'อัลตร้าซาวด์'ดูหน้าลูกแบบไหนดีที่สุด และในแต่ละเดือนจะเห็นพัฒนาการอะไรบ้าง
อัลตร้าซาวด์ คือการตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง มีความปลอดภัย และสามารถทำได้บ่อยครั้งเท่าที่ต้องการ ปัจจุบันพัฒนาการของเครื่องอัลตราซาวด์ก้าวหน้าเป็นอย่างมาก จากปกติทั่วไป 2 มิติ พัฒนาสู่ 3 และ 4 มิติ ทำให้คุณพ่อคุณแม่สามารถเห็นหน้าลูกได้ชัดแจ๋วเลยค่ะ แต่จะเลือกวิธีไหนดี เรามีมาแนะนำให้ความรู้กันก่อนไปหาคุณหมอค่ะ
ประโยชน์ของการตรวจอัลตร้าซาวด์แบบใหม่
สิ่งสำคัญที่ได้จากการตรวจอัลตร้าซาวด์ 3 และ 4 มิติ คือ ทำให้ได้ข้อมูลและรายละเอียดที่มากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของความผิดปกติที่พื้นผิว เช่น ปากแหว่ง หรือเนื้องอกที่ผิวบางชนิด ที่สำคัญ สามารถเก็บข้อมูลในลักษณะของปริมาตร จึงสามารถพิจารณารายละเอียดได้ในลักษณะหลายระนาบ ซึ่งเป็นประโยชน์ในการวินิจฉัยความผิดปกติบางอย่าง เช่น เพดานโหว่ เป็นต้น
ความแตกต่างของมิติอัลตร้าซาวด์
ตรวจอัลตร้าซาวด์ภาพ 2 มิติ
คือ เป็นภาพตัดขวางทีละภาพ ตามแนวของคลื่นเสียงความถี่สูงที่ส่งออกไปในแนวระนาบ (มิติที่ 1 คือความกว้าง มิติที่ 2 คือ ความยาว) ภาพที่จะได้ออกมาจะเป็นภาพแบบไม่มีความลึกหรือตื้นใด ๆ เลยและยังเห็นหน้าของลูกไม่ค่อยชัดอีกด้วย เพราะภาพที่ได้จะเป็นเงาดำ ๆ เท่านั้นเองค่ะ
ตรวจอัลตร้าซาวด์ภาพ 3 มิติ
หัวตรวจและอุปกรณ์ประมวลผลจะมีความซับซ้อนมากขึ้น โดยหัวตรวจจะส่งคลื่นเสียงในลักษณะหลายระนาบพร้อมกัน ทำให้เกิดการเก็บข้อมูลติดต่อกัน จากนั้นข้อมูลที่ได้จะถูกส่งไปยังหน่วยประมวลผลของเครื่องและทำการสร้างเป็นภาพ 3 มิติ สำหรับมิติที่ 3 ที่เพิ่มขึ้นมาคือความลึก ซึ่งจะทำให้ภาพนั้นเสมือนวัตถุจริงไม่ใช่ภาพตัดขวางของวัตถุ ภาพที่ได้ออกมาจะมีมิติมากขึ้น ดูเหมือนเด็กมากขึ้น จะสามารถมองภาพที่ออกมาได้เสมือนจริง และยังสามารถหมุนดูภาพไปมาได้อีกด้วย
ตรวจอัลตร้าซาวด์ภาพ 4 มิติ
การประมวลผลจะมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น โดยเครื่องจะทำการเก็บภาพ 3 มิติแต่ละภาพแล้วแสดงผลเรียงต่อกัน ทำให้เกิดเป็นภาพเคลื่อนไหวเช่นเดียวกับภาพยนตร์ซึ่งมีมิติที่ 4 หรือก็คือเวลานั่นเอง ในการตรวจทารกในครรภ์ด้วยอัลตร้าซาวด์ 4 มิติ จะสามารถเห็นภาพทารกเคลื่อนไหวอยู่ในครรภ์ ตลอดจนเห็นกิริยาอาการที่ทารกกำลังทำอยู่ในขณะตรวจได้ เช่น การเคลื่อนไหวใบหน้าไปมา ยกแขน ขยับนิ้ว อ้าปาก กลืน เป็นต้น
ช่วงเวลาอัลตร้าซาวด์ บอกอะไรได้บ้าง
6-8 สัปดาห์
- ตรวจยืนยันการตั้งครรภ์, จำนวนทารก และดูการเต้นหัวใจ
- ตรวจภาวะตั้งครรภ์ ว่ามีความเสี่ยงต่อภาวะท้องนอกมดลูก-ท้องลม หรือไม่
- ตรวจว่ามีเนื้องอกมดลูก หรือ ถุงน้ำรังไข่ ซึ่งอาจจะกระทบต่อการตั้งครรภ์ หรือไม่
10-14 สัปดาห์
- ตรวจหาความพิการแต่กำเนิดชนิดรุนแรงบางอย่าง
- วัดความหนาของผิวหนังบริเวณต้นคอ เพื่อช่วยในการตรวจคัดกรองความเสี่ยงกลุ่มอาการดาวน์
18-22 สัปดาห์
- ตรวจความผิดปกติหรือความพิการของทารกอย่างละเอียด
- ตรวจการเจริญเติบโต และน้ำหนักตัวของทารก
- ตรวจตำแหน่งรก สายสะดือ และปริมาณน้ำคร่ำ
28-36 สัปดาห์
- ตรวจความผิดปกติของทารกอีกครั้งก่อนคลอด
- ตรวจการเจริญเติบโต และน้ำหนักตัวของทารก
- ตรวจสุขภาพทารก, การหายใจ และการเคลื่อนไหว
- ตรวจสุขภาพรก, ปริมาณน้ำคร่ำ, ประเมินภาวะรกเสื่อม
- ตรวจความเร็วเลือดในสายสะดือและทารก
- ตรวจยืนยันท่าของทารกก่อนการคลอด
ในแต่ละสัปดาห์ ลูกในท้อง ทารกในครรภ์โตแบบไหน เป็นอย่างไร คลิปแม่ท้องนี้จะบอกคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ได้ชัดเจนว่า ลูกในท้องมีพัฒนาการอย่างไรและแข็งแรงพร้อมคลอดแค่ไหน
(คลิป) พัฒนาการทารกในครรภ์ 40 สัปดาห์ แต่ละสัปดาห์ลูกโตยังไง มาแอบส่องท้องแม่กัน
ที่มาคลิปพัฒนาการทารกในครรภ์ 40 สัปดาห์
https://ultrasound.ie/
https://www.facebook.com/ultrasound.ie
Mozart Effect ดีต่อสมองและพัฒนาการทารกในท้องจริงไหม?
กระแสที่พูดถึงกันมานานว่า Mozart Effect หรือ การฟังเพลงโมซาร์ทส่งผลต่อพัฒนาการทารกในครรภ์ ให้มีพัฒนาการ พัฒนาการทางสมองเติบโตอย่างรวดเร็ว แท้ที่จริงแล้ว Mozart Effect มีผลอย่างไร เรามีผลวิจัยมาไขข้อข้องใจนี้ให้คุณแม่ตั้งครรภ์ทุกคนค่ะ
ความเชื่อที่ว่า ฟัง Mozart แล้วฉลาด เดิมเกิดจากการทดลองที่ให้นักศึกษามหาวิทยาลัยกลุ่มหนึ่ง ฟัง Mozart ก่อนสอบเป็นเวลา 10 นาที แล้วเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้ฟังเพลง ผลปรากฏว่า
- กลุ่มที่ฟัง Mozart ทำคะแนนได้ดีกว่า! (1)
- หลังจากนั้นก็มีไอเดียจาก รัฐจอร์เจียแจก CD Mozart ให้คุณแม่ตั้งครรภ์เอาไปฟังเลยทีเดียว (คงอยากให้ American น้อยเป็นอัจฉริยะกันถ้วนหน้า)
- ต่อมาเริ่มมีคนสงสัย เลยทำวิจัยซ้ำ เพราะตามหลักวิทยาศาสตร์ ถ้ามันจริง ผลมันต้องเหมือนเดิมสินะ เลยจัดการทดลองที่ละเอียดขึ้น (2)
- ผลการทดลองคือ นักศึกษากลุ่มที่นั่งเฉยๆ 10 นาที ทำคะแนนได้ดีที่สุด ดีกว่ากลุ่มที่ฟังเพลง
- และมีหลากหลายการทดลองที่ทำซ้ำแล้วซ้ำอีก และผลก็ออกมาว่า การฟังเพลงของ Mozart ไม่ได้ช่วยให้คะแนนดีขึ้น
** ถึงแม้จะมีการทดลองใหม่ๆ ชี้ให้เห็นแล้วว่า Mozart effect อาจจะแค่เรื่องบังเอิญนะคะ แต่ก็ไม่ได้ช่วยลบล้างความเชื่อเดิมสักเท่าไร่ คนบางกลุ่มยังคงปักใจเชื่ออยู่อย่างเหนียวแน่นค่ะ
สรุป Mozart Effect เชื่อมโยงกับพัฒนาการทารกในครรภ์ได้ว่า
- ตามผลทดลองเลยค่ะ ฟังเพลง Mozart ไม่ได้เกี่ยวกับการพัฒนาอัจฉริยภาพใดๆ
- เด็กที่เก่ง อารมณ์ดี มีความมั่นใจ สร้างได้จากในครรภ์ เป็นเรื่องจริงค่ะ ลองสังเกตนะว่า เด็กบางคนนิดหน่อยก็ยิ้ม เข้ากับคนง่าย กล้าเล่นกล้าสำรวจ ในขณะที่เด็กบางคนจะหน้ายุ่งตลอด เล่นด้วยยาก ที่กล่าวมาทั้งหมดจะบอกคุณแม่ๆ ว่า ลูกจะเป็นอย่างไร มันขึ้นอยู่กับสภาวะจิตใจของมารดาขณะตั้งครรภ์ ดังนั้นฟังอะไรที่เพลินๆ อย่างตลก เพลงอะไรที่แม่ฟังแล้วมีความสุขดีกว่าค่ะ
- เคยมีคนไข้เคสเด็กชายไทย อายุ 3 ปี พ่อแม่เปิดเพลง Mozart ให้ฟังตั้งแต่ในครรภ์ พอคลอดปุ๊ปก็เปิดคลอในบ้านตลอดเวลา ปรากฎว่าลูกเวลาอยากได้อะไร ก็จะร้องฮัมเพลง ไม่ยอมพูด ต้องมาสอนกระตุ้นการพูดใหม่
- กระตุ้นสมองให้ลูกมีหลายวิธีค่ะ แต่วิธีนี้อย่าไปจริงจังกับมันดีกว่านะคะ
References:
(1) Rauscher, Frances H.; Shaw, Gordon L.; Ky, Catherine N. (1993). "Music and spatial task performance". Nature 365 (6447): 611. doi:10.1038/365611a0. PMID 8413624
(2) Steele, Kenneth M.; Bella, Simone Dalla; Peretz, Isabelle; Dunlop, Tracey; Dawe, Lloyd A.; Humphrey, G. Keith; Shannon, Roberta A.; Kirby, Johnny L. et al. (1999). "Prelude or requiem for the 'Mozart effect'?". Nature 400 (6747): 827. doi:10.1038/23611. PMID 10476959
บทความโดย : คุณพรินทร์ อัศเรศรังสรร เวชศาสตร์การสื่อความหมาย คลินิกเฉพาะทางกระตุ้นพัฒนาการ-ฝึกพูด คลินิกกระตุ้นพัฒนาการฝึกพูด
กล้ามเนื้อและกระดูกของลูกในท้องสำคัญนะคะ เราจะมีวิธีเสริมสร้างกล้ามเนื้อและกระดูกของทารกในครรภ์ได้อย่างไร คุณหมอมีคำแนะนำไปคุณแม่ตั้งครรภ์ไปลองทำตามอายุครรภ์ค่ะ
วิธีเสริมสร้างกล้ามเนื้อและกระดูกของทารกในครรภ์ตามอายุครรภ์
อายุครรภ์ 4-5 สัปดาห์
พัฒนาการทารกในครรภ์ช่วงอายุครรภ์ 4-5 สัปดาห์ เป็นช่วงเริ่มกำเนิดของเซลล์ชั้นกลางในระยะตัวอ่อน การพัฒนาของระบบกล้ามเนื้อและกระดูกของลูกเริ่มขึ้นแล้วค่ะ รวมไปคถึงความสมบูรณ์ของระบบสมองและไขกระดูกสันหลังของลูกด้วยค่ะ
อายุครรภ์ 4-5 สัปดาห์
เริ่มเห็นปุ่มแขนและขารวมทั้งนิ้วในช่วง 6-8 สัปดาห์ หลังไตรมาสที่ 2 สมองและระบบไขสันหลังจะพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ระบบกล้ามเนื้อและกระดูกเจริญอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน แต่การดิ้นของลูกในช่วงนี้ ยังไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อสิ่งเร้าต่างๆ แต่อย่างใด
อายุครรภ์ 28-34 สัปดาห์
ช่วงนี้ประสาทสัมผัสของลูกจะเริ่มสมบูรณ์เต็มที่ทำให้มีการประสานการทำงานของกล้ามเนื้อในส่วนต่าง ๆ เพื่อตอบสนองต่อสิ่งเร้า เช่น แสง เสียง อารมณ์ของคุณแม่ เป็นต้น จึงเป็นช่วงที่สามารถติดต่อสื่อสารกับลูกในครรภ์ได้อย่างไม่น่าเชื่อค่ะ เช่น การเล่านิทาน พูดคุย ร้องเพลง ฟังเพลง เป็นต้น ลูกจะจดจำและตอบสนองอย่างพึงพอใจได้ และพบว่าสามารถกระตุ้นเซลล์สมองของลูกให้มีเครือข่ายของเส้นใยสมองมากขึ้นได้
