ไม่ใช่ลูกเท่านั้นที่ได้ประโยชน์จากการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ แต่แม่ให้นมเองก็ได้ประโยชน์จากการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ด้วย เรามีคำแนะนำมาบอกว่า การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ดีกับทั้งแม่และลูกยังไง
14 ประโยชน์สูงสุดที่ได้ทั้งแม่และลูกเมื่อเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
ประโยชน์ของนมแม่สำหรับลูก
- กระตุ้นสมองและระบบประสาทลูกได้อย่างรวดเร็ว เมื่อลูกดูดนมแม่ ได้มองหน้า มือจับไปเรื่อยๆ ขากระดิกไปมา ถือเป็นการกระตุ้นพัฒนาการทางอ้อม
- ลูกจะได้รับภูมิคุ้มกันโรคติดเชื้อจากน้ำนมแม่ โดยเฉพาะโรคอุจจาระร่วง และโรคติดเชื้อเฉียบพลันของระบบทางเดินหายใจ
- นมแม่มีภูมิคุ้มกันโรคภูมิแพ้
- นมแม่ย่อยง่าย
- นมแม่ให้สารอาหารและพลังงาน เกลือแร่ วิตามิน และน้ำ อย่างเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของร่างกายและสมองของลูกน้อย
- ปริมาณน้ำนมแม่จะเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายลูกในช่วงแรก ทำให้ทารกมักจะไม่อ้วนหรือผอมจนเกินไป และมีสุขภาพที่แข็งแรง
- เด็กที่ดูดนมแม่ มีแนวโน้มที่จะไม่มีปัญหาด้านช่องปากและฟัน อีกทั้งการจัดเรียงตัวของฟันมักจะอยู่ในสภาพปกติอีกด้วย
ประโยชน์ของการให้นมลูกสำหรับแม่
- ป้องกันภาวะตกเลือดหลังคลอด และมดลูกกลับสู่สุขภาพปกติได้เร็วขึ้น
- ช่วยการคุมกำเนิด แต่หลังจาก 6 เดือนไปแล้วแนะนำให้คุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นร่วมด้วย
- ช่วยลดน้ำหนักแม่ในระยะหลังคลอด
- ลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานชนิดที่ 2
- ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจขาดเลือด ความดันโลหิตสูงและไขมันในเลือดสูง (ให้นมแม่นาน 12 เดือนขึ้นไป)
- ลดความเสี่ยงต่อภาวะกระดูกพรุน
- ลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งรังไข่ชนิดเยื่อบุผิว(ให้นานกว่า 18 เดือน) มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก และมะเร็งเต้านม
รู้แบบนี้แล้ว เลี้ยงลูกด้วยนมแม่กันนะคะ เพราะลูกเรานั่นล่ะค่ะที่จะได้รับประโยชน์เต็ม ๆ จากการกินนมแม่

3 สูตรน้ำหัวปลี แบบทำง่าย ดื่มง่าย ได้น้ำนม
หัวปลีเป็นพืชยอดนิยมที่หลายคนมักจะนำมาทำ อาหารเรียกน้ำนม และ อาหารบำรุงครรภ์ ให้แม่ท้อง ซึ่งปัจจุบันมีเครื่องดื่ม น้ำหัวปลี ในท้องตลาดมากมาย แต่ถ้าจะซื้อดื่มบ่อยๆ ก็เกรงค่าผ้าอ้อมของลูกอาจจะไม่่เหลือ เพราะฉะนั้นเรามาทำ น้ำหัวปลี อร่อยๆ ดื่มกันค่ะ
สูตรที่ 1 น้ำหัวปลีโฮมเมด
ส่วนผสม
หัวปลี 1-2 หัว
น้ำเปล่า 2 ลิตร
น้ำผึ้ง 1-2 ช้อนชา
มะนาวตามชอบ
เกลือป่น 1 ช้อนชา
อร่อยแบบที่ 1
1. แกะเปลือกหัวปลีส่วนที่เป็นสีแดงออก เด็ดเกสรทิ้ง เหลือส่วนที่เป็นหัวปลีอ่อนสีขาว นำไปล้างน้ำให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แช่ในน้ำผสมเกลือ 10-15 นาที
2. ตั้งหม้อ เทน้ำเปล่าลงไปต้มจนเดือด ใส่หัวปลีที่แช่น้ำไว้ลงต้มต่อด้วยไฟอ่อนประมาณ 1 ชั่วโมง
3. เมื่อครบชั่วโมงแล้วตักหัวปลีออก กรองเอาแต่น้ำ เป็นเครื่องดื่ม น้ำหัวปลี แบบใสๆ จะดื่มร้อนดื่มเย็น เติมน้ำผึ้งน้ำมะนาว เพิ่มรสชาติตามชอบได้เลยค่ะ
อร่อยแบบที่ 2
นำหัวปลีที่ต้มสุกแล้วมาปั่นให้ละเอียด ตักใส่เครื่องดื่ม น้ำหัวปลี ประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ เติมน้ำผึ้ง น้ำมะนาว เกลือเล็กน้อยเพื่อให้รสชาติดีขึ้น ก็อร่อยแบบเข้มข้นได้เช่นกัน
Tip: หัวปลีปั่น และ น้ำหัวปลี ต้มสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้ประมาณ 1 สัปดาห์ หากคุณแม่ที่ทำงานวันจันทร์-ศุกร์ สามารถทำสต๊อกเก็บไว้ในตู้เย็นช่วงวันหยุดได้เลยค่ะ
สูตร 2 น้ำหัวปลี x อินทผลัม
ส่วนผสม
หัวปลี 1-2 หัว
น้ำเปล่า 2 ลิตร
น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 1 ลูก
อินทผลัมแกะเม็ดออก 10-15 ผล
