเป็นการ Learn to Read เรียนรู้เพื่ออ่านให้ออกเขียนให้ได้ พอช่วงประถมปลาย ป.4 ขึ้นไปจนถึงมัธยม เป้าหมายเพื่อ Read to Learn ใช้การอ่านเป็นเครื่องมือเรียนรู้ ในชีวิตจริง ซึ่งเป็นเป้าหมายที่สองของการอ่าน

สำหรับเด็กเล็ก ไม่ได้คาดหวังให้อ่านออกตามตัวหนังสือ เพราะตามธรรมชาติการรับรู้ยังเป็นการรับรู้เชิงสัญลักษณ์ ดังนั้นการตีความที่เป็นนามธรรม ตัวหนังสือ ข้อความ เป็นเรื่องที่ท้าทายมากเกินไป ถ้าอนุบาลอ่านไม่ออกไม่เป็นไร แต่เรื่องความรู้รอบตัวต้องรู้ ดูสัญลักษณ์รอบตัวได้

ชั้นประถมต้น ต้องอ่านให้ออก เจอคำใหม่ต้องรู้จักการประสมคำ เพราะเป็นพื้นฐานของการ Learn to Read เมื่อจบ ป.1 เด็กต้องอ่านออกเขียนได้ คิดเลขเป็น รู้พยัญชนะ ก-ฮ การแจกลูก สะกดคำ ต้องทำได้ในป.1 พอป.2 ต้องทำได้คล่องแคล่ว แต่ถ้าป.2 เจอคำใหม่ แจกลูก และประสมคำไมไ่ด้ ต้องกังวลแล้ว แต่สำหรับเด็กอนุบาล3 ยังไม่ต้องกังวล

ระดับการอ่านของเด็ก การอ่านมีหลายระดับ ระดับแรกๆ คือ อ่านแล้วรู้ความหมายเลย ระดับที่สอง อ่านแล้วตีความเชื่อมโยงเหตุและผล ว่าสื่ออะไร สะท้อนถึงเรื่องอะไร และคาดเดาไปถึงเรื่องอะไร ระดับที่สาม อ่านแล้ววิจารณ์ได้ สามารถประเมินและแสดงความคิดเห็น ใครทำอะไรที่ไหน ใคร ทำอะไรที่ไหน ระดับสูง อ่านสร้างสรรค์ คิด ต่อยอด จินตนาการ ไปด้วยตัวเองได้

ปัญหาการอ่านที่ต้องกังวล การอ่านไม่ออก มีหลายระดับ ซึ่งภาษาไทยเรามีพยัญชระ สระ วรรณยุกต์ การอ่านไม่ออกคือ แจกลูกสะกดคำไม่ได้ จับคู่รูปกับเสียงไมไ่ด้ จำพยัญชนะไม่ได้ เป็นปัญหาพื้นฐาน ถ้าเจอตรงนี้ต้องแก้ก่อน เพราะเมื่อไประดับการอ่านที่มากไปกว่านี้ก็ไปต่อไม่ได้

การอ่านที่มาจากการจดจำ เช่น เห็นคำว่าห้องน้ำจะมีภาพผู้ชายกับผู้หญิง เด็กจะจำเป็นภาพ แต่เมื่อถามว่าสะกดยังไง ก็จะตอบไม่ได้ คือเข้ายังแจกลูก ผสมคำไม่ได้ ซึ่งต้องกังวลตรงนี้

ส่วนของการประเมินของยูนิเซฟหรือหน่วยงานต่างๆ เขาจะไม่วัดแค่การอ่านออก แค่การแจกลูกผสมคำอย่างเดียว แต่จะดูว่าอ่านแล้ววิจารณ์ได้ไหม มีความคิดเห็นยังไง เพราะในประถมต้น เด็กควรจะอ่านแล้วบอกได้ว่านี่คืออะไร คือ Litteral Reading แต่หากเด็กยังแจกลูก ผสมคำไม่ได้ ก็จะไปไม่ถึงขั้น Litteral Reading ได้

ในชั้นประถมปลาย ตามตำราสามารถไปขึ้น critical reading ได้ คือสามารถวิจารณ์ แสดงความเห็นว่ารู้สึกยังไง แต่ถ้าแจกลูก สะกดคำไม่ได้ก็มาถึงตรงนี้ไม่ได้

ปัญหาเดิมแต่ซ้ำเติมด้วยสถานการณ์

ในห้องจะมีเด็กที่อ่านไม่ออกอยู่แล้วประมาณ 5-10% ซึ่งหน้าที่ของครูก็จะมีการซ่อมเสริมในช่วงเย็นๆ ในสถานการณ์ปกติก็จะมีแบบนี้ เมื่อจบปีการศึกษา เด็กทุกคนจะอ่านได้หมด ยกเว้นเด็กที่มีปัญหา LD แต่จำนวนไม่เยอะ ไม่ได้ถึงขั้นวิกฤต คือมีปัญหาเรื่องนี้อยู่แล้ว เพราะเด็กบางคนไม่ชอบการอ่านจริง แต่ชอบการเคลื่อนไหวร่างกาย ชอบวิทยาศาสตร์ ชอบการคำนวณมากกว่า เมื่อต้องอ่านก็อาจจะต้องใช้เวลานานกว่าคนอื่น พ่อแม่ต้องเข้าใจและให้เวลา

แต่ในสถานการณ์โควิดลักษณะการอ่านแจกลูก สะกดคำ ต้องอาศัยการสอนอย่างใกล้ชิดกับครู คือ ครูนำ เด็กตาม ซึ่งการสอนอ่านก็มีหลายแบบ เช่น คำว่า ต า = ตา เด็กก็จะรู้ว่า ต. คือเสียงเตอะ รวมกับ สระ า ออกเสียงรวมกันเป็นตา เป็นการสอนแบบแจกลูก คือแจกแล้วมาผสมกัน ซึ่งดูจากคลิปมันแจกลูกไม่ได้

เด็กที่เรียนออนไลน์ก็อาจจะพอได้ พูดตามได้บ้าง แต่เด็กที่ไม่มีโอกาสออนไลน์เลย น่ากังวลมากกว่า แล้วการเรียนแบบ On hand เด็กเรียนรู้ด้วยตัวเองไม่ได้

ส่วนการอ่านของเด็กป.โตขึ้นไป การอ่านขั้นสูงก็ต้องอาศัยการชี้นำ ตั้งคำถาม เพื่อกระตุ้นความคิดของเด็กให้พัฒนา ซึ่ง On hand มันยากและท้าทายกับพ่อแม่มาก ครูก็ไม่ไ่ด้คาดหวังให้พ่อแม่สอนแจกลูก สะกดคำได้ ก็จึงเป็นปัญหาที่เพิ่มเข้ามาในช่วงที่มีสถานการณ์โควิด

การแจกลูกสะกดคำ ถ้าเด็กรู้พื้นฐานแล้ว เขาจะพยายามทำให้ได้ ซึ่งก็สัมพันธ์กับภาษาการฟัง พูด ปกติคนเราจะฟังพูด แล้วเราได้คำศัพท์ แล้วคำศัพท์ที่มาจากการอ่าน เขียนมาทีหลัง

มีงานวิจัยรายงานว่าเด็กที่มีทักษะการพูด การฟังที่ดี จะมีคลังคำศัพท์เยอะ พอได้หลักการอ่านไป ประกอบกับคลังคำที่มีเยอะ เขาจะไปไวมาก ย้อนมาที่สถานการณ์ตอนนี้ เด็กก็ไม่รู้จะคุยกับใคร คลังคำมาจากไหน และด้วยสภาพแวดล้อมที่อยู่กับพ่อแม่ คำพูดก็จะวนๆ ไปมา ไม่ได้เติมคำศัพท์ใหม่ ในมุมนักวิชาการ กังวลเรื่องการแจกลูก สะกดคำ เป็นพื้นฐานที่สำคัญ เพราะถ้าตรงนี้ไม่ได้ ก็จะไม่ได้อะไร

เด็กอ่านไม่ออกกระทบอะไรกับพัฒนาการ

1.สญเสียเครื่องมือในการเรียนรู้ 2.ส่งผลกับการดำเนินชีวิต เช่น เวลาทำธุรกรรมการเงิน และอาจจะถูกหลอก 3.ขาดโอกาสในการทำงานที่ดี

พ่อแม่สามารถช่วยลูกได้ เติมคลังคำศัพท์ให้ลูก ได้เรียนรู้คำใหม่ๆ เช่น อ่านนิทาน ให้ดูคลิป และดูกับลูก คุยกับลูกเยอะ ให้ได้คำศัพท์อื่นๆ ที่อยู่นอกบริบทเราได้ ปกติเด็กจะตั้งคำถามอยู่แล้วก็จะเป็นต้นทุนที่ดี เมื่อคลังคำเยอะ พอได้เรียนรู้การสะกดคำ ก็จะทำให้ลูกทำได้ดี

คุยกับลูกบ่อยๆ เยอะๆ
ก่อนจบอ.3 อายุประมาณ 5 ปี ก็ให้ลูกคุ้นเคยกับพยัญชนะ ตัวอักษร ให้เรียนจากสิ่งรอบตัว สนุกและไม่ต้องเป็นทางการ ระหว่างที่ขับรถหรือเจออะไรก็สอนเรื่องพยัญชนะลูกได้ ซึ่งภาษาคือการใช้ ก็ต้องเปิดโอกาสให้ลูกได้ใช้บ่อยๆ

 

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่...

Apple Podcast :https://apple.co/3m15ytB

Spotify :https://spoti.fi/3cvAVcX

YouTube Channel :https://bit.ly/3cxn31u

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

รักลูก The Expert Talk Ep.38 : ตั้งรับ ปรับตัว กับเทรนด์การศึกษาใหม่

 

รักลูก The Expert Talk EP.38 : ตั้งรับ ปรับตัว กับเทรนด์การศึกษาใหม่

จากงานวิจัยของยูนิเซฟล่าสุด พบว่าความสามารถในการอ่านออกเขียนได้ของเด็กไทย มีแนวโน้มลดลงกว่า 30%

แล้วถ้าเด็กไทยอ่านไม่ออก กระทบอะไรบ้าง สะท้อนภาพการศึกษาไทยอย่างไร

พ่อแม่จะรับมือกับสถานการณ์นี้ได้อย่างไร ฟัง ผศ.ดร.ยศวีร์ สายฟ้ารองคณบดีฝ่ายบริหาร คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ตัวเลขเด็กไทยหลุดระบบ 1.2 ล้าน เกิดอะไรขึ้น

เป็นผลกระทบจากโควิด รร.หลายๆ พื้นที่กระทบ ซึ่งก็เกิดการเรียนรู้หลากหลายรูปแบบ เด็กที่มีควาพร้อม รร.สามารถ onsite ได้ แต่ที่ไปรร.ไม่ได้แต่ online ได้ก็ยังดี แต่ที่น่าเป็นห่วงคือเด็กที่ไปรร.ไม่ได้ เรียนออนไลน์ไม่ได้ เพราะไม่เข้าถึง แม้จะมีการเรียนแบบ onhand และเรียนรู้ด้วยตัวเอง ก็จะประสบความสำเร็จยาก ทำให้เป็นการเสียโอกาสการเรียน

ปี2564 ทั้งเทอมที่ไม่ได้ไปรร. พอมาเทอมที่2 เดือนพย. ก็เปิดๆปิดๆ ซึ่งก็เป็นโจทย์ยากของรร. ซึ่งครูจะมีเป้าหมายว่าจะสอนให้เด็กเรียนรู้เรื่องและเข้าใจเรื่องอะไรบ้าง รร.ก็จะมีตัววัดมาตฐานในเนื้อหากำหนดว่าเรื่องไหนต้องได้ ปี 2563 ก็มีการคุยกันว่า ลดบางตัวที่ไม่จำเป็นลงได้ เอาเฉพาะที่จำเป็นจริงๆ ขนาดว่าจัดแล้วก็ยังไปตามเป้าหมายได้ยาก และกังวลว่าถ้าสถานการณ์แบบนี้ไปเรื่อย แต่เด็กต้องเลื่อนชั้นไปเรื่อยๆ แต่ฐานที่ควรจะแน่นมันไม่แน่น พอไปชั้นสูงขึ้นเนื้อหายากขึ้น ซับซ้อนขึ้น ขณะที่รากฐานไม่แน่นโอกาสที่จะประสบความสำเร็จการเรียนรู้ก็จะยาก นี่ละเป็นสิ่งที่กังวล ก็ขอให้ปี 2565 ให้ดีขึ้น นั่งโต๊ะห่างๆ

เพราะเราเสียดายโอกาสกับเด็ก ยิ่งเป็นเด็กประถมต้น ส่วนเด็กอนุบาลก็มีข้อกังวลใจว่าด้วยความที่ไม่ได้ไปรร. การเรียนรู้เนื้อหาวิชาการไม่ค่อยห่วง เพราะเนื้อหาไม่ได้เน้น แต่ที่กังวลคือพัฒนาการด้านภาษา ทักษะทางสังคม เพราะเป็นช่วงที่เวลาที่ถ้าไม่รับการเติมเต็ม ในช่วงเวลาที่ควรจะได้ ช่องทางหรือหน้าต่างที่จะพัฒนาเรื่องนี้ก็จะค่อยๆ ถูกปิดลง ทำให้ตัวตน บุคลิกลักษณะของเขาก็จะฟอร์มเป็นแบบนั้นเลย ซึ่งเรากังวล

เวลาที่เราพูดถึงผลกระทบการเรียนรู้ในช่วงโควิด เราไม่ได้โฟกัสเรื่องวิชาการ แต่เราห้วงมิติอื่นๆอย่างทักษะทางสังคม ถ้าไม่ได้มารร.ไม่ได้เล่นกับเพื่อน ก็จะเกิดไม่ได้ ยิ่งเด็กเกิดน้อย หรืออยู่คอนโด และไม่ได้เล่นกับใคร ทำให้เกิดข้อจำกัด และเกิดผลกระทบเกิดขึ้นตามมา

ระบบการศึกษารับมือยังไง

ว่าตามหลักการคือ ครูต้องรู้ว่าเนื้อหาที่สอนไปมีเด็กกี่% ที่บรรลุได้ และมีเด็กกี่% ที่เป็นพื้นที่สีแดง ต้องยื่นมือเข้าไปช่วย ในแง่หลักการส่วนไหนที่เด็กขาดในระบบที่วิกฤต ครูต้องช่วยก่อน หาวิธีการช่วย เช่น ไปเยี่ยมที่บ้านคืออาจจะต้องสอนตัวต่อ เช่น ถ้าครูเห็นว่ามีเด็กโซนที่น่ากังวล 7 คน หาวิธีสอนตัวต่อตัว อาจจะโทรศัพท์ วันละ 5-10 นาที เป็นกลไกที่ครูช่วยเหลือเด็ก ให้เด็กอยู่ในสายตาครู ที่น่าจะช่วยเหลือได้ในช่วงนี้ 8.26 คือเด็กขาดตรงไหนรีบเติม ขึ้นอยู่กับระดับวิกฤตว่าขาดตรงไหนมากตรงไหนน้อย ท้ายที่สุดเป็นหน้าที่ครูที่จะต้องเติมให้เต็ม เพราะเป็นฐานในระดับชั้นที่สูงขึ้นต่อไป

รับมือเด็กช่วงรอยต่อ

เพราะธรรมชาติของการเรียนรู้ในสองระดับจะมีความแตกต่างกัน พอมันแตกต่างกันเด็กต้องใช้พลังในการปรับตัวเยอะ แต่ถ้าช่วงการปรับตัวเด็กไม่เคยกับสภาพแวดล้อมจริงเลย อย่างเด็กที่มาจากอ.3 ไป ป. 1 ยังไม่เคยเจอห้องเรียนเลย ทำให้การรับรู้เข้าคือห้องเรียนคือผ่านจอ ไม่รู้จักเพื่อน เป็นการรับรู้ของเด็กว่าชั้นเรียนป.1 เป็นแบบนั้น ซึ่งไม่ใช่ของจริง ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลือจากครูหรือไม่ได้การดูแลใกล้ชิด ทำให้คอนเซ้ปต์ของรร.ที่มีต่อรร.มันหายไป

ระบบของการเรียนนานาชาติ

หลายรร. จัดทีมสนับสนุนการเรียนรู้ Learning Support โดยสำรวจแล้วรู้ว่าเด็กขาดเรื่องอะไรบ้าง มีบทเรียน หรือskill อะไรหายไปบ้าง และใช้ระบบการสนับสนุนนี้เข้าไปช่วยเหลือเด็ก เเพราะเชื่อว่าระบบการช่วยเหลือเด็กที่ดีและมีประสิทธิภาพจะช่วยเติมฐานที่เด็กหายไปได้

ตามหลักการต้องมองว่าเด็กจะช่วยเหลือยังไง และครูอาจจะต้องทำงานหนัก หรือพ่อแม่สังเกตและดูว่าลูกยังทำเรื่องไหนไม่ได้ ก็ปรึกษาครูเพิ่มเติม ซึ่งสิ่งที่พ่อแม่กังวลอาจจะเป็นมาตรฐานจากคนข้างนอก ซึ่งครูอาจจะมีวิธีคิดมุมมองอีกแบบ ทำให้มีทิศทางในการดูแลลูกที่ชัดเจน ดีกับครู เพราะว่าครูมีโอกาสน้อยที่เจอเด็ก การแชร์จากพ่อแม่ทำให้ครูรู้ว่าจะเติมลูกยังไงบ้าง

Model การศึกษาข้ามภูมิภาค

เหมือนการเรียนเก็บหน่วยกิต ระบบนี้เป็นลักษณะเรียนที่เราสะดวก เรียนที่ไหน เรียนอะไรก็ได้ เรียนแล้วก็ประเมิน ก็เก็บคะแนนไว้ เมื่อถึงจุดหนึ่งอาจจะไปเทียบโอนว่าเรียนจบแล้ว ปัจจุบันการศึกษาบ้านเราเป็นแบบไหน การศึกษา มี 3 ลักษณะ

1.ในระบบโรงเรียนมีระยะเวลาการเรียนเปิดปิดภาคเรียน มีช่วงอายุกำหนด มีการใช้หลักสูตรที่มีโครงสร้างหลักสูตร มีการวัดประเมินผลเพื่อเลื่อนชั้น มีเกณฑ์การจบการศึกษา

2.การศึกษานอกระบบ คล้ายๆ ในระบบโรงเรียน เแต่วิธีการเรียนรู้คล่องตัว ยืดหยุ่น เช่น ไม่ได้กำหนดอายุคนเรียน เรียนวันเสาร์ อาทิตย์ เช่น การเรียนกสน. ยืดหยุ่นการสอบวัดประเมินผล การเลื่อนชั้น ช่วงเวลายืดหยุ่น เรียนวันเสาร์ อาทิตย์

3.การศึกษาตามอัธยาศัย ขึ้นอยู่กับความสนใจและความต้องการของคนเรียน เช่น อยากเรียนคอรส์เทควันโด สอบไล่ระดับ

ตามแนวนี้นั้นต้องบอกว่า การศึกษาในระบบได้รับผลกระทบโดยตรงจากโควิด ทำให้เกิด Learning Loss ในหลายมิติ หากมีการสร้างพื้นที่การเรียนรู้ที่เด็กมีโอกาสในการเข้าถึงระบบการศึกษา มีความคล่องตัว ยืดหยุ่น เรียนเวลาไหน สถานที่ไหนก็ได้ และค่อยๆ เก็บเครดิตไปเรื่อยๆ ทำให้เวลาที่เด็กไม่ได้ไปรร. ได้อะไรกลับมาบ้าง นี่คือตามหลักการ

หากมองในความเป็นไปได้ ก็จะต้องมีการวางแผนภาพใหญ่เยอะ เพราะเมื่อเรามองในระบบการศึกษารร. คือจะมีเรื่องวุฒิการศึกษา ซึ่งวุฒินี้จำเป็นในการรับรองการศึกษาที่สูงต่อไป เช่น จบม.6 ถึงจะเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งหากจะทำระบบนี้ในระบบการศึกษาในรร. ก็ต้องทำระบบการเทียบโอนวุฒิ เปรียบเหมือน Homeschool ที่มีหลักเกณฑ์ เทียบเคียงกับเด็กที่เรียนในรร.ปกติ

ซึ่งก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้ เพราะการเรียนรู้ของมนุษย์ในอนาคต ไม่ได้รูปแบบรร. อาจจะเกิดขึ้นได้ แต่ยังคงไม่ใช่เร็วๆ นี้ ต้องคิดทั้งระบบและกระบวน ถึงจะเกิดประโยชน์กับผู้เรียนจริงๆ ซึ่งต้องชัดเจน มีการศึกษาวิจัยก่อน ถึงจะนำมาใช้ได้จริง

สะท้อนเทรนด์การศึกษา

แนวโน้มการศึกษาในอนาคตจะมีพิธีรีตองน้อยลง อาจจะไม่ต้องไปรร. อาจจะไปบางวัน บางช่วง ที่เหลือ work กับครูนอกรอบ เรียนแบบยืดหยุ่น เทอมที่เปิดปิดไม่เหมือนกัน เป็นเทรนด์อนาคตที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่ง covid ทำให้สิ่งที่เกิดเร็วขึ้น และรู้ว่าการเรียนรู้เด็กหยุดนิ่งไมไ่ด้ เพราะฉะนั้นมีหนทางอะไรที่ทำให้การเรียนรู้ของเด็กเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดนิ่ง ต้องเลือก option นี้

พ่อแม่เตรียมอะไรบ้าง

มีเครื่องมือการเรียนรู้ที่ดี อ่านออกเขียนได้ คิดเลขเป็น logic พื้นฐาน ใฝ่รู้ ใฝ่เรียน อยากรู้อยากเรียน รู้จักสังเกต ตั้งคำถาม inquiry อยากรู้อะไรก็หาคำตอบของเขาเอง รู้แหล่งข้อมูลที่จะหาคำตอบได้ นี่คือสิ่งที่เป็นพื้นฐานการเรียนรู้ทั่วๆไป ซึ่งพ่อแม่เตรียมทักษะเหล่านี้ให้ลูกได้ ไม่ตกเทรนด์

ครูยังต้องปรับตัวเลย เป็นเรื่องใหม่ หลักคิดคือ เป้าหมายคือการเรียนรู้ของเด็กต้องเกิดขึ้นเต็มตามศักยภาพของเด็กที่ควรจะได้ เพื่อลด Learning Loss

1.ครูจะไม่คาดหวังสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะไม่ยุติธรรมกับเด็ก

2.เทรนด์การศึกษาเปลี่ยน ไม่ได้มองว่าแค่เก่ง แต่เริ่มมองการพัฒนาทักษะกระบวนการที่จำเป็นสำหรับเด็ก โลกในการเรียนรู้ยุคนี้ ต่างจากสมัยเรามาก เราจะใช้ความคาดหวังเดิมมาคาดหวังกับลูกไม่ได้

3.พยายามเรียนรู้ไปพร้อมๆ กับลูก

การเรียนรู้ของเด็กต้องเกิดขึ้นตลอดเวลา

 

รักลูก Podcast ได้ที่...

