facebook  youtube  line

5 คำพูดที่พ่อแม่ไม่ควรเอ่ย เมื่อลูกกำลังวิตกกังวลกลัวบางอย่าง

การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก-พูดทำร้ายจิตใจลูก- 5 คำพูดที่ไม่ควรพูดเมื่อลูกวิตกกังวล 

คำพูดของพ่อกับแม่นั้นมีผลต่อจิตใจและพัฒนาการของลูกมาก และถ้าหากพูดทำร้ายจิตใจลูกก็จะส่งผลเสียระยะยาว ยิ่งตอนที่ลูกกลัวบางอย่าง เช่น กลัวความมืด กลัวผี กลัวสัตว์ต่าง ๆ กลัวการเข้าโรงเรียน เป็นต้น ก่อนที่พ่อกับแม่จะพูดอะไรต้องคิดให้ดี และนึกถึงจิตใจของลูกให้มาก ๆ ค่ะ

5 คำพูดที่ไม่ควรพูด เมื่อลูกกลัวจนวิตกกังวล
  1. เชื่อแม่เหอะเดี๋ยว มันจะไม่เป็นไร! คำพูดนี้มันตรงข้ามกับใจลูก มันจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่นี่คือสิ่งที่ลูกคิด ดังนั้นนั่งอยู่กับลูกสักพัก คุยกันว่าทำไมลูกถึงกลัว ให้กำลังใจลูก ให้ความเห็นทางบวกให้แตกต่างจากสิ่งที่ลูกคิดแล้วลูกจะเชื่อแม่จากใจจริงๆ

  2. ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัว! เมื่อลูกกำลังกลัว วิตกกังวลอยู่ภายในจิตใจ คำพูดนี้เหมือนการบอกปัดไม่อยากรับรู้เรื่องราวของลูก แม้จะเป็นการกลัวเล็กๆ น้อยๆ ก็มีผลกับใจลูกมาก ควรถามลูกอย่างเอาใจใส่ สนใจสิ่งที่ลูกเล่า และให้คำแนะนำที่มีทางเลือกให้ลูกตัดสินใจเอง        

  3. เดี๋ยวแม่จะบอกเหตุผลร้อยแปดเหตุผล ที่บอกลูกว่าลูกไม่ต้องกลัว! ลูกรู้ว่าพ่อและแม่พูดถูก แต่ตอนนี้ลูกมีความรู้สึกวิตกกังวลมากและกลุ้มใจในสิ่งนั้น จนไม่สามารถคิดอย่างชัดเจนได้ คำพูดนี้เหมือนการพูดไปลอยๆ แต่ไม่ได้บอกเหตุผลมากมายอย่างนั้นจริงๆ ควรให้คำแนะนำลูกเลย อย่าบอกปัดและเดินหนีไป

  4. หยุดเป็นคนขี้วิตกกังวลสักที! นี่คือคำพูดที่ทำให้ลูกรู้สึกแย่กว่าเดิม ลูกก็อยากจะหยุดความวิตกกังวลนี้เหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร คำพูดแบบนี้ยิ่งทำให้ลูกกลัว

  5. พ่อแม่ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมลูกถึงกลัวมากขนาดนั้น! การพูดแบบนี้ยิ่งแย่ไปกว่าเดิม เหมือนการดูถูกความรู้สึกลูกด้วย ลูกรู้ว่าพ่อแม่ไม่เข้าใจ แต่ลูกอยากให้พ่อแม่พยายามเข้าใจ ว่าลูกกำลังเผชิญอะไรอยู่ ดังนั้นการพูดคุยกันกับลูกให้มากๆ คือทางออกที่ดีจะได้เข้าใจลูกด้วย

รู้แบบนี้แล้ว อย่าเผลอพูดทำร้ายจิตใจลูกอีกนะคะ เราต้องให้กำลังใจใช้เหตุผลพูดคุยกันถึงปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อหาทางออกร่วมกัน แล้วพูดกับลูกว่า พ่อแม่จะอยู่เคียงข้างหนู ไม่ต้องกลัว หนูรู้สึกอย่างไรให้พูดกับพ่อแม่ได้ตลอดเวลา พ่อแม่จะพร้อมรับฟังลูกเสมอค่ะ


 

5 คำพูดที่ลูกอยากได้ยินจากแม่

 
 การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก

คุณแม่คงลืมไปเลยใช่ไหมละคะว่า “คำพูด” นั้นเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ลูกอยากได้ยินจากปากของแม่ รู้หรือไม่ว่าคำพูดก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้จิตใจของลูก พร้อมที่จะเผชิญปัญหาที่ลูกอาจจะไม่เคยบอกคุณมาก่อน เห็นแบบนี้แล้วลองดูคำพูดที่ลูกมักอยากจะได้ยินว่ามีอะไรกันบ้าง

5 คำพูดที่ลูกอยากได้ยินจากแม่

1.แม่ยังคง “รักลูก” นะ  

เชื่อเถอะว่าร้อยทั้งร้อย ลูกอยากได้ยินคำนี้จากปากของพ่อแม่มากที่สุด เพราะลูกไม่รู้หรอกว่าคุณพ่อคุณแม่รู้สึกอย่างไร เป็นเรื่องปกติสำหรับคุณแม่ที่บอกรักลูก แต่สำหรับคุณพ่ออาจจะเป็นเรื่องที่ยาก แต่..ถ้าหากได้บอกกับลูกไปแล้ว บอกได้เลยว่ามันคุ้มค่าเกินกว่าที่นึกคิดไว้แน่นอน

2.แม่ “ขอโทษ” นะลูก

การขอโทษบางครั้งมันยากที่จะพูดออกไป ถ้าหากคุณพ่อคุณแม่ทำผิดกับลูก ก็อย่ามัวคิดแต่ว่า ไม่ขอโทษลูกก็ไม่เป็นไร ยิ่งคุณพ่อแล้วการบอกขอโทษลูกอาจจะยากกว่าคุณแม่เสียอีก แต่คำขอโทษจากปากของคุณพ่อคุณแม่ ยังเป็นการสอนลูกในการยอมรับความผิดที่ได้ทำลงไปอีกด้วย                                                                               

3.แม่ “ภูมิใจ” ในตัวลูก

คำพูดนี้อาจจะเป็นคำพูดธรรมดาสำหรับคุณพ่อคุณแม่ แต่จริงๆ แล้วคำพูดนี้มีความหมายสำหรับลูกอย่างคาดไม่ถึง เพราะมันจะเป็นพลังทั้งกายและใจให้ลูกได้อย่างน่ามหัศจรรย์เลยทีเดียว

4.แม่ “ยอมรับ” ในสิ่งที่ลูกเป็น

คุณพ่อคุณแม่หลายๆ คนอาจจะหวังให้ลูกเป็นในแบบที่ต้องการ แต่ในทางกลับกันลูกอยากเป็นในสิ่งที่คุณต้องการหรือเปล่า หลายคนอาจจะบังคับลูกให้เป็นในแบบนี้ แต่เชื่อเถอะ การให้ลูกเลือกในสิ่งที่ลูกอยากเป็น และยอมรับในสิ่งที่ลูกเป็นนั้น ลูกจะมีอนาคตที่ดี

5.ลูกคือ “คนสำคัญ” ของแม่นะ

ทุกคนก็อยากเป็นคนสำคัญกันทั้งนั้น โดยเฉพาะลูกของคุณที่อยากให้ตัวเองเป็นคนสำคัญสำหรับคุณพ่อคุณแม่ แต่จะมีซักครั้งบ้างไหมที่ลูกจะได้ยินคำนี้ ลองบอกลูกดูซักครั้งแล้วจะรู้เลยว่าคำนี้มีค่ามหาศาล

คำพูดเหล่านี้คุณพ่อคุณแม่อาจจะมองว่าเป็นคำพูดที่ธรรมดา จนมองข้ามมันไป แต่ในความคิดของลูกนั้นไม่ใช่แบบนั้นเลย ลองนำไปปรับใช้ที่บ้านกันดูนะคะ 

 

..คำพูดแสนวิเศษที่ออกมาจากใจของคุณพ่อคุณแม่ 

..สร้างพลังให้ลูกมากมายเหลือเกิน

 

5 จุดอ่อนเด็กไทย ที่พ่อแม่ต้องช่วยปรับปรุง มากกว่าการตั้งคำถามหรือตำหนิลูก

การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก 

จุดอ่อนของเด็กไทยที่ทำให้คนเป็นพ่อกับแม่บ่นด้วยความเหนื่อยใจว่า "ทำไมลูกเป็นคนแบบนี้นะ" แต่ลองเปลี่ยนจากตั้งคำถามมาเป็นการสังเกตลูกดีไหมคะ ว่าจุดอ่อนเขาคืออะไร เราควรจะส่งเสริมหรือปรับปรุงอย่างไรให้เหมาะกับตัวเขา มาดูจุดอ่อนของเด็กทั้ง 5 ข้อและวิธีแก้ไขกันเลยค่ะ

5 จุดอ่อนเด็กไทย 
  1. ลูกขาดภาวะผู้นำ สิ่งที่พ่อแม่ควรทำ คือ สร้างความมั่นใจให้กับลูกตั้งแต่เล็ก ด้วยการมอบความรัก ความอบอุ่น และความเข้าอกเข้าใจลูก เพราะเมื่อเด็กเกิดความมั่นคงทางอารมณ์และจิตใจ ก็จะทำให้เชื่อมั่นในตนเอง จากนั้นก็พยายามกระตุ้นให้เขาได้คิดบ่อยๆ สนับสนุนความคิดบางอย่างเพื่อให้เขาได้กล้าที่จะลุกขึ้นมาทำด้วยตัวเองก่อน จากนั้นก็ค่อยๆ ฝึกให้เขาเป็นผู้นำจากเรื่องเล็กๆ และค่อยๆ เพิ่มน้ำหนักให้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เพื่อเสริมความเป็นผู้นำให้ลูก อาจมอบหมายให้ลูกทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยตนเอง และควรชื่นชมเมื่อลูกทำสำเร็จ

  2. ลูกไม่กล้าแสดงออก สิ่งที่พ่อแม่ควรส่งเสริม คือเปิดโอกาสให้ลูกได้แสดงความคิดเห็นบ่อยๆ เพื่อกระตุ้นให้เด็กฝึกคิดและแก้ปัญหาได้ เมื่อเขาทำได้และได้รับการยอมรับ เขาจะกล้าแสดงออกและมั่นใจในตัวเองมากขึ้น