เกลือป่น 1 ช้อนชา
วิธีทำ
1. แกะเปลือกหัวปลีส่วนที่เป็นสีแดงออก เด็ดเกสรทิ้ง เหลือส่วนที่เป็นหัวปลีอ่อนสีขาว นำไปล้างน้ำให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แช่ในน้ำผสมเกลือ 10-15 นาที
2. ปั่นหัวปลีกับอินทผลัมให้ละเอียด (เติมน้ำเล็กน้อยเพื่อให้ปั่นง่ายขึ้น)
3. ตั้งหม้อ เทน้ำเปล่าลงไปต้มจนเดือด ใส่หัวปลีและอินทผลัมปั่นลงไปต้ม เติมน้ำตาลทราย คนให้ละลาย ต้มประมาณ 30-45 นาที
4. เสร็จแล้วพักไว้ให้เย็น เทใส่ขวดเก็บไว้ในตู้เย็นได้ประมาณ 1 อาทิตย์ หากไม่ชอบกินเนื้อให้ใช้ผ้าขาวบางกรองเอาแต่น้ำได้ค่ะ
Tip: ถ้าไม่ชอบรสหวาน จะไม่เติมน้ำตาลก็ได้ หรือหากอยากได้ น้ำหัวปลี รสชาติหอมหวานให้เปลี่ยนน้ำตาลทรายเป็นน้ำตาลมะพร้าวก็จะยิ่งรสชาติดีมากขึ้น
สูตร 3 ชาหัวปลี
ส่วนผสม
หัวปลี 1 หัว
วิธีทำ
1. แกะเปลือกหัวปลีล้างทำความสะอาด เด็ดเกสรทิ้ง
2. หั่นหัวปลีที่ล้างไว้เป็นฝอยๆๆ ตากแดดให้แห้งประมาณ 1-2 วัน
3. นำหัวปลีมาคั่วให้แห้งกรอบ ด้วยไฟปานกลาง (ระวังไหม้)
4. พักให้เย็น ใส่ถุงซิปล็อกเก็บไว้กินได้นาน เมื่อจะชงดื่มใช้ประมาณ 1 หยิบมือใส่น้ำร้อน 1 เหยือกชา ก็ได้ชาหัวปลีสำหรับแม่ให้นมและแม่ท้องแล้วค่ะ
Tip: การคั่วหัวปลีก่อนชงช่วยให้หัวปลีมีกลิ่นหอมมากขึ้น
อาจเคยมีคนบอกคุณแม่ให้นมว่าเวลาน้ำนมไม่ไหล น้ำนมน้อย ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ ทำยังไงให้น้ำนมไหล ดูแลตัวเองยังไง แต่ก็ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ยังทำให้การให้นมแม่ไม่สำเร็จสักที มาดูคำแนะนำจากคุณหมอกันค่ะ เผื่อจะนำไปปรับใช้ได้
1. เทคนิคให้นมเจ้าตัวเล็ก
- ก่อนและหลังให้นมลูกทุกครั้ง คุณแม่จะต้องเช็ดหรือล้างบริเวณหัวนมและรอบ ๆ ให้สะอาดด้วยน้ำสะอาด หรือน้ำเกลือแล้วเช็ดให้แห้ง จึงให้ลูกดูดนมสลับไปในแต่ละข้างจนอิ่ม ช่วงแรกให้ดูดกระตุ้น 15 - 20 นาทีทั้งสองข้าง (เมื่อน้ำนมมากพอต่อไปดูดทีละข้าง)
- ศีรษะลูกจะต้องอยู่สูงกว่าลำตัวเสมอ
- คอยสังเกตว่าส่วนของเต้านมไม่เบียดจมูกทารกขณะดูด
- เมื่อลูกดูดนมจนอิ่มให้อุ้มลูกพาดบ่าจนลูกเรอลมออกจากกระเพาะอาหารจึงเปลี่ยนท่าอุ้ม
- ช่วงแรกควรงดให้ขวด เพราะเด็กอาจจะปฏิเสธนมแม่
- คุณแม่สามารถปั๊มน้ำนมตนเองใส่ขวดนมที่สะอาดและเก็บไว้ในตู้เย็น แต่ไม่ควรเกิน 12 ชั่วโมง หากลูกดูดนมจากขวดจนอิ่มแล้วน้ำนมเหลือไม่ควรเก็บไว้เพราะนมจะบูดและเสียโดยง่าย แล้วดูดเสร็จถ้ามีนมเหลือควรบีบหรือปั๊มใส่ขวดเก็บใส่ตู้เย็น
2. วิธีดูแลเต้านมคุณแม่
- ใส่เสื้อชั้นในแบบพยุงเต้านม
- ทำความสะอาดหัวนมด้วยน้ำสะอาด
- ใช้สบู่ฟอกได้ แต่ไม่ควรบ่อยเกินไป เพราะอาจทำให้แห้งแตก
3.ความต้องการพลังงานของแม่ขณะให้นม
คุณแม่ที่ให้นมจะต้องใช้พลังงานสูงในการผลิตน้ำนม โดยใช้พลังงานประมาณ 85 แคลอรี่ในการผลิตน้ำนม 100 ซีซี ซึ่งปริมาณน้ำนมแม่ในแต่ละช่วงจะแตกต่างกันออก
ช่วง 6 เดือนแรกจะอยู่ที่ 700 - 850 มล./วัน
ช่วง 6 - 12 เดือน 600 มล./วัน และ
ช่วง 12 - 24 เดือน 550 มล./วัน
ดังนั้นคุณแม่ที่ให้นมจึงต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นวันละ 500 แคลอรี่ โดยเฉพาะโปรตีนมีความสำคัญมากในการผลิตน้ำนม บำรุงและซ่อมแซมเซลล์ต่าง ๆ ของคุณแม่ จึงควรได้รับโปรตีนเพิ่มวันละ 25 กรัม
4. อาหารช่วยเพิ่มน้ำนมแม่
- หัวปลี มีธาตุเหล็ก ช่วยบำรุงเลือดและเพิ่มน้ำนม
- กะเพรา มีเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยขับลม แก้ท้องอืด เพิ่มน้ำนม
- กุยช่าย มีธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส แคลเซียม ช่วยเพิ่มน้ำนม ลดการอักเสบ ช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย
- ขิง มีสารจินจิเบน ช่วยย่อยอาหาร ย่อยไขมัน เพิ่มน้ำนม ขับลม แก้คลื่นไส้อาเจียน
- เม็ดขนุน มีเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยเพิ่มน้ำนม