Apple Podcast :https://apple.co/3m15ytB

Spotify :https://spoti.fi/3cvAVcX

YouTube Channel :https://bit.ly/3cxn31u

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

รักลูก The Expert Talk Ep.39 (Rerun) : จอเรียน จอเล่น ไม่มีพัก วิกฤตตาเสื่อมช่วงเรียนออนไลน์

 

รักลูก The Expert Talk EP.39 (Rerun) : จอเรียน จอเล่น ไม่มีพัก วิกฤตตาเสื่อมข่วงเรียนออนไลน์

จากจอเรียนมาจอเล่น ใช้สายตาไม่พักทั้งวัน ผลกระทบมีอะไรบ้าง พ่อแม่ต้องรู้เพื่อป้องกันและรับมืออย่างไร

ฟังคำแนะนำจากจักษุแพทย์เด็ก นพ.จรินทร์ ศักดิ์ธนะเศรษฐ

จักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาโรคตาเด็กตาเหล่ โรงพยาบาล BNH

 

เพราะช่วงนี้เด็กยังเรียนออนไลน์ วันนี้เราคุยกันเรื่องการใช้สายตาที่เด็กต้องจ้องจอตลอดทั้งวันยังไม่นับเวลารวมที่ลูกเล่นเกมหรือดูทีวีมันส่งผลกระทบอย่างไรต่อสายตาลูกบ้าง

อันตรายจากการใช้จอของเด็ก

ในฐานะของจักษุแพทย์ต้องบอกก่อนว่าจริงๆ แล้วแสงจากจอคอมพิวเตอร์ไม่ได้เป็นอันตรายต่อตาเด็กมากนักเพราะความเข้มของแสงที่ออกจากจอคอมพิวเตอร์ไม่ได้สว่างถ้าเทียบกับแสงแดดหรือแสงอาทิตย์จากภายนอก เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีจอในปัจจุบันปริมาณของรังสียูวีออกมาน้อยมากๆ

แต่ปัญหาที่เกิดจากการที่เด็กคนหนึ่งได้ดูจอที่เกิดกับตาคือการที่เขาสามารถใช้เวลากับจอได้เป็นระยะเวลานานเพราะว่าเขาต้องเรียนออนไลน์ด้วย อาจมีเกมหรือการ์ตูนที่เด็กสนใจ

ตาของเด็กที่เวลามองจอหรืออุปกรณ์พวกนี้สังเกตดูว่าจะไม่เหมือนเวลาที่เขาอ่านหนังสือ การที่เด็กอ่านหนังสือตาจะไล่ไปตามตัวหนังสือไล่ไปตามบรรทัดแล้วขึ้นบรรทัดใหม่ตาจะมีการขยับตลอดเวลามีเหลือบมองนอกหนังสือบ้าง แต่เวลาตาของเด็กเวลาจ้องอยู่กับจอคอมพิวเตอร์ตาเขาจะจ้องนิ่งอยู่กลางจอเพราะสิ่งที่เขาสนใจอยู่ตรงนั้น

ระยะของอุปกรณ์พวกนี้ในปัจจุบันเวลาเด็กดูจอคอมพิวเตอร์หรือแทปเล็ตหรือมือถือหรือ I-pad ระยะก็จะอยู่ประมาณ 30-50 เซนติเมตร ซึ่งถือว่าเป็นระยะค่อนข้างใกล้ การที่เด็กดูจอในระยะใกล้ขนาดนี้โดยธรรมชาติของตาเด็กๆ ก็จะมีสายตายาวอยู่แล้วอันนี้เป็นธรรมชาติของเด็กทุกคน

พอเด็กมองใกล้ก็จะเกิดการเพ่งเพื่อให้เกิดความคมชัดของภาพ การเพ่งต่อเนื่องระยะเวลานานๆ จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในลูกตาที่เกิดขึ้นได้คือเกิดการยืดออกตัวของตาขาวของลูกตาซึ่งเป็นกลไกให้เกิดสายตาสั้นได้

ส่วนเรื่องอื่นๆ การที่เด็กจ้องจอเป็นเวลานานสังเกตดูถ้าลูกจ้องจอเป็นเวลานานๆ โดยเฉพาะ Content ที่มีความน่าสนใจแล้วเขาสนใจตาของเขาในช่วงแรกที่จ้องจออัตราการกระพริบตาของเด็กจะลดลง บางครั้งก็อาจจะเกิดการระคายเคืองตาหรือตาแห้งตามมาได้ เราจะพบเห็นกันได้บ่อยๆ ว่าลูกหลานเราบางคนพอจ้องจอนานๆ สักพักจะมีการกระพริบตาถี่ขึ้น เกิดจากการที่เด็กก่อนหน้านั้นมีการเพ่งนาน

อาการระคายเคืองตา

การระคายเคืองตา การกระพริบตาเป็นการปั้มน้ำตาเพื่อมาช่วงหล่อเลี้ยงผิวหน้าดวงตาทำให้ตาชุ่มชื้นขึ้นทำให้เขาสบายตา ถ้าเราปล่อยให้ถึงขั้นกระพริบตาถี่ขึ้นแปลว่าแห้งไปแล้ว เพราะฉะนั้นก็จะมีวิธีที่จะจัดการหรือว่าจัดการเวลาให้เขาดูน้อยลง มีแบ่งช่วงเวลาให้เขาดูสั้นลง หรือว่าให้เขาดูห่างขึ้นก็อาจจะช่วยให้เขาสบายตาขึ้นได้

ผลกระทบจากแสงสีฟ้า

แว่นกรองแสงสีฟ้าแรกเริ่มเดิมทีมีจุดกำเนิดมาอย่างไร ในสมัยก่อนที่มนุษย์เรายังไม่มีการผลิตไฟฟ้าใช้เป็นมนุษย์ถ้ำมนุษย์ป่า สมองของคนเราเวลามองออกไปข้างนอกถ้าเห็นแสงสว่าง มองท้องฟ้าเห็นเป็นแสงสีฟ้าสมองเราจะรับรู้ว่าอันนี้เป็นเวลากลางวัน แล้วก็สมองของเราจะใช้แสงสีฟ้าเป็นตัวบอกว่านี่เป็นเวลากลางวันเราต้องออกไปทำมาหากิน เราต้องออกไปใช้ชีวิต หรือออกไปล่าสัตว์

แต่ถ้าเราออกไปมองท้องฟ้าไม่แล้วเห็นสีฟ้าเห็นเป็นสีดำกลางคืนอันนั้นเป็นเวลานอน จริงแล้วแสงสีฟ้าความสำคัญคือเป็นแสงที่เอาไว้คุมกลไกการหลับการตื่นของคนเรา ถ้ามีแสงสีฟ้ามันจะไม่บล็อคสารสื่อประสาทในฮอร์โมนชื่อว่าเมลาโทนิน พอมีแสงสีฟ้าเมลาโทนินจะไม่หลั่งแล้วก็ตื่น แต่ถ้าไม่มีแสงฟ้าเมลาโทนินก็จะออกมาเราก็จะง่วงนอนแล้วก็หลับได้

ในยุคต่อมาเราผลิตหลอดไฟได้เรามีอุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์หลายคนที่ต้องทำงานหน้าจอเวลากลางคืนทำเสร็จแล้วนอนไม่หลับเพราะว่าแสงเข้าตาเยอะก็เลยมีการผลิตแว่นกรองแสงสีฟ้าขึ้นมา หลักๆ เดิมทีวัตถุประสงค์เพื่อให้เราใส่เวลาทำงานกลางคืนเวลาปิดจอแล้วสามารถนอนหลับได้

หลายๆ คนอาจจะติดซีรีย์กลางคืนดูหนังดูเสร็จแล้วนอนไม่หลับเพราะแสงจากจอทีวีหรือในมือถือบางคนต้องปิดไฟดูมืดๆ แสงยิ่งเข้าเยอะ แสงพวกนี้อาจทำให้ไปบล็อคเมลาโทนินทำให้เราตื่นอันนี้เป็นที่มาของการผลิตแว่นกรองแสงสีฟ้าครั้งแรก

จริงๆ แสงสีฟ้าเป็นแสงในสเปคตรัมที่ตาเรามองเห็นได้เรียกว่า Visible light แสงถ้าเราแบ่งเป็น 2 กลุ่มง่ายๆ คือ แสงที่ตามองเห็นได้ กับแสงที่ตามองเห็นไม่ได้ แสงในกลุ่มที่ตาเรามองเห็นได้แบ่งเป็น 7 สี ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง (สีรุ้ง) แสงที่อยู่ใต้แดงเรียกแสงอินฟาเรดที่นอกเขตสีแดงฝั่งซ้ายสุดอินฟาเรดเป็นแสงกลุ่มพลังงานต่ำอันนี้ก็จะปลอดภัยเราเอามาประดิษฐ์รีโมทคอนโทรงใช้ในบ้าน

ส่วนแสงกลุ่มพลังงานสูงคือแสงที่อยู่เหนือม่วงขึ้นไปเรียกว่าอุลตร้าไวโอเลต แบ่งเป็น ยูวีเอ ยูวีบี แสงกลุ่มนี้เป็นแสงพลังงานสูงเราเอาไว้ฆ่าเชื้อโรคอบฆ่าเชื้อโควิด หรือถ้าโดนผิดเราอย่างเวลาเราไปทะเลโดนแสงยูวีเยอะ จะให้ผิวเราร้อนไหม้บางคนลอกหรือว่าดำขึ้น

แสงที่เป็นอันตรายต่อตาเราคือแสงยูวี กลุ่มยูวีทั้งหมดแสงตั้งแต่สีม่วงลงมาเป็นแสงที่ตามองเห็นได้กับอินฟาเรดเป็นแสงที่ค่อนข้างปลอดภัยกับตา แสงกลุ่มสีฟ้า สีคราม สีม่วง

ถ้าสังเกตดูมันจะอยู่ติดกับกลุ่มยูวีซึ่งจัดเป็นแสงที่มองเห็นได้ในกลุ่มที่มีพลังงานสูงถ้าเทียบกันในกลุ่มของแสงที่ตามองเห็นได้แสงสีฟ้า สีคราม สีม่วงก็จัดว่าเป็นแสงที่เวลาที่เรามองเข้าไปมันคลายพลังงานความร้อนในจอประสาทตามากกว่าสีเหลือง สีแดง สีเขียว

เพราะฉะนั้นถ้าเอาแสงสีฟ้าออกไปด้วยนอกจากยูวี ก็น่าจะปลอดภัยกับจอตามากขึ้น มีการทดลองงานวิจัยระดับโลกว่าถ้าเทียบกันในแสงที่มองเห็นด้วยกัน ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง แสงสีน้ำเงิน สี ฟ้า สีม่วง เป็นแสงที่ส่งผลต่อจอประสาทตามากกว่าสีเหลือง สีแดง สีเขียว เพราะฉะนั้นการที่เราใส่แวนกรองแสงสีฟ้าเขาก็เชื่อว่ามันทำให้ถนอมจอประสาทตา ช่วยเรื่องของการนอนหลับที่พูดถึงไปก่อนหน้านี้

ผลกระทบจากการจ้องจอนาน

ปริมาณแสงจากจอคอมพิวเตอร์ไม่ได้เข้ม และไม่ได้อันตรายมาก หลักการง่ายๆ เลยถ้าแสงจากจอคอมพิวเตอร์เป็นแสงที่อันตรายและทำลายดวงตาเราโอกาสที่มันจะขายให้เราซื้อมาใช้ตามบ้านจะน้อย มันไม่ได้เป็นอันตรายที่เราส่องเข้าไปแล้วเป็นต้อหิน ต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อม แสงที่ทำให้จอประสาทตาเสื่อมต้องเป็นแสงที่ค่อนข้างเข้มมีรังสียูวี เช่น แสงที่เกิดจากการอ๊อกเหล็กแสงจ้า แสงจากดวงอาทิตย์ แสงไฟสปอทไลท์ที่มีความสว่างมากๆ พอเราไปจ้องมากๆ ปริมาณแสงเข้มๆ จะไปทำลายจอประสาทตา แต่

แสงจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นแสงที่ค่อนข้างไม่มีความอันตรายอย่างที่กลัวกัน ที่มีปัญหาคือเด็กจ้องใกล้และจ้องนาน อันนี้เป็นตัวปัญหาทำให้เกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของลูกตาเด็กทำให้เกิดสายตาสั้นได้

การใส่แว่นกรองแสงสีฟ้า หลายคนคิดว่าแว่นกรองแสงสีฟ้าพอให้ลูกเราใส่มันจะกันได้ทุกอย่างกันสายตาสั้นก็ได้ กันตาแห้งก็ได้ จริงๆ แล้วแว่นกรองแสงสีฟ้าไม่ได้ช่วยเรื่องสายตาสั้นเลย เพราะว่าสายตาสั้นเกิดจากการที่เด็กมองที่ใกล้เป็นระยะเวลานานๆ เกิดการเพ่ง เราจะใส่แว่นหรือไม่ใส่แว่นระยะมันเท่าเดิม เด็กจ้องใกล้

ต้องทำความเข้าใจนิดหนึ่งเพราะว่าพ่อแม่หลายคนบอกลูกใส่แว่นเราซื้อแว่นมาให้ลูกเราแล้วเราจะอนุญาตให้ลูกดูนานกว่าเดิมอันนี้เป็นความเข้าใจที่ผิด เราใส่ให้ปลอดภัยขึ้นแต่ไม่ได้ใส่แล้วอนุญาตให้ลูกดูได้นานขึ้น เพราะการที่ดูใกล้ดูนานทำให้เป็นสายตาสั้น ใส่แว่นแต่ยังดูใกล้อยู่ดูนานอยู่หรือนานกว่าเดิมอันนั้นเพิ่มโอกาสสายตาสั้นมากกว่าเดิม

แว่นกรองแสงสีฟ้าส่วนมากจะกรองแสงยูวีด้วย การที่เรากรองแสงยูวีออกกรองแสงสีฟ้าออกใส่แล้วจะทำให้สบายตาขึ้น จริงๆ แสงพอเวลาที่เข้ามาปริมาณมันก็จะมีพลังงานที่คลายให้กับลูกตาเราด้วยถ้าแสงเข้มมากก็จะมีอาการล้าตามมาได้ แต่แสงที่โดนตัดพลังงานออกไปบ้างจากแว่นกรองแสงสีฟ้าส่วนใหญ่ก็กรองแสงยูวีได้ด้วยก็จะทำให้อาการสบายตามีมากขึ้น เพราะฉะนั้นประโยชน์หลักๆ ของแว่นกรองแสงสีฟ้าคือ 1.ใส่แล้วสบายตา ลดพลังงานเข้าตา 2.ช่วยเรื่องนอนหลับ

ให้ลูกห่างจอบ้าง

จริงๆ อยากให้คุยกับลูกเลยว่าเวลาใช้งานคอมพิวเตอร์ สมมติถ้าไม่ใช่เรื่องเรียน ถ้าเขาใช้เรียนออนไลน์อยู่ก็คงต้องเรียนไปตามคาบตามชั่วโมงที่ครูสอน แต่ถ้าเป็นเรื่องอื่น เช่น ดูการ์ตูน หรือสื่อบันเทิงอาจจะต้องคุยกันว่าเราต้องพักทุก 15 หรือทุก 20 นาทีไหม

การที่เราวางจอห่างจากตาเด็กเท่าไหร่เราก็ได้ประโยชน์มากเท่านั้นการที่เด็กยิ่งดูใกล้และยิ่งดูนานเพิ่มความเสี่ยงสายตาสั้น ถ้ายิ่งดูไกลมากขึ้นแบ่งเวลาพักบ่อยๆ มีการใช้สายตาในที่ไกลบ้างอันนี้จะลดโอกาสสายตาสั้น การที่เด็กได้พักเด็กก็จะมีเวลากระพริบตามากขึ้นเรื่องตาแห้งก็จะลดลง เช่น 15 นาทีแล้วเดี๋ยวเรามองอย่างอื่นบ้างพ่อแม่อาจจะต้องเบรกให้มองนอกหน้าต่าง การมองนอกหน้าต่างไกลๆ ทำให้กล้ามเนื้อตาคลายตัว เด็กได้มีการกระพริบตาปั้มน้ำตาออกมาช่วยเรื่องตาแห้งได้ด้วย

ระยะห่างจอ

ยิ่งห่างยิ่งดี ยิ่งห่างยิ่งเพ่งน้อยลง ที่นี้ขนาดจอก็จะเริ่มมีผลแล้วเพราะว่าบางคนถ้าเรียนจอเล็กก็ต้องดูใกล้ เพราะดูไกลก็ไม่เห็น แต่ถ้าขนาดจอใหญ่หน่อยเด็กก็ถอยห่างได้ การเรียนบางที่บางโรงเรียนต้องมีการ Interactive หน้าจอด้วยอาจจะต้องใช้ Touch Screen ด้วยถ้าไกลมากเด็กจิ้มก็ไม่ถึง

ส่วนใหญ่หมอแนะนำว่าให้เด็กลองยกมือขึ้นมาแล้วยื่นออกไปสุดถ้าแต่จอได้คือใกล้ไปก็จะแนะนำให้ถอยออกมา เด็กส่วนใหญ่ถ้ามีจอเด็กก็จะค่อยๆ ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ยิ่งดูก็ยิ่งใกล้เข้าไปเรื่อยๆ เวลาเด็กเขาสนใจอะไรเขาก็อยากเข้าไปดูใกล้ๆ ดูชัด ไม่เหมือนผู้ใหญ่ถ้าเรายิ่งดูใกล้ยิ่งไม่ชัดอยากดูชัดเราต้องถอย

แต่เด็กจะมีความสามารถในการเพ่งสูงมากเลนส์ตาเขานิ่มมากเขามองระยะใกล้ 5 – 10 เซนติเมตร ชัดมาก เพราะฉะนั้นสบายเขาไม่ต้องออกแรงเยอะเวลาเขาดูหน้าก็จะใกล้เข้าไปเรื่อยๆ เวลาเราจะเตือนเขาอาจจะสอนเขาว่า หนูลองยื่นมือออกไปสิแตะจอได้คือใกล้ไปแล้วหนูต้องถอยออกมาแล้วเป็นข้อปฏิบัติง่ายๆ จริงๆ ถ้าให้ตอบเป็นเซนติเมตรก็อยากให้ห่างมากกว่า 40 เซนติเมตรขึ้นไป

หรือบางบ้านเขาเอาไม้บรรทัดมาวางไว้ถ้าหนูเข้าใกล้กว่านี้อันนี้คือใกล้ไปแล้วหนูต้องถอยออกมาเกินไม้บรรทัดนะคะ ถ้าเรียนออนไลน์เรียนผ่านจอทีวี สมาร์ททีวี ได้ก็จะยิ่งดี ยิ่งไกลยิ่งดี ถ้าเราต่อเม้าส์ที่เป็นไวเลสไกลๆ ได้จะยิ่งดีมาก

