
ว่าที่คุณพ่อจะต้องดูแลแม่ตั้งครภ์เรื่องไหนบ้าง เพื่อให้แม่ท้องผ่อนคลายและสุขภาพกายใจดีที่สุดก่อนวันคลอด เรามี 10 เรื่องที่คุณพ่อต้องดูแลแม่ท้องมาแนะนำค่ะ
10 เรื่องที่พ่อต้องรู้และช่วยได้ก่อนพาคุณแม่ไปคลอดลูก
1. ช่วยดูแลและเตรียมอาหารแม่ตั้งครรภ์
คุณพ่อต้องดูแลตั้งแต่ช่วงแรก ๆ โดยเฉพาะการช่วยให้คุณแม่ได้กินอาหารครบ 5 หมู่อย่างเพียงพอ และในช่วงไตรมาสสุดท้ายต้องดูแลเรื่องอาหารอย่างเหมาะสม เพราะช่วงท้ายคุณแม่ต้องระวังเรื่องน้ำหนักเกิน ควรกินอาหารที่สะอาด ระวังเชื้อโรคและการติดเชื้อ ยิ่งถ้าติดเชื้อทางเดินอาหาร จะกระตุ้นให้คลอดก่อนกำหนดได้
2. ชวนแม่ตั้งครรภ์ออกกำลังกาย
ก่อนคลอดคุณแม่อาจไม่สะดวกมากนัก แต่ก็ยังออกกำลังกายเบา ๆ เช่น การยืดเหยียดกล้ามเนื้อ แขน หลัง ขา เพื่อลดอาการปวดเมื่อยได้ โดยคุณพ่ออาจจะออกกำลังกายเป็นเพื่อน หรือคอยนวดหลังส่วนล่างนวดคอ บ่า ไหล่ เพื่อคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ ช่วยเตรียมน้ำอุ่นสำหรับแช่เท้า นวดขา ก็จะช่วยลดอาการขาบวมของคุณแม่ได้เป็นอย่างดี
3. คอยสังเกตอาการผิดปกติของแม่ตั้งครรภ์
คุณแม่มือใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์ ต้องอาศัยการสังเกตจากคุณพ่อร่วมด้วย โดยอาการผิดปกติที่บ่งบอกถึงการคลอด ได้แก่ ท้องแข็ง เจ็บครรภ์คลอด น้ำเดิน คุณพ่ออาจปรึกษาคุณหมอให้ชัดเจนว่าอาการแบบไหนถึงจะเรียกว่าน้ำเดิน หรือมีมูกเลือดออกทางช่องคลอด บ่งบอกถึงภาวะที่ปากมดลูกเปิด เป็นต้น
นอกจากนี้คุณพ่อต้องคอยสังเกต ถ้าลูกดิ้นน้อย ลูกไม่ดิ้น หรือคุณแม่มีอาการผิดปกติเกี่ยวกับโรคแทรกซ้อน หรือโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดัน ไขมัน ลมชัก SLE ฯลฯ เพราะช่วงท้ายของการตั้งครรภ์จะมีความเสี่ยงสูง การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายหรือฮอร์โมนจะแปรปรวน ถ้าโรคเหล่านี้กำเริบขึ้นมาอาจส่งผลต่อชีวิตของคุณแม่และลูกได้
4. หากิจกรรมคลายเครียด ผ่อนคลายให้แม่ตั้งครรภ์
นอกจากคอยสังเกตอาการผิดปกติแล้ว ควรถามไถ่อาการ ชวนคุณแม่ทำกิจกรรมร่วมกันเพื่อผ่อนคลายทางอารมณ์ เช่น ทำกับข้าว ดูหนัง ฟังเพลง ด้วยกันที่บ้าน (เพราะคุณแม่อาจจะไม่สะดวกออกไปข้างนอก) เป็นต้น
5. พูดคุยกับคุณแม่และลูกในท้อง
นอกจากจะผ่อนคลายอารมณ์คุณแม่แล้วยังเป็นวิธีกระตุ้นพัฒนาการของลูกน้อยได้ด้วย
6. เตรียมตัวก่อนคลอด
เริ่มจากปรึกษาคุณหมอเกี่ยวกับวิธีการคลอด แม้คุณแม่จะเลือกผ่าคลอดหรือคลอดเองตามธรรมชาติ เนื่องจากทั้ง 2 แบบมีการเตรียมตัวและการดูแลที่แตกต่างกัน หากคุณแม่ต้องการจะคลอดเองตามธรรมชาติ ต้องเตรียมตัวเข้าอบรม Mother Class ต้องฝึกการหายใจ ฝึกเบ่งคลอด เป็นต้น
7. คุณพ่อควรมีส่วนร่วมในการพิจารณาโรงพยาบาล
ไม่ว่าจะของคุณแม่ที่มีโรคประจำตัว หรือของลูกน้อยหลังคลอด การพิจารณาโรงพยาบาลที่พร้อม เลือกทีมแพทย์ที่รู้สึกมั่นใจจะช่วยให้ผ่อนคลายขึ้น
8. การเดินทางไปคลอดลูก
ศึกษาแผนที่ เส้นทางลัด เพื่อหลีกเลี่ยงรถติด หากคุณแม่ปวดท้องคลอดในชั่วโมงเร่งด่วน รวมถึงการติดต่อโรงพยาบาล คุณพ่อต้องเตรียมเบอร์โทรโรงพยาบาลหรือเบอร์ติดต่อคุณหมอให้พร้อม บางครั้งอาจนอนรอคลอดที่โรงพยาบาลในช่วง 1-2 วันแรกก็ได้ และต้องไม่ลืมเอกสารสำคัญอย่างบัตรประชาชน และทะเบียนบ้าน ควรถ่ายสำเนาเก็บไว้พร้อมกระเป๋าเตรียมคลอดของคุณแม่ เพื่อป้องกันการลืม หรือเสียเวลาค้นหาในช่วงปวดท้องคลอด
9. คนดูแลใกล้คลอด
คุณพ่อควรอยู่ดูแลคุณแม่อย่างใกล้ชิดตลอดเวลา หากมีธุระเร่งด่วนหรือไม่สามารถทำได้ ควรให้ญาติสนิท เช่น คุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยาย พี่น้อง มาช่วยดูแลคุณแม่อย่างใกล้ชิด
10. เตรียมของใช้เด็กแรกเกิดและสภาพสิ่งแวดล้อมสำหรับลูกแรกเกิด
ของใช้เด็กแรกเกิด ไม่ว่าจะเป็น อุปกรณ์อาบน้ำ เสื้อผ้า ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว สำลี รวมไปถึงพื้นที่ที่ลูกจะนอนหลับได้สบาย ไม่มีแสงและเสียงรบกวน ควรเตรียมไว้อย่างน้อย 1-2 เดือนก่อนคลอดนะคะ เพราะเราจะได้มีเวลาเลือกและจัดได้พร้อมที่สุด
สำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่อาจจะตื่นเต้นและดูฉุกละหุกไปบ้าง แต่ถ้าเตรียมตัวมาดีจะช่วยให้ผ่านช่วงเวลานี้ไปได้อย่างสบาย ๆ ค่ะ
เมื่อถึงเวลาพาลูกทารกแรกเกิดกลับบ้าน นี่คือสิ่งที่พ่อแม่ต้องทำค่ะ เพื่อให้ทราบขั้นตอนในการดูแลลูกทารกและดูแลตัวเองไปพร้อมกัน