การให้นมลูกไม่เพียงแต่มีประโยชน์ในด้านสารอาหารที่ลูกได้รับ แต่การอุ้มลูกขึ้นดูดนมช่วยกระตุ้นประสาทสัมผัสทุกส่วนของลูก ทำให้สมองได้รับสัญญาณประสาทสม่ำเสมอ เกิดการแตกแขนงของเซลล์ประสาท ช่วยให้เรียนรู้ได้เร็วขึ้นอีกด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก : พญ.คัคณางค์ มิ่งมิตรพัฒนะกุล สูตินรีแพทย์ประจำศูนย์สุขภาพสตรี โรงพยาบาลกรุงเทพ
ศูนย์สุขภาพสตรีกรุงเทพ โรงพยาบาลกรุงเทพ โทร. 0 2310 3005, 0 2755 1005 หรือ โทร. 1719
การอุ้มลูกวัยทารกดูดนม อุ้มไล่ลม อุ้มกล่อม อุ้มเดินเล่น เป็นเรื่องที่ควรทำอย่างยิ่งค่ะ แต่หากพ่อแม่อุ้มไม่ถูกต้อง ข้อเสียที่เกิดขึ้นกับลูกมีหลายอย่างเลยนะคะ
6 ท่าอุ้มเด็กทารก ที่ห้ามทำเด็ดขาดเพราะอันตรายต่อลูกทารก
- วัย0-3 เดือน อุ้มไม่ได้ประคองคอและหลัง เด็กวัยนี้กล้ามเนื้อคอและหลังยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ หากคุณพ่อคุณแม่อุ้มลูกโดยไม่ประคองคอและหลัง จะทำให้กล้ามเนื้อของลูกอักเสบได้
- วัย3-6 เดือน ไม่ได้ประคองหลัง เด็กวัยนี้แม้กล้ามเนื้อคอจะพัฒนาจนชันคอได้แล้ว แต่กล้ามเนื้อหลังยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ จึงทำให้กล้ามเนื้อหลังของลูกอักเสบได้
- อุ้มเขย่าหรืออุ้มโยน ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เนื่องจากทำให้เลือดออกในสมองของลูกได้
- อุ้มลูกในท่าที่คอพับหรือหงายเกินไป ทำให้ลูกหายใจได้ไม่สะดวก ควรสังเกตลูกตลอดว่าคอลูกพับลงมาจนทำให้คางติดหน้าอกหรือเปล่า หรือว่าอุ้มแล้วลูกแหงนหน้าจนเกินไปหรือไม่
- อุ้มเข้าเอวเป็นเวลานาน ทำให้กล้ามเนื้อลูกและกล้ามเนื้อของพ่อแม่อักเสบได้ และลูกจะเห็นมุมมองที่ซ้ำๆ เดิมๆ ไม่เห็นมุมมองใหม่ๆ ทำให้ไม่เกิดการเรียนรู้ส่งผลต่อพัฒนาการของลูกด้วย
- อุ้มลูกนอน คุณพ่อคุณแม่บางคนอุ้มลูกจนหลับไป แต่ลืมระมัดระวังศีรษะของลูก หากอุ้มพาดบ่าลูกอาจจะหลับคอพับคออ่อน นอกจากจะเป็นอันตรายต่อกล้ามเนื้อของลูกแล้ว ยังอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
อุ้มแบบนี้ลูกแฮปปี้
- วัย 0-3 เดือน ต้องอุ้มประคองคอและหลังตลอดเวลา
- วัย 3-6 เดือน ต้องอุ้มประคองหลังตลอดเวลา
- วัย 6 เดือนขึ้นไป ไม่ควรอุ้มตลอดเวลา พัฒนาการตามวัยของลูกคือการนั่ง จึงควรให้ลูกได้นั่งบ่อยๆ
- ไม่ควรอุ้มลูกทั้งวัน ควรให้ลูกมีเวลานอนยืดเหยียดแขนขา บนเบาะนอนที่อยู่ในสายตาคุณพ่อคุณแม่
- ควรอุ้มอย่างมีจุดประสงค์ เช่น อุ้มดูดนม อุ้มไล่ลม อุ้มไปดูสิ่งต่างๆ อุ้มเพื่อเปลี่ยนสถานที่

ก่อนมีลูก คุณแม่ไปทำหน้าอกเสริมซิลิโคนมา พอมีลูกแล้วยังสามารถให้นมลูกได้ปกติไหม หรือต้องผ่าตัดเอาซิลิโคนออก เรามีคำแนะนำค่ะ
คุณแม่เสริมหน้าอกซิลิโคน แม่ทำนมมายังให้นมลูกได้ปกติไหม
คุณแม่ผ่าตัดเสริมหน้าอกซิลิโคน คุณแม่ทำนมมาจะมีผลกับการผลิตน้ำนมไหม
การศัลยกรรมตกแต่งเสริมหน้าอกทั้งแบบซิลิโคน หรือ ใช้ถุงน้ำเกลือกับการให้นมลูก ประเด็นสำคัญที่แม่ต้องรู้คือ เรื่องของการตัดเอาท่อน้ำนมหรือต่อมน้ำนม และเส้นประสาทออกไปหรือไม่ เพราะอาจทำให้กลไกน้ำนมพุ่ง "Let Down Reflex" ขาดหายไป การส่งกระแสประสาทให้เกิดการสร้างน้ำนมก็จะลดลงหรือหายไปได้ ถ้ายังคงอยู่ดีก็ไม่มีผลกระทบโดยตรงกับการให้นมค่ะ และยังสามารถใช้หลักการเดิม คือ 3 ดูด ดูดโดยเร็ว ดูดบ่อย ดูดถูกวิธี ยิ่งดูดมากน้ำนมยิ่งมากได้เหมือนเดิมค่ะ
การศัลยกรรมเสริมหน้าอก เพิ่มขนาดหน้าอกอาจทำโดยการสอดใส่ถุงน้ำเกลือหรือถุงซิลิโคนเข้าไปใต้เต้านม สมัยนี้มักสอดเข้าบริเวณรักแร้หรือบริเวณอื่นที่ไม่มีการตัด ตกแต่งบริเวณหัวนม กลุ่มนี้มักไม่มีปัญหาจากการตัดท่อน้ำนมหรือต่อมน้ำนม ต่างจากกลุ่มที่ตัดหรือลดขนาดของเต้านม ที่มักมีการตกแต่งบริเวณหัวนม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมีความแตกต่างกันตามเทคนิคที่แพทย์ แต่ละท่านทำและการให้ความสำคัญกับการให้นมลูก โดยเฉพาะคนที่ตัดสินใจทำศัลยกรรมประเภทนี้ในวัยที่ยังอาจมีลูกได้ ถ้ายังไม่ทราบว่าผ่าตัดแบบไหนก็คงต้องถามแพทย์ที่ทำให้ค่ะ
ดังนั้น...