ภายในห้องมีแสงสว่างที่เพียงพอ เพราะถ้าแสงไม่สว่างม่านตาจะขยายแสงจะเข้าได้ในปริมาณมากมันมีแสงบางประเภทที่ไม่ได้เข้าแล้วโฟกัสบนจอตามันเข้าไปแล้วมันจะโฟกัสบริเวณขอบตาแสงประเภทนี้มันจะกระตุ้นให้เกิดสายตาสั้นได้

การจัดห้องเรียนออนไลน์ สภาพแวดล้อมแบบไหนเหมาะกับตาของเด็ก

อาจจะเป็นเรื่องโต๊ะกับเก้าอี้ เลือกโต๊ะเก้าอี้ที่มีความสูงพอเหมาะกับเด็กเวลาวางอุปกรณ์แล้วมันไม่สูงเกินตัวเขาไม่ทำให้หน้าเขาใกล้กับจอมากเกินไป แสงสว่างก็ควรมีแสงสว่างที่พอเพียงเด็กไม่ต้องจ้อง

ถ้ามีสิ่งที่เด็กพักสายตา อย่างเช่น มีหน้าต่างให้เขามองออกไปข้างนอกได้บ้างก็จะได้ประโยชน์ดีกว่าอยู่ในห้องที่แคบและมืด ก็แล้วแต่บ้านบางคนอยู่คอนโดก็ลำบากเรื่องของสถานที่ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องโต๊ะ เรื่องของแสงสว่างที่ต้องเพียงพอและระยะถ้าไกลได้ยิ่งดีอย่าใกล้มาก แบ่งเวลาพักบ่อยๆ สัก 15-20 นาทีก็พักสายตาสักครั้ง

เด็กมีปัญหาสายตามากขึ้น

จากการที่เรียนออนไลน์ เด็กมีปัญหาเรื่องสายตาเพิ่มขึ้น คือเด็กที่ก่อนหน้านี้เคยไปโรงเรียน การไปโรงเรียนเด็กก็นั่งอยู่และมองกระดานซึ่งค่อนข้างไกล ระยะเด็กถึงกระดานส่วนมากก็ 3-4 เมตรขึ้นไป แล้วแต่ว่าเด็กนั่งหน้า กลาง หรือหลังห้อง พอเรียนออนไลน์แทบจะทั้งวันเลยเด็กอยู่หน้าจอในระยะ 30-50 เซนติเมตร

การมองเพ่งใกล้ระยะไกลอย่างที่บอกแต่ต้นเพิ่มความเสี่ยงสายตาสั้น โดยปกติเด็กคนหนึ่งเวลาสายตาสั้นแล้วจะสั้นเพิ่มประมาณปีละ 50 – 100 สมมุติเด็กคนหนึ่งปีนี้สั้น 200 ปีหน้าเราคำนวณได้เลยเขาจะสั้นอยู่ประมาณ 250-300 แต่หลังๆ เราพบว่าสั้นเกินปีละ 100 เช่น ปีนี้ 200 ปีหน้า 350 แล้ว ซึ่งสั้นขึ้นค่อนข้างเร็ว อัตราเร่งจะสูงมากในเด็กอายุ 4-13 ขวบ แต่หลังจาก 13 ปี ยิ่งบ้านไหนมีกรรมพันธุ์พ่อแม่สายตาสั้นมาก เด็กใช้เวลาอยู่กับหน้าจอมือถือมากอันนี้จะขึ้นเกียร์สูงไปเร็วมาก ตัวการที่จะช่วยลด คือกรรมพันธุ์เราเปลี่ยนไม่ได้เราไม่พูดถึง

ถ้ามีความเสี่ยงแบบนั้นหมอก็จะแนะนำว่าหากิจกรรมในหนึ่งวันให้เด็กทำ เด็กเลิกเรียนออนไลน์เสร็จแล้วตอนเย็นหรือตอนเช้าอาจจะต้องมีการใช้สายตาในที่ๆ ไกล เช่น ไปวิ่งนอกบ้าน ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ ไปใช้สายตาข้างนอก ไปช่วยลด Progression ความชัดให้เพิ่มขึ้นให้มันช้าลง เจอขึ้นเยอะเด็กบางคนไม่เคยสั้นเลยพอมาเข้าช่วงเรียนออนไลน์ก็เริ่มสั้นแล้ว 50-100 คนไหนสั้นขึ้นเร็วเราก็ต้องมีมาตรการนอกจากให้ปรับพฤติกรรมแล้วก็ต้องให้เขาใช้ยาบางตัวหรือยาหยอดช่วยชะลอสายตาสั้นร่วมด้วย

ดูแลเมื่อลูกสายตาสั้น

เริ่มต้นถ้าเราสงสัยว่าลูกเราสายตาสั้นหรือต้องการจะเทสสงสัยว่าจะสั้นหรือยังไม่สั้นหมอแนะนำให้เทสจากที่ไกล ถ้าเรารอให้ลูกเราเอาหน้าเข้าไปจ่อทีวีอันนั้นคือสั้นแล้ว ถ้าจะเทส เช่น เวลาเราอยู่หน้าบ้านอาจจะมองไปที่ท้ายซอยหรือมองไปนอกหน้าต่างเห็นป้ายไหม ป้ายที่เรายังอ่านได้ถ้าเด็กอ่านไม่ได้หรือว่าเห็นเครื่องบิน นกบิน เห็นต้นไม้ไกล

หรือว่าขับรถออกไปนอกบ้านดูป้ายว่าอ่านได้ไหมในที่ไกลคนที่สายตาสั้นจะมองที่ไกลไม่ชัดก่อนแล้วระยะที่เขามองชัดจะถบสั้นมาเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นถ้ารอว่าดูทีวีที่บ้านแล้วไม่ชัดส่วนใหญ่จะมากแล้ว

ถ้าเราสงสัยเด็กคนหนึ่งสายตาสั้นไหมตอนนี้แนะนำให้พาไปตรวจกับหมอจักษุแพทย์ เพราะในเด็กไม่สามารถที่จะพาไปร้านแว่นแล้วเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์เพราะส่วนใหญ่อาจจะโดนเด็กหลอกได้

เขาจะมีความสามารถหนึ่งในการเพ่งมากๆ สมมุติเข้าอยู่หน้าเครื่องวัดสายตาด้วยคอมพิวเตอร์ในเครื่องวัดสายตาด้วยคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่เป็นลูกบอลลูนให้เด็กมอง ถ้าเด็กสามารถเพ่งได้มากอาจจะโดนเด็กหลอกจริงๆ เด็กอาจจะไม่สั้นแต่การที่เด็กเพ่งหน้าเครื่องพวกนี้ทำให้เครื่องอ่านออกมาว่าเด็กคนนี้สั้น 200 -300 ได้

หมอเคยมีเคสหนึ่ง เป็นลูกของร้านขายมือถือ พ่อแม่พาไปนั่งในร้านทั้งวันเด็กก็ดูมือถือทั้งวัน อย่างที่บอกว่าเด็กมีความสามารถในการเพ่งสูงมากกล้ามเนื้อตาเกรงตลอดเวลาวันหนึ่งเด็กเพ่งนานๆ หลายชั่วโมงติดกัน พอเงยหน้าขึ้นมาปรากฏว่าเขาบอกพ่อว่ามองไม่ชัดเพราะกล้ามเนื้อตามันเกร็งข้างอยู่

วัดสายตากับจักษุแพทย์

เมื่อพ่อพาไปวัดสายตาที่ร้านแว่นก็จับเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์เด็กก็เพ่งค้างวัดครั้งแรกได้ -3 300 ก็ตัดแว่น 300 มาใส่ แล้วเด็กก็ใส่เล่นเกมต่อ ผ่านไปอีก 1 เดือน เด็กบอกไม่ชัดอีกแล้วพ่อก็พาไปร้านแว่นอีกรอบร้านบอกตอนนี้สั้น 500 แล้วภายใน 1 เดือน แล้วก็ตัดแว่น 500 มาใส่ แล้วก็เล่นเกมอีกผ่านไป 2 เดือน เด็กเงยหน้าบอกไม่ชัดแล้วรอบหลังเด็กตาเหล่มาเพราะเด็กเพ่งมากจนตาเข้า การที่ให้แว่นที่สูงกว่าความเป็นจริงของสายตาเด็กจะทำให้เด็กเพ่งมากขึ้นแล้วทำให้สายตาสั้นลงไปเรื่อยๆ

เพราะฉะนั้นโดยมากถ้าเราสงสัยว่าเด็กคนไหนสายตาสั้นหมอแนะนำให้ไปที่โรงพยาบาลคุณหมอจะมีวิธีการตรวจทำให้ทราบค่าสายตาที่แท้จริงบางคนอาจจะต้องหยอดยาบ้างเพื่อให้กล้ามเนื้อตาคลายตัวแล้วเราจะทราบค่าสายตาที่แท้จริงไม่ได้แว่นที่ผิดไป

พอได้สายตาสั้นก็เอาแว่นมาใส่เด็กก็จะมองไกลชัด พ่อแม่หลายคนก็อาจจะกังวลว่าพอใส่แว่นแล้วสายตาสั้นจะแย่ลงไหม อันนี้เป็นธรรมชาติพอเด็กคนหนึ่งสายตาสั้นแล้วสายตาสั้นจะเพิ่มอยู่แล้วไม่ว่าเด็กคนนั้นจะใส่แว่นหรือไม่ใส่แว่น การใส่แว่นช่วยให้คุณภาพชีวิตของเด็กดีขึ้น พอเด็กใส่แล้วสามารถมองไกลชัด สามารถเดินลงบันไดได้แบบชัด ข้ามถนนได้แล้วชัดไม่โดนรถเฉี่ยวชน

หมอมีเด็กหลายคนที่มองไม่ชัดพอตัดแว่นแล้วกลับไปเรียนได้ที่หนึ่งคือก่อนหน้านี้เขาไม่เคยรู้ว่าเขาสายตาสั้น สมมุติดูเลข 8 เขาก็ดูเป็นเลข 6 แล้วก็จดมาแบบนี้ เขาไม่รู้ว่าสายตาสั้นเขารู้ว่าตัวเองมองไม่ชัดเขาไม่เข้าใจว่าอันนี้เป็นปัญหาด้วย ธรรมชาติของเด็กไม่เข้าใจว่าอันนี้เป็นปัญหาแล้วเขามองไม่ชัดเขาไม่รู้ว่าอันนี้เรียกสายตาสั้นกลับบ้านมาก็ไม่บอกแม่

อย่างลูกของเพื่อนที่เป็นหมอจดงานมาผิด ผิดมาเกือบทุกวัน จนวันหนึ่งคุณแม่ก็คอยไปสังเกตลูกที่ห้องเรียนปรากฏว่าลูกต้องเดินไปหน้ากระดานเดินกลับมาจดปรากฏว่าสายตาสั้น 400 อายุ 6 ขวบ สายตาสั้น 400 ซึ่งเด็กไม่เคยกลับมาบอกแม่ว่าตัวเองมองกระดานไม่ชัดด้วยความที่เขาเป็นเด็กเลยไม่รู้ว่านี้คือปัญหา

วัดสายตาทุกปี

นอกจากสายตาสั้นมันมีเรื่องอื่นด้วยเวลาเด็กมองไม่ชัด บางคนมีสายตาเอียงแต่กำเนิด หรือบางคนมีสายตายาวมากแต่กำเนิดหรือบางคนมีตาเหล่ ตาเขซ้อนเร้น หรือมีโรคต้อกระจกอยู่ในตาแต่กำเนิดซึ่งหลายโรคทำให้เขามองไม่ชัดมาตั้งแต่กำเนิดอยู่แล้วเนื่องจากเห็นอย่างนี้มาตั้งแต่เกิดเขาเลยไม่ทราบว่าอันนี้เรียกว่าไม่ชัดเพราะไม่เคยเห็นชัดมาก่อน พ่อแม่จะไม่ทราบเพราะไม่มีอาการ

จริงๆ ตอนนี้หมอแนะนำเขามีการณรงค์ว่าเด็กในช่วงอายุ 4-6 ขวบ ควรได้รับการตรวจตาโดยจักษุแพทย์อย่างน้อย 1 ครั้ง เพราะตาเรามองแทนกันไม่ได้ลูกเห็นอย่างไรแม่ไม่รู้ แต่เรารู้ว่าลูกวิ่งเล่นไปมาได้ดูเหมือนปกติเด็กบางคนดูภายนอกไม่มีทางออกว่าเด็กคนนี้มองเห็นผิดปกติ หลายคนเล่นกีฬาเก่งมาก เล่นเทนนิสเก่งมาก เล่นหรือเรียนหนังสือเก่งมาก มาวัดสายตาปรากฏว่ามีสายตาเอียงอยู่ 400-500

ในช่วง 12-13 ปีแรกของชีวิตระบบต่างๆ รวมทั้งระบบสมองก็มีการพัฒนาขึ้นต่อไปเรื่อยๆ ตาก็เป็นอวัยวะหนึ่ง ตาเป็นอวัยวะรับแสงแล้วตาก็จะส่งสัญญาณไปที่สมองที่อยู่ด้านหลัง สมองตัวนี้จะเป็นส่วนที่แปลภาพสัญญาณที่ประสาทตารับมาเป็นภาพให้เราเห็น

สมมติถ้าตาเราเห็นไม่ชัดมัวลงคุณภาพของภาพที่เห็นอยู่สักประมาณ 70% ของ 100% ที่ควรจะเป็นสมองที่ไม่เกี่ยว IQ สมองที่รับภาพจากตาสมองนี้ก็จะพัฒนาไปได้ 70% เท่ากับที่ตาเห็น เพราะมันจะได้เท่ากับสิ่งที่ได้รับการกระตุ้นอันนี้มีการทดลองแบบชัดเจนเมื่อก่อนทดลองกับลิงไม่ได้ทดลองกับคน ลูกลิงเกิดใหม่เขาจะเอาไหมเย็บตาไว้ไม่ให้ลืมตาได้ข้างหนึ่ง ผ่านไปหนึ่งปีตัดไหมออกตาข้างนั้นกลายเป็นตาบอด

ถ้าเทียบง่ายคือ สมมติเราอยากให้ลูกพูดภาษาอังกฤษชัดแบบฝรั่งพูดเราต้องฝึกตั้งแต่เด็กก่อน 10 ขวบ เด็กก็จะพูดเหมือนพอโตโอกาสที่จะพูดสำเนียงเหมือนฝรั่งเปะๆ ยากมากเพราะว่าสกิลในการพัฒนาสมองที่จะปรับให้เหมือน 100% มันพัฒนาในช่วงของเด็กเท่านั้น พอหลังจาก 12-13 ปี อย่างไรก็ไม่เปะ ภาวะที่ลูกตาพัฒนาได้ไม่เต็ม 100 ในช่วงก่อน 12-13 ปี อันนี้เรียกว่าตาขี้เกียจที่สมองส่วนที่ดูแลเรื่องลูกตายังพัฒนาไม่พอ

สมองส่วนนี้ถ้าการมองเห็นไม่ได้รับการแก้ไขก่อนอายุ 10-12 ปี การมองเห็นที่ไม่ชัดจะอยู่ไปตลอดชีวิตมันแก้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นจำเป็นมากที่เราต้องตรวจช่วง 4-6 ขวบ เพราะถ้าตรวจเจอความผิดปกติช่วงนั้นเรายังมีเวลา 5-6 ปี ในการที่จะค่อยปรับสายตาเขาให้การมองเห็นเป็น 100%

 

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่...

Apple Podcast :https://apple.co/3m15ytB

Spotify :https://spoti.fi/3cvAVcX

YouTube Channel :https://bit.ly/3cxn31u

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

รักลูก The Expert Talk Ep.40 (Rerun) : แก้ปัญหาพฤติกรรมลูกฉบับนักจิตวิทยา แค่พ่อแม่ปรับ ลูกก็เปลี่ยน

 

รักลูก The Expert Talk EP.39 (Rerun) : แก้ปัญหาพฤติกรรมลูก "ฉบับนักจิตวิทยา" แค่พ่อแม่ปรับ ลูกก็เปลี่ยน

ความรู้เรื่องการเลี้ยงลูกมีอยู่มากมาย…แต่ไม่สามารถนำมาใช้งานได้จริง เพราะมีสิ่งที่ต้องโฟกัสเยอะรอบด้าน บวกกับการเลี้ยงลูกด้วยกลัว ความกังวล และความไม่เข้าใจ จึงทำให้มองว่าการเลี้ยงลูกเป็นเรื่องยาก

ฟังวิธีการรับมือกับปัญหาพฤติกรรมต่างๆ โดยนักจิตวิทยา อาจารย์อลิสา รัญเสวะ นักจิตวิทยาคลินิก ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและวัยรุ่น ศูนย์กุมารเวชกรรม โรงพยาบาลพระรามเก้า

การเลี้ยงลูกเดี๋ยวนี้ยากมาก ถามในมุมมองของนักจิตวิทยา

ด้วย Generation ที่เปลี่ยนไป เรากับลูก Generation ก็เริ่มห่างกันเยอะด้วยความที่เราเองอาจจะขาดความรู้ทั้งๆ ที่ความรู้มันเยอะแทบจะท่วมหัวเลยแต่ความรู้เหล่านั้นไม่มาประกอบกันได้ แล้วเราควรต้องทำแบบคนนี้คนนั้น หรือคนนู้นดี เลยเป็นเหตุให้เรารู้สึกว่าความรู้ที่เรามีอยู่มันเป็นสิ่งที่ทำได้ไม่จริง

ทั้งหมดมันดีแต่พอมาประกอบกันเราไม่สามารถเป็นอย่างนั้นได้เลยมันยากเพราะเรามีโฟกัสเยอะ เรามีเรื่องงานหนัก ไหนจะเรื่องชีวิตคู่เราอีก พ่อแม่ที่เราต้องรับผิดชอบอีก ไหนจะลูกอีกทุกอย่างเข้ามาพร้อมๆ กัน โดยเฉพาะในช่วงโควิด 2 ปีนี้หนักหนาสาหัสมาก เพราะทุกอย่างอยู่กับเราหมดเลยไม่ว่าจะเรื่องงานที่ยากขึ้น เรื่องของลูกที่ความเข้าใจของเราก็เหมือนจะไม่ค่อยเข้าใจเขาเท่าไหร่

จริงๆ โดยธรรมชาติเด็กไม่ได้เปลี่ยนไปเยอะก็คือเหมือนเดิม เหมือนเด็กเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เหมือนพวกเรา เพียงแต่ว่าพอเรามาเป็นพ่อแม่เองเรากลับรู้สึกว่ามันยากที่จะเข้าใจเหลือเกิน แล้วด้วยเหตุที่เราไม่เข้าใจเราก็กลัว พอเรากลัวบางครั้งเราก็เอาปมของเรามาแล้วเราก็จะไม่ทำอย่างที่เรามีปม เช่น ถ้าพ่อแม่เข้มงวดกับเรา เราก็ไม่อยากเข้มงวดกับลูก

แล้วเราก็ให้ทุกอย่างเพราะเราไม่เคยได้ อันนี้เราก็ถมปมตัวเองอีก แล้วเราก็ตามใจลูกเพราะรู้สึกว่าตอนเล็กๆ เราโดนพ่อแม่ขัดใจเราอยากจะถูกตามใจ เราเอาปมของเรามาเลี้ยงลูกยุคใหม่ ที่นี้ไปกันใหญ่เลยความเข้าใจก็ไม่ค่อยมี ความรู้ก็เอามารวมกันไม่ได้ สิ่งที่กลัวก็เยอะ เพราะฉะนั้นผลที่ออกมาเราจะเห็นว่า เด็กสมัยใหม่ทำให้เรารู้สึกว่าเราเลี้ยงเขายาก แต่จริงๆ เรารู้เทคนิคเด็กไม่ได้เลี้ยงยาก คนที่ยากทำให้เขายากคือเราเท่านั้นเอง

ปัญหาพฤติกรรมที่พบได้บ่อย

เยอะมาก สิ่งแรกก็คือการเรียนออนไลน์การเรียนรู้ของเด็กโดนฟรีสไป 2 ปี เรียนออนไลน์ไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่กับเด็ก

สอง เรื่องพัฒนาการเริ่มเกิดเด็กพัฒนาการช้ามากขึ้นเพราะถูกขังไว้ในพื้นที่แคบมันเลยไม่เกิดกระบวนการเรียนรู้ที่ดีกับเขา

สาม ปัญหาที่ตามมาจากโควิดอีกคือ การติดจอ ด้วยเทคโนโลยีที่เข้ามาอย่างรวดเร็วเด็กติดต่อสิ่งที่เกิดขึ้นคือเขาหมกมุ่นมากที่จะรอเวลาที่จะเล่น พอได้เล่นสิ่งนั้น Passion ในการใช้ชีวิตในการเรียนหนังสือในการทำสิ่งต่างๆ ก็หายไป