  3. ลูกไม่กล้าปฏิเสธ ปัญหานี้จะส่งผลเสียตามมามากมายเมื่อเขาเติบโตขึ้น ต้องรีบฝึกตั้งแต่ยังเล็ก สิ่งที่พ่อแม่ควรทำคือ ฝึกให้ลูกปฏิเสธให้เป็น เมื่อเจอสถานการณ์ที่ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม ไม่อยากทำ และค่อยๆ เพิ่มระดับการปฏิเสธด้วยการพูดคุยและสมมติสถานการณ์ต่างๆ เพิ่มเติมด้วยก็ได้

  4. ลูกไม่มีความอดทน ล้วนเกิดขึ้นเพราะตามใจตั้งแต่แรก มาแก้ไขกันเลยค่ะ สิ่งที่พ่อแม่ควรทำคือ อย่าตามใจลูกเด็ดขาดและห้ามใจอ่อนเพราะลูกจะเคยตัว หากลูกอยากได้อะไร อย่าพึ่งซื้อให้ ให้เขาอดทนรอไปก่อน หรือให้เก็บเงินซื้อเองแล้วพ่อกับแม่ออกเงินให้ครึ่งหนึ่ง หากลูกทำอะไรไม่ได้ดั่งใจอย่ารีบเข้าไปทำให้ลูก ปล่อยให้เขาพยายามด้วยตัวเขาเองก่อน ฝึกไปทีละนิดความอดทนเขาจะมากขึ้นเอง

  5. ลูกเรียนไม่เก่ง สิ่งที่พ่อแม่ควรทำคือ อย่าบังคับลูกเรียนพิเศษ หรือกดดันให้เขาทำผลการเรียนให้ดีขึ้นในทันที แต่คอยสังเกตุว่าเขาชอบวิชาอะไร ทำอะไรได้ดีก็สนับสนุนเขา ชมในสิ่งที่เขาทำได้ดีเพื่อเป็นกำลังใจให้เขาไม่ท้อ อะไรที่ทำได้ไม่ดีก็คอยช่วยเขาค่อยๆ แก้ไข หากไม่ได้จริงๆ ก็แค่เอาตัวรอดให้ได้ และไปทำในสิ่งที่ทำได้ดีก็พอ เชื่อเถอะว่ากำลังใจจากพ่อกับแม่จะทำให้ลูกทำอะไรดีๆ ได้มากมายกว่าที่พ่อกับแม่คิด

5 ทิปส์ช่วยให้ลูกเป็นเด็กมีสมาธิ เมื่อต้องฝึกลูกอ่านเขียน

 
การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก 

พ่อแม่หลายคนมีปัญหาเมื่ออยากจะเริ่มสอนลูกอ่าน เขียน หรือทำการบ้าน แต่ลูกไม่มีสมาธิ หรือไม่สนใจที่จะเรียนรู้ แตกต่างจากเวลาอยู่ที่โรงเรียน ก่อนอื่นพ่อแม่ต้องทำความเข้าใจว่าเด็กในวัยนี้แตกต่างจากผู้ใหญ่ เขามีความสนใจอยากรู้อยากเห็นเรื่องต่าง ๆ ตลอดเวลา เมื่อสิ่งที่ทำไม่น่าสนใจหรือมีอย่างอื่นให้ทำให้เล่น ลูกก็จะหันไปทำอย่างอื่นแทน ทำให้ดูเหมือนว่ามีสมาธิจดจ่อได้น้อย ซึ่งแตกต่างจากผู้ใหญ่ แล้วจะมีเทคนิค เคล็ดลับสร้างสมาธิให้ลูกวัยนี้อย่างไรได้บ้าง    

5 ทิปส์ช่วยให้ลูกเป็นเด็กมีสมาธิ เมื่อต้องฝึกลูกอ่านเขียน  
  1. เล่นเกมที่เหมาะสมกับลูก

เล่นเกมฝึกสมาธิเกมเป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของลูกได้ดี การเลือกเกมที่เหมาะสมมาเล่นกับลูกจะช่วยฝึก หรือกระตุ้นให้ลูกมีสมาธิเพิ่มขึ้น เช่น เกมจับผิดภาพ หาภาพที่แตกต่าง เกมต่อจิ๊กซอว์ หรือการต่อเลโก้ อาจจะเริ่มจากเกมง่าย ๆ ที่ใช้เวลาในการเล่นไม่นาน แต่ควรเล่นให้จบเพื่อให้ลูกเรียนรู้ที่จะมีสมาธิจดจ่อจนสำเร็จลุล่วง  

2. ทำบ้านให้สงบ

ตัดสิ่งรบกวนสิ่งแวดล้อมก็มีส่วนสำคัญกับสมาธิ ลองทำบ้านให้เงียบลง ปิดทีวี ไม่เดินไปเดินมา ส่งเสียงดังรบกวน ปรับไฟ ปรับแสงในบ้านให้สว่างพอดี และเลือกเปิดเพลงคลอเบา ๆ ระหว่างลูกอ่านหนังสือหรือทำการบ้าน จะช่วยให้ลูกมีสมาธิดีกว่าให้เงียบสนิทไปเลย  

3. ลดหรืองดดูทีวี

เล่นมือถือ การให้ลูกดูทีวี หรือเล่นมือถือ แท็บเล็ตนานเกินไป ก็ทำให้ลูกขาดสมาธิได้ เพราะภาพจากหน้าจอที่เปลี่ยนไปมาจะกระตุ้นให้จดจ่อมีสมาธิได้น้อยลง ถ้าให้ลูกงดดูทีวีไม่ได้ลองปรับเวลาให้ลูกดูทีวีหรือเล่นมือถือ แท็บเล็ตเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ต่อวัน ประมาณวันละ 30-45 นาทีต่อวันพอ และชวนลูกทำกิจกรรมอย่างอื่นแทน   

4. เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์

อาหารก็สำคัญกับสมาธิของลูก ควรหลีกเลี่ยงขนมขบเคี้ยว น้ำหวาน หรืออาหารที่มีน้ำตาลสูง ซึ่งส่งผลต่อสมองและการเรียนรู้ของลูก ควรให้ลูกรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น ไข่ ถั่ว นม และผักผลไม้  

5. กำหนดเป้าหมายสั้นๆ 

กำหนดเป้าหมายสั้น ๆ ในผู้ใหญ่มีสมาธิเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 42 นาที แต่สมาธิในเด็กจะสั้นกว่าผู้ใหญ่ อาจจะอยู่ที่ 15-20 นาที ดังนั้นถ้าจะให้ลูกมีสมาธิทำอะไรควรกำหนดเป้าหมาย หรืองานให้ลูกทำในระยะเวลาสั้น ๆ ที่คาดว่าลูกจะทำได้ เช่น ถ้าให้ทำการบ้านอาจจะให้ลูกทำแค่ 1 บทเรียนสั้น ๆ หรือให้วาดรูป ระบายสี 1 หน้า เพราะยิ่งพยายามบังคับให้ลูกทำเกินเวลาไป สมาธิจดจ่อของลูกก็ยิ่งน้อยลง และอาจทำให้รู้สึกไม่ชอบการเรียนได้ค่ะ

 

 

 

5 ยาอันตรายที่คุณแม่ไม่ควรซื้อให้ลูกเอง

ยา-ยาอันตราย-ยาที่เด็กห้ามกิน-ยาเด็ก-ยาสำหรับเด็ก 

แม่หลายคนที่ต้องการซื้อยารักษาอาการป่วยให้ลูกเอง เพราะคิดว่าสะดวกเเละรวดเร็วกว่าการพาไปตรวจอาการที่โรงพยาบาล แต่คุณแม่ทราบไหมคะว่าการเลือกซื้อยาเอง อาจทำให้เกิดความเสี่ยงหรือตัวยาบางชนิดอาจเป็นอันตรายกับลูกได้ จะมียาอะไรบ้างที่อันตรายไม่ควรซื้อให้ลูกบ้างไปดูกันเลยค่ะ  

5 ยาอันตรายที่คุณแม่ไม่ควรซื้อให้ลูกเอง
  1. ยากลุ่มซัลฟา
  • เป็นยาต้านมาลาเรีย สังเกตหากลูกมีโรคประจำตัวจะทำให้เกิดโรคโลหิตจางตามมา
  1. ยากลุ่มเตตร้าไซคลิน หรือ ยาคลอแรมเฟนิคอล
  • เป็นยาฆ่าเชื้อ เช่น ด็อกซีไซคลิน ห้ามใช้กับเด็กอายุต่ำกว่า 8 ขวบ เพราะยากลุ่มนี้อาจมีผลทำให้สีของฟันมีสีดำอย่างถาวร และจะทำให้กระดูกหยุดการเจริญเติบโต
  1. ยากลุ่มแอสไพริน
  • เป็นยาบรรเทาอาการปวด ห้ามใช้กับเด็กอายุต่ำกว่า 8 ขวบ และสำหรับเด็กที่ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ หรืออีสุกอีใส ควรระวังในการใช้ยาแอสไพริน เนื่องจากอาจทำให้เกิดรายส์ ซินโดรม (Reye’s syndrome) ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
  1. ยากลุ่มโลเพอราไมด์
  • เป็นยาบรรเทาอาการท้องเสีย ห้ามใช้กับเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี และผู้สูงอายุ เพราะยากลุ่มโลเพอราไมด์ อาจส่งผลข้างเคียง ทำให้ปากแห้ง อาเจียน ปวดท้อง และท้องผูก
  1. ยากลุ่มเดกซ์โทรเมทอร์แฟน
  • เป็นยาบรรเทาอาการไอ ห้ามใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ เพราะยาบรรเทาอาการไอกลุ่มนี้ อาจส่งผลข้างเคียงกับระบบการหายใจได้

ข้อสังเกตก่อนให้ลูกกินยา

  1. หมั่นจดชื่อยาที่ลูกเคยแพ้ - หากลูกเคยแพ้มาก่อน เช่น เกิดอาการเป็นผดผื่นลมพิษ เมื่อใช้ซ้ำอาการแพ้อาจรุนแรงกว่าเดิม
  2. ห้ามใช้ยาสำหรับผู้ใหญ่กับเด็ก - เพราะเด็กภูมิคุ้มกันไม่เท่ากับผู้ใหญ่ หากใช้ยาเกินขนาด อาจทำให้กระเพาะลูกเป็นแผลได้
  3. สังเกตวันผลิตและวันหมดอายุของยา - ยาหมดอายุนอกจากฤทธิ์ยาในการรักษาจะเสื่อมลงแล้ว ตัวยาที่กินเข้าไปยังเป็นพิษกับร่างกายอีกด้วย