6 เรื่องที่พ่อแม่ควรทำ เมื่อพาลูกทารกแรกคลอดกลับบ้าน
หลังจากคลอดลูกเสร็จแล้ว คุณแม่จะมีเวลาพักฟื้นร่างกายที่โรงพยาบาลอยู่สักระยะ ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 2-3 วัน (แม่ที่ผ่าคลอดจะใช้เวลาพักฟื้นนานกว่าประมาณ 3-4 วันหรือเกือบ ๆ 1 อาทิตย์) จากนั้นจึงจะพาลูกกลับบ้านได้ แน่นอนว่าตอนที่อยู่โรงพยาบาลแม่มือใหม่จะมีพยาบาลคอยให้คำแนะนำช่วยเหลือ แต่เมื่อกลับบ้านแล้ว พ่อแม่มือใหม่ก็กลายเป็นพ่อแม่มือโปรได้ค่ะ แค่ทำตาม 6 วิธีนี้
- จดบันทึกเวลาลูกกินนม
เด็กแรกเกิดจะมีขนาดความจุกระเพาะไม่มาก ถ้ากินนมแม่ซึ่งย่อยเร็ว เขาจะนอนไม่เกิน 3-4 ชั่วโมง ถ้าลูกนอนนานกว่า 4 ชั่วโมง ต้องปลุกและควรจดบันทึกเวลาและปริมาณที่เขากินนมด้วย นอกจากนี้ควรบันทึกจำนวนครั้งของการอึและฉี่ของลูกควบคู่กันด้วย เพราะจะเป็นตัวช่วยทางอ้อมให้เรารู้ว่าลูกได้น้ำนมเพียงพอหรือไม่
- ดูสีอึและฉี่ของลูก
ควรหมั่นสังเกตสีและจำนวนครั้งที่ลูกถ่ายหนัก ถ่ายเบา เพราะเด็กแรกเกิดที่ได้กินนมเพียงพอจะฉี่เปียกชุ่มผ้าอ้อม 4-6 ครั้งต่อวัน และสีไม่เข้มมาก ส่วนช่วง 2-3 วันแรกอึของลูกอาจจะเป็นสีออกเขียว แต่วันที่ 4 มักจะเริ่มเขียว ปนเหลือง จากนั้นจะเป็นสีเหลืองทอง (ในกรณีที่กินนมแม่) แต่หากสังเกตแล้วผิดไปจากนี้ ให้สันนิษฐานเบื้องต้นว่าลูกอาจจะมีปัญหาการกินนมหรือปัญหาสุขภาพที่พ่อแม่ต้องพาไปหาหมอค่ะ
- รู้เวลานอน
ตอนอยู่โรงพยาบาลเด็กอาจยังไม่เคยอยู่ในห้องที่ปิดไฟในเวลากลางคืน ดังนั้นเมื่อกลับบ้านพ่อแม่ช่วยให้ลูกเข้าใจเวลากลางวันกลางคืนได้ โดยกลางคืนเมื่อตื่นก็ให้ลูกกินนมเพียงอย่างเดียวและเปิดไฟสลัวๆ ส่วนกลางวันมีสว่างควรให้ลูกได้กิจกรรมบ้าง เช่น พูดคุย เล่นกับลูก จับแขนขาขยับไปมา เป็นต้น ที่สำคัญควรให้ลูกนอนหลับบนที่นอนไม่ใช่บนตัวพ่อแม่ กรณีที่ที่นอนเย็นควรต้องทำที่นอนให้อุ่นก่อน เพราะเด็กบางคนไม่ยอมนอนบนที่นอนเย็น ๆ ต่างจากตัวของพ่อกับแม่ที่อบอุ่นกว่า
- ตอบสนองทุกครั้งที่ลูกร้อง
เพราะลูกยังพูดไม่ได้ จึงใช้การร้องไห้สื่อสารกับเรา ซึ่งลูกอาจจะร้องเพราะหิว เพราะเปียก หรือเพราะเบื่อ พ่อแม่จึงควรตอบสนองการร้องไห้ของลูกทุกครั้ง แต่ถ้าลูกร้องไห้แบบที่เราไม่รู้สาเหตุ ลองห่อตัวเจ้าตัวเล็กให้กระชับเหมือนตอนอยู่ที่โรงพยาบาล เพราะเขาอาจยังไม่ชินกับการอยู่ที่กว้าง จึงรู้สึกอ้างว้างไม่เหมือนตอนอยู่ที่แคบ ๆ ในท้องแม่
- สร้างความคุ้นเคยกับพี่คนโต
หากมีลูกคนโตอยู่ด้วย การที่แม่จากบ้านไปหลายวัน เมื่อกลับมาแม่ควรมีอ้อมกอดสำหรับพี่ หรือลูกคนโตด้วย โดยมอบหมายหน้าที่อุ้มน้องเข้าบ้านให้พ่อแทน และเมื่อใช้เวลาเต็มที่แล้วจึงค่อย ๆ แนะนำให้พี่รู้จักน้องเล็ก ให้พี่ช่วยหยิบของให้น้องบ้าง ก็จะช่วยให้พี่น้องเกิดความคุ้นเคยที่จะอยู่ร่วมกัน
- คุณแม่อย่าลืมดูแลตัวเองด้วย
เพราะการดูแลลูกเป็นงานที่ต้องทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจ ดังนั้น คุณแม่เองจึงต้องดูแลตัวเองให้พร้อมเสมอด้วย เมื่อมีลูกแม่มักจะเอาเวลาที่มีทั้งหมดให้กับลูก ฉะนั้น เรื่องงานบ้านหรือสิ่งละอันพันละน้อยต่าง ๆ ในบ้าน หากมีคนคอยช่วยเหลือบ้าง ก็จะทำให้คุณแม่มีเวลาพักผ่อนได้อยู่กับเจ้าตัวเล็กได้เต็มที่ โดยไม่เครียดค่ะ
ถึงแม้การดูแลลูกวัยเบบี๋จะเป็นงานที่ทั้งหนักและเหนื่อย แต่เพียงแค่เห็นรอยยิ้มเบิกบาน และแววตาแสนสุขของลูกแล้ว เชื่อว่าเหนื่อยสักแค่ไหนคุณพ่อคุณแม่ก็พร้อมสู้ค่ะ
ก่อนซื้อ Ezerra Cream ดูให้ดีนะแม่จ๋า ระวังของปลอม!
เรามักได้ยินข่าวเกี่ยวกับการจับยึดและทำลายเครื่องสำอางปลอมอยู่บ่อย ๆ ซึ่งผลิตภัณฑ์บางตัวนั้นนอกจากจะไม่ได้รับอนุญาตผลิตและจำหน่ายอย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้ว บางครั้งเครื่องสำอางปลอมเหล่านั้นยังสุ่มเสี่ยงทำให้เกิดอันตรายกับผู้ใช้ด้วย
โดยเฉพาะเครื่องสำอางที่ได้รับความนิยม หรือนำเข้าจากต่างประเทศนั้นมีโอกาสถูกปลอมแปลงเยอะมากค่ะ เพราะฉะนั้นเราต้องรู้เท่าทันจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อ อย่างเช่น อีเซอรร์ร่า ครีมเป็นอีกตัวหนึ่งที่มักมีคนปลอมฉลากบรรจุภัณฑ์เยอะมาก ดังนั้นรักลูกจึงมีวิธีแยกแยะของจริงกับของปลอมมาฝากกันค่ะ
วิธีสังเกตอีเซอร์ร่าครีมของแท้
อีเซอร์ร่าครีมของแท้จะพิมพ์ฉลากเป็นภาษาไทย มีเลขที่ใบรับแจ้งชัดเจน