เสริมสร้างกล้ามเนื้อและกระดูกของทารกในครรภ์อย่างไรดี
คุณแม่ตั้งครรภ์ควรกินอาหารที่เสริมสร้างกล้ามเนื้อและกระดูกให้เพียงพอ โดยเฉพาะโปรตีนและแคลเซียม ได้แก่ ไข่ขาววันละ 2-3 ฟอง เนื้อต่าง ๆ นมหรือผลิตภัณฑ์จากนม รวมทั้งปลาทะเลซึ่งมีสาร DHA ที่เสริมสร้างสมองและไขสันหลังของลูก และสารอาหารที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับแม่ตั้งครรภ์คือ โฟเลต ที่มีอยู่มากในผักใบเขียว เพื่อช่วยป้องกันความพิการของระบบประสาทของทารกในครรภ์
กล้ามเนื้อทั้งหมดในร่างกายของเรา มีมากกว่า 600 ชิ้น มีขนาดและความเฉพาะในหน้าที่แตกต่างกันไป ทั้ง ยึดติดกับกระดูกและข้อต่อ รวมทั้งเนื้อเยื่อที่ประสานหรือเชื่อมต่อกับอวัยวะต่าง ๆ เพื่อทำงานได้อย่างเหมาะสม
กล้ามเนื้อมีอยู่ 3 ประเภท ดังนี้
- กล้ามเนื้อลาย (Skeletal Muscles)
เป็นเนื้อเยื่อที่เป็นองค์ประกอบของร่างกาย 23 % ของน้ำหนักตัวของผู้หญิง และ 40 % ของน้ำหนักตัวของผู้ชายที่โตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่แล้ว และอาจมากกว่านั้นถ้าเป็นนักกีฬา กล้ามเนื้อประเภทนี้จะยึดเกาะติดกับกระดูกและข้อต่อต่างๆ ทำให้เราเคลื่อนไหวและทำกิจกรรมได้
- กล้ามเนื้อเรียบ (Smooth Muscles)
เป็นองค์ประกอบของอวัยวะภายในทุกระบบ ซึ่งจะประกอบกับเนื้อเยื่อของอวัยวะนั้น ๆ เพื่อช่วยในการทำงาน เช่น ในกระเพาะอาหารและลำไส้ การหดเกร็งตัวของกล้ามเนื้อก็จะช่วยย่อยอาหารและทำให้กากอาหารเคลื่อนผ่านไปได้ การหดเกร็งตัวของกล้ามเนื้อในท่อไตก็ช่วยขับปัสสาวะให้เคลื่อนไปได้เร็วขึ้น เป็นต้น
- กล้ามเนื้อของหัวใจ (Cardiac Muscles)
มีความพิเศษเฉพาะตัวในการหดเกร็งตัวแบบปั๊มเลือดผ่านลิ้นหัวใจที่กั้นห้องต่าง ๆ ของหัวใจ ให้เกิดจังหวะสูบฉีดเลือดได้อย่างลงตัวและเหมาะสม เราไม่สามารถควบคุมหรือบังคับการทำงานของกล้ามเนื้อได้
ระบบกระดูกสำคัญไม่แพ้กัน
กระดูกนับจากกะโหลกศีรษะถึงกระดูกนิ้วเท้า ก็จะมีกล้ามเนื้อลายมายึดติดด้วยเนื้อเยื่อหรือเส้นเอ็น (Ligaments) ในบางตำแหน่งตามความเฉพาะของหน้าที่ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการทำงานของส่วนโครงสร้างนั้น ๆ แต่ทั้งระบบกล้ามเนื้อและกระดูกที่เป็นโครงสร้างของร่างกายทั้งหมดจะถูกควบคุมการทำงานด้วยระบบประสาทที่แตกออกมาเป็นแขนงจากแนวกระดูกสันหลัง นับจากกระดูกต้นคอถึงก้นกบ และจะป้อนข้อมูลไปกลับที่สมองทั้งส่วนล่างและส่วนบน ให้สามารถควบคุมและฝึกฝนการทำงานของกล้ามเนื้อทุกส่วนได้อย่างลงตัว
ขอบคุณข้อมูลจาก : รศ.พญ.เฉลิมศรี ธนันตเศรษฐ์
ถ้าแม่ตั้งครรภ์ไม่สบาย หรือ ต้องตรวจสุขภาพที่มีการเอกซ์เรย์ (X-Ray) จะสามารถทำได้หรือไม่ อันตรายกับทารกใครครรภ์หรือไม่ และหากทำได้จะมีข้อควรระวังอะไรบ้างที่ต้องรู้ก่อนทำการเอกซ์เรย์
การเอกซเรย์ทำงานอย่างไร
เอกซเรย์เป็นการใช้รังสีประเภทหนึ่งที่มีความสามารถในการผ่านทะลุร่างกายของมนุษย์ได้ คนเราไม่สามารถมองเห็นหรือรู้สึกถึงรังสีนี้ได้ ขณะที่รังสีทะลุผ่านร่างกายไป พลังงานของรังสีเอกซ์จะถูกอวัยวะส่วนต่างๆ ดูดซับเข้าไปในอัตราที่ต่างกัน โดยอีกด้านของร่างกายจะมีตัวตรวจจับรังสี ซึ่งคอยรับรังสีที่ผ่านทะลุร่างกายและเปลี่ยนข้อมูลที่ได้ออกมาเป็นภาพ
ส่วนร่างกายที่มีความหนาแน่นอย่างกระดูก จะทำให้รังสีเอกซ์ทะลุผ่านได้ยาก ทำให้ปรากฏตำแหน่งของสิ่งๆ นั้นออกมาเป็นสีขาวเข้ม ส่วนที่มีสีขาวจางๆ จะแสดงให้เห็นว่ารังสีสามารถผ่านสิ่งนั้นได้ง่ายดายกว่า ซึ่งมักจะเป็นหัวใจและปอด ที่ปรากฏบนฟิล์มเป็นจุดสีดำ
ข้อควรระวังเมื่อเอกซเรย์ระหว่างตั้งครรภ์
- ต้องแจ้งให้แพทย์และผู้เชี่ยวชาญทราบว่ากำลังตั้งครรภ์ก่อนเอกซ์เรย์ "ทุกครั้ง"
- ไม่ควรเอกซ์เรย์ในช่วงอายุครรภ์ 10 - 17 สัปดาห์ เพราะรังสีจะส่งผลต่อระบบประสาทของทารกในครรภ์
- แม่ตั้งครรภ์ไม่ควรรับรังสีเกิน 5 rad
- หากรับรังสีมากกว่า 10 ถึง 150 rads อาจส่งผลให้ทารกมีศีรษะเล็ก หรือ อาจมีความพิการทางสมอง
หากคุณแม่ตั้งครรภ์จำเป็นต้องรับการรักษาหรือตรวจโรคที่มีการเแกซ์เรย์รับรังสีจริงๆ ควรปรึกษาและเข้ากระบวนการรักษาภายใต้การดูแลจากผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิดค่ะ
คุณแม่ระวัง! มลพิษทางอากาศ PM 2.5 ทำให้ลูกน้อยในท้องเสี่ยง โรคออทิสซึม
ปัจจุบัน ฝุ่น PM 2.5 กลายเป็นปัญหามลพิษที่เกิดขึ้นทุกปี และส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างชัดเจนค่ะ สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ การสูดอากาศที่มี ฝุ่น PM 2.5 ไม่เพียงแต่เป็นอันตรายต่อสุขภาพตัวเองเท่านั้น แต่ผลงานวิจัยล่าสุดพบว่า ฝุ่น PM 2.5 ส่งผลไปถึงพัฒนาการทารกในครรภ์มากด้วยค่ะ
ผลวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด จากสหรัฐ บอกว่า ผู้หญิงท้องที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีมลพิษมาก มีโอกาสเสี่ยง 2 เท่า ที่จะทำให้ลูกในท้องเป็น โรคออทิสซึม เมื่อเทียบกับคนที่อยู่ในพื้นที่อากาศปกติหรือมีมลพิษน้อย โดยโรคดังกล่าวจะทำให้สมองของเด็กผิดปกติ หรือ อาจเป็นหนึ่งในตัวการทำให้เกิด อาการออทิสติก ได้ ดังนั้นคุณแม่ตั้งครรภ์จึงควรป้องกันตัวเองจากการสูดรับ ฝุ่น PM 2.5 อย่างถึงที่สุดเพื่อปกป้องลูกน้อยจากการรับอันตรายจากฝุ่นพิษค่ะ
แนวทางการป้องกันฝุ่น PM 2.5 สำหรับแม่ตั้งครรภ์
- หลีกเลี่ยงการออกจากบ้านในช่วงที่มี ฝุ่น PM 2.5 มีความหนาแน่นสูง เช่น ช่วงสินปี และ ต้นปี หรือ ช่วงที่มีรายงานข่าวเกี่ยวกับไฟไหม้ป่า การเผาขยะ เป็นต้น
- หากกจำเป็นต้องออกจากบ้าน ต้องสวมหน้ากากอนามัยที่สามารถกรอง ฝุ่น PM 2.5 ได้ เช่น หน้ากากชนิด N 95 หรือชนิดที่ระบุว่ากรอง ฝุ่น PM 2.5 ได้
- หากมีงบประมาณสักหน่อย อาจซื้อเครื่องกรองอากาศมาใช้ในบ้าน เพื่อช่วงฟอกและกรอง ฝุ่น PM 2.5ในบ้าน
ฝุ่น PM 2.5 อาจจะยังอยู่กับเราไปแบบนี้ทุกปีนะคะ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นคุณแม่ตั้งครรภ์ คุณแม่ที่มีลูกเล็ก หรือ ลูกโต การปรับตัวและเลือกใช้เครื่องป้องกัน ฝุ่น PM 2.5 เป็นแนวทางที่ดีที่สุดค่ะ
คุณแม่รู้ไหมคะว่าความผิดปกติทางโครงสร้างของหัวใจทารกที่อาจทำให้เป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ในประเทศไทยพบได้มากที่สุดประมาณ 8 ใน 1,000 หรือ ในเด็กแรกเกิด 1,000 คนจะมีเด็กทารกป่วยเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดถึง 8 คน เลยทีเดียว ซึ่งปัจจุบันเราสามารถตรวจได้ว่า ลูกในท้องมีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจได้ด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงค่ะ
สาเหตุที่อาจทำให้ทารกเป็นโรคหัวใจแต่กำเนิด
- ทางคุณแม่ ได้แก่ คุณแม่ที่เป็นเบาหวาน เป็น SLE ได้รับ teratogen (สารก่อมะเร็ง) เช่น lithium carbonate alcohol และ anti convulsant ติดเชื้อไวรัสบางอย่าง เช่น หัดเยอรมัน มีภาวะแฝดน้ำ มีหัวใจผิดปกติแต่กำเนิด เป็นต้น
- ทารก ได้แก่ มีความผิดปกติ ใน level 1 scan มีความผิดปกติของอวัยวะในระบบอื่นที่ไม่ใช่ระบบหัวใจ มีความผิดปกติของโครโมโซมของคุณแม่ ทารกในครรภ์มีการเต้นผิดปกติของหัวใจ บวมน้ำ เจริญเติบโตช้า เป็นต้น
- ครอบครัว คือ มีประวัติโรคหัวใจแต่กำเนิดในครอบครัว มีประวัติในครอบครัวเป็น Noonan หรือ Marfan sysdrome
การตรวจหัวใจทารกด้วยอัลตราซาวด์
การตรวจหัวใจทารกในครรภ์ จะเริ่มจากภาพโครงสร้างหัวใจทารกในหลาย ๆ ระนาบทั้ง 4 ห้องที่เรียกว่า ภาพ 4 chamber ซึ่งสามารถคัดกรองความผิดปกติของหัวใจทารกในครรภ์ได้ถึงร้อยละ 92 แต่ในภายหลังพบว่าความไวในการคัดกรองลดต่ำลง และต่างกันไปได้ตั้งแต่ร้อยละ 33-69 ซึ่งความแตกต่างของตัวเลขดังกล่าว อาจสืบเนื่องจากชนิดของพยาธิสภาพของหัวใจทารกแตกต่างกันในกลุ่มประชากรที่ศึกษา
การตรวจหัวใจทารกในครรภ์ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถบอกความผิดปกติของหัวใจทารกแรกคลอดได้หมด ซึ่งพยาธิสภาพบางอย่างที่พบได้บ่อยหลังคลอด เช่น รูรั่วระหว่างหัวใจส่วนบนและส่วนล่างซ้ายและขวา จะไม่สามารถบอกได้ คุณแม่จึงควรเข้าใจถึงโอกาสของความผิดพลาดที่อาจเกิดจากการตรวจหัวใจพิการของทารกในครรภ์ไว้ด้วย
หัวใจของลูกในท้องเติบโตและมีพัฒนาการอย่างไร
