facebook  youtube  line

10 คำพูด 'สุดยอดกำลังใจ' ที่พูดเมื่อไหร่ ลูกจะลุกขึ้นสู้ ลองใหม่ พร้อมลุยจนสำเร็จ

คำพูดให้ลูกชื่นใจ, คำพูดที่ควรพูดกับลูก, คำพูดให้กำลังใจ, nexventure2018, รู้ก่อนลุย, แอดเวนเจอร์, กิจกรรมแอดเวนเจอร์สำหรับเด็ก, วันหยุด, ปิดเทอม, กิจกรรมยาม, โรงเรียน, บ้าน, ได้รู้จักเพื่อนใหม่, มีสังคมใหม่, กล้าแสดงออก, กิจกรรมครอบครัว, เข้าคอร์สเตะฟุตบอล, เรียนเปียโน, ทำอาหาร, สนับสนุนส่งเสริมลูกให้มีทักษะเพิ่มขึ้น, กิจกรรมเสริมทักษะให้ลูก, ลูกเป็นคนขี้อาย, กิจกรรมที่ส่งเสริมความกล้าแสดงออก, ลูกตีกอล์ฟ, ฝึกสมาธิ, ความมั่นใจในตัวเอง, กิจกรรมกลางแจ้ง, กิจกรรมเหมาะกับบุคลิกเฉพาะตัวของลูก, บุคลิกของลูก, พฤติกรรมและการแสดงอารมณ์, ลูกจะมีทักษะที่ขาดไป, อย่าไปบังคับ, ลูกไม่ชอบดนตรี, พาไปทำกิจกรรมดนตรี, ว่ายน้ำวาดรูป, พ่อแม่ขี้กลัว 

 

10 คำพูด 'สุดยอดกำลังใจ' ที่พูดเมื่อไหร่ ลูกจะลุกขึ้นสู้ ลองใหม่ พร้อมลุยจนสำเร็จ

กำลังใจจากพ่อแม่เป็นสิ่งที่สร้างพลังอันยิ่งใหญ่ให้ลูกเสมอ ยิ่งเวลาที่ลูกต้องทำกิจกรรม แข่งกีฬาสี แข่งขันทักษะความสามารถ หรือทำการแสดงในงานโรงเรียน ลูกทุกคนต้องการกำลังใจจากพ่อแม่มากที่สุด หรือแม้แต่ในเวลาที่ผิดหวัง คำพูดดีๆ จากใจพ่อแม่ก็ช่วยเพิ่มพลังให้กับลูกได้ นี่คือ 10 สุดยอดคำพูดให้กำลังจากพ่อแม่ ที่ลูกได้ยินเมื่อไหร่จะมีพลังสู้สุดพลังแน่นอนค่ะ

  1. พ่อกับแม่รักลูกนะ

พูดพร้อมกับมองหน้าลูก เพื่อถ่ายทอดความจริงใจส่งมอบพลังด้านบวกออกไป เพราะไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด ความรักของพ่อแม่ก็จะอยู่กับลูกเสมอ 

  1. หนูเก่งมากเลย

คำสั้นๆ ที่ลูกได้ฟังแล้วหัวใจต้องพองโต เพราะคำชมจากพ่อแม่เป็นของขวัญล้ำค่าที่ลูกอยากได้ยิน และรู้สึกมีพลังที่สุด 

  1. พ่อกับแม่จะดูหนูอยูตรงนี้นะ

บอกลูกเพื่อให้รู้ว่าพ่อแม่ดูเขาอยู่จริงๆ ยิ่งถ้าลูกทำการแสดงแล้วมองมาเห็นพ่อแม่นั่งยิ้มโบกมือให้ การแสดงวันนั้นต้องราบรื่นอย่างแน่นอน 

  1. สู้ ๆ นะ พ่อกับแม่เป็นกำลังใจให้เสมอ

กำลังใจจากพ่อแม่ที่เติมให้ลูกไม่ขาดจะทำให้เขารู้สึกอยู่เสมอว่าพ่อแม่จะอยู่เคียงข้างเขา เมื่อจะต้องทำกิจกรรมต่างๆ ลูกก็จะรู้สึกฮึกเหิม มีพลังฮึด  

  1. ไม่เป็นไร เรามาพยายามกันใหม่นะ

เมื่อลูกพลาดหวังเสียใจไม่ควรตำหนิหรือลงโทษลูก พ่อแม่ควรให้กำลังใจแก่ลูก และการใช้คำว่า “เรา” ทำให้ลูกรู้สึกว่าเขาไม่ได้เผชิญความผิดหวังคนเดียว แต่พ่อแม่ยังรู้สึกร่วมไปกับเขาและพร้อมจะเริ่มต้นใหม่ด้วยกัน 

  1. พ่อกับแม่ภูมิใจในตัวลูกมากเลยนะ

นอกจากให้กำลังใจที่ดีแล้ว ลูกจะรู้จักคุณค่าในตนเอง เวลาจะคิดจะทำอะไรก็จะนึกถึงพ่อกับแม่ก่อนเสมอ 

  1. ทำให้สนุกนะลูก พ่อกับแม่จะคอยดูผลงาน

คำพูดที่ลูกจะไม่รู้สึกกดดัน ว่าต้องชนะหรือได้ที่ 1 แต่ลูกจะตั้งใจทำงานหรือทำกิจกรรมให้ดีที่สุด ด้วยความสุข สนุกสนาน 

  1. พ่อกับแม่เชื่อมั่นว่าหนูต้องทำได้

ประโยคสั้นๆ แต่ได้ใจความ ทำให้ลูกมีพลังใจในการทำสิ่งต่างๆ ให้สำเร็จลุล่วงได้เป็นอย่างดี 

  1. ลูกทำได้ดีมากจ้ะ ดีกว่าตอนที่พ่อกับแม่อายุเท่าหนูอีกนะ

คำชมง่ายๆ ที่อาจพูดเกินจริง แต่ก็สร้างพลังใจ และความภูมิใจให้ลูกได้ไม่น้อย 

  1. ถึงหนูจะผิดหวัง แต่พ่อกับแม่รู้ว่าหนูทำดีที่สุดแล้ว

คำปลอบใจที่สอนลูกจักความผิดหวัง แต่ก็ไม่จมกับความทุกข์ ทั้งสร้างกำลังใจมลูกมีแรงฮึดขึ้นสู้อีกครั้ง 

ลองเลือกคำพูดเหล่านี้ไปใช้ให้กำลังใจลูกกันนะคะ หรือถ้าใครมีคำพูดที่มากกว่านี้ก็อย่าเก็บไว้คนเดียวในใจค่ะ ควรพูดให้ลูกได้ยิน เพราะลูกต้องการความรักและพลังจากพ่อแม่มาใช้ในการพัฒนาตัวเองในทุกๆ วันนะคะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก





 

10 เคล็ดลับสร้างลูกให้เป็นเด็กจิตใจดี

การเลี้ยงเด็ก, สอนลูกให้จิตใจดี, สอนลูกให้เป็นคนดี, เลี้ยงลูกให้น่ารัก, สอนลูกให้น่ารัก, สอนลูกให้เป็นจิตใจดี 

10 เคล็ดลับสร้างลูกให้เป็นเด็กจิตใจดี

เวลาพาลูกไปไหนแล้วใครต่างก็ชื่นชมว่าลูกเป็นเด็กดีน่ารัก คนที่อดภูมิใจไม่ได้คงไม่พ้นพ่อกับแม่ แต่สิ่งที่มากกว่าความภาคภูมิใจในตัวลูกก็คือความเชื่อมั่นว่าเมื่อโตขึ้นเขาจะประคองตนเองเป็นคนที่ดีและมีภูมิคุ้มกัน สามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้เป็นอย่างดี

ซึ่งการสร้างเด็กให้เป็นคนมีจิตใจดี มีน้ำใจต่อผู้อื่น เพื่อสังคมมีความน่าอยู่มากขึ้น มีวิธีดังนี้ค่ะ

1. พูดว่า”ไม่”บ้าง ไม่ควรซื้อของให้ทุกอย่างแม้ว่าพ่อแม่จะจ่ายได้ ให้คิดไตร่ตรองก่อนว่าควรจะซื้อให้ลูกดีไหม ถ้าไม่จำเป็นก็พูดว่าไม่บ้างจะดีกว่า เพื่อลูกจะได้เรียนรู้เรื่องความพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี

2. แสดงการขอบคุณด้วยการกระทำ นอกจากจะสอนให้ลูกรู้จักการพูดขอบคุณแล้ว ต้องสอนให้ขอบคุณด้วยการยกมือไหว้ เพื่อบอกถึงความรักและขอบคุณที่พ่อแม่หรือคนรอบข้างใจดี มีน้ำใจกับเขาอย่างจริงใจ  

3. ให้เด็กๆ เอาเสื้อผ้า หรือของเล่นไปบริจาคให้กับผู้ที่ต้องการ โดยพาเด็กๆ ไปยังสถานที่ที่จะบริจาคสิ่งของด้วยกัน ให้เขาได้มีส่วนร่วม และทำเป็นประจำ จะทำให้ลูกมีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และเคารพผู้อื่นมากขึ้น

4. เลือกสังคมที่เลี้ยงลูกไปในแนวทางเดียวกัน หากลูกอยู่ในสังคมที่ต่างฝ่ายต่างโอ้อวดกัน ไม่มีความตั้งใจในการเลี้ยงดู ความตั้งใจที่จะทำให้ลูกมีจิตใจดีอาจล้มเหลวลงได้ ดังนั้น ควรให้ลูกอยู่ในสภาพแวดล้อม หรือสังคมที่มีเป้าหมายในการเลี้ยงลูกเหมือนกัน จะทำให้ลูกมีนิสัยอย่างที่เราคาดหวังได้

5. สอนลูกให้เขียนการ์ดขอบคุณ หรือทำการ์ดแทนคำขอบคุณตามจินตนาการของเขา เพื่อแสดงความรู้สึกนึกคิดที่แท้จริงออกมา

6. ไม่ซีเรียสกับความล้มเหลว ให้ลูกได้เรียนรู้ความผิดหวังบ้าง เพราะความล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จ และช่วยพัฒนาเด็กๆ ให้ประสบความสำเร็จได้

7. ไม่ส่งเสริมให้ลูกซื้อของหลาย ๆ อย่าง หากลูกอยากได้ตุ๊กตา ควรให้เลือกตัวที่ชอบและรู้สึกรักที่สุดเพียง 1 ตัว และคอยชื่นชมว่าเขาเลือกสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว จะทำให้ลูกมีความจริงใจให้กับสิ่งของที่เลือก

8. พูดคุยกับปู่ย่าตายาย ถึงวิธีการเลี้ยงดูให้มีการเลี้ยงไปในแนวเดียวกัน โดยมอบความรัก ความใส่ใจให้กับหลานมากกว่าที่จะให้ขนมและเงินทอง

9. สอนให้รู้จักค่าของเงิน รู้จักการออมเงิน การวางแผนการเงิน ถ้าสอนตั้งแต่เด็กๆ จะทำให้ลูกมีพื้นฐานการบริหารการเงินที่ดี มีความซื่อสัตย์ รู้จักอดออม

10. บอกเล่าประสบการณ์ของพ่อแม่เอง ว่าการที่พ่อแม่มีฐานะมั่นคง ได้รับมรดกตกทอดมาอย่างไร หรือพ่อแม่สร้างฐานะได้อย่างวันนี้ มีเงินทองในการดูแลลูก ต้องทำงานและได้เงินมาอย่างไร เพื่อให้ลูกได้รับรู้ถึงอุปสรรคต่างๆ ของพ่อแม่ จะทำให้เด็กๆ มีเหตุผล รู้จักคิด รู้จักคุณค่าของสิ่งของต่างๆ มากขึ้น

10 เทคนิคง่าย ๆ แก้ไขปัญหาเด็กสมาธิสั้น

การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก 

โรคสมาธิสั้นในเด็ก หากไม่ได้รับการดูแลหรือแก้ไขที่ถูกต้อง ก็จะส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของลูกโดยตรง เพราะฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องตื่นตัวเรื่องนี้แล้วนะคะ หากสงสัยว่าลูกมีแนวโน้มว่าจะสมาธิสั้น หรือลูกกำลังเป็นโรคสมาธิสั้นอยู่ ก็สามารถนำเทคนิคง่ายๆ ในการฝึกลูกให้มีสมาธิขึ้น ไปใช้กับลูกได้เลยค่ะ  

10 เทคนิคง่าย ๆ แก้ไขปัญหาเด็กสมาธิสั้นได้

โรคสมาธิสั้นในเด็ก หากไม่ได้รับการดูแลหรือแก้ไขที่ถูกต้อง ก็จะส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของลูกโดยตรง เพราะฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องตื่นตัวเรื่องนี้แล้วนะคะ หากสงสัยว่าลูกมีแนวโน้มว่าจะสมาธิสั้น หรือลูกกำลังเป็นโรคสมาธิสั้นอยู่ ก็สามารถนำเทคนิคง่ายๆ ในการฝึกลูกให้มีสมาธิขึ้น ไปใช้กับลูกได้เลยค่ะ  

  1. อย่าเปิดทีวี ให้มีเสียงดังจนเกินไป หรือสภาพแวดล้อมในบ้านต้องไม่วุ่นวายหรือมีการทะเลาะกันบ่อยครั้ง

  2. หามุมสงบสำหรับเด็ก เพื่อให้เกิดสมาธิในการทำการบ้าน

  3. ฝึกฝนวินัยให้เด็ก สร้างกรอบกฎเกณฑ์ มีตารางเวลาชัดเจน ไม่ปล่อยละเลยหรือตามใจ  

  4. มีการสื่อสารที่สั้นและชัดเจน หากไม่แน่ใจให้เด็กทบทวนว่าสิ่งที่สั่งสอนไปคืออะไรบ้าง