ในขณะที่ของปลอมนั้นจะพิมพ์สติ๊กเกอร์ฉลากภาษาไทยปิดทับ และบางครั้งก็ไม่มีเลขที่รับแจ้งค่ะ

แต่ถ้าจะให้ชัวร์ว่าเป็นของแท้จริง ๆ ตัดปัญหาเรื่องกลัววจะเจอของปลอม
สอบถามรายละเอียดและสั่งซื้อได้ที่...
ของใช้ของลูกมีอายุการใช้งานของมัน บางอย่างขึ้นอยู่กับการใช้งาน และการเก็บรักษา ของใช้บางอย่างสภาพอาจดูใหม่ก็จริง แต่เมื่อถึงเวลาก็ควรเปลี่ยนค่ะ เพราะคุณภาพของมันอาจจะเสื่อมลงแล้วก็ได้
ของใช้เด็กทารก ของใช้เด็กเล็กมีวันหมดอายุ มาเช็กวันหมดอายุของใช้เด็กกัน
- จุกนม: อยู่ได้ 3 เดือน
ส่วนใหญ่แล้วเมื่อลูกโตขึ้นคุณพ่อคุณแม่ก็จะเปลี่ยนขนาดจุกนมตามช่วงอายุของลูกอยู่แล้วซึ่งก็ไม่เกิน 3 เดือน แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่สีซีดลง จุกนมบวม เนื้อยางนิ่ม หรือของจุกนมสีเปลี่ยน นั่นแสดงว่าจุกนมเริ่มเสื่อมสภาพแล้ว ควรเปลี่ยนให้เจ้าตัวเล็กทันทีค่ะ
- ขวดนม: อยู่ได้ 6 เดือน - 3 ปี
สำหรับขวดนมที่ยังไม่ผ่านการใช้งานนั้นจะมีอายุการเสื่อมสภาพ 3 ปี แต่เมื่อถูกนำมาใช้แล้ว โดยทั่วไปก็จะมีอายุการใช้งานเพียง 6 เดือน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับวิธีการทำความสะอาดและการดูแลรักษาด้วย ยิ่งขวดนมที่ถูกความร้อนบ่อยๆ มีรอยร้าว ไม่ใสดังเดิมแล้ว ก็ควรจะเปลี่ยนใหม่ทันที
- โลชั่น แชมพู สบู่ และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด: อยู่ได้ 2 ปี
โดยทั่วไปแล้วเครื่องสำอางจะมีอายุการใช้งานอยู่ที่ 2 ปีนับจากวันผลิต แต่ส่วนใหญ่แล้วสินค้าที่ใช้ประจำอย่างโลชั่น สบู่ แชมพู และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดนั้น เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้กันประจำอยู่แล้ว จึงมักไม่ค่อยมีปัญหาในเรื่องของการเสื่อมสภาพหรือหมดอายุ แต่ถ้าหากเกรงว่าจะใช้ไม่ทันก็ให้ซื้อขนาดเล็ก หรือกะปริมาณที่เหมาะสมจะดีกว่า
- ผ้าอ้อมสำเร็จรูป: อยู่ได้ 3 ปี
ถึงจะมีอายุในการเก็บรักษานานที่สุด แต่ก็ต้องระวังการเสื่อมสภาพของแถบกาวหรือยางยืดด้วย ระวังเรื่องการเก็บรักษา ไม่ควรให้โดนความร้อนหรืออยู่ใกล้ความชื้นมากเกินไป เพราะอาจทำให้มีเชื้อราได้ ขณะเดียวกันก็ควรเก็บในหีบห่อมิดชิด เพื่อป้องกันฝุ่นและแมลงเข้าไปในห่อ
เพราะความปลอดภัยเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเด็กเล็ก ของใช้ต่างๆ ต้องเช็กสภาพการใช้งานและวันหมดอายุให้ดีเลยนะคะ เพราะถ้าใช้มานานแล้ว หรือซื้อมาทิ้งไว้นานแล้วไม่ได้ใช้จนไม่แน่ใจว่าหมดอายุหรือเปล่า อาจจะต้องตัดสินใจทิ้งแล้วซื้อของใหม่ เพื่อความปลอดภัยของลูกค่ะ

คุณแม่ที่กำลังตามหาสบู่อาบน้ำเด็กที่อ่อนโยนที่สุดสำหรับลูก... มากองกันตรงนี้ค่ะ เรามีผลิตภัณฑ์ใหม่จาก DMP มาบอกต่อให้คุณแม่พุ่งตัวไปซื้อ หรือ CF ตามช่องทางออนไลน์ค่ะ DMP Pure Nature Organic pH5.5 สูตรผสาน 3 พลังความชุ่มชื้น Triple Moisture บอกเลยว่าถ้าดูรีวิวจบ “แม่ต้องซื้อ”
ชี้เป้า DMP Pure Nature Organic pH5.5 สบู่อาบน้ำเด็กที่แม่ถามหามากที่สุดในเวลานี้
แม่แก๊ง DMP ทราบกันดีอยู่แล้วค่ะว่า ผลิตภัณฑ์ DMP ขึ้นชื่อมากเรื่องความชุ่มชื้น ดูแลผิวอย่างอ่อนโยน และมี pH5.5 ซึ่งเป็นค่าที่เหมาะกับผิวลูกที่สุด แต่!!! ตอนนี้สภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปมาก ทั้งความร้อน ฝุ่นควัน สิ่งสกปรก เราต้องดูแลผิวลูกให้มากกว่าเดิม โดยเฉพาะผิวลูกเล็กที่ชั้นไขมันอาจยังไม่มากพอที่จะสร้างความชุ่มชื้นและต่อสู่กับมลพิษเหล่านั้นได้ DMP Pure Nature Organic pH5.5 สูตร Triple Moisture 100% Organic จึงตอบโจทย์มากสำหรับเวลานี้ค่ะ


Triple Moisture (ทริปเปิ้ล มอยเจอร์) 100% Organic* ใน DMP มีอะไรบ้าง มาดูกันค่ะ
- ออร์แกนิค อะโวคาโด ออยล์*
- เพียว อโลเวร่า
- ออร์แกนิค คาโมมายล์
แค่ 3 ส่วนผสมนี้ก็กินขาดเรื่องการเพิ่มความชุ่มชื้นยาวนาน ผิวเนียนนุ่มแล้วจ้ะแม่จ๋า แถมยังช่วยทำให้ผิวแลดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ระคายเคืองแม้ผิวบอบบาง... อะ คุณสมบัตินี้แม่ใช้ด้วยได้นะ ขวดใหญ่ขวดเดียวใช้ทั้งแม่ทั้งลูกกันไปเลย และคุณสมบัติที่ขาดไม่ได้ คือ pH-balanced 5.5 รักษาสมดุล ปกป้องน้ำหล่อเลี้ยงตามธรรมชาติของผิว ปราศจาก 7 สารระคายเคืองผิว ผ่านการทดสอบการแพ้และไม่ระคายเคืองต่อดวงตา... ครบ จบในขวดเดียวทั้งสระผมและอาบน้ำสมชื่อ Hair & Body Baby Bath
เรามาซูมดูเนื้อสบู่ DMP Pure Nature Organic pH5.5 กันหน่อยว่าเป็นยังไง