ปัญหาที่เข้ามาในโรงพยาบาลตอนนี้เยอะมากคือปัญหาพฤติกรรม ปัญหาทางด้านอารมณ์ ปัญหาทางด้านสมาธิ ปัญหาทางด้านการเรียนรู้ มาครบเลย เมื่อก่อนจะมาแค่ 1 ด้าน แต่ตอนนี้เด็ก 1 คนครบมากแล้วพอเป็นแบบนี้ก็ขาด Social Skill ปัญหาใหญ่เหมือนกันเพราะฉะนั้นตอนนี้คนที่มาถึงมือมีเรียงลำดับอายุ 3 ขวบ 6 ขวบ 10 ขวบ 13 ขวบ เจอโดนผลกระทบกันหมดเป็นเรื่องยากเหมือนกันของพ่อแม่ที่จะรับมือกับสิ่งนี้ที่จะช่วยลูก เลยทำให้สิ่งนี้ทำให้พ่อแม่เครียดมากไม่รู้จะจัดการอย่างไร 2. พ่อแม่ต้องปรับเรื่องไหนก่อน

1.พ่อแม่ต้องปรับทัศนคติตัวเองใหม่ก่อน

ตั้งสติดีๆ ก่อน เวลาที่ปัญหามันเข้ามาหาเราเยอะเราจะรู้สึกแพนิคและวิตกกังวลมันเยอะไปหมดไม่รู้จะจัดการอย่างไร จริงเริ่มที่เรา เราตั้งสติให้ดีแล้วเราเปลี่ยน Mindset ว่าเราจะไม่ทำเหมือนเดิมแล้วนะ

ถ้าเราทำเหมือนเดิมผลก็คือเหมือนเดิมเราต้องเปลี่ยนกระบวนการเลี้ยง เมื่อก่อนเราอาจจะเลี้ยงเขาแบบหนึ่ง ตอนนี้สิ่งที่เราเน้นเสมอเลยว่าตอนนี้ถ้าเราจะแก้มาจดจ่ออยู่กับลูกอย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมงอย่างมี Quality Time อยู่กับเขาสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเขา ตอนนี้เราเครียดเราก็เอากลับมาให้เขาแล้วเราก็รู้สึกกดดันเขา คาดหวังเขา เราคาดหวังในการเรียนออนไลน์ของเขาอย่างหนัก คำว่า คาดหวังอย่างหนัก พอเราเห็นเขานั่งไม่อยากเรียนเราก็รู้สึกหงุดหงิด พอเขาเปิดจอ 2 จอ 3 จอ 4 เราก็รู้สึกเครียด

เราต้องปรับ Mindset ใหม่ว่าเด็กคือมนุษย์คนหนึ่ง คิดถึงตัวเองเมื่อตอนเราเป็นเด็กมันก็ควบคุมทุกอย่างยาก 1. คือการเรียนออนไลน์เราต้องยอมรับแล้วว่าไม่เวิร์คมันได้ 50% ตั้งใจเกือบตายก็ได้แค่นี้ เพราะฉะนั้นเลิกกดดันลูก เลิกคาดหวังจากลูกเสียที

2.ตั้งสติ

แล้วดูปัญหาของลูกว่าตอนนี้เขากินอยู่หลับนอนเขาช่วยเหลือตัวเองได้หรือเปล่า ช่วยเหลือตัวเองในชีวิตประจำวันเป็นการกระตุ้นพัฒนาการที่ดีมากๆ กระตุ้นพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อมัดใหญ่ อย่างใส่เสื้อตัวต้องตั้งขึ้นมากล้ามเนื้อทั้งแท่งของกล้ามเนื้อมัดใหญ่ได้ใช้ แขนได้ใช้ ขาได้ใช้ กล้ามเนื้อมัดเล็กได้ใช้ นิ้วได้ใช้จับเสื้อติดกระดุม เรื่องของภาษาได้ใช้เพราะเวลาเราบอกลูกหยิบอันนั้น หยิบอันนี้ เขาต้องฟังต้องเข้าใจมีการสื่อสาร

ในเรื่องของการแก้ปัญหาก็เกิดเพราะฉะนั้นเราต้องกลับไปดูใหม่แล้วว่าการกินอยู่หลับนอนที่เราเคยทำให้ ที่เราเคยให้พี่เลี้ยงทำให้เราต้องเปลี่ยนทัศนคติแล้วโลกโหดร้ายกว่าที่เราคิดถ้าเขาช่วยตัวเองไม่ได้แค่เรื่องง่ายๆ แค่นี้เขาจะผ่านไปสู่เรื่องยากได้อย่างไร

เพราะฉะนั้นในชีวิตประจำวันถ้าเขาสามารถดูแลตัวเองได้เขาก็จะภูมิใจในตัวเองและเราเองก็จะเบาลง พอเราเบาลงเขาทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเองกินได้ด้วยตัวเองได้ สามารถอยู่กับตัวเองเป็น สามารถนอนได้โดยไม่ไปรบกวนคนอื่น พวกนี้กิจวัตรประจำวันทำได้เองเพิ่มเรื่องของการช่วยเหลือคนอื่นหน้าที่งานบ้านมันคือความรับผิดชอบต่อสังคมต่อคนอื่นต้องปลูกฝัง เพราะถ้าเราตามตอนนี้สังคมโหดร้ายมากดูข่าวเด็ก

เอาแต่ตัวเองโฟกัสแต่ตัวเองแล้วเราก็ให้ลูกไปโฟกัสแต่ตัวเองทุกวันนี้เป็นแบบนี้ มันเปลี่ยนไปมากเมื่อก่อนเราจะเป็นห่วงเป็นใยความรู้สึกของคนอื่นเราจะโพสต์เชียลเราจะแคร์ว่าเมนท์ไปแล้วเดี๋ยวเขาเสียใจเดี๋ยวนี้เราไม่มีความแคร์อันนี้เลยเราอยากจะพูดอะไร พิมพ์อะไร เมนท์อะไรเราก็ตรงๆ แรงๆ เราใส่อารมณ์ใส่ความรู้สึกเข้าไปโดยไม่แคร์คนอื่น

เพราะฉะนั้นแปลว่าตอนนี้เราเคารพแต่ตัวเองเราไม่เคารพความรู้สึกของคนอื่น อันนี้ Self Esteem คือการที่เรารู้จักตัวเองรักตัวเองเป็นแล้วต้องรักคนอื่นได้ด้วยเราต้องมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เราต้องมีความเมตตากับคนอื่น

ตอนนี้แทบไม่มีเลยคอมเมนท์ไม่มีความเมตตาเลยแล้วตามด้วย Cyber Bullying อีกปัญหายาวมาก คุณพ่อคุณแม่ตั้งสติก่อนเริ่มที่บ้านและตอนนี้เราพึ่งโรงเรียนไม่ได้เราต้องพึ่งตัวเองเราต้องเป็นครูของลูก เราต้องหากระบวนการเรียนรู้ที่มันใช้ได้จริงวิชาการหรืออินเตอร์เนทไปอ่านมาคนหนึ่งก็ไปทิศหนึ่งอีกคนก็ไปทิศหนึ่ง

บางคนบอกเราว่าต้องทุ่มเทเวลาทั้งหมด แล้วกินอะไรคำถามง่ายๆ แล้วกินอะไร แล้วพอลูกเรียนจบจะอยู่อย่างไรละ ความภาคภูมิใจของเราละ ชีวิตของเราละ พอลูกอายุ 15 ลูกก็ไม่เอาเราแล้วลูกก็ไปอยู่กับแฟน ลูกก็สนใจเพื่อน แล้วเราจะอยู่อย่างไรเราจะเหงาไหมเราจะขาดสังคมหรือเปล่า

ความจริงคือมันต้องไปด้วยกันเราคือมนุษย์หนึ่งคน ลูกคือมนุษย์หนึ่งคนอยู่กันอย่างไรให้เป็นความจริงที่สุดว่าเราอยู่ร่วมกันเรารับผิดชอบเขา เขารับผิดชอบตัวเองและมีปัญหาให้น้อยที่สุด การจะมีปัญหาให้น้อยที่สุดมันต้องเริ่มตั้งแต่ขวบปีแรกได้ปัญหาทุกอย่างมันจะเบาและน้อยที่สุดถ้าเริ่มด้วยความเข้าใจและความรู้ที่แท้จริงในการเลี้ยง

เราตั้ง Mindset ว่า เราฝากลูกไว้กับครูยากแล้วสิ่งที่สำคัญคือพ่อแม่เองเป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูกด้วยในเรื่องของอารมณ์ในเรื่องของวุฒิภาวะเวลาปกติเราเครียดเราวี๊ดเราก็ลงไปทีเขาเลย เพราะฉะนั้นเราอยากให้เขาโตขึ้นมีเหตุผลเราต้องทำสิ่งนั้นให้เขาเห็นด้วยว่าพ่อแม่ก็เป็นแบบนั้นลูกก็จะได้มีโมเดลที่ดี

ส่วนปัญหาที่มันมามากมายค่อยๆ โฟกัส จริงๆ ลูกไม่ได้แย่หลายๆ คนนั่งมาร์คจุดด้อยของลูกมีเป็นร้อยแต่ตัวเองก็จะมองกลับไปลองดูสิ่งที่เขาทำได้สิ จริงๆ แล้วเขาไม่ได้แย่ขนาดนั้น แต่เราลองมาดูว่าเขาทำอะไรไม่ได้เราก็สอนเขาให้เขาทำได้อะไรที่เป็นปัญหาหนักมือเราทำไม่ได้แล้วต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญก็หาความช่วยเหลือ

หาข้อมูลที่สามารถทำได้จริงเป็นไปได้เราเข้ากับข้อมูลอันนั้นเป็นข้อมูลที่คลิ๊กกับเรา เราจะรู้เลยว่าข้อมูลนี่เป็นไปได้เราทำได้ เพราะนั้นตั้งสติเปลี่ยน Mindset ว่าอย่าพึ่งคนอื่นพึ่งตัวเอง

3. สร้างบ้านให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของลูก

เพราะจริงๆ เมื่อก่อนเราส่งลูกไปที่โรงเรียนแล้วลูกก็อยู่ที่โรงเรียนถึงเย็น เราก็คาดหวังว่าคุณครูจะให้ลูกกลับมา 1 2 3 4 ลูกต้องเพอร์เฟคสำหรับฉันแต่ตอนนี้หน้าที่อยู่ที่พ่อแม่หมดเลย แล้วโรงเรียนก็น่าสงสารในตอนนั้นอย่าลืมว่าในห้องคุณครูต้องสอนวิชาการแล้วคุณครูก็ต้องสอนกติกา

คุณครูก็ต้องสอนมารยาท ต้องให้ Social Skill ลูก เพราะเด็กในห้องเรียนหนึ่ง 30 คน หมอทำกรุ๊ปเด็กเพื่อทำพัฒนา Social Skill รับไม่เกิน 5 คน เพราะเราดูละเอียด เด็กในเรื่องของ Social Skill ไม่ใช่ 30 คนแล้วเราสามารถพัฒนาได้ อยู่ที่บ้านเราทำกับลูกที่บ้านได้เลยเราสามารถพัฒนาเขาได้ทุกๆ ด้าน พัฒนาการกล้ามเนื้อมัดใหญ่เราทำได้ที่บ้าน กระโดดโลดเต้นหากิจกรรมเคลื่อนที่ในที่แคบให้ลูกทำ

พัฒนาการกล้ามเนื้อมัดเล็กใช้ศิลปะได้ ใช้การเล่นของเล่นได้ พัฒนาการทางด้านภาษาพูดเป็นเพื่อนกับลูกก่อนได้ในช่วงนี้ เราจะเน้นมากช่วงนี้เด็กเวลาคุยไม่ค่อยมองหน้าไม่ค่อยสบตาเพราะเวลาเราคุยกับลูกเราเล่นมือถือ ลูกก็ไม่รู้ว่าต้องมองหน้า

ซึ่งความสัมพันธ์ที่แท้จริงของมนุษย์ที่มันต่างกับอย่างอื่นคือมองหน้า สบตา พูดคุย อันนี้ต้องให้เกิดทักษะสังคม เบสิกอันนี้ต้องเกิดก่อนรู้จักมองหน้าคน รู้จักมองตา สบตา พูดคุย อันนี้เริ่มที่บ้านได้ทำเลยมีเวลา 1 ชั่วโมง สร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกเล่นกับลูกเราก็ต้องรู้ด้วยว่าจะเล่นอะไร บางครั้งการเล่นเราก็เป็นแม่เกินไป เราก็เป็นครูเกินไปหรือบางทีเราก็เป็นเพื่อเกินไป มันพอดี

สร้างหลักความพอดี สร้างจุดสมดุล

เข้าใจก่อนว่าการเป็นเพื่อนเล่นของลูกกับการเลี้ยงลูกเหมือนเพื่อนไม่เหมือนกัน ในช่วงแรกของชีวิตตั้งแต่แรกเกิดจนถึงก่อนเข้าวัยรุ่นเลี้ยงลูกให้เป็นลูกได้ ไม่ต้องเป็นเพื่อน

เลี้ยงดูอย่างเข้าใจธรรมชาติของวัย

เพราะเราต้องสอน ต้องสั่ง ต้องออกคำสั่ง เราต้องให้เขาเชื่อฟังเรา แต่หลังจากวัยรุ่นไปแล้ว 10 ขวบไปแล้วเราต้องเลี้ยงเขาแบบเพื่อนเราจะหยุดการสอน

เราจะพูดคุยเราจะใช้เหตุผล เราจะแสดงความเห็นที่ต่างกันได้เราจะรับฟังกันมากขึ้น เพราะฉะนั้น 10 ปีนี้ เวลาที่เล่นคือเล่น เวลาที่เลี้ยงคือเลี้ยง เวลาที่สอนคือสอน แต่เวลาสอนก็ไม่ใช่พูดเรื่องเดิม เราต้องรู้แล้วว่าเราสอนเขามา 5 ปี ในเรื่องนี้เราพูดเหมือนเดิมประโยคเดิมอารมณ์เดิมเขารู้แล้วที่เขาไม่ทำเพราะยังพูดเหมือนเดิมอารมณ์เดิมประโยคเดิมเราไม่เรียนรู้แต่ลูกเรียนรู้

คนฉลาดคือคนที่ต้องเรียนรู้ว่าสิ่งไหนไม่เวิร์คต้องหยุด เพราะฉะนั้นเราพูดจ้ำจี้จ้ำไชมาไม่เกิดผลเราต้องหาวิธีใหม่ วิธีจ้ำจี้จ้ำไชก็ไม่น่าใช่วิธีที่เหมาะกับลูกเรา เราก็ต้องตั้งสติดีๆ ว่าอะไรถึงจะพอดีออกคำสั่งชัดๆ เด็ดขาดแต่ไม่ได้ใช้อารมณ์ อย่างเช่น ไปอาบน้ำ ธรรมดา ลูกบอกว่าเดี๋ยว ก็ค่อยๆอารมณ์เพดาน ขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเป็นตัวเองก็จะให้แค่ 3 ครั้ง ที่จะไปอาบน้ำ รอบที่สอง ไปอาบน้ำ ให้เสียงต่ำลง สูงขึ้นคือใช้อารมณ์

เวลาเราจะกดดันใครให้เราใช้เสียงต่ำ เวลาเราโกหกเราจะใช้เสียงสูงเราจะใช้อารมณ์ ครั้งที่ 3 ไม่พูดลากไปเลยค่ะ คือการกระทำที่ชัดเจนเด็ดขาดว่าแม่ให้แค่นี้ แค่นี้คือแค่นี้ทำไปสัก 2-3 ครั้งเกิดการเรียนรู้ คือลูกเกิดการเรียนรู้ดีกว่าผู้ใหญ่

เรียนรู้ลูก

สังเกตไหมบางคนมีลูกมา 10 แล้วมาเรียนรู้เลยยังใช้วิธีเดิมแต่ลูกเรียนรู้ตลอดเวลา ปรับเพื่อจะสู้กับเราตลอดเวลา แล้วการต่อลองเป็นการดึงที่เขาต้องการ เช่น การบอกว่าเดี๋ยว อีกแป๊บหนึ่ง อีกหน่อยหนึ่ง อีก 10 นาที อีก 5 นาที เหมือนได้ตลอดเลยไม่เคยเดี๋ยว

เพราะฉะนั้นเขาเรียนรู้และรู้จักใช้วิธีแต่เราไม่ได้เรียนรู้เราใช้วิธีเดิม พอรอบที่ 1 ไม่ได้เราก็ใช้ประโยคเดิมซ้ำเดิมแล้วเราก็วี้ด เสียงก็สูงขึ้นๆ อารมณ์ก็สูงขึ้นด้วย ถามว่าแล้วใครได้ประโยชน์ ลูกได้สิ่งที่ลูกต้องการไม่ใช่เรา กลับมาใหม่ว่า

พอดี

พอดี คืออะไร พอดี คือพูดน้อยๆ ชัดๆ เด็ดขาด ให้เขารู้ว่าทำคือต้องทำการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันคือเรื่องซีเรียส แต่เวลาเล่นกับลูก เล่นแบบเพื่อนไม่ใช่เล่นแบบออกคำสั่ง ไม่ใช่เป็นครูไม่ใช่เป็นพ่อแม่ เล่นแบบเพื่อนหมายความว่าอย่างไรเราเป็นคนหนึ่งที่ให้เขาเรียนรู้กติกามีการสลับพลัดเปลี่ยนกันถึงตาลูก ถึงตาแม่มีความสนุก

มีการทำให้ลูกเห็นว่าเราไม่ได้เก่งไปทุกอย่าง ไม่ได้ชนะลูกทุกครั้ง สลับกันแพ้สลับกันชนะ แกล้งแพ้บ้าง แกล้งชนะบ้าง แกล้งเสมอบ้าง เพื่อให้เขาปรับตัวว่าจริงๆ ไม่เป็นไร เราเป็นตัวอย่างให้ดูว่าแพ้ไม่เป็นไร ชนะอย่าเยาะเย้ยลูก ชนะอย่าโห่ฮิ้วมากแล้วเขาจะรู้สึกเยอะ

เพราะฉะนั้นเราก็เล่นให้เขาเรียนรู้กติกา ว่าการเล่นมีกติกาอยู่ เขาสนุกกับเราได้เวลาที่เขาเล่น อย่างของหมอก็จะมีชั่วโมงเรียกว่า Happy Time คือการอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ไม่ต้องมีอะไรไม่ต้องสอนไม่ต้องมีกติกา เป็นยังไง วันนี้ไปเจออะไรมาบ้าง แต่ไม่ได้หมายความว่าชั่วโมงนั้นเราจะเอาความทุกข์ไปไว้ที่ลูกไปเราว่าวันนี้แม่เจอความเครียด ไม่ใช่

หรือพ่อแม่บางคนชอบจะเอาความทุกข์ไปใส่ไว้ที่ลูก เช่น ทะเลาะกับพ่อของเขาไปว่าพ่อให้ลูกฟัง ไปบอกลูกว่าพ่อนิสัยไม่ดียังไง หรือพ่อเองก็มาว่าแม่ให้ลูกฟังสิ่งนี้ไม่ควรทำ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ ความทุกข์เรื่องงาน ความทุกข์เรื่องเงิน

เด็กไม่ควรต้องมารับผิดชอบเรื่องนี้ในเวลาที่เขาเป็นเด็ก คุณกำลังจะดับฝันเขาเหมือนคุณกำลังจะบอกเขาว่าชีวิตไม่ได้มีความสุขเลยจริงๆ แล้วมีความทุกข์หนักมาก แล้วเราก็เอาความทุกข์เราไปไว้ในใจเขา เวลาเด็กที่เขาซับเอาความทุกข์ไปเขาไม่เหมือนเรา เขาไม่รู้ว่าความทุกข์สามารถหยุดได้หมดได้ แต่เขาจะเก็บเอาไว้แล้วก็ซึมซับความทุกข์นั้นไว้จนเป็นอารมณ์ตัวเองแล้วก็ไม่อนุญาตให้ตัวเองมีความสุข

เช่น คุณแม่บอกว่าวันนี้แม่ทุกข์ทรมานต่างๆ นาๆ ลูกก็จะรู้สึกว่าฉันมีความสุขไม่ได้ ฉันอยู่หลังแม่ฉันเด็กจะไม่ยอมให้ตัวเองมีความสุข มันก็ส่งผลกระทบไปที่เขาเพราะฉะนั้น Happy Time คือการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน พูดคุยกัน ผ่อนคลาย พยายามรับฟังเขา

จริงๆ เป็นช่วงติดตามว่าเทรนด์ของเขา เขาสนใจอะไรกำลังโฟกัสอะไร เขาสามารถเล่าเรื่องทุกอย่างให้เราฟังได้นะ เราเป็นคนที่เขาไว้ใจได้แล้วก็ยังไม่ต้องสอนอะไรเก็บเอาไว้ เวลาเขาเล่าอะไรหรือไปทำอะไรมาก็แล้วแต่คุณพ่อคุณแม่มักใจร้อนเผลอสอน

