facebook  youtube  line

HOW TO การนับลูกดิ้น สัญญาณสำคัญที่แม่ตั้งครรภ์ต้องรู้

ลูกดิ้น-นับการดิ้นของลูกในท้อง-ลูกไม่ดิ้น

HOW TO การนับลูกดิ้น สัญญาณสำคัญที่แม่ตั้งครรภ์ต้องรู้

ความสำคัญของการนับลูกดิ้น สัญญาณที่บ่งบอกให้คุณแม่ทราบว่าลูกในครรภ์ยังมีชีวิต คือ การดิ้นของลูก ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ว่าลูกยังมีสุขภาพความเป็นอยู่ที่ดีในระหว่างตั้งครรภ์ ดังนั้นการนับทารกดิ้นจะช่วยในการตรวจค้นคว้า หรือแก้ไขภาวะที่อาจทำให้ทารกเสียชีวิต การที่คุณแม่รู้สึกว่าทารกในครรภ์ดิ้นน้อยลงนับเป็นสัญญาณอันตราย ต้องรีบมาพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยต่อไปว่าทารกในครรภ์มีสุขภาพที่ไม่ดีจริงหรือไม่

องค์ประกอบที่มีผลต่อการดิ้นของลูก  

  1. ปริมาณน้ำคร่ำ 
  2. อาหารที่คุณแม่ได้รับ 
  3. ระดับน้ำตาลในเลือดของแม่
  4. สิ่งภายนอกที่มากระตุ้น แสง เสียง 

อาการแบบไหนที่เรียกว่าลูกดิ้น

  • ถีบ, เตะ
  • กระทุ้ง
  • หมุนตัว 
  • โก่งตัว

จำนวนครั้งในการดิ้นของลูก

  1. 20 สัปดาห์  ลูกจะดิ้นประมาณ 200 ครั้ง 
  2. 30-32 สัปดาห์ ซึ่งจะดิ้นมากถึง 375-700 ครั้ง 
  3. 33 สัปดาห์ขึ้นไป ลูกจะเริ่มดิ้นน้อยลง เพราะลูกตัวโตขึ้น ทำให้มีพื้นที่ดิ้นน้อยลง

ลูกดิ้น-นับการดิ้นของลูกในท้อง-ลูกไม่ดิ้น

3 วิธีนับลูกดิ้น (เริ่มนับลูกดิ้นเมื่อคุณแม่มีอายุครรภ์ประมาณ 28 สัปดาห์)

  1. การนับลูกดิ้นแบบ “Count to Ten”  ตั้งแต่เช้า-เย็น หรือประมาณ 10-12 ชั่วโมง  วิธีนับคือ ลูกดิ้นมากกว่า 10 ครั้งถือว่าปกติ 

    หมายเหตุ : ถ้าดิ้นน้อยกว่า 10 ครั้งต่อ 2 ชั่วโมงติดกัน ถือว่าผิดปกติ ควรไปพบแพทย์

  2. เทคนิคการนับลูกดิ้นแบบ “Sadovsky Technique” หลังกินอาหารเสร็จ เป็นช่วงที่น้ำตาลในเลือดสูง  วิธีนับคือ ลูกดิ้นไม่ต่ำกว่า 3 ครั้งใน 1 ชั่วโมง ซึ่งการขยับตัวติดต่อกันจะถือว่าเป็นการดิ้น 1 ครั้ง เช่น “ตุ๊บ ตุ๊บ พัก” โดยเมื่อนับจำนวนการดิ้นหลังอาหาร 3 มื้อรวมกันแล้วมากกว่า 10 ครั้ง ถือว่าปกติ

    หมายเหตุ : หากลูกดิ้นน้อยกว่า 3 ครั้งใน 1 ชั่วโมงให้นับต่ออีกทันที 1 ชั่วโมง และหากยังน้อยกว่า 3 ครั้งอีก ควรไปพบแพทย์

  3. การนับลูกดิ้นใน 1 ชั่วโมง เลือกเวลาไหนก็ได้ที่สะดวก (แต่ต้องเป็นเวลาเดิมทุกวัน) ใน 1 ชั่วโมงต้องนับได้ 3 ครั้งหรือมากกว่า

การดิ้นของทารกในครรภ์เป็นสิ่งสำคัญที่บ่งบอกว่าลูกน้อยมีชีวิตปกติดี ในทางตรงกันข้าม ถ้าลูกไม่ดิ้นหรือดิ้นน้อยลง อาจเป็นสัญญาณว่าลูกน้อยในครรภ์อาจกำลังตกอยู่ในอันตราย โดยเฉพาะเมื่อใกล้ครบกำหนดคลอดถ้าลูกดิ้นน้อย หรือดิ้นห่างลงไปเรื่อยๆ หรือหยุดดิ้น ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับลูก อาจร้ายแรงมากจนลูกเสียชีวิตได้


ที่มา: 
1.หนังสือ 40 สัปดาห์ พัฒนาครรภ์คุณภาพ “การเคลื่อนไหวของลูก” (รศ.พญ.สายฝน – นพ.วิชัย ชวาลไพบูลย์) หน้า 132-133.
2.หนังสือคู่มือตั้งครรภ์และเตรียมคลอด  “ลูกดิ้นมาก ดิ้นน้อย จะทำอย่างไร”  (ศ. (คลินิก) นพ.สุวชัย อินทรประเสริฐ)  หน้า 151-153.

PM 2.5 ฝุ่นร้ายอันตรายถึงลูกในท้อง เสี่ยงพิการ-ตาย ตั้งแต่แรกคลอด

แม่ท้องกับฝุ่น PM2.5, อันตรายของฝุ่น PM2.5, อันตรายของฝุ่น PM2.5 กับทารก
  

มีงานวิจัยยืนยัน PM 2.5 ส่งผลกระทบต่อแม่ท้องและทารกในครรภ์ ถึงขั้นพิการแต่กำเนิด หรืออาจเสียชีวิตตั้งแต่แรกคลอด

PM 2.5 ฝุ่นร้ายอันตรายถึงลูกในท้อง เสี่ยงพิการ-ตาย ตั้งแต่แรกคลอด

นักวิจัยเผยมลพิษทางอากาศสามารถผ่านจาก 'แม่' สู่ 'ทารกในครรภ์' มลพิษทางอากาศของประเทศไทยมีอยู่หลายรูปแบบค่ะ ทั้งมลพิษจากท่อไอเสียของรถยนต์ โรงงานอุตสาหกรรม หรือเกิดจากการเผาไหม้ขยะมูลฝอยค่ะ และที่สำคัญคือฝุ่น PM 2.5 ที่สร้างความอันตรายให้กับแม่ตั้งครรภ์มากที่สุดค่ะ 