  5. มีความเข้าใจในพฤติกรรมของเด็กสมาธิสั้นอย่างจริงจังและจริงใจ

  6. จัดสภาพแวดล้อมในบ้านให้เกิดความมีระเบียบ ไม่ปล่อยให้บ้านรกรุงรัง

  7. อย่าทำให้เด็กรู้สึกว่าตนเองมีปมด้อย

  8. ไม่ควรจับกลุ่มให้เด็กสมาธิสั้นอยู่ใกล้ชิดกับเด็กที่มีปัญหาแบบเดียวกัน เพราะจะทำให้กลายเป็นเด็กที่เกเรก้าวร้าวได้

  9. ส่งเสริมจุดแข็งข้อดีในตัวเด็ก เพื่อให้เด็กรู้สึกดี และเกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง

  10. จัดกิจกรรมที่สร้างสรรค์ให้ได้ใช้เวลาว่างอย่างมีประโยชน์ และใช้พลังงานส่วนเกินอย่างเหมาะสม รวมถึงเป็นการฝึกสมาธิไปในตัว เช่น ออกกำลังกาย หรือเล่นดนตรี ตามที่เด็กสนใจ  

 

โดย : พญ.ศุภรา เชาว์ปรีชา จิตแพทย์และแพทย์ที่ปรึกษา รพ.วิภาวดี

100 วิธีง่าย ๆ เลี้ยงลูกมีความสุขทุกวัน

มีความสุข- ทำให้ลูกมีความสุข- เคล็ดลับ- เทคนิค- เคล็ดลับการเลี้ยงลูก- การเลี้ยงลูก

100 วิธีง่าย ๆ เลี้ยงลูกมีความสุขทุกวัน

ลูกคือดวงใจของคนเป็นพ่อแม่ มาดูวิธีง่าย แสนง่าย ของการสร้างความสุขให้กับลูกกันดีกว่า เชื่อว่าพ่อแม่ทุกคนทำได้แน่นอนค่ะ
    
        บอกกับลูกตรงๆ ว่า
       1.พ่อแม่รักลูก
       2.ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นพ่อกับแม่ก็ยังคงรักลูก
       3.พ่อแม่รักลูกแม้ว่าเวลาที่ลูกโกรธพ่อแม่
       4.พ่อแม่รักลูกแม้ว่าเวลาพ่อแม่โกรธลูก
       5.พ่อแม่รักลูกแม้ว่าเราอยู่ไกลกันความรักของพ่อและแม่ก็ยังส่งไปถึงลูกเสมอ
       6.ถ้าจะให้พ่อแม่เลือกเด็กวัย 4, 5 หรือ 6 ขวบ.....ทั่วทั้งโลก พ่อแม่จะเลือกลูก
       7.พ่อแม่รักลูกตั้งแต่พระจันทร์เดินทางไปรอบๆ ดวงดาวต่างๆ ทุกดวง ไปรอบโลกและกลับมาอีกครั้งหนึ่ง
       8.ขอบคุณพระเจ้า/สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ลูกเกิดมาเป็นลูกของพ่อแม่
       9.พ่อแม่ดีใจที่ได้เล่นกับลูกวันนี้
       10.ช่วงที่มีความสุขในวันนี้คือตอนที่พ่อแม่เล่นกับลูก
       
       เล่าเรื่อง
       11.เล่าเรื่องตอนลูกเกิดให้ลูกฟัง
       12.เล่าให้ฟังว่าเรากอดลูกอย่างไรตอนลูกยังเป็นทารก
       13.เล่าว่าได้ชื่อลูกมาอย่างไร
       14.เล่าให้ลูกฟังว่าตอนที่อยู่ในช่วงวัยเดียวกันกับลูกพ่อแม่เป็นอย่างไร
       15.เล่าเรื่องคุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยายและคุณพ่อคุณแม่พบรักกันได้อย่างไร
       16.บอกลูกว่าเราชอบสีอะไร
       17.เมื่อจับมือลูกและบีบ 3 ครั้งนั่นเป็นโค้ดลับว่า พ่อแม่รักลูก
       18.เล่าให้ลูกฟังว่าบางครั้งพ่อแม่ก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน
       19.บอกลูกว่าแผนการในอนาคตของครอบครัวที่วางไว้คืออะไร
       20.ผลัดกันเล่าว่าวันนี้พ่อแม่ทำอะไรบ้าง และวันนี้ลูกทำอะไรบ้าง
       
       เล่นด้วย
       21.เกมแตะแข็ง
       22.หมากเก็บ
       23.ตี่ จับ
       24.ลิงชิงบอล
       25.ทดสอบความจำ
       26.รี รี ข้าวสาร
       27.สายลับ หาอะไรที่ซ่อนอยู่
       28.บก น้ำ อากาศ
       
       บทบาทสมมติ
       29.จับจูบที่ลูกส่งให้แล้วเอาไปหอมแก้มลูกอีกครั้ง
       30.เล่นจั๊กจี้กับลูก
       31.ตบมือ ไฮไฟ (High Five) ทำทีว่าลูกมีกำลังมากจริง ๆ จนเกือบจะทำพ่อแม่ล้ม (High Five คือการตบมือด้วยมือข้างใดข้างหนึ่งกับผู้อื่นเมื่อประสบความสำเร็จหรือพอใจอะไรบางอย่าง)
       32.สำรวจโลกมหัศจรรย์ใหม่ นั่นคือสวนหลังบ้าน
       33.สมมติว่าจัดเลี้ยงที่บ้าน
       34.เล่นเป็นตัวตลกกัน
       
       พยายาม
       35.นอนหลับให้เพียงพอ
       36.ดื่มน้ำให้เพียงพอ
       37.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
       38.ใส่ชุดที่จะทำให้ลูกรู้สึกมั่นใจและสบาย
       39.หาคำปรึกษา หรือพัฒนาตนเองจากแหล่งความรู้ต่างๆ
       40.ใช้วิธีสัมผัสที่ยิ่งใหญ่มากกว่าการพูดบางสิ่งบางอย่าง
       41.เต้นรำกับลูก
       42.ให้ลูกเลือกดนตรีที่ชอบในรถ
       43.ทำท่าตีลังกา ใช้หัวยืนแทนเท้า ให้ลูกดู
       44.เมื่อเห็นงานที่ต้องทำ เข้าช่วยหรือช่วยทำความสะอาดทันที
       45.ใช้เสียงที่นุ่มนวลสุภาพกับลูกเสมอ
       46.อ่านเรื่องและคำกลอนตลกๆ ด้วยกัน
       47.อ่านนิทานร่วมกัน
       48.อ่านหนังสือที่สมัยเด็กที่เราชอบให้ลูกฟัง
       49.อ่านเรื่องตามเวปที่มีนิทานที่เด็กชอบ
       50.อ่านหนังสือใต้ต้นไม้
       51.พาลูกไปอ่านหนังสือที่มุมเด็กในห้องสมุดด้วยกัน
       52.คุยเรื่องตัวการ์ตูนที่ลูกชอบแต่เราอาจไม่สนใจเท่าไหร่นัก
       53.เมื่อถึงอายุที่เหมาะสมเล่าเรื่องจริงที่เหมาะกับพัฒนาการ

            นักฟังที่ดี
       54.ฟังเรื่องที่ลูกเล่าในรถ
       55.ฟังเรื่องที่ลูกเล่าขณะที่ลูกต่อไม้บล็อก หรือเล่นตัวต่อ
       56.ตอบคำถามหรือช่วยต่อยอดความคิดให้ลูก
       57.อดทนฟังอย่างตั้งใจเมื่อลูกพูด
       58.ฟังความรู้สึกของลูกเมื่อลูกพูด
       
       ตั้งคำถาม
       59.ทำไมถึงคิดว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้น
       60.ลูกคิดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นถ้าหากว่า.........
       61.เราจะหาคำตอบได้อย่างไร
       62.ลูกคิดอย่างไรกับ......
       63.ลูกชอบช่วงไหนในวันนี้มากที่สุด
       64.ที่โต๊ะอาหาร ลูกชิมแล้วรู้สึกว่าอาหารมีรสชาติอย่างไร.....
       
       ทำให้ดู
       65.ทำให้ลูกดูว่าทำอย่างไร ไม่ใช่ห้ามไม่ให้ทำ
       66.พ่อแม่พูดจาสุภาพเรียบร้อยทั้งกับลูกและซึ่งกันและกัน
       67.สลับบัตรคำในมือ และทำให้เป็นเหมือนสะพานโค้งถ้าทำได้
       68.วิธีตัดผักผลไม้ อย่างปลอดภัย
       69.วิธีการทำงานบ้านที่ถูกต้อง เช่น พับผ้า ล้างจาน
       70.ดูคู่มือ วิธีใช้เมื่อไม่รู้คำตอบ
       71.พ่อแม่แสดงความรักและความห่วงใยต่อกัน
       72.การดูแลตัวเองให้สะอาดอยู่เสมอ
       
       ใช้เวลากับ
       73.การซ่อมแซมของเล่น
       74.ใกล้ชิดกับธรรมชาติ
       75.ให้ลูกช่วยผสมส่วนประกอบของอาหาร
       76.ไปเดินเล่นด้วยกัน
       77.ขุดดินปลูกต้นไม้ด้วยกัน
       78.ทำกิจกรรมต่างๆร่วมกันตามระดับความสามารถของลูก
       79.นั่งเล่นกับลูกๆ
       
       ไว้วางใจ
       80.บอกลูกว่าเขาสามารถทำได้
       81.บอกว่าคุณเป็นพ่อแม่ที่เหมาะกับลูกจริงๆ
       82.บอกลูกว่าแค่มีพ่อกับแม่ก็เพียงพอ
       83.พ่อและแม่จะทำสิ่งที่ดีและเหมาะสมกับครอบครัวเรา                      
       
       เสริมกำลังใจลูก
       84.สร้างความแปลกใจโดยการทำความสะอาดห้องให้ลูก
       85.ชมว่าขนมปังที่ลูกทาแยมอร่อยมาก
       86.เขียนโน้ตส่งความรักให้ลูกในกล่องอาหารกลางวัน
       87.ทำอาหารว่างเป็นรูปรอยยิ้ม
       88.ทำเสียงประกอบขณะทำกิจกรรมช่วยกับลูก
       89.นั่งเล่นที่พื้นกับลูก
                          
       ลืมเรื่องเหล่านี้
       90.ความผิด
       91.คิดทางลบว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น
       92.ตอนถูกเสมอ           
       
       ให้
       93.การมองลูกด้วยสายตาที่อ่อนโยน
       94.ยิ้มให้เสมอเมื่อลูกเดินเข้ามาหาเรา
       95.สัมผัสลูกเมื่อลูกสัมผัสเรา
       96.สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นก่อนที่จะลงวินัยกับลูก หรือแก้ไขลูกเพื่อลูกจะเข้าใจในสิ่งที่เราทำ
       97.เปิดโอกาสให้ลูกได้ระบายสิ่งที่คับข้องใจทุกเรื่อง
       98.เล่นฉีดน้ำกับลูกในวันที่อากาศร้อน
       99.กอดลูกบ่อยๆ
       100...............................ข้อนี้ให้คุณพ่อคุณแม่คิดแล้วเติมเองนะคะ
       
       ถึงแม้ว่าข้อต่างๆ เหล่านี้ดูสั้นๆ ทำง่ายๆ และดูเหมือนจะมีบางข้อที่มีวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามามีส่วนอยู่บ้าง แต่ถ้าหากคุณพ่อคุณแม่สามารถทำให้ลูกสัมผัสถึงความรักได้ไม่ว่าจะเป็นข้อที่คิดขึ้นเองหรือทำตาม/ดัดแปลงจากทั้ง 100 ข้อนี้ ความรักที่ลูกได้รับจากพ่อแม่จะถูกเก็บสะสมไว้ในใจและในความทรงจำของลูกเสมอเพื่อที่เมื่อลูกโตเป็นผู้ใหญ่ลูกจะสามารถมอบความรักเหล่านี้กลับไปสู่ตัวเอง ผู้อื่นและธรรมชาติที่อยู่รอบข้างได้ โลกนี้คงน่าอยู่ขึ้นแยะหากเรารู้จักรักและแบ่งปัน เป็นกำลังใจให้ทุกครอบครัวเสมอค่ะ



3 วิธีสร้างภาวะผู้นำให้ลูก

 การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก-การเรียนรู้

เด็กที่มีความมั่นใจในตนเอง มักเป็นเด็กที่มีการสะสมความภาคภูมิใจในตนเอง จึงมั่นใจในความคิด กล้าที่จะแสดงความเป็นตัวเอง ซึ่งพ่อแม่สามารถสร้างความมั่นใจและภาวะผู้นำให้ลูกได้โดย

 
3 วิธีสร้างภาวะผู้นำให้ลูก

 

1.ให้ลูกรู้จักรับผิดชอบตนเอง ช่วยเหลือตัวเอง และรู้จักแก้ปัญหา

โดยเฉพาะการทำภารกิจต่างๆ ได้ด้วยตนเองตั้งแต่เล็ก เช่น ติดกระดุมได้ ใส่รองเท้าเองได้ ล้มแล้วลุกขึ้นเองได้ การสะสมความรู้สึกประสบความสำเร็จในช่วงเริ่มต้นของชีวิต จะทำให้ลูกเติบโตอย่างมั่นใจในตนเอง เพราะเขาจะไม่กลัวที่จะเผชิญอุปสรรค

แม้แต่ในวัยทารก ความสำเร็จเล็กน้อยก็ทำให้ลูกรู้สึกภูมิใจ เช่น ใช้มือคว้าของเล่นที่อยากได้จนสำเร็จ ใช้แขนช่วยจับราวเพื่อลุกยืนขึ้นเองในวัยเตาะแตะ ใช้มือจับช้อนตักอาหารใส่ปากตนเองได้ ล้มแล้วลุกขึ้นเองได้          

