“สมอง” เป็นอวัยวะที่มีบทบาทสำคัญในการรับรู้ การคิดวิเคราะห์ ความสามารถทางสติปัญญา การสื่อสาร และการเคลื่อนไหวของร่างกาย ดังนั้นสมองจึงถือว่ามีส่วนสำคัญต่อความเฉลียวฉลาด แต่คำถามที่ตามมาก็คือ ความฉลาดเกิดขึ้นได้อย่างไร นอกจากยีนส์ที่ติดตัวมาแต่กำเนิดแล้ว การเลี้ยงดู ให้ความรัก และโภชนาการล้วนสำคัญกับพัฒนาการสมองของเจ้าตัวเล็กเช่นกัน
การทำงานของสมองต้องอาศัยสารสื่อประสาท
สำหรับเด็กทารกแหล่งอาหารที่ดีที่สุดก็คือ “น้ำนมแม่” ในนมแม่มีสารอาหารหลากหลายเพียงพอต่อการเจริญเติบโตของทารก ทั้งยังมีโปรตีนที่เป็นประโยชน์ เช่น แอลฟ่า-แล็คตัลบูมิน (Alpha-lactalbumin)1 ซึ่งเป็นแหล่งของกรดอะมิโนจำเป็น ที่ชื่อ “ทริปโตเฟน” (Tryptophan) โดยร่างกายจะนำไปสังเคราะห์สารสื่อประสาทเซโรโทนิน2 (Serotonin) ที่มีบทบาทในด้านอารมณ์ และฮอร์โมนเมลาโทนิน (Melatonin) ซึ่งมีหน้าที่ในการจัดการนาฬิกาชีวิต (Biological clock) หรือพูดให้ฟังง่ายขึ้นคือ เป็นตัวควบคุมวงจรการหลับการตื่นของคนเรานั่นเอง ดังนั้นจะสังเกตได้ว่า ทารกที่ได้รับนมแม่จะอารมณ์ดี และนอนหลับได้ดี เพราะมีสารตั้งต้นคือกรดอะมิโนในการสร้างสารสื่อประสาทและฮอร์โมนในสมองอย่างเพียงพอ
นอกจากนี้ในน้ำนมแม่ยังมีสารอาหารที่จำเป็นในการสร้างสารสื่อประสาทอีกหลายชนิด เช่น โคลีน (Choline) เป็นวัตถุดิบในการสร้างสารสื่อประสาทอะซีติลโคลิน (Acetylcholine) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในด้านการเรียนรู้และความจำ3 เป็นต้น หรือสารอาหารในกลุ่มกรดไขมัน เช่น ดีเอชเอ (DHA; Docosahexaenoic acid) เป็นกรดไขมันชนิดโอเมก้า-3 (Omega-3 fatty acid) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่ามีส่วนสำคัญในการพัฒนาจอประสาทตา (Retina) และสมองของมนุษย์ โดยเฉพาะในช่วงวัยทารกและวัยเด็กที่สมองและจอประสาทตามีการพัฒนาเป็นอย่างมาก
ที่สำคัญในนมแม่ยังมี สฟิงโกไมอีลิน ไขมันชนิดฟอสโฟไลปิด เป็นหนึ่งในสารอาหารสำคัญในการสร้างไมอีลิน ซึ่งไมอีลินนี้เองจะมีบทบาทในการส่งสัญญาณประสาทจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่งอย่างรวดเร็ว เส้นใยประสาทที่มีไมอีลินจะส่งสัญญาณประสาทได้เร็วกว่าเส้นใยประสาทที่ไม่มีไมอิลิน โดยไมอีลินเริ่มสร้างตั้งแต่ทารกอยู่ในท้อง โดยเฉพาะ 3 เดือนก่อนคลอด และต่อเนื่องจนถึงช่วงวัยเด็ก
เลี้ยงลูกให้เหมาะสมกับช่วงวัย ช่วยกระตุ้นการสร้างไมอีลินและพัฒนาการสมองอย่างมีประสิทธิภาพ4-7
ขวบปีแรก ควรเน้นการกอดและสัมผัสตัวเด็กเพื่อกระตุ้นการสร้างปลอกไมอีลินในวงจรประสาทการรับสัมผัส ควรเลือกของเล่นที่มีสีสันให้ลูกเพื่อกระตุ้นการสร้างปลอกไมอีลินในวงจรประสาทการมองเห็น หรือการพูดคุยกับเด็กและการใช้เสียงดนตรีในการเล่นกับเด็ก เพื่อกระตุ้นการสร้างปลอกไมอีลินในวงจรประสาทการรับเสียงและภาษา
ช่วงอายุ 1-3 ปี ควรเน้นการกระตุ้นวงจรประสาทของภาษา เช่น การชี้อวัยวะบนใบหน้า การเรียกชื่อสิ่งของที่ใช้บ่อยในชีวิตประจำวัน การร้องเพลงหรือการเล่านิทานให้ลูกฟัง เพื่อเพิ่มการสร้างปลอกไมอีลินในวงจรประสาทของภาษา นอกจากนี้ยังควรฝึกทักษะของกล้ามเนื้อมัดเล็ก ได้แก่ การต่อของเล่น การใช้ช้อนตักอาหาร เพื่อช่วยการสร้างปลอกไมอีลินของวงจรประสาทในการทำงานระหว่างกล้ามเนื้อมือและการมองเห็น ซึ่งเป็นพื้นฐานของการเขียนหนังสือและทักษะทางมือต่อไป
รวมไปถึงการฝึกการเรียนรู้ขั้นพื้นฐาน ได้แก่ การจับคู่สิ่งของที่มีคุณสมบัติเหมือนกัน เช่น ของที่รูปทรงเหมือนกันหรือสีเหมือนกัน หรือการส่งเสริมให้เด็กเล่นเลียนแบบพฤติกรรมของผู้ใหญ่ที่ตัวเขาเห็นในชีวิตประจำวัน ก็จะช่วยให้มีการสร้างปลอกไมอีลินในวงจรประสาทในส่วนของการเรียนรู้ได้
เด็กวัย 3 ปีขึ้นไป การฝึกให้เด็กรู้จักแก้ไขปัญหาที่เจอในชีวิตประจำวัน รวมถึงการสอนความเป็น “เหตุ” และ “ผล” ของสิ่งต่าง ๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกัน การสอนให้รู้จักอดทนและรอคอย ก็จะช่วยให้การสร้างปลอกไมอีลินในวงจรประสาทในส่วนของการทำงานขั้นสูงของสมองเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นรากฐานของการเรียนรู้สิ่งที่เป็นนามธรรม การคิดวิเคราะห์ การวางแผน การควบคุมตนเอง และการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ซึ่งเป็นกระบวนการทางสติปัญญาที่จะมีการพัฒนาต่อไปในช่วงวัยเด็กโตและวัยรุ่น
เพราะการทำงานของสมองในด้านกระบวนการทางสติปัญญาและความเฉลียวฉลาด ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการทำงานของเซลล์ประสาทในตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง หรือสมองเพียงส่วนใดส่วนหนึ่ง แต่ต้องอาศัยการติดต่อเชื่อมโยงวงจรประสาทระหว่างสมองหลาย ๆ ส่วนให้มาทำงานร่วมกัน จึงจะช่วยให้มนุษย์สามารถคิด วิเคราะห์ วางแผน ยับยั้งและควบคุมตนเองได้
ซึ่งการส่งเสริมการส่งสัญญาณประสาทผ่านวงจรประสาทสามารถกระทำได้โดยการฝึกหรือการกระตุ้นพัฒนาการอย่างเหมาะสมในแต่ละช่วงอายุ นอกจากนี้การได้รับสารอาหารอย่างเหมาะสม จะทำให้สมองมีวัตถุดิบเพียงพอในการนำไปใช้สร้างเซลล์ในระบบประสาท ใช้ในการสร้างสารสื่อประสาทและสารเคมีอื่น ๆ รวมไปถึงการสร้างปลอกไมอีลิน อันเป็นพื้นฐานในการส่งสัญญาณประสาทอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
ทำไมต้อง“สฟิงโกไมอีลิน”?
เมื่อไมอีลิน เป็นตัวช่วยสมองส่งกระแสสัญญาณประสาทเพื่อการส่งข้อมูลที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สฟิงโกไมอีลิน ก็คือสารอาหารตัวหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นการสร้างไมอีลินค่ะ แต่ไม่ใช่มีแค่สฟิงโกไมอีลินเท่านั้นนะ สารอาหารอื่นๆที่มีส่วนช่วยกระตุ้นการสร้างไมอีลิน เช่น ดีเอชเอ ธาตุเหล็ก โคลีน วิตามิน บี12 โปรตีน เป็นต้น8
แต่ถ้าพูดถึงสฟิงโกไมอีลินแล้ว จะไปหารับประทานได้จากไหนบ้างล่ะ เพราะเป็นสารอาหารที่แม่ๆอย่างเราคงยังไม่คุ้นชินหูเท่าไหร่นัก
คำตอบคือ การรับประทานอาหารครบ 5 หมู่หลากหลายเป็นประจำ ไข่ นม ครีม ชีส ก็เป็นแหล่งอาหารที่คุณแม่มั่นใจได้ว่าลูกจะได้รับสฟิงโกไมอีลินอีกทางหนึ่งค่ะ
Reference:
- Heine WE, Klein PD, Reeds PJ. The importance of alphalactalbumin in infant nutrition; American Institute of Nutrition. Received 24 September 1990. Accepted 27 November 1990: 277-283
- MARKUS ET AL. Whey protein rich in alpha-lactalbumin increases the ratio of plasma tryptophan to the sum of the other large neutral amino acids and improves cognitive performance in stress-vulnerable subjects. Am J Clin Nutr 2002;75:1051–6
- The Structures of Neurotransmitters. Compound Interest 2015 - www.compoundchem.com
- Mind’s Machine, 2e, Figure 2.1 The Major Parts of the Neuron. https://2e.mindsmachine.com/figures/02/02.01.html. Textbook Reference: The Nervous System Is Composed of Cells, p. 22
- Hiroaki Asou, et al. Development of Oligodendrocyte and Myelination in the Central Nervous System. Keio J Med 44(2), 47-52 (1995)
- Otwin Linderkamp, Ludwig Janus, et al. Time Table of Normal Foetal Brain Development. Int. J. Prenatal and Perinatal Psychology and Medicine Vol. 21 (2009) No. 1/2, pp. 4–16
- Purves D, Augustine GJ, Fitzpatrick D, et al., editors. Increased Conduction Velocity as a Result of Myelination Neuroscience. 2nd edition. Sunderland (MA): Sinauer Associates; 2001
- Georgieff MK. The American Journal of Clinical Nutrition,Volume 85, Issue 2, 1 February 2007, Pages 614S–620S

วันหยุดไม่รู้ทำอะไร เรามีหนังสนุกๆ ที่ดูได้ทั้งครอบครัวมาแนะนำค่ะ กับ 'รวมลิสหนังแอนิเมชั่น' ดูกันเพลิน ๆ เนื้อหาง่าย ๆ แถมให้ลูกได้ฝึกภาษาอังกฤษ
10 การ์ตูนอนิเมชั่นแสนสนุก ฝึกภาษาอังกฤษให้ลูกได้!
1. Toy Story
จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อ "วู้ดดี้" ของเล่นคาวบอยตัวโปรดของแอนดี้ต้องเปลี่ยนไป เมื่อแอนดี้มีของเล่นใหม่อย่าง "บัซ ไลท์เยียร์" และทั้งคู่ต้องตกไปอยู่ในบ้านของซิด เด็กชายข้างบ้านผู้รักที่จะทำลายของเล่นเป็นชีวิตจิตใจ การร่วมมือระหว่างวู้ดดี้กับบัซ ไลท์เยียร์จะเป็นอย่างไร เพื่อที่จะเอาชนะอุปสรรค ที่จะทำให้ทั้งคู่ต้องแยกจาก แอนดี้ เจ้าของพวกเขา กับการผจญภัยสุดป่วน ภารกิจสุดฮา กับเพื่อนพ้องของเล่นอีกมากมาย

2. A Bug's Life
ทุก ๆ ปี กลุ่มของตั๊กแตนตำข้าว จะเดินทางมาที่ภูเขามดเพื่อกินสิ่งที่มดหามาให้ จนเป็นประเพณีประจำปี แล้ววันหนึ่ง "ฟลิค" มดจอมซุ่มซ่ามทำเมล็ดพันธุ์ที่จะนำไปมอบกับตั๊กแตนตกลงในแม่น้ำ เหล่าตั๊กแตนจึงให้โอกาสเลื่อนระยะเวลาไป "ฟลิค" จึงรวบรวมสมัครพรรคพวกชาวแมลงต่อกรกับตั๊กแตนนักเลงเหล่านี้ เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ติดตามการ์ตูนสุดสนุกได้ที่ A Bug's Life

3. Toy Story 2
ภาคต่อจากครั้งที่แล้ว เมื่อแอนดี้ไปเข้าค่ายฤดูร้อน 'วู้ดดี้' ถูก 'อัล นักสะสมของเล่น' ขโมยไปเพื่อเก็บให้ครบชุดคอลเล็คชั่น ทำให้วู้ดดี้ได้พบกับ "เจสซี่ บูลส์อาย" และคุณลุงนักขุดทอง "สติงกี้ พีท" ชีวิตของวู้ดดี้จะจบลงตรงนี้หรือไม่ เขาจะได้กลับไปหาแอนดี้อีกครั้งได้ไหม "บัซ ไลท์เยียร์" และพ่องเพื่อนจะเข้ามาช่วยไหม เรื่องราวอันแสนยุ่งเหยิงครั้งนี้จะเป็นอย่างไร รับชมได้ที่ Toy Story 2

4. Monster, Inc.
เมื่อทีมสัตว์ประหลาดแถวหน้าของโรงงาน จะเดินทางสู่โลกมนุษย์ โดยผ่านประตูตู้เสื้อผ้าในยามค่ำคืน เพื่อหลอกเด็ก ๆ ให้ตกใจกลัว และเก็บเสียงกรีดร้องของพวกเขาเอาไว้ งานนี้ยากมากขึ้น ก็คือความจริงที่ว่า สัตว์ประหลาดเหล่านี้เชื่อว่า พวกเด็ก ๆ คือของมีพิษ และถ้าไปแตะโดนตัวเด็กเข้าจะนำมาซึ่งหายนะ...