วารสาร Nature Communications ตีพิมพ์งานวิจัยที่ระบุว่า ทีมวิจัยตรวจสอบพบอนุภาคขนาดเล็กอย่างคาร์บอนสีดำอยู่ภายในรกจำนวนมหาศาลต่อทุกๆ ลูกบาศก์เมตรในเนื้อเยื่อของตัวอย่างรกทุกชิ้นที่นำมาตรวจวิเคราะห์ โดยอธิบายว่าอนุภาคดังกล่าวที่เกิดจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงสามารถผ่านเข้าไปสู่ทารกในครรภ์ได้ด้วยการแทรกซึมผ่านลมหายใจของมารดา

ทั้งนี้ งานวิจัยชิ้นนี้เลือกกลุ่มตัวอย่างเป็นกลุ่มผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์และไม่เคยสูบบุหรี่ ภายในเมือง Hasselt ประเทศเบลเยียมซึ่งเป็นเมืองที่มีระดับมลพิษต่ำกว่าข้อกำหนดของสหภาพยุโรป แต่สูงกว่าข้อกำหนดขององค์การอนามัยโลก โดยนักวิจัยเลือกใช้เทคนิคเลเซอร์เพื่อตรวจจับอนุภาคคาร์บอนสีดำ ก่อนจะพบว่าจำนวนของอนุภาคที่กีดขวางอยู่ในรกสัมพันธ์กับระดับมลพิษทางอากาศที่มารดาได้รับ

รศ.รพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล อายุรศาสตร์โรคระบบการหายใจ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล แสดงผลการศึกษาผลกระทบของฝุ่น PM 2.5 กับแม่ท้องว่าหากต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีฝุ่น PM2.5 สูง นอกจากจะเสี่ยงต่อทารกที่คลอดมาน้ำหนักตัวน้อยและเจ็บป่วยง่ายแล้ว ยังเสี่ยงต่อความพิการแรกคลอด โดยเฉพาะกลุ่มโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

มีการศึกษาชิ้นสำคัญ เผยแพร่ในวารสารของสมาคมหัวใจแห่งอเมริกา ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2023 คณะผู้วิจัยได้นำเสนอข้อมูลที่รวบรวมมาจาก 30 จังหวัดในประเทศจีน ระหว่างปี 2557-2560 ซึ่งมีเด็กทารกที่คลอดในช่วงเวลานั้นจำนวน 1,434,998 คน พบเกิดโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด 7,335 คน จึงได้ทำการเปรียบเทียบปริมาณ PM2.5 ที่แม่ของทารกดังกล่าวได้รับเข้าไปในช่วงที่อุ้มท้อง ระหว่างกลุ่มที่ทารกปกติกับกลุ่มที่ทารกมีโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด พบว่าค่าเฉลี่ย PM2.5 ที่แม่กลุ่มนี้ได้รับเฉลี่ยในหนึ่งปีคือ 56.51 (อยู่ในช่วงตั้งแต่ 10.95 - 182.13) ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งถือว่าสูงมากที่เดียว
 
โดยทุก ๆ 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรที่ปริมาณฝุ่นสูงขึ้น จะพบโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดเพิ่มขึ้น 2% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเภทผนังกั้นห้องหัวใจมีรูรั่ว คำนวณเป็นความเสี่ยงได้ 1.04 เท่า สำหรับผลร้ายของฝุ่นต่อหัวใจทารกนี้จะพบมากขึ้น ถ้าแม่ได้รับฝุ่นเข้าไปมากตั้งแต่ช่วงก่อนการปฏิสนธิ นอกจากนี้แม่ที่มีอายุน้อยกว่า 35 ปี และแม่ที่มีฐานะยากจน จะพบความเสี่ยงนี้ได้มากขึ้น
 

 
 
 
ล่าสุดนักวิทยาศาสตร์ชาวจีนพบความเชื่อมโยงของ PM 2.5 กับภาวะตายคลอด (Stillbirth) หรือภาวะแทรกซ้อนที่ทำให้ทารกในครรภ์เสียชีวิต ภาวะทารกตายคลอด (stillbirth) หมายถึงภาวะที่ทารกคลอดออกมาแล้วไม่มีอาการแสดงของการมีชีวิต เช่น ไม่มีการหายใจ ไม่มีการเต้นของหัวใจ ไม่มีการเคลื่อนไหว รวมถึงทารกที่คลอดออกมาแล้วตายทันทีด้วย

ในเดือนพฤศจิกายน 2565 มีการตีพิมพ์งานวิจัยผ่านเว็บไซต์ Nature Communications เรื่องมลพิษทางอากาศมีความเชื่อมโยงกับภาวะตายคลอด การวิจัยดังกล่าวได้เก็บรวบรวมข้อมูลตั้งแต่ปี 2541-2559 (ค.ศ.1998 - ค.ศ.2016) จากประเทศรายได้ต่ำและปานกลางครอบคลุม 137 ประเทศทั่วโลก โดย 54 ประเทศในเอเชีย แอฟริกา และลาตินอเมริกา เป็นพื้นที่ที่มีการตายคลอดสูงถึง 98% และเป็นกลุ่มประเทศที่แม่ท้องมีการสัมผัส PM2.5 สูงกว่าระดับ WHO กำหนด

WHO กำหนดระดับการสัมผัส PM 2.5 ที่ไม่อันตรายคือค่าที่ไม่เกิน 5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ในปี 2558 มีสถิติการตายคลอดสูงถึง 2.09 ล้านคน โดยแม่ท้องประมาณ 950,000 คน มีภาวะตายคลอดจากการสัมผัส PM 2.5 เกินระดับ 5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

Tao Xue นักวิทยาศาสตร์จาก Peking University ประเทศจีนผู้ศึกษาความเชื่อมโยงนี้ระบุว่า การสัมผัส PM 2.5 ของแม่ท้องอาจทำให้อนุภาคของมลพิษทำให้เกิดความเสียหายต่อตัวอ่อนที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ซึ่งเป็นอันตรายต่อรกซึ่งทำหน้าที่แลกเปลี่ยนสารอาหารและออกซิเจนจากแม่สู่ลูกTao Xue ให้ความเห็นว่า นโยบายอากาศสะอาดที่จีนและบางประเทศประกาศใช้สามารถป้องกันการตายคลอดได้ นอกจากนี้ การสวมหน้ากากอนามัย การติดตั้งเครื่องฟอกอากาศ การหลีกเลี่ยงการออกไปนอกบ้านขณะที่ค่า PM 2.5 สูง ๆ ก็ช่วยปกป้องแม่ท้องจากฝุ่น PM 2.5 ได้ เช่นกัน