เมื่อลูกผ่านประสบการณ์ชีวิตเช่นนี้ทุกวัน และรู้สึกถึงการเอาชนะอุปสรรคเล็กๆ เหล่านี้ วันละหลายๆ ครั้ง ก็ย่อมสะสมเป็นความมั่นใจในตนเอง แต่บางครั้งในสายตาพ่อแม่ อุปสรรคหรือความท้าทายอันเป็นพัฒนาการตามวัยเหล่านี้ อาจมองเป็นความลำบากของลูก ผู้ใหญ่มักจะยื่นมือเข้าไปช่วยก่อนที่เด็กๆ จะมีโอกาสได้ลองทำด้วยตนเองจนประสบความสำเร็จ

ดังนั้นหากอยากให้ลูกมีความมั่นใจในตนเอง ให้โอกาสลูกทำอะไรด้วยตนเองตั้งแต่เล็กๆ ลองปล่อยเขาบ้าง หากลูกยังทำไม่ได้เองตั้งแต่แรก ให้ลูกได้ลองจนเจอวิธีที่ถูกต้องค่ะ  

 

2.สร้างความภาคภูมิใจในตนเองให้ลูก 

ความภูมิใจมักจะเกิดขึ้นจากการได้รับการยอมรับจากผู้อื่น เช่น การได้รับคำชมเชย การแสดงออกถึงความรักที่มีต่อเด็ก เช่น กอด สัมผัส เป็นต้น  เมื่อเด็กทำสิ่งใดสำเร็จด้วยตนเอง หรือทำสิ่งที่ดี เช่น ช่วยคุณแม่เก็บของ ขอให้รีบใช้โอกาสเหล่านี้สร้างความภาคภูมิใจให้ลูก ด้วยการชมเชย

 

3.ให้ลูกได้ฟังข้อมูลเชิงบวกถึงสิ่งต่าง ๆ รอบตัว

จะทำให้เด็กสะสมข้อมูลเชิงบวก ซึ่งจะช่วยเพิ่มพูนความกล้า และแรงกระตุ้นที่อยากจะทำสิ่งต่าง ๆ ตรงกันข้ามเด็กที่ได้รับข้อมูลเชิงลบมาก ๆ หรือได้ยินคำดุว่า นินทา คำขู่บ่อยๆ จะไม่กล้าที่จะทำอะไร เพราะกลัวจะได้รับคำตำหนิหรือหวาดกลัวตามคำขู่

ดังนั้นพ่อแม่จึงต้องสนับสนุนให้ลูกได้คิดเอง ทำอะไรด้วยตนเองให้มากที่สุด คอยให้กำลังใจ และชมเชยเมื่อลูกทำสำเร็จ เมื่อมีโอกาสอยู่กับลูก ชวนลูกคุย ลูกคิด เมื่อลูกสื่อสารความรู้สึกหรือแสดงความคิดเห็น พยายามรับฟังและทำความเข้าใจในสิ่งที่ลูกพูด  หากลูกทำสิ่งใดไม่ถูกต้อง จะต้องสอนโดยไม่ดุด่า ไม่ตำหนิที่ตัวลูก แต่ให้ตำหนิที่การกระทำ (เช่น การโกหกเป็นสิ่งไม่ดี แม่ไม่ชอบ)

 

รวมทั้งเป็นตัวอย่างและฝึกให้ลูกวางเป้าหมายง่าย ๆ เอง เช่น วันนี้หนูจะทำการบ้านให้เสร็จก่อนกินข้าวเย็น เพื่อให้ลูกมีโอกาสวางแผนและทำให้สำเร็จตามแผนที่วางไว้ค่ะ เมื่อความมั่นใจในตัวเองเพิ่มมากขึ้น  ภาวะความเป็นผู้นำจะค่อย ๆ ปรากฏในตัวลูกค่ะ

 

4 วิธีป้องกันลูกไปกับคนแปลกหน้า โดนลักพาตัว วิธีป้องกันที่พ่อแม่ต้องรู้และสอนลูก

การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก-การเรียนรู้
ข่าวเด็ก ๆ โดนลักพาตัว ไปกับคนแปลกหน้ามีให้เห็นบ่อยมาก ซึ่งเกิดได้ทั้งลูกเล็ก ลูกโต ทั้งที่โรงเรียน สนามเด็กเล่น หรือแม้แต่ห้างที่มีคนพลุกพล่าน พ่อแม่จึงต้องหาวิธีป้องกันไม่ให้ลูกโดนลักพาตัว รวมถึงสอนให้ลูกปกป้องตัวเองเบื้องต้นด้วยการรู้จักปฏิเสธและไม่ไปกับคนแปลกหน้า เรามี 4 วิธีสอนและป้องกันให้ลูกไม่โดนลักพาตัว และรู้จักปฏิเสธไม่ไปกับคนแปลกหน้ามาแนะนำค่ะ

1.รหัสลับที่รู้กัน

วิธีนี้พ่อแม่ลูกจะต้องสร้างรหัสลับที่รู้กันเอง เพื่อเวลาพ่อแม่ไปรับ ลูกจะต้องถามรหัสนี้ก่อน หรือหากมีความจำเป็นต้องให้ญาติไปรับก็จะต้องรู้รหัสนี้ด้วย เช่น รหัส "เจ้าหญิงเอลซ่ากินกล้วย" เมื่อไปรับลูก ลูกจะต้องถามพ่อแม่ก่อนว่ารหัสคืออะไร เมื่อพ่อแม่ตอบถูกจึงกลับบ้านด้วยกันได้ หากตอบผิด ลูกจะต้องรีบวิ่งไปหาคุณครู

คำแนะนำ

  • รหัสนี้ควรเปลี่ยนทุกสัปดาห์
  • หากจะต้องให้ญาติไปรับแทน ต้องแจ้งรหัสนี้ที่ญาติ และแจ้งครูที่พาน้องมาส่งถึงมือญาติด้วย
  • คุณครูคืออีกหนึ่งคนที่จำเป็นต้องทราบรหัสนี้ ทั้งในกรณีที่พ่อแม่หรือญาติมารับ
-------------------------------------------------
 
2.สอนให้ลูก "ขออนุญาต" ก่อนเสมอ

วิธีนี้ต้องปลูกฝังตั้งแต่ลูกเริ่มเข้าใจคำพูดของพ่อแม่ คือ ทุกครั้งที่ลูกจะรับของจากใคร กินอะไร ไปไหน จะต้องหันหน้ามาถามพ่อแม่ก่อนเสมอ หากพ่อแม่อนุญาตถึงทำได้ หากไม่อนุญาตก็จะไม่ได้ทำ เช่น คุณป้า(พี่สาวพ่อ)ให้ขนม ลูกจะยังไม่รับแม้จะโดนคะยั้นคะยอจากป้า แต่จะหันมามองหาพ่อแม่แล้ววิ่งมาขออนุญาตก่อน หรือ หากมีใครจับแขนหรือมือให้มารับของหรือพาเดิน ลูกจะรู้ว่าต้องขัดขืนไว้ เพราะพ่อแม่ยังไม่อนุญาตให้ไป

คำแนะนำ

  • วิธีนี้เน้น "การทำซ้ำ" จึงจะได้ผล เช่น ทุกครั้งที่มีใครให้ขนม เมื่อเห็นว่าลูกจะรับ พ่อแม่ต้องถามว่า "ลูกควรทำยังไงก่อน" เพื่อเตือนให้ลูกรู้ว่าต้องมาขออนุญาตก่อนทุกครั้ง จนกว่าลูกจะจำและทำได้เองเมื่อมีคนให้ขอหรือจะทำอะไร ต้องมาขอพ่อแม่ก่อน โดยที่เราไม่ต้องร้องเตือน
-------------------------------------------------
 
3.กรี๊ดให้สุดเสียง

ในกรณีที่มีคนแปลกหน้ามาจับตัว จับขน จับมือ ลากดึงมือไปที่อื่น โดยไม่มีพ่อแม่หรือผู้ปกครองอยู่ด้วย วิธีที่ดีที่สุดที่จะสอนให้ลูกทำคือ ร้องสุดเสียง กรี๊ดให้ดังที่สุด เพื่อเรียกให้คนมาช่วย


คำแนะนำ

  • พ่อแม่ควรสอนลูกด้วยว่า คนแปลกหน้าคือคนลักษณะไหน เช่น คนที่บอกรหัสลับไม่ถูกแต่พยายามจับมือแล้วลากหนูไป ก็ให้หนูร้องเลย เป็นต้น
-------------------------------------------------
 
4.นาฬิกาติดตามตัว

สำหรับเด็กๆ ที่โตพอจะใส่นาฬิกาได้แล้ว คุณพ่อคุณแม่อาจเลือกใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย เช่น นาฬิกาติดตามตัวที่มีระบบ GPS เชื่อมต่อกับโทรศัพท์ของพ่อแม่ ซึ่งจะทำให้รู้ความเคลื่อนไหวของลูกว่าอยู่ไหน ออกนอกพิกัดไหม หากลูกออกนอกพิกัดก็สามารถโทรศัพท์เข้าไปที่นาฬิกาได้เลย หรือสามารถติดตามเส้นทางของลูกได้


คำแนะนำ

  • ควรเลือกนาฬิกาติดตามตัวที่เหมาะกับพฤติกรรมของเด็กๆ เช่น กันน้ำ กันกระแทก ฯลฯ
  • สอนลูกเสมอว่าไม่ควรถอด นอกจากต้องทำกิจกรรมที่ใส่นาฬิกาตลอดเวลาไม่ได้ เช่น ว่ายน้ำ ฯลฯ


  เหตุการณ์ดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาค่ะ คุณพ่อคุณแม่ควรสอนรู้ไว้เป็นทักษะชีวิตในการเอาตัวรอดของลูกเมื่อต้องเจอสถานการณ์ร้ายแบบนี้นะคะ 

5 คำพูดให้กำลังใจที่ลูกอยากได้ยินจากแม่

 
 การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก

5 คำพูดให้กำลังใจที่ลูกอยากได้ยินจากแม่

คุณแม่คงลืมไปเลยใช่ไหมละคะว่า “คำพูด” นั้นเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ลูกอยากได้ยินจากปากของแม่ รู้หรือไม่ว่าคำพูดก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้จิตใจของลูก พร้อมที่จะเผชิญปัญหาที่ลูกอาจจะไม่เคยบอกคุณมาก่อน เห็นแบบนี้แล้วลองดูคำพูดที่ลูกมักอยากจะได้ยินว่ามีอะไรกันบ้าง

5 คำพูดที่ลูกอยากได้ยินจากแม่

1.แม่ยังคง “รักลูก” นะ  

เชื่อเถอะว่าร้อยทั้งร้อย ลูกอยากได้ยินคำนี้จากปากของพ่อแม่มากที่สุด เพราะลูกไม่รู้หรอกว่าคุณพ่อคุณแม่รู้สึกอย่างไร เป็นเรื่องปกติสำหรับคุณแม่ที่บอกรักลูก แต่สำหรับคุณพ่ออาจจะเป็นเรื่องที่ยาก แต่..ถ้าหากได้บอกกับลูกไปแล้ว บอกได้เลยว่ามันคุ้มค่าเกินกว่าที่นึกคิดไว้แน่นอน

2.แม่ “ขอโทษ” นะลูก

การขอโทษบางครั้งมันยากที่จะพูดออกไป ถ้าหากคุณพ่อคุณแม่ทำผิดกับลูก ก็อย่ามัวคิดแต่ว่า ไม่ขอโทษลูกก็ไม่เป็นไร ยิ่งคุณพ่อแล้วการบอกขอโทษลูกอาจจะยากกว่าคุณแม่เสียอีก แต่คำขอโทษจากปากของคุณพ่อคุณแม่ ยังเป็นการสอนลูกในการยอมรับความผิดที่ได้ทำลงไปอีกด้วย                                                                               

3.แม่ “ภูมิใจ” ในตัวลูก

คำพูดนี้อาจจะเป็นคำพูดธรรมดาสำหรับคุณพ่อคุณแม่ แต่จริงๆ แล้วคำพูดนี้มีความหมายสำหรับลูกอย่างคาดไม่ถึง เพราะมันจะเป็นพลังทั้งกายและใจให้ลูกได้อย่างน่ามหัศจรรย์เลยทีเดียว

4.แม่ “ยอมรับ” ในสิ่งที่ลูกเป็น

คุณพ่อคุณแม่หลายๆ คนอาจจะหวังให้ลูกเป็นในแบบที่ต้องการ แต่ในทางกลับกันลูกอยากเป็นในสิ่งที่คุณต้องการหรือเปล่า หลายคนอาจจะบังคับลูกให้เป็นในแบบนี้ แต่เชื่อเถอะ การให้ลูกเลือกในสิ่งที่ลูกอยากเป็น และยอมรับในสิ่งที่ลูกเป็นนั้น ลูกจะมีอนาคตที่ดี

5.ลูกคือ “คนสำคัญ” ของแม่นะ

ทุกคนก็อยากเป็นคนสำคัญกันทั้งนั้น โดยเฉพาะลูกของคุณที่อยากให้ตัวเองเป็นคนสำคัญสำหรับคุณพ่อคุณแม่ แต่จะมีซักครั้งบ้างไหมที่ลูกจะได้ยินคำนี้ ลองบอกลูกดูซักครั้งแล้วจะรู้เลยว่าคำนี้มีค่ามหาศาล

คำพูดเหล่านี้คุณพ่อคุณแม่อาจจะมองว่าเป็นคำพูดที่ธรรมดา จนมองข้ามมันไป แต่ในความคิดของลูกนั้นไม่ใช่แบบนั้นเลย ลองนำไปปรับใช้ที่บ้านกันดูนะคะ 

 

..คำพูดแสนวิเศษที่ออกมาจากใจของคุณพ่อคุณแม่ 

..สร้างพลังให้ลูกมากมายเหลือเกิน

 