- ผ่าตัดเสริมหน้าอกใส่ซิลิโคน ถุงน้ำเกลือ ฯลฯ ที่เต้า หรือ ทางรักแร้ สามารถให้นมได้ไม่มีปัญหา
- ถ้าผ่าตัดลดขนาด หรือผ่าตัดบริเวณหัวนม ในบางกรณีอาจมีความเสี่ยงตัดเอาท่อน้ำนมหรือต่อมน้ำนม และเส้นประสาทออกไป ทำให้มีผลกับการให้นมได้ ต้องปรึกษาคุณหมอก่อน

ภาพประกอบ: http://www.tncmedic.com/
แม่ศัลยกรรมเสริมหน้าอก ทำนมมา เมื่อให้นมลูกแล้วหน้าอกจะเบี้ยวไหม
คุณแม่ที่ผ่าตัดหน้าอกมาอาจลังเลว่า ให้นมลูกแล้วเต้านมจะเสียทรงจากที่ทำมาไหม สำหรับผู้ที่คิดว่าหลังจากให้นมบุตรแล้วหน้าอกเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปร่างจนอยู่ตัวแล้วไม่เปลี่ยนแปลงอีกก็สามารถทำได้ แต่สำหรับใครที่แพลนจะมีลูกต่อไป คุณหมอมักจะแนะนำว่าหน้าอกอาจมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างอีก หากทำแล้วอาจต้องมีการแก้ไข
แม่ศัลยกรรมเสริมหน้าอก ทำนม มีผลต่อปริมาณน้ำนมไหม
โดยส่วนใหญ่จะพบว่า แม่หลังจากผ่าตัดเสริมเต้านมสามารถประสบความสำเร็จในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ได้เท่ากับคนที่ไม่ได้ผ่าตัด มีบางรายที่มีอาการชาหรือหมดความรู้สึกที่บริเวณลานนม หรือหัวนมซึ่งอาจใช้เวลาในการฟื้นฟูกลับเป็นปกติได้ในเวลา 6 เดือนหลังผ่าตัด หรือบางรายอาจเป็นถึง 2 ปีแล้วแต่กรณี ผู้ที่ผ่านการผ่าตัดอาจรู้สึกไม่มั่นใจว่า จะมีน้ำนมพอให้ลูกกินหรือไม่ ขอแนะนำให้ทำในสิ่งต่อไปนี้
- พยายามอย่าใช้ความรู้สึกเป็นตัวตัดสินดูที่สุขภาพลูกเป็นหลัก
- หมั่นให้ลูกกินนมอย่างสม่ำเสมอ กินอย่างถูกวิธี
- สวมเสื้อยกทรงหรือมีสิ่งประคับประคองเต้านมไว้เสมอ โดยไม่ให้หลวมหรือคับแน่นจนเกินไป
- อย่าให้มีการดึงรั้งหัวนมหรือเต้านม เช่น การดึงเอาหัวนมออกจากปากลูก ฯลฯ
- ดูแลตนเองโดยการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ พักผ่อน และมีจิตใจที่แจ่มใส
- ถ้าจำเป็นต้องกระตุ้นน้ำนมให้ลูกดูดกระตุ้นที่เต้าก่อนเสมอ
- สามารถบีบเก็บน้ำนมด้วยมือหรือปั้ม เพื่อใช้เสริมให้ลูกในกรณีที่จำเป็น โดยให้นมลูกผ่านทางสายยางขนาดเล็ก หรือใช้หยดที่มุมปากตอนดูดจากเต้าก็ได้
- ใช้การเสริมด้วยนมชงเป็นทางเลือกสุดท้าย ถ้าแสดงอาการน้ำนมที่ได้ไม่พอ
แม่นมเล็ก หน้าอกเล็ก จะมีน้ำนมน้อยไม่พอเลี้ยงลูก เรื่องนี้จริงเท็จแค่ไหน เรามีคำตอบเพื่อให้คุณแม่ทุกคนสามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้เต็มที่ค่ะ
จริงไหม? แม่นมเล็กจะมีน้ำนมน้อยไม่พอเลี้ยงลูก เพราะปริมาณน้ำนมขึ้นอยู่กับขนาดเต้านม
หน้าอกเล็กหรือใหญ่ไม่มีผลต่อน้ำนมเลย เพราะนมแม่เป็นต่อมชนิดหนึ่งเหมือนต่อมเหงื่อ แบ่งเป็นกลีบประมาณ 10–15 กลีบ ประกอบด้วย 2 ส่วนสำคัญ คือ
- ส่วนที่เป็นต่อมและท่อ ซึ่งมีหน้าที่หลักในการผลิตและลำเลียงน้ำนม
- ส่วนที่เป็นเนื้อเยื่อข้างเคียง และทำหน้าที่เหมือนเป็นโครงช่วยประสานให้ส่วนของต่อมและท่อเกาะกลุ่มกันเป็นรูปทรง เป็นส่วนที่มีไขมันเป็นส่วนประกอบหลัก ซึ่งขนาดของเต้านมจะใหญ่หรือเล็กก็เนื่องมาจากส่วนเนื้อเยื่อไขมันเหล่านี้ ซึ่งไม่ได้มีผลต่อการสร้างปริมาณน้ำนมแต่อย่างใด
ปริมาณน้ำนมแม่ขึ้นอยู่กับอะไร
สิ่งที่มีผลต่อปริมาณน้ำนมที่แม่ผลิต คือ “โปรแลคติน” ซึ่งเป็นฮอร์โมนสำคัญที่กระตุ้นให้เซลล์ผลิตน้ำนมออกมา ฮอร์โมนตัวนี้ผลิตขึ้นที่ต่อมใต้สมองของคุณแม่ และจะหลั่งออกมาในปริมาณมากขณะตั้งครรภ์ และจะลดปริมาณลงทันทีหลังคลอด อย่างไรก็ตามระดับโปรแลคตินนี้จะเพิ่มสูงขึ้นทันที หลังคุณแม่ให้ลูกดูดนม และลดลงอย่างรวดเร็วหลังให้นมเสร็จ ดังนั้นคุณแม่ที่ให้ลูกดูดนมบ่อย ๆ ก็เท่ากับเป็นการกระตุ้นการหลั่งโปรแลคตินนั่นเอง