Tips

  • ควรใช้ยาเท่าที่จำเป็น ไม่ซื้อยาเอง และไม่เชื่อตามคำโฆษณา
  • ปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรในการใช้ยาทุกครั้ง
  • ให้รายละเอียดกับแพทย์ หรือเภสัชเกี่ยวกับประวัติการแพ้ยาของลูก
  • อ่านฉลากให้ละเอียดทุกครั้งก่อนใช้ยา

5 วิธีขับรถรับ-ส่งลูกอย่างไรให้ปลอดภัยช่วงหน้าฝน

การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก 
ช่วงนี้เป็นช่วงเปิดเทอม แถมยังเป็นช่วงหน้าฝนอีก พ่อแม่หลายคนที่ต้องขับรถรับ-ส่งลูกไปโรงเรียนก็ต้องระวังกันให้มากนะคะ เพราะฝนตกจะทำให้ถนนลื่นจนเกิดอุบัติเหตุได้ แต่ถ้าคุณอยากขับขี่รถไปรับไปส่งลูกอย่างปลอดภัย มาดูเทคนิคง่ายๆที่เรานำมาฝากได้เลยค่ะ
5 วิธีขับรถรับ-ส่งลูกอย่างไรให้ปลอดภัยช่วงหน้าฝน

1.เช็กสภาพรถทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน

ควรตรวจสอบยางรถยนต์ว่าดอกยางยังคงมีเหลือเพียงพอสำหรับเกาะพื้นถนนหรือไม่  และเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนทุกครั้งหากมีคราบน้ำเกาะอยู่ เพราะจะทำให้มองถนนชัดขึ้น

2.ใช้สัญญาณไฟให้ถูกต้อง

หากฝนตกขณะขับรถควรเปิดไฟหน้าควบคู่ไว้แม้จะเป็นตอนกลางวัน เพื่อให้รถคันอื่นสังเกตเห็นรถของเรา และจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยได้ด้วยค่ะ

3.เว้นระยะห่างคันหน้าไว้ให้มากขึ้น

ขับขี่รถช่วงหน้าฝนที่ถนนลื่น ควรเว้นระยะห่างไว้ เพราะถ้าหากเบรครถกะทันหันจะได้ไม่เกิดการชนรถคันหน้าได้

4.เลี่ยงการขับรถลุยน้ำ

หากเจอแอ่งน้ำควรจะขับรถเลี่ยงไปทางอื่น หากเลี่ยงไม่ได้จริงๆก็ควรชะลอความเร็วเพื่อป้องกันการเสียหลักและเสียการควบคุมค่ะ

5.หาที่จอดรถหากฝนตกหนัก

หากขับรถอยู่ดีๆแล้วฝนเกิดเทลงมาอย่างหนักแล้วไม่สามารถมองเห็นทางได้ ควรจะหาที่จอดรถเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายไว้ด้วยนะคะ

 

ตรวจสภาพรถเบื้องต้นต้องทำอย่างไรบ้าง

1.ตรวจดูรอยรั่วซึมภายในรถตามที่ต่างๆ รวมถึงตรวจระดับของเหลวภายในเครื่องด้วย

2.ตรวจสอบระบบไฟ ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเลี้ยวฯลฯ เพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ

3.เตรียมอุปกรณ์ที่ใช้ในยามฉุกเฉินให้พร้อม เช่น ล้ออะไหล่ ไฟฉาย เป็นต้น

Tip: คาดเข็มขัดนิรภัยให้ลูก และของคุณพ่อคุณแม่ก่อนขับขี่รถด้วยนะคะ

 

อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ แต่ก็ป้องกันได้เหมือนกัน หากคุณพ่อคุณแม่คนไหนที่ต้องขับรถไปรับไปส่งลูกที่โรงเรียนทุกวันก็อย่าลืมทำตามคำแนะนำดีๆ เพื่อความปลอดภัยของลูกรักและของคุณเองด้วยนะคะ

5 วิธีบอก รักพ่อแม่ แบบไม่มีคำว่ารัก ฉบับของลูก

การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก

เจ้าตัวเล็กก็แอบมีมุมโรแมนติกนะคะ บางครั้งนอกจากการบอกรักพ่อแม่แล้ว ลูก ๆ ก็มีวิธีการแสดงความรักในแบบที่ไม่เหมือนใคร มาดูกันค่ะว่าถ้าลูก ๆ ทำแบบนี้แสดงว่าลูกอาจกำลังบอกรักแบบอ้อม ๆ อยู่

5 วิธีบอก 'รักพ่อแม่' แบบไม่มีคำว่ารัก ฉบับของลูก

1.วาดรูปพ่อแม่

เชื่อว่าถ้าได้เห็นรูปที่ลูกวาดแล้วบอกว่านี่เป็นรูปของพ่อแม่ลูก หรือรูปครอบครัว ต้องปลื้มยิ้มไม่หุบ รีบหยิบมือถือมาถ่ายแล้วโพสต์ลงโซเชียลอวดให้โลกรู้แน่นอนใช่มั้ยคะ ยิ่งไปกว่าแววศิลปินในตัวลูกน้อยแล้ว รูปคุณพ่อคุณแม่ หรือรูปครอบครัวเนี่ยแหละค่ะ ที่เป็นการแสดงความรักความผูกพัน ความรู้สึกพิเศษของลูกกับแม่  

2.ช่วยแม่ทำงานบ้าน

ในวันที่แม่วุ่นกับการทำงานบ้าน ปัดกวาดเช็ดถู แล้วลูกน้อยเสนอตัวช่วยทำงานบ้าน แม้จะเป็นงานเล็ก ๆ น้อย ๆ คงทำให้แม่หายเหนื่อยได้เป็นปลิดทิ้งกับน้ำใจและความรักที่เจ้าตัวเล็กมอบให้  

3.โอบกอด

ปลอบโยนเมื่อแม่เศร้า ถึงแม้จะยังเด็กแต่ลูกก็เข้าใจความรู้สึกของผู้ใหญ่ได้นะคะ ในวันที่แม่มีเรื่องทุกข์ใจ หรือเครียด แล้วลูกน้อยเอื้อมมือน้อย ๆ มาเช็ดน้ำตาหรือโอบกอดแม่ไว้ คงเป็นยาวิเศษที่ช่วยเยียวยาใจแม่ได้  

4.เตรียมอาหาร ยกน้ำมาเสิร์ฟ

เห็นลูกใจดี เอาขนมมาให้แม่กิน ยกน้ำมาให้แม่ดื่ม ถ้าลูกไม่ได้เอาใจแม่หวังของเล่นชิ้นใหม่อยู่ นั่นแสดงว่าลูกกำลังบอกรักแม่ในแบบฉบับของเขาอยู่นะคะ

 



 

5.แอบซื้อของขวัญ เขียนการ์ดให้แม่

ลูก ๆ เรียนรู้ว่าในวันพิเศษเขาจะได้ของขวัญ ได้รางวัลที่ทำให้มีความสุขจากพ่อแม่ ดังนั้นในวันพิเศษ เช่น วันพ่อ วันแม่ วันเกิด ลูก ๆ ก็อยากมอบของขวัญให้เหมือนกับที่ตัวเองเคยได้เช่นกันค่ะ ดังนั้น ถึงแม้จะเป็นแค่ของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือ การ์ดที่ลูกทำเอง เขียนเอง เชื่อว่าคงทำให้มีความสุขแน่นอนค่ะ   การแสดงความรักระหว่างกันในครอบครัว ลูก ๆ จะเรียนรู้ได้ก็ต้องเริ่มจากพ่อแม่ก่อนค่ะ ถ้าอยากให้ลูกเป็นเด็กที่มีความเอาใจใส่ มีน้ำใจต่อคนอื่น รู้จักการแสดงความรัก พ่อแม่ต้องแสดงออกและมอบความรัก ความมีน้ำใจให้ลูกเห็นก่อนค่ะ และเมื่อลูกโตขึ้นเขาจะสามารถแสดงความรักได้อย่างเหมาะสม

 

5 วิธีป้องกันและแก้ไข นิสัยเด็กติดเกม

การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก 

ทุกวันนี้เป็นยุคดิจิทัลที่เด็ก ๆ ทุกคนชอบเล่นเกมในสมาร์ทโฟนหรือเกมคอมพิวเตอร์ ซึ่งการใช้อินเทอร์เน็ตนั้นมีคุณประโยชน์มากมาย ถ้าใช้ให้ถูกต้องและเหมาะสม แต่หากเด็ก ๆ เล่นเกมมากถึงขั้นติดเกมจนไม่อยากทำอะไร ส่งผลต่อพัฒนาการในทุก ๆ ด้านแน่นอน ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องรีบป้องกันและแก้ไขแล้วค่ะ ป้องกันปัญหาเด็กติดเกมได้ดังนี้

  1. ควรเข้าไปเล่นเกมกับลูกด้วย พ่อกับแม่จะได้สังเกตดูพฤติกรรมและการตอบสนองของลูกต่อเกมต่างๆ สามารถสอดแทรกแนวความคิด ข้อคิดเห็นต่างๆ อีกด้านหนึ่งให้แก่ลูกในแง่ความถูกต้องความเหมาะสม

  2. ปลูกฝังให้ลูกรู้ผลดีผลเสีย ต้องพูดคุยกับลูกอย่างใจเย็น หรือหากิจกรรมทำกับลูก เช่น ชวนลูกไปเล่นกีฬา สร้างสรรค์งานศิลปะ ปลูกต้นไม้ ทำอาหาร อ่านหนังสือ และอาศัยจังหวะช่วงเปิดใจบอกข้อดีข้อเสียให้ลูกรู้เกี่ยวกับเกม ลูกจะเก็บไปคิดแน่นอน

  3. ศึกษาถึงชนิดของเกมที่ลูกเล่น เกมมีความเหมาะสมเรื่องอายุที่ลูกเล่นไหม มีความรุนแรงกระทบพัฒนาการของลูกหรือเปล่า พ่อกับแม่ต้องรู้เพื่อที่จะได้เลือกได้อย่างเหมาะสมกับลูก ทุกวันนี้เกมเสริมพัฒนาการก็มีเยอะพ่อกับแม่เลือกสิ่งที่ดีให้ลูกได้

  4. กำหนดและควบคุมเวลา กำหนดเวลาของลูกให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้ลูกใช้เวลากับเกมมากเกินไป อาจต้องลงในรายละเอียดว่าให้เล่นได้วันละกี่ชั่วโมง สัปดาห์ละกี่วัน บางบ้านก็ตั้งกฎไว้เลยว่าจะให้เล่นได้เฉพาะวันเสาร์ อาทิตย์เท่านั้น 