- ตั้งครรภ์ 4 สัปดาห์: หัวใจเริ่มพัฒนาถือเป็นอวัยวะชุดแรกที่ตัวอ่อนทารกจะเริ่มพัฒนาขึ้น ขณะนั้นตัวอ่อนจะประกอบด้วยเซลล์เพียง 150 เซลล์เท่านั้น แต่จะมีการแบ่งชั้นเนื้อเยื่อออกเป็น 3 ชั้น คือ นอก กลาง และใน เนื้อเยื่อชั้นกลางนี้เอง จะมีศักยภาพในการพัฒนาเป็นอวัยวะที่มีความพิเศษในด้านความทนทานในการทำงาน คือ หัวใจ ไต ระบบอวัยวะสืบพันธุ์ กระดูก กระดูกอ่อน กล้ามเนื้อ เส้นเอ็นนั่นเอง จากนั้นใน 2 สัปดาห์ต่อมา หัวใจจะมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ตามโครงสร้างที่กำหนดไว้แล้วในแบบแผนภูมิของยีนส์
การตั้งครรภ์ช่วงนี้ จึงเป็นช่วงที่คุณแม่ต้องระวังมากที่สุดในการดูแลตนเอง เพราะถ้าได้รับเชื้อโรคบางอย่าง เช่น ไวรัสหัดเยอรมัน หรือคุณแม่ที่เป็นเบาหวานและควบคุมน้ำตาลได้ไม่ดี หรือสูบบุหรี่ กินยาบางอย่างที่เป็นอันตราย ก็จะเป็นผลให้ลูกมีหัวใจพิการได้
- ตั้งครรภ์ 6 สัปดาห์: จะเริ่มเห็นหัวใจของลูกเต้นจากการดูด้วยอุลตร้าซาวนด์ ซึ่งช่วงนี้ตัวอ่อนจะตัวเล็กมาก วัดได้จากหัวถึงก้นเพียง 0.08 -0.16 นิ้วฟุต เท่านั้น
- ตั้งครรภ์ 10 สัปดาห์: หัวใจจะมีโครงสร้างเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งจะเปลี่ยนชื่อเรียกจากตัวอ่อนเป็นทารก
- ตั้งครรภ์ 11 สัปดาห์: ฟังเสียงหัวใจทารกได้ด้วยการใช้เครื่อง doppler sound wave stethoscope ซึ่งเป็นเครื่องมือฟังเสียงหัวใจทารกได้ ตอนนี้ทารกจะยาว 1.75 - 2.4 นิ้วฟุต
- ตั้งครรภ์ 28 สัปดาห์ – 38 สัปดาห์: หัวใจเริ่มมีการตกแต่งส่วนประกอบปลีกย่อยของหัวใจจนเสร็จสมบูรณ์ แล้วจากนั้นหัวใจก็จะเริ่มขยายขนาดให้เต็มโครงสร้างเมื่อครบกำหนดคลอด
ขอขอบคุณข้อมูลจาก: รศ.นพ.ธีระพงศ์ เจริญวิทย์
ทารกในครรภ์ไม่โต มีพัฒนาการผิดปกติจนส่งผลต่อการคลอด คุณแม่ตั้งครรภ์จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกในท้องไม่โต เราสามารถเช็กได้จากการตรวจสุขภาพครรภ์ตามอายุครรภ์ เพื่อเช็กการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นดังต่อไปนี้ค่ะ
รู้ทันพัฒนาการทารกในครรภ์ ว่าเติบโตเป็นปกติหรือไม่
- ฮอร์โมนการตั้งครรภ์: ช่วงการตั้งครรภ์ 3-4 เดือนแรก เมื่อลูกในท้องมีพัฒนาการมากขึ้น จะมีการสร้างฮอร์โมนการตั้งครรภ์ ซึ่งคุณแม่จะแสดงอาการที่เกิดจากฮอร์โมนออกมา เช่น เจ็บเต้านม ปัสสาวะบ่อย อารมณ์เปลี่ยนแปลง หงุดหงิดมากขึ้น อาการแพ้ท้อง เป็นต้น
- นับจังหวะลูกดิ้น: คุณแม่ท้องแรกจะเริ่มรู้สึกว่าลูกดิ้นตอนอายุครรภ์ 18 สัปดาห์ ถ้าเป็นท้องสองจะเริ่มรู้สึกว่าลูกดิ้นตอนอายุครรภ์ 16 สัปดาห์ แต่คุณแม่จะรู้สึกว่าลูกดิ้นจนนับจังหวะได้ชัดเจนตอนอายุครรภ์ได้ 20 สัปดาห์หรือไตรมาสที่ 2 ไปแล้ว
เทคนิคในการนับลูกดิ้น คือ ใน 12 ชั่วโมง ลูกควรจะดิ้นเกิน 10 ครั้ง เช่น 9 โมงเช้าถึง 3 ทุ่ม ถ้าลูกดิ้นเกิน 10 ครั้ง ก็แสดงว่าปกติค่ะ ถ้าวันไหนที่รอดูมาทั้งวันแล้วรู้สึกว่าลูกไม่ค่อยดิ้นเลย อาจเป็นเพราะลูกกำลังหลับอยู่ คุณแม่ลองดื่มน้ำผลไม้ แล้วรอประมาณ 1 ชั่วโมง พอลูกตื่น เขาจะดิ้นจนคุณแม่รู้สึกได้ ซึ่งถ้าลองทำวิธีเหล่านี้แล้ว ลูกยังดิ้นน้อยอยู่จะต้องมาพบแพทย์ค่ะ
- น้ำหนักตัวแม่ตั้งครรภ์บอกพัฒนาการทารกในครรภ์: น้ำหนักของคุณแม่จะเป็นสิ่งที่บอกว่าลูกได้รับสารอาหารและออกซิเจนเพียงพอหรือไม่ คุณแม่ตั้งครรภ์ควรจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น ประมาณ 10-15 กิโลกรัมตลอดการตั้งครรภ์
- ดูจากยอดมดลูก: เมื่อมีการตั้งครรภ์ มดลูกจะขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งสามารถดูพัฒนาการของลูกน้อยได้จากการขยายตัวของมดลูก
- เมื่ออายุครรภ์ 12 สัปดาห์ ยอดมดลูกจะอยู่เหนือกระดูกหัวเหน่า โดยแบ่งส่วนที่ต่ำกว่าสะดือเป็น 3 ส่วน
- เมื่ออายุครรภ์ 16 สัปดาห์ ยอดมดลูกจะอยู่เหนือกระดูกหัวเหน่าประมาณ 1 ใน 3 และจะเริ่มสูงประมาณ 2 ใน 3 เหนือกระดูกหัวเหน่า เมื่ออายุครรภ์ 20 สัปดาห์ และจะอยู่ตรงสะดือพอดีเมื่ออายุครรภ์ 24 สัปดาห์
- เมื่ออายุครรภ์ 28 สัปดาห์ ยอดมดลูกจะสูงประมาณ 1 ใน 4 เหนือสะดือ จากนั้นจะสูง 2 ใน 4 เมื่ออายุครรภ์ 32 สัปดาห์ สูงประมาณ 3 ใน 4 เมื่ออายุครรภ์ 36 สัปดาห์ และจะอยู่สูงสุดคือ 4 ใน 4 หลังจาก 37 สัปดาห์
หากเป็นท้องแรกเมื่อศีรษะเด็กเข้าสู่อุ้งเชิงกราน ช่วงนั้นท้องก็จะเริ่มลดลง ซึ่งวิธีสังเกตยอดมดลูกนี้ แพทย์จะเป็นผู้ประเมินเวลาที่คุณแม่มาตรวจอัลตราซาวนด์ค่ะ
5 วิธีปฏิบัติสำหรับแม่ตั้งครรภ์ เมื่อทารกในครรภ์มีพัฒนาการช้า ลูกในท้องไม่โต
- พบแพทย์เพื่อประเมินหาสาเหตุที่ลูกในท้องไม่พัฒนาตามอายุครรภ์ ซึ่งเกิดขึ้นได้จาก 3 สาเหตุหลัก คือ
- คุณแม่มีความผิดปกติ เช่น มีโรคประจำตัวอย่างโรคเบาหวาน เกิดความผิดปกติที่เส้นเลือดทำให้อาหารส่งไปถึงลูกได้น้อยลง หรือคุณแม่ที่น้ำหนักขึ้นไม่ค่อยตามเกณฑ์ น้ำหนักน้อยหรือมีประวัติได้รับยา หรือสารอันตราย เช่น สูบบุหรี่จัด ดื่มเหล้า ใช้สารเสพติด เป็นต้น
- รกและสายสะดือผิดปกติ เช่น มีปัญหารกลอกตัวก่อนกำหนด เส้นเลือดบริเวณใต้รกฉีกขาด รกเสื่อมสภาพ
- เกิดจากความผิดปกติของลูก เช่น มีความผิดปกติของโครโมโซม มีการติดเชื้อไวรัส หรือมีความพิการแต่กำเนิด ซึ่งเมื่อทราบสาเหตุแล้วคุณหมอจะแก้ไขที่สาเหตุ ร่วมกับการปรับเปลี่ยนโภชนาการและพฤติกรรมของคุณแม่
- กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย และควรเพิ่มพลังงานจากอาหารวันละ 300 กิโลแคลลอรี เมื่อไปฝากครรภ์ทางโรงพยาบาลจะมีทีมโภชนาการคอยดูแล ซึ่งนักโภชนาการจะวิเคราะห์ว่าคุณแม่กินอาหารไปเท่าไหร่ และเพียงพอหรือไม่
- ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ วันละ 8-10 ชั่วโมง นอนกลางวันประมาณ ½ -1 ชั่วโมง เป็นต้น
- ทำตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น การนับลูกดิ้นใน 12 ชั่วโมง ควรจะเกิน 10 ครั้ง เป็นต้น
- พบตามแพทย์นัดอย่างสม่ำเสมอ หากคุณแม่มีอาการผิดปกติ ควรได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด เพื่อการป้องกันแก้ไขได้อย่างทันท่วงที ควรสังเกตอาการและดูแลครรภ์อย่างเหมาะสม เพื่อพัฒนาการของลูกน้อยที่ปกตินะคะ
เรียบเรียงจากการสัมภาษณ์: พญ.ธิศรา วีรสมัย สูติแพทย์ โรงบาลพญาไท1
การอัลตราซาวด์ (Ultrasound) ดูพัฒนาการและความผิดปกติของทารกในครรภ์เป็นเรื่องจำเป็นค่ะ แต่จริงไหมที่ต้องอัลตราซาวด์ทารกในครรภ์บ่อย ๆ และต้องอัลตราซาวด์ 3 มิติ อัลตราซาวด์ 4 มิติ อย่างที่แม่ท้องหลายคนเข้าใจ เรามีคำแนะนำจากคุณหมอมาบอกค่ะ
ทำไมคนท้องต้องอัลตราซาวด์ดูทารกในครรภ์
การตรวจอัลตราซาวด์ทารกในครรภ์ไม่ได้มีจุดประสงค์เพียงเพื่อให้ทราบเพศของทารกเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์ในทางการแพทย์มากมายเพื่อช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์ เช่น
- ทราบจำนวนทารก
- ทราบกำหนดอายุครรภ์ที่แน่นอน ในกรณีหญิงตั้งครรภ์จำประจำเดือนครั้งสุดท้ายไม่ได้
- วินิจฉัยความผิดปกติของทารกในครรภ์ โดยบางโรคอาจจำเป็นต้องยุติการตั้งครรภ์ บางโรคสามารถให้การรักษาทารกในครรภ์ได้ หรือช่วยในการวางแผนการดูแลรักษาหลังคลอด
- ทราบตำแหน่งรก ปริมาณน้ำคร่ำ
- ทราบความผิดปกติของมดลูก รังไข่
- คาดคะเนน้ำหนักทารก ประเมินสุขภาพทารก ตรวจยืนยันท่าของทารกในครรภ์ ในกรณีที่แพทย์ตรวจร่างกายแล้วพบความผิดปกติ
ตรวจอัลตราซาวด์แล้วรับประกันว่าลูกปกติร้อยเปอร์เซ็นต์หรือไม่
การตรวจอัลตราซาวด์มีขีดจำกัดในการวินิจฉัยเช่นเดียวกับการตรวจด้วยเครื่องมืออื่น ๆ ความถูกต้องแม่นยำขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ชนิดของโรคหรือความผิดปกติของทารกเอง โดยโรคบางอย่างอาจเกิดขึ้นภายหลัง โรคบางอย่างวินิจฉัยได้ยากหรือไม่สามารถเห็นได้จากภาพอัลตราซาวด์ ในบางกรณีภาพอัลตราซาวด์เห็นไม่ชัด เช่น หญิงตั้งครรภ์หน้าท้องหนาทารกนอนคว่ำ อายุครรภ์น้อย เครื่องอัลตราซาวด์ที่มีความละเอียดต่ำรวมไปถึงแพทย์ผู้ตรวจที่มีความชำนาญแตกต่างกัน
การตรวจอัลตราซาวด์มีอันตรายต่อทารกในครรภ์หรือไม่
แม้ว่าการตรวจอัลตราซาวด์โดยทั่วไปจะปลอดภัยต่อทารกในครรภ์ แต่แนะนำให้ทำเฉพาะเมื่อมีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์เท่านั้น นอกจากนี้ การตรวจอัลตราซาวด์โดยไม่จำเป็นก็เป็นการสิ้นเปลืองค่ะ
อัลตราซาวด์ 2 มิติ 3 มิติ 4 มิติ กี่มิติถึงจะดีที่สุด