5. Finding Nemo
คือเรื่องราวการผจญภัยอันน่าตื่นเต้นและสนุกสนานของ "มาร์ลิน" ปลาการ์ตูนผู้หวงลูกจนเกินเหตุ และลูกชายของเขา "นีโม" ที่พลัดหลงกันในแนวปะการังใหญ่ เมื่อนีโมถูกจับตัวไปจากมหาสมุทรซึ่งเป็นบ้านของเขา ไปอยู่ในตู้ปลาในห้องทำงานของหมอฟันคนหนึ่ง ด้วยการช่วยเหลือของเพื่อนร่วมทางอย่าง "ดอรี่" ปลาบลูแทงจ์ผู้เป็นมิตรแต่ความจำสั้น มาร์ลิน ได้ออกเดินทางสู่เส้นทางสุดอันตรายด้วยความพยายามอันยิ่งใหญ่ทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือลูกชายของเขา ที่รวบรวมความกล้ากับแผนการหาทางกลับบ้านด้วยตัวเอง

6. The Incredibles
การผจญภัยของครอบครัวอดีตซูเปอร์ฮีโร่ ที่ค้นพบแหล่งพลังที่แท้จริงของพวกเขา... "บ็อบ พาร์" หรือ "มิสเตอร์อินเครดิเบิ้ล" ครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้ขจัดอาชญากรรมนิรนามมือหนึ่ง ผู้ที่ได้ต่อสู้กับวายร้าย และช่วยชีวิตผู้คนเป็นกิจวัตรประจำวัน แต่สิบห้าปีให้หลัง เขาและ "เฮเลน" ภรรยาของเขา ผู้เป็นอดีตซูเปอร์ฮีโร่ ถูกบังคับให้ต้องใช้ชีวิตแบบคนปกติ มนุษย์เดินดินธรรมดา และใช้ชีวิตอย่างปกติสุขกับลูก ๆ แต่แล้วมิสเตอร์อินเครดิเบิ้ลได้รับมอบหมายภารกิจลับสุดยอด ด้วยชะตากรรมของโลกเป็นเดิมพัน เขาจะทำได้ไหม เรื่องราวจะเป็นอย่างไรติดตามได้ที่เรื่อง The Incredibles

7. Cars
"แม็คควีน ไลท์เทนนิง" รถแข่งใหม่ที่ร้อนแรง เขาก็ได้เรียนรู้ว่าชีวิตเป็นเรื่องของการเดินทางไม่ใช่เส้นชัย ระหว่างการเดินทางข้ามประเทศไปเพื่อเข้าแข่งขันรายการพิสตัน คัพ แชมเปียนชิพในแคลิฟอร์เนีย เพื่อประชันความเร็วกับรถแข่งเก๋าเกมสองคัน แม็คควีนก็มีโอกาสได้รู้จักเหล่ารถน่ารัก น่าเอ็นดูของเมืองนี้ด้วย

8. Ratatouille
"เรมี่" หนูฝรั่งเศสที่แสนทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันอยากเป็นเชฟมือหนึ่ง ทำให้เรมี่และครอบครัวย้ายจากชานเมืองของฝรั่งเศสเข้ามาสู่ ปารีส และได้พบว่าตัวเองได้มาอยู่ใต้ภัตคารอันเลื่องชื่อ เมื่อเรมี่ได้แอบช่วย "ลิงกวินี่" เด็กก้นครัวที่ทำอาหารไม่ได้เรื่อง ปรุงซุปจนได้รับคำชมจากนักวิจารณ์อาหารที่มีอิทธิพลระดับโลก เรมี่จึงได้ร่วมมือกับลิงกวินี่ในการปรุงอาหารรสเลิศต่างๆ เรื่องจะสนุก ฮา ขนาดไหนรับชมได้ที่เรื่อง Ratatouille

9. Wall E
"Wall-E" เป็นหุ่นยนต์อัดขยะที่ใช้ชีวิตกว่า 700 ปีอยู่เครื่องเดียวบนโลก เนื่องจากมนุษย์ได้อพยพหนีโลกอันโหดร้ายขึ้นไปบนยานอวกาศเพื่อรอให้โลกเซ็ตตัวและสามารถอยู่ได้อีกครั้ง แต่แล้ววันหนึ่งก็ได้มีหุ่นยนต์สาวสวยอย่าง "อีฟ" ลงมายังโลก ทำให้ความโดดเดี่ยวของ Wall-E เปลี่ยนไป แต่อีฟไม่ได้ลงมาเล่น ๆ เพราะเธอมีภารกิจในการหา "พืช" ที่ยังมีชีวิต เพื่อเป็นสัญญาณว่าโลกจะสามารถกลับมาอาศัยอยู่ได้อีกครั้ง

10. UP
เรื่องราวดี ๆ ของ "คาร์ล เฟร็ดดิกเซน" ชายชราขายลูกโป่งวัย 78 ปี ผู้ซึ่งในที่สุดก็ได้ทำความฝันที่จะได้ผจญภัยให้เป็นจริง เมื่อเขาผูกลูกโป่งนับพันเข้ากับบ้านของเขาและโบยบินไปสู่ผืนป่าเซาธ์ อเมริกา แต่เขาก็มารู้เอาเมื่อสายไปแล้วว่า ฝันร้ายของเขาก็แอบร่วม ทริปเดินทางมากับเขาด้วย และฝันร้ายนั้นก็มาในรูปแบบของลูกเสือนักสำรวจวัย 8 ขวบ ที่มองโลกในแง่ดีเกินเหตุที่มีชื่อว่า "รัสเซล" การเดินทางสู่ดินแดนที่อารยธรรมสาบสูญ ที่ซึ่งพวกเขาได้พบตัวละครแปลกประหลาดที่น่าตกใจมากมาย เต็มไปด้วยความขบขัน ความอบอุ่นหัวใจและการผจญภัยสุดบรรเจิด


คำพูดดีๆ จากใจพ่อแม่ช่วยเพิ่มพลังบวกให้กับลูกได้เป็นอย่างดี และนี่คือ 10 สุดยอดคำพูดสร้างพลังบวกให้ลูก จากพ่อแม่ ที่ลูกได้ยินเมื่อไหร่จะมีพลังบวก พร้อมแก้ปัญหา และทำกิจกรรมต่างๆ ในแต่ละวันได้อย่างราบรื่น
1. พ่อกับแม่รักลูกนะ
พูดพร้อมกับมองหน้าลูก เพื่อถ่ายทอดความจริงใจส่งมอบพลังด้านบวกออกไป เพราะไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด ความรักของพ่อแม่ก็จะอยู่กับลูกเสมอ เป็นพลังบวกให้ลูกสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ได้เป็นอย่างดี
2. หนูเก่งมากเลย
คำสั้นๆ ที่ลูกได้ฟังแล้วหัวใจต้องพองโต เพราะคำชมจากพ่อแม่เป็นของขวัญล้ำค่าที่ลูกอยากได้ยิน และรู้สึกมีพลังที่สุด
3. สู้ๆ นะ พ่อกับแม่เป็นกำลังใจให้เสมอ
กำลังใจจากพ่อแม่ที่เติมให้ลูกไม่ขาดจะทำให้เขารู้สึกอยู่เสมอว่าพ่อแม่จะอยู่เคียงข้างเขา เมื่อจะต้องทำกิจกรรมต่างๆ ลูกก็จะรู้สึกฮึกเหิม มีพลังฮึด
4. ไม่เป็นไร เรามาพยายามกันใหม่นะ
เมื่อลูกพลาดหวังเสียใจไม่ควรตำหนิหรือลงโทษลูก พ่อแม่ควรให้กำลังใจแก่ลูก และการใช้คำว่า “เรา” ทำให้ลูกรู้สึกว่าเขาไม่ได้เผชิญความผิดหวังคนเดียว แต่พ่อแม่ยังรู้สึกร่วมไปกับเขาและพร้อมจะเริ่มต้นใหม่ด้วยกัน
5. พ่อกับแม่ภูมิใจในตัวลูกมากเลยนะ
คำพูดนี้อาจจะเป็นคำพูดธรรมดาสำหรับคุณพ่อคุณแม่ แต่จริงๆ แล้วคำพูดนี้มีความหมายสำหรับลูกอย่างคาดไม่ถึง เพราะมันจะเป็นพลังบวกทั้งกายและใจให้ลูกได้อย่างน่ามหัศจรรย์เลยทีเดียว
6. พ่อกับแม่เชื่อมั่นว่าหนูต้องทำได้
ประโยคสั้นๆ แต่ได้ใจความ ทำให้ลูกมีพลังใจในการทำสิ่งต่างๆ ให้สำเร็จลุล่วงได้เป็นอย่างดี
7. ลูกทำได้ดีมากจ้ะ ดีกว่าตอนที่พ่อกับแม่อายุเท่าหนูอีกนะ
คำชมง่ายๆ ที่อาจพูดเกินจริง แต่ก็สร้างพลังใจ และความภูมิใจให้ลูกได้ไม่น้อย
8. ถึงหนูจะผิดหวัง แต่พ่อกับแม่รู้ว่าหนูทำดีที่สุดแล้ว
คำปลอบใจที่สอนลูกรู้จักความผิดหวัง แต่ก็ไม่จมกับความทุกข์ ทั้งสร้างกำลังใจลูกมีแรงฮึดขึ้นสู้อีกครั้ง
9. พ่อกับแม่ “ขอโทษ” นะลูก
การขอโทษบางครั้งมันยากที่จะพูดออกไป อย่ามัวคิดว่า ไม่ขอโทษลูกก็ไม่เป็นไร เพราะคำขอโทษจากปากของพ่อแม่ ยังเป็นการสอนลูกในการยอมรับความผิดที่ได้ทำลงไปอีกด้วย
10. พ่อกับแม่ “ยอมรับ” ในสิ่งที่ลูกเป็น
พ่อแม่หลายคนอาจจะบังคับลูกให้เป็นในแบบนี้ แต่เชื่อเถอะ การให้ลูกเลือกในสิ่งที่ลูกอยากเป็น และยอมรับในสิ่งที่ลูกเป็นนั้น ลูกจะมีอนาคตที่ดีอย่างแน่นอน
"รักวัวให้ผูก รักลูกให้เลี้ยงด้วย EF"
ขอบคุณความรู้ EF โดย สถาบัน RLG


คำแนะนำสำหรับการเลี้ยงดูลูกและการรับมือกับพฤติกรรมของเจ้าลูกคนดี
1. ดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีเพื่อเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ต่างๆ
2. อย่าลืมว่าลูกก็เป็นคนคนหนึ่งที่มีสิทธิ์ในตัวเขาเองตั้งแต่เกิด
3. เด็กแต่ละคมีความเป็นตัวของตัวเองรวมทั้งลูกของคุณพ่อคุณแม่ด้วย ฉะนั้นการเปรียบเทียบลูกกับเด็กคนอื่นไม่ใช่วิธีที่ดีเลย
4. ไม่ว่าเวลามากหรือนน้อยที่คุณมีล้วนเป็นสิ่งจำเป็นที่ลูกต้องการ
5. อย่าตั้งเป้า วาดหวังหรือพยายามให้ลูกทำอะไรที่ยากเกินความสามารถของเขา
6. เมื่อหงุดหงิด มีอารมณ์กับเจ้าหนูให้สะกดอารมณ์ไว้ แค่นับ 1-10 ช่วยได้ค่ะ เพราะท่าทีอบอุ่นนุ่มนวลของคุณต่างหากที่สงบอารมณ์ลูกได้
7. อย่าวิตกจนเกินไป พฤติกรรมและสิ่งที่คุณต้องเจอส่วนใหญ่เป็นพัฒนาการตามวัยของลูกเท่านั้น
8. พ่อแม่แต่ละคนเป็นครูให้แก่กันได้ หันหน้าหาเพื่อนพ่อแม่คนอื่นเพื่อแลกเปลี่ยนและปรึกษากัน
9. พ่อแม่ต้องร่วมมือและช่วยเหลือกัน เมื่อคนหนึ่งหงุดหงิด อีกคนต้องเข้ามาดูแลเจ้าหนูค่ะ
10. เหนือสิ่งอื่นใด อย่าให้ความรู้สึกเหนื่อยหน่าย สิ้นหวังเกิดขึ้นในหัวใจคุณเป็นอันขาด