ในทางตรงข้ามคุณแม่ที่ไม่ได้ให้ลูกดูดนมอย่างต่อเนื่อง หรือมีความเครียดสูง ก็จะส่งผลต่อการหลั่งฮอร์โมนโปรแลคตินเช่นกัน ดังนั้นปริมาณน้ำนมที่ผลิตจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความถี่ในการกระตุ้นเป็นสำคัญ ซึ่งอาจมาจากทารกดูดเองจากเต้าหรือจากคุณแม่บีบกระตุ้นเพื่อเก็บน้ำนมเองก็ได้
อ้างอิงข้อมูลจาก: www.si.mahidol.ac.th

ฟันซี่แรกถึงไม่ใช่ฟันแท้แต่พ่อแม่ก็ต้องดูแล เพราะถ้าปล่อยให้ฟันน้ำนมของลูกผุ จะส่งผลต่อรากฟันและสุขภาพฟันของลูกในระยะยาวได้เลย
ดูแลฟันลูกตั้งแต่ซี่แรก ช่วยป้องกันฟันผุตั้งแต่เล็ก
ข้อมูลจากกรมอนามัยพบว่า มีเด็กไทยกว่าครึ่งประเทศที่มีปัญหาฟันน้ำนมผุ เนื่องจากพ่อแม่ส่วนใหญ่มักจะคิดว่าฟันซี่แรกของลูกหรือฟันน้ำนมเดี๋ยวก็หลุดไป จึงขาดการเอาใจใส่ดูแล และจะเริ่มดูแลเมื่อฟันแท้ขึ้น
แต่ความจริงแล้ว เมื่อฟันน้ำนมผุอาจบานปลายไปถึงการเป็นหนองที่ปลายรากฟัน ส่งผลให้ต้องรักษาด้วยวิธีการที่ซับซ้อน มีค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้นพ่อแม่ควรเริ่มดูแลฟันของลูกตั้งแต่ซี่แรก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบในระยะยาว โดยการใช้แปรงสีฟันที่มีขนาดเล็กและมีขนแปรงที่นุ่มเป็นพิเศษ ควบคู่กับยาสีฟันที่เหมาะสำหรับเด็กทารก
การป้องกันฟันผุตั้งแต่แรกเกิด
การให้ทารกแรกเกิดกินนมแม่อย่างเดียวจนถึง 6 เดือน จะทำให้เกิดฝ้าขาวในปากน้อยกว่านมขวด ส่วนวิธีทำความสะอาดช่องปากเด็กที่ฟันยังไม่ขึ้นสามารถทำได้ดังนี้
1. ใช้ผ้าสะอาดพันที่บริเวณปลายนิ้วมือ เช็ดบริเวณเหงือกและฟันของลูกให้ทั่วช่องปาก
2. สำหรับเด็กที่กินนมผงหรือนมกล่องไม่ควรปล่อยให้ลูกหลับคาขวดนม
3. เมื่อลูกโตขึ้นควรเลือกแปรงสีฟันและยาสีฟันที่เหมาะสมสำหรับเด็ก ควรใช้ยาสีฟันในปริมาณเล็กน้อย หรือตามที่ฉลากข้างกล่องแนะนำแปรงฟันเป็นแนวนอน เมื่อแปรงเสร็จแล้วให้ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำหมาด ๆ เช็ดคราบยาสีฟันออกให้หมด

สำหรับเด็กวัย 0-3 ปี พ่อแม่ควรเป็นผู้ทำความสะอาดช่องปากให้ลูก เมื่อลูกอายุ 3 ปีขึ้นไป ควรให้เขาหักแปรงฟันเองโดยพ่อแม่เป็นผู้ตรวจความสะอาดซ้ำ จนถึงอายุประมาณ 8-9 ปี หรือลูกสามารถช่วยเหลือตนเองได้ ผูกโบว์หรือเชือกรองเท้าเป็น ติดกระดุมเป็น ก็สามารถสอนวิธีดูแลรักษาฟันที่ถูกต้องให้กับลูกได้
กรมอนามัยแนะนำหลักการแปรงฟันแบบ 2-2-2 คือ
- แปรงฟันวันละ 2 ครั้ง ด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์
- แปรงฟันนานอย่างน้อย 2 นาที ให้สะอาดทั่วทั้งปาก ทุกซี่ ทุกด้าน
- ไม่กินขนม หรืออาหารหวานหลังแปรงฟัน 2 ชั่วโมง
หากพบว่าลูกแปรงฟันไม่สะอาดพ่อแม่ต้องแปรงซ้ำให้สะอาดอีกครั้งค่ะ ควรใช้ไหมขัดฟันทำความสะอาดระหว่างซอกฟันให้ลูกทุกวัน เพื่อลดการตกค้างของเศษอาหารในซอกฟัน และควรแนะนำลูกว่าอย่ากินอาหารที่มีน้ำตาลมากเกินไป เช่น ขนมขบเคี้ยว ลูกอม ลูกกวาด น้ำหวานหรือน้ำอัดลม เพราะหากมีน้ำตาลตกค้างที่บริเวณฟัน น้ำตาลจะแปรสภาพเป็นแบคทีเรีย และกัดกินเนื้อฟัน ส่งผลให้เกิดอาการฟันผุ
ที่มา : กรมอนามัย

น้ำนมไหลก่อนคลอดเป็นอาการผิดปกติหรือไม่ แม่ตั้งครรภ์ที่มีน้ำนมไหลก่อนคลอดจะต้องดูแลเต้านมอย่างไร และต้องกังวลไหม เรามีคำแนะนำค่ะ
น้ำนมไหลก่อนคลอด น้ำนมใสไหลออกจากเต้าตอนตั้งครรภ์ผิดปกติไหม
น้ำนมไหลขณะตั้งครรภ์ เต้านมมีน้ำใสไหลออกมาก่อนคลอด เกิดจากอะไร
น้ำนมแม่ไหลตอนตั้งครรภ์ หรือ มีน้ำใสไหลออกจากเต้านมก่อนคลอดลูกเป็นเรื่องปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้กับแม่ตั้งครรภ์ค่ะ สาเหตุเกิดจากร่างกายแม่ตั้งครรภ์มีระดับฮอร์โมนโปรแลคตินปริมาณสูงขึ้น ซึ่งฮอร์โมนนี้กระตุ้นกระบวนการสร้างน้ำนมนั่นเองค่ะ ในคุณแม่ตั้งครรภ์หลายคนอาจมีน้ำใส ๆ ไหลในช่วงตั้งครรภ์ไตรมาสแรกแต่จะพบน้อยมาก ส่วนใหญ่แม่ท้องจะมีน้ำนมหรือน้ำใส ๆ ไหลออกจากเต้าประมาณไตรมาส 3 ค่ะ