สบู่เหลวเป็นสีใส หอมละมุนเหมือนกับกลิ่นตัวของเด็กน้อย

ฟองนุ้มนุ่ม แม้จะกดสบู่นิดเดียวแต่ก็มีฟองออกมาเยอะจนอยากถูสบู่ไปเรื่อย ๆ ล้างออกง่าย ไม่แห้งตึง รู้สึกชุ่มชื้นหลังล้างมือ แถมกลิ่นหอมยังคงติดมืออยู่เลยแม่
DMP Pure Nature Organic pH5.5 สูตร Triple Moisture เหมาะมากกับคุณแม่ที่มีลูกเล็ก ซึ่งผิวบอบบาง ผิวแพ้ง่าย หรือ เด็กที่ผิวแห้ง เพราะสารสกัดจากพืชออร์แกนิกทั้ง 3 จะช่วยเพิ่มและเติมเต็มความชุ่มชื้นให้ผิวเด็กได้ดีเยี่ยม ซึ่งอาจรวมไปถึงคุณแม่ที่ผิวแห้ง หรือ คุณแม่ในช่วงตั้งครรภ์ที่ผิวบอบบาง ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ DMP Pure Nature Organic pH5.5 ก็เหมาะมากค่ะ
มาถึงตรงนี้... ชี้เป้าจ้า!!! DMP Pure Nature Organic pH5.5 สูตร Triple Moisture หาซื้อได้แล้วที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไปนะคะ ตอนนี้มีขนาดที่คุ้มสุดคือ 480 มิลลิลิตร เพียง 139 บาท แต่ถ้าเป็นคุณแม่นัก CF สายกดหน้าจอ แนบลิ้งก์มาให้ตามนี้ค่ะ
คุณแม่แก๊ง DMP อย่าช้านะคะ ของใหม่มาแล้วด้วยคุณสมบัติที่เริ่ดกว่าเดิม จะไม่ลองได้ยังไง!
ติดตามข้อมูลผลิตภัณฑ์และโปรโมชั่นของ DMP ได้ที่ www.facebook.com/dmpbabyclub
(พื้นที่เพื่อการโฆษณาและประชาสัมพันธ์)

ใครเจอปัญหาวางลูกนอนปุ๊บร้องปั๊บจนแม่ต้องอุ้มตลอด แทบไม่ได้ทำอะไรเลย เรามี มือกันจ๊าก ไอเทมผู้ช่วยคุณแม่ลูกแรกเกิดให้วางลูกนอนให้อุ่นใจไม่สะดุ้งตื่น แล้วแวบไปทำธุระส่วนตัวได้ก่อนกลับมาดูแลลูกต่อค่ะ
มือกันจ๊าก มือผู้ช่วยวางลูกนอนหลับยาว ลูกไม่สะดุ้งตื่น ไอเทมเด็กแรกเกิดที่แม่ต้องลอง
คุณแม่ที่มีลูกแรกเกิดคนไหนกำลังรับมือสถานการณ์นี้บ้างคะ วางนอนปุ๊บสะดุ้งตื่นปั๊บ วางนอนได้นิ่งๆ แป๊บเดียว พอแม่หันหลังจะเข้าห้องน้ำก็ร้องขึ้นมาเหมือนรู้ว่าแม่จะไม่อยู่
เด็กแรกเกิดคุ้นชินกับการอยู่ในที่แคบ อบอุ่น และปลอดภัยแบบในมดลูกแม่ค่ะ เมื่อคลอดออกมาจึงรู้สึกไม่อุ่นใจ อยากให้แม่อุ้มกอดในท่าและบรรยากาศที่คุ้นเคย จึงไม่แปลกใจที่คุณแม่หลายคนบอกว่าลูกติดมือ เข้าห้องน้ำยังต้องอุ้มไปด้วย ให้พ่ออุ้มแทนยังร้อง! มาค่ะ ลองมาดู "มือกันจ๊าก" ตัวช่วยที่คุณแม่ควรลองว่าจะช่วยให้ลูกนอนนานขึ้นอีกนิดไหมช่วงที่แม่แวบไปเข้าห้องน้ำ ล้างจาน กินข้าว
วัสดุในการทำมือกันจ๊าก
- ถุงมือผ้านุ่มๆ หรือถ้าจะให้ดีลองใช้เสื้อคุณแม่เอง วาดรูปมือลงไป แล้วตัดเย็บเป็นถุงมือค่ะ (เป็นถุงมือกลิ่นแม่)
- ข้าวสาร 1 ถ้วย
- เข็ม ด้าย และริบบิ้น
วิธีทำมือกันจ๊าก
- ค่อยๆ ใส่ข้าวสารลงไปในถุงมือให้เต็มส่วนนิ้วทั้ง 5 จากนั้นใส่ลงไปอีกเล็กน้อยในอุ้งถุงมือ
- ลองวางถุงมือบนหมอนแล้วเกลี่ยมือกันจ๊ากตามรูปทรงหมอนดูก่อน(แทนตัวลูก) เพื่อดูว่าปริมาณข้าวสารมากหรือน้อยไปไหม และถุงมือกันจ๊ากควรมีน้ำหนักไม่เกิน 400-500 กรัม จะไม่หนักเกินไปค่ะ
- เย็บปิดถุงมือให้สนิท หรือ ตกแต่งด้วยริบบิ้นน่ารักๆ ได้ค่ะ
ข้อควรรู้และควรระวังในการลองใช้ถุงมือกันจ๊าก
- ไม่มีของใช้เด็กชิ้นไหนแทนที่ความอบอุ่นจากมือแม่ได้นะคะ ดังนั้นถ้ายังดูแลลูกแบบใกล้ชิดได้ตลอดเวลาก็โอบกอดลูกเถอะค่ะ
- ถ้ามือกันจ๊ากได้ผล ก็ใช้เป็นครั้งคราวเท่านั้นนะคะ เพราะลูกต้องการความอบอุ่นและปลอดภัยจากสัมผัสของพ่อแม่ ไม่ใช่จากผ้าหรือตุ๊กตาค่ะ
- ไม่ควรวางมือกันจ๊ากทับไปบนหน้าอก ท้อง หรือวางด้านหน้าใกล้จมูกและปาก เพราะจะทำให้ลูกหายใจไม่ออกค่ะ
- การวางมือกันจ๊ากที่ถูกต้องคือ วางส่วนนิ้วและอุ้งมือบริเวณก้น หรือหลัง โดยต้องมีส่วนหนึ่งของมือที่วางทิ้งน้ำหนักไว้บนที่นอนด้วย ป้องกันน้ำหนักที่อาจมากเกินไป
- ถุงมือหรือผ้าที่จะใช้ตัดถุงมือต้องไม่มีขน ใยผ้าไม่ฟุ้งหรือหลุดร่วงง่าย และไม่แข็งกระด้าง
วันนี้เราจะมาแกะห่อ D-nee Pure Baby Wipes Organic ให้ดูกันค่ะว่า “ทำไมคุณแม่ทุกคนจะต้องมี D-nee Pure Baby Wipes Organic ติดกระเป๋ากันไว้”
ขึ้นชื่อว่า Baby Wipes ผ้าเปียก ทิชชู่เปียก กระดาษเปียก สารพัดชื่อที่คุณแม่เรียกกันตามสะดวกค่ะเลยค่ะ แต่จุดประสงค์เดียวในการใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้คือ ใช้เช็คทำความสะอาด เช่น คุณแม่ลูกเล็กใช้เช็ดทำความสะอาดก้นลูก เช็ดมือ เช็ดแขน เช็คปาก พูดง่ายๆ คือเช็ดได้ทุกอย่างที่แม่อยากเช็ดเลยค่ะ ส่วนแม่ท้องหลายคนก็พกไว้เช็ดมือ เช็ดลำคอ หรือทำความสะอาดของใช้ ใช้เช็ดทำความสะอาดเวลาเข้าห้องน้ำ อันนี้คือดีมาก เพราะยิ่งแม่ท้อง ยิ่งต้องดูแลเรื่องความสะอาดกันสุดๆ
กลับมาที่ D-nee Pure Baby Wipes Organic กันค่ะ ว่าทำไมเราถึงต้องหยิบมารีวิว นั่นเป็นเพราะเดี๋ยวนี้สิ่งสกปรกและเชื้อโรค ไวรัสต่างๆเยอะไปหมด แถมยังรุนแรงกว่าเมื่อก่อนมาก ตามมาด้วยคนสมัยนี้แพ้อะไรง่ายๆ ดังนั้นผลิตภัณฑ์ออกมาด้วยคุณสมบัติแบบออร์แกนิคที่อ่อนโยนแต่ทำความสะอาดได้ “หมดจด” จึงเป็นที่ต้องการอย่างมากค่ะ