5 จุดอ่อนเด็กไทย ที่พ่อแม่ต้องช่วยปรับปรุง มากกว่าการตั้งคำถามหรือตำหนิลูก

การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก 

จุดอ่อนของเด็กไทยที่ทำให้คนเป็นพ่อกับแม่บ่นด้วยความเหนื่อยใจว่า "ทำไมลูกเป็นคนแบบนี้นะ" แต่ลองเปลี่ยนจากตั้งคำถามมาเป็นการสังเกตลูกดีไหมคะ ว่าจุดอ่อนเขาคืออะไร เราควรจะส่งเสริมหรือปรับปรุงอย่างไรให้เหมาะกับตัวเขา มาดูจุดอ่อนของเด็กทั้ง 5 ข้อและวิธีแก้ไขกันเลยค่ะ

5 จุดอ่อนเด็กไทย 
  1. ลูกขาดภาวะผู้นำ สิ่งที่พ่อแม่ควรทำ คือ สร้างความมั่นใจให้กับลูกตั้งแต่เล็ก ด้วยการมอบความรัก ความอบอุ่น และความเข้าอกเข้าใจลูก เพราะเมื่อเด็กเกิดความมั่นคงทางอารมณ์และจิตใจ ก็จะทำให้เชื่อมั่นในตนเอง จากนั้นก็พยายามกระตุ้นให้เขาได้คิดบ่อยๆ สนับสนุนความคิดบางอย่างเพื่อให้เขาได้กล้าที่จะลุกขึ้นมาทำด้วยตัวเองก่อน จากนั้นก็ค่อยๆ ฝึกให้เขาเป็นผู้นำจากเรื่องเล็กๆ และค่อยๆ เพิ่มน้ำหนักให้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เพื่อเสริมความเป็นผู้นำให้ลูก อาจมอบหมายให้ลูกทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยตนเอง และควรชื่นชมเมื่อลูกทำสำเร็จ

  2. ลูกไม่กล้าแสดงออก สิ่งที่พ่อแม่ควรส่งเสริม คือเปิดโอกาสให้ลูกได้แสดงความคิดเห็นบ่อยๆ เพื่อกระตุ้นให้เด็กฝึกคิดและแก้ปัญหาได้ เมื่อเขาทำได้และได้รับการยอมรับ เขาจะกล้าแสดงออกและมั่นใจในตัวเองมากขึ้น

  3. ลูกไม่กล้าปฏิเสธ ปัญหานี้จะส่งผลเสียตามมามากมายเมื่อเขาเติบโตขึ้น ต้องรีบฝึกตั้งแต่ยังเล็ก สิ่งที่พ่อแม่ควรทำคือ ฝึกให้ลูกปฏิเสธให้เป็น เมื่อเจอสถานการณ์ที่ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม ไม่อยากทำ และค่อยๆ เพิ่มระดับการปฏิเสธด้วยการพูดคุยและสมมติสถานการณ์ต่างๆ เพิ่มเติมด้วยก็ได้

  4. ลูกไม่มีความอดทน ล้วนเกิดขึ้นเพราะตามใจตั้งแต่แรก มาแก้ไขกันเลยค่ะ สิ่งที่พ่อแม่ควรทำคือ อย่าตามใจลูกเด็ดขาดและห้ามใจอ่อนเพราะลูกจะเคยตัว หากลูกอยากได้อะไร อย่าพึ่งซื้อให้ ให้เขาอดทนรอไปก่อน หรือให้เก็บเงินซื้อเองแล้วพ่อกับแม่ออกเงินให้ครึ่งหนึ่ง หากลูกทำอะไรไม่ได้ดั่งใจอย่ารีบเข้าไปทำให้ลูก ปล่อยให้เขาพยายามด้วยตัวเขาเองก่อน ฝึกไปทีละนิดความอดทนเขาจะมากขึ้นเอง

  5. ลูกเรียนไม่เก่ง สิ่งที่พ่อแม่ควรทำคือ อย่าบังคับลูกเรียนพิเศษ หรือกดดันให้เขาทำผลการเรียนให้ดีขึ้นในทันที แต่คอยสังเกตุว่าเขาชอบวิชาอะไร ทำอะไรได้ดีก็สนับสนุนเขา ชมในสิ่งที่เขาทำได้ดีเพื่อเป็นกำลังใจให้เขาไม่ท้อ อะไรที่ทำได้ไม่ดีก็คอยช่วยเขาค่อยๆ แก้ไข หากไม่ได้จริงๆ ก็แค่เอาตัวรอดให้ได้ และไปทำในสิ่งที่ทำได้ดีก็พอ เชื่อเถอะว่ากำลังใจจากพ่อกับแม่จะทำให้ลูกทำอะไรดีๆ ได้มากมายกว่าที่พ่อกับแม่คิด

5 วิธีเลี้ยงลูกแบบฝรั่ง พ่อแม่ทำได้ ลูกจะเป็นเด็กมีความสุข รับผิดชอบเป็นตั้งแต่ยังเล็ก

วิธีเลี้ยงลูกแบบฝรั่ง, การเลี้ยงลูกแบบฝรั่ง, เลี้ยงลูกแบบฝรั่งดีไหม, เลี้ยงลูกแบบฝรั่งอย่างไร, เลี้ยงลูกแบบฝรั่งมันดีแบบนี้, ชาวต่างชาติเลี้ยงลูก

คุณพ่อคุณแม่เคยสังเกตชาวต่างชาติเลี้ยงลูกไหมคะ ดูปล่อยลูกให้มีอิสระมาก ลุยมาก กล้าคิดกล้าทำ ออกจากบ้านทำงานหาเงินกันตั้งแต่อายุยังน้อย

วิธีเลี้ยงลูกแบบฝรั่งสำคัญตรงพวกเขารู้จักรับผิดชอบกันตั้งแต่เด็ก ๆ เลย เพราะแบบนี้ เราเลยจะนำสไตล์การเลี้ยงลูกแบบฝรั่งมาบอกกัน เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ได้เห็นอีกมุมมองการเลี้ยงลูก อาจมีข้อที่นำไปปรับใช้กับลูกได้นะคะ

  1. พ่อแม่สนับสนุนสิ่งที่ลูกอยากทำ

เมื่อสังเหตเห็นว่าลูกชอบอะไร ก็ต้องสนับสนุนไปให้สุด เช่น ลูกชอบเล่นดนตรี พ่อแม่ก็ควรเชียร์ให้เต็มที่ ซื้อเครื่องดนตรีที่ลูกอยากได้ให้ลูกซ้อมเล่น มีกิจกรรมดนตรีก็พาลูกไปทำ หรือ ถ้าลูกชอบวาดรูป ก็ซื้ออุปกรณ์วาดรูปแบบครบเครื่องให้ลูกเลย เช่น ขาตั้งวาดรูป สี อุปกรณ์การเพ้นท์ เรียกว่าต้องสนับสนุนในด้านที่ลูกชอบและถนัดไปเลย

  1. คิดว่าการมีแฟนเป็นเรื่องปกติ

ตอนเด็ก ๆ เขาจะสอนให้ลูกชายเป็นสุภาพบุรุษ สอนให้ลูกสาวพึ่งพาตัวเองมาก ส่วนเรื่องการมีแฟนอาจจะขัดกับสังคมไทยเล็กน้อย แต่พ่อแม่ฝรั่งจะคิดว่า ถึงเราห้าม เด็กก็มีแฟนอยู่ดี สู้ให้ลูกมี แต่เรารู้ และอยู่ในสายตาเราดีกว่า ครอบครัวจะช่วยลูกเลือกแฟนด้วย



  1. ฝึกให้ลูกรับผิดชอบแบบผู้ใหญ่

สิ่งที่พ่อแม่ฝรั่งคิดคือ พ่อกับแม่ไม่สามารถอยู่เพื่อปกป้องลูกตลอดไปได้ ลูกต้องโตขึ้นและช่วยเหลือตัวเองได้ ควรฝึกลูกด้วยการมอบหมายงานบ้านตามอายุให้ลูก ๆ ตั้งแต่เด็ก ๆ เช่น ลูกอายุ 9 ขวบ ต้องให้อาหารน้องหมา ลูก 6 ขวบ ต้องให้อาหารแมว ลูก 2 ขวบ ต้องเลือกเสื้อผ้าและรองเท้าไปโรงเรียนด้วยตัวเอง และทานข้าวเอง ไม่มีการป้อน พอโตที่จะทำงานได้ ลูกต้องทำงานพิเศษเพื่อหาค่าเทอมไปด้วย เรียนไปด้วยทุกคน

  1. ทำกิจกรรมร่วมกันในครอบครัว

ครอบครัวฝรั่งต้องมีวันหยุดสุดสัปดาห์จะต้องมี Family Time คือการทำกิจกรรมเป็นครอบครัว ให้ทุกคนมาอยู่ร่วมกัน เช่น ตกปลา ย่างบาร์บีคิว และในทุก ๆ ปีจะมีช่วงเวลา “พ่อ-ลูกสาว” และ “แม่-ลูกชาย” คือไปเดทกัน 1 วัน มีโมเม้นต์กุ๊กกิ๊ก และสอนเรื่องการวางตัวกับเพศตรงข้ามให้ลูกด้วย

  1. พ่อและแม่มีเวลาอยู่ด้วยกันสองคน

เรียกว่าต้องเติมความหวานให้กันบ้าง พ่อกับแม่จะทำกิจกรรมร่วมกันหนึ่งอย่าง เช่น ไปเรียนเต้นรำ 1 คอร์ส ไปเรียนทำอาหารด้วยกัน ไปเที่ยวด้วยกันสองคน เพื่อทำให้ชีวิตคู่มีสีสัน และทำให้ลูก ๆ รู้สึกอุ่นใจ ว่าพ่อแม่ยังรักกันมาก ๆ 

ต้องบอกว่าทุกข้อสามารถนำมาปรับใช้กับครอบครัวได้ตามความเหมาะสมเลยนะคะ ไม่ว่าจะเป็น สนับสนุนลูกอย่างเต็มที่ ให้ลูกรับผิดชอบตัวเอง ทำกิจกรรมครอบครัวร่วมกัน ทำกิจกรรมพ่อแม่แบบสองต่อสอง และช่วยลูกคบหาเพื่อน การเลี้ยงลูกแบบฝรั่ง เรียกว่าน่าปรับใช้กับครอบครัวคนไทยมากนะคะ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : หมอจริง เข้าใจวัยรุ่น Dr Jing



 

5 วิธีเลี้ยงลูกให้ติดดิน แบบบ้าน ๆ ของ ชมพู่ อารยา ที่แม่ควรลองทำตาม

 เลี้ยงลูกให้ติดดิน, ชมพู่ อารยา, น้องแฝดสายฟ้า-พายุ, ลูกแฝด, คุณแม่ชมพู่ อารยา, น็อต วิศรุต, เลี้ยงดูลูกแฝด, เลี้ยงแบบติดดิน, น้องแฝด, เลี้ยงลูกให้ติดดินแบบแม่ชม, สายฟ้า พายุ, สายฟ้า, พายุ

เชื่อว่าคุณแม่หลาย ๆ คนกำลังติดตามความน่ารักของน้องแฝดสายฟ้า-พายุ ลูกแฝดแสนซนของคุณแม่ชมพู่ อารยา และคุณพ่อ น็อต วิศรุต ทางอินสตาแกรมอยู่แน่ๆ เพราะนอกจากความน่ารักที่เป็นที่พูดถึงแล้ว การเลี้ยงดูลูกแฝดของแม่ชม ก็เรียกว่าเลี้ยงง่ายๆ ให้ติดดินอีกด้วย

น้องแฝดเสื้อผ้าก็ธรรมดา ของเล่นก็ของใช้ในบ้าน แม่ชมปล่อยให้ลูกเรียนรู้อย่างเป็นธรรมชาติตามวัยมากๆ มาดูสไตล์การเลี้ยงลูกให้ติดดินแบบแม่ชมกันเลยค่ะ

5 วิธีเลี้ยงลูกให้ติดดิน แบบบ้าน ๆ ของ ชมพู่ อารยา ที่แม่ควรลองทำตาม
  1. เลี้ยงตามวัย ตามธรรมชาติ

จะเห็นเลยว่าแม่ชมเลี้ยงน้องแฝดให้อยู่กับดิน กับหญ้า ช่วงที่น้องแฝดกำลังหัดเดินต้องระวังมากขึ้น แต่แม่ชมก็ปล่อยให้น้องเดินเอง ล้มบ้าง ไม่ได้ตกใจหรือเข้าไปประคบประหงมลูกเลย จนน้องแฝดเดินได้ตั้งแต่ก่อนขวบ นี้คงเป็นเพราะการเลี้ยงลูกแบบปล่อยบ้าง ระวังบ้าง จึงทำให้น้องแฝดเดินได้เร็วขึ้น

  1. เล่นแบบลุยๆ บ้านๆ

หลายคลิปเรียกเสียงหัวเราะได้จริง ๆ ของเล่นหรูหราไม่ค่อยเห็นกับน้องแฝดเลยค่ะ จะเห็นก็แต่น้องแฝดเดินไปกินน้ำในก๊อกน้ำ แม่ชมก็ไม่ดุเลย น้องแฝดเล่นสายยาง แม่ชมก็เฝ้ามองด้วยความเอ็นดู เรียกว่าอะไรมีในบ้านก็เล่นไปเลย ไม่ต้องแพง

  1. ซื้อของเซลล์ให้ลูก ไม่ได้หรูหรา

ระดับคุณแม่ซุปตาร์ชมพู่ อารยา ไอคอนด้านแฟชั่นของไทย แต่ซื้อของเซลล์ เสื้อผ้าเซลล์ให้ลูกนะคะ แม่ชมเองก็ได้บอกกันไปแล้วว่า มักจะซื้อของใช้ราคาเซลล์ให้ลูกเพื่อเป็นการประหยัด เด็กค่อนข้างที่จะโตไว ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าและรองเท้าอยู่บ่อยๆ แม่ๆ คนอื่นที่กำลังคิดจะซื้อของแพงๆ ให้ลูกต้องคิดให้ดีแล้วล่ะค่ะ