พอดี หมายความว่า รอเวลาที่พอดีที่จะสอน แล้วการรับฟังไม่ใช่ว่า แม่หนูไปทำอันนี้มา ลูกไม่ควรทำแบบนั้นนะแล้วก็สอนไปยาว แล้วใครจะเล่าให้คุณฟังเพราะมันก็จะมีตำหนิตามมา

พอดี คือ คิดถึงใจตัวเองไว้ว่าถ้าเราเป็นเขาเราอยากได้อะไรคิดถึงใจเราถ้าไม่ใช่เวลาสอนก็อย่าสอนตลอดเวลา สอนให้เป็นเวลาแล้วพูดให้น้อย เพราะเวลาที่เราพูดเยอะๆ เด็กจะเข้าใจว่าเราบ่น เขาจะรู้สึกว่านี่คือบ่นแล้วไม่มีสาระแล้วโทนเสียงระดับเกินมาตรฐานของแม่คือการที่แม่พร่ำเพ้อแล้วลูกก็จะดับหูก็จะไม่อยากฟังเลี้ยงลูกจริงๆ ต้องมีจิตวิทยาเยอะมาก มีดีเทลเยอะ

เป็นแบบอย่างให้ลูก

เป็นแบบอย่างให้ลูก แต่พอช่วงวัยรุ่นมันเปลี่ยนวิธีการเลี้ยงหมดเลย หยุดสอน ฟังให้เยอะ พูดให้น้อย คอนเซปต์ของการเลี้ยงวัยรุ่น 4. ซ่อมแซม Learning Loss ในมุมมองของนักจิตวิทยา

ตอนนี้ปัญหาเข้ามารอบด้าน กรูเข้ามาทุกทางสมัยก่อนปัญหาก็เยอะแต่ทำไมไม่กรูหาเด็กขนาดนี้ ไม่มาหาเราขนาดนี้ ที่มาเยอะเพราะโซเชียลมีเดีย เพราะการรับข้อมูลเยอะแล้วช่องรับมันเร็ว กว้างและเร็ว มันอิมแพคเร็วมากในการที่มี Respond ของสังคม

การที่ใครทำอะไรที่ไหนอย่างไรรู้หมด เพราะฉะนั้นตอนนี้เรากลับรู้สึกว่าอยู่ยากขึ้นหนักขึ้น ตัวเด็กเองก็ยากขึ้นหนักขึ้นเช่นกัน แต่ว่าคนที่เป็นผู้ใหญ่ต้องตั้งสติก่อนว่าบางครั้งตัวเราเองเมื่อความรู้ไม่มากพอความกลัวที่เยอะเราก็จะมองมันใหญ่เกินที่จะเป็นจริง

เวลาที่ Learning Loss เกิดขึ้น เวลาจะ Loss อะไรมันมักจะ Loss เป็นชุดใหญ่ๆ มันไม่มีการ Loss ที่มันค่อยๆ แต่พอมัน Impact แล้วมันก็ Impact ในหลายๆ ระบบเหมือนพัฒนาการที่พอมันช้า 1 ก็โดนกระทบไปหมด เด็ดดอกไม้ก็สะเทือนไปถึงดวงดาว

ให้กระบวนการคิดที่ดี

ตั้งสติว่าสิ่งที่เราต้องให้ลูกในเบสิกของชุดกระบวนความคิดของสมองของลูกมันไม่ใช่ว่าจะต้องให้ข้อมูลที่เยอะแต่เราต้องให้กระบวนการคิดที่ดี ถ้าเด็กมีกระบวนการคิดที่ดีเขาจะดีทุกเรื่อง

ถ้ามีกระบวนการคิด มี Process ในการคิดว่าต้องทำสิ่งนั้นต้องทำสิ่งนี้มีกระบวนการคิดที่ดีจะแก้ปัญหาทุกปัญหาได้หมด อย่างเช่น เขาเรียนแล้วเขาไม่ตั้งใจ ถ้าเขามีกระบวนการคิดที่ดีเรื่องนี้จะเป็นปัญหาน้อยมากเพราะเขารู้ว่าเขาจะตั้งใจยังไง จะมีกระบวนการเรียนรู้ยังไง ในชีวิตประจำวันกระบวนการคิดถ้าได้เกิด ได้สร้างจะทำเขาสามารถแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันของเขาได้

ในการเรียนหนังสือแก้ปัญหาโจทย์ใช้กระบวนการความคิดหมดเลย รวมไปถึงการโตเป็นผู้ใหญ่อย่างเรากระบวนการคิดสำคัญมากถ้าเราไม่เคยถูกใช้พวกนี้มันจะไม่พัฒนา แล้วใครทำให้กระบวนความคิดอันนี้เกิด เกิดน้อย หรือไม่เกิดก็คือพ่อแม่

ปัญหาสังคมตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเพศ ยาเสพติด อาชญากร โซเชียลมีเดียที่ส่งผลต่ออารมณ์เด็กพวกนี้กระบวนความคิดของเด็กคนนั้นไม่พอที่จะหยุดคิดว่าสิ่งนั้นควรทำหรือไม่ควรทำ สิ่งนั้นดีหรือไม่ดี อย่างยาเสพติดเรารู้เราเรียนแต่ทำไมยังมีกลุ่มที่ติดยาเสพติด เพราะกลุ่มพวกนั้นมีกระบวนความคิดอีกแบบหนึ่ง กลุ่มพวกนั้นไปโฟกัสสิ่งที่ได้จากยาเสพติด

เห็นไหมว่าเด็กมีกระบวนความคิดที่ไม่เหมือนกัน ทำไมเราถึงไม่ยุ่งเพราะเรามีกระบวนการคิดว่ามันไม่เป็นประโยชน์กับเรามันเป็นโทษมากกว่าประโยชน์เราเลือกจะไม่ทำสิ่งที่เป็นโทษมากกว่าประโยชน์ อันนี้เป็นกระบวนความคิดทั้งหมดเลย

ถ้าเราใส่กระบวนการเรียนรู้ กระบวนความคิดที่ถูก จะแก้ปัญหาทุกอย่างได้ลูกจะเลือกเพื่อนเป็น ลูกจะเลือกสื่อเป็น ลูกจะเลือกทำในสิ่งที่จำเป็นจะต้องทำก่อน ลูกจะเลือกสิ่งต่างๆ เข้ามาในชีวิตเป็นสิ่งที่ดีไม่ใช่สิ่งที่แย่

สร้างกระบวนการคิดต้องหยุดคิดแทน

ถามว่าแล้วพ่อแม่จะสนับสนุนให้เกิดกระบวนความคิดนี้ได้อย่างไร คุณต้องหยุดคิดแทนทำแทน ต้องหยุดตอบสนองเกินความจำเป็น สอนให้ลูกคิดเป็น วิธีการง่ายๆ สอนให้ลูกคิดเป็น คุณคิดอย่างไรคุณก็พูดให้ลูกฟัง

เช่น เราเลือกของเล่นให้ลูกมีของเล่นอยู่ 2 ชิ้น แล้วเราเลือกชิ้นนี้มาเราก็บอกเขาว่าชิ้นนี้มันดีกว่ามันคุ้มกว่าอย่างไร ของเล่นเช่นนี้มันทำให้หนูได้เรียนรู้เรื่องของกล้ามเนื้อมัดเล็กได้สร้างสมอง มีเสียงด้วย ราคาเท่านี้ มันเล่นได้สามปี กับของเล่นชิ้นที่แพงมากแล้วสวยมากแต่เล่นได้ฟังก์ชั่นเดียวแล้วก็พังง่าย

สองอย่างนี้พอเทียบกันแล้วแม่เลยเลือกชิ้นนี้ให้ลูก คุณสามารถทำแบบนี้ได้กับทุกๆ อย่าง เช่น คุณเลือกซื้อนมให้เขา นมมีหลายยี่ห้อทำไมแม่เลือกนมอันนี้ กระเป๋ามีหลายยี่ห้อทำไม่แม่เลือกใบนี้ มือถือมีหลายยี่ห้อทำไมแม่เลือกอันนี้ ความคุ้มค่าของมันที่เราต้องสอนลูกว่าเหตุผลวิธีการคิดของเราที่วางแผนในหัวเราพูดมันออกมา

แค่ชีวิตประจำวันทำไมต้องแปรงฟันก่อนล้างหน้า ทำไมต้องล้างหน้าก่อนแปรงฟัน แต่ละบ้านทำไม่เหมือนกัน แต่เราก็ให้ลูกทำเหมือนที่เราทำ เพราะบางทีเราก็ไม่ได้คิด แต่ทุกอย่างเราต้องใส่กระบวนความคิด เขาจะตั้งคำถามขึ้นมาทันทีถ้าเราให้เหตุผลกับทุกอย่างที่เขาทำ เขาจะถามว่าทำไมไม่ทำอย่างนั้น เพราะอะไรต้องทำอย่างนี้

ถ้าคุณถูกฝึกจนชินคุณจะอธิบายเหตุผลได้จนลูกยอมรับ ซึ่งการฟังเหตุผลมันก็วางแผนไปยิ่งวัยรุ่นด้วยว่าถ้ามีสิ่งที่เราต้องคุยกับเขา สังคมการเมือง รุนแรงมากขึ้น วันหนึ่งลูกเราอาจไปอยู่สถานการณ์คับขันที่เราก็พูดไม่ได้ไม่รู้จะสอนอย่างไรไม่รู้จะให้ข้อมูลอย่างไร เพราะอัลกอลิทึ่มของเราไม่เหมือนกัน นอกจากว่าถ้าเราปลูกฝังเหตุผลแล้วเราบอกเขาว่าในมุมของแม่แม่คิดอย่างนี้เราก็สามารถให้เหตุผลกับสิ่งที่เราต้องการได้แล้วลูกเองก็ให้เหตุผลกลับมาในสิ่งที่เขาต้องการได้เช่นกัน

เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญที่จะทำให้มนุษย์อยู่รอดตอนนี้คือการสร้างกระบวนการคิดให้เกิดขึ้นก่อนโดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่สร้างได้ที่บ้านเลยว่าทำไมคุณพ่อคุณแม่อยากให้ลูกอาบน้ำแล้ว ทำไมอยากให้อาบเดี๋ยวนี้พูดไปเลยสอนกระบวนการคิดไปเลย

ปกติเราใช้อารมณ์ อาบน้ำได้แล้วลูก แล้วไม่เคยบอกลูกเลยว่าทำไมต้องอาบตอนนี้ ทำไมลูกถึงใช้คำว่าเดี๋ยวเพราะเขาไม่คิดว่าต้องเป็นตอนนี้ การจะทำให้ลูกเชื่อเรา เราต้องมีเหตุผล ทำไมหมอเองเวลามีคนไข้แล้วคนไข้จะชอบมาเจอมาคุยเพราะเรามีวิธีการคิดแล้วเราคิดให้ฟัง

เราไม่ได้บอกว่าสิ่งนี้ดีเพราะสิ่งนี้ดีเราจะบอกเหตุผลว่าทำไมเราคิดว่าสิ่งนี้ดีทุกคนต้องการเหตุผล ไม่ใช่ดีเพราะพ่อแม่บอก พ่อแม่ก็อยากรู้ว่าในความคิดของเรามุมมองของเราเหตุผลคืออะไร ไม่ใช่เราบอกว่าต้องทำสิ่งนี้นะต้องทำสิ่งนั้นนะ เราไม่เคยทำอย่างนั้นเลยแต่เราจะบอกว่าทำไมเหตุผลคืออะไรทำไมต้องทำ ไม่ต้องทำ ทำแล้วได้อะไร ทำแล้วไม่ได้อะไร เลือกเลยข้อมูลคุณมีแล้วเราอยากให้มีกระบวนความคิดเหมือนกัน เพราะฉะนั้นถ้าคุณมีกระบวนการคิดที่ดี Product ของคุณก็จะดีด้วย

Learning Loss แก้ได้ด้วยกระบวนการคิด

ใช่ คือพื้นฐานเลย Learning Loss หรืออะไร ก็แก้ได้หมด จริงๆ เริ่มได้ตั้งแต่ 3 ขวบเลยการสร้างกระบวนความคิด 3 ขวบสมัยนี้ กับเรา 3 ขวบ ไม่เหมือนกันเลยนะ ชิพสมอง 3 ขวบสังเกตเรา ฟังเรา ฟังว่าเราพูดอะไร สังเกตว่าเราทำอะไร เก็บมาแล้วมาใช้กับเรา ในขณะที่เราตอนเด็กๆ รู้สึกว่าชิพของเรามันช้า

กว่าจะฟังว่าพ่อแม่คิดอะไร 7 ขวบ กว่าที่เราจะพยายามฟังว่าเขาต้องการอะไร คิดอะไร ทำอะไร แล้วเราอยากเลียนแบบหรือเราอยากจะสู้ ต่อต้าน สมัยนี้ 3 ขวบหูผึ่งเลยเวลาเราคุยกับสามีเขาก็ฟังว่าวิธีการคิดของเราคืออะไร เรากำลังทำอะไรกับเขาอยู่ เวลาเอาเด็กมาที่ห้องบำบัด เวลาเราอยู่ด้วยกันเราจะสังเกตเลยว่าลูกมักจะแอบฟังอย่างตั้งใจ แต่เราก็รู้สึกว่าเขาฟังได้แล้วเขาควรจะได้ฟังเพราะเรามีเหตุผล ซึ่งถ้าฝึกการใช้เหตุผลมาตั้งแต่เด็กๆ โตขึ้นก็ไม่มีปัญหาที่จะใช้เหตุผล พ่อแม่วางแผนเลี้ยงลูกตั้งแต่ยังเด็ก

การเลี้ยงเด็กมันยากและเยอะ อยากให้ตั้งสติดูเขาปีต่อปีเพราะเด็ก 1 ขวบปีก็เปลี่ยน อัตราการเปลี่ยนเขาสูงกว่าผู้ใหญ่ เราผู้ใหญ่ 29 กับ 30 ไม่ต่างกัน แต่เด็ก 1 ขวบ กับ 2 ขวบ ต่างกัน เราไม่จำเป็นต้องไปเสพข้อมูลที่เยอะมาก เวลาใครเข้ามาเราจะบอกว่า สมมติลูก 9 เดือน เราจะมองไปที่ 12 เราจะมองไปแค่ 1 ปีนี้

เพราะฉะนั้นเวลาที่เราเสพข้อมูล เราก็ดูว่า 1 ปีนี้มันนาน 1 ปี คือ 12 เดือน ทำให้มันนี้ในหนึ่งปีนี้วางแผนหาข้อมูลใน 1 ขวบปี 2 ขวบปี ต่อยอดไปเรื่อยๆ อย่าไปมองว่าต้องรู้ทั้งหมด คุณไม่มีทางรู้ทั้งหมดได้เพราะ 1 ปีนี้ในปีนี้ กับ 1 ปีนี้ในปีหน้า

ปัญหาเปลี่ยน สถานการณ์แวดล้อมอย่างโรคระบาดก็เปลี่ยนเขาเปลี่ยนเรา โฟกัสช่วงสั้นๆ มองว่าสิ่งที่เราต้องการวางเป้าให้ชัดว่าเราเลี้ยงลูกต้องการอะไรอยากได้อะไรเพื่อให้เขารอด ไม่ใช่อยากได้อะไรเพื่อให้เรามีความสุข

เราต้องมองว่าอะไรจะเป็นเครื่องมือให้เขาอยู่ได้ถ้าไม่มีเรานี่คือเป้าหมาย หากระบวนการเรียนรู้ที่ถูกต้องถ้าไม่รู้ก็หาผู้เชี่ยวชาญ ถ้าให้แนะนำก็เป็นนักจิตวิทยาคลินิกเด็กและจิตแพทย์ 2 อาชีพนี้ทำงานไม่เหมือนกัน

นักจิตวิทยามีหลายๆ สาขา แต่ในเรื่องของการตรวจวินิจฉัยและบำบัดจะต้องเป็นนักจิตวิทยาคลินิก คำว่า คลินิก คือโรงพยาบาลที่มี License มีใบประกอบวิชาชีพในการตรวจวินิจฉัย ต่างกันกับจิตแพทย์อย่างไร ต่างกันกับคุณหมอพัฒนาการอย่างไร

นักจิตวิทยาคลินิกจะมีเครื่องมือที่สามารถตรวจ เครื่องมือคือแบบทดสอบทางจิตวิทยาสามารถตรวจพัฒนาการได้ สามารถตรวจการทำงานของสมองได้ สามารถตรวจเรื่องของอารมณ์ได้ สามารถตรวจ EQ ได้ นี่ก็คือการตรวจ ที่มีเครื่องมือซึ่งมีความแม่นยำสูงมากผลออกมาเหมือนตรวจเลือดออกมาเป็นตัวเลข

มีรายละเอียดให้เห็นว่า Picture ข้างในของลูกมันคืออะไร เรารักษาด้วยการไม่ใช้ยา แต่จิตแพทย์หรือคุณหมอพัฒนาการรักษาด้วยการใช้ยา ซึ่งนักจิตวิทยาคลินิกก็จะมีเครื่องมือโดยไม่ต้องใช้ยาเลย เช่น ลูกสมาธิสั้นเราสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแก้ไขปัญหาสมาธิสั้นได้

ลูกมีปัญหาการเรียนรู้ก็สามารถแก้ไขปัญหาการเรียนรู้ได้ คือ ซ่อม สร้างได้โดยไม่ใช้ยา เพราะก็คงไม่มียาที่กินเข้าไปแล้วเด็กฉลาด มันใจในตัวเอง Self Esteem ดี ไม่มีพวกนี้ต้องสร้างเอง นักจิตวิทยาคลินิกเขาจะมีวิธีการบำบัดรักษาการใส้ทรีทเม้นท์เขาไปให้สิ่งนี้เกิด เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากใช้ยาก็มาที่นักจิตวิทยาคลินิกเด็ก

แต่ถ้าอยากใช้ยาก็ไปตรวจกับจิตแพทย์ ทำงานไม่เหมือนกันแต่คล้ายกัน แต่ถ้าสมมติว่าลำบากก็สามารถหาช่องทางที่ใกล้บ้าน หาคนที่คลิกกับเราไม่บังคับว่าต้องมาหาเราเอาคนที่เราคุยแล้วรู้สึกว่ามันเป็นไปได้สำหรับเรา คุยแล้วมีแนวโน้มว่าเราจะทำมันได้ตามที่เขาแนะนำเรา

 

Apple Podcast:https://apple.co/3m15ytB

Spotify:https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube:https://bit.ly/3cxn31u

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

รักลูก The Expert Talk Ep.41 : รู้ก่อนเป็น สาเหตุทำให้เกิดโรคหืด

รักลูก The Expert Talk Ep.41 : รู้ก่อนเป็น สาเหตุทำให้เกิดโรคหืด

โรคหืดไม่ใช่แค่กระทบพัฒนาการ แต่อาจจะทำให้เสียชีวิตได้ 

รู้ก่อนเลี่ยงได้ก่อน แม้ส่วนหนึ่งจะมาจากพันธุกรรมที่เราเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่สภาพแวดล้อมก็เป็นส่วนสำคัญมากที่กระตุ้นให้เป็นโรคหืด และมีอาการมากขึ้น

 

ฟังสาเหตุของโรคหืด จาก The Expert ผศ.ดร.นพ.สิระ นันทพิศาล หัวหน้าหน่วยโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

สาเหตุที่ตัวเลขโรคหืดเพิ่มขึ้น

ในประเทศไทยมีการสำรวจจำนวนเด็กที่เป็นโรคหืดมาประมาณ 30 ปีแล้ว และก็ทำมาเรื่อยๆ ประมาณทุก 10 ปี และพบว่าตัวเลขเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะที่ภาคเหนือในระยะ 10 ปีที่ผ่านมามีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนรวมไปถึงโรคภูมิแพ้อื่นๆ เช่น จมูกอักเสบภูมิแพ้

ซึ่งเป็นโรคคู่กันก็เจอเยอะขึ้นโดยเฉลี่ยอยู่ประมาณ 4-10% ในประเทศไทยแล้วแต่ภูมิภาค ในกรุงเทพประมาณ6-7% สำหรับทุกช่วงอายุในผู้ป่วยเด็ก ถ้าโยงเกี่ยวกับเรื่องฝุ่นมลพิษหรือเปล่าจริงต้องบอกว่า

ปัจจัยการเกิดโรคหืดแต่เดิมเราบอกมันมีหลายปัจจัยก็คือเป็นเรื่องของพันธุกรรมเพราะคุณพ่อคุณแม่ที่เป็นโรคหืดมาก่อน ลูกจะโอกาสเป็นโรคหืดได้มากขึ้นตั้งต้นมาเหมือนต้นทุนเดิม