การตรวจอัลตราซาวด์ 2 มิติ ก็เพียงพอต่อการวินิจฉัยความผิดปกติดังกล่าวข้างต้น โดยควรตรวจอัลตราซาวด์ในช่วงอายุครรภ์ 18-22 สัปดาห์ หรือ อายุครรภ์ 4 เดือน แต่สำหรับการอัลตราซาวด์ 3 มิติ และ 4 มิติ จะทำเฉพาะกรณีพบความผิดปกติจากการตรวจแบบ 2 มิติ และต้องการการวินิจฉัยเพิ่มเติมในบางโรคเท่านั้น
ปัจจุบันแม่ท้องนิยมอัลตราวซาวด์ 3 มิติ และ 4 มิติ เพื่อดูพัฒนาการและหน้าตาของลูกในท้องอย่างชัดเจน หรือ แม้แต่อยากได้ภาพถ่ายอัลตราซาวด์แบบ 4 มิติมาเป็นที่ระลึก แต่จริง ๆ หากลูกไม่มีอาหารผิดปกติที่แพทย์บ่งชี้ว่าต้องทำ ก็ไม่จำเป็นต้องทำ เนื่องจากมีราคาสูง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
รศ.พญ.เฟื่องลดา ทองประเสริฐ
คณะอนุกรรมการอนามัยแม่และเด็ก ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย
ตรวจคัดกรองความผิดปกติของทารก เพื่อรักษาชีวิตลูกน้อยตั้งแต่ในครรภ์
เชื่อว่าผู้หญิงทุกคนเมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังจะได้เป็นคุณแม่ ก็จะต้องให้ความใส่ใจดูแลลูกน้อยในครรภ์เป็นพิเศษ ซึ่งการตรวจคัดกรองหาความผิดปกติของทารกในครรภ์ เป็นสิ่งสำคัญที่คุณแม่ต้องใส่ใจด้วยเช่นกัน เพราะความผิดปกติบางอย่างสามารถรักษาได้ตั้งแต่ในครรภ์ ช่วยให้ลูกน้อยคลอดออกมาได้อย่างปลอดภัยและสมบูรณ์แข็งแรง
แพทย์หญิงจิตรนพิน ดุลยเกษม สูตินรีแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ อธิบายว่าความผิดปกติของทารกในครรภ์แบ่งได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่
- ความผิดปกติทางพันธุกรรม (Genetic abnormalities) ความผิดปกติกลุ่มนี้มีทั้งชนิดที่ตรวจได้และตรวจไม่ได้ มีทั้งแบบโรคทางโครโมโซม และโรคของยีนส์
- ความผิดปกติทางโครงสร้าง (Structural abnomalities) คือความผิดปกติทางรูปร่าง ทั้งอวัยวะภายนอกและอวัยวะภายใน
- ความผิดปกติทางหน้าที่การทำงาน (Functional abnormalities) ความผิดปกติในกลุ่มนี้บางอย่างจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อทารกคลอดออกมาแล้ว เช่น ปอด ลำไส้ หู ตา สมองและสติปัญญา แต่บางอวัยวะเราสามารถตรวจได้ว่าทำงานปกติดีหรือไม่ เช่น หัวใจ การเคลื่อนไหวของแขน ขา หรือการสร้างน้ำปัสสาวะจากไต เป็นต้น การตรวจคัดกรองหาความผิดปกติ สามารถช่วยให้คุณแม่ทราบได้เบื้องต้นว่าทารกในครรภ์มีความเสี่ยงหรือไม่ ซึ่งสามารถตรวจได้ทั้งวิธีเจาะเลือดเพื่อดูความผิดปกติทางโครโมโซม และวิธีอัลตราซาวนด์เพื่อดูความผิดปกติทางโครงสร้างและการทำงานของอวัยวะ ทั้งนี้ หากพบว่ามีความเสี่ยง จะต้องมีการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม โดยเป็นการทำหัตถการที่มีความเสี่ยงต่อทารก เนื่องจากต้องใช้วิธีที่ไปข้องเกี่ยวกับความสมดุลของทารกที่อยู่ในครรภ์
ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการตรวจวินิจฉัย ถึงแม้จะมีโอกาสไม่เยอะ เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 0.5 – 1 % แต่ก็ไม่มีใครอยากได้รับความเสี่ยงนั้น เพราะฉะนั้นอยากแนะนำให้คุณแม่ทุกท่านเข้ารับการตรวจคัดกรองก่อน โดยสามารถตรวจได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 10 สัปดาห์เป็นต้นไป ขึ้นอยู่กับชนิดของการตรวจ แต่แนะนำช่วง 11 – 13 สัปดาห์ เพราะเป็นช่วงที่สามารถวางแผนเลือกวิธีตรวจได้หลากหลาย และเหมาะสมกับความผิดปกติที่ตรวจพบ
ความผิดปกติของทารกในครรภ์มีด้วยกันหลายระดับ ตั้งแต่ระดับน้อยไปจนถึงระดับรุนแรงมาก ความผิดปกติที่รุนแรง เช่น พิการรุนแรง อวัยวะขาดชัดเจน จะสามารถเห็นได้จากการตรวจคัดกรองตั้งแต่การตั้งครรภ์ช่วง 12 สัปดาห์แรก ส่วนในความผิดปกติที่ไม่รุนแรง เช่น มีความพิการของอวัยวะที่มีขนาดเล็ก หรือการทำงานของหัวใจผิดปกติ จะสามารถเห็นได้ชัดขึ้นจากการตรวจคัดกรองเมื่ออายุครรภ์เกิน 12 สัปดาห์ แต่ไม่ควรเกิน 20 สัปดาห์ เนื่องจากหากพบความผิดปกติในช่วงนี้ คุณแม่ยังสามารถเลือกรักษาหรือยุติการตั้งครรภ์ได้
อย่างไรก็ตาม ความผิดปกติบางอย่างของทารกที่ไม่เกี่ยวข้องกับความพิการและโครโมโซม หากตรวจพบเร็ว ก็สามารถรักษาได้ตั้งแต่ในครรภ์ เช่น ภาวะซีดหรือบวมน้ำจากการติดเชื้อบางชนิด, มีถุงน้ำผิดปกติในช่องลำตัว, หัวใจเต้นผิดจังหวะบางประเภท, หรือโรคเกี่ยวกับเส้นเลือดผิดปกติในกลุ่มแฝด แพทย์ก็สามารถจี้ทำลายเส้นเลือดที่ผิดปกตินั้นได้
โดยในกรณีสตรีตั้งครรภ์ที่มีเสี่ยงสูงหรือตรวจพบทารกมีความผิดปกติในครรภ์นั้น ควรได้รับการดูแลใกล้ชิดโดยแพทย์เฉพาะทางเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ หรือดูแลร่วมกันกับสูติแพทย์ประจำที่ฝากครรภ์เพื่อให้คำปรึกษาและการรักษาที่เหมาะสมได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
ยิ่งคุณแม่มาตรวจคัดกรองเร็ว และพบความผิดปกติเร็วเท่าไหร่ การวางแผนการรักษาก็จะมีทางเลือกให้มากขึ้น เพราะบางโรคมีข้อจำกัดการรักษาด้วยอายุครรภ์ เพราะฉะนั้น การพบเร็ว รักษาเร็ว ก็จะทำให้ทารกมีโอกาสคลอดออกมาได้อย่างปลอดภัย สมบูรณ์และแข็งแรงขึ้น
พญ.จิตรนพิน ดุลยเกษม สูตินรีแพทย์เวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์
แม่ตั้งครรภ์ 1 เดือน อายุครรภ์ 1 เดือน ลูกตัวเท่าเม็ดงาและมีหัวใจแล้ว
รู้ไหมคะว่า อายุครรภ์ 1 เดือน เกิดอะไรขึ้นกับลูกในท้องตัวเองบ้าง ลูกในท้องตัวแค่ไหนแล้ว ลูกในท้องกำลังทำอะไรอยู่ และตัวแม่เองมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แม่ตั้งครรภ์ 1 เดือน จะต้องดูแลตัวเองอย่างไร มาค่ะคุณแม่ท้องทุกคน มาดู พัฒนาการทารกในครรภ์ 1 เดือน พร้อมวิธีดูแลตัวเอง กันค่ะ
พัฒนาการทารกในครรภ์ 1 เดือน อายุครรภ์ 1 เดือน ลูกในท้องตัวเท่าเม็ดงาจิ๋วหลิว
- ทารกในครรภ์มีความยาวประมาณ 1 เซนติเมตร น้ำหนักไม่ถึง 1 กรัม ลักษณะเหมือนลูกน้ำ หรือ ตุ่มกลม ๆ เล็ก ๆ
- หัวโตมีติ่งสองคู่โผล่ออกมา ซึ่งติ่งคู่หนึ่งจะพัฒนาเป็นแขน 2 ข้าง ส่วนติ่งอีกคู่หนึ่งจะพัฒนาไปเป็นขาสองข้างนั่นเอง
- สายสะดือค่อนข้างใหญ่ มีเส้นเลือดแดงและเส้นเลือดดำจากรก เป็นเส้นทางนำอาหารไปสู่ตัวทารก และถ่ายเทของเสียกลับคืน
- อายุครรภ์ 1 สัปดาห์หลังจากการปฏิสนธิทารกในครรภ์จะเป็นเพียงเซลล์เล็ก ๆ ที่ค่อย ๆ แบ่งตัวออกเป็น 2 ส่วน
- ส่วนแรก: เริ่มพัฒนาไปเป็นรกและถุงน้ำคร่ำ มีหน้าที่ปกป้องทารก และเป็นเส้นทางลำเลียงอาหาริและของเสียของลูกในระหว่างที่อยู่ในครรภ์ รวมทั้งสร้างฮอร์โมนที่จำเป็นต่อการตั้งครรภ์
- ส่วนที่สอง: มีการพัฒนาไปเป็นตัวอ่อนหรือทารก โดยเซลล์นี้จะแบ่งออกไปเรื่อยิๆ จนพัฒนาไปเป็นอวัยวะต่างิๆ เช่น ตับ ปอด ต่อมไทรอยด์ ท่อไต กระเพาะปัสสาวะ บางส่วนพัฒนาไปเป็นโครงกระดูก กล้ามเนื้อทั่วไป กล้ามเนื้อหัวใจ อัณฑะ รังไข่ หลอดเลือด ฯลฯ จนครบเป็นอวัยวะที่สมบูรณ์
- อายุครรภ์ 2 สัปดาห์ เริ่มเห็นตำแหน่งที่จะพัฒนาไปเป็นไขสันหลัง และส่วนหลังของตัวอ่อน
- อายุครรภ์ 3 สัปดาห์ อวัยวะสำคัญเริ่มเจริญเติบโตขึ้น ช่วงสัปดาห์นี้หัวใจของลูกเริ่มเต้นแล้ว
- อายุครรภ์ 4 สัปดาห์ ตัวอ่อนจะมีลักษณะคล้ายกุ้ง เอวคอดตรงกลาง ส่วนหัว ส่วนข้าง และส่วนล่างเหมือนหางโค้งงอ
แม่ท้องอายุครรภ์ 1 เดือน มีอาการคนท้องและต้องทำอะไรบ้าง
- เมื่อรู้ตัวว่าท้องก็ต้องรีบไปฝากครรภ์นะคะ เพื่อคุณหมอจะได้ตรวจร่างกายคุณแม่และสุขภาพของทารกในครรภ์ และแนะนำการดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง
- กินอาหารที่มีโฟเลทต่อเนื่องยาว ๆ ไปจนถึง 12 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ เพื่อช่วยให้เซลล์เม็ดเลือดแดงและเซลล์ของตัวอ่อนแข็งแรง ป้องกันการพิการแต่กำเนิด
- งดออกกำลังกายหนัก ๆ เพราะเป็นช่วงที่ตัวอ่อนบอบบางมาก เป็นระยะที่เราต้องให้ตัวอ่อนได้ฝังตัวกับผนังมดลูกให้ดี
- นอนพักผ่อนเยอะ ๆ เพราะช่วงนี้อาหารแพ้ท้องมาแล้ว ทั้งเวียนหัว คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลียง่าย เจ็บตึงเต้านม ปัสสาวะบ่อย หรือบางคนจะหงุดหงิดง่าย เพราะฮรอ์โมนเปลี่ยนแปลงด้วย
*** เมื่อไปพบคุณหมอ อย่าลืมสอบถามเรื่องวัคซีนที่คนท้องต้องฉีด และรับสมุดบันทึกสุขภาพแม่และเด็กเล่มสีชมพูกลับมาด้วยนะคะ
*************************************************
เช็กพัฒนาการทารกในครรภ์ตลอดอายุครรภ์ 9 เดือน ได้ที่นี่
- ตั้งครรภ์ 1 เดือน อายุครรภ์ 1 เดือน
- ตั้งครรภ์ 2 เดือน อายุครรภ์ 2 เดือน
- ตั้งครรภ์ 3 เดือน อายุครรภ์ 3 เดือน
- ตั้งครรภ์ 4 เดือน อายุครรภ์ 4 เดือน
- ตั้งครรภ์ 5 เดือน อายุครรภ์ 5 เดือน
- ตั้งครรภ์ 6 เดือน อายุครรภ์ 6 เดือน