 

ข้อปฏิบัติเมื่อค่า PM2.5 ในขณะนั้น (ค่ารายชั่วโมง) ขึ้นสูงเกินเกณฑ์ 


1. สูงกว่า 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร กลุ่มเสี่ยง (เด็ก คนท้อง ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคปอด-หัวใจ-ไต-สมองเรื้อรัง) งดทำกิจกรรมกลางแจ้ง คนทั่วไปลดและปรับเวลาทำกิจกรรมกลางแจ้ง โดยใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา

2. สูงกว่า 100 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ทุกคนต้องงดทำกิจกรรมกลางแจ้ง ยกเว้นคนที่ต้องทำหน้าที่บริการสาธารณะ ให้ใส่หน้ากาก N95 ตลอดเวลา

3. สูงกว่า 150 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ทุกคนควรอยู่ในตัวอาคารซึ่งติดตั้งระบบระบายและฟอกอากาศที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ยกเว้นคนที่ต้องทำหน้าที่บริการสาธารณะ ให้ใส่หน้ากาก N95 ตลอดเวลา และจำกัดช่วงเวลาปฏิบัติงานไม่ให้เกินครั้งละ 60 นาที

แม่ท้องควรทำอย่างไรเพื่อเลี่ยงฝุ่น PM 2.5 ที่อันตรายต่อทารกในครรภ์

  1. ให้อยู่ภายในอาคารบ้านเรือน หากไม่จำเป็นอย่าออกนอกบ้าน 

  2. ปิดประตูหน้าต่าง ป้องกันฝุ่นเข้า หากปิดไม่ได้ให้ใช้ผ้าชุบน้ำทำเป็นม่านปิดแทน

  3. หากต้องออกนอกบ้าน ให้ใส่หน้ากากที่สามารถกรองฝุ่น PM 2.5 

  4. ให้ดื่มน้ำมาก ๆ  ในช่วงที่มีปัญหาฝุ่นขนาดเล็ก

  5. ผู้หญิงตั้งครรภ์ จะต้องดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสอากาศที่มีฝุ่นละออง

อันตรายจากมลพิษทางอากาศ กระทบทั้งคุณแม่และทารกในครรภ์ค่ะ ดังนั้นคุณแม่ต้องดูแลตัวเองเป็นพิเศษ หลีกเลี่ยงการออกนอกบ้านถ้าไม่จำเป็น หรือถ้าต้องออกไปจริงๆ ควรส่วมใส่หน้ากากอนามัยที่ป้องกันได้จริงนะคะ เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณแม่เอง และเจ้าตัวน้อยในครรภ์นะคะ

ที่มา: 

กระทรวงสาธารณสุข

https://www.theguardian.com/environment/2019/sep/17/air-pollution-particles-found-on-foetal-side-of-placentas-study 

https://edition.cnn.com/2019/03/05/health/100-most-polluted-cities-2018-intl/index.html

https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=pfbid0LmHYaREiSZwrwrtq23Lne9aBycWCXEUiC3GfyKDWgrmSPs7irEPaB2FmrzZ7DMdwl&id=100002870789106

https://www.ahajournals.org/doi/epub/10.1161/CIRCULATIONAHA.122.061245?fbclid=IwAR1Wcgi1eY_63WPzLgNj5rc-OB2uVqu0a41hc6XVXUcrACmQqlu98Zco8Z4

 

คนท้อง 7 เดือน อายุครรภ์ 7 เดือน ลูกในท้องตัวเท่ามะพร้าวและเริ่มหมุนกลับหัวแล้ว

ตั้งครรภ์ 7 เดือน, อายุครรภ์ 7 เดือน, ท้อง 7 เดือน, อาการ ท้อง แข็ง ขณะ ตั้ง ครรภ์ 7 เดือน, ท่าน อน คน ท้อง 7 เดือน, ท้อง 7 เดือน ท้อง เล็ก มาก, อาการ คน ท้อง 7 เดือน, ท้อง 7 เดือน ปวด จิ มิ,ท้อง 7 เดือน ปวด ท้อง หน่วง ๆ, ท้องไตรมาส 3, ท้อง 28 สัปดาห์, อายุครรภ์ 7 เดือน 28 สัปดาห์, พัฒนาการทารกในครรภ์ 7 เดือน 28 สัปดาห์, รักลูก
คนท้อง 7 เดือน อายุครรภ์ 7 เดือน ลูกในท้องตัวเท่ามะพร้าวและเริ่มหมุนกลับหัว

พัฒนาการทารกในครรภ์ 7 เดือน แม่ตั้งครรภ์ 7 เดือน ลูกในท้อง ตัวเท่ามะพร้าว อายุครรภ์ 28 สัปดาห์  ( ปลายเดือนที่ 7 ทางจันทรคติหรือ 6 1/2 เดือนตามปฏิทิน)

  • ความยาวของตัวทารกตั้งแต่หัวจรดเท้าประมาณ 35 เซนติเมตร น้ำหนักตัวประมาณ 1,000 กรัม 
  • ต่อมไขมันเริ่มทำงานแล้ว ช่วงนี้ผิวลูกในท้องจึงเริ่มมีความชุ่มชื่นมากขึ้น
  • ทารกในท้องลืมตาได้เองแล้ว
  • ช่วงนี้พื้นที่ในท้องแม่แคบลงเพราะลูกตัวใหญ่ขึ้น เมื่อลูกเริ่มยืดแขนขาแม่จึงรู้สึกได้ว่าลูกดิ้นแรง ดิ้นบ่อย
  • ทารกในท้องบางคนจะเริ่มหมุนตัวเอาส่วนหัวลงในลักษณะคล้ายเตรียมตัวคลอดแล้ว
  • ทารกมีการกลืนน้ำคร่ำ และฝึกการดูดนมด้วยเช่นกัน สำหรับน้ำคร่ำที่ถูกดูดกลืนเข้าไปจะถูกขับถ่ายออกมาเป็นปัสสาวะประมาณ 500 มล.ต่อวัน