ทีนี้ระหว่างที่เขาเติบโตมาเขาจะเผชิญกับสภาพแวดล้อมต่างๆ ซึ่งหลายๆ คนก็จะบอกว่าเป็นเรื่องของสัตว์เลี้ยงหรือเปล่าการเลี้ยงสุนัข เลี้ยงแมวในบ้านจะสามารถทำให้เกิดเป็นโรคหืดได้ไหม ซึ่งอันนี้ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่า 2 อย่างนี้จะเป็นปัจจัยทำให้เกิดหืด

มลพิษ ควันบุหรี่ตัวร้าย

แต่สิ่งที่ชัดเจนมากๆ เลยคือส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของมลพิษ มลพิษอันดับแรกที่เรายังไม่ได้พูดถึงกันก็คือ ควันบุหรี่ อันนี้ตัวร้ายเลยเพราะว่ามีการศึกษาออกมาชัดเจนว่ามารดาที่ตั้งครรภ์ และระหว่างตั้งครรภ์สูบบุหรี่จะเป็นสาเหตุเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอาการหอบหืดในเด็กโดยเฉพาะเด็กอายุน้อยกว่า 3 ปี ชัดมาก ถือว่าเป็นปัจจัยหลัก

มีการศึกษาเพิ่มเติมด้วยว่าเป็น Secondhand Smoker คือหมายความว่าตัวคุณแม่ไม่จำเป็นต้องสูบเองแต่อยู่ในครอบครัวหรือในสภาพแวดล้อมที่มีควันบุหรี่เยอะๆ อันนี้ก็ส่งผลกับปอดของเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์เหมือนกัน เพราะฉะนั้นพอเด็กออกมามีความเสี่ยงถ้ายังอยู่ในสภาพแวดล้อมเดิม เขาก็จะเจอกับสารก่อภูมิแพ้ หรือสารระคายเคืองจากบุหรี่เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ

PM2.5 ตัวการสำคัญ

ในระยะ 10 ปีถ้าเราติดตามข่าวสารกันก็จะทราบว่าภาวะโลกร้อนเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ปริมาณ PM2.5 เพิ่มมากขึ้น จริงๆ เรารู้จักกันมานานพอสมควรแล้วสำหรับฝุ่น PM2.5 แต่เพิ่งมาให้ความสนใจกันเยอะมากในปัจจุบัน ในช่วงประมาณ 10 ปีที่ผ่านมาตัวเลขจะมีการมอนิเตอร์กันเป็นประจำก็จะพบว่าในกรุงเทพมีค่ามลพิษโดยเฉพาะ PM2.5 เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

มีการศึกษากันแล้วว่าจุดตั้งต้นก่อน เอาง่ายๆ เลยมีการศึกษากันแล้วว่าถ้าเป็นแฝดแต่แยกที่กันเลี้ยงคนหนึ่งอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มี PM2.5 เยอะ อีกคนอยู่อีกที่หนึ่งหรือว่าพี่น้องกัน ปรากฎว่าคนที่อยู่ในสภาวะที่มี PM2.5 นานๆ เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคภูมิแพ้มากขึ้น

ไรฝุ่นต้นเหตุที่มักถูกลืม

สุดท้ายเรื่องสารก่อภูมิแพ้ในอาการซึ่งอันนี้เราต้องแยกว่า PM2.5 ควันบุหรี่ อันนั้นเป็นการระคายเคืองทำให้อาการภูมิแพ้กำเริบ แต่สารก่อภูมิแพ้ก็คือโปรตีนต่างๆ เล็กๆ น้อยๆ ที่มันอยู่ในสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ เช่น ไรฝุ่น ไม่ใช่ฝุ่นละอองที่เรากวาดบ้านถูบ้านเจอกัน คือสัตว์เล็กๆ ที่กินรังแคเราเป็นอาหารรังของเขาก็คือที่นอนของเราเป็นบ้านหลักเลยอยู่กันทีเป็นล้านตัว

เพราะฉะนั้นเขาก็จะกินอาหารคือผิวเราเองแล้วเขาก็จะอุจจาระออกมาซึ่งตัวอุจจาระเป็นตัวก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้โดยเฉพาะในทางเดินหายใจ แล้วก็ยังมีซากละอองแมลงสาป เหล่านี้เป็นสิ่งที่แยกได้ยากมากหมายความว่าหลีกเลี่ยงยากมาก เพราะไรฝุ่นกับแมลงสาปอยู่กับเรามานานแสนนานเพราะฉะนั้นเราคงไม่สามารถไปกำจัดเขาให้ออกไปจากสภาพแวดล้อมได้

3 ปัจจัยจัยก่อโรคหืด เพราะฉะนั้นหลักๆ สรุปเป็นประเด็น 3 ประเด็น คือ

1.พันธุกรรม

2.สารก่อภูมิแพ้ในอากาศ ที่เพิ่มมากขึ้นมาคือพวก ละอองเกสรดอกไม้ ตั้งแต่น้ำท่วมปี 54 และร่วมกับโลกร้อนจำนวนและสัดส่วนของหญ้าต่างๆ ในประเทศไทยเปลี่ยนเยอะและพวกนี้เป็นตัวกระตุ้นให้ปริมาณสารก่อภูมิแพ้ในอากาศโดยเฉพาะละอองเกสรดอกไม้มีมากขึ้นและมีการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนอย่างชัดเจน

3. มลพิษ

สังเกตุอาการโรคหืด

จริงๆ แล้วที่ถูกเราควรเรียกว่าโรคหืด แต่เวลาที่เด็กมีหืดกำเริบเราจะเรียกว่าอาการหอบ หลักๆ เราจะแบ่งการสังเกตอาการและสาเหตุการกระตุ้นอาการหอบเป็น 2 กลุ่มอายุ คือกลุ่มอายุน้อยกว่า 5 ปีและเกิน 5 ปีขึ้นไป

กลุ่มอายุน้อยกว่า 5 ปีอาการหืดกำเริบของเขาส่วนใหญ่จะสัมพันธ์กับการติดเชื้อทางเดินหายใจก็คือการเป็นหวัด แปลว่าเด็กที่มีอาการหอบเวลาที่เขาเป็นหวัดแต่ละครั้งจะมีอาการหอบกำเริบค่อนข้างง่าย อาจจะไม่ได้รุนแรงมาก สามารถสังเกตอาการได้อย่างไรถ้าอาการไม่รุนแรง

1.เด็กจะมีอาการไอค่อนข้างมาก สมมติมีเด็ก 2 คน คนหนึ่งเป็นหอบ คนหนึ่งไม่เป็นหอบ มานั่งคู่กันคนที่เป็นหอบเขาจะไอเยอะกว่าชัดเจน เวลาไปโรงพยาบาลบางครั้งเขาจะได้ยาขยายหลอดลมมากิน คนที่เป็นโรคหืดแล้วมีอาการหอบกำเริบเขาจะกินยาขยายหลอดลมแล้วอาการไปลดลงแปลว่าอาการไอควรจะตอบสนองกับการขยายหลอดลม

2.ไอนานมากเป็นหวัดส่วนใหญ่ไอ 5-7 วัน หาย เด็กที่เป็นหอบก็จะ 7-10 วัน ไปแล้วก็ยังไม่หายไอ ถ้าไม่เป็นหวัดอาหารที่พอสังเกตได้คือเขาวิ่งเล่นเหนื่อยๆ แล้วมีอาการไอเพราะว่าการออกกำลังเป็นตัวกระตุ้นทำให้อาการหอบกำเริบได้

หรือมีอาการไอตอนกลางคืนเพราะอากาศเย็นอันนี่ก็เป็นสิ่งที่กระตุ้นทำให้อาการไอหรือหอบหืดกำเริบเพิ่มมากขึ้น ตอนกลางวันถ้าไปเจอฝุ่นละอองหรือมลพิษต่างๆ เขาก็จะมีอาการไอ ลักษณะสำคัญเลยคืออาการไอเหล่านี้ถ้าได้รับยาขยายหลอดลมแล้วเขาจะดีขึ้น

ในขณะที่เด็กโตจะเห็นค่อนข้างชัดเจนคือโอกาสการเป็นหวัดจะลดลง เพราะฉะนั้นเขาจะเป็นลักษณะของการแสดงออกที่สัมพันธ์กับกิจกรรมประจำวันมากกว่า เช่น ออกกำลังแล้วมีอาการไอ หรือสัมผัสสารก่อภูมิแพ้อันนี้ค่อนข้างชัดมาก เช่น คุณแม่กวาดบ้านอยู่ลูกไปวิ่งเล่นแถวนั้นก็เกิดอาการไอขึ้นมา

ถ้าอาการรุนแรงมากขึ้นเขาก็จะมีอาการหอบซึ่งอาการหอบเหมือนวิ่งแล้วหอบ คือหายใจแรงขึ้น หายใจไม่ทัน มีอาการบ่นได้ก็จะบอกว่าแน่นหน้าอกอันนี้เป็นลักษณะของเด็กที่มีอาการหืดกำเริบ

หืดกับโรคภูมิแพ้

อาการอื่นๆ ที่อาจจะมีได้ก็อาการของโรคภูมิแพ้ที่มักจะพบร่วมกันกับอาการโรคหืดก็คืออาการภูมิแพ้ทางจมูก ซึ่งประมาณ 85% ของเด็กที่เป็นโรคหืดจะมีภูมิแพ้ทางจมูกร่วมด้วยก็เป็นอาการน้ำมูก จาม คันและคัดแน่นจมูกมีคันตาร่วมด้วย หลายๆ คนก็จะมีอาการนอนกรน อันนี้ก็เป็นอาการของโรคภูมิแพ้จมูกอักเสบซึ่งพบร่วมกันในเด็กที่เป็นโรคหืด

RSV ต่างจากโรคหืด

RSV จะเป็นในเด็กที่อายุน้อยกว่า 2 ปี ซึ่งอาการโรคหืดยังไม่ค่อยแสดงออกเท่าไหร่ ความคล้ายกันของเขาคือเขาจะมีอาการหอบเหมือนกันเวลาที่เราติดเชื้อ RSV เพราะว่า RSV เป็นการติดเชื้อของทางเดินหายใจส่วนล่าง หลอดลมฝอยมีการอักเสบเด็กจะมีหายใจเสียงหวีดเหมือนหอบหืดได้เลย

แต่ RSV พ่นยาขยายหลอดลมแล้วไม่ค่อยตอบสนองคือจะไม่หายหอบเท่าไหร่คือต้องรอให้เขาหายเอง อาการติดเชื้อดีขึ้นเสมหะในปอดลดลง อาการหอบก็จะลดลง ในขณะที่ถ้าเป็น RSV แล้วเด็กมีอาการหอบอยู่ด้วยรวมกันมันจะส่วนหนึ่งที่จะตอบสนองกับยาขยายหลอดลม

เป็นหวัดทั่วไปก็เหมือนกันปกติถ้าเป็นหวัดเป็นการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน เด็กทั่วไปก็จะไม่มีอาการหอบ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เป็นไข้หวัดธรรมดาแล้วมีอาการเหนื่อยหอบ หายใจเร็วแล้วก็ได้ยินว่าหายใจมีเสียงหวีดๆ เกิดขึ้น อันนี้เราก็จะบอกว่าแสดงว่ามีโรคหืดแฝงอยู่ เพราะฉะนั้นการตรวจ จริงๆ แล้วเราก็บอกว่าควรให้แพทย์เป็นคนวินิจฉัย

การทดสอบสมรรถภาพปอดในอายุน้อยกว่า 5 ปี มีข้อจำกัดคือทำไม่ได้เพราะต้องอาศัยความร่วมมือของผู้ป่วยต้องเกิน 5 ปีไปถึงพอจะทำได้ การวินิจฉัยถ้า 5 ปีขึ้นไปแล้วเราสงสัยว่าเป็นหรือไม่เป็นเราก็ส่งตรวจสมรรถภาพปอดไปเลย เป็นจุดยากเลยเป็นยาขมสำหรับหมอเด็กเหมือนกันไม่ใช่พ่อแม่อย่างเดียว หมอเด็กเองก็เด็กคนนี้อายุ 3ปี พ่นยามาแล้ว 3 รอบใช่หรือไม่ใช่โรคหืด

เพราะฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่ที่มีประวัติลูกเป็นแบบนี้เป็นหวัดแต่ละครั้งดูอาการแล้วแบบไอเยอะ ไปโรงพยาบาลก็ต้องมีการพ่นยา

การพ่นยาจะเป็นแบบฝอยละอองแล้วใช้เป็นตัวครอบแทนเป็นกรวยแล้วใช้เป็นยากดพ่น ก็ลองถามคุณหมอหลังจากที่มีการให้ยาขยายลมพ่นว่าลูก หลาน ตอบสนองไหม เสียงหายใจหวีดลดลงไหมหรือหายใจเร็วลดลงไหมหลังจากใช้ยาขยายหลอดลมถ้าเป็นอาการแบบนี้คือตอบสนองกับยาขยายหลอดลมได้ดีและปีหนึ่งเกิน 3 ครั้ง อันนี้มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคหืดสูง

แนวทางการรักษาโรคหืด

ต้องเป็นข้อความที่เราจะสื่อสารกันเป็นหลักไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครองหรือตัวผู้ป่วยที่เป็นผู้ใหญ่เราต้องแก้ความเข้าใจกันใหม่ เพราะเวลาที่คนไข้มาพบแพทย์ส่วนใหญ่เขาบอกว่ายาที่ดีที่สุดในการรักษาโรคหืดคือยาขยายหลอดลมซึ่งจริงๆ ถูกแค่บางส่วน เพราะว่ายาขยายหลอดลมจะใช้เมื่ออาการโรคหืดกำเริบคือมีอาการหอบเป็นเป้าหมายที่ลดความรุนแรงของอาการหอบที่กำเริบ

แต่จริงๆ เป้าหมายหลักของการรักษาโรคหืดคือเราต้องการให้ไม่เกิดอาการหืดกำเริบคนไข้ต้องไม่หอบเลย เพราะฉะนั้นเป้าหมายสำคัญคือควบคุมไม่ให้เกิดอาการหอบเพราะการหอบแต่ละครั้งเวลาที่เกิดอาการแต่ละครั้งมันจะมีการอักเสบในทางเดินหายใจหลอดลมฝอยจะมีการอักเสบเกิดขึ้นถ้ามีการปล่อยไว้ให้การอักเสบเป็นไปเรื่อยๆ มันจะมีการเสียสภาพของหลอดลมในระยะเบื้องต้น

ถ้าหอบยังไม่เป็นมากสภาพหลอดลมที่เสียไปสามารถกลับมาสู่สภาวะที่เป็นปกติได้ด้วยการรักษาของการใช้ยาควบคุมโรคหืด แต่ถ้าไม่ได้ใช้เลยการที่หลอดลมมันเสียสภาพมักจะกลายเป็นเสียถาวร

ยารักษาโรคหืด

เพราะฉะนั้นคิดเอาว่าถ้าเสียสภาพถาวรตั้งแต่เป็นเด็กโตขึ้นไปเขาจะไม่มีทางที่สมรรถภาพปอดเขาจะกลับมาสู่สภาวะปกติหรือเทียบเท่ากับคนอื่นได้ เพราะฉะนั้นต้องย้ำไม่ว่าโรคหืดจะเกิดเมื่อไหร่ก็ตาม ช่วงอายุไหนก็ตาม ยารักษาหลักคือยาควบคุมโรคหืดที่ไม่ทำให้เกิดอาการหอบ ซึ่งตรงนี้ในประเทศไทยหรือทั่วโลกเราจะมียาอยู่ 2 กลุ่ม

1.ยาพ่นชนิดสเตียรอยด์

2.ยากินที่สามารถใช้รักษาควบคุมโรคหืดได้ สองอย่างนี้จะเป็นยาหลักที่ใช้ในการรักษา ซึ่งผู้ป่วยจำเป็นต้องใช้ทุกวันไม่ว่าจะมีอาการหืดหรือไม่มีอาการหืดก็ตาม ถ้าเมื่อไหรก็ตามที่มีอาการกำเริบขึ้นมาเมื่อนั้นเราจึงจะใช้ยาขยายหลอดลมพ่นเพื่อทำให้บรรเทาอาการหืดกำเริบเฉียบพลัน เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วเราต้องรักษาที่สาเหตุหลักก็คือใช้ยาควบคุมโรคหืด

สำหรับยาสเตียรอยด์ จริงๆ แล้วเป็นยาที่ปลอดภัยและสามารถใช้ได้ทุกช่วงอายุแต่ก็จะมีข้อจำกัดบางอย่างเพราะว่าสเตียรอยด์ในเด็กอุปกรณ์ที่ยาจะอยู่เป็นชนิดพ่นจำเป็นจะต้องพ่นผ่านกระบอกต้องอาศัยความร่วมมือกับผู้ป่วยพอสมควรมีอุปกรณ์ต่อเพราะถ้าพ่นใส่ปากโดยตรงยาจะไม่ถึงปอด

ผู้ปกครองหลายๆ คนจะมีความกังวลพูดขึ้นมาว่าเป็นสเตียรอยด์จะทำให้ส่งผลต่อการเจริญเติบโต ใช้ไป 1-2 ปีลูกจะเตี้ยไม่โตหรือเปล่า ติดเชื้อง่าย จริงๆ ต้องบอกว่าในปริมาณของการใช้เพื่อควบคุมโรคหืดจะเป็นขนาดที่ไม่มีผลกระทบข้างเคียงเยอะขนาดนั้น

ยากลุ่มที่ 2 ยาต้านการอักเสบที่ยับยั้งการทำงานของสารลิวโคไทรอีน เป็นยาชนิดกินซึ่งเป็นยาที่สามารถใช้ควบคุมโรคหืดได้เหมือนกันแต่เราก็จะมีการบริหารยาที่ง่ายเพราะจะมีทั้งเป็นแบบผง แบบเม็ด ซึ่งอันนี้ให้เด็กกินทุกวันต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน

ทั้ง 2 ตัวมีประสิทธิภาพในการควบคุมโรคหืดได้ใกล้เคียงกัน แต่ต้องย้ำว่าทั้ง 2 ตัวนี้ไม่ใช่ยาขยายหลอดลมเพราะฉะนั้นพอหลายๆ คนบอกว่าต้องใช้ไปทุกวันถ้าเวลาหืดกำเริบขึ้นมาอย่างไรก็ต้องกลับไปใช้ยาขยายหลอดลม

แต่เป้าหมายหลักของเราถ้าใช้ยาตัวใดตัวหนึ่งไม่ว่าจะเป็นสเตียรอยด์พ่น หรือยากินควบคุมโรคหืดแล้วเราหวังว่าผู้ป่วยจะไม่มีอาการหืดกำเริบและก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ยาขยายหลอดลมสูตรพ่นเลยอันนี้คือเป้าหมายหลักจริงๆ

โรคหืดรักษาและกินยาอย่างต่อเนื่อง

จริงๆ เรามีการให้ความรู้กับแพทย์ อัพเดทความรู้เราก็จะบอกเขาไปในกลุ่มของแพทย์ผู้ดูแลโดยเฉพาะหมอเด็กเพราะเรามีการอัพเดทแนวทางการรักษาอยู่เป็นประจำแล้วก็อยากยืนยันว่ายามีความปลอดภัยในการใช้ระยะยาว

ปัญหาสำคัญเลยคือผู้ปกครองมักจะหยุดยาก่อนถึงเวลาอันควร แต่จริงๆ รอยโรคในหลอดลมฝอยที่เวลาเราเกิดโรคหืดขึ้นมาแล้วมันอาจจะเป็นแผลที่ใหญ่พอสมควร ยิ่งเป็นมานานเป็นรุนแรงก็จะเป็นแผลที่ใหญ่

เพราะฉะนั้นการที่เราจะสมานแผลตรงนี้ให้มันกลับมาปกติได้และความไวของหลอดลมมันลดลงไปได้มันต้องใช้เวลายาวนานพอสมควรอย่างน้อยเป็นปี เพราะฉะนั้นกินยาหรือพ่นยาไปประมาณ 1-2 เดือนอาการสงบดีอย่าเพิ่งหยุด ควรจะมีการประเมินก่อนซึ่งคุณหมอก็เป็นคนประเมิน ซึ่งก็จะมีหลักการหลายๆ ข้อ อยากให้ไปพบแพทย์อย่าหยุดยาเองโดยเฉียบพลันโดยตัวเองลูกอาการสงบดีแล้วก็หยุดยาจริงๆ ถึงจะอาการสงบแต่ภายในอาจจะไม่สงบก็ได้ เป็นคลื่นใต้น้ำมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

ผลกระทบหากหยุดใช้ยา

มีผลโดยตรงกับพยาธิสภาพในปอดก็คือหลอดลมจะมีการเสียอาจจะถาวรได้ถ้ารักษาช้าหรือรักษาไม่ถูกต้องอันนี้หลอดลมเสียสภาพถาวรได้ซึ่งมันจะไปส่งผลกระทบทางอ้อมกับสุขภาพทางกายและทางใจของเด็ก