เริ่มที่ห่อ ดีนี่เพียว เบบี้ไวพ์ ออร์แกนิค ก่อนค่ะ ห่อที่เราได้หยิบมารีวิวนี้เป็นขนาด 20 แผ่น พอดีฝ่ามือถือได้แหละค่ะ ด้านหน้ามีแถบกาวเปิดปิดป้องกันสิ่งสกปรก ติดแน่นสนิทดีจริงจัง อันนี้ชอบ คือดี!!!
ตามมาดูที่หน้าห่อผลิตภัณฑ์ค่ะ ส่องกันลงไปค่ะ จะเห็นคุณสมบัติของ ดีนี่เพียว เบบี้ไวพ์ ออร์แกนิค เรียงตัวกันสวยงามเชียวค่ะ เริ่มไล่ไปทีละข้อจากซ้ายไปขวาเลยนะ
- ผ่านการทำสอบ Hypo Allergenic Test แล้วว่าไม่ทำให้แพ้และระคายเคือง – ข้อนี้ Remark ไว้เลยนะคะ เวลาเลือกผลิตภัณฑ์สำหรับลูกเล็กๆ หรือแม้แต่แม่ท้องเองที่เป็นช่วงบอบบาง ผลิตภัณฑ์จะต้องผ่านการทดสอบนี้ค่ะ
- สารสกัดออร์แกนิคจาก ดอกคาโมมายล์ และ ข้าวโอ๊ต ที่ช่วยให้ผิวนุ่มชุ่มชื่น ลดการระคายเคือง – ความอ่อนโยน นุ่นเนียนของดอกคาโมมายล์และข้าวโอ๊ตนี่คงไม่ต้องพูดไรกันมากค่ะ เพราะในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวของสาวๆ มีส่วนผสมของ 2 ตัวนี้อยู่แล้ว แต่ของดีนี่พีคกว่าตรง “ออร์แกนิค” ค่ะ
- มีค่าpH Balance และปราศจากน้ำหอม 100% - โอ๊ยยยยย อันนี้ love love เพราะโดยส่วนตัวนี่บอกเลยว่าผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดแบบอ่อนโยน ออร์แกนิค และทำความสะอาดได้หมดจด ไม่ควรจะหอมฟุ้ง... ใช่มั้ยคุณแม่
- เนื้อผ้าหนานุ่มเป็นพิเศษ – โอ๊ะ อันนี้เริ่ดๆๆๆ เพราะเคยมีแม่หลายคนบ่นว่า อยากได้แบบหนานุ่ม เช็ดแล้วไม่ขาดยุ่ย ตัวนี้ตอบโจทย์จ้ะแม่จ๋า
อ่ะ มาถึงจุดนี้... ตามไปดูคลิปกันอีกนิด ซึ่งตรงนี้แหละที่จะบอกว่า D-nee Pure Baby Wipes Organic เหมาะกับการพกพาจริงจัง แถมยังใช้ได้ทุกที่ รักษาความสะอาดได้สุดๆ
ยัง... ยังไม่จบ อันนี้แถมเข้าไปอีกนะคะ พอดีว่าทีมงานรักลูกเค้าเข้าครัวกันค่ะ เราเลยส่ง D-nee Pure Baby Wipes Organic ลงไปให้ใช้ ผลที่ได้... ตามรูปด้านล่างเลยจ้า คือดี คือต้องไปซื้อ!!!
สำหรับผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของ D-nee คุณแม่สามารถตามเข้าไปดูกันได้ที่ www.dnee.co.th และ Facebook: Dnee Thailand นะคะ

การเลือกผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคสำหรับเด็กทารกก็มีเคล็ดลับนะคะ เพราะถ้าเลือกได้อย่างถูกต้อง ได้ของดี ผิวลูกก็จะสุขภาพดี ผิวไม้แห้ง ไม่ระคายเคืองค่ะ
ลูกไม่ผิวแพ้ แม่เลือกได้ ทริคการเลือกผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคสำหรับเด็กทารก
ทุกวันนี้ไม่ใช่อะไรก็ได้แล้วนะคะ เพราะสำหรับคุณแม่ยุคใหม่ เวลาจะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเส้นผมของลูกน้อยแต่ละที ก็ต้องมองหา“ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคที่ดีที่สุด”เพราะผิวของลูกมีความบอบบางแทบทุกส่วน ดังนั้นหากเลือกผลิตภัณฑ์สูตรที่ไม่เหมาะสมกับผิวของเด็ก ก็อาจจะทำให้ลูกแพ้และเป็นผื่นได้ดังนั้นคุณแม่จึงต้องใส่ใจกับการดูแลผิวของลูกน้อยให้มากขึ้น ด้วยการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคที่มีส่วนผสมเป็นธรรมชาติทั้งหมดซึ่งควรเลือกผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคอย่างไร มาดูกันเลยค่ะ
วิธีเลือกผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคสำหรับลูกทารก
- ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคสำหรับลูกทารก ส่วนผสมมาจากธรรมชาติทั้งหมด
ผิวของเด็กบอบบางมากๆ สิ่งที่เป็นธรรมชาติจึงดีต่อผิวลูกน้อยที่สุด ไม่ว่าจะครีมอาบน้ำ แชมพู แป้ง โลชั่น ที่มีส่วนประกอบจากธรรมชาติล้วน จะช่วยให้คุณแม่หมดกังวลเรื่องการแพ้หรือการระคายเคือง ก่อนจะเลือกผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคให้ลูกน้อย ให้สังเกตที่ตราสัญลักษณ์การผ่านการรับรอง ส่วนผสมออร์แกนิคต่างๆ ที่อยู่บนผลิตภัณฑ์ด้วยนะคะ อย่าง Dermatological Tasted ที่เราเห็นกันบ่อยๆ
- ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคสำหรับลูกทารก ปราศจากสารเคมีที่ลูกน้อยเสี่ยงแพ้
ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิค นอกจากจะมีความอ่อนโยนต่อผิวและไม่ก่อให้เกิดการแพ้ในเด็กแล้ว ก็ต้องปราศจากสารเคมีอันตรายที่สุ่มเสี่ยงต่อการแพ้และอาจสะสมเป็นอันตรายต่อผิวของลูกน้อยในอนาคตด้วย เช่น Paraben Free, Soap Free, Phthalate Free, Color & Dye Free, Formaldehyde Free, Lanolin Free เป็นต้น
- ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคสำหรับลูกทารก บำรุงผิวให้ความชุ่มชื่นเป็นพิเศษ
เพราะผิวของเด็กจะมีอาการแห้งได้ระหว่างวัน ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ลูกน้อยเกิดการระคายเคืองร้องไห้งอแงได้ ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคจึงต้องเน้นบำรุงผิวพรรณของเด็กด้วย ดังนั้นควรที่จะเลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่แค่ธรรมชาติ บริสุทธิ์อย่างเดียว แต่ต้องมีส่วนผสมจำพวก oil , สารสกัดจากข้าวโอ๊ต ที่ช่วยบำรุงผิวลูกเราเพื่อให้มีความเนียนนุ่ม ชุ่มชื่นป้องกันผิวแห้งกร้านด้วย
- ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคสำหรับลูกทารก มีกลิ่นหอมแบบธรรมชาติ
กลิ่นแบบธรรมชาติที่มีเอกลักษณ์ เช่น กลิ่นดอกลิลลี่และไวท์ฟลาวเวอร์ จะมีส่วนช่วยกระตุ้นพัฒนาการทางอารมณ์ของลูกได้ ซึ่งจะทำให้ลูกน้อยรู้สึกผ่อนคลาย ปลอดโปร่ง จิตใจสงบ และรู้สึกมีความสุข
- ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคสำหรับลูกทารก เป็นมิตรกับโลก
ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคนอกจากจะเป็นมิตรกับลูกน้อยแล้ว ก็ยังต้องเป็นมิตรกับโลกด้วย เพราะผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคที่ดีจะสามารถย่อยสลายได้ ไม่ทำลายระบบธรรมชาติ ซึ่งในส่วนนี้สามารถพบเจอได้ในแบรนด์ที่มีความเป็นธรรมชาติมากๆ เช่น แบรนด์ Enfant Organic Plus
คุณแม่จะเห็นได้ว่าผลิตภัณฑ์ออร์แกนิค ดีต่อผิวของลูกน้อยมาก และยังช่วยลดปัญหาผิวต่างๆ ที่มักจะเกิดขึ้นกับลูกได้อีกด้วย ซึ่งในปัจจุบันก็มีของใช้เด็กมากมายที่ผลิตด้วยวิธีออร์แกนิค โดยเราขอแนะนำผลิตภัณฑ์ อองฟองต์ ออแกนิค พลัส (Enfant Organic Plus) ที่ได้รับการยอมรับจากคุณแม่ส่วนใหญ่ว่าใช้ดีจริง และอ่อนโยนต่อผิวของลูกน้อยที่สุด เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐานทุกขั้นตอนการผลิต ได้รับการรับรอง ECOCERT ส่วนประกอบ ส่วนผสม ว่ามีความเป็นออร์แกนิกอ่อนโยน และปกป้องผิวของลูกน้อยได้ดีมากค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจากผลิตภัณฑ์ Enfant Organic Plus
พื้นที่เพื่อการโฆษณาและประชาสัมพันธ์