  5. ส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากเกม ต้องคัดเลือกโปรแกรมเกมที่เหมาะสมกับอายุให้ลูก เช่น โปรแกรมสอนวิชาต่างๆ เกมการศึกษา หรือการสอนภาษาอังกฤษ ช่วยลูกค้นหาข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ทางเว็บไซต์ในอินเตอร์เน็ต 

ภาพจาก : warszawa.figlarium.pl

5 วิธีลดไข้ให้ลูก ดูแลลูกตัวร้อนอย่างได้ผล

ลูกมีไข้-ลูกเป็นไข้-ลูกเป็นไข้สูง-ลูกตัวร้อน-ลูกไม่สบาย-ยาลดไข้สำหรับเด็ก-วิธีลดไข้เด็ก-เช็ดตัวลดไข้เด็ก-ยาลดไข้สำหรับเด็กเล็ก-พาราเซตามอลสำหรับเด็ก-ไทลินอลสำหรับเด็ก

เมื่อลูกเป็นไข้ มีไข้สูง ลูกตัวร้อน ลูกไม่สบาย ต้องรีบปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้ถูกวิธี เพื่อบรรเทาอาการป่วยให้มากที่สุด

5 วิธีลดไข้ให้ลูก ดูแลลูกตัวร้อนอย่างได้ผล

ไม่ว่าจะฤดูไหน ลูกก็เป็นไข้ ไม่สบาย ตัวร้อน ได้ทุกฤดู สาเหตุหนึ่งจากเชื้อโรคที่มีอยู่ทุกที่ค่ะ ขึ้นอยู่กับว่าภูมิคุ้มกันในร่างกายลูกจะอ่อนแอเมื่อไหร่ เจ้าเชื้อโรค หรือไข้หวัดก็ทำให้ป่วยได้เสมอ และเมื่อลูกมีไข้ ลูกตัวร้อน คุณแม่ควรช่วยลดไข้ให้ลูกด้วยวิธีใดบ้างถึงจะได้ผลให้ลูกกลับมาแข็งแรง เรามีวิธีลดไข้สำหรับเด็กมาฝากค่ะ

วิธีสังเกตอาการเมื่อลูกเป็นไข้ โดยปกติแล้วอุณหภูมิร่างกายของเราจะอยู่ที่ประมาณ 37 องศาเซลเซียส แต่เมื่อไม่สบาย เป็นไข้ หรือตัวร้อน อุณหภูมิในร่างกายก็จะสูงขึ้นเพราะร่างกายจะต้องต่อสู้กับเชื้อโรคที่อยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งถ้าอุณหภูมิร่างกายสูงกว่า 37.5 องศาเซลเซียสจะถือว่ามีอาการไข้ ตัวร้อน คุณแม่จึงควรมีปรอทวัดไข้สำหรับเด็กประจำบ้านไว้ด้วย และเมื่อลูกมีไข้ เป็นไข้ ตัวร้อน จะได้รีบดูแลกันได้ทันค่ะ    

5 วิธีลดไข้ ลดอาการตัวร้อน ดูแลเมื่อลูกเป็นไข้

1. ให้ลูกพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะระหว่างที่นอนหลับร่างกายจะนำสารอาหารต่าง ๆ ไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ขับของเสียออกจากอวัยวะต่าง ๆ เพิ่มระบบภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย และฟื้นฟูพลังงาน ทำให้อาการเป็นไข้ ตัวร้อนลดลงและหายไข้ได้ไวขึ้น

2. อยู่ในห้องที่อากาศถ่ายเทสะดวก ไม่อับหรือร้อนเกินไป ช่วงที่ลูกเป็นไข้ ลูกตัวร้อน ลูกไม่สบาย เขาจะไม่สบายตัว รวมถึงการหายใจที่ไม่ค่อยสะดวก เพราะมีความร้อนออกมาจากลมหายใจด้วย ดังนั้นคุณแม่ควรให้ลูกนอนในที่อากาศถ่ายเทสะดวกเพื่อช่วยให้ลูกรู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย และห้องโปร่ง ๆ ยังช่วยไม่ให้เกิดการสะสมของเชื้อโรคเพิ่มเติมด้วย 

3. หากลูกมีไข้สูงให้ปฐมพยาบาลด้วยการเช็ดตัวลูก ลองเช็ดตัวลดไข้ ลดตัวร้อนให้ลูกด้วยการผสมน้ำอุ่นกับน้ำมะนาว แล้วใช้ผ้าเช็ดตัวผืนเล็กหรือผ้าอ้อมผืนนุ่ม ๆ มาชุบน้ำ บิดหมาด เช็ดถูตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น หน้าผาก ซอกคอ รักแร้ ขาหนีบ และข้อพับต่างๆ เพื่อช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตที่ผิวหนัง และช่วยลดไข้ ลดอาการตัวร้อน  

4. ดื่มน้ำมาก ๆ พยายามให้ลูกดื่มน้ำเยอะๆเพราะน้ำจะช่วยควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย และยังช่วยกระตุ้นให้เซลล์ผิวหนังชุ่มชื่นด้วย  

5. ให้ลูกกินยาลดไข้ Paracetamol เมื่อลูกเป็นไข้ ลูกตัวร้อนสูงเกิน 37.5 องศาเซลเซียส ไม่สบายตัว หรือปวดตัว ให้เลือกยาลดไข้สำหรับเด็กที่มีส่วนผสมของพาราเซตามอล ซึ่งเป็นตัวยาที่เหมาะสำหรับการลดไข้เด็กมากที่สุด

 

2774 2 3

 

เคล็ดลับการป้อนยาลูกให้เป็นเรื่องง่าย

สำหรับลูกที่ไม่ชอบกินยา กินยายาก คุณแม่ลองเลือกยาลดไข้สำหรับเด็กชนิดน้ำ ยาลดไข้สำหรับเด็กกลิ่นผลไม้หอมหวาน จะช่วยให้ลูกกินยาลดไข้ง่ายขึ้นค่ะ ควรให้ลูกกินยาลดไข้สำหรับเด็กในปริมาณและระยะเวลาที่กำหนด โดยคำนวณจากน้ำหนักตัวของเด็กหรืออายุเป็นหลัก คือกินยาลดไข้ 10-15 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม และกินทุก 4-6 ชั่วโมง  

วิธีดูแลลูกเป็นไข้ ลูกตัวร้อน

คุณพ่อคุณแม่ลงมือทำได้เองเบื้องต้น ทั้งการสังเกตอุณหภูมิร่างกายการลดไข้ รวมถึงการใช้ยาลดไข้สำหรับเด็กที่ควรจะได้รับคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกรผู้เชี่ยวชาญค่ะ

หากลูกยังมีอาการไข้ ตัวร้อนหลายวัน หรือมีไข้ต่อเนื่องหลายวัน คุณแม่รีบพาลูกไปหาหมอ เพื่อตรวจดูอาการอย่างละเอียด เพราะลูกเป็นไข้ ลูกตัวร้อน อาจเกิดจากการติดเชื้อโรคอื่นๆ ที่ไม่ใช่ไข้หวัดปกติธรรมดาค่ะ

 

บทความที่เกี่ยวข้อง 

10 วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น เมื่อลูกมีไข้ ตัวร้อน

​5 วิธีสร้างลูกให้เป็นเด็กมีปฏิภาณไหวพริบ

การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก

วิธีสร้างลูกให้เป็นเด็กมีปฏิภาณไหวพริบ

เด็กที่รู้จักคิดและช่วยเหลือตนเองได้ มาจากการฝึกฝนวิธีคิดตั้งแต่เล็กๆ โดยคนสำคัญที่ช่วยให้ลูกมีปฏิภาณไหวพริบดี คือพ่อแม่นั่นเอง ซึ่งการที่เด็กมีปฏิภาณไหวพริบจะช่วยให้เขาเอาตัวรอดจากเหตุการณ์คับขัน หรือสามารถช่วยเหลือตนเอง และช่วยเหลือผู้อื่นได้ด้วย

5 วิธีที่จะสร้างลูกให้มีปฏิภาณไหวพริบกัน

1.ให้โอกาสลูกทำด้วยตัวเอง

เช่น ให้ลูกถือขวดนมเอง ลูกจะเรียนรู้ว่าต้องจับแบบไหน กินอย่างไรนมถึงจะเข้าปาก หรือแม้กระทั่งเรื่องพื้นฐานที่ต้องรับผิดชอบตัวเอง เช่น ให้ลูกวัย 2 ขวบช่วยม้วนผ้าอ้อมไปทิ้งถังขยะด้วยตนเอง นอกจากลูกจะได้เรียนรู้จักหน้าที่แล้ว ยังได้เรียนรู้จักแก้ปัญหา เช่น เปิดฝาถังขยะไม่ออก ลูกจะเกิดความสงสัยว่าต้องทำอย่างไร อาจจะต้องเพิ่มน้ำหนักในการกดที่เปิดให้แรงขึ้น เป็นต้น ทั้งนี้พ่อแม่ต้องหมั่นสังเกตว่าลูกทำอะไรได้บ้าง ต้องเปิดโอกาสให้ทำด้วยตัวเอง และต้องไม่กลัวข้อจำกัดใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะความสกปรกเลอะเทอะ หรือลูกหกล้ม เพราะเมื่อไหร่ที่ล้ม ลูกก็จะรู้จักระมัดระวังตัวเองขึ้น  

2.เลี้ยงลูกนอกบ้านบ่อย ๆ

เพราะโลกกว้างจะช่วยกระตุ้นให้ลูกทำอะไรที่ท้าทายมากขึ้น จากการเห็นนั่นเอง

3.ลูกรู้จักคิด วิเคราะห์ แก้ปัญหาได้จากการเล่น

โดยพ่อแม่กำหนดโจทย์ให้ลูก เช่น เอารูปภาพมาต่อกัน จาก 2 ชิ้น เพิ่มเป็น 4 จาก 4 เพิ่มเป็น 8 หรือเอาบล็อกมาต่อกัน ต่ออย่างไรให้สูงๆ เอาปากกามาขีดเส้นให้ลูกลาก ลูกจะต้องลากอย่างไร จากจุดหนึ่งมาอีกจุดหนึ่งต้องหลบเส้นไหนบ้าง เป็นต้น เด็กเรียนรู้ได้มากกว่าที่พ่อแม่คิดเสมอค่ะ จึงไม่ควรให้ลูกทำอะไรซ้ำๆ เดิมๆ แต่ควรกระตุ้นให้ลูกทำอะไรที่ยากขึ้น เพื่อฝึกลูกได้รู้จักคิดและเคยชินกับการแก้ปัญหา