เพราะว่าเวลาที่เขามีภาวะหลอดลมไวเด็กเขาจะถูกกระตุ้นได้ง่ายถ้าเจออากาศเย็น เจอไรฝุ่นเล็กน้อยจะมีอาการไอแล้วสำคัญเลยโรคหืดมักจะไอตอนกลางคืนเด็กมักจะตื่นมาไอตอนตีสองตีสามซึ่งเป็นเวลาทองของการหลั่ง Growth Hormones เด็กจะโตได้จริงๆ แล้วเวลาทองของการนอนคือ 4ทุ่ม ถึงตีสอง แต่โรคหืดเวลากำเริบตอนกลางคืนแล้วเด็กไอตื่นขึ้นมา Growth Hormones มันจะหายไป

มีการศึกษาออกมาชัดเจนแล้วว่าเด็กที่เป็นโรคหืดแล้วรักษาด้วยสเตียรอยด์โตเร็วกว่าเด็กที่เป็นโรคหืดแล้วไม่ได้รับการรักษา 1 ปีประมาณ 1เซนติเมตรถือว่าเยอะอันนี้คือผลกระทบแน่ๆ ต่อการเจริญเติบโตแล้วถ้าตอนกลางคืนหลับไม่สนิทผลที่ตามมาคือตื่นเช้ามางอแง ปลุกไม่ตื่น ไม่อยากไปโรงเรียนทำให้ประสิทธิภาพในการเรียนลดลง ไม่ตั้งใจเรียน ทำข้อสอบไม่ได้อันนี้เราพบว่าอาจจะมีความสัมพันธ์กับสมาธิสั้นด้วย

อันนี้สำคัญอย่างที่บอกไปแล้วว่าโรคหืดกำเริบได้ด้วยการออกกำลังกาย เพราะฉะนั้นเวลาที่เด็กไปโรงเรียนสิ่งที่เขาอยากทำคือวิ่งเล่นกับเพื่อ เด็กที่เป็นโรคหืดเขาจะหยุดตัวเองโดยอัตโนมัติเพราะเขาจะรู้ว่าเขาวิ่งได้เท่านี้ เขาจะไม่วิ่งต่อหยุดเล่นเพื่อนก็วิ่งไปได้ไกลทั้งสนามแล้วแต่ลูกเราวิ่งไปได้ 50 เมตรก็หยุดวิ่งเขาก็จะรู้สึกเหมือนเป็นปมด้อยแล้วเขาก็จะไม่เข้าสังคมในเด็กเพื่อนๆ เขาได้ก็เป็นผลกระทบต่อทั้งจิตใจและร่างกายของเด็กพัฒนาการของเด็กด้วย

ภูมิแพ้ต้นตอโรคหืด

ในส่วนที่ต้องทำในเด็กเล็กหรือในเด็กที่น้อยกว่า 12 ปี เกือบ 100% จะเป็นกลุ่มที่เป็นภูมิแพ้แล้วตรวจพบว่ามีการไวต่อสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ เช่น ไรฝุ่น แมลงสาป สุนัข แมว หญ้าต่างๆ หรือเชื้อราอย่างใดอย่างหนึ่ง

ซึ่งถ้าเป็นไปได้อยากให้ไปตรวจกับกุมารแพทย์โดยเฉพาะกุมารแพทย์เชี่ยวชาญภูมิแพ้เพื่อประเมินทดสอบการแพ้ทางผิวหนังหรือตรวจเลือดดูว่าแพ้อะไร ระหว่างนี้ถ้าทราบแล้วก็อยากให้พยายามควบคุมสภาพแวดล้อมในบ้าน อย่างเช่น ถ้าแพ้ไรฝุ่นก็ต้องมีการลดปริมาณไรฝุ่นภายในบ้านให้ได้มากที่สุดซึ่งเป็นศัตรูตัวร้ายกาจ

เพราะประมาณ 70-80% ของผู่ป่วยเด็กที่เป็นภูมิแพ้จะแพ้สารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่นซึ่งเป็นศัตรูตัวจิ๋วที่อยู่ในบ้านเราแล้วก็สะสมอยู่บนที่นอนออกลูกออกหลานเก่งมากเป็นแมลงตัวเล็กที่มีเป็นร้อยเป็นพันเป็นล้านตัวในที่นอนเรา

ฉะนั้นการกำจัดต้องใช้ความร้อนในการกำจัดต้องซักผ้าปูที่นอนด้วยน้ำร้อน 60 องศาขึ้นไป หมายถึงเอาผ้าไปอบเพื่อกำจัดรังของเขา หรือเป็นที่นอนที่สามารถกันไรฝุ่นได้หรือเป็นผ้าคลุมพิเศษที่หุ้มที่นอนที่ไรฝุ่นไม่สามารถเข้าไปอยู่อาศัยได้

อีกสิ่งที่เป็นที่สะสมไรฝุ่นก็คือตุ๊กตาต้องเอาไปซักทำความสะอาดถ้าเอาออกได้จะดีสุดถ้าต้องเก็บไว้จริงๆ เป็นน้องเน่าขออนุญาตน้องเอาไปล้างไปซักไปทำความสะอาดเพื่อให้ปริมาณของสารก่อภูมิแพ้ของไรฝุ่นลดลง ส่วนมากเทคนิคที่จะบอกพ่อแม่คือให้เขาเลือกไว้ตัวหนึ่งแล้วก็จัดห้องให้โล่งไม่มีฝุ่นเกาะ

เลี่ยงฝุ่นPM2.5 และควันจากการเผา

ฝุ่นและควันจากการเผาทำให้เกิดโรคหืด และโรคทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้ทางผิวหนังที่อาการจะกำเริบ มีอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ทำการศึกษาแล้วว่าระหว่างที่มี PM2.5 หนักๆ ที่เชียงใหม่มีอัตราการเกิดโรคเส้นเลือดสมองแตกเพิ่มมากขึ้นเพราะตัว PM2.5 เองมันสามารถทำให้เกิดการอักเสบที่เส้นเลือดของร่างกายได้เพราะฉะนั้นเส้นเลือดสมองเป็นจุดเป้าหมายเลยที่ทำให้เกิดอาการผิดปกติ

เพราะฉะนั้นไม่ใช่โรคหืดอย่างเดียวแต่กลับมาที่เด็ก PM2.5 ก็มีส่วนจริงที่ทำให้ตัวอาการโรคหืดเป็นเยอะขึ้นควบคุมได้ยากขึ้น ที่การกำจัดเราจะบอกไม่ให้ลูกออกไปนอกบ้านหรือไม่ให้ PM2.5 เข้าบ้านก็คงทำไม่ได้ช่วงนี้เป็นช่วงที่ดีเพราะว่าเด็กใส่แมสเราก็จะมีโอกาสสัมผัสฝุ่น PM น้อยลง

ต้องช่วยกันรณรงค์ในเรื่องของฝุ่น PM2.5 การเผาไหม้ทั้งหลายแล้วก็มลพิษจากการเผาไหม้รถยนต์ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ PM2.5 เยอะขึ้นถ้าบ้านไหนที่ Sensitive จริงๆ ก็อาจจะจำเป็นต้องมีเครื่องฟอกอากาศภายในบ้านแล้วก็แนะนำว่าถ้าจะเป็นห้องนอนช่วงที่มี PM2.5 เยอะๆ อาจจะต้องปิดหน้าต่างตอนกลางวันแล้วก็รอยรูรั่วต่างๆ ก็พยายามปิดไม่ให้ลมมันระบายเข้ามาและฟอกอากาศอย่างน้อยประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนเข้าห้องนอนก็สามารถช่วยได้อย่างชัดเจนพอสมควร

แนวทางการรักษาของโรคหืดและการใช้ยา

โรคหืดเป็นโรคที่เจอได้พอสมควรประมาณ 10% ในประเทศไทยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ไม่ใช่สิ้นหวังโรคหืดสามารถรักษาได้ควบคุมได้เพียงแต่การใช้ยาต้องทำความเข้าใจว่าโรคสามารถหายได้ควบคุมได้แต่ต้องใช้ยาอย่างสม่ำเสมอและใช้ยาถูกประเภท ยาควบคุมอาการโรคหืดไม่ว่าจะเป็นยาสเตรียรอยด์สูตรพ่นหรือว่ายากินที่เป็นยาต้าน

ในการรักษาโรคหืดระยะยาวและมีความปลอดภัยขอให้ผู้ปกครองและผู้ป่วยเองมีความมั่นใจในความปลอดภัยของตัวยา แต่อย่างไรก็ตามอย่าใช้ยาเอง อย่าหยุดยาเองควรมีการนัดติดตามจากแพทย์ผู้สั่งยา เพื่อปรับยาได้สม่ำเสมอและประเมินอาการว่ารักษาเพิ่มเติมอย่างไรนอกจากยา

ขณะเดียวกันก็จะได้ทราบวิธีการปฎิบัติตัวเวลาหืดกำเริบการใช้ยาขยายหลอดลมควรทำอย่างไร มีการตรวจประเมินเรื่องของภูมิแพ้ดูว่าต้องมีการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมในบ้านหรือว่าสภาพแวดล้อมทั่วไปรอบตัวของทั้งตัวเด็กเองและตัวผู้ใหญ่อย่างไร ฉะนั้นพบแพทย์สามารถดูแลได้รักษาได้ ในระยะยาวโรคหืดอาจจะไม่ได้หายขาดหายสนิทไปจากชีวิตเมื่อเป็นแล้ว แต่ควบคุมไม่ให้เกิดอาการเราก็จะสามารถมีชีวิตและการเจริญเติบโตของเด็กที่ปกติได้ไม่ต่างจากคนทั่วไป

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

A cause de cette effet secondaire, la demande du kamagra gel était si importante que son utilisation a été complètement réorientée.

รักลูก The Expert Talk Ep.42 : รักษาหืด ก่อนกระทบพัฒนาการ

รักลูก The Expert Talk Ep.42 : รักษาหืด ก่อนกระทบพัฒนาการ

โรคหืดสามารถรักษาและควบคุมด้วยการใช้ยาถูกต้อง เพื่อไม่ให้กระทบกับการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็ก

สาเหตุที่ตัวเลขโรคหืดเพิ่มขึ้น

ในประเทศไทยมีการสำรวจจำนวนเด็กที่เป็นโรคหืดมาประมาณ 30 ปีแล้ว และก็ทำมาเรื่อยๆ ประมาณทุก 10 ปี และพบว่าตัวเลขเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะที่ภาคเหนือในระยะ 10 ปีที่ผ่านมามีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนรวมไปถึงโรคภูมิแพ้อื่นๆ เช่น จมูกอักเสบภูมิแพ้

ซึ่งเป็นโรคคู่กันก็เจอเยอะขึ้นโดยเฉลี่ยอยู่ประมาณ 4-10% ในประเทศไทยแล้วแต่ภูมิภาค ในกรุงเทพประมาณ6-7% สำหรับทุกช่วงอายุในผู้ป่วยเด็ก ถ้าโยงเกี่ยวกับเรื่องฝุ่นมลพิษหรือเปล่าจริงต้องบอกว่า

ปัจจัยการเกิดโรคหืดแต่เดิมเราบอกมันมีหลายปัจจัยก็คือเป็นเรื่องของพันธุกรรมเพราะคุณพ่อคุณแม่ที่เป็นโรคหืดมาก่อน ลูกจะโอกาสเป็นโรคหืดได้มากขึ้นตั้งต้นมาเหมือนต้นทุนเดิม

ทีนี้ระหว่างที่เขาเติบโตมาเขาจะเผชิญกับสภาพแวดล้อมต่างๆ ซึ่งหลายๆ คนก็จะบอกว่าเป็นเรื่องของสัตว์เลี้ยงหรือเปล่าการเลี้ยงสุนัข เลี้ยงแมวในบ้านจะสามารถทำให้เกิดเป็นโรคหืดได้ไหม ซึ่งอันนี้ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่า 2 อย่างนี้จะเป็นปัจจัยทำให้เกิดหืด

มลพิษ ควันบุหรี่ตัวร้าย

แต่สิ่งที่ชัดเจนมากๆ เลยคือส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของมลพิษ มลพิษอันดับแรกที่เรายังไม่ได้พูดถึงกันก็คือ ควันบุหรี่ อันนี้ตัวร้ายเลยเพราะว่ามีการศึกษาออกมาชัดเจนว่ามารดาที่ตั้งครรภ์ และระหว่างตั้งครรภ์สูบบุหรี่จะเป็นสาเหตุเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอาการหอบหืดในเด็กโดยเฉพาะเด็กอายุน้อยกว่า 3 ปี ชัดมาก ถือว่าเป็นปัจจัยหลัก

มีการศึกษาเพิ่มเติมด้วยว่าเป็น Secondhand Smoker คือหมายความว่าตัวคุณแม่ไม่จำเป็นต้องสูบเองแต่อยู่ในครอบครัวหรือในสภาพแวดล้อมที่มีควันบุหรี่เยอะๆ อันนี้ก็ส่งผลกับปอดของเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์เหมือนกัน เพราะฉะนั้นพอเด็กออกมามีความเสี่ยงถ้ายังอยู่ในสภาพแวดล้อมเดิม เขาก็จะเจอกับสารก่อภูมิแพ้ หรือสารระคายเคืองจากบุหรี่เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ

PM2.5 ตัวการสำคัญ

ในระยะ 10 ปีถ้าเราติดตามข่าวสารกันก็จะทราบว่าภาวะโลกร้อนเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ปริมาณ PM2.5 เพิ่มมากขึ้น จริงๆ เรารู้จักกันมานานพอสมควรแล้วสำหรับฝุ่น PM2.5 แต่เพิ่งมาให้ความสนใจกันเยอะมากในปัจจุบัน ในช่วงประมาณ 10 ปีที่ผ่านมาตัวเลขจะมีการมอนิเตอร์กันเป็นประจำก็จะพบว่าในกรุงเทพมีค่ามลพิษโดยเฉพาะ PM2.5 เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

มีการศึกษากันแล้วว่าจุดตั้งต้นก่อน เอาง่ายๆ เลยมีการศึกษากันแล้วว่าถ้าเป็นแฝดแต่แยกที่กันเลี้ยงคนหนึ่งอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มี PM2.5 เยอะ อีกคนอยู่อีกที่หนึ่งหรือว่าพี่น้องกัน ปรากฎว่าคนที่อยู่ในสภาวะที่มี PM2.5 นานๆ เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคภูมิแพ้มากขึ้น

ไรฝุ่นต้นเหตุที่มักถูกลืม

สุดท้ายเรื่องสารก่อภูมิแพ้ในอาการซึ่งอันนี้เราต้องแยกว่า PM2.5 ควันบุหรี่ อันนั้นเป็นการระคายเคืองทำให้อาการภูมิแพ้กำเริบ แต่สารก่อภูมิแพ้ก็คือโปรตีนต่างๆ เล็กๆ น้อยๆ ที่มันอยู่ในสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ เช่น ไรฝุ่น ไม่ใช่ฝุ่นละอองที่เรากวาดบ้านถูบ้านเจอกัน คือสัตว์เล็กๆ ที่กินรังแคเราเป็นอาหารรังของเขาก็คือที่นอนของเราเป็นบ้านหลักเลยอยู่กันทีเป็นล้านตัว

เพราะฉะนั้นเขาก็จะกินอาหารคือผิวเราเองแล้วเขาก็จะอุจจาระออกมาซึ่งตัวอุจจาระเป็นตัวก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้โดยเฉพาะในทางเดินหายใจ แล้วก็ยังมีซากละอองแมลงสาป เหล่านี้เป็นสิ่งที่แยกได้ยากมากหมายความว่าหลีกเลี่ยงยากมาก เพราะไรฝุ่นกับแมลงสาปอยู่กับเรามานานแสนนานเพราะฉะนั้นเราคงไม่สามารถไปกำจัดเขาให้ออกไปจากสภาพแวดล้อมได้

3 ปัจจัยจัยก่อโรคหืด เพราะฉะนั้นหลักๆ สรุปเป็นประเด็น 3 ประเด็น คือ

1.พันธุกรรม

2.สารก่อภูมิแพ้ในอากาศ ที่เพิ่มมากขึ้นมาคือพวก ละอองเกสรดอกไม้ ตั้งแต่น้ำท่วมปี 54 และร่วมกับโลกร้อนจำนวนและสัดส่วนของหญ้าต่างๆ ในประเทศไทยเปลี่ยนเยอะและพวกนี้เป็นตัวกระตุ้นให้ปริมาณสารก่อภูมิแพ้ในอากาศโดยเฉพาะละอองเกสรดอกไม้มีมากขึ้นและมีการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนอย่างชัดเจน

3. มลพิษ

สังเกตุอาการโรคหืด

จริงๆ แล้วที่ถูกเราควรเรียกว่าโรคหืด แต่เวลาที่เด็กมีหืดกำเริบเราจะเรียกว่าอาการหอบ หลักๆ เราจะแบ่งการสังเกตอาการและสาเหตุการกระตุ้นอาการหอบเป็น 2 กลุ่มอายุ คือกลุ่มอายุน้อยกว่า 5 ปีและเกิน 5 ปีขึ้นไป

กลุ่มอายุน้อยกว่า 5 ปีอาการหืดกำเริบของเขาส่วนใหญ่จะสัมพันธ์กับการติดเชื้อทางเดินหายใจก็คือการเป็นหวัด แปลว่าเด็กที่มีอาการหอบเวลาที่เขาเป็นหวัดแต่ละครั้งจะมีอาการหอบกำเริบค่อนข้างง่าย อาจจะไม่ได้รุนแรงมาก สามารถสังเกตอาการได้อย่างไรถ้าอาการไม่รุนแรง

1.เด็กจะมีอาการไอค่อนข้างมาก สมมติมีเด็ก 2 คน คนหนึ่งเป็นหอบ คนหนึ่งไม่เป็นหอบ มานั่งคู่กันคนที่เป็นหอบเขาจะไอเยอะกว่าชัดเจน เวลาไปโรงพยาบาลบางครั้งเขาจะได้ยาขยายหลอดลมมากิน คนที่เป็นโรคหืดแล้วมีอาการหอบกำเริบเขาจะกินยาขยายหลอดลมแล้วอาการไปลดลงแปลว่าอาการไอควรจะตอบสนองกับการขยายหลอดลม

2.ไอนานมากเป็นหวัดส่วนใหญ่ไอ 5-7 วัน หาย เด็กที่เป็นหอบก็จะ 7-10 วัน ไปแล้วก็ยังไม่หายไอ ถ้าไม่เป็นหวัดอาหารที่พอสังเกตได้คือเขาวิ่งเล่นเหนื่อยๆ แล้วมีอาการไอเพราะว่าการออกกำลังเป็นตัวกระตุ้นทำให้อาการหอบกำเริบได้

หรือมีอาการไอตอนกลางคืนเพราะอากาศเย็นอันนี่ก็เป็นสิ่งที่กระตุ้นทำให้อาการไอหรือหอบหืดกำเริบเพิ่มมากขึ้น ตอนกลางวันถ้าไปเจอฝุ่นละอองหรือมลพิษต่างๆ เขาก็จะมีอาการไอ ลักษณะสำคัญเลยคืออาการไอเหล่านี้ถ้าได้รับยาขยายหลอดลมแล้วเขาจะดีขึ้น

ในขณะที่เด็กโตจะเห็นค่อนข้างชัดเจนคือโอกาสการเป็นหวัดจะลดลง เพราะฉะนั้นเขาจะเป็นลักษณะของการแสดงออกที่สัมพันธ์กับกิจกรรมประจำวันมากกว่า เช่น ออกกำลังแล้วมีอาการไอ หรือสัมผัสสารก่อภูมิแพ้อันนี้ค่อนข้างชัดมาก เช่น คุณแม่กวาดบ้านอยู่ลูกไปวิ่งเล่นแถวนั้นก็เกิดอาการไอขึ้นมา

ถ้าอาการรุนแรงมากขึ้นเขาก็จะมีอาการหอบซึ่งอาการหอบเหมือนวิ่งแล้วหอบ คือหายใจแรงขึ้น หายใจไม่ทัน มีอาการบ่นได้ก็จะบอกว่าแน่นหน้าอกอันนี้เป็นลักษณะของเด็กที่มีอาการหืดกำเริบ

หืดกับโรคภูมิแพ้

อาการอื่นๆ ที่อาจจะมีได้ก็อาการของโรคภูมิแพ้ที่มักจะพบร่วมกันกับอาการโรคหืดก็คืออาการภูมิแพ้ทางจมูก ซึ่งประมาณ 85% ของเด็กที่เป็นโรคหืดจะมีภูมิแพ้ทางจมูกร่วมด้วยก็เป็นอาการน้ำมูก จาม คันและคัดแน่นจมูกมีคันตาร่วมด้วย หลายๆ คนก็จะมีอาการนอนกรน อันนี้ก็เป็นอาการของโรคภูมิแพ้จมูกอักเสบซึ่งพบร่วมกันในเด็กที่เป็นโรคหืด