  1. ซื้อเสื้อผ้าเผื่อโต

ดูไอจีแม่ชมแล้ว จะว่าน้องสายฟ้ากับน้องพายุใส่เสื้อยาวแทบจะถึงเข่า เรียกได้ว่าใส่กันได้ยาวๆ ไม่ต้องเสียเงินซื้อบ่อยๆ และถึงจะมีน้าๆ ป้าๆ ซื้อเสื้อผ้าแพงๆ ให้น้องสายฟ้าและน้องพายุ แต่ก็ยังเห็นทั้งคู่ใส่ชุดซ้ำอยู่บ่อยๆ เลยค่ะ แม่ชมจัดให้เอง ใส่สบายก็ใส่บ่อยๆ ไปเลย

  1. ฝึกกินผลไม้และของง่ายๆ

แม่ชมจะติดแฮชแท็ก #fruitoftheday ในไอจีตลอด ดูแล้วอดยิ้มตามไม่ได้เลย ที่น้องแฝดกินผัก ผลไม้ รวมไปถึงอาหารต่างๆ ในสไตล์ Baby Led Weaning หรือ BLW เน้นให้ลูกกินได้ด้วยตัวเอง ให้อิสระให้การเลือกกิน เมนูข้าวเหนียว ขนมไทย น้องแฝดก็กินอย่างเอร็ดอร่อยมาแล้วค่ะ

การเลี้ยงลูกในแต่ละบ้าน ไม่มีผิดไม่มีถูก เพราะแม่รู้จักพัฒนาการของลูกดีที่สุด สำหรับใครที่ชอบการเลี้ยงลูกสไตล์นี้ของแม่ชม จะลองปรับใช้ให้เข้ากับลูกดูได้นะคะ




 

5 เคล็ดลับเตรียมสมองลูกให้พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน

 การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก-การเรียนรู้

ตอนลูกกลับมาจากโรงเรียน พ่อแม่อย่างเราก็อยากได้ยินลูกเล่าเรื่องที่โรงเรียนให้ฟังใช่ไหมคะว่า วันนี้เรียนอะไรมาบ้าง เล่นอะไรกับเพื่อน ช่วยครูทำอะไร ชอบหรือไม่ชอบทำอะไร อยากทำอะไร การส่งเสริมให้ลูกพร้อมเรียนรู้ที่โรงเรียน จนกลายเป็นความจำ ทักษะ และความสามารถต่างๆ เริ่มที่พ่อแม่นะคะ และนี่คือ 5 เคล็ดลับเตรียมสมองลูกให้พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวันจากโรงเรียน ไปลุยกันเลยค่ะ     

1.อ่านหนังสือเล่านิทานเป็นประจำ

การอ่านหรือเล่านิทานให้ลูกฟังจะช่วยให้ลูกใช้ความคิด จินตนาการ และนำตัวอย่างจากนิทานไปใช้ในชีวิตประจำวัน  รู้จักเชื่อมโยงคำศัพท์กับภาพต่าง ๆ และมีจินตนาการที่กว้างไกลขึ้น ทำให้ลูกเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่โรงเรียนได้ทุกวัน   

2.ฝึกสมองผ่านการเล่นเกม

คุณพ่อคุณแม่ลองหาเกมที่เหมาะกับวัยลูกมาติดบ้านไว้ เกมมีหลายประเภท เช่น เกมปริศนา (Puzzle Games) ช่วยพัฒนาทักษะทางความคิดหรือสติปัญญาผ่านการแก้ปัญหา การคิดเป็นเหตุเป็นผล เกมฝึกความจำ (Memory Games) ช่วยฝึกฝนการจดจำ กระตุ้นพัฒนาการสมองและสายตา  

3.นอนเป็นเวลา พักผ่อนให้เพียงพอ  

การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ หลับสนิทดีในแต่ละคืนช่วยตระเตรียมสมองลูกให้พร้อมในการเริ่มวันใหม่ เมื่อลูกได้นอนหลับสนิท หลับอย่างมีคุณภาพ ไม่ได้หลับๆ ตื่นๆ จะทำให้ตื่นมาสดใส ไม่ง่วงหรือซึม สะลึมสะลือระหว่างวัน พร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ดี ช่วงเวลาที่ลูกนอนหลับเป็นช่วงที่ช่วยให้สมองจัดระบบความทรงจำให้เข้าที่เข้าทาง เด็ก 2-3 ขวบ ควรนอนวันละประมาณ 12-13 ชั่วโมง และเมื่อโตขึ้นชั่วโมงการนอนก็จะค่อย ๆ ลดลง  

4.เลี้ยงลูกให้มีความสุข ไม่เครียด

การเลี้ยงดูหรือสภาพแวดล้อมในบ้านก็มีผลกับสมองของลูก บ้านที่เป็นระเบียบจะทำให้ลูกมีสมาธิมากกว่าบ้านที่รก และเด็กที่รู้สึกผ่อนคลาย มีความสุข ไม่เครียด จะทำให้การทำงานของคลื่นสมองลูกช้าลง ซึ่งคลื่นสมองระหว่าง 8 – 13.9 Hz หรือที่เรียกว่าคลื่นสมองระดับอัลฟ่า (Alpha Brainwave) เป็นสภาวะที่ลูกรู้สึกสงบ มีสมาธิ ช่วยให้ลูกสามารถเรียนรู้ได้ดี จดจำสิ่งต่าง ๆ ได้รวดเร็ว มีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น  

5.ให้ลูกดื่มนมแพะเป็นประจำดีต่อสมอง

ในนมแพะมี ดีเอชเอ และเออาร์เอ ซึ่งเป็นองค์ประสอบสำคัญที่ช่วยพัฒนาสมองและการมองเห็น มีโอเมก้า 3 6 9 ซึ่งเป็นกรดไขมันจำเป็นที่ช่วยในการทำงานของสมอง มีโคลีนช่วยสร้างสารสื่อสัญญาณประสาท ช่วยพัฒนาการเรียนรู้และความจำ

ดังนั้นการให้ลูกดื่มนมแพะเป็นประจำนอกจากดีกับระบบภูมิคุ้มกันร่างกายแล้วยังดีกับสมองของลูกด้วย   นมแพะดีจีห่วงใยสุขภาพเด็กๆ ดื่มนมแพะวันละ 2 แก้วเช้าเย็น เพื่อสารอาหารครบถ้วนและเพิ่มพลังสมองพร้อมเรียนรู้ในทุกวันนะคะ

 
 
 

6 ข้อ ที่เป็นผลเสียระยะยาว เมื่อพ่อแม่ทะเลาะกันต่อหน้าลูก

6 ข้อเสียระยะยาวเมื่อพ่อแม่ทะเลาะกันต่อหน้าลูก, พ่อแม่ทะเลาะกันต่อหน้าลูก, พ่อแม่ทะเลาะกัน, ส่งผลต่อพัฒนาการลูก

เมื่อใดที่พ่อแม่ทะเลาะกัน ลูกจะได้รับผลกระทบไปเต็มๆ เพราะลูกเป็นคนที่ต้องยืนอยู่ตรงกลางระหว่างพ่อกับแม่ ลูกเป็นคนที่ต้องคอยรับฟังคำพูดที่รุนแรงและอารมณ์ร้ายจากทั้งสองฝ่าย ลูกรับรู้เรื่องราวทุกอย่าง แต่ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำอะไรเลยนอกจากเฝ้ามองด้วยความหวาดกลัวและเสียใจ

6 ผลเสียระยะยาว เมื่อพ่อแม่ทะเลาะกันต่อหน้าลูกกันเลย
  1. ลูกไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ อาจจะเป็นเด็กก้าวร้าว ชอบใช้กำลัง บางครั้งเงียบเก็บกด

  2. ลูกจะรู้สึกไม่มั่นคงหรือปลอดภัยแม้จะอยู่ในบ้าน จะทำให้เด็กขาดความมั่นใจในตนเอง

  3. เด็กขาดความภาคภูมิใจในตนเอง เพราะเด็กอาจรู้สึกว่าตนเองไม่มีความสำคัญ

  4. เด็กโทษตัวเองว่าเป็นสาเหตุของความขัดแย้ง และจะกลายเป็นคนไม่เชื่อใจผู้อื่น ส่งผลให้เด็กมองข้ามการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น จนทำให้เด็กไม่มีเพื่อน

  5. เด็กขาดทักษะในการแก้ไขปัญหา ซึ่งทำให้เด็กกลายเป็นเด็กที่มีพฤติกรรมการแก้ไขปัญหาที่ไม่เหมาะสม หรือกลายเป็นปัญหาแก่ผู้อื่นเสียเอง

  6. เด็กมีความบกพร่องทางการคิด เช่น การแก้ไขปัญหา การใช้เหตุผล การจดจำ รวมไปถึงมีอาการคล้ายกับโรคสมาธิสั้น

เห็นแบบนี้แล้ว พ่อจ๋าแม่จ๋า อย่าทะเลาะกันต่อหน้าลูกเลยนะคะ เก็บอารมณ์แรงๆ ไว้ก่อน นึกถึงหน้าลูกน้อย แล้วค่อยไปปรับความเข้าใจกันสองคนดีกว่านะคะ


 

6 พฤติกรรมพ่อแม่รังแกฉัน ส่งผลเสียต่อลูกไปจนโต 

พ่อแม่รังแกฉัน, เลี้ยงลูกแบบพ่อแม่รังแกฉัน, เลี้ยงลูกไม่เป็น, สปอยล์ลูก, เลี้ยงลูกแบบตามใจ, เลี้ยงลูก เอาแต่ใจ, เลี้ยงลูก ดูแลตัวเองไม่เป็น, เลี้ยงลูก ทำร้ายคนอื่น, เลี้ยงลูด้วยความรุนแรง, เลี้ยงลูก ปล่อยปละละเลย, เลี้ยงลูก ขี้โมโห, เลี้ยงลูก เอาเปรียบคนอื่น

เลี้ยงลูกแบบ "พ่อแม่รังแกฉัน" ส่งผลเสียกับลูกอย่างแรงเลยนะคะ ทั้งในปัจจุบัน และอาจส่งผลต่อลูกตอนโตด้วย  

6 พฤติกรรมพ่อแม่รังแกฉัน ส่งผลเสียต่อลูกไปจนโต 

พ่อแม่ย่อมรักลูกและมีวิธีเลี้ยงลูกที่แตกต่างกันไป แต่การเลี้ยงลูกในวันนี้จะส่งผลให้เขาเป็นคนที่เติบโตไปข้างหน้า เขาจะโตมาเป็นแบบใดขึ้นอยู่ที่การเลี้ยงดูเป็นส่วนใหญ่ ลองมาสำรวจตัวเองหน่อยค่ะว่าคุณกำลังเผลอเป็น "พ่อแม่รังแกฉัน" อยู่หรือเปล่า เพราะทั้ง 6 ข้อนี้เป็นเรื่องสำคัญที่จะส่งผลร้ายแรงกับลูกมาก

6 พฤติกรรมของพ่อแม่รังแกฉัน 

  1. รักลูกมากเกินไป ลูกของตนถูกทุกอย่าง ลูกของตนดีกว่าคนอื่นเสมอ ส่งผลให้ลูกกลายเป็นคนเชื่อมั่นตนเองในทางที่ผิด ชอบดูถูกคน ชอบสร้างปัญหาแต่ไม่ยอมรับว่าตนเป็นคนสร้างปัญหา

  2. ตามใจลูกมากเกินไป พ่อแม่ยอมทุกอย่าง ไม่กล้าขัดใจลูกเลยสักนิด ผลคือลูกจะเอาแต่ใจ มักสร้างภาระให้สังคมเมื่อไม่ได้ดั่งใจ

  3. ไม่กล้าห้ามปรามสั่งสอน เมื่อลูกทำผิด พ่อแม่รู้อยู่แก่ใจว่าลูกทำในสิ่งที่ไม่ดี แต่ไม่สอนลูก ปล่อยเรื่องไปเฉย ๆ ผลคือลูกสูญเสียสามัญสำนึก แยกแยะถูกผิดดีชั่วไม่เป็น และกลายเป็นนักเลงอันธพาล ระรานคนเขาไปทั่ว

  4. ไม่ยอมให้ลูกตัดสินใจด้วยตนเอง พ่อแม่มักที่คิดแทนลูก แม้จะรู้ว่าเขาอยากทำอะไรแต่มักจะให้ทำในสิ่งที่พ่อแม่อยากทำมากกว่า ผลคือลูกกลายเป็นคนขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ไม่กล้าคิด ไม่กล้าพูด ไม่กล้าทำอะไร ส่งผลให้ไร้ภาวะผู้นำ

  5. ไม่รู้จักยกย่องชมเชยลูกเมื่อเขาประสบความสำเร็จ ไม่เคยชมเรื่องการเรียน หรือในการทำกิจกรรมใดๆก็ตาม ผลก็คือลูกกลายเป็นคนใจคอคับแคบ เมื่อเห็นคนอื่นได้ดีมีความสำเร็จ ลูกอาจมีพฤติกรรม หรือความรู้สึกอิจฉาคนอื่นนะคะ
  6. ให้เงินลูกเพียงอย่างเดียว เอาเงินเข้าแก้ปัญหาทุกอย่าง แม้แต่เรื่องเล็กน้อยก็มักใช้เงินแก้ปัญหา ผลคือลูกจะไม่รู้จักคุณค่าของเงิน ผลาญเงินเก่ง ใช้จ่ายเงินสูงแต่กลับมีคุณภาพชีวิตที่ต่ำลง


การเลี้ยงเด็กคนหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย พ่อแม่ต้องใส่ใจและให้ความสำคัญ ให้ความรักเขาได้อย่างถูกต้อง ไม่รักลูกจนเกินไป จนไม่ให้ลูกทำอะไรด้วยตัวเองเลย แบบนี้ไม่ดีแน่ ๆ ค่ะ ขอเพียงพ่อแม่ทุกคนตั้งใจที่จะเลี้ยงลูกด้วยความรัก ความเหมาะสมแล้วนั้น เราเชื่อว่า ชีวิตของลูกคุณจะดีแน่นอนค่ะ เป็นกำลังใจให้ทุกบ้านนะคะ

 