เมื่อถึงวัยที่ต้องส่งลูกเข้าโรงเรียน คุณพ่อคุณแม่หลายคนคงกังวลใจไม่น้อย หลายครอบครัวไม่เคยต้องห่างจากลูก แต่เมื่อถึงเวลาพาลูกไปโรงเรียนก็ต้องมั่นใจว่าโรงเรียนที่เราเลือกมั่นใจได้ว่าจะดูแลลูก ๆ ของเราได้อย่างดีทั้งเรื่องการเรียน และที่สำคัญคือเรื่องความปลอดภัย ในโรงเรียนเป็นที่ที่เด็กๆ วัยซนมารวมกันอยู่มากมาย ดังนั้นอุบัติเหตุในเด็กอาจจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
คุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องคอยย้ำเตือนลูกๆ ให้ดูแลตัวเองให้ได้ หลีกเลี่ยงจากจุดที่จะเกิดอันตราย หรืออุบัติเหตุได้ สำหรับจุดอันตรายที่ต้องระมัดระวังในโรงเรียนมีอะไรบ้าง ลองมาดูกันค่ะ
10 จุดอันตรายในโรงเรียน
- ประตูรั้วโรงเรียน รั้วประตูโรงเรียนเป็นจุดหนึ่งที่เราอาจจะเคยเห็นข่าวกันมาบ้าง ว่ามีประตูล้มทับนักเรียน ซึ่งต้องระมัดระวังไม่ให้เด็กๆ เล่นปีนป่าย หรือขย่ม เขย่ารั้วโรงเรียน เพราะหากประตูชำรุดอาจเกิดอุบัติเหตุได้
- เครื่องเล่นในสนามเด็กเล่น สวรรค์ของเด็กๆ เลยค่ะ เครื่องเล่นในสนามเด็กเล่น แต่เจ้าเครื่องเล่นทั้งหลายนี่แหละค่ะที่ทำให้เด็กๆ เสียน้ำตากันแทบทุกวัน เด็กหลายคนเล่นกันรุนแรง หรือสนุกไม่ทันระวังตัว ลื่นสไลเดอร์ขาหัก ตกชิงช้าแขนหัก หัวเข้าไปติดในช่องบันได หรือแม้แต่เครื่องเล่นบางชนิดที่ชำรุดไม่ได้รับการดูแลก็อาจทำให้เด็กๆ ได้รับบาดเจ็บได้
- บันได เด็กๆ หลายคนยังเดินขึ้นลงบันไดได้ไม่คล่อง ดังนั้นโรงเรียนอนุบาลมักต้องมีครูพี่เลี้ยงคอยดูแลนักเรียนขึ้นลง และให้นักเรียนค่อยๆ เดิน ห้ามวิ่งขึ้นลงบันได ราวจับต้องบันไดต้องออกแบบให้เด็กๆ จับได้ ขั้นบันไดต้องมีความสูงพอเหมาะกับเด็ก
- สระว่ายน้ำ ปัจจุบันหลายๆโรงเรียนมีสระว่ายน้ำในโรงเรียน และเป็นอีกที่ที่อาจเกิดอุบัติเหตุเด็กพลัดตก หรือจมน้ำได้ โรงเรียนควรต้องมีประตู หรือรั้วปิด มีเจ้าหน้าที่คอยดูแลไม่ให้เด็กเข้าไปเล่นที่สระว่ายน้ำโดยพลการ
- ระเบียงอาคารเรียน ระเบียงควรมีราวที่แข็งแรง มั่นคง มีลูกกรงป้องกันเด็กๆ วิ่งซุกซนตกลงมา หรือช่องราวระเบียงก็ต้องไม่กว้างมากจนเด็กเอาตัว เอาหัวลอดหลุดออกไปได้
- ห้องน้ำ ห้องน้ำต้องสะอาดถูกสุขลักษะ และออกแบบให้ปลอดภัยสำหรับเด็กๆ ไม่มีถังน้ำ หรืออ่างน้ำที่เด็กๆ อาจจะเกิดอุบัติเหตุจมน้ำได้
- เหลี่ยมมุมเฟอร์นิเจอร์ โต๊ะ เก้าอี้ จุดอันตรายเหลี่ยมมุมต่างๆ ถ้าเป็นโรงเรียนที่มีเด็กเล็กต้องลบเหลี่ยม หรือมีวัสดุบุกันกระแทกตามผนัง หรือมุมโต๊ะ เก้าอี้ เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ป้องกันการชนกระแทก
- สายไฟ ปลั๊กไฟ เครื่องใช้ไฟฟ้า โรงเรียนต้องคอยดูแล ปิดช่องปลั๊กสายไฟ และตรวจดูเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ไม่ให้ชำรุดหรือมีไฟรั่วได้
- พื้นโรงเรียน พื้นโรงเรียนแต่ละจุดต้องออกแบบให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและการใช้งาน เช่น สนามเด็กเล่นถ้าพื้นเป็นปูนแข็ง หรือลื่น ก็มีความเสี่ยงให้เด็กๆ ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุได้มาก
- ของเล่น ของเล่นในโรงเรียนควรให้เด็กๆ เล่นให้เหมาะสมกับเด็กแต่ละวัย อย่างของเล่นที่มีชิ้นส่วนเล็กๆ ถ้าเด็กเอาเข้าปาก เข้าจมูก อาจจะเป็นอันตรายได้
เตรียมตัวให้พร้อม รับมืออุบัติเหตุของลูก
-
สอนลูกให้ระมัดระวังและป้องกันตัวเองได้ พ่อแม่ควรสอนลูกตั้งแต่เล็กๆ ว่าสิ่งไหนอันตราย เล่นได้ ไม่ควรเล่น และต้องรู้จักกลัวอันตราย เช่น ห้ามเล่นสายไฟ ปลั๊กไฟ ห้ามลงเล่นน้ำถ้าไม่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วย หรือสอนให้ลูกว่ายน้ำให้เป็น สอนการปฐมพยาบาลเบื้องต้
-
คอยหมั่นเป็นหูเป็นตาช่วยคุณครูสังเกต ในโรงเรียนเป็นหน้าที่ของครูที่จะดูแลลูกๆ ดังนั้นพ่อแม่ต้องไว้ใจคุณครูว่าจะดูแลลูกๆ ให้ปลอดภัยได้ แต่ก็ต้องคอยหมั่นสังเกต คอยดูที่โรงเรียนด้วยว่ามีจุดไหน หรือบริเวณไหนที่อาจเป็นอันตรายกับเด็กๆ หรือลูกๆ ได้
-
ทำประกันอุบัติเหตุไว้ให้ลูก เพื่อเป็นหลักประกันว่าหากเกิดอุบัติเหตุก็ยังมีประกันดูแลค่าใช้จ่าย เพราะเด็กๆ มีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุทุกวันอยู่แล้วค่ะ ถึงแม้จะระมัดระวังแค่ไหน ดังนั้นเตรียมตัวรับมือไว้ให้พร้อมเลยดีกว่าค่ะ
ประกันอุบัติเหตุสำหรับลูกควรเลือกแบบครอบคลุมได้ทั้งอุบัติเหตุและโรคภัยไข้เจ็บที่เด็กเป็นกันบ่อยๆ เช่น ไข้เลือดออก ไข้หวัดใหญ่ อาหารเป็นพิษ เพราะนอกจากอุบัติเหตุแล้ว โรงเรียนเป็นแหล่งที่เด็กๆ มีโอกาสเจ็บป่วยได้มากเช่นกัน ประกันสำหรับลูกควรเลือกที่มีเบี้ยประกันน้อย แต่วงเงินในการคุ้มครองสูงหรือแบ่งเบาภาระทางการเงินในค่ารักษาพยาบาลให้ครอบคลุมทั้งหมด เพราะค่าใช้จ่ายของครอบครัวก็สูงอยู่แล้ว ควรเลือกประกันที่คุ้มครองถึงพ่อแม่ เช่น ในกรณีที่พ่อแม่เสียชีวิต ลูกจะได้รับเงินมรดก เงินช่วยเหลือจากการทำประกันด้วยเพื่อเป็นหลักประกันให้กับชีวิตลูกได้ ประกันสำหรับลูก ควรเลือกแบบที่สามารถคุ้มครองลูกตั้งแต่อายุ 1 ขวบ จนถึงวัยทำงาน ประกันสำหรับลูก ควรเลือกแบบเมื่อเข้ารับการรักษาพยาบาล ไม่ต้องสำรองเงินจ่ายก่อน แต่ประกันสามารถจ่ายได้เลย
เด็กเป็นวัยที่กำลังซุกซน เรียนรู้ สิ่งต่างๆ รอบตัว ดังนั้นอุบัติเหตุมีโอกาสเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา สิ่งที่พ่อแม่ และผู้ใหญ่จะทำได้คือคอยดูแลสิ่งแวดล้อมต่างๆ รอบตัวเด็กให้ปลอดภัยที่สุด ไม่ว่าจะที่บ้าน ที่โรงเรียน เพื่อให้เด็กได้มีโอกาสพัฒนา ทักษะและการเรียนรู้ต่างๆ ได้อย่างไม่สะดุด และเติบโตอย่างแข็งแรง มั่นคง ปลอดภัย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ผลิตภัณฑ์ประกันอุบัติเหตุเพื่อลูกรัก ธนชาต Happy PA for Child
(พื้นที่เพื่อการโฆษณาและประชาสัมพันธ์)

พ่อแม่เผลอตำหนิลูกไป แม้ไม่ได้ตั้งใจแต่รู้ไหมว่าลูกจดจำ และทำให้รู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า
10 ประโยคของพ่อแม่ ยิ่งพูดลูกยิ่งเฟล
เป็นพ่อแม่ไม่ง่ายเลยใช่ไหมคะ ที่จะเลี้ยงลูกหนึ่งคนให้เป็นเด็กน่ารัก และให้เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่รับผิดชอบต่อสังคม นับถือตนเอง
ยิ่งช่วงเวลาที่คุณพ่อคุณแม่เหนื่อยบางครั้งเผลอตำหนิลูกไป รู้ไหมคะ ว่าลูกจดจำ และทำให้รู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า ขาดความมั่นใจ ส่งผลให้เก็บกดและก้าวร้าวในอนาคต ฉะนั้นเราต้องระวังคำพูดให้มาก อย่างเช่น 10 คำพูดต่อไปนี้ค่ะ
10 คำพูดที่พ่อแม่เผลอตำหนิลูก แล้วทำให้ลูกขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง
1.“ทำไมไม่เก่งเหมือน พี่/น้อง บ้างเลย”
นอกจากไม่สร้างกำลังใจแล้ว กลับบั่นทอนให้เด็กเกิดความไม่มั่นใจในตนเองและสร้างความอิจฉาในพี่น้องด้วยค่ะ
2.“อีกแล้วนะ สอนไม่รู้จักจำเลย”
การพูดแบบนี้นอกจากไม่ได้ทำให้ลูกดีขึ้นแล้ว ยังทำให้ลูกรู้สึกว่าตนเองไม่มีคุณค่า ไม่เป็นที่ยอมรับของพ่อแม่
3.“บอกกี่ครั้งแล้ว ว่าอย่าทำ”
การพูดเช่นนี้ไม่ช่วยแก้ไขอะไรเลยนะคะ มีแต่ทำให้ลูกอับอายและรู้สึกล้มเหลว
4.“ทำไมชอบก่อปัญหาอยู่เรื่อยเลยนะ”
การพูดแบบนี้จะทำให้ลูกไม่นับถือตนเองอย่างรุนแรง และคิดว่าตัวเองเป็นตัวปัญหา อนาคตจะไม่กล้าทำอะไรเพราะกลัวผิดพลาด
5.“ซุ่มซ่ามจริง ๆ ทำไมถึงโง่อย่างนี้นะ”
เป็นคำพูดที่ดูถูกลูกมากที่สุด ยิ่งบ่อยครั้งเท่าไร เท่ากับผลักดันให้ลูกเป็นเช่นนั้นในอนาคตเลยนะคะ