อาการคนท้อง 7 เดือน ร่างกายเปลี่ยนแปลงอย่างไร

  • การตั้งครรภ์เข้าไตรมาสที่ 3 นี้คุณแม่จะเหนื่อยและเพลียง่ายมากเพราะทั้งตัวลูกที่ใหญ่ขึ้น ท้องใหญ่ขึ้น น้ำหนักตัวแม่ที่เพิ่มมากขึ้น เดินนิดหน่อยก็จะเหนื่อย ง่วงนอน
  • แม่เริ่มจะปวดหลังมากขึ้น นอนไม่ค่อยหลับเพราะท้องใหญ่ไม่สบายตัว รวมทั้งลูกอาจจะตื่นมาถีบท้องแม่ตอนกลางคืนทำให้ไม่ค่อยได้นอน ท่านอนคนท้องที่ช่วยให้สบายตัวคือท่านอนตะแคงกอดหมอนข้าง หรือคุณแม่ลองนอนโดยใช้หมอนแม่ท้องช่วยประคองหลัง ประคองท้อง นอนในท่าเอนหลังแบบกึ่งนั่งกึ่งนอน และใช้วิธีงีบหลับระหว่างวันช่วยได้
  • คุณแม่บางคนเริ่มมีน้ำนมไหล คุณแม่อาจเริ่มสังเกตว่ามีน้ำสีขุ่น ๆ ไหลออกมาจากหัวนม น้ำนี้มีความใสกว่าน้ำนม มีรสหวาน เรียกว่า "โคลอสตรัม" (Colostrum) เพื่อให้ทารกได้กินเป็นอาหารในช่วง 3-4 มื้อแรกก่อนที่น้ำนมจริง ๆ จากเต้านมจะไหลออกมานั่นเอง
  • ปัสสาวะบ่อยขึ้น คุณแม่จะเริ่มมีอาการปัสสาวะบ่อยขึ้นมาอีก หลังจากหายไปเมื่อเลย 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์แล้ว คราวนี้อาการปัสสาวะบ่อยนั้นเกิดจากมดลูกที่โต และทารกที่อยู่ภายในเริ่มมีแรงกดต่อกระเพาะปัสสาวะทำให้เกิดอาการดังกล่าว
  • รู้สึกเจ็บจี๊ดตรงอวัยวะเพศ เป็นอาการปกติที่เกิดจากการเคลื่อนตัวของทารกในครรภ์มาที่กระดูกเชิงกราน ทำให้กระทบกับเส้นประสาทในมดลูก จนทำให้คุณแม่รู้สึกเจ็บจี๊ดที่บริเวณหัวหน่าวและอวัยวะเพศนั่นเอง  

อาหารคนท้อง 7 เดือน

  • อาหารที่มีธาตุเหล็ก แคลเซียม วิตามินซี วิตามินดี จะช่วยให้ร่างกายเตรียมพร้อมสำหรับการผลิตน้ำนมแก่ทารก
  • ช่วงนี้วิตามินซีมีความจำเป็นมาก เพราะนอกจากจะช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็กแล้ว ยังช่วยสร้างเม็ดเลือดให้กับทารกด้วย
  • แคลเซียมยังเป็นสิ่งที่จำเป็น เช่นเดียวกับวิตามินเค ที่จะช่วยให้การดูดซึมแคลเซียมดีขึ้นและช่วยบรรเทาอาการปวดหลังให้แก่คุณแม่ได้

 *************************************************

เช็กพัฒนาการทารกในครรภ์ตลอดอายุครรภ์ 9 เดือน ได้ที่นี่

  1. ตั้งครรภ์ 1 เดือน อายุครรภ์ 1 เดือน 
  2. ตั้งครรภ์ 2 เดือน อายุครรภ์ 2 เดือน 
  3. ตั้งครรภ์ 3 เดือน อายุครรภ์ 3 เดือน 
  4. ตั้งครรภ์ 4 เดือน อายุครรภ์ 4 เดือน 
  5. ตั้งครรภ์ 5 เดือน อายุครรภ์ 5 เดือน 
  6. ตั้งครรภ์ 6 เดือน อายุครรภ์ 6 เดือน 
  7. ตั้งครรภ์ 7 เดือน อายุครรภ์ 7 เดือน 
  8. ตั้งครรภ์ 8 เดือน อายุครรภ์ 8 เดือน 
  9. ตั้งครรภ์ 9 เดือน อายุครรภ์ 9 เดือน 

 

คุย เล่นกับลูกในท้อง 10 วิธีกระตุ้นพัฒนาการทารกในครรภ์ ที่คนท้องและว่าที่คุณพ่อทำได้


พัฒนาการทารกในครรภ์, กระตุ้นพัฒนาการทารกในครรภ์, กระตุ้นพัฒนาการลูกในท้อง, การ ส่งเสริม พัฒนาการ ทารก แรก เกิด, วิธีเล่นกับลูกในท้อง, วิธีทำให้ลูกฉลาด ในท้อง, ,ส่องไฟเล่นกับลูกในท้อง, ให้ลูกในท้องฟังเพลง, ลูบท้องเล่นกับลูก, คนท้อง, แม่ตั้งครรภ์, สุขภาพทารกในครรภ์

คุย เล่นกับลูกในท้อง 10 วิธีกระตุ้นพัฒนาการทารกในครรภ์ ที่คนท้องและว่าที่คุณพ่อทำได้

ลูกในท้องก็เล่นแล้วนะคุณแม่ เรามี 10 วิธีกระตุ้นพัฒนาการทารกในครรภ์ให้คุณพ่อคุณแม่มือใหม่เอาไปลองเล่นกระตุ้นลูกกันค่ะ บอกเลยว่าแต่ละกิจกรรมง่าย แต่ก็เวิร์กสุดๆ ที่จะช่วยให้ลูกในท้องได้ขยับเคลื่อนไหว ได้ลองใช้พลัง และความความสนุกอารมณ์ดีตั้งแต่ในท้องแม่ค่ะ... พ่อก็ต้องช่วยนะ

กระตุ้นพัฒนาการทารกครรภ์วิธีที่ 1: การปรับอารมณ์ให้ดีอยู่เสมอ

จะช่วยกระตุ้นลูกรักในครรภ์ การศึกษาทางการแพทย์พบว่า คุณแม่ที่อารมณ์ดีอยู่เสมอจะทำให้ร่างกายมีการหลั่งสารแห่งความสุขที่เรียกว่า เอนดอร์ฟิน ออกมาผ่านไปทางสายสะดือไปยังลูก ทำให้ลูกมีพัฒนาการที่ดีทั้งสมอง (IQ) และอารมณ์ (EQ) รวมถึงตอนคุณพ่ออารมณ์ดี ๆ เข้ามากอดท้องแม่ มาคุยกับลูก เสียงคุณพ่อก็สร้างความอบอุ่นและปลอดภัยมาก ๆ ค่ะ
 