- ตั้งครรภ์ 7 เดือน อายุครรภ์ 7 เดือน
- ตั้งครรภ์ 8 เดือน อายุครรภ์ 8 เดือน
- ตั้งครรภ์ 9 เดือน อายุครรภ์ 9 เดือน
ตั้งครรภ์ 2 เดือน อายุครรภ์ 2 เดือน ลูกในท้องตัวลูกเชอร์รี่
แม่ตั้งครรภ์ 2 เดือน อายุครรภ์ 2 เดือน หรือเราจะนับว่าเป็นการตั้งครรภ์ 8 สัปดาห์ (ครบ 2 เดือนทางจันทรคติ-เดือนไทย) ช่วงเดือนนี้ พัฒนาการทารก ในครรภ์ มีมากกว่าเดือนแรกถึง 4 เท่า เราลองมาส่องท้อง คุณแม่ อายุครรภ์ 2 เดือน กันค่ะว่าลูกในท้อง เป็นยังไงกันบ้าง
พัฒนาการทารกในครรภ์ 2 เดือน อายุครรภ์ 2 เดือน ลูกในท้องตัวเท่าลูกเชอร์รี่
- ร่างกาย ส่วนหัวของลูกยังโตไม่มาก ลำตัวค่อย ๆ ยืดยาวออกมีความยาว 2.5 เซนติเมตร และมีน้ำหนักตัว 3 กรัม
- ส่วนของแขนขาก็เริ่มแยกให้เห็นนิ้วมือ ข้อมือ ข้อศอก และเริ่มมีการพัฒนาให้เห็นเค้าโครงของใบหน้า สามารถมองเห็นลูกตาดำราง ๆ จมูก ริมฝีปาก และหู
- ผิวหนัง เริ่มแบ่งเป็นสองชั้น และมีการพัฒนาต่อมเหงื่อ ต่อมไขมัน รวมทั้งเริ่มมีขนงอกออกมาจากรูขุมขน
- อวัยวะภายใน ครบสมบูรณ์ทั้งหมด รวมทั้งการพัฒนาโครงสร้างหลักใหญ่ ๆ ของอวัยวะอื่นๆ ด้วย
- อัตราการเต้นของหัวใจ อัตราการเต้นของหัวใจลูกจะเต้นเร็วกว่าคุณแม่ประมาณเท่าตัว คือ 140-150 ครั้งต่อนาที
แม่ท้องอายุครรภ์ 2 เดือน มีอาการคนท้องและร่างกายเปลี่ยนแปลงอย่างไร
- ช่วงอายุครรภ์ 2 เดือนสำหรับแม่ท้องบางคนจะแพ้ท้องหนักมาก อาการคลื่นไส้ วิงเวียนศีรษะ อาเจียน เหนื่อยง่าย เหม็นบางสิ่งบางอย่างจนทนไม่ได้ อารมณ์แปรนปรวนง่าย ดังนั้นพยายามพักผ่อนและดื่มน้ำเยอะ ๆ เลี่ยงอาหารที่มีกลิ่น และเลี่ยงบรรยากาศที่อาจจะทำให้หงุดหงิดง่ายค่ะ (แต่ถ้าเหม็นเบื่อสามีช่วงนี้ก็ช่วยไม่ได้จริง ๆ ค่ะ)
- อายุ 2 เดือนยังต้องงดการออกกำลังกายหรือทำงานหนัก ๆ เพราะอาจจะมีความเสี่ยงเกิดภาวะแท้งได้ง่าย และช่วงนี้อาจจะมีตกขาวมากกว่าปกติ หรือมีเลือดออกบ้าง ไม่ควรซื้อยาใด ๆ มากินเองนะคะ ควรพบแพทย์เพื่อรับการดูแลและแนะนำอย่างถูกต้องค่ะ
อาหารคนท้องอายุครรภ์ 2 เดือนควรกินอะไร
- โฟเลท ยังต้องกินอย่างต่อเนื่องและขาดไม่ได้นะคะ ซึ่งโดยปกติแล้วคุณหมอผู้ดูแลครรภ์จะให้วิตามินแบบเม็ดมาด้วย
- โอเมก้า 3 ที่มีอยู่ในเนื้อปลาทะเลและถั่วต่าง ๆ เพราะเป็นช่วงที่ลูกน้อยกำลังพัฒนาสมอง ระบบประสาท และไขสันหลัง
- แคลเซียม คุณแม่ควรได้รับวันละ 700-800 มิลลิกรัมต่อวัน กินปลา ไข่ นม เพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น และควรออกไปรับวิตามินดีจากแสงแดดอ่อนยามเช้า
- วิตามินบี 2 จำเป็นต่อเอนไซม์ต่าง ๆ ที่ช่วยให้กระบวนการเผาผลาญพลังงานทำงานได้ดี ช่วยป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือดด้วย ขณะเดียวกันก็ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันและมีรสจัด
*************************************************
เช็กพัฒนาการทารกในครรภ์ตลอดอายุครรภ์ 9 เดือน ได้ที่นี่
- ตั้งครรภ์ 1 เดือน อายุครรภ์ 1 เดือน
- ตั้งครรภ์ 2 เดือน อายุครรภ์ 2 เดือน
- ตั้งครรภ์ 3 เดือน อายุครรภ์ 3 เดือน
- ตั้งครรภ์ 4 เดือน อายุครรภ์ 4 เดือน
- ตั้งครรภ์ 5 เดือน อายุครรภ์ 5 เดือน
- ตั้งครรภ์ 6 เดือน อายุครรภ์ 6 เดือน
- ตั้งครรภ์ 7 เดือน อายุครรภ์ 7 เดือน
- ตั้งครรภ์ 8 เดือน อายุครรภ์ 8 เดือน
- ตั้งครรภ์ 9 เดือน อายุครรภ์ 9 เดือน
การตั้งครรภ์อายุครรภ์ 3 เดือน ลูกในท้องตัวเท่ามะนาว-การตั้งครรภ์
ผ่านเข้าเดือนที่ 3 กับ คุณแม่ตั้งครรภ์ 3 เดือน อายุครรภ์ 3 เดือน แล้วนะคะ หรือ อายุครรภ์ 12 สัปดาห์ ( ครบ 3 เดือนทางจันทรคติ ) ช่วงนี้เริ่มเห็น การเปลี่ยนแปลงของร่างกายแม่ท้องมากขึ้น ลูกในท้องก็พัฒนาการดีขึ้นมากด้วย เราลองมาเช็กกันค่ะ ว่าเมื่อ แม่ตั้งครรภ์ อายุครรภ์ 3 เดือนร่างกายแม่เปลี่ยนแปลงแค่ไหน น้ำหนักตัวขึ้นเท่าไหร่ ลูกในท้อง อายุครรภ์ 3 เดือน มีพัฒนาการอย่างไร และ แม่ท้อง 3 เดือน ควรกินอะไรบ้าง
พัฒนาการทารกในครรภ์ 3 เดือน อายุครรภ์ 3 เดือน ลูกในท้องตัวเท่าลูกมะนาว
- ทารกจะมีความยาวตั้งแต่หัวจรดเท่า ประมาณ 9 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 15 กรัม
- ส่วนหัวทารกจะดูใหญ่กว่าลำตัว มีซี่โครง และ กระดูกลำตัวชัด
- อวัยวะเพศเริ่มพัฒนาภายนอกให้เห็น แต่ยังระบุเพศที่ชัดเจนไม่ได้
- ขากรรไกร เหง้าฟันแท้ทั้ง 32 ซี่ จะซ่อนอยู่ในปุ่มเหงือกอย่างครบถ้วน
- ทารกเริ่มกลืนน้ำคร่ำได้ เพราะลำไส้เริ่มทำงานแล้ว
- ปัสสาวะออกมาได้เล็กน้อยในถุงน้ำคร่ำด้วย เนื่องจากระบบขับถ่ายเริ่มทำงาน
- หัวใจจะเต้นเร็วมาก ประมาณ 160-170 ครั้งต่อนาที แต่ในบางรายหมออาจจะยังฟังเสียงหัวใจไม่ได้เพราะผนังท้องคุณแม่หนามาก
แม่ท้องอายุครรภ์ 3 เดือน มีอาการคนท้องและร่างกายเปลี่ยนแปลงอย่างไร
- คุณแม่จะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น แต่จะยังไม่มากนัก บางคนน้ำหนักอาจลดลงด้วยซ้ำ เนื่องจากอาการแพ้ท้อง และ หากเพิ่มก็ไม่เกิน 2 กิโลกรัม ซึ่งจะเป็นส่วนของทารกเพียง 48 กรัม ที่เหลือเป็นส่วนขยายของมดลูก เต้านม รกและน้ำคร่ำ รวมทั้งปริมาณเลือดที่เพิ่มขึ้นระบบไหลเวียนโลหิต
- ยอดมดลูกชัดจนคุณหมอคลำเจอแล้ว เมื่อคุณหมอคลำจะพบยอดมดลูกบริเวณหัวหน่าวโตขึ้น ทำให้คุณแม่มั่นใจได้ว่าตั้งครรภ์แน่นอน ซึ่งขนาดครรภ์ก็จะสมดุลกับอายุของทารก
- อารมณ์ช่วงเดือนที่ 3 นี้ คุณแม่ยังคงมีอารมณ์แปรปรวนอยู่บ้าง แต่ก็เริ่มทุเลาลง ซึ่งเกิดจากระดับฮอร์โมนที่เริ่มปรับสภาพให้สมดุล
อาหารคนท้องอายุครรภ์ 3 เดือน
- โฟเลทยังสำคัญอยู่เช่นเคย แต่ควรเริ่มกินอาหารที่มีโฟเลทเพิ่มมากขึ้นนอกเหนือจากวิตามินของคุณหมอ เช่น นม ผัก ผลไม้ หรือเนื้อสัตว์ เป็นต้น
- ช่วงนี้อาจอยากกินอะไรแปลกๆ หรือ รสชาติจัด คุณแม่วครระวังเรื่องความสะอาด หรือทางที่ดีควรเลี่ยงอาหารรสจัด อาหารดิบ อาหารหมักดอง ฯลฯ ไปก่อน
- ช่วงนี้ใครที่ยังแพ้ท้องอยู่ ควรกินอาหารร้อน ๆ เช่น ข้าวต้ม ซุป ต้มจืดต่าง ๆ จะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นและยังได้สารอาหรรครบถ้วนสำหรับลูกในท้อง
- แม่ท้อง 3 เดือนบางคนเริ่มมีปัญหาช่องปากบ้างแล้ว ควรเพิ่มการกินผลไม้ที่มีวิตามินซีมากขึ้น จะช่วยป้องกันโรคเหงือกบวมและเลือดออกตามไรฟันให้คุณแม่ และที่สำคัญยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิวหนัง ลดโอกาสแตกลายบริเวณผิวหน้าท้องได้ด้วย
*************************************************
เช็กพัฒนาการทารกในครรภ์ตลอดอายุครรภ์ 9 เดือน ได้ที่นี่
- ตั้งครรภ์ 1 เดือน อายุครรภ์ 1 เดือน
- ตั้งครรภ์ 2 เดือน อายุครรภ์ 2 เดือน
- ตั้งครรภ์ 3 เดือน อายุครรภ์ 3 เดือน
- ตั้งครรภ์ 4 เดือน อายุครรภ์ 4 เดือน
- ตั้งครรภ์ 5 เดือน อายุครรภ์ 5 เดือน
- ตั้งครรภ์ 6 เดือน อายุครรภ์ 6 เดือน
- ตั้งครรภ์ 7 เดือน อายุครรภ์ 7 เดือน
- ตั้งครรภ์ 8 เดือน อายุครรภ์ 8 เดือน
- ตั้งครรภ์ 9 เดือน อายุครรภ์ 9 เดือน
ตั้งครรภ์ 4 เดือน อายุครรภ์ 4 เดือน ลูกตัวเท่าอะโวคาโค และรู้เพศแล้ว
พัฒนาการทารกในครรภ์ 4 เดือน แม่ตั้งครรภ์ 4 เดือนหรือ อายุครรภ์ 4 เดือนหรือ อายุครรภ์ 16 สัปดาห์ (16 สัปดาห์ 4 เดือนทางจันทรคติ)สามารถ ระบุเพศด้วยการอัลตราซาวนด์ ได้แล้ว มา เช็กพัฒนาการทารกในครรภ์ 4 เดือนกันว่าเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน ร่างกายแม่มีอะไรต้องดูแล และ แม่ท้องต้องกินอะไรในช่วงตั้งครรภ์ 4 เดือนนี้
พัฒนาการทารกในครรภ์ 4 เดือน ลูกในท้องตัวเท่าอะโวคาโด
(16 สัปดาห์ 4 เดือนทางจันทรคติ)
- ความยาวหัวจรดเท้าประมาณ 16 เซนติเมตร และมีน้ำหนักประมาณ 100 กรัม
- ส่วนหัวยังใหญ่เมื่อเทียบกับลำตัว ผิวหนังบางใส สีแดงเรื่อ ๆ มองเห็นเส้นเลือดได้เลย เริ่มมีขนตา ขนคิ้ว และเส้นผมงอกขึ้น
- อวัยวะเพศพัฒนาจนระบุเพศชัดเจนได้แล้วจากการอัลตราซาวนด์ว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย
- ปุ่มรับรสบนลิ้นพัฒนาแล้ว
- เปลือกตายังติดกัน แต่สามารถรับรู้ความสว่าง และเริ่มไวต่อแสงที่ส่องไปถึงได้มากขึ้น ช่วงนี้ลองส่องไฟเล่นกับลูกได้บ้างแล้วนะคะ
- เริ่มได้ยินเสียงชัดเจนขึ้น และอาจจะมีการเตะเบา ๆ เมื่อได้ยินเสียงดังหรือได้ยินเสียงแม่ แต่แม่จะไม่รู้สึกว่าลูกเตะหรือดิ้นเพราะยังเบามาก
- ปอดเริ่มทำงาน ขยับขึ้นลงเหมือนหายใจ แต่ยังไงลูกก็ยังรับออกซิเจนผ่านรกไปจนกว่าจะคลอด