6 สิ่ง ที่พ่อกับแม่ต้องแสดงให้ลูกเห็น แล้วลูกจะเป็นเด็กดี

การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก-ทักษะพ่อแม่-พ่อแม่มีอยู่จริง 

เมื่อได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อกับแม่แล้ว การเปลี่ยนแปลงในชีวิตต้องเป็นสิ่งที่ดีขึ้น ต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก เพราะหูของลูกกำลังฟังพ่อกับแม่อยู่ ตาของลูกกำลังมองสิ่งต่างๆ ที่พ่อกับแม่ทำอยู่ และลูกจะซึมซับตามสิ่งที่เขาเจอดังนั้นมาดูสิ่งที่พ่อกับแม่ต้องแสดงให้ลูกเห็นว่ามีอะไรบ้าง

6 สิ่ง ที่พ่อกับแม่ต้องแสดงให้ลูกเห็น แล้วลูกจะเป็นเด็กดี
  1. พ่อกับแม่ต้องสนใจสิ่งใหม่ๆ รอบตัว ควรเป็นตัวอย่างที่ดีในการสอนให้ลูกสนใจสิ่งรอบข้าง ทั้งแม่น้ำ ต้นไม้ สัตว์ต่างๆ พบปะผู้คนใหม่ๆ ไปทำกิจกรรมใหม่ๆไม่เอาแต่ก้มหน้าดูโซเชี่ยล เพราะทุกสิ่งรอบตัวล้วนเป็นประสบการณ์สำคัญของลูก ที่จะทำให้ลูกเติบโตได้อย่างมีความสุขและเข้าใจธรรมชาติ
  1. พ่อกับแม่ต้องรู้วิธีตัดสินใจในเวลาที่ต้องเลือก พ่อกับแม่จะไม่ตัดสินใจอะไรที่ทำให้ลูกทำตามเช่น ขี้เกียจไปตามนัดขอนอนดูหนังดีกว่า แบบนี้ลูกจะทำตามนิสัยขอไปทีของพ่อกับแม่ ถ้าเจอสถานการณ์ที่ต้องเลือกทำ ต้องทำในสิ่งที่ถูกต้อง เช่น วันนี้พ่อเหนื่อยมากแต่พ่อรับปากลูกแล้วว่าจะเล่นด้วยพ่อก็ต้องทำ
  1. พ่อกับแม่ต้องรู้จักกาละเทศะ การไปพบญาติผู้ใหญ่พ่อกับแม่ต้องมีความนอบน้อม ต้องไหว้ รับฟังผู้ใหญ่ทุกคนอย่างตั้งใจ เพื่อให้ลูกรู้ถึงกาละเทศะ ให้ลูกซึมซับแต่สิ่งดีๆ คอยสอนลูกว่าอะไรควรทำ และอะไรไม่ควรทำตามสถานการณ์ต่างๆ
  1. พ่อกับแม่ต้องยอมรับความผิด รู้จักขอโทษ และพยายามปรับปรุงตัวเอง บอกลูกว่าพ่อกับแม่ก็ผิดพลาดได้ แต่ต้องแสดงให้ลูกเห็นว่าความผิดเกิดขึ้นได้อย่างไร ต้องรู้จักขอโทษ และทำอย่างไรเพื่อแก้ไขความผิดนั้น เพราะการทำผิดพลาดไม่ใช่จุดจบของชีวิต แต่เป็นประสบการณ์ให้ไม่ผิดอีกครั้ง

  1. พ่อกับแม่ต้องรักษาสัญญา และมีความรับผิดชอบในสิ่งที่ต้องทำ ต้องแสดงให้ลูกเรียนรู้ว่าการเริ่มต้นทำอะไรแล้วหมายถึงต้องสานต่อให้เสร็จ การทำอะไรต้องไม่ล้มเลิกกลางคัน หากสัญญาแล้วต้องทำตามที่พูด อย่าปัดความรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเอง เมื่อโตขึ้นลูกต้องเจองานที่ยากขึ้นแต่เขาจะเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ
  1. พ่อกับแม่ต้องปฏิบัติต่อทุกคนด้วยความสุภาพเสมอ ต้องพูดจาอย่างสุภาพกับทุกคน ทุกวัย ทุกอาชีพ ไปจนถึงอ่อนโยนกับสัตว์เลี้ยง พ่อกับแม่ต้องแสดงให้ลูกเห็นว่า การปฏิบัติอย่างสุภาพต่อทุกคนตลอดเวลาเป็นสิ่งที่ควรกระทำที่สุด แล้วลูกจะเป็นคนสุภาพกับทุกคน





 

6 เรื่องที่อย่าบังคับลูก ถ้าลูกยังไม่พร้อม

 1369 1

6 เรื่องที่อย่าบังคับลูก ถ้าลูกยังไม่พร้อม

เชื่อว่าความหวังดีหลายอย่างของพ่อแม่ กลับกลายเป็นดาบที่มาทิ่มแทงลูกน้อยให้เจ็บปวดโดยที่พ่อแม่ไม่รู้ตัว เช่นเดียวกับการบังคับลูกหลายๆ เรื่องเพื่อปรับพฤติกรรมให้ได้ตามที่พ่อแม่คาดหวัง แต่ด้วยความเป็นเด็กพ่อแม่ควรมีวิธีในการฝึกหัด และค่อยๆ สอนลูกๆ แทนวิธีการบังคับซึ่งอาจส่งผลเสียกับพฤติกรรมของลูกมากกว่า มีเรื่องอะไรบ้างที่พ่อแม่ไม่ควรบังคับ ฝืนใจลูกจนเกินไปมาลองดูกันค่ะ

  1. อย่าบังคับให้ลูกนอน ช่วงแรกๆ ของการฝึกให้ลูกนอนเป็นเวลานั้น ต้องยืดหยุ่น อย่าบังคับให้ลูกนอน แต่อาจใช้เทคนิคอื่นๆ แทน เช่น พาแกไปอยู่ในมุมเงียบๆ (หรือบนเตียงแกก็ได้) ห่างไกลจากสิ่งเร้าทั้งหลาย โอบอุ้มแกไว้ เล่านิทาน หรือเปิดเพลงคลอเบาๆ ให้แกรู้สึกว่ากล้ามเนื้อได้ผ่อนคลาย ลูกก็จะไม่ต่อต้าน เพราะไม่รู้สึกว่าวิธีปฏิบัตินี้เป็นการบังคับแต่กลับรู้สึกว่าพ่อแม่รัก

  2. อย่าบังคับให้ลูกกิน สำหรับเด็กที่เริ่มกินอาหารเสริม และมีพัฒนาการการกินที่ดีขึ้นจากช่วงแรกกิน 2-3 คำก็เป็น 5-6 คำ จนถึงครึ่งถ้วย อย่างนี้ต้องชื่นชมลูก สิ่งสำคัญถ้าลูกกินได้ไม่กี่คำแล้วไม่กินต่อ อย่าตำหนิ อย่าดุ หรือคะยั้นคะยอให้กินจนหมดถ้วย และไม่ควรบังคับลูก เพราะอาจกลายเป็นความทรงจำที่เลวร้าย ส่งผลให้เป็นคนกินยากได้

  3. อย่าบังคับให้ลูกเรียน เชื่อว่าหลายครอบครัวหวังดีกับลูกๆ และวาดฝัน ตั้งความหวังกับอนาคตของลูกๆ กันไว้ โดยเฉพาะเรื่องการเรียน ทำให้หลายคนพยายามอยากให้ลูกเรียนในสิ่งที่พ่อแม่หวัง ซึ่งหากลูกๆ เห็นคล้อยเห็นดีเห็นงามด้วยก็สบายไป แต่ถ้าลูกเกิดไม่ชอบแต่ทำไปเพราะความคาดหวังของพ่อแม่ก็อาจจะทำให้เขากลายเป็นเด็กมีปัญหา หรือเก็บกดได้ ดังนั้นทางที่ดีควรหมั่นสังเกตว่าลูกชอบเรียนในวิชา หรือสาขานั้นๆ จริงไหม  ควรใช้วิธีพูดคุยสร้างเป้าหมายร่วมกัน เพื่อให้พ่อแม่ลูกเห็นพ้องไปในแนวทางเดียวกันอย่างสมัครใจ แต่หากลูกมีเป้าหมายของตัวเองอย่างแน่วแน่ พ่อแม่ควรเป็นฝ่ายสนับสนุน และคอยให้กำลังใจช่วยเหลือเขาดีกว่าค่ะ

  4. อย่าบังคับให้ลูกแบ่งปัน ต้องค่อยๆ สอน ค่อยๆ อธิบาย เราเป็นผู้ใหญ่ยังหวงของที่มีค่ากับเราเลย สำหรับเด็กอย่ามองว่าเป็นแค่ของเล่นหรือแค่ขนม เพราะมันคือของมีค่าสำหรับเขาเช่นกัน ลองบอก “หนูจะเล่นอีกกี่นาทีดี แล้วแลกกันนะ” หรือ “รอเพื่อนเล่นเสร็จก่อนเราค่อยเล่น ตอนนี้เล่นอันนี้ก่อนดีไหมคะ” ของเล่นใหม่ๆแปลกๆ มักจะล่อความสนใจได้เสมอ

  5. อย่าบังคับลูกให้ขอโทษ การบังคับลูกให้ขอโทษ ทั้งที่เขาไม่รู้สึกผิดจริงๆ หรือเขาไม่ได้ทำผิดแต่โดนบังคับ จะทำให้การขอโทษนั้นสูญเปล่า และไม่เกิดความเข้าใจในการกระทำที่แท้จริง จะยิ่งทำให้เขารู้สึกต่อต้านและไม่เชื่อฟัง ทางที่ดีควรปลูกฝังให้เขารู้สึกเข้าใจ ใส่ใจความรู้สึกของคนอื่น จะทำให้ลูกเป็นคนละเอียดอ่อน และรู้ถึงการกระทำของตัวเองเวลาทำให้คนอื่นโกรธ หรือเสียใจ

หากลูกไม่ยอมขอโทษ เวลาทำผิดควรสอนอธิบายให้ลูกเข้าใจด้วยความใจเย็น ว่าการขอโทษหรือการแสดงความเสียใจเป็นสิ่งที่ควรกระทำ และไม่น่าอาย เพราะทุกคนทำผิดพลาดได้ และถ้าลูกไม่ได้ทำผิดก็ไม่ควรบังคับเคี่ยวเข็ญเพื่อให้เขาต้องขอโทษในเหตุการณ์ที่เขาไม่ได้ทำเพราะเหมือนเป็นการบีบบังคับให้เขาไม่ซื่อสัตย์กับความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง

  1. อย่าบังคับให้ลูกเลิกเล่นเกม เลิกเล่นอินเทอร์เน็ต สมัยนี้การบังคับไม่ได้ผลแน่นอน ถ้าถึงเวลาที่ลูกอยากใช้งาน เราควรให้เขาได้ใช้งาน แต่คอยระวังให้อยู่ในสายตาแทนการบังคับ กำหนดเงื่อนไขเวลา และกฎ กติกาในการใช้งาน เพราะถ้าบังคับลูก เขาอาจจะแอบพ่อแม่ใช้งานเอง และตอนนั้นก็คงจะยิ่งลำบากในการดูแลสอดส่อง

8 วิธีสอนลูก ให้รู้จักเห็นอกเห็นใจคนอื่น

การสอนลูก- สอนลูกให้เห็นอกเห็นใจคนอื่น- ทักษะสังคม- สอนลูกให้เห็นใจคนอื่น- ใจเขามาใส่ใจเรา- เลี้ยงลูกไม่ให้เห็นแก่ตัว- สอนลูกไม่ให้เห็นแก่ตัว 

วิธีสอนลูกให้รู้จักเห็นอกเห็นใจคนอื่น

ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ รับรู้ถึงความรู้สึกที่คนอื่นเป็นอยู่ หรือ Empathy เป็นเรื่องที่พ่อแม่สามารถสอนลูกได้ตั้งแต่ยังเล็ก และควรทำให้สม่ำเสมอ เพราะนอกจากจะสร้างทักษะการเข้าสังคมให้ลูกแล้วยังช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการรังแกกันในเด็ก ๆ ด้วยค่ะ

8 วิธีสอนลูก ให้รู้จักเห็นอกเห็นใจคนอื่น

1.ให้ลูกเลี้ยงสัตว์

มีงานวิจัยมากมายที่บอกว่าเด็กที่เลี้ยงสัตว์จะเห็นอกเห็นใจผู้อื่นเป็น ไม่เห็นแก่ตัว เพราะการเลี้ยงสัตว์จะทำให้เด็กๆ ได้แสดงความรักกับสัตว์เลี้ยง และยังได้สังเกตว่าสัตว์เลี้ยงของพวกเขาต้องการอะไรโดยดูจากภาษากายอีกด้วย

2.อ่านวรรณกรรมให้ลูกฟัง

เพราะวรรณกรรมจะมีการเขียนที่เน้นไปที่ตัวละครหลัก การพัฒนาตัวตน และการตัดสินใจ มีงานวิจัยที่บอกว่าวรรณกรรมช่วยให้คนอ่านมีความเห็นอกเห็นใจคนอื่น เรียนรู้เรื่องจุดมุ่งหมาย และแรงขับเคลื่อนผ่านตัวละครในหนังสือ

3.ชื่นชม

เมื่อลูกแสดงความเห็นใจต่อคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นคำชมต่อการกระทำของลูกหรือการให้รางวัลอย่างอื่น เช่น เมื่อลูกปลอบเพื่อน ช่วยเหลือคนอื่น หรือแค่การแบ่งปันสิ่งของ เมื่อลูกรู้สึกว่าทำแล้วพ่อแม่ชอบ พ่อแม่ชม ลูกก็จะทำต่อไปเรื่อยๆ