6.“ทำแบบนี้ ลูกไม่น่ารักเลยนะ”
มีแต่ทำให้ลูกรู้สึกผิด และลูกยังไม่รู้ว่าเขาทำอะไรผิดด้วย จะสร้างความไม่มั่นใจให้ลูกในอนาคตได้
7.“จะทิ่มตาอยู่แล้ว ไม่เห็นหรือไง”
ในช่วงเวลารีบ ๆ ลูกก็อาจไม่เห็นสิ่งที่ให้หาจริง ๆ พูดแบบนี้ลูกยิ่งขาดความมั่นใจ ยิ่งมองหาไม่เจอเพราะความกลัวนะคะ
8.“หยุดร้องไห้นะ ถ้าไม่หยุด เดี๋ยวแม่จะตีแล้วนะ”
การร้องไห้เป็นการสื่อสารของเด็ก หากมองข้าม ไม่ถามเหตุผล และบังคับให้ลูกทำตามพ่อแม่บอก จะยิ่งขาดความมั่นใจ และโตขึ้นไปเป็นคนไม่มีเหตุผลได้
9.“ทำไมถึงอืดอาดแบบนี้นะ”
พ่อแม่ใจร้อนและบังคับให้ลูกต้องรวดเร็วตาม การพูดแบบนี้บ่อย ๆ จะทำลายความสัมพันธ์ครอบครัวได้นะคะ
10.“ไปไกลๆ เลย พ่อ/แม่ กำลังยุ่งอยู่นะ”
คำพูดนี้คือการผลักไสลูกออกไป ลูกจะคิดว่าพ่อแม่ไม่อยากคุยด้วย เวลามีเรื่องอะไรลูกก็จะไม่คิดจะปรึกษาหรือขอความเห็นจากพ่อแม่อีก
จริง ๆ คำพูดเชิงลบต่อลูกยังมีอีกมากมาย และตามมาด้วยข้อเสียอีกเยอะกว่านี้มากนะคะ หากพ่อแม่ยิ่งพูดบ่อย ๆ ซ้ำ ๆ อย่างไม่ตั้งใจ อาจทำร้ายลูก จนลูกเสียความรู้สึก ส่งผลต่อพัฒนาการ และการใช้ชีวิตในอนาคตได้ พ่อแม่ควรปรับลดอารมณ์ลง และใจเย็นมากขึ้นกว่านี้ ใช้เหตุผลในการเลี้ยงลูกมากขึ้น จะได้ดีต่อการใช้ชีวิตในอนาคตลูก ให้ลูกมี Family Attachment เป็นเกราะป้องกันตัวเองนะคะ
10 วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น เมื่อลูกมีไข้ ตัวร้อน
คุณพ่อคุณแม่รู้ไหมคะว่าลูกเป็นไข้ ลูกตัวร้อน ลูกไม่สบาย ลูกเป็นหวัดได้ทุกฤดู เพราะเชื้อโรคมีอยู่ในทุกที่ ขึ้นอยู่กับว่าภูมิคุ้มกันในร่างกายลูกจะอ่อนแอเมื่อไหร่ เจ้าเชื้อโรค หรือไข้หวัดก็ทำให้ป่วยได้เสมอ และเมื่อลูกเป็นไข้ ลูกตัวร้อน ลูกไม่สบาย ลูกเป็นหวัดเป็นสาเหตุของพัฒนาการเด็กที่ไม่สมวัยได้เช่นกัน ดังนั้นเมื่อลูกเป็นไข้ ลูกตัวร้อน ลูกไม่สบาย ลูกเป็นหวัด คุณแม่ควรดูแลแบบนี้ค่ะ
วิธีสังเกตว่าอาการแบบนี้ที่เรียกว่าลูกเป็นไข้ ลูกตัวร้อน
ลูกไม่สบายเพื่อลดไข้ให้ลูก โดยปกติแล้วอุณหภูมิร่างกายของเราจะอยู่ที่ประมาณ 37 องศาเซลเซียส แต่เมื่อไม่สบาย เป็นไข้ หรือตัวร้อน อุณหภูมิในร่างกายก็จะสูงขึ้นเพราะร่างกายจะต้องต่อสู้กับเชื้อโรคที่อยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งถ้าอุณหภูมิร่างกายสูงกว่า 37.5 องศาเซลเซียสจะถือว่ามีอาการไข้ ตัวร้อน คุณแม่จึงควรมีปรอทวัดไข้สำหรับเด็กประจำบ้านไว้ด้วย และเมื่อลูกมีไข้ เป็นไข้ ตัวร้อน จะได้รีบดูแลกันได้ทันค่ะ
วิธีลดไข้ ลดอาการตัวร้อน ดูแลเมื่อลูกเป็นไข้
-
ให้ลูกพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะระหว่างที่นอนหลับร่างกายจะนำสารอาหารต่างๆ ไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ขับของเสียออกจากอวัยวะต่างๆ เพิ่มระบบภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย และฟื้นฟูพลังงาน ทำให้อาการเป็นไข้ ตัวร้อนลดลงและหายไข้ได้ไวขึ้น
-
อยู่ในห้องที่อากาศถ่ายเทสะดวก ไม่อับหรือร้อนเกินไป ช่วงที่ลูกเป็นไข้ ลูกตัวร้อน ลูกไม่สบาย เขาจะไม่สบายตัว รวมถึงการหายใจที่ไม่ค่อยสะดวก เพราะมีความร้อนออกมาจากลมหายใจด้วย ดังนั้นคุณแม่ควรให้ลูกนอนในที่อากาศถ่ายเทสะดวกเพื่อช่วยให้ลูกรู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย และห้องโปร่งๆ ยังช่วยไม่ให้เกิดการสะสมของเชื้อโรคเพิ่มเติมด้วย
-
หากลูกมีไข้สูงให้ปฐมพยาบาลด้วยการเช็ดตัวลูก ลองเช็ดตัวลดไข้ ลดตัวร้อนให้ลูกด้วยการผสมน้ำอุ่นกับน้ำมะนาว แล้วใช้ผ้าเช็ดตัวผืนเล็กหรือผ้าอ้อมผืนนุ่มๆ มาชุบน้ำ บิดหมาด เช็ดถูตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น หน้าผาก ซอกคอ รักแร้ ขาหนีบ และข้อพับต่างๆ เพื่อช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตที่ผิวหนัง และช่วยลดไข้ ลดอาการตัวร้อน
-
พยายามให้ลูกดื่มน้ำเยอะๆ เพราะน้ำจะช่วยควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย และยังช่วยกระตุ้นให้เซลล์ผิวหนังชุ่มชื่นด้วย
-
ให้ลูกกินยาลดไข้ Paracetamol เมื่อลูกเป็นไข้ ลูกตัวร้อนสูงเกิน 37.5 องศาเซลเซียส ไม่สบายตัว หรือปวดตัว ให้เลือกยาลดไข้สำหรับเด็กที่มีส่วนผสมของพาราเซตามอล ซึ่งเป็นตัวยาที่เหมาะสำหรับการลดไข้เด็กมากที่สุด
-
ใส่เสื้อผ้าบางๆ เพื่อระบายความร้อน
-
ไม่ควรให้ไปโรงเรียน เพราะอาจได้รับเชื้ออื่นเพิ่ม
-
สังเกตอาการว่าลูกขาดน้ำหรือไม่
-
กินอาหารเหลว หรืออาหารอ่อนๆ
-
ถ้าลูกยังมีอาการตัวร้อน หรือมีไข้ต่อเนื่อง 2-3 วัน คุณแม่รีบพาลูกไปหาหมอ
เคล็ดลับให้ลูกกินยาลดไข้สำหรับเด็กเพื่อลดอาการไข้และตัวร้อน
สำหรับลูกที่ไม่ชอบกินยา กินยายาก คุณแม่ลองเลือกยาลดไข้สำหรับเด็กชนิดน้ำ ยาลดไข้สำหรับเด็กกลิ่นผลไม้หอมหวาน จะช่วยให้ลูกกินยาลดไข้ง่ายขึ้นค่ะ ควรให้ลูกกินยาลดไข้สำหรับเด็กในปริมาณและระยะเวลาที่กำหนด โดยคำนวณจากน้ำหนักตัวของเด็กหรืออายุเป็นหลัก คือกินยาลดไข้ 10-15 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม และกินทุก 4-6 ชั่วโมงค่ะ
คุณพ่อคุณแม่ลงมือทำได้เองเบื้องต้น ทั้งการสังเกตอุณหภูมิร่างกายการลดไข้ รวมถึงการใช้ยาลดไข้สำหรับเด็กที่ควรจะได้รับคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกรผู้เชี่ยวชาญค่ะ
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
5 วิธีลดไข้ให้ลูก ดูแลลูกตัวร้อนอย่างได้ผล

เชื่อไหมคะ ว่าการเลี้ยงลูกในแบบธรรมชาติที่เขาเป็น ไม่ฝืนยัดเยียดอะไรลงไปให้ลูก คอยมองห่าง ๆ ดูความเป็นเด็กของเขา คอยส่งเสริมสิ่งที่ลูกชอบ จะช่วยให้เขาโตขึ้นไปเป็นเด็กที่มั่นใจในตัวเองได้ เขาจะกล้าเผชิญกับสิ่งแปลก ๆ ใหม่ ๆ หรือทำสิ่งใด ๆ ที่ท้าทาย ตลอดเวลา หรือต่อให้ผิดพลาดบ้าง เขาก็จะไม่กลัวความล้มเหลว จะสตรองแล้วก้าวข้ามผ่านไปได้
สิ่งที่พ่อแม่ต้องสอนลูก ให้ลูกมีความมั่นใจ เป็นตัวเองได้ดี
- ชื่นชมกับความพยายามของลูก
ไม่ว่าลูกจะแพ้หรือชนะ เมื่อเราโตมากขึ้นเราจะพบว่าระหว่างการเดินทางมีค่ามากกว่าจุดหมายปลายทาง เมื่อลูกตั้งเป้าหมายเพื่อที่จะชนะในการทำกิจกรรมบางอย่าง แต่ต้องสะดุดล้มหรือพลาดพลั้งไม่ไปถึงเส้นชัย ให้เราให้กำลังใจกับความพยายามของลูกนั้น อย่าทำให้ลูกรู้สึกอายเมื่อเขากำลังพยายาม ผลดีในระยะยาวคือลูกจะเรียนรู้ว่าความพยายามช่วยสร้างความมั่นใจได้อย่างมากทีเดียว
- ฝึกการให้กำลังใจเพื่อสร้างความสามารถ
ควรให้กำลังใจและเสริมแรงให้ลูกทำในสิ่งที่ลูกสนใจ เพราะจะทำให้ลูกไม่รู้สึกกดดันมมากจนเกินไป ลูกจะทำอะไรได้ดี เมื่อได้รับกำลังใจจากครอบครัว การฝึกความพยายามจะสร้างความเชื่อมั่นในการพัฒนาตนเองตามมา
- ให้ลูกฝึกแก้ปัญหาด้วยตนเอง
ถ้าหากคุณพ่อคุณแม่ช่วยแก้ปัญหาให้ลูกเสมอ ลูกจะขาดทักษะในการพัฒนาด้านความเชื่อมั่นในการคิดแก้ปัญหาด้วยตนเอง เมื่อผู้ปกครองคอยช่วยเหลือตลอดเวลาลูกจะขาดวิธีรู้จักคิดแก้ปัญหาและความเชื่อมั่นในตนเองจะหมดไป
- ให้ลูกแสดงพฤติกรรมตามวัย
ไม่ควรมีความคาดหวังให้ลูกแสดงพฤติกรรมเหมือนผู้ใหญ่ เมื่อลูกรู้สึกว่าต้องแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสมและถูกต้องตามที่พ่อแม่กำหนดเท่านั้นจะทำให้เห็นถึงมาตรฐานที่เป็นไปไม่ได้และจะไปลดความพยายามที่ลูกทำอยู่ การตั้งมาตรฐานที่ลูกไม่สามารถไปถึงได้จะลดความเชื่อมั่นของลูกลง
- กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็น
การตั้งคำถามที่ไม่จบไม่สิ้น อาจทำให้ลูกรู้สึกเหนื่อยและเบื่อหน่าย แต่ความจริงแล้วไม่ควรเป็นอย่างนั้น ผู้ปกครองควรตั้งคำถามเพื่อช่วยส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก เพื่อลูกจะเรียนรู้ว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่เรามองไม่เห็นในโลกนี้อีกมากมายที่เรายังไม่ได้เรียนรู้
- ให้ลูกลองสิ่งท้าทายใหม่ ๆ
แสดงให้ลูกเห็นเป้าหมายที่เป็นความสำเร็จเล็ก ๆ เพื่อไปสู่ความสำเร็จของเป้าหมายใหญ่ ๆ เช่น ขี่จักรยานโดยไม่ใช้ล้อเล็กฝึกการช่วยขี่ คุณพ่อคุณแม่สามารถสร้างความมั่นใจในตัวลูกเพิ่มขึ้นได้จากความรับผิดชอบตามวัย
- ไม่วิพากษ์วิจารณ์การแสดงออกของลูก
การให้คำแนะนำ หรือข้อเสนอแนะสามารถทำได้บ้าง การที่พ่อแม่วิพากษ์วิจารณ์ลูกบ่อย ๆ จะทำให้ลูกรู้สึกหมดคุณค่าในตัวเองและหมดแรงจูงใจด้วย
- เปิดประตูสู่ประสบการณ์ใหม่ ๆ
ในฐานะผู้ปกครองเราควรช่วยเปิดโอกาสให้ลูกมีประสบการณ์ในโลกกว้างมากขึ้นเพื่อเปิดโลกทัศน์ในการเรียนรู้ การเปิดประสบการณ์ให้ลูกจะสอนให้ลูกรู้ว่า ไม่ว่าจะเจอประสบการณ์ซึ่งน่ากลัวที่เราไม่เคยเผชิญมาก่อนเราก็จะสามารถฝ่าฟันและเอาชนะมันได้
- เป็นผู้ปกครองแบบเข้าใจลูก
ไม่บังคับหรือเข้มงวดจนเกินไป หากเราเข็มงวดกับลูกมากเกินไป จะทำให้ลูกขาดความมั่นใจและลดความเชื่อมั่นลง การทำตามคำสั่งตลอดเวลาจะทำให้ลูกขาดความกล้า
- อย่าบอกลูกเมื่อเรามีความกังวลใจกับลูก
บางครั้งลูกทำให้พ่อแม่เป็นห่วง แต่ไม่ควรแสดงออกถึงความกังวลให้ลูกเห็น เพราะการที่พ่อแม่มีความมั่นใจ ลูกก็จะมั่นใจไปด้วย
เห็นไหมคะ ว่าการสร้างลูกให้มีความเชื่อมั่น จะทำให้ลูกเป็นคนสร้างสรรค์และกล้าพูดคำว่า “ไม่ได้” ต่อสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เช่น กล้าปฏิเสธต่อผู้ที่มาหยิบยื่นสิ่งเสพติดต่าง ๆ ให้ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องยอมให้ลูกรู้จักลองผิดลองถูก เพื่อสร้างลูกให้เป็นคนดีและคนเก่งในอนาคตค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก : ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ

เชื่อไหมคะ ว่าการเลี้ยงลูกในแบบธรรมชาติที่เขาเป็น ไม่ฝืนยัดเยียดอะไรลงไปให้ลูก คอยมองห่าง ๆ ดูความเป็นเด็กของเขา คอยส่งเสริมสิ่งที่ลูกชอบ จะช่วยให้เขาโตขึ้นไปเป็นเด็กที่มั่นใจในตัวเองได้ เขาจะกล้าเผชิญกับสิ่งแปลก ๆ ใหม่ ๆ หรือทำสิ่งใด ๆ ที่ท้าทาย ตลอดเวลา หรือต่อให้ผิดพลาดบ้าง เขาก็จะไม่กลัวความล้มเหลว จะสตรองแล้วก้าวข้ามผ่านไปได้
สิ่งที่พ่อแม่ต้องสอนลูก ให้ลูกมีความมั่นใจ เป็นตัวเองได้ดี
1. ชื่นชมกับความพยายามของลูก
ไม่ว่าลูกจะแพ้หรือชนะ เมื่อเราโตมากขึ้นเราจะพบว่าระหว่างการเดินทางมีค่ามากกว่าจุดหมายปลายทาง เมื่อลูกตั้งเป้าหมายเพื่อที่จะชนะในการทำกิจกรรมบางอย่าง แต่ต้องสะดุดล้มหรือพลาดพลั้งไม่ไปถึงเส้นชัย ให้เราให้กำลังใจกับความพยายามของลูกนั้น อย่าทำให้ลูกรู้สึกอายเมื่อเขากำลังพยายาม ผลดีในระยะยาวคือลูกจะเรียนรู้ว่าความพยายามช่วยสร้างความมั่นใจได้อย่างมากทีเดียว

2. ฝึกการให้กำลังใจเพื่อสร้างความสามารถ
ควรให้กำลังใจและเสริมแรงให้ลูกทำในสิ่งที่ลูกสนใจ เพราะจะทำให้ลูกไม่รู้สึกกดดันมมากจนเกินไป ลูกจะทำอะไรได้ดี เมื่อได้รับกำลังใจจากครอบครัว การฝึกความพยายามจะสร้างความเชื่อมั่นในการพัฒนาตนเองตามมา
3. ให้ลูกฝึกแก้ปัญหาด้วยตนเอง
ถ้าหากคุณพ่อคุณแม่ช่วยแก้ปัญหาให้ลูกเสมอ ลูกจะขาดทักษะในการพัฒนาด้านความเชื่อมั่นในการคิดแก้ปัญหาด้วยตนเอง เมื่อผู้ปกครองคอยช่วยเหลือตลอดเวลาลูกจะขาดวิธีรู้จักคิดแก้ปัญหาและความเชื่อมั่นในตนเองจะหมดไป
4. ให้ลูกแสดงพฤติกรรมตามวัย
ไม่ควรมีความคาดหวังให้ลูกแสดงพฤติกรรมเหมือนผู้ใหญ่ เมื่อลูกรู้สึกว่าต้องแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสมและถูกต้องตามที่พ่อแม่กำหนดเท่านั้นจะทำให้เห็นถึงมาตรฐานที่เป็นไปไม่ได้และจะไปลดความพยายามที่ลูกทำอยู่ การตั้งมาตรฐานที่ลูกไม่สามารถไปถึงได้จะลดความเชื่อมั่นของลูกลง

5. กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็น
การตั้งคำถามที่ไม่จบไม่สิ้น อาจทำให้ลูกรู้สึกเหนื่อยและเบื่อหน่าย แต่ความจริงแล้วไม่ควรเป็นอย่างนั้น ผู้ปกครองควรตั้งคำถามเพื่อช่วยส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก เพื่อลูกจะเรียนรู้ว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่เรามองไม่เห็นในโลกนี้อีกมากมายที่เรายังไม่ได้เรียนรู้
6. ให้ลูกลองสิ่งท้าทายใหม่ ๆ
แสดงให้ลูกเห็นเป้าหมายที่เป็นความสำเร็จเล็ก ๆ เพื่อไปสู่ความสำเร็จของเป้าหมายใหญ่ ๆ เช่น ขี่จักรยานโดยไม่ใช้ล้อเล็กฝึกการช่วยขี่ คุณพ่อคุณแม่สามารถสร้างความมั่นใจในตัวลูกเพิ่มขึ้นได้จากความรับผิดชอบตามวัย
7. ไม่วิพากษ์วิจารณ์การแสดงออกของลูก
การให้คำแนะนำ หรือข้อเสนอแนะสามารถทำได้บ้าง การที่พ่อแม่วิพากษ์วิจารณ์ลูกบ่อย ๆ จะทำให้ลูกรู้สึกหมดคุณค่าในตัวเองและหมดแรงจูงใจด้วย
8. เปิดประตูสู่ประสบการณ์ใหม่ ๆ
ในฐานะผู้ปกครองเราควรช่วยเปิดโอกาสให้ลูกมีประสบการณ์ในโลกกว้างมากขึ้นเพื่อเปิดโลกทัศน์ในการเรียนรู้ การเปิดประสบการณ์ให้ลูกจะสอนให้ลูกรู้ว่า ไม่ว่าจะเจอประสบการณ์ซึ่งน่ากลัวที่เราไม่เคยเผชิญมาก่อนเราก็จะสามารถฝ่าฟันและเอาชนะมันได้

9. เป็นผู้ปกครองแบบเข้าใจลูก
ไม่บังคับหรือเข้มงวดจนเกินไป หากเราเข็มงวดกับลูกมากเกินไป จะทำให้ลูกขาดความมั่นใจและลดความเชื่อมั่นลง การทำตามคำสั่งตลอดเวลาจะทำให้ลูกขาดความกล้า
10. อย่าบอกลูกเมื่อเรามีความกังวลใจกับลูก
บางครั้งลูกทำให้พ่อแม่เป็นห่วง แต่ไม่ควรแสดงออกถึงความกังวลให้ลูกเห็น เพราะการที่พ่อแม่มีความมั่นใจ ลูกก็จะมั่นใจไปด้วย
เห็นไหมคะ ว่าการสร้างลูกให้มีความเชื่อมั่น จะทำให้ลูกเป็นคนสร้างสรรค์และกล้าพูดคำว่า “ไม่ได้” ต่อสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เช่น กล้าปฏิเสธต่อผู้ที่มาหยิบยื่นสิ่งเสพติดต่าง ๆ ให้ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องยอมให้ลูกรู้จักลองผิดลองถูก เพื่อสร้างลูกให้เป็นคนดีและคนเก่งในอนาคตค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก: ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ

มีลูกสาว คุณพ่อไม่จำเป็นต้องไว้หนวดเสมอไปนะคะ แค่ต้องร่วมมือกับคุณแม่เป็นพิเศษหน่อย ที่จะเลี้ยงลูกสาวให้เข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจ มั่นใจในตัวเอง ช่วยเหลือตัวเองได้ พึ่งพาคนอื่นน้อยที่สุด แต่แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และเรามีคำแนะนำทั้ง 10 ข้อ ให้คุณพ่อคุณแม่ลองไปปรับใช้ไปสำหรับลูกสาว
10 วิธีสอนลูกสาวให้สตรอง มั่นใจในตัวเอง
- พ่อแม่ต้องเลี้ยงลูกเอง
ลูกสาวมักจะติดพ่อ แต่ก็ต้องการแม่ตลอดเวลา ฉะนั้นการเลี้ยงลูกกันเองจึงเป็นการสร้างความอบอุ่นให้ลูก การที่พ่อแม่พูดคุย กอดหอม ชมเชยลูก เป็นปัจจัยสำคัญมากที่จะทำให้ลูกมี Family Attachment รู้สึกว่าตนเป็นที่รัก เป็นคนมีคุณค่า และภูมิใจในตนเอง แก้ปัญหาได้ ฉะนั้นการเลี้ยงลูกเองด้วยความใกล้ชิดจะช่วยสร้างลูกสาวเป็นคนจิตใจเข้มแข็งได้

- สร้างบรรยากาศที่ดีในครอบครัว
ทุกคนในครอบครัวต้องชื่นชมและขอบคุณกันและกัน เช่น พ่อชมว่าแม่ทำกับข้าวอร่อย พ่อชมลูกที่ล้างจานช่วยแม่ แม่ชมพ่อที่รดน้ำต้นไม้ในสวน เพราะสัมพันธภาพที่ดีในครอบครัวเป็นเรื่องสำคัญ บรรยากาศที่ดีในครอบครัวจะช่วยให้ลูกรู้สึกปลอดภัย เป็นคนอารมณ์ดี มีความสุขได้ง่าย ไม่ขี้หงุดหงิดหรือวิตกกังวล
- รักในตัวตนของลูก
ไม่ว่าลูกสาวจะห้าวหรือหวาน ชอบเล่นรถหรือตุ๊กตา ก็ต้องยอมรับและรักในแบบที่ลูกเป็น ไม่บังคับให้แต่งตัวหรือทำในสิ่งที่ลูกไม่ชอบ เพราะลูกมีพื้นฐานด้านอารมณ์ นิสัยใจคอ ความสามารถด้านต่าง ๆ เป็นของตัวเอง การที่พ่อแม่ยอมรับและรักลูกในแบบที่ลูกเป็นนั้นสำคัญ จะช่วยให้ลูกเคารพตัวเอง และห้ามเปรียบเทียบลูกสาวกับพี่น้องหรือเด็กคนอื่น ๆ เด็ดขาด
- ไม่ตามใจลูกเกินไป
ลูกสาวมักจะมากับความออดอ้อน ทำให้พ่อใจอ่อนไปทุกเรื่อง แต่ก็ไม่ควรตามใจไปทุกเรื่อง ควรจะอบรมอย่างเหมาะสม เลี้ยงดูอย่างมีกรอบกติกา เช่น ลูกต้องทานข้าวให้เป็นเวลา ทานที่โต๊ะอาหารให้เรียบร้อย , ลูกจะได้ของเล่น 2 ชิ้นต่อสัปดาห์เท่านั้น , เล่นของเล่นแล้ว ต้องเก็บเองทุกครั้ง เป็นต้น เพราะความรักที่ตามใจอย่างไร้ขอบเขต จะทำให้ลูกเอาแต่ใจ ทำอะไรไม่เป็น

- ปลูกฝังคุณธรรมตั้งแต่เด็ก
- สอนให้ลูกควบคุมตนเอง อดทนรอคอยได้ เช่น อยากได้อะไรให้ต่อคิว อยากทำอะไรต้องรอได้โดยการกำหนดเวลา 5 นาที 10 นาที ให้เข้าใจตรงกัน
- สอนให้เข้าใจกติกาสังคมและศีลธรรม เช่น เมื่อลูกโกรธสามารถแสดงอารมณ์โกรธได้ แต่ไม่ควรแสดงออกด้วยการทำร้ายตัวเองหรือผู้อื่น หรือทำลายข้าวของ เวลาอยากได้อะไรให้บอก แต่ห้ามแย่งของคนอื่น หรือหยิบโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นต้น
- รู้จักแบ่งปันและอยู่ร่วมกับผู้อื่น เช่น รู้จักแบ่งขนม หรือของเล่นให้เพื่อน
- เป็นเด็กผู้หญิงก็ช่วยเหลือตัวเองได้
ให้เริ่มจากเรื่องง่าย ๆ เช่น ให้ลูกยกของเบา ๆ ไปเก็บเอง, ให้ลูกช่วยปลูกต้นไม้ที่พ่อซื้อมา, ให้ลูกจัดของไปเรียนเอง เป็นต้น พ่อแม่ควรสอนให้ลูกสาวฝึกทำอะไรด้วยตัวเอง โดยไม่เข้าไปทำแทนทุกอย่าง จนลูกทำอะไรไม่เป็น เชื่อเถอะว่าลูกสาวเราเก่งกว่าที่เราคิดมาก แค่ต้องให้ลองทำทุกอย่างด้วยตัวเองก่อน
- ชมเชยเมื่อลูกทำดี
เช่น เมื่อลูกรู้จักควบคุมอารมณ์ตนเองและทำตามกรอบกติกาได้ พ่อแม่ก็ชมลูกทันทีและบอกลูกว่าชมเรื่องอะไร เพื่อให้ลูกเรียนรู้ที่จะทำอะไรดี ๆ มีความภูมิใจในตัวเอง มั่นใจในตัวเอง และจะกล้าเริ่มทำในสิ่งดี ๆ ต่อไป