4.ให้ลูกช่วยทำงานบ้าน

เช่น การรดน้ำต้นไม้ ลูกจะเทน้ำอย่างไรไม่ให้หก ทำอย่างไรจะให้น้ำ 1 ขันพอรดทั้ง 2 ต้น หรือพ่อแม่อาจบอกลูกว่ากระบอกนี้ให้รดได้ 3 ต้น ลูกก็จะคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหาเองว่าจะทำอย่างไรจึงจะได้ตามนั้น

5.หมั่นสังเกตลูก

เพราะพัฒนาการของเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน พ่อแม่ต้องคอยสังเกตว่าลูกทำอะไรได้ดี บางอย่างลูกทำได้ แต่บางอย่างลูกอาจไม่ถนัด ดังนั้นจึงต้องช่วยให้ลูกสนุกกับสิ่งที่ต้องทำ ให้ได้เล่นอิสระ โดยพ่อแม่แค่ต่อยอดความคิดให้ ตั้งโจทย์และคำถามเพื่อกระตุ้นให้ลูกรู้จักแก้ปัญหาอยู่เสมอค่ะ



5 วิธีสอนลูก ให้ปลอดภัยจากการถูกล่วงละเมิดทางเพศ

 
การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก-เด็กถูกล่วงละเมิดทางเพศ-สอนลูกเรื่องเพศ

วิธีสอนลูกให้ปลอดภัยจากการถูกล่วงละเมิดทางเพศ

ทุกวันนี้มีข่าวเด็กถูกล่วงละเมิดทางเพศมากขึ้นจนน่าตกใจ ซึ่งส่วนใหญ่คนที่ทำร้ายเด็กมักเป็นคนใกล้ชิดที่เด็กไว้ใจ เช่น เพื่อน ญาติ ครู คนแถวบ้าน ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเด็ก ทั้งร่างกาย และจิตใจ ดังนั้นพ่อและแม่จึงต้องเป็นคนที่สร้างเกราะคุ้มกันให้ลูก สอนลูกตั้งแต่เล็ก ๆ เพื่อป้องกันอันตรายที่เกิดจากการถูกล่วงละเมิดค่ะ โดยเพจ 'เข็นเด็กขึ้นภูเขา' ได้แนะนำไว้ดังนี้ค่ะ

5 วิธี สอนลูกให้ปลอดภัยจากการถูกล่วงละเมิดทางเพศ
  1. สอนให้เด็กเรียนรู้เรื่องอวัยวะเพศ เริ่มสอนช่วงที่เด็กเรียกอวัยวะได้ อย่างตอนอาบน้ำก็สอนเรียกอวัยวะเพศ ใช้ชื่อที่เด็กเข้าใจ ไม่ต้องเป็นชื่อทางการ โดยอาจจะเรียกของผู้ชายว่า จู๋ เจี๊ยว ของผู้หญิง ก็ ปิ๊ หรือจิ๋ม

  2. บอกเด็กว่าส่วนไหนบนร่างกายที่พ่อแม่เท่านั้นที่เห็นได้ ถ้าอยู่กับคนอื่น ๆ ต้องใส่เสื้อผ้าไม่ให้ใครเห็น แต่ในบางกรณี เช่น ถ้าไปหาหมอก็อาจจะทำได้เพราะพ่อแม่อยู่กับหนูด้วย หมอตรวจร่างกายหนู

  3. สอนให้เด็กรู้จักปฏิเสธ ถ้ามีคนอื่นที่ไม่ใช่พ่อแม่มาสัมผัส เช่น หน้าอก อวัยวะเพศ

อาจารย์ของหมอท่านหนึ่งสอนลูกสาวว่า ห้ามให้ใครมาจับแก้ม หอมแก้ม จุ๊บปากถ้าไม่ใช่พ่อแม่ ถ้าใครทำหรือมาขอจับ (ส่วนใหญ่คนที่ทำร้ายเด็กมักจะมาพูดแบบขอร้อง เช่น ขอเล่นด้วยกับจุ๋มจิ๋มหนู) ให้บอกเค้าไปว่า พ่อไม่ให้ทำ และให้มาบอกพ่อ หมอเคยสงสัยว่ามันดูจะเกินไปหรือเปล่า บางทีผู้ใหญ่อาจจะทำเพราะเอ็นดู แต่อาจารย์บอกว่า มีวิธีแสดงความเอ็นดูหลายอย่าง มาคิดๆ ดูจริงๆ แล้วก็ดูจะป้องกันได้ดี แถมยังไม่ติดโรคอื่นๆ ด้วย เช่น หวัด เป็นต้น

  1. ใครก็ตามที่มาขอจับหรือดู ต้องสอนให้เด็กบอกพ่อแม่ทันที แม้ว่าคนที่ทำจะขอร้อง แต่สำคัญมากที่ต้องมาบอกพ่อแม่ ตรงนี้ก็ต้องเน้น เพราะบางทีเด็กอาจจะถูกขอหรือขู่ ต้องบอกว่าถ้าเด็กมาบอกพ่อแม่ ยังไงพ่อแม่จะช่วยไม่ให้ใครมาทำอะไรเขาได้

  2. สอนให้เด็กรู้ว่าถ้าใครก็ตามที่มาขอดูหรือจับส่วนนั้น ต้องพูดไปเลยว่า ไม่ได้ และอาจจะวิ่งหนีออกมา ไม่ต้องเกรงใจแม้ว่าคนๆ นั้นจะเป็นคนที่เด็กเคารพก็ตาม

อย่านิ่งนอนใจว่าลูกของคุณอยู่ในที่ๆ ปลอดภัย เพราะเหตุการณ์การถูกล่วงละเมิดครึ่งหนึ่งเกิดที่บ้าน หรือสถานที่ที่ไม่ห่างจากบ้านเท่าไหร่ สถานที่อื่นๆ เช่น โรงเรียน บ้านเพื่อน บ้านญาติ เป็นต้น

ถ้าไม่อยากให้เรื่องเศร้าสลดที่เกิดขึ้นเกิดซ้ำสอง พวกเราก็ต้องช่วยกันดูแลและป้องกันคนละไม้คนละมือ หรือถ้าพบเห็นเหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่เด็กมีความเสี่ยงที่จะถูกทารุณกรรม สามารถที่จะติดต่อไปได้ที่มูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก มูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก 02-412-0739 นะคะ

 

ข้อมูลจาก : เพจ เข็นเด็กขึ้นภูเขา

5 วิธีสอนลูกให้น่ารัก พร้อมรับอั่งเปา ตั่ว ๆ ไก๊

การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก 

5 วิธีสอนลูกให้น่ารัก พร้อมรับอั่งเปา ตั่ว ๆ ไก๊

ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้ นะคะคุณแม่รักลูกทุกท่าน ใกล้ถึงเทศกาลตรุษจีนแล้ว ทางรักลูกของเราเลยมีคำแนะนำดีๆ มาฝากกันอีกเช่นเคย กับ 5 วิธีสอนลูกให้น่ารัก เวลาเจอญาติพี่น้อง การรับอั่งเปาจากผู้ใหญ่ต้องทำอย่างไร บางคนอาจมองเป็นเรื่องเล็กๆ แต่การเข้าสังคมของลูกเป็นเรื่องสำคัญมากเลยนะคะ หากลูกเราน่ารักกับผู้ใหญ่ทุกท่าน เขาก็จะรักและเอ็นดูลูกเรา เป็นเรื่องที่ดีมากๆ ค่ะ 

5 วิธีสอนลูกให้น่ารักพร้อมรับอั่งเปา ตั่ว ๆ ไก๊

1. พ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่าง เด็กบางคนอาจมีนิสัยขี้อาย ไม่ชอบพูดกับคนแปลกหน้า คุยแต่กับพ่อแม่ตัวเอง เวลาไปพบญาติพี่น้องทำให้ไม่กล้าคุยกับใคร เรื่องนี้จะช่วยได้หากพ่อกับแม่เริ่มเรื่องพูดคุยให้ลูกเห็นก่อน ว่านี้คือใคร เป็นอะไรกับลูก สวัสดีหรือยังจ้ะ กล่าวคำทักทายก่อน ลูกจะรู้สึกสบายใจและกล้าที่จะพูดคุยกับคนนั้นมากขึ้น เพราะเห็นพ่อแม่พูดคุยก่อน

2. สอนลูกพูดจาหวาน ไพเราะน่าฟัง แน่นอนค่ะคำพูดที่ไพเราะมักจะน่าฟังกว่าคำพูดที่ไม่เพราะเสมอ มาสอนลูกให้พูดมีคำลงท้ายกันค่ะ โดยที่เวลาพ่อแม่พูดกับลูกต้องมีคำลงท้ายเหมือนกันด้วยนะคะ เช่น ครับ- ค่ะ ฟังแล้วเด็กคนนี้จะดูเป็นเด็กเรียบร้อยน่ารักมาก ๆ เลยค่ะ ผู้ใหญ่คนไหนได้ยินมักจะชื่นชอบ และชมเด็กที่พูดจาดีไพเราะอยู่เสมอ จะดูเป็นเด็กน่ารักที่น่าพูดคุยด้วยมากเลยล่ะค่ะ

3. มารยาทในการรับของจากผู้ใหญ่ สามคำท่องจำขึ้นใจ สวัสดี ขอบคุณ ขอโทษ เวลาที่ผู้ใหญ่ให้ของหรือให้อั่งเปาซองแดงในวันตรุษจีนนั้น  ควรสอนให้ลูกรู้จักยกมือไหว้ และกล่าวคำขอบคุณครับ ขอบคุณค่ะ ยิ้มรับไม่ทำหน้าตาบึ้งตึง เด็กที่ยิ้มแย้มแจ่มใสอารมณ์ดี จะดูน่ารักขึ้นอีกเท่าตัวเลยจ้า

4. แบ่งปันสิ่งของให้กับผู้อื่น ในวันตรุษจีน ถือได้ว่าเป็นวันรวมญาติครั้งใหญ่ มีญาติ ๆ ลูกหลานมากันครบ รวมไปถึงเจ้าตัวเล็ก รุ่นราวคราวเดียวกันกับลูกของเรา เชื่อว่าต้องมีการแลกเปลี่ยนสิ่งของ ซื้อของให้ผู้ใหญ่ ให้ลูกเป็นคนนำไปให้ดูสิค่ะ

5. ชมลูกเวลาที่ลูกทำตัวน่ารัก คำชมเป็นกำลังใจสำคัญที่ทำให้ลูกทำตัวน่ารักได้ง่ายมากขึ้นค่ะ ใคร ๆ ก็ชอบคำชม ยิ่งถ้ากับหัวใจเด็กตัวน้อย ๆ แล้ว มันมีพลังมหาศาลเชียว