กระตุ้นพัฒนาการทารกครรภ์วิธีที่ 2: ฟังเพลง

เสียงเพลงกระตุ้นจะทำให้เครือข่ายใยประสาทที่ทำงานเกี่ยวกับการได้ยินของลูกมีพัฒนาการดีขึ้น เมื่อลูกคลอดออกมา มีความสามารถในการจัดลำดับความคิดในสมอง รู้สึกผ่อนคลาย และจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้ดี คุณพ่ออาจจะร้องเพลงให้ลูกฟังเอง หรือ หาเพลงให้คุณแม่และลูกฟัง โดยควรจะเปิดเพลงให้อยู่ห่างจากหน้าท้องประมาณ 1 ฟุต และเปิดเสียงดังพอประมาณเพื่อลูกในครรภ์จะได้ฟังเสียงเพลงไปด้วย
 

กระตุ้นพัฒนาการทารกครรภ์วิธีที่ 3: พูดคุยกับลูก

การพูดคุยกับลูกในครรภ์บ่อย ๆ จะช่วยให้ระบบประสาทและสมองที่ควบคุมการได้ยินมีพัฒนาการที่ดีและเตรียม พร้อมสำหรับการได้ยินหลังคลอด คุณพ่อคุณแม่ควรพูดกับลูกบ่อย ๆ ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ประโยคซ้ำ ๆ เพื่อให้ลูกคุ้นเคย
 

กระตุ้นพัฒนาการทารกครรภ์วิธีที่ 4: นวด ลูบหน้าท้อง

การลูบหน้าท้องจะกระตุ้นระบบประสาทและสมองส่วนรับรู้ความรู้สึกของลูกให้มีพัฒนาการดีขึ้น การลูบท้องควรลูบเป็นวงกลม จากบนลงล่างหรือจากล่างขึ้นบน บริเวณไหนก่อนก็ได้
 

กระตุ้นพัฒนาการทารกครรภ์วิธีที่ 5: ส่องไฟที่หน้าท้อง

ลูกในท้องสามารถกระพริบตาตอบสนองต่อแสงไฟที่กระตุ้นได้ตั้งแต่อายุครรภ์ประมาณ 7 เดือน การส่องไฟที่หน้าท้องจะทำให้เซลล์สมองและเส้นประสาทส่วนรับภาพและการมองเห็น มีพัฒนาดีขึ้นและเตรียมพร้อมสำหรับการมองเห็นภายหลังคลอด
 

กระตุ้นพัฒนาการทารกครรภ์วิธีที่ 6: ออกกำลังกาย

เวลาคุณแม่มีการออกกำลังกาย ลูกที่อยู่ในครรภ์ก็จะมีการเคลื่อนไหวตามไปด้วย และผิวกายของลูกจะไปกระแทกกับผนังด้านในของมดลูก ซึ่งจะกระตุ้นระบบประสาทสัมผัสของลูกให้พัฒนาดีขึ้น
 

กระตุ้นพัฒนาการทารกครรภ์วิธีที่ 7: เลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม

เนื้อสมองของลูกน้อยในครรภ์มีองค์ประกอบเป็นไขมัน โดยเฉพาะไขมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว 60% กรดไขมันไม่อิ่มตัวที่ความสำคัญคือ DHA ซึ่งมีมากในอาหารปลาพวกปลาทะเลและสาหร่ายทะเล และ ARA ซึ่งมีมากในอาหารพวกน้ำมันพืช เช่น น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันเม็ดทานตะวัน น้ำมันข้าวโพด เป็นต้น คุณพ่อต้องหาอาหารประเภทนี้ให้คุณแม่กินบ่อย ๆ ลูกก็จะได้ประโยชน์ไปด้วย
 

กระตุ้นพัฒนาการทารกครรภ์วิธีที่ 8: เดินเล่นกระตุ้นทารกในครรภ์

การออกไปเดินเล่นยืดเส้นยืดสายถือเป็นการออกกำลังกายเบา ๆ ยิ่งช่วงเวลาเช้าหรือเย็นที่อากาศดี ไม่ร้อนเกินไปจะช่วยให้สดชื่นจากการรับออกซิเจนได้ด้วย คุณพ่อควรชวนและพาคุณแม่ไปเดินเล่นด้วยกันบ่อย ๆ ค่ะ
 

กระตุ้นพัฒนาการทารกครรภ์วิธีที่ 9: ให้ลูกเตะ

คุณพ่อคุณแม่อาจจะเล่นหรือกระตุ้นลูกด้วยการเอามือลูบ หรือกระตุ้นให้ลูกเตะมากขึ้น เมื่อลูกได้รับการกระตุ้นจากภายนอกก็จะขยับตัวมากขึ้น ช่วยให้ลูกได้ออกกำลังกาย ยืดเส้นยืดสายอยู่ในท้อง และยังทำให้ทราบว่าลูกยังเคลื่อนไหวเป็นปกติอยู่ค่ะ
 

กระตุ้นพัฒนาการทารกครรภ์วิธีที่ 10: อ่านหนังสือ อ่านนิทาน

การอ่านหนังสือคล้ายกับการพูดคุย หรือให้ลูกฟังเพลง เป็นการกระตุ้นการได้ยินของลูก การเล่านิทานหรืออ่านหนังสือให้ลูกฟังช่วยให้แม่ได้ผ่อนคลายและช่วยให้ลูกในท้องจดจำเสียงพ่อแม่ได้ตั้งแต่ในครรภ์

ขอบคุณข้อมูลจาก:
รองศาสตราจารย์นายแพทย์วิทยา ถิฐาพันธ์
ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
 

ตั้งครรภ์ 5 เดือน อายุครรภ์ 5 เดือน ลูกตัวเท่ามะละกอ และ ลูกดิ้นถีบท้องแรง

ตั้งครรภ์ 5 เดือน, อายุครรภ์ 5 เดือน, ตั้งครรภ์ 17 สัปดาห์, ตั้งครรภ์ 18 สัปดาห์, ตั้งครรภ์ 19 สัปดาห์, อายุครรภ์ 20 สัปดาห์, ดูแลคนท้อง 5 เดือน, สุขภาพคนท้อง 5 เดือน, พัฒนาการทารกในครรภ์, อาหารคนท้อง, อาการคนท้อง, ตั้งครรภ์, อายุครรภ์, ลูกเริ่มดิ้น เมื่อไหร่, ลูกถีบแรง, ทารกในครรภ์, อาการ ท้อง แข็ง ขณะ ตั้ง ครรภ์ 5 เดือน, ท้อง 5 เดือนลูกอยู่ตรงไหน, ท้อง 5 เดือนน้ำหนักลูกเท่าไหร่, ท้อง 5 เดือน ลูกดิ้นบ่อยแค่ไหน, ท้อง 5 เดือนนอนหงายได้ไหม, ท้อง 5 เดือนใหญ่แค่ไหน, ท้อง 5 เดือนน้ำหนักขึ้นกี่โล, การนับลูกดิ้น