- ลูกทำพลาด คือแรื่องแก้ไขได้
พ่อแม่เองยังทำพลาดได้ เมื่อลูกทำพลาด ให้มองว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ควรสอนว่าที่ถูกคืออะไร ให้อธิบายด้วยเหตุผล ไม่ควรตำหนิหรือลงโทษรุนแรงกับลูก เพราะจะทำให้ลูกเข้าใจผิดว่าเขาไม่ดี และไม่เป็นที่รักของพ่อแม่
- สอนลูกยอมรับความผิดหวัง
เมื่อไม่ได้อะไรดั่งใจ หรือทำอะไรไม่สำเร็จ ต้องคอยอยู่เคียงข้างลูก อาจเล่าเรื่องที่พ่อแม่เคยเจอในสถานการณ์คล้าย ๆ กันให้ลูกฟังได้ ลูกจะได้รู้สึกว่าไม่ได้เผชิญเรื่องนี้อยู่คนเดียว เพื่อให้ลูกเข้าใจตนเอง ควบคุมอารมณ์ตอนผิดหวังได้ จะได้เป็นเด็กที่มี EF ดี
- พ่อแม่ต้องเป็นที่ปรึกษาที่ดี
ที่ปรึกษาที่ดี คือต้องรับฟังลูกอย่างตั้งใจ ใจดีแต่ต้องพูดหนักแน่น แนะนำแนวทางที่ดี ที่เหมาะสมให้ลูกได้ เพื่อช่วยให้ฝึกลูกให้แก้ปัญหา เมื่อลูกแก้ปัญหาสำเร็จก็ควรชื่นชม เพื่อให้ลูกเกิดความภูมิใจในตัวเอง
มีลูกสาว พ่อแม่ยิ่งต้องสตรอง ให้ลูกได้รับความรัก ความอบอุ่น การอบรมที่เหมาะสม ถูกปลูกฝังให้รู้จักช่วยเหลือและแก้ปัญหาเองได้ ลูกสาวจะมีภูมิคุ้มกันที่ดี มีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นโดยไม่ก่อความเดือดร้อนให้ใคร เป็นคนที่ไม่ย่อท้อต่อปัญหาและอุปสรรค รวมทั้งเป็นคนดีที่มีความสุขด้วย

10 วิธีเลือกโรงเรียนอย่างไร ให้ปลอดภัยต่อลูก
โรงเรียนเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ควรมีความปลอดภัยสำหรับลูกรองจากบ้าน ดังนั้นการเลือกโรงเรียนที่ดีจึงเป็นสิ่งสำคัญ เราจึงมีคำแนะนำให้พ่อแม่ทุกท่าน ก่อนตัดสินใจเลือกโรงเรียนให้ลูกค่ะ
10 วิธีเลือกโรงเรียนให้ปลอดภัยต่อลูก
-
รถโรงเรียนมีมาตรการดูแลที่ดี คุณผู้ปกครองควรซักถามเกี่ยวกับนโยบายของทางโรงเรียน ว่ามีความปลอดภัยเพียงพอหรือไม่ เกี่ยวกับการจ้างบุคคลหรือบริษัทที่เข้ามาให้บริการรับส่งนักเรียน ครูผู้ดูแล ประกันชีวิต สภาพรถ เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจ
-
ไม่มีแหล่งน้ำที่หนู ๆ จะจมน้ำได้ ระดับน้ำที่สูงท่วมหัวอาจทำให้หนูจมน้ำได้ ควรมีรั้วกั้นรอบแหล่งน้ำทุกด้าน ที่มีความสูงเพียงพอ ป้องกันเหล่าจอมซนปีนเข้าไปได้
-
สนามกีฬาหรือพื้นที่วิ่งเล่นไม่ใช่ที่จอดรถหรือรถวิ่งผ่าน กรณีเจ้าตัวเล็กถูกรถชนหรือทับในบริเวณโรงเรียนนั้นพบเห็นได้ไม่ยาก เพราะหนูๆมีความสูงน้อยกว่ากระจกมองหลัง โรงเรียนที่ปลอดภัยจะจัดพื้นที่เล่นของเด็กแยกขาดจากทางเดินหรือพื้นที่จอดรถ
-
ห้องครัว ห้ามเข้า ป้องกันเจ้าตัวร้ายเล่นมีดหรือวิ่งชนหม้อน้ำเดือด
-
สำรวจอาคารเรียน เช่นระเบียงมีที่กั้นป้องกันจอมซนตกลงมา พื้นอาคารมีความต่างระดับให้สะดุดง่ายหรือเป็นวัสดุลื่นทำให้หนู ๆ หกล้มได้ง่าย ๆ บันไดชันทำให้ตกลงมาได้หรือเปล่า
-
เฟอร์นิเจอร์หรือส่วนประกอบของอาคาร เช่น ตู้หนังสือขนาดใหญ่ ประตู หน้าต่างควรอยู่ในสภาพดีไม่ชำรุดและมีที่ยึดพอที่จะไม่ล้มลงมาทับเจ้าหนูวัยซนทั้งหลายได้
-
ของเล่นต้องเหมาะสมกับอายุ ในโรงเรียนเด็กเล็ก ของเล่นต้องสร้างด้วยวัสดุและสีที่ไม่มีพิษภัย ไม่มีของเล่นชิ้นเล็กที่จะอุดตันทางเดินหายใจ ของเล่นที่มีคมหรือความแรง เช่น ปาลูกดอก ปืนมีกระสุน
-
มีสนามเด็กเล่นที่ปลอดภัย เพราะเป็นจุดที่หนูๆเล่นซนกันมากที่สุด เครื่องเล่นที่ปลอดภัยจึงควรมีความมั่นคงแข็งแรง ไม่สึกกร่อนหรือมีความสูงไม่มากเกินไปนัก ไม่วางชิดกันกับขอบรั้ว วัสดุแข็ง ๆ หรือเครื่องเล่นอื่น ที่สำคัญควรมีพื้นผิวรองรับที่มั่นคง เครื่องเล่นปีนป่าย และชิงช้าที่วางบนพื้นแข็ง อย่างพื้นปูน
- ห้องน้ำสะอาดปลอดภัย มีที่จับ มีกันลื่น ไม่อยู่ในมุมอับ สามารถมองเห็นได้
-
เช็กประวัติโรงเรียนย้อนหลัง จากกลุ่มพ่อแม่ผู้ปกครองที่เคยส่งลูกเรียนโรงเรียนต่าง ๆ เช็กจากโซเชียลมีเดีย และข่าวทางสื่อออนไลน์ย้อนหลัง
นอกจากการเลือกโรงเรียนที่ดีให้ลูกแล้ว ในบางครั้งพ่อแม่รู้สึกว่าโรงเรียนที่เราเลือกให้ลูกคือโรงเรียนที่ดีที่สุด แต่อาจไม่ใช่แบบนั้นค่ะ รักลูกมีสัญญาณเตือนเมื่อลูกถูกทำร้ายที่โรงเรียนมาฝากค่ะ
สัญญาณเตือนลูกถูกทำร้าย
-
โหยหาพ่อแม่ ถ้าปกติลูกไม่เคยโผเข้ากอดพ่อแม่หลังไปรับ แต่จู่ ๆ ลูกวิ่งเข้าหาพ่อแม่แบบโหยหา หรือร้องไห้เข้าใส่ ให้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่าอาจมีเหตุไม่ปกติเกิดขึ้นกับลูก (บางครั้งลูกอาจแสดงอาการงอแงทันทีที่ถึงบ้านเพราะอยู่ต่อหน้าครูที่โรงเรียนแล้วไม่กล้า)
-
หวาดกลัว ไม่อยากไปโรงเรียน ยิ่งถ้าปกติลูกเป็นเด็กร่าเริงแล้วอยู่ ๆ ไม่พูด เงียบ ไม่ร่าเริง งอแง และร้องไห้ไม่ยอมไปโรงเรียน คราวนี้ให้ถามลูกได้เลยค่ะว่าเกิดอะไรขึ้น
-
พัฒนาการช้า ถดถอย ช่วยเหลือตัวเองได้น้อยกว่าที่ควรเป็นตามวัย งอแง ขี้ตกใจ
-
ผวา ละเมอ ให้สังเกตตอนที่ลูกนอนว่ามีอาการผวา หรือละเมอร้องไห้หรือไม่
-
มีรอยเขียวช้ำตามตัว คุณแม่ควรสังเกตตามตัวลูกว่ามีรอยแผลเขียวช้ำหรือเปล่า โดยเฉพาะหากเกิดขึ้นเป็นประจำ และคุณแม่ควรเช็กในบริเวณร่มผ้าด้วยเพราะส่วนใหญ่พี่เลี้ยงมักทำร้ายในที่ที่คุณแม่มองเผิน ๆ ไม่เห็น
ทำอย่างไร..ถ้าลูกถูกทำร้ายที่โรงเรียน
-เมื่อสอบถามลูกแล้วพบว่าถูกทำร้ายให้รีบพาลูกไปตรวจร่างกาย เพื่อให้คุณหมอเช็กความผิดปกติ ถ่ายรูปร่องรอยที่ถูกทำร้ายและเก็บหลักฐานทางการแพทย์ไว้
-ปรึกษาพ่อแม่ของเด็กนักเรียนคนอื่นในห้อง เพื่อหาแนวทางแก้ไขร่วมกัน
-แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและศูนย์ดำรงธรรมหรือมูลนิธิคุ้มครองเด็กให้เข้ามาดูแล
-แจ้งครูใหญ่หรือผู้อำนวยการรับทราบ
-หากไม่มีความคืบหน้าควรย้ายโรงเรียน เพื่อป้องกันเหตุลูกถูกทำร้ายอีก
ถึงอยู่ห่างกัน พ่อแม่ก็ปกป้องหนูได้ นโยบายสร้างความปลอดภัยในโรงเรียน คุณพ่อคุณแม่ควรมีส่วนร่วมโดยการช่วยเป็นหูเป็นตา แนะนำและร่วมกันหาหนทางแก้ไข ให้โรงเรียนจัดโครงสร้างที่มีความปลอดภัยครับ ยามที่คุณพ่อคุณแม่ต้องไกล การปลูกฝังนิสัยไม่ประมาท ระมัดระวังอันตราย ให้เจ้าตัวน้อยดูแลตัวเองก็เป็นอีกวิธีที่ดีเช่นเดียวกัน

10 วิธีสอนลูกสไตล์แม่โอปอล์-ปาณิสรา และคุณพ่อหมอโอ๊ค-นพ.สมิทธิ์
คุณพ่อคุณแม่หลายคนชื่นชมวิธีการเลี้ยงลูกของคุณแม่โอปอล์-ปาณิสรา และคุณพ่อหมอโอ๊ค- สมิทธิ์ ที่ตอนนี้ลูก ๆ ฝาแฝดอย่าง น้องอลิน และ น้องอลัน ก็เป็นเด็กที่น่ารัก ความจำดี รู้จักหน้าที่ของตัวเองมาก เราก็ไม่พลาดที่นำวิธีการสอนและมุมมองดีๆ ในการเลี้ยงน้องแฝดมาฝากกันค่ะ
- ฝึกให้ลูกรักการอ่าน
แม่โอปอล์ได้บอกในการสัมภาษณ์ว่า “เราให้ลูกอ่านหนังสือเยอะมาก" จึงเป็นที่มาของความจำดีของน้องอลิน น้องอลันที่บางครั้งก็พูดออกมาตามหนังสือที่ได้อ่าน จนทำให้คนเป็นพ่อแม่ถึงกับอึ้ง ว่าลูกจำได้ดีมากขนาดนี้
- ต้องระวังคำพูดต่อหน้าลูก
เพราะแม่โอปอล์และหมอโอ๊คเชื่อว่า เด็กจะมีหยักสมองที่จำ แล้วมีลิ้นชักความจำเยอะมาก ดังนั้นสิ่งที่ต้องระวังสำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่คือการพูด อะไรไปพูดไปน้องอลิน น้องอลันจะจำ รวมถึงคัดกรองคนรอบข้างด้วย เช่น คำหยาบ การสบถ ว่าอย่าทำต่อหน้าลูก
- ใกล้ชิดลูกให้มากที่สุด
คุณหมอโอ๊คและแม่โอปอล์ จะใกล้ชิดลูกมาก หากอยู่บ้านก็จะเล่นกับลูกตลอดเวลา และหมอโอ๊คเคยได้ให้สัมภาษณ์ว่า "ความใกล้ชิดตอบทุกปัญหา เราก็เรียนรู้ไปกับเขา ได้เห็นว่าตัวเขาต้องการอะไร เข้าใจผิดก็บอกเท่านั้นเองไม่มีอะไรน่ากลัว" เรียกว่าเป็นครอบครัวที่ใกล้ชิดกับลูกมากจริงๆ
- สอนให้ลูกเคารพตัวเอง
แม่โอปอล์และหมอโอ๊ค โพสต์อินสตาแกรมสอนลูกเพื่อให้เขามาอ่านตอนโตว่า "รักและเคารพในตัวเองมาก ๆ นะลูก อย่าทำตัวเป็นวงกลมที่ขาด มีความสุขกับชีวิตของตัวเองให้ได้ ไม่ต้องรอให้ใครมาเติมเต็มนะลูกนะ พ่อกับแม่รักลูกมากกกกจำไว้นะคะ #Aline_A #Arran_A" เป็นข้อความที่มีคนชื่นชมเยอะมาก ว่าสอนลูกดี
5. พูดกับลูก ให้เหมือนพูดกับผู้ใหญ่
บ้านของแม่โอปอล์และหมอโอ๊คจะระวังไม่เบบี้พร็อพกับลูก เช่น ไม่พูดว่าหม่ำ ๆ ข้าวนะลูก แต่จะใช้คำว่า กินข้าวนะลูก พูดกับลูกให้เหมือนผู้ใหญ่ เวลาพูดให้จ้องหน้าลูก ให้รู้ว่าคุยกับลูกอยู่ ไม่ว่าลูกจะพูดรู้เรื่องหรือไม่รู้เรื่อง ต้องฟังลูก มองหน้าลูกเสมอ
- ไม่อวยลูกเกินไป
น้องอลินได้รางวัลที่ 1 ประกวดมารยาทไทยและไหว้สวยงามที่โรงเรียน แม่โอปอล์จะมีแฮชแท็กแกล้งลูกสาว ว่า #ลูกสาวค่ะแกเป็นเด็กเรียบร้อย และในตอนสัมภาษณ์ก็บอกเชิงตลกกับนักข่าวว่า "เพราะเป็นโรงเรียนนานาชาติ เพื่อนก็เป็นคนเกาหลี เป็นคนจีน น้องอลินก็ต้องได้แหละ" เป็นเรื่องที่สร้างเสียงหัวเราะให้นักข่าวมาก แน่นอนว่าคนเป็นแม่ภูมิในตัวลูกทุกเรื่อง แต่ก็ต้องวางตัวดี ไม่แสดงออกมากไปสไตล์แม่โอป
- ไม่ดุลูก แต่เน้นเข้าใจ
แม่โอปอล์ เล่าว่า ไม่ว่าลูกจะกรี๊ดเสียงเลเวลไหน ก็จะพูดกับลูกแบบ "kind but firm" ต้องสุภาพเสมอ หากลูกทำผิดก็จะลงโทษ จากนั้นจะกอดลูก อุ้มลูกทันที และบอกลูกว่าทำไมถึงโดนทำโทษ ต้องมีเหตุผลให้ลูกเข้าใจ เพื่อให้ลูกมีเหตุผลในอนาคตเมื่อโตขึ้นไป
- สอนลูกให้เป็นเด็กมีความสุข
"เป็นเด็กดีนะลูก ยินดีเมื่อเห็นคนมีความสุข มีเมตตาเผื่อแผ่คนรอบข้าง รู้บุญคุณคน อย่าเห็นผิดเป็นชอบ อย่าเห็นร้ายกลายเป็นดี เติบโตอย่างแข็งแรงทั้งร่างกาย จิตใจ และสติปัญญานะลูก" เป็นข้อความที่แม่โอปอล์โพสต์สอนลูก ซึ่งเป็นข้อความที่ดีมาก พ่อแม่ลองนำไปสอนลูกได้
- สอนวินัย คิดเผื่อ
แม่โอปอล์และหมอโอ๊คจะฝึกให้ลูกตรงต่อเวลา เช่น ตื่น นอน กิน เป็นเวลา แม่โอปอล์ให้สัมภาษณ์ว่า "ก่อนไปโรงเรียนเราจะเปิดเพลง ทันทีที่รถเลี้ยวเข้าโรงเรียน เราจะปิดเพลงเพื่อให้ลูกเตรียมความพร้อมเข้าโรงเรียน ต่อมาน้องอลันจะจำและบอกว่าใกล้โรงเรียนแล้วครับ เพื่อปิดเพลงและเตรียมตัวเข้าโรงเรียน" เรียกว่าสอนให้ลูกแฝดให้โตไปรู้จักหน้าที่ของตัวเองได้ดีมาก
- พ่อแม่ต้องมีวิธีจัดการที่ดี
แม่โอปอล์เข้าใจมาก ว่าลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน เวลาขึ้นเครื่องบิน แม่โอปอล์จะคอยเดินขอโทษคนอื่นเพราะลูกต้องร้องไห้ เสียงดัง และเวลาออกไปข้างนอก จะต้องทำความเข้าใจกับลูกก่อนเสมอว่า "ไปข้างนอกเสียงดังไม่ได้ เพราะเราจะรบกวนคนอื่น ถ้ารบกวนแม่คงไม่พาออกไปแล้วแหละ" แม่โอปอล์ให้ความสำคัญกับการจัดการลูกของตัวเองมาก เพื่อจะได้เป็นที่รักของคนอื่นที่พบเห็น
สไตล์การเลี้ยงลูกไม่มีผิด ไม่มีถูกนะคะ เพราะคนเป็นพ่อเป็นแม่รู้จักลูกของตัวเองดีที่สุด แต่ถ้าสนใจวิธีการเลี้ยงลูกของแม่โอปอล และหมอโอ๊ต ก็ลองนำไปปรับใช้กับลูกดูนะคะ หลายข้อเรียกว่าสอนเด็ก ๆ ได้ดีเลยค่ะ