น้ำนมไหลขณะตั้งครรภ์ผิดปกติ หรือ อันตรายไหม
น้ำนมแม่ไหลตอนตั้งครรภ์เป็นอาการปกติ ไม่อันตรายค่ะ และคุณแม่ไม่จำเป็นต้องบีบเค้นหรือปั๊มไว้นะคะ ให้ใช้แผ่นซับน้ำนมแม่แปะติดที่เสื้อชั้นในเพื่อซับน้ำนมไม่ให้เปียกเลอะเสื้อก็พอค่ะ
น้ำนมแม่ไหลตอนตั้งครรภ์ส่งผลต่อปริมาณน้ำนมแม่หลังคลอดไหม
น้ำนมแม่ไหลก่อนตั้งครรภ์ไม่ได้มีผลต่อปริมาณน้ำนมแม่หลังคลอดค่ะ น้ำนมแม่หลังคลอดจะมาเยอะหรือน้อยขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ร่างกายคุณแม่เอง อาหารที่แม่กิน การพักผ่อน การให้ลูกเข้าเต้าดูดกระตุ้นสม่ำเสมอ เป็นต้น

สำหรับเด็ก ๆ บ้างบ้านที่จำเป็นต้องดื่มนมเสริม และถึงเวลาต้องเปลี่ยนสูตรนม มีวิธีลดนมเก่า เพิ่มนมใหม่อย่างไร เรามีคำแนะนำค่ะ
วิธีลดนมเก่า เพิ่มนมใหม่ สำหรับเด็กที่ดื่มนมเสริม
ดร. นพ.ประสงค์ เทียนบุญ MD, PhD. หัวหน้าหน่วยโภชนศาสตร์ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้คำแนะนำคุณแม่ที่ต้องการลดนมสูตรเก่า เพิ่มนมสูตรใหม่ไว้ดังนี้ค่ะ
- เปลี่ยนได้ทันทีเลย ในวิธีนี้ต้องสังเกตว่าลูกสามารถรับประทานนมผงอันใหม่ได้ดีหรือไม่ โดยไม่มีผลแทรกซ้อน คือ อาการปวดท้อง ท้องอืด อาหารไม่ย่อย นอนหลับสบาย ไม่โยเย ถ่ายปกติ ท้องไม่เสียและมีการเจริญเติบโตทั้งน้ำหนักและส่วนสูงปกติ ซึ่งควรชั่งน้ำหนักตรวจสอบอาทิตย์ละครั้ง
- เปลี่ยนชนิดของนมเสริมสลับกันระหว่างนมเก่ากับนมใหม่ โดยสลับมื้อกัน เช่น มื้อแรกรับประทานนมผงอันเก่า มื้อต่อไปรับประทานนมผงอันใหม่ สลับกันไปเรื่อย โดยต้องสังเกตอาการของทารกเช่นเดียวกับวิธีแรก
- ผสมนมเก่าและนมใหม่ในขวดเดียวกัน โดยเริ่มต้นอาจผสมนมเก่าสัก 75 % และนมใหม่ 25 % ในมื้อถัดไปค่อยๆ เพิ่มนมใหม่ครั้งละ 25 % ลดนมเก่าลงครั้งละ 25 % เช่นกันในแต่ละมื้อ จนเป็นนมใหม่หมดทั้งมื้อ คุณแม่ต้องสังเกตว่าลูกรับประทานนมได้ดีหรือไม่ในแต่ละมื้อเช่นเดียวกับข้อแรก
ดังนั้นคุณแม่สามารถเลือกเอาเองว่าวิธีไหนสะดวก และเหมาะสมกับลูกมากที่สุดครับ สิ่งที่สำคัญคือ ต้องติดตามการชั่งน้ำหนักและความยาวของลูกเป็นระยะๆ ว่ามีการเจริญเติบโตตามปกติหรือไม่ครับ
หัวนมแตก เจ็บหัวนม คัดเต้า อาการของแม่ให้นมที่มีวิธีป้องกันและดูแลได้เพื่อคุณแม่จะสามารถให้นมลูกได้อย่างสบายอก ลูกกินนมแม่เกลี้ยงเต้า แม่ไม่เจ็บหัวนมและเต้านม
หัวนมแตก เจ็บหัวนม แก้อาการหัวนมแตกได้ด้วย 5 วิธีนี้
- คัดเต้านม ต้องให้ลูกดูด
เวลาที่คุณแม่รู้สึกปวดเต้านมหรือหัวนม ต้องให้ลูกดูดนมนะคะ เพราะจะช่วยให้อาการปวดลดน้อยลง ยิ่งนมแม่ไหลดีเท่าไหร่ อาการปวดก็จะค่อยๆ ลดลงมากขึ้นค่ะ
- แก้อาการคัดเต้าด้วยการนวดเต้านมก่อนให้นม
คุณแม่ควรจะนวดเต้านมก่อนให้นมลูกเป็นประจำ เพราะจะช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนของเลือด และจะทำให้น้ำนมคุณแม่ไหลได้ดี ช่วยให้อาการปวดเต้านมลดน้อยลง
- ทาน้ำนมที่หัวนมช่วยแก้หัวนมแตกได้
เมื่อคุณแม่ให้นมลูกเสร็จ ไม่ต้องเช็ดหัวนมให้แห้งนะคะ ควรปล่อยให้มีน้ำนมชุ่มหัวนมไว้สัก 1-2 หยด หรือบีบมาทาไว้เลยก็ได้ เพราะจะช่วยให้อาการหัวนมแตกลดน้อยลงได้ค่ะ
- ใช้ครีมทาหัวนมให้ชุ่มชื้น รักษาหัวนมแตก
ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาตินะคะ และเมื่อจะให้นมลูกก็ควรเช็ดออกก่อนทุกครั้ง และทาใหม่หลังจากที่คุณแม่ให้นมเสร็จ ช่วยให้อาการเจ็บตึงลดน้อยลงได้ค่ะ
- สวมเสื้อชั้นในเบาสบาย ดูแลเต้านมและหัวนมไม่ให้เจ็บ
เสื้อชั้นในที่คุณแม่ใส่ควรเป็นผ้าฝ้าย ให้หลีกเลี่ยงเสื้อชั้นในมีโครง ดันทรง และรัดแน่นเกินไป เพราะจะทำให้เกิดการกดทับและการเบียดกันของเต้านมค่ะ

เมื่อลูกไม่สบายสามารถกินยาแก้แพ้ได้หรือไม่ ยาแก้แพ้เด็กส่งผลอะไรกับลูกไหม มาหาคำตอบกัน
เด็กทารกกินยาแก้แพ้ทำให้พัฒนาการล่าช้า จริงหรือ?