แม่ท้องอายุครรภ์ 4 เดือน มีอาการคนท้องและร่างกายเปลี่ยนแปลงอย่างไร
- หน้าท้องเริ่มโตเพราะมดลูกจะลอยสูงขึ้นจากอุ้งเชิงกรานเข้าสู่ช่องท้อง คุณแม่จะคลำยอดมดลูกได้ และเริ่มเห็นเส้นดำกลางหน้าท้อง
- หัวนมเริ่มดำคลำขึ้น หัวนมมักเจ็บเมื่อถูกสัมผัส เส้นเลือดดำที่เห็นเป็นริ้วสีเขียวจะดูชัดขึ้น
- ช่วงนี้คุณแม่จะมีโอกาสเป็น ตะคริว เส้นเลือดขอดและริดสีดวงทวารได้ง่ายกว่าคนทั่วไป ซึ่งเป็นผลจากการขยายตัวของมดลูกอย่างรวดเร็ว ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงต่อระบบไหลเวียนของโลหิตนั่นเอง
อาหารคนท้องอายุครรภ์ 4 เดือน
- อาหารที่วิตามินบี 1 เช่น ธัญพืช ข้าวกล้อง เนื้อวัว หรือเนื้อหมู เต้าหู้ ถั่วหมัก งา กระเทียม เป็นต้น จะช่วยปกป้องคุณแม่จากโรคเหน็บชา อันเนื่องมาจากน้ำหนักครรภ์ที่เพิ่มขึ้นและไปกดทับเส้นเลือด ทำให้การหมุนเวียนของเลือดติดขัดได้
- คุณแม่ควรเริ่มให้ความสำคัญกับอาหารที่มีสังกะสีที่มีมากในเนื้อสัตว์ อาหารทะเล และถั่วอบแห้ง เพราะช่วยเสริมการเติบโตของทารกในครรภ์ และยังช่วยป้องกันการคลอดก่อนกำหนดด้วย
*************************************************
เช็กพัฒนาการทารกในครรภ์ตลอดอายุครรภ์ 9 เดือน ได้ที่นี่
- ตั้งครรภ์ 1 เดือน อายุครรภ์ 1 เดือน
- ตั้งครรภ์ 2 เดือน อายุครรภ์ 2 เดือน
- ตั้งครรภ์ 3 เดือน อายุครรภ์ 3 เดือน
- ตั้งครรภ์ 4 เดือน อายุครรภ์ 4 เดือน
- ตั้งครรภ์ 5 เดือน อายุครรภ์ 5 เดือน
- ตั้งครรภ์ 6 เดือน อายุครรภ์ 6 เดือน
- ตั้งครรภ์ 7 เดือน อายุครรภ์ 7 เดือน
- ตั้งครรภ์ 8 เดือน อายุครรภ์ 8 เดือน
- ตั้งครรภ์ 9 เดือน อายุครรภ์ 9 เดือน
การตั้งครรภ์ 6 เดือน อายุครรภ์ 6 เดือน ลูกตัวเท่าดอกกะหล่ำและได้ยินเสียงแม่แล้ว
พัฒนาการทารภในครรภ์ 6 เดือน หรือ แม่ตั้งครรภ์ 6 เดือนที่ อายุครรภ์ 6 เดือน คุณแม่กำลังย่างเข้าสู่ การตั้งครรภ์ ไตรมาสที่ 3 ( อายุครรภ์ 21 สัปดาห์, อายุครรภ์ 22 สัปดาห์,อายุครรภ์ 23 สัปดาห์,อายุครรภ์ 24 สัปดาห์ )แล้วนะคะ ช่วงนี้ พัฒนาการทารกในครรภ์ มีอะไรเพิ่มเติมบ้าง แม่ตั้งครรภ์ 6 เดือน ดูแลตัวเองอย่างไรและ ร่างกาย แม่ท้องอายุครรภ์ 6 เดือน เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง มาเช็กกันตรงนี้ค่ะ
พัฒนาการทารกในครรภ์ 6 เดือน ลูกในท้องตัวหัวดอกกะหล่ำ
(24 สัปดาห์ สิ้นเดือนที่ 6 ทางจันทรคติ หรือ 5 1/2 เดือนตามปฏิทิน)
- ความยาวตัวทารกตั้งหัวจรดเท่าประมาณ 33 เซนติเมตร น้ำหนักตัวประมาณ 600 กรัม
- ตามร่างกายมีขนอ่อนปกคลุมมากขึ้น และเปลือกตาเริ่มเปิดออกได้แล้ว
- ปอดเริ่มทำงานได้ แต่หลอดลมของปอดยังทำงานได้ไม่เต็มที่
- ลูกในท้องเริ่มไวต่อคลื่นเสียงความถี่สูง ๆ และจะเคลื่อนตัวตามจังหวะเสียงพูดของคุณพ่อคุณแม่ได้ การที่คุณพ่อคุณแม่พูดคุยกับทารกเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ทารกสามารถจดจำเสียงได้ ยิ่งพูดคุยด้วยบ่อย ๆ ก็จะยิ่งดี
แม่ท้องอายุครรภ์ 6 เดือน มีอาการคนท้องและร่างกายเปลี่ยนแปลงอย่างไร
- คุณแม่จะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นประมาณอาทิตย์ละครึ่งกิโลกรัม คุณแม่ไม่ต้องกังวลว่าท้องจะเล็กหรือใหญ่แล้วมีผลกับพัฒนาการทารกในครรภ์นะคะ ขอแค่ดูแลตัวเองดี กินอาหารหลากหลายครบถ้วน ลูกในท้องจะแข็งแรงแน่นอนค่ะ
- เวลาแม่เปลี่ยนอิริยาบทอาจจะเกิดการเสียดท้องน้อยได้ เพราะมดลูกจะเกิดการหดตัวและเกร็ง
- คุณแม่อาจจะปวดชายโครงได้ เนื่องจากขนาดครรภ์ใหญ่ขึ้น และขณะที่ทารกดิ้นก็อาจเกิดการกดทับกระเพาะอาหารและแสบร้อนได้เหมือนกัน
- สิ่งที่คุณแม่ต้องระวังเป็นพิเศษในช่วงนี้คือ โรคหรือภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่น ภาวะเบาหวาน ครรภ์เป็นพิษ การอักเสบจากเชื้อรา เป็นต้น ดังนั้นจะต้องระวังเรื่องอาหาร และหากตรวจพบภาวะดังกล่าวจะต้องปฏิบัติตามที่คุณหมอแนะนำอย่างเคร่งครัด
อาหารคนท้องอายุครรภ์ 6 เดือน
- แคลเซียม ควรรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมให้เพียงพอเพื่อป้องกันการเกิดตะคริว
- กากใย การกินอาหารที่มีกากใยสูงตลอดช่วงไตรมาสสุดท้ายของการตั้งครรภ์ นอกจากจะช่วยป้องกันท้องผูกหรือริดสีดวงทวารแล้ว ยังลดโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์ได้
*************************************************
เช็กพัฒนาการทารกในครรภ์ตลอดอายุครรภ์ 9 เดือน ได้ที่นี่
- ตั้งครรภ์ 1 เดือน อายุครรภ์ 1 เดือน
- ตั้งครรภ์ 2 เดือน อายุครรภ์ 2 เดือน
- ตั้งครรภ์ 3 เดือน อายุครรภ์ 3 เดือน
- ตั้งครรภ์ 4 เดือน อายุครรภ์ 4 เดือน
- ตั้งครรภ์ 5 เดือน อายุครรภ์ 5 เดือน
- ตั้งครรภ์ 6 เดือน อายุครรภ์ 6 เดือน
- ตั้งครรภ์ 7 เดือน อายุครรภ์ 7 เดือน
- ตั้งครรภ์ 8 เดือน อายุครรภ์ 8 เดือน
- ตั้งครรภ์ 9 เดือน อายุครรภ์ 9 เดือน
ตั้งครรภ์ 7 เดือน อายุครรภ์ 7 เดือน ลูกในท้องตัวเท่ามะพร้าวและเริ่มหมุนกลับหัว
พัฒนาการทารกในครรภ์ 7 เดือน แม่ตั้งครรภ์ 7 เดือน ลูกในท้อง ตัวเท่ามะพร้าว อายุครรภ์ 28 สัปดาห์ ( ปลายเดือนที่ 7 ทางจันทรคติหรือ 6 1/2 เดือนตามปฏิทิน)
- ความยาวของตัวทารกตั้งแต่หัวจรดเท้าประมาณ 35 เซนติเมตร น้ำหนักตัวประมาณ 1,000 กรัม
- ต่อมไขมันเริ่มทำงานแล้ว ช่วงนี้ผิวลูกในท้องจึงเริ่มมีความชุ่มชื่นมากขึ้น
- ทารกในท้องลืมตาได้เองแล้ว
- ช่วงนี้พื้นที่ในท้องแม่แคบลงเพราะลูกตัวใหญ่ขึ้น เมื่อลูกเริ่มยืดแขนขาแม่จึงรู้สึกได้ว่าลูกดิ้นแรง ดิ้นบ่อย
- ทารกในท้องบางคนจะเริ่มหมุนตัวเอาส่วนหัวลงในลักษณะคล้ายเตรียมตัวคลอดแล้ว
- ทารกมีการกลืนน้ำคร่ำ และฝึกการดูดนมด้วยเช่นกัน สำหรับน้ำคร่ำที่ถูกดูดกลืนเข้าไปจะถูกขับถ่ายออกมาเป็นปัสสาวะประมาณ 500 มล.ต่อวัน
แม่ท้องอายุครรภ์ 7 เดือน มีอาการคนท้องและร่างกายเปลี่ยนแปลงอย่างไร
- การตั้งครรภ์เข้าไตรมาสที่ 3 นี้คุณแม่จะเหนื่อยและเพลียง่ายมากเพราะทั้งตัวลูกที่ใหญ่ขึ้น ท้องใหญ่ขึ้น น้ำหนักตัวแม่ที่เพิ่มมากขึ้น เดินนิดหน่อยก็จะเหนื่อย ง่วงนอน
- แม่เริ่มจะปวดหลังมากขึ้น นอนไม่ค่อยหลับเพราะท้องใหญ่ไม่สบายตัว รวมทั้งลูกอาจจะตื่นมาถีบท้องแม่ตอนกลางคืนทำให้ไม่ค่อยได้นอน คุณแม่ลองนอนโดยใช้หมอนแม่ท้องช่วยประคองหลัง ประคองท้อง หรือนอนในท่าเอนหลังแบบกึ่งนั่งกึ่งนอน และใช้วิธีงีบหลับระหว่างวันช่วยได้
- คุณแม่บางคนเริ่มมีน้ำนมไหล คุณแม่อาจเริ่มสังเกตว่ามีน้ำสีขุ่น ๆ ไหลออกมาจากหัวนม น้ำนี้มีความใสกว่าน้ำนม มีรสหวาน เรียกว่า "โคลอสตรัม" (Colostrum) เพื่อให้ทารกได้กินเป็นอาหารในช่วง 3-4 มื้อแรกก่อนที่น้ำนมจริง ๆ จากเต้านมจะไหลออกมานั่นเอง
- ปัสสาวะบ่อยขึ้น คุณแม่จะเริ่มมีอาการปัสสาวะบ่อยขึ้นมาอีก หลังจากหายไปเมื่อเลย 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์แล้ว คราวนี้อาการปัสสาวะบ่อยนั้นเกิดจากมดลูกที่โต และทารกที่อยู่ภายในเริ่มมีแรงกดต่อกระเพาะปัสสาวะทำให้เกิดอาการดังกล่าว
อาหารคนท้องอายุครรภ์ 7 เดือน
- อาหารที่มีธาตุเหล็ก แคลเซียม วิตามินซี วิตามินดี จะช่วยให้ร่างกายเตรียมพร้อมสำหรับการผลิตน้ำนมแก่ทารก
- ช่วงนี้วิตามินซีมีความจำเป็นมาก เพราะนอกจากจะช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็กแล้ว ยังช่วยสร้างเม็ดเลือดให้กับทารกด้วย
- แคลเซียมยังเป็นสิ่งที่จำเป็น เช่นเดียวกับวิตามินเค ที่จะช่วยให้การดูดซึมแคลเซียมดีขึ้นและช่วยบรรเทาอาการปวดหลังให้แก่คุณแม่ได้
*************************************************
เช็กพัฒนาการทารกในครรภ์ตลอดอายุครรภ์ 9 เดือน ได้ที่นี่
- ตั้งครรภ์ 1 เดือน อายุครรภ์ 1 เดือน
- ตั้งครรภ์ 2 เดือน อายุครรภ์ 2 เดือน
- ตั้งครรภ์ 3 เดือน อายุครรภ์ 3 เดือน
- ตั้งครรภ์ 4 เดือน อายุครรภ์ 4 เดือน
- ตั้งครรภ์ 5 เดือน อายุครรภ์ 5 เดือน
- ตั้งครรภ์ 6 เดือน อายุครรภ์ 6 เดือน
- ตั้งครรภ์ 7 เดือน อายุครรภ์ 7 เดือน
- ตั้งครรภ์ 8 เดือน อายุครรภ์ 8 เดือน
- ตั้งครรภ์ 9 เดือน อายุครรภ์ 9 เดือน
ตั้งครรภ์ 8 เดือน อายุครรภ์ 8 เดือน ลูกตัวเท่าสับปะรดและถีบท้องแรงมาก
พัฒนาการทารกในครรภ์ 8 เดือน แม่ตั้งครรภ์ 8 เดือน อายุครรภ์ 8 เดือนลูกในท้องมีพัฒนาการครบถ้วนแค่ไหน พร้อมคลอดแล้วหรือยัง คุณแม่ท้องเช็ค พัฒนาการทารกในครรภ์อายุ 8 เดือนกันได้ตรงนี้ พร้อมวิธีเตรียมตัวคุณแม่อายุครรภ์ 8 เดือนก่อนคลอดค่ะ
พัฒนาการทารกในครรภ์ 8 เดือน ลูกในท้องตัวเท่าสับปะรด