อย่าลืมชมเค้าเวลาที่เขาทำดี อย่าลืมดุเขาบ้างเวลาทำตัวไม่น่ารัก แต่ต้องอยู่ในอารมณ์ปกติ ให้เหตุผลว่าทำไมถึงทำแบบนี้ไม่ได้ เด็กจะค่อยๆ รับฟังแล้วปรับตัวเองนะคะ เป็นกำลังให้กับคุณแม่ทุกท่านที่มีลูกงอแง แต่ถ้าสอนเขาดีๆ ลูกจะกลับมาเป็นเด็กแสนน่ารักของพ่อแม่เองค่ะ

5 วิธีสอนลูกให้เป็นเด็กน่ารัก เมื่อออกนอกบ้าน

 อบรม, อบรมพฤติกรรม, อบรมพฤติกรรมลูก, มารยาท, มารยาทสังคม, การเลี้ยงลูก

ลูกเราไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน.. คุณพ่อคุณแม่น่าจะคุ้นหูกับประโยคนี้กันมาบ้าง เพราะในหลาย ๆ ครั้งที่เราต้องออกไปใช้บริการในพื้นที่สาธารณะ เราก็อาจพบเจอทั้งคนแซงคิว ไม่รักษามารยาท หรือพูดจาเสียงดังโวยวาย

ถ้าไม่อยากให้เจ้าตัวเล็กของเรามีพฤติกรรมไม่น่ารัก พ่อแม่ควรเตรียมการก่อนพาลูกน้อยออกจากบ้าน ด้วย 5 วิธีสอนลูกให้เป็นเด็กน่ารัก เมื่อออกนอกบ้าน​มาฝากกันค่ะ 

5 วิธีสอนลูกให้เป็นเด็กน่ารัก เมื่อออกนอกบ้าน

1.หนูน้อยพูดเพราะ พ่อแม่ต้องเป็นต้นแบบที่ดี ฝึกให้ลูกพูดมีหางเสียง ครับ/ค่ะ ขอโทษและขอบคุณเสมอ

2.หนูน้อยไหว้สวย สอนลูกยกมือไหว้กล่าวคำว่า สวัสดีครับ/ค่ะ เวลาที่เจอญาติผู้ใหญ่หรือคนรู้จัก และเมื่อลูกยกมือไหว้ผู้อื่น ให้พูดชมเชย จะทำให้หนูน้อยรู้สึกภูมิใจ

3.หนูน้อยเจ้าระเบียบ เมื่อออกนอกบ้าน ต้องสอนให้เข้าคิว เช่น พาไปต่อแถวซื้อตั๋วเข้าสวนสัตว์ ซื้ออาหาร เป็นต้น และทิ้งขยะเป็นที่เป็นทาง จะทำให้เขาเรียนรู้เรื่องระเบียบวินัยของสังคม และการเคารพสิทธิ์ของผู้อื่น

4.หนูน้อยมีน้ำใจ คุณแม่สอนได้ง่ายๆ ด้วยการให้ลูกแบ่งขนมหรือของเล่นกับคุณแม่ก่อน จากนั้นค่อยๆ สอนให้แบ่งกับเพื่อน ซึ่งจะช่วยให้ลูกรู้จักแบ่งปัน และการช่วยเหลือผู้อื่น

5.หนูน้อยเข้าใจผู้อื่น สอนลูกจากเรื่องใกล้ตัว เช่น เวลาหนูโดนเพื่อนตี หนูจะเจ็บและไม่อยากเล่นกับเพื่อนคนนั้น ถ้าหนูไปตีเพื่อน เพื่อนก็จะเจ็บไม่อยากเล่นกับหนูเช่นกัน เป็นต้น 

อยากให้ลูกน่ารัก ต้องเริ่มจากพ่อแม่ที่เป็นคนสอนเขานะคะ.. เด็กน่ารัก ใครๆก็อยากชื่นชม ชื่นชอบค่ะ หากเป็นลูกของเราแล้ว ยิ่งทำให้คนเป็นพ่อแม่ภูมิใจมากที่สุด

 

5 วิธีสอนลูกให้โตไปเป็นคนดี ไม่เหวี่ยง ไม่วีนผู้อื่น ฉบับฮาร์วาร์ด

การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก

วิธีสอนลูกให้โตไปเป็นคนดี ไม่เหวี่ยง ไม่วีนผู้อื่น ฉบับฮาร์วาร์ด

การเลี้ยงลูกให้เติบโตเป็นคนดีนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย เพราะเด็กที่จะเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในอนาคต มีความรับผิดชอบ สามารถเลี้ยงดูตัวเองได้ เข้าสังคมได้ดี มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ต้องได้รับการดูแลเชิงบวกตั้งแต่ยังเล็ก ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และได้รับการปลูกฝังลักษณะนิสัยที่ดีจากครอบครัวเป็นหลัก ที่สำคัญพ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีของลูก แต่จะมีวิธีอย่างไรให้ง่ายขึ้นในการสอนลูก เรามีคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญจากสถาบัน Harvard Acedemy มาบอกต่อกันค่ะ คุณพ่อคุณแม่ลองนำไปปรับสอนลูกกันได้ ดังนี้เลย

5 วิธีสอนลูกให้โตไปเป็นคนดี
  1. สอนให้ลูกรู้จักควบคุมอารมณ์ มี EQ

ความโกรธ ความเศร้า หรือแม้แต่ความผิดหวัง ล้วนเป็นอารมณ์ที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจไม่ใช่แค่สำหรับผู้ใหญ่เท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นกับเด็กเช่นเดียวกัน สิ่งสำคัญคือพ่อแม่ควรสอนให้ลูกจัดการกับอารมณ์แง่ลบให้ได้ เมื่อไหร่ที่เขาโมโห ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า ให้ใช้ช่วงเวลาที่ลูกเริ่มรู้สึกใจเย็นขึ้นมาบ้าง ให้ข้าไปพูดคุย และสอนใช้เทคนิคการหายใจเข้าทางจมูก หายใจออกทางปาก พร้อมกับพยายามนับ 1-5 เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่คนเราเกิดความรู้สึกโมโห เลือดในร่างกายจะสูบฉีดอย่างแรง และหัวใจจะเต้นรัวมากกว่าปกติ ดังนั้นการกำหนดลมหายใจ เปรียบได้เหมือนเครื่องมือที่ใช้จัดการกับอารมณ์ร้ายได้เป็นอย่างดี



  1. ให้ลูกรู้จักรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตัวเองกระทำ

พ่อและแม่ คือต้นแบบที่ลูกจะเรียนรู้ และเอาอย่าง สิ่งสำคัญที่สุดคือการสอนให้พวกเขามีความรับผิดชอบ ต่ออะไรก็ตามที่ได้กระทำลงไป อย่างเช่น กินขนมเสร็จก็ต้องนำไปทิ้งให้เป็นที่เป็นทาง ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า ให้พ่อแม่พยายามอธิบายกับลูก ๆ อย่างใจเย็นว่า อะไรคือความรับผิดชอบ และมันส่งผลอย่างไรบ้างระหว่างตัวของลูกเอง และสังคมรอบข้าง แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ตัวของพ่อแม่เอง ที่นอกจากจะสอนลูกแล้ว ก็ต้องไม่ลืมที่จะทำตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดีด้วย

  1. สอนให้ลูกรู้จักความสงสาร และช่วยเหลือผู้อื่นเป็น

แน่นอนว่าในสังคมโรงเรียนของเด็ก ๆ จะมีทั้งเด็กดื้อ และเด็กเรียบร้อยรวมกันอยู่ และส่วนมากเด็กดื้อก็มักจะมาแกล้งเพื่อน ๆ ที่เรียบร้อยกว่า วิธีที่จะช่วยให้ลูกของเราตระหนักถึงเรื่องนี้ได้ คือการลองให้ลูกของเราเองจินตนาการดูว่า ถ้าตัวเองได้เป็นคนที่ด้อยกว่า เขาจะรู้สึกอย่างไร? วิธีนี้จะช่วยให้เด็ก ๆ ได้เห็นภาพ และได้เห็นมุมมองอีกด้านหนึ่งของคนอื่น อีกทั้งพ่อแม่ควรให้ลูก ๆ คิดถึงคนอื่นที่นอกเหนือจากเพื่อนที่โรงเรียนด้วย เช่น คนไร้บ้าน คนพิการ ฯลฯ การพูดคุยกับเขาในเรื่องนี้ตั้งแต่เด็ก จะช่วยให้เขารู้จักที่จะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อคนรอบข้าง และไม่รังแกคนที่ด้อยกว่า

  1. สอนให้ลูกขอบคุณเป็น แสดงความรู้สึกเชิงบวกเก่ง

การแสดงออกถึงความซาบซึ้งใจต่อสิ่งที่ผู้อื่นทำให้เด็กนั้น เป็นสิ่งสำคัญที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตในสังคมอย่างมาก ผู้เชี่ยวชาญเผยว่า พ่อแม่ควรสอนให้ลูก ๆ รู้จักที่จะขอบคุณในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อน อย่างเช่น การบอกให้ลูกไปกอดคุณยายที่ทำขนมให้ ถึงแม้ว่ามันจะไม่อร่อยก็ตาม หรือขอบคุณเพื่อนรุ่นเดียวกัน เมื่อแบ่งปันขนมให้ ถึงแม้ว่าจะต้องพูดกับคนที่ไม่รู้จัก หรือคนที่ไม่สนิทสนมด้วยก็ตามมีงานวิจัยเผยว่า คนที่แสดงออกถึงความซาบซึ้งใจต่อคนอื่น จะมีความสุข และสุขภาพที่ดีกว่าคนที่ดูเหมือนจะเย่อหยิ่ง และไม่ยอมก้มหัวให้ใคร


  1. สอนให้รู้จักการวางตัวดี และเหมาะสม

ส่วนใหญ่แล้วพ่อแม่มักจะมองหาความสำเร็จของลูกผ่านผลการศึกษา จนอาจจะลืมไปว่าเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างอื่น ก็อาจส่งผลต่อพฤติกรรมที่เหมาะสมของเขาได้เช่นกัน ผู้เชี่ยวชาญเผยว่า ให้พ่อแม่คุยกับลูกอย่างเป็นประจำ ยกตัวอย่างถึงบุคคลที่ประพฤติตัวไม่เหมาะสม และทำให้เค้าเห็นถึงพฤติกรรมที่เหมาะสมในแง่อื่น ๆ ด้วย ไม่ว่าจะเรื่องการรักษาสัญญา การเคารพต่อผู้อื่น และต้องไม่ลืมว่า พฤติกรรมส่วนใหญ่นั้น ลูก ๆ มักจะเลียนแบบมาจากพ่อแม่ที่บ้านนั่นเอง