4.พ่อแม่ต้องทำให้ลูกเห็น

การสอนลูกไม่ว่าจะเรื่องอะไร ลูกจะทำได้เร็วและได้ผลที่สุดเมื่อพ่อแม่ทำให้เห็นก่อน แค่เรื่องง่ายๆ อย่างสนใจสิ่งที่ลูกบอก ให้ลูกเห็นถึงการแบ่งปัน และใส่ใจอารมณ์และความรู้สึกของคนรอบข้าง ลูกจะซึมซับและทำตามพ่อแม่เอง

5.แสดงความรักกับลูก

ไม่ว่าจะกอด ฟัด หอม ฯลฯ งานวิจัยบอกว่าการแสดงออกทางกายภาพช่วยให้อารมณ์ดี ลดอาการซึมเศร้า คลายความวิตกกังวล ช่วยกระชับความสัมพันธ์และความไว้วางใจ

6.มอบหน้าที่ให้ลูกรับผิดชอบ

เพราะความรับผิดชอบไม่ได้สร้างแค่ชั่วข้ามคืน หรือหวังว่าลูกโตขึ้นแล้วจะมีความรับผิดชอบเอง การมอบหน้าที่ที่ลูกต้องรับผิดชอบตั้งแต่ยังเล็ก จะช่วยสอนลูกให้รู้จักและเข้าใจความต้องการของคนอื่นด้วย

7.ฝึกมารยาทขั้นพื้นฐาน

อย่างการขออนุญาตหรือพูดคำว่า ขอบคุณ ขอโทษ ไม่เป็นไร ให้เป็นนิสัย นอกจากช่วยให้รู้จักอดทนฝึกฝนแล้ว ยังสอนให้ลูกรู้ว่าหากเขาไม่สุภาพหรือไม่มีมารยาทสิ่งที่ได้รับคืออะไร และควรต้องขอโทษยังไงในสถานการณ์ต่างกันออกไป

8.คิดก่อนทำ

ต้องทำเสมอๆ คือบทเรียนชีวิตที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะผลของการกระทำบางอย่างเปลี่ยนแปลงชีวิตคนหนึ่งได้เลย หากสิ่งที่ลูกคิดไว้ไม่เป็นจริง หรือทำไมได้ การมีแผนสำรองไว้เท่ากับการเตรียมลูกให้พร้อมและรอบคอบ

ความเห็นใจคนอื่นนั้นทำให้โลกน่าอยู่ เพราะไม่ใช่ทุกคนจะเป็นเหมือนเรา สิ่งสำคัญคือต้องสอนให้ลูกรู้จักเข้าใจกับสถานการณ์ของคนอื่น และมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ด้วย

8 วิธีเลี้ยงลูกง่าย ๆ ฝึกให้ลูกค้นพบตัวเองและมีเป้าหมายของชีวิต

การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก 

รากฐานสำคัญในการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและประสบความสำเร็จของลูก พ่อแม่คือคนสำคัญที่จะสอน และอยู่เคียงข้างความสำเร็จของลูกนะคะ

มาช่วยกันสอนเจ้าตัวน้อย ด้วย 8 วิธีเลี้ยงลูกง่ายๆ ดังนี้

8 วิธีเลี้ยงลูกง่ายๆ  ฝึกให้ลูกค้นพบตัวเองและมีเป้าหมายของชีวิต
  1. ให้โอกาส

วัยเด็ก วัยสำคัญที่สุดในช่วงชีวิตมนุษย์ ที่ควรได้รับ “โอกาส” จากผู้ใหญ่ที่ควรทำหน้าที่ “ให้โอกาส” กับเด็กให้มากที่สุด พ่อแม่ควรทำหน้าที่คอยสังเกตและสนับสนุนในสิ่งที่ลูกถนัดและทำได้ดี จะทำให้ลูกเกิดความมั่นใจ และมีความพยายามที่จะทำสิ่งที่ตัวเองชอบและทำได้ดี 

อย่าพยายามคิดและตัดสินใจแทนลูก แต่เปลี่ยนมาสร้างบทบาทการฟังลูกให้มาก ฟังอย่างตั้งใจ เพื่อจะได้รู้ว่าลูกคิดอย่างไร ลูกอยากทำอะไร โดยพ่อแม่ทำหน้าที่เป็นโค้ชหรือผู้แนะนำ เพื่อส่งเสริมให้ลูกได้รู้จักตัวเอง มีความถนัดอะไร ชอบอะไร ทำอะไรได้ดี และควรปรับปรุงจุดอ่อนของตัวเองอย่างไร

  1. ให้อิสระ

พ่อแม่ควรให้อิสระแก่ลูกในการคิดอ่านหรือทำสิ่งใดไม่ควรเป็นผู้บงการชีวิตลูกว่าจะให้ลูกทำอะไร หรือฝากความหวังไว้กับลูกมากจนเกินไป บางคนให้ลูกสานฝันของตัวพ่อแม่เองที่ไม่สามารถทำได้สำเร็จ

โดยไม่คำนึงว่าลูกจะชอบหรือถนัดในด้านนั้นหรือไม่ พ่อแม่ที่ปรารถนาให้ลูกรู้จักตัวเองจึงควรเปิดโอกาสให้ลูกได้สามารถตัดสินใจในการเลือกสิ่งต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง โดยพ่อแม่มีหน้าที่คอยชี้แนะอยู่ห่างๆ

3.ให้ลูกเห็นตัวเอง

คนเป็นพ่อแม่สามารถทำหน้าที่เป็นกระจกเงาสะท้อนให้ลูกได้เห็นตนเองในมุมต่างๆ ทั้งจุดอ่อน จุดแข็ง จุดดี จุดด้อย ฯลฯ การสะท้อนภาพด้วยวัยและประสบการณ์ของลูกอาจทำให้เขามองเห็นภาพของตัวเองได้หลากหลาย เหมาะสม หรือบิดเบี้ยวผิดจากความเป็นจริง หรือฟังจากคนรอบข้างมาอย่างผิดๆ 

พ่อแม่ต้องปรับความเข้าใจของลูกที่มีต่อตัวเองให้ถูกต้องเป็นจริงให้มากที่สุด นั่นหมายความว่าพ่อแม่ต้องมองลูกด้วยสายตาความเป็นจริง มิใช่อคติหรือลำเอียง การสอนและเตือนสติเป็นสิ่งจำเป็น พ่อแม่คือผู้ที่เห็นลูกอย่างใกล้ชิดที่สุด และสามารถเข้าใจความเป็นตัวตนของเขามากที่สุด 

  1. ให้ความเคารพ

เมื่อลูกของเราค้นหาและค้นพบว่าตัวเองถนัดอะไร ชอบอะไร ซึ่งไม่ว่าสิ่งนั้นจะตรงใจพ่อแม่หรือไม่ก็ตาม ต้องเข้าใจ ยอมรับและเคารพในตัวลูกด้วย 

ที่สำคัญควรสร้างทัศนคติว่าพ่อแม่ลูกสามารถคุยกันได้ มีความเคารพในความเป็นมนุษย์ซึ่งกันและกัน


  1. ให้ประสบการณ์

ช่วงวัยเด็กเล็กเป็นวัยที่สำคัญมาก เป็นวัยช่างซักช่างถาม ต้องเปิดโอกาสให้ลูกเป็นเจ้าหนูทำไม และพ่อแม่ก็อย่าขี้เกียจตอบ พยายามตอบให้ได้มากที่สุด และคำตอบก็ควรจะเป็นลักษณะถามลูกว่าแล้วลูกคิดอย่างไร รู้สึกอย่างไร เป็นคำถามปลายเปิด เพื่อช่วยกระตุ้นให้เด็ก ๆ ได้คิดต่อ บางคำถามสามารถมีหลายคำตอบได้ ก็ชวนให้ลูกคิดตาม 

เมื่อลูกโตขึ้นก็ขยับความสนใจให้ลูกเรียนรู้สิ่งรอบตัวมากขึ้น ซับซ้อนตามวัย ยิ่งถ้าเป็นการให้เขาเรียนรู้สิ่งที่เขาสนใจ สิ่งที่เขาชอบ ก็จะเป็นการสร้างแรงบันดาลใจที่ดีต่อไปในอนาคต 

  1. ให้พัฒนาตัวเอง

เด็กควรได้รับการพัฒนาทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา และสังคมเริ่มที่การถูกเลี้ยงดู และได้รับการพัฒนาอย่างเหมาะสม ซึ่งหมายความว่าถ้าเด็กได้รับโอกาสที่ดีและเหมาะสม ก็จะนำไปสู่การพัฒนาตัวเองได้ด้วย 

  1. ให้ลงมือทำ

การเปิดโอกาสให้ลูกลองผิดลองถูก คือ ขั้นของการพัฒนาตัวเองที่เขาต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่เปิดโอกาสอย่างเดียว การเปิดโอกาสต้องปล่อยให้ลูกได้ลงมือทำด้วย เพราะการได้ลงมือทำคือการได้เรียนรู้ ได้ลองค้นหาด้วยตัวเอง ทำให้ได้มีโอกาสคิด วิเคราะห์ และประเมินได้ว่าเราถนัดอะไร 

  1. ให้แก้ไขเมื่อผิดพลาด

เด็กทำผิดพลาดแล้ว พ่อแม่ทำอย่างไร เปิดโอกาสให้เขาได้แก้ไขข้อผิดพลาดหรือไม่ รวมถึงการเข้าใจธรรมชาติของเด็กที่พ่อแม่ควรรู้ว่าลูกของเราเป็นเด็กอย่างไร ยิ่งว่าเหมือนยิ่งยุหรือไม่ หรือพื้นฐานเอาแต่ใจตัวเองหรือไม่ ถ้าพ่อแม่เข้าใจธรรมชาติของเด็ก การจัดการหรือการให้โอกาสเขา จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับเขาด้วย



การรู้จักตัวเองไม่ใช่ปลูกฝังเพียงแค่ที่บ้าน แต่ต้องได้รับการส่งเสริมและฝึกฝนจากโรงเรียนด้วย เพราะเมื่อเด็กเข้าสู่ระบบการศึกษา จำเป็นอย่างยิ่งที่โรงเรียนต้องออกแบบการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้เด็กรู้จักตัวเอง มิใช่ผลิตให้เด็กออกมาเหมือนๆกัน และสุดท้ายก็ไม่รู้ว่าตัวเองเรียนหนังสือไปทำไม ถนัดอะไร เรียนจบจะไปทำอะไร?


ในบรรดาความรู้ทั้งหลายในโลกกว้าง การรู้จักตัวเองเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

เพราะจะเป็นพื้นฐานไปสู่การเรียนรู้เรื่องอื่น ๆ ในโลกกว้างต่อไป..



ขอบคุณข้อมูลจาก : mgronline และ ดร.สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน

กฎ 9 ข้อ ตามใจลูกแบบไหนไม่ให้ลูกเสียนิสัย

การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก-การเรียนรู้-ลูกดื้อ-ลูกเอาแต่ใจ-ปรับพฤติกรรมเด็ก-วิธีปรับพฤติกรรมเด็ก 

ถ้าอยากตามใจลูกโดยไม่ทำให้ลูกเสียนิสัยและเอาแต่ใจ เรามีเคล็ดลับมาบอก ลองทำกันดูค่ะ

กฎ 9 ข้อ ตามใจลูกแบบไหนไม่ให้ลูกเสียนิสัย

เด็กวัย 1-3 ปี เป็นวัยแห่งการค้นหา กำลังสนุกกับโลกใบใหม่ เห็นอะไรก็อยากทำ จับ เขย่า รื้อ สารพัดจะสนุกแบบไร้ขอบเขต ซึ่งในวันข้างหน้าลูกต้องอยู่ร่วมกับคนอื่นๆ ในสังคม คงไม่สามารถเอาแต่ใจ อยากทำอะไรก็ได้ทุกอย่างแบบนี้ ดังนั้นต้องใช้ "กติกาและกฎของบ้าน" มาปรับใช้กับลูกแล้วค่ะ

  • กฎข้อที่ 1

ใช้วิธีชักชวนโดยไม่ใช่ใช้คำสั่ง เพราะเด็กยังเล็กเกินกว่าจะเข้าใจ "ลูกเลือกเอาค่ะว่า จะกินข้าวหรือจะไปเล่น ถ้าจะกินข้าวต้องนั่งที่โต๊ะอาหารนะ"

  • กฎข้อที่ 2

มีทางเลือกให้สักหน่อย ไม่ใช่ฝืนใจไปหมด แต่ทางเลือกนั้นต้องมีกติการ่วมอยู่ด้วย "เดี๋ยวการ์ตูนเรื่องนี้จบแล้ว เราไปอาบน้ำกันนะ"

  • กฎข้อที่ 3

ให้เวลาทำใจแยกจากกิจกรรมที่กำลังสนใจสักหน่อย เช่น การบอกล่วงหน้าจะทำให้ลูกเตรียมตัวเตรียมใจ "แม่อนุญาตให้เล่นน้ำได้ แต่ถ้าฉีดน้ำเปียกทั่วบ้าน ต้องขึ้นนะลูก"

  • กฎข้อที่ 4

ทุกกิจกรรมของลูกที่อาจลามปามเกิดความวุ่นวาย ต้องมีกติกาแฝงไว้สักหน่อย และแม่ก็ถือว่าเป็นการฝึกหัดให้หนูรู้จักรับผิดชอบในสิ่งที่ทำด้วย "วันนี้ลูกอยากไปเที่ยว แม่จะพาไป แต่ต้องสัญญากันว่าครั้งนี้จะไม่ซื้อของเล่น เพราะคราวที่แล้วซื้อมาหลายชิ้นแล้ว"

  • กฎข้อที่ 5

ได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง ไม่มีอะไรที่ลูกจะได้ไปหมดทุกอย่าง และที่สำคัญสัญญาที่แม่ว่าก็คือกติกานั่นเอง "วันนี้ลูกเก่งจัง กินนมไม่หกด้วย"

  • กฎข้อที่ 6 มาพร้อมกับ ข้อที่ 7

คือ ชมเชยเมื่อลูกทำได้ แต่แม่จะไม่ตำหนิถ้าลูกทำผิด เพราะแม่รู้ว่าวัยแค่นี้จะคาดหวังอะไรนักหนา ที่สำคัญลูกกำลังต้องการกำลังใจในการทำสิ่งต่างๆ แม่จะพยายามหาวิธีสนับสนุนให้ลูก "ทำได้"

