รู้ไหมคะ ว่ายิ่งผู้หญิงอายุมากขึ้น โอกาสในการตั้งครรภ์จะต่ำลง โดยทั่วไปการตั้งครรภ์จะยากขึ้นเมื่อ อายุ 35 ปีขึ้นไป
ไข่ของผู้หญิงมีจำกัด ยิ่งอายุมากขึ้น จำนวนไข่ก็ลดลง แถมไข่แก่อีกด้วย
รู้ไหมคะ ว่ายิ่งผู้หญิงอายุมากขึ้น โอกาสในการตั้งครรภ์จะต่ำลง โดยทั่วไปการตั้งครรภ์จะยากขึ้นเมื่อ อายุ 35 ปีขึ้นไป เนื่องจากผู้หญิงเกิดมาพร้อมกับจำนวนไข่ในรังไข่ที่มีจำกัด และเซลล์ไข่จะค้างการแบ่งตัวอยู่ที่ระยะไมโอซิส I (Meiosis I) จนกระทั่งตกไข่จึงจะมีการแบ่งตัวต่อจนสมบูรณ์
นอกจากนั้น ไข่บางส่วนจะฝ่อสลายไปตามกาลเวลา ดังนั้นเมื่ออายุมากขึ้น จึงมีโอกาสที่จะเหลือไข่ที่มีความสมบูรณ์จำนวนน้อยลง และมีโอกาสที่การแบ่งตัวต่อของเซลล์ไข่มีความผิดพลาดได้ และเกิดเป็นเซลล์ไข่ที่มีจำนวนโครโมโซมผิดปกติ ส่งผลให้เกิดภาวะมีบุตรยากและภาวะแท้ง รวมถึงหากตั้งครรภ์ต่อไปก็อาจมีตัวอ่อนที่มีความผิดปกติของโครโมโซม เหล่านี้รวมเรียกว่าเป็นการแก่ตัวของไข่ (ovarian aging) และการลดลงของไข่ที่สะสม (ovarian reserve)
เมื่ออายุมากขึ้นความสามาถในการมีลูกก็ลดลง จำนวนไข่ก็ลดลง
-
อัตราการฝังตัวอ่อนจะลดลงเมื่ออายุ 35 ปีขึ้นไป เมื่ออายุ 45 ปีขึ้นไปประจำเดือนก็มีการเปลี่ยนแปลง
-
อายุมากขึ้นก็จะเสี่ยงกับการแท้งมากขึ้น มารดาอายุมากขึ้นจะมีความผิดปกติด้านโครโมโซมของไข่ และการขาดหายไปของไมโตคอนเดรีย
-
มีปัจจัยบางอย่างและสาเหตุที่ทำให้การทำงานของรังไข่ลดลง เช่นการสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ ภาวะขาดสารอาหาร ความเครียด โรคทาง autoimmune การใช้ยาต้านซึมเศร้า การอักเสบที่อุ้งเชิงกราน ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกอยู่ผิดที่
-
เนื้องอกในมดลูกและติ่งเนื้อในโพรงมดลูกพบมากขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น
-
เมื่ออายุมากขึ้นจำนวนไข่ก็จะลดลง มีการลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจน และ inhibin b มีการเพิ่มขึ้นของ fsh
ฮอร์โมนที่ทดสอบเกี่ยวกับการทำงานของรังไข่
- ฮอร์โมน fsh ( follicle stimulating hormone ) ถ้าระดับฮอร์โมนสูง แสดงว่ารังไข่ทำงานได้ไม่ดี ถ้าระดับ FSH
-
ระดับ estradiol ระดับ ค่าที่น้อยกว่า 80 pg/mL. ในช่วงวันที่ 3 ของประจำเดือนจะเป็นผลดี
-
Anti-mullerian hormone (AMH) anti-Mullerian hormone (AMH) เป็นglycoprotein dimer ผลิตโดย granulosa cells ของไข่ ถ้าค่าเกิน 1 ก็จะดี ถ้าค่าต่ำกว่า 1 ng/ml จะมีการลดลงของการทำงานของรังไข่ ค่าต่ำคือ < 0.2–0.7 ng/mL คือรังไข่จะตอบสนองต่อการกระตุ้นไข่ได้น้อยลง ถ้าค่า AMH สูง > 6.7 ng/mL จะสัมพันธ์กับภาวะถุงน้ำรังไข่มาก
แนวทางการดูแลคุณแม่ตั้งครรภ์อายุมาก
การดูแลขณะตั้งครรภ์ไตรมาส 1 และ 2
- คุณแม่ตั้งครรภ์ควรรับทราบความเสี่ยงของการเกิดทารกมีความผิดปกติของโครโมโซม (aneuploidy) ซึ่งความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นตามอายุ คุณแม่ตั้งครรภ์ควรได้รับคำแนะนำในการค้นหาความผิดปกติดังกล่าว ซึ่งมี 2 วิธี
- Invasive methods ได้แก่การเจาะน้ำคร่ำหรือการเจาะชิ้นเนื้อรก ซึ่งเป็นการวินิจฉัย
- Non-invasive methods ได้แก่การเจาะเลือดมารดาเพื่อตรวจหาระดับฮอร์โมน หรือการตรวจหาเซลล์ จากทารก (Cell-free fetal DNA) ร่วมกับการอัลตราซาวด์ดูอวัยวะสำคัญในร่างกายของทารกอย่างละเอียด ซึ่งวิธีนี้เป็นการตรวจคัดกรอง หากพบความผิดปกติ จำเป็นต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยต่อไป
- ในคุณแม่ตั้งครรภ์อายุมาก แนะนำให้ทำ Non-invasive prenatal testing โดยใช้วิธีการเจาะเลือดมารดาเพื่อตรวจหาเซลล์ทารก (Cell-free fetal DNA) เนื่องจากมีความไวสูงและมีผลบวกลวงต่ำเมื่อเทียบกับวิธีอื่น และมีความปลอดภัยต่อทารกในครรภ์
- คุณแม่ตั้งครรภ์ควรได้รับการตรวจอัลตร้าซาวด์อย่างละเอียดในช่วงไตรมาส 2 เพื่อค้นหาความผิดปกติของอวัยวะสำคัญของทารก โดยเฉพาะหัวใจ
- คุณแม่ตั้งครรภ์อายุมาก โดยเฉพาะในรายที่มีน้ำหนักเกิน ควรได้รับการตรวจคัดกรองหาภาวะเบาหวาน(ก่อนการตั้งครรภ์หรือเบาหวานขณะตั้งครรภ์) ตั้งแต่ครั้งแรกที่มาฝากครรภ์ ควรให้ความรู้ในการปฏิบัติตัว และเฝ้าระวังการเกิดภาวะเบาหวานและความดันโลหิตสูงตลอดการตั้งครรภ์
การดูแลขณะตั้งครรภ์ไตรมาส 3
การประเมินสุขภาพทารกในครรภ์ คุณแม่ตั้งครรภ์ควรได้รับการอัลตราซาวด์ในช่วงอายุครรภ์ 38-39 สัปดาห์เพื่อประเมินปริมาณน้ำคร่ำ และควรทำ antepartum testing สัปดาห์ละ 2 ครั้ง โดยทำสลับกันระหว่าง nonstress test และ biophysical profile (BPP) ร่วมกับการนับลูกดิ้น เน้นความสำคัญของการนับลูกดิ้นว่าเป็นส่วนหนึ่งของการประเมินสุขภาพทารกในครรภ์
บทความโดย: แพทย์หญิง วรประภา ลาภิกานนท์ สูตินรีแพทย์