แม่ตั้งครรภ์ 5 เดือน อายุครรภ์ 5 เดือน ลูกตัวเท่ามะละกอและดิ้นแรง

พัฒนาการทารกในครรภ์ 5 เดือน แม่ตั้งครรภ์ 5 เดือน อายุครรภ์ 5 เดือน หรือ อายุครรภ์ 20 สัปดาห์ (ช่วง อายุครรภ์ 17 สัปดาห์, อายุครรภ์ 18 สัปดาห์, อายุครรภ์ 19 สัปดาห์, อายุครรภ์ 20 สัปดาห์)  (5 เดือนตามจันทรคติ) ลูกในท้องตัวเท่ามะละกอลูกเล็ก และ ลูกดิ้นแรงแล้ว

  • ทารกในครรภ์มีความยาวหัวจรดเท้าประมาณ 25 เซนติเมตร น้ำหนักตัวประมาณ 300 กรัม
  • เริ่มมีผมอ่อนขึ้น เปลือกตายังปิดอยู่ แต่ถึงจะปิดแต่ก็ไวแสง แม่ยังส่องไฟเล่นกันลูกได้
  • เริ่มดิ้น ยืดตัว พลิกตัวหมุนไปมาในท้องแม่จนแม่รู้สึกได้เองแล้วว่าลูกดิ้นหรือถีบเป็นระยะ ๆ (ตอนไหนไม่ถีบคือหลับ) คุณแม่ควรจนบันทึกเวลาในการดิ้นของลูกไว้
  • แยกรสหวานและขมได้ด้วยนะ สืบเนื่องจากปุ่มรับรสที่พัฒนาแล้วตั้งแต่เมื่อเดือนที่ 4 ตอนนี้เลยเริ่มแยกรสได้แล้ว
  • มีฟันน้ำนมเกิดขึ้นในเหงือกแล้ว

อาการคนท้อง 5 เดือน ร่างกายเปลี่ยนแปลงอย่างไร

  • ช่วงนี้น้ำหนักตัวจะขึ้นมาประมาณ 1-1.5 กิโลกรัม ท้องเริ่มใหญ่ขึ้นอย่างเร็วจนอาจทำให้ผิวเริ่มแตกลายได้ คุณแม่ควรใช้เบบี้ออยล์ โลชั่น หรือครีมป้องกันท้องแตก เพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิว
  • คุณแม่จะขี้ร้อนและเหงื่อออกง่าย เพราะต่อมไทรอยด์ต้องทำงานมากขึ้น บางครั้งอาจรู้สึกเหมือนตัวเองหายใจหอบ
  • ปัสสาวะบ่อยมาก เพราะตัวลูกใหญ่ขึ้นจนไปกดทับกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ต้องเข้าห้องน้ำบ่อย ๆ
  • อาจรู้สึกแสบกระเพาะอาหาร เกิดกรดไหลย้อน และท้องผูกได้
  • ตะคริวเริ่มมากบ่อยขึ้น ส่วนใหญ่มักเป็นมากในช่วงกลางคืน หากคุณแม่เป็นตะคริวควรรีบกระดกปลายเท้าขึ้น เพื่อให้กล้ามเนื้อที่จับตัวเป็นตะคริวเหยียดและคลายตัวออก
  • อาการท้องแข็งขณะตั้งครรภ์ 5 เดือน เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ เนื่องจากการขยายตัวของมดลูก ลูกดิ้นแรง หรือแม่กินอาหารอิ่มเกินไป ก็ทำให้ท้องแข็งได้ 
  • ช่วงนี้แม่ท้องอาจจะต้องเลี่ยงท่านอนหงายก่อน เพราะด้วยน้ำหนักท้องที่มากขึ้นอาจทำให้รู้สึกอึดอัด นอนไม่สบาย นอกจากนี้การนอนหงายจะทำให้ความดันโลหิตลดลงจนส่งผลต่อปริมาณเลือดที่จะส่งไปหล่อเลี้ยงหัวใจและทารกในครรภ์

อาหารคนท้องอายุครรภ์ 5 เดือน

  1. เพราะตะคริวมาหนักขึ้น คุณแม่ควรกินอาหารที่มีวิตามินบี 12 มากขึ้น เช่น เนื้อสัตว์ ปลา นม เนย ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ เป็นต้น จะช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง ช่วยบำรุงระบบประสาทส่วนกลาง และส่วนปลายของทารกได้
  2. อย่าลืมเน้นผัก ผลไม้ และน้ำสะอาดที่ควรกินทั้งวัน เพื่อลดและป้องกันอาการท้องผูกที่มักเกิดกับคุณแม่ท้องนั่นเอง

 *************************************************

 

 

เช็กพัฒนาการทารกในครรภ์ตลอดอายุครรภ์ 9 เดือน ได้ที่นี่

  1. ตั้งครรภ์ 1 เดือน อายุครรภ์ 1 เดือน 
  2. ตั้งครรภ์ 2 เดือน อายุครรภ์ 2 เดือน 
  3. ตั้งครรภ์ 3 เดือน อายุครรภ์ 3 เดือน 
  4. ตั้งครรภ์ 4 เดือน อายุครรภ์ 4 เดือน 
  5. ตั้งครรภ์ 5 เดือน อายุครรภ์ 5 เดือน 
  6. ตั้งครรภ์ 6 เดือน อายุครรภ์ 6 เดือน 
  7. ตั้งครรภ์ 7 เดือน อายุครรภ์ 7 เดือน 
  8. ตั้งครรภ์ 8 เดือน อายุครรภ์ 8 เดือน 
  9. ตั้งครรภ์ 9 เดือน อายุครรภ์ 9 เดือน 

ตั้งท้อง 9 เดือน อายุครรภ์ 9 เดือน ลูกตัวเท่าแตงโม และ เตรียมคลอดแล้ว

ท้อง 9 เดือน, ตั้งท้อง 9 เดือน, คนท้อง 9 เดือน, ตั้งครรภ์ 9 เดือน, ครรภ์ 9 เดือน, อายุครรภ์ 9 เดือน, ตั้งครรภ์ 36 สัปดาห์, ตั้งครรภ์ 37 สัปดาห์, ตั้งครรภ์ 38 สัปดาห์, อายุครรภ์ 39 สัปดาห์, อายุครรภ์ 40 สัปดาห์, ดูแลคนท้อง 9 เดือน, สุขภาพคนท้อง 9 เดือน, พัฒนาการทารกในครรภ์, อาหารคนท้อง, อาการคนท้อง, ตั้งครรภ์, อายุครรภ์, ลูกกลับหัวเตรียมคลอด, คลอดลูก, ท้องแก่ ใกล้คลอด, ทารกไม่กลับหัว