( อายุครรภ์ 29 สัปดาห์, อายุครรภ์ 30 สัปดาห์, อายุครรภ์ 31 สัปดาห์, อายุครรภ์ 32 สัปดาห์ ปลายเดือน 8 ตามจันทรคติ หรือ 7 เดือนเศษตามปฏิทิน)
- ทารกจะมีความยาวหัวจรดเท้าประมาณ 40 ซม. และ มีน้ำหนักตัวประมาณ 1,600 กรัม
- ผิวหนังยังเหี่ยวย่นเนื่องจากชั้นไขมันยังน้อย
- ทารกในท้องจะปัสสาวะออกมามาก ดังนั้นในถุงน้ำคร่ำจึงจะปนด้วยปัสสาวะลูกค่อยข้างมาก
- ทารกจะขยับแขนและเหยียดขาเตะผนังหน้าท้องของคุณแม่ อาจทำให้คุณแม่นอนไม่ค่อยหลับ คุณแม่สามารถใช้มือลูบท้องและพูดคุยกับทารกในครรภ์ได้ เดือนนี้ทารกบางคนอาจจะอยู่ในท่าเตรียมตัวคลอดแล้ว (ท่าก้น) ไปจนถึงครบกำหนดคลอด
- ผมของทารกเริ่มขึ้นเต็มศีรษะ ผิวเริ่มเป็นสีชมพู เพราะมีไขมันสีขาวสะสมใต้ผิวหนัง และเล็บมือเล็บเท้าจะงอกยาว
แม่ท้องอายุครรภ์ 8 เดือน มีอาการคนท้องและร่างกายเปลี่ยนแปลงอย่างไร
- คุณแม่จะเริ่มเคลื่อนไหวได้ช้าลง อุ้ยอ้าย ปวดหลัง เดินแอ่นหลัง ขาถ่างมากขึ้น เนื่องจากท้องเริ่มโตเต็มที่ เดือนนี้คุณหมอจะนัดตรวจครรภ์ถี่ขึ้น เพราะเป็นช่วงที่พบโรคแทรกซ้อนได้มาก เช่น ครรภ์เป็นพิษ จึงต้องหมั่นตรวจวัดความดันโลหิตและปัสสาวะของคุณแม่
- มดลูกขยายตัวใหญ่ขึ้นตามขนาดของทารกในครรรภ์ ยอดมดลูกดันยอดอกและชายโครง จึงอาจทำให้คุณแม่มีอาการจุกเสียด สะดือตื้นขึ้นและคล้ำ เส้นดำกลางลำตัวจะมีสีเข้มขึ้น
- มดลูกจะฝึกหดตัวเป็นระยะ เพื่อเตรียมเข้าสู่ระยะการเจ็บคลอดจริง มดลูกจะนูนแข็งขึ้นมาเป็นครั้ง คราวละไม่เกิน 30 วินาที คุณแม่อาจรู้สึกว่าท้องตึง แต่ไม่เจ็บมาก
อาหารคนท้องอายุครรภ์ 8 เดือน
- กินอาหารที่อุดมด้วยแคลเซียม วิตามินซี วิตามินดี และโอเมก้า 3 จะช่วยให้กะโหลกศีรษะของทารกแข็งแรงและพร้อมผ่านช่องคลอดไปได้ด้วยดี
- กินอาหารที่มีธาตุเหล็ก เพราะคุณแม่ต้องการปริมาณเลือดที่เพิ่มขึ้นทั้งในช่วงตั้งครรภ์และการคลอด
*************************************************
เช็กพัฒนาการทารกในครรภ์ตลอดอายุครรภ์ 9 เดือน ได้ที่นี่
- ตั้งครรภ์ 1 เดือน อายุครรภ์ 1 เดือน
- ตั้งครรภ์ 2 เดือน อายุครรภ์ 2 เดือน
- ตั้งครรภ์ 3 เดือน อายุครรภ์ 3 เดือน
- ตั้งครรภ์ 4 เดือน อายุครรภ์ 4 เดือน
- ตั้งครรภ์ 5 เดือน อายุครรภ์ 5 เดือน
- ตั้งครรภ์ 6 เดือน อายุครรภ์ 6 เดือน
- ตั้งครรภ์ 7 เดือน อายุครรภ์ 7 เดือน
- ตั้งครรภ์ 8 เดือน อายุครรภ์ 8 เดือน
- ตั้งครรภ์ 9 เดือน อายุครรภ์ 9 เดือน
"กินเยอะ ๆ ลูกในท้องจะได้ตัวโต" แต่รู้ไหมคะว่า ลูกในท้องตัวโตก็อันตรายเหมือนกัน โดยเฉพาะลูกที่น้ำหนักเยอะแต่ไม่แข็งแรง เพราะมีโอกาสเกิดอันตรายได้ทั้งกับตัวคุณแม่เองและลูกในท้องด้วยค่ะ
รศ.นพ.ธีระพงศ์ เจริญวิทย์ หัวหน้าหน่วยเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนายกสมาคมอัลตราซาวด์ทางการแพทย์ อธิบายถึงความเสี่ยงและอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกรณีที่ลูกในท้องน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์ไว้ดังนี้
ลูกในท้องน้ำหนักเท่าไหร่ถึงเรียกว่าทารกตัวใหญ่เกินเกณฑ์ หรือ ทารกตัวใหญ่ผิดปกติ
ทารกในท้องที่น้ำหนักตัวมากกว่า 4,000 กรัม ขึ้นไป จะเข้าข่ายหรือเรียกได้ว่าอยู่ในเกณฑ์ทารกตัวใหญ่กว่าปกติ ซึ่งข้อมูลของน้ำหนักทารกในแต่ละกลุ่มประชากรก็จะมีความแตกต่างกันในการที่จะกำหนดน้ำหนักของทารก สำหรับเกณฑ์ของทารกที่ถือว่าตัวใหญ่ที่ใช้กันมากคือ 4,000 กรัม หรือ 4,500 กรัมขึ้นไป ในประเทศสหรัฐอเมริกาจะใช้เกณฑ์น้ำหนักทารกตั้งแต่ 4,500 กรัมขึ้นไป ส่วนในบ้านเราและประเทศแถบเอเชียใช้เกณฑ์น้ำหนัก 4,000 กรัมขึ้นไป
สาเหตุที่พบบ่อย ที่ทำให้ทารกในครรภ์ตัวใหญ่กว่าเกณฑ์
- แม่อ้วน หรือ เป็นเบาหวาน
- พ่อหรือแม่มีน้ำหนักตัวมากกว่าเกณฑ์
- มักเกิดขึ้นในท้องหลังตั้งครรภ์นานเกินกำหนด
- คุณแม่เคยคลอดบุตรหนักกว่า 4,000 กรัม
- แม่ที่สูบบุหรี่
จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกในท้องตัวใหญ่เกินเกณฑ์หรือไม่
แพทย์มักจะวินิจฉัยน้ำหนักหรือขนาดตัวเด็กไม่ได้ 100% จนกว่าทารกจะคลอด ทั้งที่ได้มีการพยายามนำคลื่นเสียงความถี่สูง (อัลตร้าซาวด์) มาใช้ในการตรวจหาน้ำหนักทารกในครรภ์ ด้วยวิธีการวัดขนาดของศีรษะ ขนาดของกระดูกขา และขนาดเส้นรอบวงท้อง เพื่อนำมาใช้ในการคำนวณหาน้ำหนัก จากสถิติการประเมินด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง ที่พบว่าทารกมีน้ำหนักมากกว่า 4,000 กรัมนั้น มีความถูกต้องเพียง 65% และไม่ได้ให้ผลที่แม่นยำมากกว่าวิธีตรวจจากหน้าท้องของแม่มากนัก เนื่องจากมีความคลาดเคลื่อนสูง ยิ่งคุณแม่ที่มีน้ำหนักตัวมากโอกาสที่จะผิดพลาดก็จะยิ่งสูงขึ้น ด้วยเหตุนี้การประเมินน้ำหนักทารกด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงจึงยังไม่เป็นที่ยอมรับว่าเชื่อถือได้
จากผลการศึกษาการประเมินน้ำหนักทารกเทียบกัน ระหว่างการวัดด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงกับการตรวจจากหน้าท้องของแม่พบว่า ให้ค่าความแม่นยำใกล้เคียงกัน คือ มีความคลาดเคลื่อน +- ร้อยละ 10 และ ค่าเฉลี่ยของความคลาดเคลื่อนโดยการตรวจทางหน้าท้องคือ +- 296 กรัม ส่วนของคลื่นเสียงความถี่สูงเป็น +- 294 กรัม ยิ่งกรณีที่ทารกมีก้นเป็นส่วนนำ ความแม่นยำในการคำนวณน้ำหนักจะลดลง
ลูกในท้องตัวใหญ่เกินเกณฑ์อันตรายกับแม่ท้องแค่ไหน
- อาจทำให้มีการคลอดติดไหล่เกิดขึ้น คือ คลอดศีรษะออกมาได้แต่ช่วงไหล่ลูกใหญ่กว่าอุ้งเชิงกรานแม่เลยคลอดยาก ซึ่งอาจอันตรายต่อเส้นประสาท พบว่า 30% ของเส้นประสาทที่แขนจะถูกทำลายจากการคลอด และอาจพบว่าทารกมีไหปลาร้าหักหรือมีเลือดออกในสมอง ซึ่งจะทำให้ทารกพิการต่อไปในอนาคต กรณีนี้สามารถเลี่ยงได้โดยการผ่าท้องคลอด หากสูติแพทย์คะเนน้ำหนักทารกที่คาดว่ามากกว่า 4,000 กรัม จะพิจารณาให้ผ่าท้องคลอด เพื่อลดอันตรายที่จะเกิดขึ้นต่อทารกจากการคลอดยาก
- ในกรณีที่แม่เป็นเบาหวาน ยิ่งคุณแม่ที่เป็นโรคนี้มาเป็นเวลานานหรือมีอาการมาก จะมีความผิดปกติของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะในอุ้งเชิงกรานและไต มีผลให้อัตราการแท้งบุตรเพิ่มขึ้น และภาวะความดันเลือดสูงขณะตั้งครรภ์เพิ่มขึ้นประมาณ 4 เท่า และอาจพบการติดเชื้อจากการผ่าท้องทำคลอดด้วย ทำให้เด็กมีอัตราทุพลภาพและอัตราชีวิตเพิ่มขึ้น
- การเสียชีวิตในครรภ์สูงกว่าปกติ 3-8 เท่า หรือ 4-12% เนื่องจากภาวะขาดน้ำตาล
- เสียชีวิตหลังคลอด 4-10% หรือ 7 เท่าของรายปกติ เนื่องจากการทำงานของปอดผิดปกติ ภาวะขาดน้ำตาล ภาวะระดับแคลเซียมในเลือดต่ำ
- รูปร่างผิดปกติตั้งแต่เกิดเพิ่มจากปกติ 2-3 เท่า นอกจากนี้ยังเสียชีวิตจากความบอบช้ำที่เกิดจากการคลอดยากด้วย สิ่งสำคัญที่ต้องระวังเป็นพิเศษ คือ ความเสี่ยงต่อการขาดออกซิเจนและการติดเชื้อ
- คลอดก่อนกำหนดเพิ่มขึ้น 2-3 เท่า เนื่องจากมีโรคแทรกซ้อน เช่น ความดันเลือดสูงขณะตั้งครรภ์ ครรภ์แฝดน้ำ เป็นต้น
- อัตราทุพลภาพในทารกพบได้มากกว่าปกติ และโอกาสที่เด็กเป็นเบาหวานจะมากกว่าเด็กปกติ โดยการสืบทอดทางพันธุกรรม มีผลกระทบต่อจิตใจเด็กในระยะยาว
- หัวใจของทารกเกิดใหม่จากแม่ที่เป็นเบาหวานจะมีลักษณะโต
- อัตราการตายหลังคลอด 4% ในผู้ป่วยเบาหวานที่มีโรคแทรกซ้อน ความดันเลือดสูงขณะตั้งครรภ์ และหากมีอาการไตอักเสบจะมีการตายเพิ่มสูงถึง 17%
- พบภาวะแทรกซ้อนหลังคลอด ซึ่งเชื่อว่าเกิดจากการที่ปริมาณน้ำตาลในเลือดแม่ที่สูงขึ้น ส่งผลให้ปริมาณน้ำตาลในเลือดทารกสูง ซึ่งจะไปกระตุ้นการทำงานของตับอ่อนของทารกทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดทารกต่ำ และผลกระทบระยะยาวยังมีการศึกษาว่าทารกที่มีน้ำหนักแรกคลอดมากกว่า 4,000 กรัม มีความเสี่ยงต่อภาวะ Acute lymphooyte leukemia (มะเร็งในเม็ดเลือด) มากขึ้นด้วย
ทำอย่างไรไม่ให้ลูกในท้องตัวใหญ่เกินเกณฑ์
- เริ่มจากการไปฝากครรภ์กับสูติแพทย์ ควรควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้ขึ้นมากเกินไป โดยทั่วไปน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์จนคลอด แพทย์จะแนะนำไม่ให้เกิน 10-12 กิโลกรัม รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ งดอาหารหวานจัด หรือเค็ม เผ็ด เปรี้ยวจัด ควรควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้เกินสัปดาห์ละครึ่งกิโลกรัม เพื่อให้ลูกน้อยมีน้ำหนักตัวที่เหมาะสม