  • กฎข้อที่ 8

ถ้าเป็นเรื่องอันตราย คำว่า "ห้าม" สามารถใช้ได้ ที่สำคัญต้องมีท่าทีที่เด็ดขาดด้วย แค่นี้ลูกก็สัมผัสได้ว่าแม่เอาจริง และจะเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่ลูกไม่เชื่อฟัง เช่น "ห้ามเล่นปลั๊กไฟ ห้ามออกนอกบ้านคนเดียว ฯลฯ"  

  • กฎข้อที่ 9

ทุก ๆ กติกาไม่ใช้วิธีบังคับ หรือเข้มงวดและคาดหวังว่าลูกต้องทำได้ แต่จะค่อย ๆ ใช้เหตุผลและแฝงกติกาเหล่านี้ไว้ในกิจกรรมของลูกแทน  

เด็กวัย 1-3 ปีนี้ถึงป่วนยังไง แต่ท้ายสุดแล้ว ก็พูดรู้เรื่อง มีเหตุผล และมี "กติกา" ในแบบของเขา เมื่อโตขึ้น วุฒิภาวะที่มากขึ้นพร้อมกับอายุ จะค่อย ๆ ทำให้เด็กซึมซับ "กติกา" ที่สลับซับซ้อนขึ้น เพียงแต่พ่อแม่ต้องเริ่มเสียตั้งแต่วันนี้ค่ะ

ดุลูกแล้วต้องปลอบหรือไม่

การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก-การเรียนรู้

เมื่อพ่อหรือแม่ดุลูก อีกคนควรจะเข้าไปปลอบลูกหรือไม่ ขอวิธีดุและปลอบลูกแบบถูกหลักการ

Q : เวลาพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งดุลูก กรณีที่ลูกทำผิดจริงๆ อยากทราบว่าเมื่ออีกคนดุลูก อีกคนควรเข้าไปปลอบลูกหรือเปล่าคะ หรือไม่ควรปลอบเลย แล้วแบบนี้ลูกจะเสียใจหรือน้อยใจไหมคะ ลืมบอกไปค่ะว่าตอนนี้ลูกชายอายุ 5 ปีแล้วค่ะ

A : เป็นธรรมดาที่คุณพ่อคุณแม่จะรู้สึกไม่สบายใจทุกครั้งที่ต้องดุลูกของตนเอง แต่ถึงอย่างไรคุณพ่อคุณแม่ก็ต้องยึดหลักที่ว่า ‘ถูกก็ว่าไปตามถูก ผิดก็ว่าไปตามผิด’ เมื่อเขาทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องก็เป็นหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่ที่ต้องคอยตักเตือนและชี้ทางที่ถูกที่ควรเพื่อให้เขาปรับปรุงตัว  

สำหรับการปลอบโยนลูกเวลาที่เขารู้สึกไม่ดีกับการดุของเรานั้นสามารถทำได้ครับ แต่สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญในเรื่องนี้มีด้วยกัน 2 ประเด็นใหญ่ ๆ ได้แก่ วิธีการดุลูกและวิธีการปลอบลูก  

สำหรับการดุลูกนั้น หากคุณพ่อคุณแม่ทำแต่พอดี เด็กจะเกิดความรู้สึกสำนึกผิดและอยากที่จะปรับปรุงตัวเองต่อไปโดยที่ไม่ได้รู้สึกแย่แต่อย่างใด แต่หากเราดุลูกรุนแรงเกินไป ก็อาจทำให้เขารู้สึกไม่ดีกับเราและกลายเป็นการต่อต้านในที่สุด ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรดุลูกอย่างเหมาะสม ได้แก่  

1.ควรตำหนิในสิ่งที่เขาทำ ไม่ใช่ตำหนิตัวเขา การบอกลูกว่า “แม่ไม่ชอบที่หนูแกล้งน้อง” กับการบอกลูกว่า “ทำไมเป็นเด็กเกเรแบบนี้” ให้ความรู้สึกที่ต่างกันมาก โดยในคำพูดแบบแรกนั้นให้ความรู้สึกว่า แม่ไม่ได้รู้สึกแย่กับลูก แม่แค่ไม่ชอบในสิ่งที่ลูกทำ ในขณะที่ประโยคหลังนั้นในทางจิตวิทยา เรียกว่า ‘การตีตรา’ หมายความว่าคุณแม่นั้นได้สรุปไปเรียบร้อยแล้วว่าลูกเป็นเด็กเกเร ซึ่งการพูดแบบหลังจะทำให้เด็กเกิดความท้อแท้และไม่อยากที่จะปรับปรุงตัวเอง  

2.ควรบอกในสิ่งที่อยากให้เขาทำแทนสิ่งเดิมเสมอ เช่น หากเราบอกลูกว่า “อย่าตีน้อง” เด็กๆ หลายคนจะมีปัญหาว่าเมื่อเขาไม่พอใจน้อง เขามักไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรแทนที่การตีน้อง และสุดท้ายเขาก็จะกลับมาตีน้องในที่สุด ดังนั้นคุณแม่ควรบอกเขาว่า “อย่าตีน้อง ต่อไปนี้ถ้าน้องทำอะไรให้หนูไม่พอใจให้มาบอกแม่” เป็นต้น  

3.ห้ามดุลูกขณะที่อารมณ์ไม่ดี ข้อนี้เป็นข้อที่สำคัญมาก เนื่องจากเด็กๆ จะรู้สึกแย่กับความหงุดหงิดและความโกรธมากกว่าคำพูดของเราเสียอีก ดังนั้นหากคุณพ่อคุณแม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังหงุดหงิดก็ควรบอกกับลูกว่า “ตอนนี้แม่หงุดหงิดมาก เดี๋ยวแม่จะไปทำอย่างอื่นก่อน หายโกรธแล้วแม่จะมาคุยเรื่องนี้กับหนูอีกที” นอกจากลูกจะไม่ต้องรับอารมณ์ของเราแล้ว เขาจะได้เรียนรู้ถึงวิธีการจัดการความโกรธที่ดีจากเราอีกด้วย  

สำหรับการปลอบลูกนั้นมีหลักการง่ายๆ ว่า คุณแม่เพียงแสดงความห่วงใยในความรู้สึกของเขาก็พอ เช่น “หนูเสียใจเหรอลูก” หรือ “หนูไม่ชอบที่คุณพ่อดุหนูใช่ไหม” เป็นต้น

สิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ หากคุณแม่เห็นว่าคุณพ่อดุหรือทำโทษลูกรุนแรงเกินไป ก็ไม่ควรจะพูดแย้งต่อหน้าลูก แต่ควรจะไปคุยกันทีหลังเพราะอาจทำให้ลูกไม่เคารพและไม่เชื่อฟังคุณพ่อในคราวต่อๆ ไป และคุณพ่อจะได้ไม่รู้สึกเสียหน้าด้วย ขอให้โชคดีครับ

ทำอย่างไรดี เมื่อลูกถูกเพื่อนแกล้ง

538 1 

ทำอย่างไรดี เมื่อลูกถูกเพื่อนแกล้ง

เมื่อลูกเข้าโรงเรียน หนึ่งในสิ่งที่พ่อแม่กังวลใจ คือ กลัวลูกถูกเพื่อนแกล้ง หรือลูกไปแกล้งเพื่อน อย่ามองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยที่มองข้ามได้นะคะ เพราะปัญหานี้อาจจะฝังใจและอยู่กับเด็ก ๆ ไปจนโตได้ค่ะ หากมีเรื่องแกล้งกันขึ้นมา ควรรีบหาทางแก้ปัญหากับครูที่โรงเรียนเลยค่ะ

การแก้สถานการณ์เฉพาะหน้า

บทบาทของครู

ถ้าเห็นเด็กรังแกกัน ให้แยกสองฝ่ายออกจากกันในระยะเวลาสั้นๆ ก่อน เพื่อให้อารมณ์ของเขาเย็นลง หากรู้ทีหลัง ต้องรีบแจ้งผู้ปกครองของเด็กที่ถูกแกล้งทันที ให้คำมั่นสัญญาอย่างแข็งขันให้เด็กที่ถูกรังแกอุ่นใจ เช่น "ครูรักหนูนะ ครูจะปกป้องหนูเหมือนคุณพ่อคุณแม่ดูแลหนู ไม่ให้ใครมารังแกหนูอีก"  ปรับพฤติกรรมของเด็กจอมรังแก สอนให้เขารู้จัก 'ขอโทษ' และบอกถึงผลเสียเมื่อรังแกผู้อื่น ให้เขาสำนึกผิดจากใจ สอนผู้ที่ถูกรังแกให้รู้จัก 'การให้อภัย' เพราะจะช่วยพัฒนาทักษะในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น เพื่อตัวเขาเองจะได้ไม่ผูกใจเจ็บจนบั่นทอนพัฒนาการ อาจให้ทั้งสองฝ่ายช่วยเสนอแนะทางออก โน้มน้าวให้มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ขอโทษกันและสัญญากับครูว่าจะไม่ทำอีก อย่ายื่นข้อเสนอให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ควรให้ผู้ปกครองเป็นคนหาทางออกที่พึงพอใจก่อน ครูต้องเป็นกลาง

ครูต้องสื่อสารกับทางบ้าน  

สังเกตขอบเขตการถูกรังแกของเด็กว่ารุนแรงและบ่อยแค่ไหน ถ้ามีพฤติกรรมทำซ้ำหรือร้ายแรงจนน่าห่วง ขอให้คุณครูรีบสื่อสารกับพ่อแม่ของเด็กทันที ท่าทีในการสื่อสารของคุณครูก็สำคัญค่ะ ใช้วิธีพูดคุยในทำนองบอกเล่าเรื่องราวและปรึกษา แต่อย่าปกปิดเหตุการณ์ หรือแทรกแซงสถานการณ์ อย่าตำหนิย้ำถึงปมด้อยของเด็กทั้งสองฝ่าย เพราะจะทำให้พ่อแม่ร้อนใจ ให้หาทางออกที่ดีต่อเด็กและพ่อแม่ของเด็กที่ถูกรังแกมากที่สุด

บทบาทของพ่อแม่  

มีท่าทีที่ดี เมื่อคุณครูบอกเล่าถึงพฤติกรรมของลูกเมื่ออยู่โรงเรียน เพราะนั่นแสดงว่าคุณครูดูแลเอาใจใส่ลูกคุณเป็นอย่างดี อย่าติดป้ายเด็กคู่กรณีว่าเป็นเด็กมีปัญหา แต่เขาอาจทำผิดพลาดได้ และมีโอกาสที่จะสำนึกผิดได้ ควรหาทางแก้ปัญหาร่วมกัน ให้ความร่วมมือกับทางโรงเรียน ด้วยการพูดคุย เล่ารายละเอียด เพื่อร่วมกันหาทางออก หากเหตุการณ์รุนแรงมาก และอีกฝั่งไม่ได้มีท่าทีสำนึกผิดใดๆ ต้องให้กฎหมายเข้าช่วยปรับพฤติกรรมเด็ก เพื่อเป็นตัวอย่างว่าอย่าไปแกล้งใครรุนแรงแบบนี้ และอาจย้ายโรงเรียนลูกไปในที่ๆ ดีกว่า เป็นทางออกสุดท้ายค่ะ

การกลั่นแกล้ง-bully-ลูกโดนแกล้ง-ลูกโดนเพื่อนแกล้ง

เพื่อนที่ดีที่สุด คือตัวหนูเอง  

บอกลูกอย่าอยู่ใกล้ๆ เพื่อนที่ชอบแกล้งตอนที่ไม่มีเพื่อนหรือคุณครูอยู่ด้วย เพราะจอมแกล้งเขาอาจจะหมั่นเขี้ยว อยากรังแกเพื่อนคนเดิมซ้ำอีก ไม่ตอบโต้ด้วยการใช้กำลังหรือคิดแก้แค้น เพราะจะยิ่งทำให้เรื่องไปกันใหญ่ หากเจอเหตุการณ์รุนแรงมาก เด็กที่ถูกรังแกต้องได้รับการเยียวยาจิตใจกับจิตแพทย์เด็ก

การแก้ไขปัญหา BULLY ในโรงเรียนแบบระยะยาว

ทั้ง พ่อแม่และคุณครู ล้วนเป็นแรงสำคัญที่จะช่วยสร้างกำลังใจให้เด็ก สอนเด็ก ๆ ให้มีความเชื่อมั่น และกล้าปกป้องตัวเองเมื่อถูกรังแก

ย้ำกับเด็กว่า 'ถึงเพื่อนคนนั้นจะชอบรังแกหนู แต่เพื่อนคนอื่นกับครูรักหนูมากนะ' แต่อย่าลืมว่าต้องไม่ใช่การยุหรือผลักดันให้หนูตอบโต้ หรือหันมาใช้พฤติกรรมไม่น่ารักเหมือนที่เขาถูกเพื่อนทำนะคะ แต่งตั้งให้เด็กที่รังแกผู้อื่น เป็นผู้ช่วยคุณครูดูแลเพื่อนๆ เขาจะได้แก้นิสัยของตัวเองและเพื่อนที่เป็นจอมรังแกได้ ครูต้องดูแลเด็กๆ อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเด็กที่มีพฤติกรรมก้าวร้าว หัวรุนแรง ควรได้รับการเฝ้ามองพฤติกรรมมาก

หากลูกถูกแกล้งไม่ว่าจะรุนแรงหรือไม่รุนแรงมาก พ่อแม่คือพื้นที่ปลอดภัยของลูก หาทางออกของผู้ใหญ่แล้ว อย่าลืมรักษาจิตใจของลูกด้วยนะคะ เพราะการถูกแกล้งส่งผลกระทบต่อจิตใจเด็กในระยะยาวมาก ๆ ค่ะ

  • 1
  • 2