ตั้งท้อง 9 เดือน อายุครรภ์ 9 เดือน ลูกตัวเท่าแตงโมและเตรียมคลอดแล้ว

แม่ตั้งครรภ์ 9 เดือน อายุครรภ์ 9 เดือนพร้อมคลอดลูกแล้วนะ ก่อนคลอดลูกเรามาเช็กพัฒนาการลูกในครรภ์ 9 เดือน กันค่ะ ว่าพร้อมออกมาลืมตาดูโลกมาน้อยแค่ไหน และเช็กไปถึง คุณแม่ท้องแก่ ใกล้คลอด ด้วยว่าจะต้อง เตรียมความพร้อม อะไรบ้างใน การต้อนรับเบบี๋ที่กำลังจะคลอด

พัฒนาการทารกในครรภ์ 9 เดือน ลูกในท้องตัวเท่าแตงโม

(อายุครรภ์ 36 สัปดาห์ - อายุครรภ์ 40 สัปดาห์ ปลายเดือน 10 ทางจันทรคติ หรือ 9 เดือนกับ 1 สัปดาห์ตามปฏิทิน)

  • ทารกในครรภ์มีความยาวตั้งแต่หัวจรดเท้าประมาณ 50 ซม. น้ำหนักตัวประมาณ 3,000 - 3,500 กรัม
  • ผิวลูกจะเป็นสีชมพู เรียบ ไม่ย่นมากเหมือนเดือนก่อน ๆ
  • ผมยาวประมาณ 3-4 เซนติเมตร
  • ปอดทำงานได้ดี และสามารถทำงาน หายใจได้เองเมื่อคลอดออกมาแล้ว
  • ทารกในครรภ์จะอยู่ในท่าพร้อมคลอด คือ กลับตัวเอาหัวลง ซึ่งอาจะมีทารกบางคนที่ไม่กลับหัว แต่จะอยู่ใน "ท่าก้น" คือเอาก้นคลอด ท่านี้ค่อนข้างอันตราย ดังนั้นเมื่อทารกไม่กลับหัว คุณหมอและพยาบาลจะมีท่าและการนวดท้องที่จะช่วยให้ลูกกลับหัวได้ หรือหากมีความเสี่ยงมากอาจจะต้องผ่าคลอดแทนการคลอดธรรมชาติ ขึ้นอยู่กับขนาดตัวของลูก และความแข็งแรงร่างกายของแม่ค่ะ

ท้อง 9 เดือน, ตั้งท้อง 9 เดือน, คนท้อง 9 เดือน, ตั้งครรภ์ 9 เดือน, ครรภ์ 9 เดือน, อายุครรภ์ 9 เดือน, ตั้งครรภ์ 36 สัปดาห์, ตั้งครรภ์ 37 สัปดาห์, ตั้งครรภ์ 38 สัปดาห์, อายุครรภ์ 39 สัปดาห์, อายุครรภ์ 40 สัปดาห์, ดูแลคนท้อง 9 เดือน, สุขภาพคนท้อง 9 เดือน, พัฒนาการทารกในครรภ์, อาหารคนท้อง, อาการคนท้อง, ตั้งครรภ์, อายุครรภ์, ลูกกลับหัวเตรียมคลอด, คลอดลูก, ท้องแก่ ใกล้คลอด, ทารกไม่กลับหัว

อ่านบทความ : อาการใกล้คลอดมาแล้วแต่ลูกไม่ยอมกลับหัว แม่และหมอต้องท้องยังไง

 

อาการคนท้อง 9 เดือน ร่างกายเปลี่ยนแปลงอย่างไร

  • เมื่อคุณแม่มีอาการท้องลด จะรู้สึกสบายบริเวณลิ้นปี่และหายใจดีขึ้น ซึ่งเกิดจากการที่ศีรษะของทารกลงไปอยู่ในช่องเชิงกราน
  • มีอาการเจ็บเตือนก่อนคลอดบ่อยขึ้น
  • เดือนนี้คุณแม่จะมีความวิตกกังวลมากขึ้น ทำให้นอนไม่หลับ เนื่องจากท้องที่โตมากขึ้น อึดอัดไม่สบายตัว ดังนั้น หากพอมีเวลาคุณแม่ควรงีบหลับบ้างจะช่วยให้คุณแม่รู้สึกสดชื่น และอย่าลืมหนุนเท้าให้สูงกว่าลำตัวเวลานอนด้วยนะคะ

การดูแลสุขภาพอายุครรภ์ 9 เดือน

1. หายใจล้างปอด คือการสูดหายใจลึก ๆ โดยใช้มือข้างหนึ่งวางไว้ที่ท้อง ถ้าหายใจถูกต้อง ท้องจะต้องป่อง จากนั้นผ่อนลมหายใจออกทางปากช้าๆ
 

2. หายใจระดับอก คือ การสูดหายใจถึงแค่ระดับอก โดยใช้มือข้างหนึ่งวางไว้ที่อก ถ้าหายใจถูกต้อง อกจะต้องพองขึ้น จากนั้นผ่อนลมหายใจออกทางปากช้าๆ
 

3. หายใจระดับคอ คือ การสูดหายใจตื้น ๆ เร็ว ๆ โดยหายใจถึงแค่ระดับคอ แล้วหายใจออกทางปากถี่ ๆ ซึ่งการหายใจแต่ละระดับจะช่วยให้คุณแม่ผ่อนคลายและบรรเทาความเจ็บปวดในระยะต่าง ๆ ของการคลอด
 

4. เมื่อมดลูกเริ่มหดรัดตัวสังเกตจากการมีอาการปวดท้องนำมาก่อน ให้คุณแม่หายใจล้างปอด 1 ครั้ง จากนั้นหายใจระดับอก นับ 1-2-3 แล้วค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกทางปาก นับ 1-2-3 ทำเช่นนี้ 6-9 ครั้งต่อนาที
 

5. เมื่อมดลูกคลายตัวเต็มที่ให้หายใจล้างปอดอีก 1 ครั้ง สำหรับการหายใจแบบ ตื้น ๆ ถี่ ๆ จะใช้ในช่วงที่อยากเบ่งเหลือเกิน แต่ปากมดลูกยังไม่เปิดเต็มที่ (ซึ่งพยาบาลมักจะบอกว่า “อย่าเพิ่งเบ่ง”) โดยให้คุณแม่หายใจทางปาก เข้านับ 1 ออกนับ 2 ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าปากมดลูกจะเปิดนะคะ