วิธีดูแลความสะอาดของลูกทารกไม่ยากค่ะ ลองทำตามขั้นตอนต่อไปนี้ ง่ายมาก ๆ สำหรับพ่อแม่มือใหม่
วิธีทำความสะอาดลูกทารกตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เคล็ดลับพ่อแม่มือใหม่
เรื่องความสะอาดของเด็กทารกต้องให้ความสำคัญสม่ำเสมอค่ะ ด้วยเหตุที่ลูกยังบอบบาง การทำความสะอาดส่วนต่างๆ ของร่างกาย จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไปจนคุณพ่อคุณแม่ต้องเกร็งนะคะ
วิธีทำความสะอาดศีรษะและสระผมทารก
ควรสระผมให้ลูกก่อนแล้วค่อยอาบน้ำให้เขาค่ะ อาจใช้ฟองน้ำชุบน้ำอุ่นบีบลงบนศีรษะลูก หรือใช้มือค่อยๆ วักน้ำอุ่นลูบก็ได้ค่ะ จากนั้นบีบแชมพูสำหรับเด็กเล็กน้อยลงบนฝ่ามือ นวดเบาๆ แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ระวังอย่าให้แชมพูไหลเข้าตาลูก สำหรับเด็กเล็กวัย 0-2 สัปดาห์ ใช้น้ำเปล่าสระผมก็พอค่ะ
สิ่งที่ห้ามทำเด็ดขาด คือไม่ควรแกะเกาไขขาวๆ ที่ศีรษะลูก เพราะไขนี้จะค่อยๆ หลุดไปเองตามธรรมชาติ การแกะเกาอาจทำให้เกิดแผลได้อาจใช้เบบี้ออยล์ เช็ดตรงที่มีไขมันเพียงเบาๆ ทิ้งไว้สักครู่ก่อนพาลูกไปสระผม
วิธีอาบน้ำทารก
-
ควรอาบน้ำให้ลูกก่อนกินนมมื้อไหนก็ได้ค่ะ เพราะหลังจากลูกกินนมอิ่มแล้ว ลูกมักจะอยากนอนหลับมากกว่า ลูกจะได้หลับยาวไงคะ
-
เตรียมน้ำให้มีความอุ่นพอดี ทดสอบโดยใช้ข้อศอกแตะน้ำ ไม่ควรใช้มือ เนื่องจากมือมีความชินกับความร้อนค่ะ จากนั้นค่อยๆ หย่อนตัวลูกลงน้ำ เมื่อลูกชินกับน้ำแล้วควรรีบถูสบู่ ล้างตัวให้สะอาดแล้วยกตัวลูกขึ้นจากน้ำ และเช็ดตัวให้แห้งสนิท
-
ขณะถูสบู่ตัวลูกจะลื่นมาก ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ และหากพ่อแม่ยังไม่มั่นใจ อาจใช้การเช็ดตัวลูกด้วยน้ำสะอาดก็พอ โดยการวางลูกบนตักหรือบนโต๊ะที่ปูด้วยผ้านุ่มและปูผ้ายางทับอีกชั้น ทำแบบนั้นสัก 2-3 ครั้ง เมื่อมีความชำนาญจึงค่อยพาลูกลงน้ำและถูสบู่ค่ะ
วิธีทำความสะอาก หู ตา จมูก ปาก ทารก
- ทำความสะอาดหูทารห ไม่ควรใช้อุปกรณ์ใดๆ แคะหูลูก เพราะอาจทำอันตรายต่อเยื่อแก้วหูได้ ควรใช้สำลีซับทำความสะอาดเพียงภายนอก บริเวณด้านหน้าและด้านหลังของใบหูลูกเท่านั้น
- ทำความสะอาดตาทารก ไม่ต้องทำความสะอาดดวงตาของลูก เนื่องจากร่างกายของลูกจะสร้างน้ำตามาทำความสะอาดดวงตาอยู่เสมอแล้วค่ะ แต่หากลูกมีขี้ตาหรือตาแฉะ ควรทำความสะอาดโดยใช้สำลีชุบน้ำต้มสุกที่เย็นแล้วบีบหมาดๆ เช็ดทำความสะอาดเบาๆ จากหัวตาไปหางตาครั้งเดียวทิ้ง โดยเปลี่ยนสำลีก้อนใหม่เสมอ
- ทำความสะอาดจมูกทารก หากลูกมีน้ำมูกตรงปลายจมูก อาจใช้สำลีพันปลายไม้ชุบน้ำอุ่นเช็ดออก ไม่ควรใช้อุปกรณ์ใดๆ สอดลึกเข้าไปในรูจมูกลูกนะคะ แต่ถ้าลูกมีน้ำมูกแห้งกรังอยู่ในรูจมูก ให้ใช้สำลีพันปลายไม้ชุบน้ำอุ่นเช็ดในจมูกลูกค่ะ แน่นอนต้องเช็ดเบาๆ นะคะ
- ทำความสะอาดภายในช่องปากทารก ควรทำความสะอาดช่องปากให้ลูก โดยใช้ผ้าสะอาดพันรอบนิ้วชี้ของคุณแม่ชุบน้ำสุกแล้วบิดหมาดๆ เช็ดบริเวณเหงือก ลิ้น กระพุ้งแก้ม และเพดานให้ทั่วทั้งปากอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง เมื่อลูกเริ่มมีฟันขึ้น ให้ใช้สำลีชุบน้ำอุ่นเช็ดฟันให้ลูก และซื้อแปรงสีฟันชนิดขนอ่อนสำหรับเด็กมาให้ลูก เพื่อให้ลูกคุ้นกับการแปรงฟันค่ะ
วิธีทำความสะอากฉี่และอึทารก
การล้างก้นเมื่อลูกฉี่หรืออึนั้น พ่อแม่จะอุ้มแบบไหนก็ได้ค่ะ ขอให้เป็นท่าที่ถนัดมือที่สุด แต่ที่สำคัญคือ ต้องล้างจากด้านหน้าไปด้านหลัง คือ ล้างจากอวัยวะเพศไปหาก้น เพราะถ้าล้างจากด้านหลังไปด้านหน้า อาจทำให้เชื้อโรคเข้าสู่อวัยวะเพศของลูกได้ค่ะ
โดยใช้สำลีชุบน้ำต้มสุกที่เย็นแล้วบีบล้างอึลูกออกให้หมด ถ้าเป็นฉี่ก็ใช้สำลีชุบน้ำบีบล้างเช่นกัน จากนั้นก็ใช้สำลีชุบน้ำบีบหมาดๆ เช็ด โดยเปลี่ยนก้อนสำลีใหม่ทุกครั้ง อย่าลืมเช็ดด้วยผ้าอ้อมสะอาดๆ ให้ผิวลูกบริเวณนั้นแห้งอีกทีก่อนสวมเสื้อผ้าให้ลูกค่ะ