เป็นการสอนลูกเชิงบวกที่ดีมากใช่ไหมคะ แต่ละข้อสามารถนำไปปรับใช้กับลูกได้เลย แต่ก่อนอื่นพ่อแม่ต้องเป็นต้นแบบที่ดีให้ลูกได้ และต้องปรับตัวเติบโตไปกับลูกในทุก ๆ วัน เพื่อให้ส่งผลดีกับลูกให้มากที่สุดค่ะ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : www.catdumb.com , เว็บไซต์ Brightside

5 วิธีเลี้ยงลูก ช่วยกระตุ้นพัฒนาการเด็กได้ดีที่สุด

 กิจกรรม-กิจกรรมครอบครัว-ของเล่นเสริมพัฒนาการ

การเลี้ยงลูกเพื่อกระตุ้นพัฒนาการเด็ก สำหรับพ่อแม่มือใหม่ที่เพิ่งจะมีลูกเป็นคนแรก วิธีการ "เลี้ยงลูก" ให้ถูกต้องเหมาะสมในช่วงปฐมวัย พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร มีคำแนะนำดี ๆ ดังนี้

  1. เข้าใจความต้องการของลูกอย่างจริงใจ

“เด็กเปรียบเสมือนผ้าขาว” วลีนี้อาจเป็นดาบสองคม เพราะพ่อแม่คงต้องเหนื่อยเกินไปถ้ามุ่งแต่คิดจะแต่งแต้มสีสันให้กับลูก มัวแต่คิดว่าจะใส่อะไรลงบนผ้าขาวผืนนี้เพื่อจะให้กลายเป็นผ้าสีที่สวยงาม หรือเป็นไปตามที่คิดให้มากที่สุด โดยไม่เข้าใจความต้องการจริงๆ ของลูก หรือการเอาบรรทัดฐานของสังคมเป็นที่ตั้ง ส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยพอใจในสิ่งที่ลูกมี กลายเป็นว่าผ้าผืนนี้ไม่ได้เป็นตัวตนของลูกอย่างแท้จริง 

ดังนั้นการเข้าใจธรรมชาติของเด็กเป็นสิ่งสำคัญที่พ่อแม่ควรจะมี แม้หลายครั้งที่พ่อแม่เข้าใจว่า เด็กเรียบร้อย มักเป็นเด็กที่น่ารัก ยิ้มแย้มแจ้มใส เด็กเรียนเก่ง เชื่อฟังพ่อแม่ ในขณะที่ เด็กไม่เรียบร้อย มักเป็นเด็กดื้อ ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นความเข้าใจผิดของตัวพ่อแม่เองทั้งนั้น ถ้าพ่อแม่มีความคิดชุดเดียวกันว่าเด็กทุกคนต้องเรียบร้อย น่ารัก เชื่อฟัง พอลูกดื้อก็จะโกรธ ลูกไม่เรียบร้อยก็หงุดหงิด ทำให้ตัวเด็กเองเกิดความกังวล ขี้อาย ไม่กล้ายิ้มแย้มแจ่มใส พ่อแม่ก็จะทำลายตัวตนของเด็กไปเรื่อยๆ โดยไม่ยอมรับและไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาเป็น

Tips:  ในความจริงแล้ว สิ่งที่เขาเป็นมีความหมายบางอย่างในการเติบโตในแบบของเขาเอง พ่อแม่ควรทำความเข้าใจว่าลูกของตัวเองมีธรรมชาติแบบไหน เข้าใจให้ถึงแง่มุมข้อดี ข้อเสีย นิสัยต่างๆ เพราะเด็กแต่ละคนมีไม่เหมือนกัน ต้องเลี้ยงลูกด้วยความเข้าใจลูกเป็นสำคัญ

  1. ดูแลอาหารการกินตามโภชนาการ

เด็กมีช่วงเวลาที่สมองพัฒนาอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาการเรียนรู้ของเด็ก สิ่งที่จะช่วยให้เด็กพัฒนาอย่างเหมาะสมตามวัย คือ กินให้เป็นเป็นไปตามโภชนาการ เล่นให้สุด เพื่อกระตุ้นพัฒนาการ และไม่หยุดที่จะให้ความรักต่อลูก หรือเรียกว่าหลักการ Eat Play love กล่าวคือการสนับสนุนลูกด้วย 3 สิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่ส่งผลต่อเด็กไปตลอดชีวิต

Tips: เลี้ยงลูกด้วยอาหารที่มีประโยชน์ทุกวัน เพื่อการเจริญเติบโตของร่างกายและสมอง และควรปลูกฝังพฤติกรรมการกินที่ถูกต้องให้ลูก เช่น การฝึกให้ลูกตักอาหารกินเองเมื่อถึงวัยที่พร้อม กินให้เป็นที่เป็นทาง และสุดท้ายคือ วัดส่วนสูงและชั่งน้ำหนักลูกอย่างสม่ำเสมอ เพื่อดูว่าลูกเจริญเติบโตอย่างเหมาะสมตามเกณฑ์หรือไม่



  1. ส่งเสริมให้ลูกเล่นตามวัย

"Play เล่นให้สุด" ส่งเสริมให้เด็กเล่นตามวัย ของเล่นที่สำคัญที่สุดของเด็กคือพ่อแม่ แค่เพียงมีพ่อแม่อยู่ใกล้เพื่อทำหน้าที่ชี้ชวนให้เด็กเล่น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือจะมีของเล่นอื่นๆ หรือไม่ การเล่นก็สามารถเกิดได้ทุกที่ รวมไปถึงการอ่านนิทานก็เป็นการพัฒนาสมองชั้นดี เป็นช่วงเวลาที่ลูกได้นั่งตักพ่อแม่พร้อมฟังนิทานและดูรูปภาพไปด้วยกัน ลูกจะสนใจไปที่เสียงที่ได้ยิน ภาพที่ได้เห็น สมองของลูกจะจินตนาการเรื่องราวอย่างเต็มที่ 

Tips: สร้างกติกาง่ายๆ เช่น ให้ลูกเก็บของเล่น หรือทำความสะอาดห้อง ก่อนนะออกไปเล่นข้างนอก จะช่วยให้เด็กได้เรียนรู้ในการวางแผนว่าจะทำอะไรก่อนหลัง และมุ่งมั่นทำงานนั้นให้เสร็จก่อนจะได้สิ่งที่ชื่นชอบในภายหลัง หรือชวนลูกหาวัสดุรอบบ้านมาประดิษฐ์เป็นของเล่น เด็กจะต้องคิดว่าอยากทำอะไร ต้องใช้วัสดุอะไรมาทำบ้าง และทดลองนำมาประกอบกันจนสำเร็จตามแผน

  1. อย่าหยุดแสดงความรักต่อลูก

"Love ไม่หยุดรัก" ความรักเป็นที่สิ่งที่เด็กอยากได้มากที่สุด รากฐานที่สำคัญจริงๆ คือการสร้างตัวตนให้กับเด็กคนหนึ่งที่จะเติบโตมาแบบมั่นคงทั้งทางร่างกายและจิตใจ พ่อแม่ต้องทำให้เขาตระหนักว่า ถึงแม้เขาจะไม่เก่งแต่เขาก็ยังเป็นที่รัก ถึงแม้เขาจะล้มแต่ก็ยังมีคนคอยประคอง ถึงแม้ว่าเขาไม่มีความสุข แต่ก็จะมีคนๆ หนึ่งรออยู่ในชีวิต ซึ่งสิ่งเหล่านี้เรียกว่าเป็นความรักที่ทำให้ทุกคนในครอบครัวเติบโตไปด้วยกัน เป็นพลังครอบครัวและพลังชีวิตให้กับคนที่เป็นลูกด้วย 

Tips: จัดสภาพแวดล้อมให้เด็กได้ลองพยายามทำสิ่งต่างๆ ที่เหมาะสมตามวัยด้วยตัวเอง เมื่อเขาทำสำเร็จก็ให้คำชื่มชม ให้กำลังใจ สนับสนุนให้ลูกพยายามทำต่อไปแม้รู้สึกว่าสิ่งนั้นยาก แต่ไม่กดดัน หากทำไม่สำเร็จเด็กอาจผิดหวังท้อแท้ ร้องไห้ หรือโกรธ พ่อแม่ควรปลอบโยนให้กำลังใจ สุดท้ายสร้างความเชื่อมั่นในตัวลูก การได้พยายามลองผิดลองถูก จนรู้สึกถึงความสำเร็จที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่จำเป็นต่อพัฒนาการของเด็ก

  1. เลิกอ้างว่าไม่มีเวลาให้ลูก

พ่อแม่ยุคใหม่มักอ้างว่า ‘ไม่มีเวลา’ ทำให้ปิดกั้นโอกาสการเล่นกับลูก บางคนก็ยังไม่เข้าใจว่าเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ก็สามารถช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านต่างๆ ให้ลูกได้ รวมทั้งยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดี และเปิดโอกาสให้พ่อแม่ได้หัดสอนกฎ กติกา และสิ่งต่างๆ รอบตัวให้กับลูกน้อย เพื่อที่ตัวเด็กจะได้สำรวจและเลือกเล่นตามที่เขาต้องการ

เมื่อมีพ่อแม่คอยช่วยเหลือและแนะนำสนับสนุนอย่างใกล้ชิด ก็จะช่วยให้ลูกรับรู้ว่าตัวเองเป็นที่รัก เป็นที่ยอมรับ และมีค่า ได้รับรู้ว่ามีใครบางที่สามารถเชื่อใจและอยู่เคียงข้างเสมอเมื่อมีปัญหา เป็นพลังสนับสนุนให้เขาเติบโตอย่างมีคุณภาพต่อไปในอนาคต

 

พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร กุมารแพทย์เวชศาสตร์วัยรุ่น คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี

5 วิธีเลี้ยงลูกแบบฝรั่ง พ่อแม่ทำได้ ลูกจะเป็นเด็กมีความสุข รับผิดชอบเป็นตั้งแต่ยังเล็ก

วิธีเลี้ยงลูกแบบฝรั่ง, การเลี้ยงลูกแบบฝรั่ง, เลี้ยงลูกแบบฝรั่งดีไหม, เลี้ยงลูกแบบฝรั่งอย่างไร, เลี้ยงลูกแบบฝรั่งมันดีแบบนี้, ชาวต่างชาติเลี้ยงลูก

คุณพ่อคุณแม่เคยสังเกตชาวต่างชาติเลี้ยงลูกไหมคะ ดูปล่อยลูกให้มีอิสระมาก ลุยมาก กล้าคิดกล้าทำ ออกจากบ้านทำงานหาเงินกันตั้งแต่อายุยังน้อย