ในหน้าฝนมีเรื่องอะไรบ้างที่เราต้องระมัดตัวเอง และหมั่นใส่ใจดูแลลูกน้อยเป็นพิเศษ นอกจากการดูแลเรื่องสุขภาพ โรคภัยต่างๆ แล้ว ลองมาเช็กกันค่ะ
10 เรื่องที่ต้องระวังช่วงหน้าฝน
1.ระวังพื้นลื่น :
ต้องดูแลทำความสะอาดบ้านให้เรียบร้อย ระวังอย่าให้มีน้ำท่วมขัง และถ้าลูกๆ ต้องออกไปนอกบ้าน ควรให้สวมรองเท้าที่มีพื้นยางกันลื่น
2.ระวังสัตว์มีพิษ งู ตะขาบ แมงป่อง ฯลฯ :
หน้าฝนสัตว์มีพิษต่างๆ มักหลบฝนไปอยู่ในที่ที่เราอาจคาดไม่ถึงและเป็นอันตรายกับเราได้เช่น ในรองเท้า ในตู้เสื้อผ้า ในอ่างน้ำ ฯลฯ
3.ระวังแมลงกัดต่อย :
ทั้งยุงและแมลงควรกำจัดแหล่งน้ำขัง ที่จะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง แมลงต่างๆ
4.ระวังไฟดูด :
ควรเช็ดตัวให้แห้งทุกครั้งก่อนใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้า สำรวจอุปกรณ์ไฟฟ้าว่าอยู่ในสภาพดี ไม่มีรั่ว หรือ ชำรุด
5.ระวังฟ้าผ่า :
ในวันฝนฟ้าคะนองหลีกเลี่ยง ไม่สวมใส่สิ่งของเครื่องประดับที่เป็นตัวนำไฟฟ้า
6.ระวังน้ำกัดเท้า เชื้อรา จากน้ำท่วมขัง :
ถ้าต้องเดินเหยียบน้ำท่วมขังนานๆ ควรล้างเท้าให้สะอาด ฟอกสบู่ทำความสะอาด และเช็ดให้แห้ง
7.ระวังลมพายุ อันตรายจากข้าวของปลิว หรือต้นไม้ ป้ายล้มทับ :
ไม่อยู่ใต้ต้นไม้ หรือป้ายขนาดใหญ่ ถ้ามีลมแรงควรหลบอยู่ในที่ปลอดภัยมิดชิด
8.ระวังเชื้อราจากเสื้อผ้าเปียกอับชื้น :
ทำความสะอาดเสื้อผ้าให้สะอาด และไม่สวมเสื้อผ้าที่อับชื้น เพราะอาจสะสมหมักหมมเป็นเชื้อราได้
9.ระวังภัยจากน้ำฝน :
เพราะเด็กมักชอบเล่นน้ำฝน แต่ฝนสมัยนี้ไม่สะอาดเหมือนแต่ก่อน ฝนมักชะล้างฝุ่นผง สิ่งสกปรกในบรรยากาศลงมาพร้อมกัน ทำให้อาจก่อให้เกิดอันตรายจากโรคภัยกับเด็กๆ ได้
10.ระวังอุบัติเหตุบนท้องถนน :
เพราะถนนลื่น ทำให้เกิดอุบัติเหตุกับรถยนต์ได้ง่าย ต้องระมัดระวังในการขับขี่เป็นพิเศษ ถ้าลูกเล็กให้ลูกนั่ง Car Seat ตลอดเวลาทุกครั้งที่ขึ้นรถ
คุณพ่อที่เข้มแข็งของเราก็มีมุมซึ้งๆ และเรื่องที่ไม่เคยบอกลูกและภรรยามาก่อนเช่นกัน และถ้าคุณรู้เรื่องที่พ่อแม่ไม่เคยบอก เชื่อเราว่าคุณจะร้องไห้
- ทุกครั้งที่มีปัญหาแล้วหนูเรียกหาแม่ "พ่อแอบเจ็บ" บางทีก็น้อยใจอยากให้หนูเรียกหาพ่อบ้าง อยากช่วยแก้ปัญหาให้ลูกบ้าง อย่ามองว่าพ่อเป็นคนนิ่งใจแข็งและไม่รู้สึกอะไรกับปัญหาของลูก เพราะพ่อรักหนูมากพอๆ กับที่แม่รักนั่นแหละ
- เวลาหนูเดินล้ม วิ่งล้ม ไม่ใช่พ่อไม่อยากเข้าไปอุ้มไปโอ๋ แต่บางทีพ่อก็ไม่รู้วิธีที่จะปลอบโยนหนูได้เหมือนที่แม่ทำ พ่อกลัวจะยิ่งทำให้หนูเจ็บจนไม่อยากเข้าใกล้พ่อ
- พ่อเป็นผู้ชายที่รู้วิธีเล่นไม่กี่อย่าง โยนหนูโยนขึ้นฟ้า จับแขนหนูเหวี่ยงหมุนเป็นวงกลม จับหนูตีลังกา... แต่แม่ไม่เข้าใจและดุพ่อเสมอว่าเล่นกับหนูแรงไปจนพ่อวางตัวไม่ถูก
- ทุกครั้งที่หนูหลับ หนูน่ารักสุด ๆ จนพ่ออยากนั่งมองหนูอยู่อย่างนั้นเพราะอยากให้หนูตื่นมาเจอหน้าพ่อเป็นคนแรก แต่ก็ต้องโดนแม่ดุอีกเพราะแม่กลัวพ่อจะไปกวนจนหนูตื่น
- พอรู้ว่ามีหนู พ่อพยายามหาสิ่งที่ดีที่สุดให้หนู แม้สิ่งนั้นจะต้องตามมาด้วยหนี้สินที่มากขึ้น ทำงานมากขึ้นจนไม่มีเวลาให้หนู แต่พอกลับบ้านเห็นหนูกับแม่ยิ้มให้และมีความสุขกับสิ่งที่พ่อสร้างไว้ ความเหนื่อยความเครียดก็หายไปหมดหัวใจพ่อแล้ว
- ไม่มีพ่อคนไหนอยากตีลูกหรอกนะ เพราะแค่คิดว่าจะลงโทษหนู แขนพ่อก็ไม่มีแรงเลยแม้แต่นิดเดียว ใจพ่อก็เจ็บกว่าที่หนูเจ็บเพราะโดนตีไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเท่า
- ตอนหนูไม่สบาย เจ็บหนัก พ่ออยากตะโกนร้องไห้ให้สนั่นโรงพยาบาล แต่ถ้าพ่อทำอย่างนั้นแล้วใครจะเป็นหลักที่เข้มแข็งมากพอปลอบแม่ที่กำลังร้องไห้ใจจะขาดอยู่ พ่อจึงต้องเข้มแข็งเพื่อดูแลหัวใจแม่ และส่งกำลังใจให้หนูจนสุดกำลังใจขอพ่อคนหนึ่งที่พอจะทำได้
- พ่อเตรียมใจไว้แล้วว่าเมื่อวันที่หนูโตขึ้น หนูจะยิ่งห่างพ่อมากขึ้น คุยกับพ่อน้อยลง หรือเราแทบจะเข้ากันไม่ได้เลยจนเราเหมือนเป็นคนแปลกหน้า แต่ขอให้มั่นใจว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่หนูหันหลังกลับมา หนูจะเห็นพ่อยืนอยู่ข้างหลังและยิ้มให้หนูเสมอ
- ที่รัก คุณอาจจะเคยพูดว่า อยากให้ผมเป็นคนตั้งท้องลูก คลอดลูกของเราเองบ้าง จะได้รู้ว่าเป็นเรื่องที่เหนื่อยและหนักหนาแค่ไหน แต่ถึงผมจะไม่สามารถทำอย่างที่คุณพูดได้ แต่ผมสัญญาว่าจะใช้ทั้งชีวิตชดเชยกับความยากลำบากของคุณเพื่อดูแลคุณและลูก ให้ดีที่สุดไปตลอดชีวิต
- ขอให้รู้ไว้เสมอว่าถึงพ่อจะบอกรักไม่บ่อย แสดงความรักไม่ค่อยเป็น แต่พ่อก็รักหนูมากไม่แพ้แม่ เพราะหนูคือคนที่ทำให้พ่ออยากมีชีวิตดีขึ้นทุกๆ วันโดยไม่สนใจว่าจะต้องฝ่าฟันกับความยากลำบากแค่ไหนก็ตาม