 *************************************************

เช็กพัฒนาการทารกในครรภ์ตลอดอายุครรภ์ 9 เดือน ได้ที่นี่

  1. ตั้งท้อง 1 เดือน อายุครรภ์ 1 เดือน 
  2. ตั้งท้อง 2 เดือน อายุครรภ์ 2 เดือน 
  3. ตั้งท้อง 3 เดือน อายุครรภ์ 3 เดือน 
  4. ตั้งท้อง 4 เดือน อายุครรภ์ 4 เดือน 
  5. ตั้งท้อง 5 เดือน อายุครรภ์ 5 เดือน 
  6. ตั้งท้อง 6 เดือน อายุครรภ์ 6 เดือน 
  7. ตั้งท้อง 7 เดือน อายุครรภ์ 7 เดือน 
  8. ตั้งท้อง 8 เดือน อายุครรภ์ 8 เดือน 
  9. ตั้งท้อง 9 เดือน อายุครรภ์ 9 เดือน 

 

พัฒนาการสมองทารกในครรภ์เก่งยิ่งกว่าคอมพิวเตอร์อีกนะแม่

 

พัฒนาการสมองทารกในครรภ์

พัฒนาการสมองทารกในครรภ์เก่งยิ่งกว่าคอมพิวเตอร์อีกนะแม่

สมองของลูกทารกในท้องแม่พัฒนาได้ไว และสามารถทำงานได้แล้วตั้งแต่ยังไม่คลอดเลยนะคะ สำหรับใครที่ท้องอยู่ลองมาเช็กกันหน่อยว่าแต่ใหญ่แค่ไหน โตยังไง และพัฒนายังไง คุณแม่ต้องรู้ และเรามีวิธีกระตุ้นพัฒนาการทางสมองลูกได้ตั้งแต่ในท้องมาแนะนำด้วย

พัฒนาการสมองของทารกในครรภ์ตลอด 9 เดือน

  1. พัฒนาการสมองของทารกในครรภ์เดือนที่ 1  
    หลังการปฏิสนธิประมาน 18 วัน เนื้อเยื่อสมองเริ่มปรากฏขึ้น เริ่มแรกจะเป็นเพียงแผ่นบางๆ ค่อยโค้งเข้าหากันเหมือนหลอดกาแฟ ในระยะต่อมาก็จะโป่งพองและกลายเป็นสมอง ในแต่ละส่วน

  2. พัฒนาการสมองของทารกในครรภ์เดือนที่ 2 และ 3 
    เซลล์สมองเริ่มมีการแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว ประมาณ 250,000 เซลล์ทุกๆ นาที ซึ่งสามารถแบ่งแยกระหว่างสมองและไขสันหลังได้ชัดเจน และช่วงนี้เริ่มมีเส้นใยประสาทโผล่ออกมาให้เห็นแล้วค่ะ

  3. พัฒนาการสมองของทารกในครรภ์เดือนที่ 4  
    ระบบสมองของลูกเริ่มมีความซับซ้อนมากขึ้น  สมองของลูกในระยะนี้จะมีขนาดเท่ากับเมล็ดถั่วแขกค่ะ เส้นใยประสาทเริ่มมีมันสมองมาล้อมรอบ ซึ่งช่วงนี้ประสาทสัมผัส หู ตา ของลูกน้อยเริ่มทำงานได้แล้ว

  4. พัฒนาการสมองของทารกในครรภ์เดือนที่ 5 และ 6 
    คุณแม่คงจะรู้สึกกันแล้วใช่ไหมค่ะว่าลูกกำลังดิ้นอยู่ นั่นเป็นเพราะเซลล์สมองได้เริ่มเคลื่อนย้ายตัวเองไปยังตำแหน่งของเส้นประสาทอย่างทั่วถึง ลูกเริ่มรับรู้ประสาทสัมผัสต่างๆ เช่น รสชาติอาหารของคุณแม่ หรือการเริ่มได้ยินเสียงพูดคุย เพราะ ระบบประสาทของลูกนั้นมีการพัฒนาจนเริ่มที่จะสมบูรณ์แล้ว

  5. พัฒนาการสมองของทารกในครรภ์เดือนที่ 7 
    สมองของลูกจะเริ่มมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือนนี้ค่ะ เซลล์สมองเพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกับเส้นใยและจุดเชื่อมต่างๆ

  6. พัฒนาการสมองของทารกในครรภ์เดือนที่ 8 และ 9 
    ตอนนี้เซลล์สมองของลูกสามารถทำงานประสานกันได้แล้วค่ะ อีกทั้งรอยหยักของสมองเริ่มเกิดขึ้นแล้ว ซึ่งรอยหยักของสมองนี้เองที่เป็นตัวเพิ่มฟื้นที่ให้กับสมองของลูกน้อย

สมองมีเซลล์สมองอยู่ประมาณ 1 แสนล้านเซลล์ ไม่มีการสร้างเพิ่มเติมอีก แต่เราสามารถสร้างเส้นใยประสาทได้โดยการกระตุ้นการเรียนรู้และส่งเสริมประสบการณ์ให้กับลูกได้ค่ะ

 

อาหารบำรุงสมองทารกในครรภ์

เคล็ดลับส่งเสริมและกระตุ้นพัฒนาการทางสมองให้ลูกในท้อง

  • คุณแม่ควรวางแผนตั้งครรภ์และกินกรดโฟลิกก่อนการตั้งครรภ์ล่วงหน้าประมาณ 1-3 เดือนเป็นอย่างน้อย เพื่อไม่ให้ร่างกายขาดกรดโฟลิก คุณแม่ควรกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะผักใบเขียว เช่น ผักคะน้า ผักโขม ควบคู่กับการกินโฟลิกชนิดเม็ด
     
  • กินอาหารที่มีกรดโฟลิกหรือ"โฟเลต" ที่มีความสำคัญในการสังเคราะห์ DNA ซึ่งเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของเซลล์ต่างๆ และมีบทบาทต่อการสร้างสารคาร์บอน อันเป็นกลไกการทำงานของดีเอ็นเอในการถ่ายทอดคำสั่งทางพันธุกรรมเพื่อสร้างโปรตีนชนิดต่างๆ และที่สำคัญ กรดโฟลิกมีความจำเป็นต่อการสร้างเซลล์ประสาทและเซลล์สมองของลูกอย่างมาก