RSV ต่างจากโรคหืด

RSV จะเป็นในเด็กที่อายุน้อยกว่า 2 ปี ซึ่งอาการโรคหืดยังไม่ค่อยแสดงออกเท่าไหร่ ความคล้ายกันของเขาคือเขาจะมีอาการหอบเหมือนกันเวลาที่เราติดเชื้อ RSV เพราะว่า RSV เป็นการติดเชื้อของทางเดินหายใจส่วนล่าง หลอดลมฝอยมีการอักเสบเด็กจะมีหายใจเสียงหวีดเหมือนหอบหืดได้เลย

แต่ RSV พ่นยาขยายหลอดลมแล้วไม่ค่อยตอบสนองคือจะไม่หายหอบเท่าไหร่คือต้องรอให้เขาหายเอง อาการติดเชื้อดีขึ้นเสมหะในปอดลดลง อาการหอบก็จะลดลง ในขณะที่ถ้าเป็น RSV แล้วเด็กมีอาการหอบอยู่ด้วยรวมกันมันจะส่วนหนึ่งที่จะตอบสนองกับยาขยายหลอดลม

เป็นหวัดทั่วไปก็เหมือนกันปกติถ้าเป็นหวัดเป็นการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน เด็กทั่วไปก็จะไม่มีอาการหอบ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เป็นไข้หวัดธรรมดาแล้วมีอาการเหนื่อยหอบ หายใจเร็วแล้วก็ได้ยินว่าหายใจมีเสียงหวีดๆ เกิดขึ้น อันนี้เราก็จะบอกว่าแสดงว่ามีโรคหืดแฝงอยู่ เพราะฉะนั้นการตรวจ จริงๆ แล้วเราก็บอกว่าควรให้แพทย์เป็นคนวินิจฉัย

การทดสอบสมรรถภาพปอดในอายุน้อยกว่า 5 ปี มีข้อจำกัดคือทำไม่ได้เพราะต้องอาศัยความร่วมมือของผู้ป่วยต้องเกิน 5 ปีไปถึงพอจะทำได้ การวินิจฉัยถ้า 5 ปีขึ้นไปแล้วเราสงสัยว่าเป็นหรือไม่เป็นเราก็ส่งตรวจสมรรถภาพปอดไปเลย เป็นจุดยากเลยเป็นยาขมสำหรับหมอเด็กเหมือนกันไม่ใช่พ่อแม่อย่างเดียว หมอเด็กเองก็เด็กคนนี้อายุ 3ปี พ่นยามาแล้ว 3 รอบใช่หรือไม่ใช่โรคหืด

เพราะฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่ที่มีประวัติลูกเป็นแบบนี้เป็นหวัดแต่ละครั้งดูอาการแล้วแบบไอเยอะ ไปโรงพยาบาลก็ต้องมีการพ่นยา

การพ่นยาจะเป็นแบบฝอยละอองแล้วใช้เป็นตัวครอบแทนเป็นกรวยแล้วใช้เป็นยากดพ่น ก็ลองถามคุณหมอหลังจากที่มีการให้ยาขยายลมพ่นว่าลูก หลาน ตอบสนองไหม เสียงหายใจหวีดลดลงไหมหรือหายใจเร็วลดลงไหมหลังจากใช้ยาขยายหลอดลมถ้าเป็นอาการแบบนี้คือตอบสนองกับยาขยายหลอดลมได้ดีและปีหนึ่งเกิน 3 ครั้ง อันนี้มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคหืดสูง

แนวทางการรักษาโรคหืด

ต้องเป็นข้อความที่เราจะสื่อสารกันเป็นหลักไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครองหรือตัวผู้ป่วยที่เป็นผู้ใหญ่เราต้องแก้ความเข้าใจกันใหม่ เพราะเวลาที่คนไข้มาพบแพทย์ส่วนใหญ่เขาบอกว่ายาที่ดีที่สุดในการรักษาโรคหืดคือยาขยายหลอดลมซึ่งจริงๆ ถูกแค่บางส่วน เพราะว่ายาขยายหลอดลมจะใช้เมื่ออาการโรคหืดกำเริบคือมีอาการหอบเป็นเป้าหมายที่ลดความรุนแรงของอาการหอบที่กำเริบ

แต่จริงๆ เป้าหมายหลักของการรักษาโรคหืดคือเราต้องการให้ไม่เกิดอาการหืดกำเริบคนไข้ต้องไม่หอบเลย เพราะฉะนั้นเป้าหมายสำคัญคือควบคุมไม่ให้เกิดอาการหอบเพราะการหอบแต่ละครั้งเวลาที่เกิดอาการแต่ละครั้งมันจะมีการอักเสบในทางเดินหายใจหลอดลมฝอยจะมีการอักเสบเกิดขึ้นถ้ามีการปล่อยไว้ให้การอักเสบเป็นไปเรื่อยๆ มันจะมีการเสียสภาพของหลอดลมในระยะเบื้องต้น

ถ้าหอบยังไม่เป็นมากสภาพหลอดลมที่เสียไปสามารถกลับมาสู่สภาวะที่เป็นปกติได้ด้วยการรักษาของการใช้ยาควบคุมโรคหืด แต่ถ้าไม่ได้ใช้เลยการที่หลอดลมมันเสียสภาพมักจะกลายเป็นเสียถาวร

ยารักษาโรคหืด

เพราะฉะนั้นคิดเอาว่าถ้าเสียสภาพถาวรตั้งแต่เป็นเด็กโตขึ้นไปเขาจะไม่มีทางที่สมรรถภาพปอดเขาจะกลับมาสู่สภาวะปกติหรือเทียบเท่ากับคนอื่นได้ เพราะฉะนั้นต้องย้ำไม่ว่าโรคหืดจะเกิดเมื่อไหร่ก็ตาม ช่วงอายุไหนก็ตาม ยารักษาหลักคือยาควบคุมโรคหืดที่ไม่ทำให้เกิดอาการหอบ ซึ่งตรงนี้ในประเทศไทยหรือทั่วโลกเราจะมียาอยู่ 2 กลุ่ม

1.ยาพ่นชนิดสเตียรอยด์

2.ยากินที่สามารถใช้รักษาควบคุมโรคหืดได้ สองอย่างนี้จะเป็นยาหลักที่ใช้ในการรักษา ซึ่งผู้ป่วยจำเป็นต้องใช้ทุกวันไม่ว่าจะมีอาการหืดหรือไม่มีอาการหืดก็ตาม ถ้าเมื่อไหรก็ตามที่มีอาการกำเริบขึ้นมาเมื่อนั้นเราจึงจะใช้ยาขยายหลอดลมพ่นเพื่อทำให้บรรเทาอาการหืดกำเริบเฉียบพลัน เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วเราต้องรักษาที่สาเหตุหลักก็คือใช้ยาควบคุมโรคหืด

สำหรับยาสเตียรอยด์ จริงๆ แล้วเป็นยาที่ปลอดภัยและสามารถใช้ได้ทุกช่วงอายุแต่ก็จะมีข้อจำกัดบางอย่างเพราะว่าสเตียรอยด์ในเด็กอุปกรณ์ที่ยาจะอยู่เป็นชนิดพ่นจำเป็นจะต้องพ่นผ่านกระบอกต้องอาศัยความร่วมมือกับผู้ป่วยพอสมควรมีอุปกรณ์ต่อเพราะถ้าพ่นใส่ปากโดยตรงยาจะไม่ถึงปอด

ผู้ปกครองหลายๆ คนจะมีความกังวลพูดขึ้นมาว่าเป็นสเตียรอยด์จะทำให้ส่งผลต่อการเจริญเติบโต ใช้ไป 1-2 ปีลูกจะเตี้ยไม่โตหรือเปล่า ติดเชื้อง่าย จริงๆ ต้องบอกว่าในปริมาณของการใช้เพื่อควบคุมโรคหืดจะเป็นขนาดที่ไม่มีผลกระทบข้างเคียงเยอะขนาดนั้น

ยากลุ่มที่ 2 ยาต้านการอักเสบที่ยับยั้งการทำงานของสารลิวโคไทรอีน เป็นยาชนิดกินซึ่งเป็นยาที่สามารถใช้ควบคุมโรคหืดได้เหมือนกันแต่เราก็จะมีการบริหารยาที่ง่ายเพราะจะมีทั้งเป็นแบบผง แบบเม็ด ซึ่งอันนี้ให้เด็กกินทุกวันต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน

ทั้ง 2 ตัวมีประสิทธิภาพในการควบคุมโรคหืดได้ใกล้เคียงกัน แต่ต้องย้ำว่าทั้ง 2 ตัวนี้ไม่ใช่ยาขยายหลอดลมเพราะฉะนั้นพอหลายๆ คนบอกว่าต้องใช้ไปทุกวันถ้าเวลาหืดกำเริบขึ้นมาอย่างไรก็ต้องกลับไปใช้ยาขยายหลอดลม

แต่เป้าหมายหลักของเราถ้าใช้ยาตัวใดตัวหนึ่งไม่ว่าจะเป็นสเตียรอยด์พ่น หรือยากินควบคุมโรคหืดแล้วเราหวังว่าผู้ป่วยจะไม่มีอาการหืดกำเริบและก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ยาขยายหลอดลมสูตรพ่นเลยอันนี้คือเป้าหมายหลักจริงๆ

โรคหืดรักษาและกินยาอย่างต่อเนื่อง

จริงๆ เรามีการให้ความรู้กับแพทย์ อัพเดทความรู้เราก็จะบอกเขาไปในกลุ่มของแพทย์ผู้ดูแลโดยเฉพาะหมอเด็กเพราะเรามีการอัพเดทแนวทางการรักษาอยู่เป็นประจำแล้วก็อยากยืนยันว่ายามีความปลอดภัยในการใช้ระยะยาว

ปัญหาสำคัญเลยคือผู้ปกครองมักจะหยุดยาก่อนถึงเวลาอันควร แต่จริงๆ รอยโรคในหลอดลมฝอยที่เวลาเราเกิดโรคหืดขึ้นมาแล้วมันอาจจะเป็นแผลที่ใหญ่พอสมควร ยิ่งเป็นมานานเป็นรุนแรงก็จะเป็นแผลที่ใหญ่

เพราะฉะนั้นการที่เราจะสมานแผลตรงนี้ให้มันกลับมาปกติได้และความไวของหลอดลมมันลดลงไปได้มันต้องใช้เวลายาวนานพอสมควรอย่างน้อยเป็นปี เพราะฉะนั้นกินยาหรือพ่นยาไปประมาณ 1-2 เดือนอาการสงบดีอย่าเพิ่งหยุด ควรจะมีการประเมินก่อนซึ่งคุณหมอก็เป็นคนประเมิน ซึ่งก็จะมีหลักการหลายๆ ข้อ อยากให้ไปพบแพทย์อย่าหยุดยาเองโดยเฉียบพลันโดยตัวเองลูกอาการสงบดีแล้วก็หยุดยาจริงๆ ถึงจะอาการสงบแต่ภายในอาจจะไม่สงบก็ได้ เป็นคลื่นใต้น้ำมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

ผลกระทบหากหยุดใช้ยา

มีผลโดยตรงกับพยาธิสภาพในปอดก็คือหลอดลมจะมีการเสียอาจจะถาวรได้ถ้ารักษาช้าหรือรักษาไม่ถูกต้องอันนี้หลอดลมเสียสภาพถาวรได้ซึ่งมันจะไปส่งผลกระทบทางอ้อมกับสุขภาพทางกายและทางใจของเด็ก

เพราะว่าเวลาที่เขามีภาวะหลอดลมไวเด็กเขาจะถูกกระตุ้นได้ง่ายถ้าเจออากาศเย็น เจอไรฝุ่นเล็กน้อยจะมีอาการไอแล้วสำคัญเลยโรคหืดมักจะไอตอนกลางคืนเด็กมักจะตื่นมาไอตอนตีสองตีสามซึ่งเป็นเวลาทองของการหลั่ง Growth Hormones เด็กจะโตได้จริงๆ แล้วเวลาทองของการนอนคือ 4ทุ่ม ถึงตีสอง แต่โรคหืดเวลากำเริบตอนกลางคืนแล้วเด็กไอตื่นขึ้นมา Growth Hormones มันจะหายไป

มีการศึกษาออกมาชัดเจนแล้วว่าเด็กที่เป็นโรคหืดแล้วรักษาด้วยสเตียรอยด์โตเร็วกว่าเด็กที่เป็นโรคหืดแล้วไม่ได้รับการรักษา 1 ปีประมาณ 1เซนติเมตรถือว่าเยอะอันนี้คือผลกระทบแน่ๆ ต่อการเจริญเติบโตแล้วถ้าตอนกลางคืนหลับไม่สนิทผลที่ตามมาคือตื่นเช้ามางอแง ปลุกไม่ตื่น ไม่อยากไปโรงเรียนทำให้ประสิทธิภาพในการเรียนลดลง ไม่ตั้งใจเรียน ทำข้อสอบไม่ได้อันนี้เราพบว่าอาจจะมีความสัมพันธ์กับสมาธิสั้นด้วย

อันนี้สำคัญอย่างที่บอกไปแล้วว่าโรคหืดกำเริบได้ด้วยการออกกำลังกาย เพราะฉะนั้นเวลาที่เด็กไปโรงเรียนสิ่งที่เขาอยากทำคือวิ่งเล่นกับเพื่อ เด็กที่เป็นโรคหืดเขาจะหยุดตัวเองโดยอัตโนมัติเพราะเขาจะรู้ว่าเขาวิ่งได้เท่านี้ เขาจะไม่วิ่งต่อหยุดเล่นเพื่อนก็วิ่งไปได้ไกลทั้งสนามแล้วแต่ลูกเราวิ่งไปได้ 50 เมตรก็หยุดวิ่งเขาก็จะรู้สึกเหมือนเป็นปมด้อยแล้วเขาก็จะไม่เข้าสังคมในเด็กเพื่อนๆ เขาได้ก็เป็นผลกระทบต่อทั้งจิตใจและร่างกายของเด็กพัฒนาการของเด็กด้วย

ภูมิแพ้ต้นตอโรคหืด

ในส่วนที่ต้องทำในเด็กเล็กหรือในเด็กที่น้อยกว่า 12 ปี เกือบ 100% จะเป็นกลุ่มที่เป็นภูมิแพ้แล้วตรวจพบว่ามีการไวต่อสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ เช่น ไรฝุ่น แมลงสาป สุนัข แมว หญ้าต่างๆ หรือเชื้อราอย่างใดอย่างหนึ่ง

ซึ่งถ้าเป็นไปได้อยากให้ไปตรวจกับกุมารแพทย์โดยเฉพาะกุมารแพทย์เชี่ยวชาญภูมิแพ้เพื่อประเมินทดสอบการแพ้ทางผิวหนังหรือตรวจเลือดดูว่าแพ้อะไร ระหว่างนี้ถ้าทราบแล้วก็อยากให้พยายามควบคุมสภาพแวดล้อมในบ้าน อย่างเช่น ถ้าแพ้ไรฝุ่นก็ต้องมีการลดปริมาณไรฝุ่นภายในบ้านให้ได้มากที่สุดซึ่งเป็นศัตรูตัวร้ายกาจ

เพราะประมาณ 70-80% ของผู่ป่วยเด็กที่เป็นภูมิแพ้จะแพ้สารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่นซึ่งเป็นศัตรูตัวจิ๋วที่อยู่ในบ้านเราแล้วก็สะสมอยู่บนที่นอนออกลูกออกหลานเก่งมากเป็นแมลงตัวเล็กที่มีเป็นร้อยเป็นพันเป็นล้านตัวในที่นอนเรา

ฉะนั้นการกำจัดต้องใช้ความร้อนในการกำจัดต้องซักผ้าปูที่นอนด้วยน้ำร้อน 60 องศาขึ้นไป หมายถึงเอาผ้าไปอบเพื่อกำจัดรังของเขา หรือเป็นที่นอนที่สามารถกันไรฝุ่นได้หรือเป็นผ้าคลุมพิเศษที่หุ้มที่นอนที่ไรฝุ่นไม่สามารถเข้าไปอยู่อาศัยได้

อีกสิ่งที่เป็นที่สะสมไรฝุ่นก็คือตุ๊กตาต้องเอาไปซักทำความสะอาดถ้าเอาออกได้จะดีสุดถ้าต้องเก็บไว้จริงๆ เป็นน้องเน่าขออนุญาตน้องเอาไปล้างไปซักไปทำความสะอาดเพื่อให้ปริมาณของสารก่อภูมิแพ้ของไรฝุ่นลดลง ส่วนมากเทคนิคที่จะบอกพ่อแม่คือให้เขาเลือกไว้ตัวหนึ่งแล้วก็จัดห้องให้โล่งไม่มีฝุ่นเกาะ

เลี่ยงฝุ่นPM2.5 และควันจากการเผา

ฝุ่นและควันจากการเผาทำให้เกิดโรคหืด และโรคทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้ทางผิวหนังที่อาการจะกำเริบ มีอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ทำการศึกษาแล้วว่าระหว่างที่มี PM2.5 หนักๆ ที่เชียงใหม่มีอัตราการเกิดโรคเส้นเลือดสมองแตกเพิ่มมากขึ้นเพราะตัว PM2.5 เองมันสามารถทำให้เกิดการอักเสบที่เส้นเลือดของร่างกายได้เพราะฉะนั้นเส้นเลือดสมองเป็นจุดเป้าหมายเลยที่ทำให้เกิดอาการผิดปกติ

เพราะฉะนั้นไม่ใช่โรคหืดอย่างเดียวแต่กลับมาที่เด็ก PM2.5 ก็มีส่วนจริงที่ทำให้ตัวอาการโรคหืดเป็นเยอะขึ้นควบคุมได้ยากขึ้น ที่การกำจัดเราจะบอกไม่ให้ลูกออกไปนอกบ้านหรือไม่ให้ PM2.5 เข้าบ้านก็คงทำไม่ได้ช่วงนี้เป็นช่วงที่ดีเพราะว่าเด็กใส่แมสเราก็จะมีโอกาสสัมผัสฝุ่น PM น้อยลง

ต้องช่วยกันรณรงค์ในเรื่องของฝุ่น PM2.5 การเผาไหม้ทั้งหลายแล้วก็มลพิษจากการเผาไหม้รถยนต์ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ PM2.5 เยอะขึ้นถ้าบ้านไหนที่ Sensitive จริงๆ ก็อาจจะจำเป็นต้องมีเครื่องฟอกอากาศภายในบ้านแล้วก็แนะนำว่าถ้าจะเป็นห้องนอนช่วงที่มี PM2.5 เยอะๆ อาจจะต้องปิดหน้าต่างตอนกลางวันแล้วก็รอยรูรั่วต่างๆ ก็พยายามปิดไม่ให้ลมมันระบายเข้ามาและฟอกอากาศอย่างน้อยประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนเข้าห้องนอนก็สามารถช่วยได้อย่างชัดเจนพอสมควร

แนวทางการรักษาของโรคหืดและการใช้ยา

โรคหืดเป็นโรคที่เจอได้พอสมควรประมาณ 10% ในประเทศไทยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ไม่ใช่สิ้นหวังโรคหืดสามารถรักษาได้ควบคุมได้เพียงแต่การใช้ยาต้องทำความเข้าใจว่าโรคสามารถหายได้ควบคุมได้แต่ต้องใช้ยาอย่างสม่ำเสมอและใช้ยาถูกประเภท ยาควบคุมอาการโรคหืดไม่ว่าจะเป็นยาสเตรียรอยด์สูตรพ่นหรือว่ายากินที่เป็นยาต้าน

ในการรักษาโรคหืดระยะยาวและมีความปลอดภัยขอให้ผู้ปกครองและผู้ป่วยเองมีความมั่นใจในความปลอดภัยของตัวยา แต่อย่างไรก็ตามอย่าใช้ยาเอง อย่าหยุดยาเองควรมีการนัดติดตามจากแพทย์ผู้สั่งยา เพื่อปรับยาได้สม่ำเสมอและประเมินอาการว่ารักษาเพิ่มเติมอย่างไรนอกจากยา

ขณะเดียวกันก็จะได้ทราบวิธีการปฎิบัติตัวเวลาหืดกำเริบการใช้ยาขยายหลอดลมควรทำอย่างไร มีการตรวจประเมินเรื่องของภูมิแพ้ดูว่าต้องมีการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมในบ้านหรือว่าสภาพแวดล้อมทั่วไปรอบตัวของทั้งตัวเด็กเองและตัวผู้ใหญ่อย่างไร ฉะนั้นพบแพทย์สามารถดูแลได้รักษาได้ ในระยะยาวโรคหืดอาจจะไม่ได้หายขาดหายสนิทไปจากชีวิตเมื่อเป็นแล้ว แต่ควบคุมไม่ให้เกิดอาการเราก็จะสามารถมีชีวิตและการเจริญเติบโตของเด็กที่ปกติได้ไม่ต่างจากคนทั่วไป

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues

 

Беслпатно сыграйте на daddy casino уже сегодня!