- ในกรณีที่เป็นเบาหวานหรือมีประวัติคนในครอบครัวเป็นเบาหวาน ควรรีบปรึกษาสูติแพทย์ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อสูติแพทย์จะได้ตรวจติดตามขนาดของทารกในครรภ์และให้การดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ทั้งแม่และลูกมีสุขภาพกายและใจที่สมบูรณ์แข็งแรงและการคลอดดำเนินไปด้วยดี
พัฒนาการสมองทารกในครรภ์เก่งยิ่งกว่าคอมพิวเตอร์อีกนะแม่
สมองของลูกทารกในท้องแม่พัฒนาได้ไว และสามารถทำงานได้แล้วตั้งแต่ยังไม่คลอดเลยนะคะ สำหรับใครที่ท้องอยู่ลองมาเช็กกันหน่อยว่าแต่ใหญ่แค่ไหน โตยังไง และพัฒนายังไง คุณแม่ต้องรู้ และเรามีวิธีกระตุ้นพัฒนาการทางสมองลูกได้ตั้งแต่ในท้องมาแนะนำด้วย
พัฒนาการสมองของทารกในครรภ์ตลอด 9 เดือน
- พัฒนาการสมองของทารกในครรภ์เดือนที่ 1
หลังการปฏิสนธิประมาน 18 วัน เนื้อเยื่อสมองเริ่มปรากฏขึ้น เริ่มแรกจะเป็นเพียงแผ่นบางๆ ค่อยโค้งเข้าหากันเหมือนหลอดกาแฟ ในระยะต่อมาก็จะโป่งพองและกลายเป็นสมอง ในแต่ละส่วน
- พัฒนาการสมองของทารกในครรภ์เดือนที่ 2 และ 3
เซลล์สมองเริ่มมีการแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว ประมาณ 250,000 เซลล์ทุกๆ นาที ซึ่งสามารถแบ่งแยกระหว่างสมองและไขสันหลังได้ชัดเจน และช่วงนี้เริ่มมีเส้นใยประสาทโผล่ออกมาให้เห็นแล้วค่ะ
- พัฒนาการสมองของทารกในครรภ์เดือนที่ 4
ระบบสมองของลูกเริ่มมีความซับซ้อนมากขึ้น สมองของลูกในระยะนี้จะมีขนาดเท่ากับเมล็ดถั่วแขกค่ะ เส้นใยประสาทเริ่มมีมันสมองมาล้อมรอบ ซึ่งช่วงนี้ประสาทสัมผัส หู ตา ของลูกน้อยเริ่มทำงานได้แล้ว
- พัฒนาการสมองของทารกในครรภ์เดือนที่ 5 และ 6
คุณแม่คงจะรู้สึกกันแล้วใช่ไหมค่ะว่าลูกกำลังดิ้นอยู่ นั่นเป็นเพราะเซลล์สมองได้เริ่มเคลื่อนย้ายตัวเองไปยังตำแหน่งของเส้นประสาทอย่างทั่วถึง ลูกเริ่มรับรู้ประสาทสัมผัสต่างๆ เช่น รสชาติอาหารของคุณแม่ หรือการเริ่มได้ยินเสียงพูดคุย เพราะ ระบบประสาทของลูกนั้นมีการพัฒนาจนเริ่มที่จะสมบูรณ์แล้ว
- พัฒนาการสมองของทารกในครรภ์เดือนที่ 7
สมองของลูกจะเริ่มมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือนนี้ค่ะ เซลล์สมองเพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกับเส้นใยและจุดเชื่อมต่างๆ
- พัฒนาการสมองของทารกในครรภ์เดือนที่ 8 และ 9
ตอนนี้เซลล์สมองของลูกสามารถทำงานประสานกันได้แล้วค่ะ อีกทั้งรอยหยักของสมองเริ่มเกิดขึ้นแล้ว ซึ่งรอยหยักของสมองนี้เองที่เป็นตัวเพิ่มฟื้นที่ให้กับสมองของลูกน้อย
สมองมีเซลล์สมองอยู่ประมาณ 1 แสนล้านเซลล์ ไม่มีการสร้างเพิ่มเติมอีก แต่เราสามารถสร้างเส้นใยประสาทได้โดยการกระตุ้นการเรียนรู้และส่งเสริมประสบการณ์ให้กับลูกได้ค่ะ
เคล็ดลับส่งเสริมและกระตุ้นพัฒนาการทางสมองให้ลูกในท้อง
- คุณแม่ควรวางแผนตั้งครรภ์และกินกรดโฟลิกก่อนการตั้งครรภ์ล่วงหน้าประมาณ 1-3 เดือนเป็นอย่างน้อย เพื่อไม่ให้ร่างกายขาดกรดโฟลิก คุณแม่ควรกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะผักใบเขียว เช่น ผักคะน้า ผักโขม ควบคู่กับการกินโฟลิกชนิดเม็ด
- กินอาหารที่มีกรดโฟลิกหรือ"โฟเลต" ที่มีความสำคัญในการสังเคราะห์ DNA ซึ่งเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของเซลล์ต่างๆ และมีบทบาทต่อการสร้างสารคาร์บอน อันเป็นกลไกการทำงานของดีเอ็นเอในการถ่ายทอดคำสั่งทางพันธุกรรมเพื่อสร้างโปรตีนชนิดต่างๆ และที่สำคัญ กรดโฟลิกมีความจำเป็นต่อการสร้างเซลล์ประสาทและเซลล์สมองของลูกอย่างมาก
การตรวจสุขภาพทารกในครรภ์เพื่อหาความผิดปกติ รวมไปถึงโรคทางพันธุกรรมเป็นเรื่องสำคัญค่ะ ปัจจุบันจึงมีเทคนิคทางการแพทย์ นิฟตี้ NIFTY มาช่วยให้แม่ตั้งครรภ์สามารถตรวจและรู้โรคทางพันธุกรรม เพื่อดูแลและป้องกันได้อย่างถูกต้องค่ะ
การตรวจนิฟตี้ หรือ NIFTY Test คืออะไร
การตรวจนิฟตี้ หรือ NIFTY Test คือ วิธีการตรวจกรองหาลักษณะความผิดปกติของโครโมโซมทารกในครรภ์มารดาโดยไม่ต้องเจาะน้ำคร่ำ เพียงแค่เจาะเลือดคุณแม่เพียง 10 มิลลิลิตร ก็สามารถตรวจลักษณะทางพันธุกรรมของลูกได้ วิธีดังกล่าวนี้ คุณแม่สามารถเข้ารับการตรวจได้เมื่อมีอายุครรภ์ตั้งแต่ 10 สัปดาห์ขึ้นไป การตรวจอาศัยหลักการวิเคราะห์หาลำดับของสารพันธุกรรม เพื่อตรวจสอบการเกินของโครโมโซมคู่ที่ 21 คู่ที่ 18 และ 13 และนอกจากนี้ยังสามารถตรวจความผิดปกติอื่นๆ ได้อีกเช่นความผิดปกติของโครโมโซมเพศ
การตรวจนิฟตี้ NIFTY Test ให้ข้อมูลความผิดปกติของโรคพันธุกรรมชนิดใดได้บ้าง
เบื้องต้นการตรวจนิฟตี้จะเน้นกลุ่มความผิดปกติที่พบบ่อยคือ การมีโครโมโซมเกินมา 1 แท่ง เช่น กลุ่มดาวน์ซินโดรมโครโมโซมคู่ที่ 13 เกินมา 1 แท่ง กลุ่มเอ็ดเวิร์ดซินโดรม โครโมโซมคู่ที่ 18 เกินมา 1 แท่ง และกลุ่มพาทัวซินโดรมโครโมโซมคู่ที่ 13 เกินมา 1 แท่ง นอกจากนั้นยังสามารถตรวจโรคทางพันธุกรรมอื่นๆ เช่นความผิดปกติของโครโมโซมเพศ หรือแม้แต่การตรวจเพศทารกในครรภ์
การตรวจนิฟตี้ NIFTY Test มีหลักการอย่างไร
เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ประมาณ 8 สัปดาห์ลูกน้อยจะมีพัฒนาการสร้างอวัยวะที่สมบูรณ์ และเมื่อถึงสัปดาห์ที่ 10 หรือประมาณ 2 เดือนครึ่ง อวัยวะภายในของทารกจะทำงานเพิ่มขึ้น ทารกในครรภ์ได้รับสารอาหารและขับของเสียผ่านทางสายรกที่เชื่อมต่อกับคุณแม่ แต่ระบบเลือดของแม่กับลูกไม่ได้แลกเปลี่ยนสารอาหารโดยตรงแต่จะมีเยื่อบางๆ ในการทำหน้าที่เพื่อป้องกันเซลล์ของลูกและแม่ไม่ให้พบกัน และต่อต้านกันเพราะเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันของแม่จะตรวจสอบว่าเซลล์ของทารกเป็นสิ่งแปลกปลอม เยื่อบางๆ นี้ยอมให้สารพันธุกรรม (DNA) ของลูกผ่านเข้าไปในระบบเลือดของแม่ได้
ด้วยเหตุนี้เพียงเราเก็บเลือดของแม่ที่อายุครรภ์ 10 สัปดาห์ขึ้นไป จะสามารถตรวจหาโรคทางพันธุกรรมจาก DNA ของลูกน้อยที่ปนออกมาในเลือดของคุณแม่ในระหว่างตั้งครรภ์ได้ โดยคุณแม่ไม่จำเป็นต้องเจาะน้ำคร่ำ ซึ่งมีความเสี่ยงและเจ็บตัวมากกว่า
การตรวจนิฟตี้ NIFTY Test มีความแม่นยำกว่าการตรวจน้ำคร่ำหรือไม่
ข้อมูลจากการวิจัยทางคลินิคพบว่า การตรวจนิฟตี้มีความไวในการตรวจหาโรคถึง 99% เทียบกับวิธีเจาะน้ำคร่ำร่วมกับการวิเคราะห์หาสารเคมีในเลือดที่มีความไวเพียง 60% จากการทดสอบในอาสาสมัครหญิงตั้งครรภ์ 112,000 คน นอกจากนั้นยังพบว่าอัตราการตรวจผิดพลาดว่าเป็นโรคทั้งที่ไม่เป็นเหลือเพียง 0.1% เทียบกับวิธีเจาะน้ำคร่ำที่มีความผิดพลาดสูงถึง 5% ในปัจุบันมีคุณแม่ตั้งครรภ์มากกว่า 400,000 คนทั่วโลกเลือกวิธีการตรวจนิฟตี้ในการหาความผิดปกติทางพันธุกรรมของทารก
คุณแม่ตั้งครรภ์ประเภทไหนบ้างที่แนะนำให้ทำการทดสอบนิฟตี้ NIFTY Test
วิธีการทดสอบนิฟตี้เป็นวิธีที่ใหม่ซึ่งหลายคนไม่คุ้นเคยและยังมีค่าใช้จ่ายสูง ข้อมูลในแต่ละข้อต่อไปนี้อาจจะทำให้เราเลือกพิจารณาความเหมาะสมได้มากขึ้น ว่าควรเข้ารับการตรวจด้วยวิธีนิฟตี้หรือไม่ หากท่านเป็นคุณแม่ที่มีคุณสมบัติต่อไปนี้
-
คุณแม่ตั้งครรภ์มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป
-
แพทย์ตรวจพบความผิดปกติของทารกที่อาจมีความเสี่ยงต่อโรคพันธุกรรมด้วยวิธีอัลตร้าซาวด์
-
ต้องการตรวจยืนยันผลความผิดปกติทางพันธุกรรมของทารกจากการตรวจครั้งแรกด้วยวิธีอื่น
-
มีสภาวะเสี่ยงที่ไม่แนะนำให้ทำตรวจน้ำคร่ำ เช่น ภาวะแท้งบุตรง่าย ภาวะรกเกาะต่ำหรือรกของทารกนั้นมาเกาะอยู่บริเวณส่วนล่างของมดลูกใกล้กับปากมดลูก หรือมารดาติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีหรือซี (HBV, HCV infection)
-
มีประวัติความผิดปกติทางพันธุกรรมของทารกชนิด trisomy จากการท้องครั้งก่อน
-
เข้ารับการรักษาภาวะมีบุตรยากด้วยวิธีการเด็กหลอดแก้ว (IVF) หรือมีภาวะแท้งซ้ำซ้อน
-
มีประวัติครอบครัวหรือญาติพี่น้องป่วยเป็นโรคที่ผิดปกติทางพันธุกรรม
การตรวจนิฟตี้ NIFTY Test ต้องเตรียมตัวอย่างไร มีที่ไหนรับตรวจบ้าง
การตรวจกรองด้วยวิธีนิฟตี้ เหมือนกับการตรวจสุขภาพทั่วไป ไม่จำเป็นต้องงดน้ำหรืออาหาร ทีมแพทย์จะซักประวัติและให้ลงนามในเอกสารในการตรวจ จากนั้นจะเจาะเลือดคุณแม่ 10 มิลลิลิตร (ประมาณ 3 ซ้อนโต๊ะ) ตัวอย่างเลือดจะถูกนำส่งไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ และจะทราบผลภายใน 10 วัน จากนั้นแพทย์จะนัดมาฟังผลและให้คำปรึกษา สถาบันทางการแพทย์ที่ให้บริการตรวจมีทั้งหน่วยงานรัฐบาลหรือเอกชน คุณแม่ท่านใดสนใจสามารถหาข้อมูลได้จากโรงพยาบาลโดยตรง หรือเอกสารเชิญชวนในระหว่างขั้นตอนฝากครรภ์
ข้อมูลจาก: อาจารย์ ดร.คณิสส์ เสงี่ยมสุนทร