กระเป๋าแม่ลูกอ่อน แม่ลูกเล็กจำเป็นต้องมีของใช้เด็กทารกอะไรบ้างติดกระเป๋าไว้เสมอ เรามาดูกันค่ะ
เปิดกระเป๋าแม่ลูกอ่อน กับ 11 ของใช้เด็กทารก ลูกเล็กที่แม่ต้องพกไว้ตลอด
1. นมสำหรับลูก ของจำเป็นสำหรับลูกเลยค่ะ
2. ขวดน้ำ หรือน้ำสำหรับชงนม
3. ผ้าห่ม หรือผ้าคลุมสำหรับกันแดด กันฝน กันหนาวให้ลูก
4. ผ้าคลุมให้นม ถ้าลูกยังกินนมแม่อยู่ ไว้ให้นมลูกได้อย่างสะดวกค่ะ
5. ผ้าอ้อมสำเร็จรูป จัดปริมาณผ้าอ้อมตามระยะเวลาที่จะต้องออกไปข้างนอกค่ะ
6. ผ้าอ้อมผ้า ไว้ใช้เช็ดน้ำมูกน้ำลาย ผ้ากันเปื้อน หรือใช้เป็นผ้าอเนกประสงค์สารพัดประโยชน์เลยค่ะ
7. ชุดเสื้อผ้าสำรองสำหรับเปลี่ยน ถ้าเกิดเจ้าตัวเล็กทำเลอะเทอะขึ้นมาโดยไม่คาดคิด มีเสื้อผ้าสำรองติดไว้กับตัวก็ดีกว่านะคะ
8. ยา/ครีมป้องกันผดผื่นผ้าอ้อม หลายคนแพ้ผื่นผ้าอ้อมก็จำเป็นต้องใช้นะคะ
9. กระดาษเปียก / ทิชชู่เปียก ใช้ทำความสะอาดได้ทุกงาน สะอาดและสะดวกมากค่ะ
10. ของเล่นชิ้นโปรด ไว้หลอกล่อไม่ให้งอแงเมื่อออกไปข้างนอกนะคะ
11. ถุงพลาสติก ไว้ทิ้งผ้าอ้อมใช้แล้วหรือใส่ขยะ

ผ้าอ้อมเด็กที่มีคุณภาพดี ช่วยส่งเสริมพัฒนาการทารกตามวัยได้นะคะ เรามีวิธีเลือกผ้าอ้อมเด็กมาแนะนำพ่อแม่มือใหม่ให้ลองนำไปปรับใช้ในการเลือกซื้อผ้าอ้อมกันค่ะ
เลือกผ้าอ้อมเด็กดี ลูกพัฒนาการดีมีชัยไปกว่าครึ่ง
การเลือกผ้าอ้อมเด็กที่ดี มีคุณภาพ เมื่อลูกใส่แล้วจะรู้สึกสบายตัว ไม่อับชื้น ขยับตัวได้ดี ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะไม่กวนใจลูกให้งอแงจนพาลให้ไม่อยากเล่น ไม่อยากคลาน ซึ่งความหงุดหงิดของลูกแบบนี้ล่ะที่ขัดขวางพัฒนาการของลูกแบบเต็มๆ เลย ดูง่ายๆ อย่างเสื้อผ้าคุณแม่ซิคะ ถ้าคับไป ระคายผิวไปเราก็ไม่สบายตัว ไม่อยากทำอะไรเหมือนกันใช่ไหมล่ะค่ะ
วิธิเลือกผ้าอ้อมเด็กเพื่อช่วยส่งเสริมพัฒนาการที่ดีของลูก
- ผ้าอ้อมเด็กสำหรับลูกจะต้องพอดีตัว ไม่คับจนหายใจและขยับตัวไม่สะดวก หรือหลวมไปจนหลุดร่วงตลอดเวลา
- ผ้าอ้อมเด็กควรจะต้องซึมซับดีทั้งกลางวันและกลางคืน
- ผ้าอ้อมเด็กควรจะสามารถระบายอากาศได้ดี ไม่อับชื้น เพื่อป้องกันการเกิดผื่นผ้าอ้อม
- ผ้าอ้อมเด็กควรจะต้องทำจากวัสดุที่นุ่ม ทั้งตัวผ้าอ้อมและแผ่นซึมซับเพื่อป้องกันการระคายเคืองผิวลูก
- ผ้าอ้อมเด็กควรจะต้องโอบรับก้นของลูกได้ดี บาง กระชับ เพื่อการเคลื่อนไหวที่คล่องตัว
- ผ้าอ้อมเด็ก โดยเฉพาะแบบแถบกาว ควรจะต้องติดได้แน่นแม้ลอกและติดใหม่หลายครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้ผ้าอ้อมหลุดขณะลูกเล่น
- ผ้าอ้อมเด็กควรจะต้องมีแถบวัดความชื้นที่ตัวผ้าอ้อมเพื่อบอกระดับความชื้นให้คุณแม่ทราบเวลาเปลี่ยนผ้าอ้อมใหม่
การเลือกผ้าอ้อมเด็กให้ลูก จะดูที่ราคาถูกอย่างเดียวคงไม่ได้อีกแล้วนะคะ เพราะผ้าอ้อมชิ้นเล็กๆ แบบนี้แหละที่มีส่วนช่วยส่งเสริมพัฒนาการของลูกทั้งทางร่างกายและจิตใจได้อีกทางหนึ่ง นอกเหนือไปจากการส่งเสริมของพ่อแม่ ยิ่งผ้าอ้อมฟิตกระชับ มีการซึมซับที่ดีมากเท่าไหร่ ลูกก็จะยิ่งคล่องตัวและสบายตัวมากขึ้นเท่านั้นค่ะ อย่างในตอนนี้คุณแม่ในโซเชียลหลายคนกำลังพูดถึงผ้าอ้อม Huggies Ultraกันเยอะ เพราะออกแบบมาได้กระชับ ฟิตรับกับสรีระลูกได้ดี จึงน่าจะเป็นผ้าอ้อมที่เหมาะสำหรับลูกเล็กค่ะ
การเลือกผ้าอ้อมเด็กครั้งต่อไป ลองนำวิธีเลือกแบบนี้ไปใช้พิจารณากันนะคะ รับรองว่าจะได้ผ้าอ้อมที่ถูกใจคุณแม่ แล้วยังสบายตัวคุณลูกด้วยค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก :ผ้าอ้อมเด็ก Huggies Ultra
www.facebook.com/HuggiesThai
(พื้นที่เพื่อการโฆษณาและประชาสัมพันธ์)