ถึงเป็นเด็กทารกก็มีโอกาสแพ้ หากครอบครัวมีประวัติภูมิแพ้ แม่ผ่าคลอดและไม่สามารถให้ลูกกินนมแม่ได้ด้วยข้อจำกัดทางด้านสุขภาพ หรือสาเหตุอื่น ๆ ก็เพิ่มโอกาสให้ลูกป่วยภูมิแพ้ได้มากขึ้น และเมื่อเด็กมีอาการแพ้ สามารถกินยาแก้แพ้เด็กได้มั้ย กินแล้วจะมีผลข้างเคียงหรือไม่ ล่าสุดมีการส่งต่อความเข้าใจผิดเกี่ยวกับยาแก้แพ้เด็ก ว่าหากให้เด็กทารกกินยาแก้แพ้ตลอดจะทำให้พัฒนาการช้า
สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (โรงพยาบาลเด็ก) ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่า การให้เด็กทานยาแก้แพ้ตามขนาดและปริมาณที่เหมาะสมโดยแพทย์ไม่ได้ส่งผลต่อพัฒนาการด้านการเรียนรู้ของเด็ก เนื่องจากการทานยาแก้แพ้กลุ่ม Antihistamine จะมีสองกลุ่มคือกลุ่มที่ทำให้ง่วง เช่น chlorpheniramine, hydroxyzine ในกลุ่มนี้จะแนะนำให้ทานเฉพาะช่วงที่มีอาการเพียงสั้น ๆ และกลุ่มที่สองคือกลุ่มที่ไม่ทำให้ง่วง เช่น cetirizine จะใช้ในกลุ่มเด็กโต
สรุปแล้วจากการศึกษาในปัจจุบันนี้การกินยาแก้แพ้ไม่ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของเด็ก อย่างไรก็ตามการกินยาแก้แพ้ในเด็กควรปรึกษาแพทย์ในการใช้ยา ไม่ควรซื้อยากินเอง
ที่มา :
https://childrenhospitalfoundation.org/blogs/2023_03_22_09669/
ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของนวัตกรรมทางการแพทย์ที่น่าทึ่ง มีการพัฒนาเทคโนโลยีและวิธีการรักษาที่ทันสมัย เกี่ยวข้องกับความก้าวหน้าในการวิจัยและพัฒนายา การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการวินิจฉัยและรักษาโรคและส่งเสริมสุขภาพอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังส่งเสริมให้กลุ่มผู้ป่วยและประชาชนเข้าถึงข้อมูลด้านสุขภาพและบริการด้านสุขภาพได้อย่างสะดวกรวดเร็ว นวัตกรรมทางการแพทย์ของประเทศไทยเป็นที่ยอมรับไปทั่วโลกและมีผลกระทบอย่างมากต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนทั่วโลก นวัตกรรมทางการแพทย์มักสนับสนุนคาสิโนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก: The Venetian Macao, B2YClub, MGM Grand Casino เป็นต้น

เรื่องมหัศจรรย์ ทารกจำกลิ่นแม่ได้ตั้งแต่แรกคลอด
คุณแม่รู้มั้ยว่ากลิ่นหอม ๆ ช่วยให้ลูกอารมณ์ดี ยิ่งถ้าเป็นกลิ่นที่คุ้นเคยอย่างกลิ่นตัวของคุณแม่ด้วยแล้ว ลูกยิ่งรู้สึกอบอุ่น และปลอดภัยที่สุดค่ะ
เด็กทารกจํากลิ่นตัวของแม่ได้ตั้งแต่นาทีแรกหลังคลอด
เป็นเรื่องมหัศจรรย์มากค่ะที่จมูกของเด็กทารกไวต่อการรับกลิ่นตั้งแต่นาทีแรกหลังคลอด จะเห็นได้จากเมื่อเราวางทารกแรกเกิดบนตัวแม่เพื่อฝึกเข้าเต้า ทารกจะได้กลิ่นของเต้านมแม่ ทําให้ทารกขยับแนวศีรษะและปากไปยังหัวนมของมารดาได้อย่างแม่นยํา นอกจากนี้กลิ่นของแม่ยังส่งผลต่อการเคลื่อนไหว และการตื่นตัว ทั้งยังช่วยให้การเข้าเต้านั้นประสบความสําเร็จ รวมถึงเป็นปัจจัยสําคัญในการพัฒนาความผูกพันระหว่างทารกและแม่อีกด้วย
กลิ่นกายของแม่ที่มีลักษณะเฉพาะจะเป็นกลิ่นแรกที่ลูกจําได้ค่ะ เนื่องจากสารเคมีในกลิ่นแม่มีลักษณะ ที่คล้ายกับกลิ่นในน้ำคร่ำตอนอยู่ในครรภ์ที่ทารกคุ้นเคยมาตลอดเกือบเก้าเดือน ดังนั้นเมื่อได้กลิ่นของแม่เขาจะแปลความหมายได้ว่าตัวเองกําลังรู้สึกสุขสบาย อบอุ่นและปลอดภัย
นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยอีกว่าเด็กทารกสามารถแยกแยะกลิ่นที่แตกต่างกันได้ เมื่อทดลองเอากลิ่นเหม็น ๆ ให้เด็กดม แรกทีเดียวจะมีอาการสะดุ้ง ต่อมาก็ดิ้นรนพยายามหันศีรษะหนีและในที่สุดก็ร้องไห้
กลิ่นตัวแม่ทําหน้าที่เป็นสัญญาณส่งเสริมความปลอดภัย และ พัฒนาการทางสังคมที่สําคัญของลูก
มีการศึกษาตีพิมพ์ในวารสาร Science Advances พบว่ากลิ่นตัวของแม่ช่วยให้ลูกรู้สึกสงบและปลอดภัย ทั้งยังช่วยลดอาการกลัวคนแปลกหน้า แม้ว่าช่วงเวลานั้นแม่จะไม่ได้อยู่ด้วยก็ตาม แต่ถ้ามีเสื้อผ้าที่มีกลิ่นของแม่อยู่กับลูกในช่วงเวลานั้นจะช่วยให้ลูกรู้สึกดี ทําให้ลดอาการงอแงหรือกลัวคนแปลกหน้าได้
Ruth Feldman นักประสาทวิทยาสังคมจากมหาวิทยาลัย Reisman ในอิสราเอลและทีมได้ศึกษาคุณแม่ 62 คนที่มีลูกวัย 5-9 เดือน โดยให้คุณแม่สวมเสื้อยืดผ้าฝ้ายนอนติดต่อ กัน 2 คืน จากนั้นจึงไปทดลองในห้องแล็บ โดยที่นักวิจัยสวมหมวกอิเล็กโทรดไว้บนศีรษะเด็กทารกเพื่อวัดคลื่นสมองแล้วคอยดูปฏิกิริยาโต้ตอบในสภาวะต่าง ๆ ของพวกเขา