100 วิธีง่าย ๆ เลี้ยงลูกมีความสุขทุกวัน
ลูกคือดวงใจของคนเป็นพ่อแม่ มาดูวิธีง่าย แสนง่าย ของการสร้างความสุขให้กับลูกกันดีกว่า เชื่อว่าพ่อแม่ทุกคนทำได้แน่นอนค่ะ
บอกกับลูกตรงๆ ว่า
1.พ่อแม่รักลูก
2.ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นพ่อกับแม่ก็ยังคงรักลูก
3.พ่อแม่รักลูกแม้ว่าเวลาที่ลูกโกรธพ่อแม่
4.พ่อแม่รักลูกแม้ว่าเวลาพ่อแม่โกรธลูก
5.พ่อแม่รักลูกแม้ว่าเราอยู่ไกลกันความรักของพ่อและแม่ก็ยังส่งไปถึงลูกเสมอ
6.ถ้าจะให้พ่อแม่เลือกเด็กวัย 4, 5 หรือ 6 ขวบ.....ทั่วทั้งโลก พ่อแม่จะเลือกลูก
7.พ่อแม่รักลูกตั้งแต่พระจันทร์เดินทางไปรอบๆ ดวงดาวต่างๆ ทุกดวง ไปรอบโลกและกลับมาอีกครั้งหนึ่ง
8.ขอบคุณพระเจ้า/สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ลูกเกิดมาเป็นลูกของพ่อแม่
9.พ่อแม่ดีใจที่ได้เล่นกับลูกวันนี้
10.ช่วงที่มีความสุขในวันนี้คือตอนที่พ่อแม่เล่นกับลูก
เล่าเรื่อง
11.เล่าเรื่องตอนลูกเกิดให้ลูกฟัง
12.เล่าให้ฟังว่าเรากอดลูกอย่างไรตอนลูกยังเป็นทารก
13.เล่าว่าได้ชื่อลูกมาอย่างไร
14.เล่าให้ลูกฟังว่าตอนที่อยู่ในช่วงวัยเดียวกันกับลูกพ่อแม่เป็นอย่างไร
15.เล่าเรื่องคุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยายและคุณพ่อคุณแม่พบรักกันได้อย่างไร
16.บอกลูกว่าเราชอบสีอะไร
17.เมื่อจับมือลูกและบีบ 3 ครั้งนั่นเป็นโค้ดลับว่า พ่อแม่รักลูก
18.เล่าให้ลูกฟังว่าบางครั้งพ่อแม่ก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน
19.บอกลูกว่าแผนการในอนาคตของครอบครัวที่วางไว้คืออะไร
20.ผลัดกันเล่าว่าวันนี้พ่อแม่ทำอะไรบ้าง และวันนี้ลูกทำอะไรบ้าง
เล่นด้วย
21.เกมแตะแข็ง
22.หมากเก็บ
23.ตี่ จับ
24.ลิงชิงบอล
25.ทดสอบความจำ
26.รี รี ข้าวสาร
27.สายลับ หาอะไรที่ซ่อนอยู่
28.บก น้ำ อากาศ
บทบาทสมมติ
29.จับจูบที่ลูกส่งให้แล้วเอาไปหอมแก้มลูกอีกครั้ง
30.เล่นจั๊กจี้กับลูก
31.ตบมือ ไฮไฟ (High Five) ทำทีว่าลูกมีกำลังมากจริง ๆ จนเกือบจะทำพ่อแม่ล้ม (High Five คือการตบมือด้วยมือข้างใดข้างหนึ่งกับผู้อื่นเมื่อประสบความสำเร็จหรือพอใจอะไรบางอย่าง)
32.สำรวจโลกมหัศจรรย์ใหม่ นั่นคือสวนหลังบ้าน
33.สมมติว่าจัดเลี้ยงที่บ้าน
34.เล่นเป็นตัวตลกกัน
พยายาม
35.นอนหลับให้เพียงพอ
36.ดื่มน้ำให้เพียงพอ
37.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
38.ใส่ชุดที่จะทำให้ลูกรู้สึกมั่นใจและสบาย
39.หาคำปรึกษา หรือพัฒนาตนเองจากแหล่งความรู้ต่างๆ
40.ใช้วิธีสัมผัสที่ยิ่งใหญ่มากกว่าการพูดบางสิ่งบางอย่าง
41.เต้นรำกับลูก
42.ให้ลูกเลือกดนตรีที่ชอบในรถ
43.ทำท่าตีลังกา ใช้หัวยืนแทนเท้า ให้ลูกดู
44.เมื่อเห็นงานที่ต้องทำ เข้าช่วยหรือช่วยทำความสะอาดทันที
45.ใช้เสียงที่นุ่มนวลสุภาพกับลูกเสมอ
46.อ่านเรื่องและคำกลอนตลกๆ ด้วยกัน
47.อ่านนิทานร่วมกัน
48.อ่านหนังสือที่สมัยเด็กที่เราชอบให้ลูกฟัง
49.อ่านเรื่องตามเวปที่มีนิทานที่เด็กชอบ
50.อ่านหนังสือใต้ต้นไม้
51.พาลูกไปอ่านหนังสือที่มุมเด็กในห้องสมุดด้วยกัน
52.คุยเรื่องตัวการ์ตูนที่ลูกชอบแต่เราอาจไม่สนใจเท่าไหร่นัก
53.เมื่อถึงอายุที่เหมาะสมเล่าเรื่องจริงที่เหมาะกับพัฒนาการ
นักฟังที่ดี
54.ฟังเรื่องที่ลูกเล่าในรถ
55.ฟังเรื่องที่ลูกเล่าขณะที่ลูกต่อไม้บล็อก หรือเล่นตัวต่อ
56.ตอบคำถามหรือช่วยต่อยอดความคิดให้ลูก
57.อดทนฟังอย่างตั้งใจเมื่อลูกพูด
58.ฟังความรู้สึกของลูกเมื่อลูกพูด
ตั้งคำถาม
59.ทำไมถึงคิดว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้น
60.ลูกคิดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นถ้าหากว่า.........
61.เราจะหาคำตอบได้อย่างไร
62.ลูกคิดอย่างไรกับ......
63.ลูกชอบช่วงไหนในวันนี้มากที่สุด
64.ที่โต๊ะอาหาร ลูกชิมแล้วรู้สึกว่าอาหารมีรสชาติอย่างไร.....
ทำให้ดู
65.ทำให้ลูกดูว่าทำอย่างไร ไม่ใช่ห้ามไม่ให้ทำ
66.พ่อแม่พูดจาสุภาพเรียบร้อยทั้งกับลูกและซึ่งกันและกัน
67.สลับบัตรคำในมือ และทำให้เป็นเหมือนสะพานโค้งถ้าทำได้
68.วิธีตัดผักผลไม้ อย่างปลอดภัย
69.วิธีการทำงานบ้านที่ถูกต้อง เช่น พับผ้า ล้างจาน
70.ดูคู่มือ วิธีใช้เมื่อไม่รู้คำตอบ
71.พ่อแม่แสดงความรักและความห่วงใยต่อกัน
72.การดูแลตัวเองให้สะอาดอยู่เสมอ
ใช้เวลากับ
73.การซ่อมแซมของเล่น
74.ใกล้ชิดกับธรรมชาติ
75.ให้ลูกช่วยผสมส่วนประกอบของอาหาร
76.ไปเดินเล่นด้วยกัน
77.ขุดดินปลูกต้นไม้ด้วยกัน
78.ทำกิจกรรมต่างๆร่วมกันตามระดับความสามารถของลูก
79.นั่งเล่นกับลูกๆ
ไว้วางใจ
80.บอกลูกว่าเขาสามารถทำได้
81.บอกว่าคุณเป็นพ่อแม่ที่เหมาะกับลูกจริงๆ
82.บอกลูกว่าแค่มีพ่อกับแม่ก็เพียงพอ
83.พ่อและแม่จะทำสิ่งที่ดีและเหมาะสมกับครอบครัวเรา
เสริมกำลังใจลูก
84.สร้างความแปลกใจโดยการทำความสะอาดห้องให้ลูก
85.ชมว่าขนมปังที่ลูกทาแยมอร่อยมาก
86.เขียนโน้ตส่งความรักให้ลูกในกล่องอาหารกลางวัน
87.ทำอาหารว่างเป็นรูปรอยยิ้ม
88.ทำเสียงประกอบขณะทำกิจกรรมช่วยกับลูก
89.นั่งเล่นที่พื้นกับลูก
ลืมเรื่องเหล่านี้
90.ความผิด
91.คิดทางลบว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น
92.ตอนถูกเสมอ
ให้
93.การมองลูกด้วยสายตาที่อ่อนโยน
94.ยิ้มให้เสมอเมื่อลูกเดินเข้ามาหาเรา
95.สัมผัสลูกเมื่อลูกสัมผัสเรา
96.สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นก่อนที่จะลงวินัยกับลูก หรือแก้ไขลูกเพื่อลูกจะเข้าใจในสิ่งที่เราทำ
97.เปิดโอกาสให้ลูกได้ระบายสิ่งที่คับข้องใจทุกเรื่อง
98.เล่นฉีดน้ำกับลูกในวันที่อากาศร้อน
99.กอดลูกบ่อยๆ
100...............................ข้อนี้ให้คุณพ่อคุณแม่คิดแล้วเติมเองนะคะ
ถึงแม้ว่าข้อต่างๆ เหล่านี้ดูสั้นๆ ทำง่ายๆ และดูเหมือนจะมีบางข้อที่มีวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามามีส่วนอยู่บ้าง แต่ถ้าหากคุณพ่อคุณแม่สามารถทำให้ลูกสัมผัสถึงความรักได้ไม่ว่าจะเป็นข้อที่คิดขึ้นเองหรือทำตาม/ดัดแปลงจากทั้ง 100 ข้อนี้ ความรักที่ลูกได้รับจากพ่อแม่จะถูกเก็บสะสมไว้ในใจและในความทรงจำของลูกเสมอเพื่อที่เมื่อลูกโตเป็นผู้ใหญ่ลูกจะสามารถมอบความรักเหล่านี้กลับไปสู่ตัวเอง ผู้อื่นและธรรมชาติที่อยู่รอบข้างได้ โลกนี้คงน่าอยู่ขึ้นแยะหากเรารู้จักรักและแบ่งปัน เป็นกำลังใจให้ทุกครอบครัวเสมอค่ะ
มารยาท 14 เรื่อง ที่ควรสอนลูก แล้วลูกจะมีแต่คนรักคนเอ็นดูไปจนโต
เด็กจะเติบโตมาเป็นคนแบบไหน ก็ขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดู ดังนั้นพ่อกับแม่หรือผู้ปกครองต้องสอนมารยาทขั้นพื้นฐานให้เด็กๆ รู้นะคะ เพราะเด็กที่มีมารยาทก็จะมีแต่คนรักคนเอ็นดู โตไปมารยาทเหล่านี้ก็จะติดตัวเขาไปจนโตเลยค่ะ
14 มารยาทที่ควรสอนลูก
1. เมื่อลูกต้องการทำสิ่งใด ควรขออนุญาตก่อนเสมอ
2. เมื่อได้รับสิ่งใดที่เป็นที่ต้องการ หรือมีคนช่วยคุณทำอะไรบางอย่าง ควรกล่าวขอบคุณทุกครั้ง
3. ไม่ขัดจังหวะเมื่อผู้ใหญ่กำลังพูดคุยกัน ควรรอให้ผู้ใหญ่พูดจบก่อน ไม่ควรพูดแทรกนั่นเอง
4. ถ้าต้องการเข้าบทสนทนาร่วมกันกับคนอื่น ควรพูดว่าขอโทษนะคะ/ขอโทษนะครับ เพื่อเรียกให้ผู้อื่นสนใจ
5. สอนเรื่องการใช้คำพูดให้เหมาะสมกับผู้ใหญ่ เช่น ครับ/ค่ะ
6. ไม่วิจารณ์ลักษณะทางกายภาพของผู้อื่นในเชิงลบ และไม่ล้อเลียนข้อด้อยของผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือผู้ใหญ่
7. ถ้าไปเล่นบ้านเพื่อนหรือไปทานข้าวบ้านเพื่อน ก่อนกลับควรกล่าวขอบคุณพ่อแม่ของเพื่อนด้วย
8. ก่อนเปิดประตูห้องคนอื่นควรเคาะเพื่อให้สัญญาณก่อนทุกครั้ง และควรเข้าไปเมื่อได้รับอนุญาตเท่านั้น
9. ถ้าต้องการโทรไปหาใครแล้วมีผู้รับสาย ควรจะบอกชื่อตัวเองก่อนเสมอ ก่อนที่จะขอสายคนที่จะคุยด้วยค่ะ
10. ไม่ควรเรียกผู้ใหญ่ด้วยชื่ออย่างเดียว ควรมีคำนำน้าเสมอ เช่น ลุง ป้า น้า อา คุณตา คุณยาย แล้วตามด้วยชื่อเสมอ
11. เมื่อต้องนั่งฟังการอบรมจากผู้ใหญ่ควรนั่งเฉยๆ และตั้งใจฟังให้จบ ถึงเรื่องที่ฟังจะน่าเบื่อแค่ไหนก็ตาม
12. ปิดจมูกและปากเสมอเมื่อต้องการไอหรือจาม
13. ถ้าเจอพ่อแม่เพื่อน หรือญาติผู้ใหญ่ทำงานบ้านอยู่แถวนั้น คุณควรเสนอตัวเข้าไปช่วย โดยถามว่ามีอะไรให้ช่วยไหมคะ/ครับ
14. เมื่อทานข้าวร่วมกันควรใช้ช้อนกลางตักอาหาร ใช้ช้อนหรือช้อนส้อมให้ถูกต้อง และไม่พูดวิจารณ์เรื่องรสชาติอาหารบนโต๊ะโดยเด็ดขาด
------------------------------------------------------------------------------
ตัวช่วยสำหรับคุณพ่อคุณแม่ แก้ปัญหา ปรับพฤติกรรมให้เด็กๆ ได้ด้วย ชุดหนังสือนิทานและเกมพัฒนาทักษะ EF พร้อมรับฟรี!! กิจกรรมสนุกๆ และเกมเล่นล้อมรัก รวมมูลค่ากว่า 3,000 บาท
สินค้ามีจำนวนจำกัด ขอสงวนสิทธิ์เปลี่ยนแปลงของสมนาคุณตามเงื่อนไขของบริษัทฯ
สอบถามและสั่งซื้อสินค้าได้ที่ Line@ : @raklukeselect (คลิกที่ภาพได้เลยค่ะ)