สำลีและเบบี้ไวพ์เป็นของใช้พื้นฐานของลูกเล็กที่แม่จะต้องเลือกให้ดี ทั้งความสะอาด ปลอดภัย และประโยชน์ในการใช้ดูแลผิวลูกมากที่สุด
เลือกสำลี เบบี้ไวพ์ทำความสะอาดผิวลูกอย่างไรให้ปลอดภัยทั้งผิวและสุขภาพ
วิธีเลือกสำลีสะอาดสำหรับลูกเล็ก
- คุณแม่ควรเลือกสำลีสำหรับเด็กที่ผลิตจากฝ้าย 100% ซึ่งมีคุณสมบัติอ่อนนุ่ม เบา อุ้มน้ำได้ดีเมื่อใช้ชุบน้ำทำความสะอาดผิวลูก
- สำลีสำหรับเด็กควรปราศจากสารเรืองแสง สารเคมี หรือกาว PVA
- สำลีสำหรับเด็กควรผ่านการสเตอริไรซ์ด้วยความร้อนสูงเพื่อทำให้ปลอดเชื้อโรค
- สำลีสำหรับเด็ก เมื่อใช้แล้วไม่ควรทิ้งขุยสำลีติดผิวลูก สำลียังควรเป็นก้อนหรือแผ่น เนื้อสำลีไม่หลุดยุ่ยง่าย
- สำลีสำหรับเด็กมีทั้งแบบก้อนกลม และแบบแผ่นซึ่งอาจมีขนาดเล็ก จับไม่ถนัดมือ คุณแม่ควรเลือกสำลีก้อนหรือสำลีแผ่นที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติ เพื่อจับใช้ได้ถนัดมือ ไม่หลุดมือง่าย และใช้ทำความสะอาดได้วงกว้างทั่วถึงกว่า
วิธีเลือกเบบี้ไวพ์ ทิชชูเปียกสำหรับลูกเล็ก
- เบบี้ไวพ์ควรผลิตจากผ้าเนื้อนุ่ม ไม่มีขุยหรือตุ่มเนื้อผ้าที่อาจระคายเคืองผิวลูกเล็ก
- เบบี้ไวพ์ควรปราศจากน้ำหอม แอลกอฮอล และสารเคมีอันตราย
- เบบี้ไวพ์ควรมีความชุ่มชื้นพอเหมาะ ช่องเปิดปิดสำหรับดึงกระดาษจะต้องปิดได้สนิทเพื่อป้องกันเชื้อโรคจากภายนอก
- เบบี้ไวพ์ควรมีส่วนผสมของสารสกัดธรรมชาติที่ทำให้ผิวลูกชุ่มชื่น เช่น อะโลเวลา
นอกจากนี้คุณแม่ยังต้องรักษาความสะอาดของตัวเอง ของใช้ และของเล่นลูกด้วย เช่น ล้างมือทุกครั้งหลังเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูก ล้างมือก่อนหยิบป้อนอาหารลูก หรือการทำความสะอาดของเล่นลูก แผ่นรองนอนรองคลานของลูก คุณแม่อาจเลือกใช้ผ้าเช็ดทำความสะอาดที่สามารถยับยั้งเชื้อโรคต่างๆ ได้ เช่น ไวรัสหวัด เชื้ออีโคไล ใช้เช็ดทำความสะอาดมือ แผ่นรองคลาน หรือของเล่น ซึ่งจะสะดวกกับคุณแม่ทั้งใช้ในบ้านและนอกบ้านด้วย
ความสะอาดเป็นพื้นฐานสำคัญของสุขภาพและพัฒนาการที่ดีของลูกนะคะ ดังนั้นการเริ่มตั้งแต่เลือกผลิตภัณฑ์และของใช้สำหรับเด็กอ่อนที่สะอาด ได้มาตรฐานจึงเป็นเรื่องที่คุณแม่ควรพิจารณาเป็นอันดับต้นๆ ในการเลี้ยงลูกให้เติบโตอย่างแข็งแรงค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : ผลิตภัณฑ์ Karima for Baby

(พื้นที่เพื่อการโฆษณาและประชาสัมพันธ์)

คุณแม่ใกล้คลอดมีของเตรียมคลอดอะไรบ้าง ของใช้เด็กอ่อนอะไรบ้างที่ต้องเตรียมไปคลอดลูก มาช็กกันตรงนี้จะได้จัดกันได้ถูกต้องพร้อมไปคลอดลูกค่ะ
แม่ท้องพร้อมยัง! เช็กของเตรียมคลอด ของใช้เด็กแรกเกิด ก่อนคลอดลูกกันเถอะ
ใกล้คลอดแล้ว พร้อมหรือยังคะคุณแม่ตั้งครรภ์ นอกจากการเตรียมตัวและเตรียมใจเพื่อคลอดลูกแล้ว ยังมีอีกเรื่องที่ต้องเตรียม นั่นคือ การเตรียมของใช้เตรียมคลอด ของใช้เด็กแรกเกิดของลูกเรานั่นเอง เรามาเช็กกันสักนิดดีไหมคะว่า คุณแม่ตั้งครรภ์ควรจัดกระเป๋าเตรียมคลอดอย่างไร ควรเตรียมของใช้เด็กแรกเกิดอะไรบ้าง เพื่อต้องรับลูกทารกแรกเกิดของเราค่ะ
จัดกระเป๋าเตรียมคลอดสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์
- เอกสารฝากครรภ์
- บัตรประชาชนคุณพ่อ คุณแม่
- บัตรประกันสังคมและบัตรประกันชีวิต
- เสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัวของแม่
- ผ้าอนามัย
- เครื่องปั๊มนม
- หมอนให้นม
- ทิชชู่
ของใช้เด็กแรกเกิด
- เสื้อผ้ากลับบ้านของลูก
- คาร์ซีทเด็กแรกเกิด
- ผ้าห่อตัวลูก
- ผ้าอ้อมสำเร็จรูปเด็กแรกเกิด
- สำลี
เบอร์โทรศัพท์ฉุกเฉิน เผื่อคลอดก่อนกำหนด
- เบอร์โทรฉุกเฉิน : 191
- ศูนย์กู้ชีพนเรนทร : 1669
- จส.100 : 1137
- เบอร์โรงพยาบาลที่ฝากครรภ์
- เบอร์คุณหมอสูติฯ