หนึ่งในนั้นคือการทดลองให้เด็กสวมเสื้อยืดของแม่อยู่กับผู้หญิงแปลกหน้าที่อาศัยอยู่ระแวกบ้านของเด็กทารก ปรากฏว่าเด็กที่สวมเสื้อยืดที่มีกลิ่นตัวของแม่สามารถโต้ตอบ ยิ้ม และสบตากับคนแปลกหน้าได้
จากการทดสอบในครั้งนี้พอจะช่วยให้พ่อแม่เข้าใจพฤติกรรมและการเลี้ยงดูเด็กทารกมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อจําเป็นต้องห่างลูก เช่น คุณแม่ต้องกลับไปทํางานหรือทําธุระแล้วต้องฝากให้ ปู่ ย่า ตา ยาย หรือพี่เลี้ยงช่วยดูแลแทน นอกจากนี้การทดลองของ Ruth Feldman และทีม ยังชี้ให้เห็นผลลัพธ์ว่ากลิ่นหอมของแม่เชื่อมโยงกับพัฒนาการทางสังคมและการควบคุมอารมณ์ของเด็กทารกด้วย
วิธีดูแลสุขอนามัยให้แม่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว
- ดูแลเรื่องอาหารการกิน เลี่ยงอาหารที่มีกลิ่นแรง เช่น หัวหอม สะตอ ทุเรียน กุยช่าย ฯลฯ
- กินอาหารที่มีกากใยเช่นผักผลไม้เป็นประจํา และขับถ่ายให้เป็นเวลา ช่วยป้องกันปัญหาท้องผูกได้
- คุณแม่ควรเลือกเสื้อผ้าที่สวมใส่สบาย ไม่รัดแน่นจนเกินไป โดยเฉพาะชุดชั้นในต้องไม่คับจนเกินไปเพราะจะทําให้ร่างกายอับชื้นและมีกลิ่นตัวได้ง่าย
- ดูแลสุขอนามัยส่วนตัว โดยหลังปัสสาวะหรืออุจจาระเสร็จแล้วควรล้างอวัยวะเพศให้สะอาด ด้วยการล้างจากด้านหน้าไปด้านหลัง และใช้กระดาษชําระซับให้แห้ง
- ในวันที่อากาศร้อนคุณแม่สามารถอาบน้ําบ่อย ๆ ได้เพื่อขจัดคราบไคลและกลิ่นตัว
- เมื่อมีประจําเดือนควรล้างอวัยวะเพศให้สะอาด และเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อย ๆ
- คุณแม่สามารถโรลออนหรือน้ําหอมที่สกัดจากธรรมชาติเพื่อลดการอาการแพ้และการระคายเคืองจากสารเคมีได้
- ระหว่างวันอาจใช้แป้งทาตัวช่วยลดกลิ่นเช่น แป้ง ReisCare Plus Forever Youngที่ผสานสารสกัดจากชาขาว มีสารต้านอนุมูลอิสระ มีคาโมมาย วิตามินซีและอี ช่วยฟื้นบำรุงผิวให้แลดูอ่อนเยาว์ สุขภาพดี แป้งข้าวช่วยดูดซับความมัน ให้คุณแม่ผิวแห้งสบายตัว ไม่อุดตัน ย่อยสลายได้ในจุลินทรีย์ธรรมชาติและช่วยลดกลิ่นกายในระหว่างวันได้
เพราะกลิ่นของคุณแม่เป็นกลิ่นเฉพาะตัวที่สำคัญต่อพัฒนาการลูกทารก ดังนั้นอย่าลืมดูแลสุชอนามัยส่วนตัวและกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ด้วยนะคะ
ขอบคุณข้อมูลจาก www.reiscare.com
ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย พญ.นิธิอําไพ โรจน์สุรกิตติ กุมารแพทย์ และแพทย์เชี่ยวชาญพิเศษด้านการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ทางคลินิก ระดับสากล (IBCLC) รพ.เจ้าพระยา
อ้างอิง :
1. คู่มือพัฒนาการเด็ก สำนักพิมพ์รักลูกบุ๊กส์
2. https://www.smithsonianmag.com/science-nature/smelling-moms-scent-may-help-infants-bond-with-strangers-
180979200/
3. Yaara Endevelt-Shapira et al., Maternal chemosignals enhance infant-adult brain-to-brain synchrony.Sci. Adv.7,eabg6867(2021). DOI:10.1126/sciadv.abg6867
4. Porter RH, Winberg J. Unique salience of maternal breast odors for newborn infants. Neurosci Biobehav Rev. 1999;23(3):439-49. doi: 10.1016/s0149-7634(98)00044-x. PMID: 9989430.
แชร์ไว้มีประโยชน์! ตารางความถี่การให้นมลูก เพื่อคุณแม่มือใหม่โดยเฉพาะ
ลูกต้องกินนมแม่วันละกี่ครั้งกี่มื้อ กินมื้อละเท่าไหร่ ตารางนมแม่ที่เรานำมาให้นี้จะช่วยคุณแม่หลังคลอดเลี้ยงลูกได้นมแม่อย่างถูกต้อง ลูกกินครบทุกมื้อและอิ่มหลับสบาย
แชร์ไว้มีประโยชน์! ตารางความถี่การให้นมลูก เพื่อคุณแม่มือใหม่โดยเฉพาะ
วิธีคำนวณปริมาณนมแม่ที่จะให้ลูกกิน
ลูกจะกินนมแม่ 100 -150 ซีซี ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน ตัวอย่างเช่นลูกน้ำหนัก 3 กิโลกรัม จะต้องการน้ำนม 150 x 3 = 450 ซีซี แบ่งกิน 8 มื้อประมาณมื้อละ 60 ซีซี หรือ 2 ออนซ์ ค่ะ
การกินนมของเด็ก
การกินให้พอดีคือการกินให้อิ่ม นอนหลับสบายไม่งอแง น้ำหนักขึ้นตามเกณฑ์ก็เพียงพอ เพราะการบอกจำนวนคงเป็นเรื่องยากสำหรับเด็กที่กินนมจากเต้านมแม่ แต่เรามักใช้เกณฑ์ที่ว่าให้กินนมแต่ละครั้งนานไม่น้อยกว่า 20-30 นาที และให้ได้น้ำนมอย่างน้อย 8 ครั้งต่อวัน และจำนวนครั้งจะลดลงเมื่อโตขึ้นและเริ่มกินอาหารเสริมค่ะ