วิธีเลี้ยงลูกแบบฝรั่งสำคัญตรงพวกเขารู้จักรับผิดชอบกันตั้งแต่เด็ก ๆ เลย เพราะแบบนี้ เราเลยจะนำสไตล์การเลี้ยงลูกแบบฝรั่งมาบอกกัน เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ได้เห็นอีกมุมมองการเลี้ยงลูก อาจมีข้อที่นำไปปรับใช้กับลูกได้นะคะ

  1. พ่อแม่สนับสนุนสิ่งที่ลูกอยากทำ

เมื่อสังเหตเห็นว่าลูกชอบอะไร ก็ต้องสนับสนุนไปให้สุด เช่น ลูกชอบเล่นดนตรี พ่อแม่ก็ควรเชียร์ให้เต็มที่ ซื้อเครื่องดนตรีที่ลูกอยากได้ให้ลูกซ้อมเล่น มีกิจกรรมดนตรีก็พาลูกไปทำ หรือ ถ้าลูกชอบวาดรูป ก็ซื้ออุปกรณ์วาดรูปแบบครบเครื่องให้ลูกเลย เช่น ขาตั้งวาดรูป สี อุปกรณ์การเพ้นท์ เรียกว่าต้องสนับสนุนในด้านที่ลูกชอบและถนัดไปเลย

  1. คิดว่าการมีแฟนเป็นเรื่องปกติ

ตอนเด็ก ๆ เขาจะสอนให้ลูกชายเป็นสุภาพบุรุษ สอนให้ลูกสาวพึ่งพาตัวเองมาก ส่วนเรื่องการมีแฟนอาจจะขัดกับสังคมไทยเล็กน้อย แต่พ่อแม่ฝรั่งจะคิดว่า ถึงเราห้าม เด็กก็มีแฟนอยู่ดี สู้ให้ลูกมี แต่เรารู้ และอยู่ในสายตาเราดีกว่า ครอบครัวจะช่วยลูกเลือกแฟนด้วย



  1. ฝึกให้ลูกรับผิดชอบแบบผู้ใหญ่

สิ่งที่พ่อแม่ฝรั่งคิดคือ พ่อกับแม่ไม่สามารถอยู่เพื่อปกป้องลูกตลอดไปได้ ลูกต้องโตขึ้นและช่วยเหลือตัวเองได้ ควรฝึกลูกด้วยการมอบหมายงานบ้านตามอายุให้ลูก ๆ ตั้งแต่เด็ก ๆ เช่น ลูกอายุ 9 ขวบ ต้องให้อาหารน้องหมา ลูก 6 ขวบ ต้องให้อาหารแมว ลูก 2 ขวบ ต้องเลือกเสื้อผ้าและรองเท้าไปโรงเรียนด้วยตัวเอง และทานข้าวเอง ไม่มีการป้อน พอโตที่จะทำงานได้ ลูกต้องทำงานพิเศษเพื่อหาค่าเทอมไปด้วย เรียนไปด้วยทุกคน

  1. ทำกิจกรรมร่วมกันในครอบครัว

ครอบครัวฝรั่งต้องมีวันหยุดสุดสัปดาห์จะต้องมี Family Time คือการทำกิจกรรมเป็นครอบครัว ให้ทุกคนมาอยู่ร่วมกัน เช่น ตกปลา ย่างบาร์บีคิว และในทุก ๆ ปีจะมีช่วงเวลา “พ่อ-ลูกสาว” และ “แม่-ลูกชาย” คือไปเดทกัน 1 วัน มีโมเม้นต์กุ๊กกิ๊ก และสอนเรื่องการวางตัวกับเพศตรงข้ามให้ลูกด้วย

  1. พ่อและแม่มีเวลาอยู่ด้วยกันสองคน

เรียกว่าต้องเติมความหวานให้กันบ้าง พ่อกับแม่จะทำกิจกรรมร่วมกันหนึ่งอย่าง เช่น ไปเรียนเต้นรำ 1 คอร์ส ไปเรียนทำอาหารด้วยกัน ไปเที่ยวด้วยกันสองคน เพื่อทำให้ชีวิตคู่มีสีสัน และทำให้ลูก ๆ รู้สึกอุ่นใจ ว่าพ่อแม่ยังรักกันมาก ๆ 

ต้องบอกว่าทุกข้อสามารถนำมาปรับใช้กับครอบครัวได้ตามความเหมาะสมเลยนะคะ ไม่ว่าจะเป็น สนับสนุนลูกอย่างเต็มที่ ให้ลูกรับผิดชอบตัวเอง ทำกิจกรรมครอบครัวร่วมกัน ทำกิจกรรมพ่อแม่แบบสองต่อสอง และช่วยลูกคบหาเพื่อน การเลี้ยงลูกแบบฝรั่ง เรียกว่าน่าปรับใช้กับครอบครัวคนไทยมากนะคะ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : หมอจริง เข้าใจวัยรุ่น Dr Jing



 

5 วิธีเลี้ยงลูกให้ติดดิน แบบบ้าน ๆ ของ ชมพู่ อารยา ที่แม่ควรลองทำตาม

 เลี้ยงลูกให้ติดดิน, ชมพู่ อารยา, น้องแฝดสายฟ้า-พายุ, ลูกแฝด, คุณแม่ชมพู่ อารยา, น็อต วิศรุต, เลี้ยงดูลูกแฝด, เลี้ยงแบบติดดิน, น้องแฝด, เลี้ยงลูกให้ติดดินแบบแม่ชม, สายฟ้า พายุ, สายฟ้า, พายุ

เชื่อว่าคุณแม่หลาย ๆ คนกำลังติดตามความน่ารักของน้องแฝดสายฟ้า-พายุ ลูกแฝดแสนซนของคุณแม่ชมพู่ อารยา และคุณพ่อ น็อต วิศรุต ทางอินสตาแกรมอยู่แน่ๆ เพราะนอกจากความน่ารักที่เป็นที่พูดถึงแล้ว การเลี้ยงดูลูกแฝดของแม่ชม ก็เรียกว่าเลี้ยงง่ายๆ ให้ติดดินอีกด้วย

น้องแฝดเสื้อผ้าก็ธรรมดา ของเล่นก็ของใช้ในบ้าน แม่ชมปล่อยให้ลูกเรียนรู้อย่างเป็นธรรมชาติตามวัยมากๆ มาดูสไตล์การเลี้ยงลูกให้ติดดินแบบแม่ชมกันเลยค่ะ

5 วิธีเลี้ยงลูกให้ติดดิน แบบบ้าน ๆ ของ ชมพู่ อารยา ที่แม่ควรลองทำตาม
  1. เลี้ยงตามวัย ตามธรรมชาติ

จะเห็นเลยว่าแม่ชมเลี้ยงน้องแฝดให้อยู่กับดิน กับหญ้า ช่วงที่น้องแฝดกำลังหัดเดินต้องระวังมากขึ้น แต่แม่ชมก็ปล่อยให้น้องเดินเอง ล้มบ้าง ไม่ได้ตกใจหรือเข้าไปประคบประหงมลูกเลย จนน้องแฝดเดินได้ตั้งแต่ก่อนขวบ นี้คงเป็นเพราะการเลี้ยงลูกแบบปล่อยบ้าง ระวังบ้าง จึงทำให้น้องแฝดเดินได้เร็วขึ้น

  1. เล่นแบบลุยๆ บ้านๆ

หลายคลิปเรียกเสียงหัวเราะได้จริง ๆ ของเล่นหรูหราไม่ค่อยเห็นกับน้องแฝดเลยค่ะ จะเห็นก็แต่น้องแฝดเดินไปกินน้ำในก๊อกน้ำ แม่ชมก็ไม่ดุเลย น้องแฝดเล่นสายยาง แม่ชมก็เฝ้ามองด้วยความเอ็นดู เรียกว่าอะไรมีในบ้านก็เล่นไปเลย ไม่ต้องแพง

  1. ซื้อของเซลล์ให้ลูก ไม่ได้หรูหรา

ระดับคุณแม่ซุปตาร์ชมพู่ อารยา ไอคอนด้านแฟชั่นของไทย แต่ซื้อของเซลล์ เสื้อผ้าเซลล์ให้ลูกนะคะ แม่ชมเองก็ได้บอกกันไปแล้วว่า มักจะซื้อของใช้ราคาเซลล์ให้ลูกเพื่อเป็นการประหยัด เด็กค่อนข้างที่จะโตไว ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าและรองเท้าอยู่บ่อยๆ แม่ๆ คนอื่นที่กำลังคิดจะซื้อของแพงๆ ให้ลูกต้องคิดให้ดีแล้วล่ะค่ะ

  1. ซื้อเสื้อผ้าเผื่อโต

ดูไอจีแม่ชมแล้ว จะว่าน้องสายฟ้ากับน้องพายุใส่เสื้อยาวแทบจะถึงเข่า เรียกได้ว่าใส่กันได้ยาวๆ ไม่ต้องเสียเงินซื้อบ่อยๆ และถึงจะมีน้าๆ ป้าๆ ซื้อเสื้อผ้าแพงๆ ให้น้องสายฟ้าและน้องพายุ แต่ก็ยังเห็นทั้งคู่ใส่ชุดซ้ำอยู่บ่อยๆ เลยค่ะ แม่ชมจัดให้เอง ใส่สบายก็ใส่บ่อยๆ ไปเลย

  1. ฝึกกินผลไม้และของง่ายๆ

แม่ชมจะติดแฮชแท็ก #fruitoftheday ในไอจีตลอด ดูแล้วอดยิ้มตามไม่ได้เลย ที่น้องแฝดกินผัก ผลไม้ รวมไปถึงอาหารต่างๆ ในสไตล์ Baby Led Weaning หรือ BLW เน้นให้ลูกกินได้ด้วยตัวเอง ให้อิสระให้การเลือกกิน เมนูข้าวเหนียว ขนมไทย น้องแฝดก็กินอย่างเอร็ดอร่อยมาแล้วค่ะ

การเลี้ยงลูกในแต่ละบ้าน ไม่มีผิดไม่มีถูก เพราะแม่รู้จักพัฒนาการของลูกดีที่สุด สำหรับใครที่ชอบการเลี้ยงลูกสไตล์นี้ของแม่ชม จะลองปรับใช้ให้เข้ากับลูกดูได้นะคะ




 

5 วิธีแก้ปัญหาพี่น้องตีกัน

การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก-การเรียนรู้

5 วิธีแก้ปัญหาพี่น้องตีกัน

ถ้าบ้านเริ่มมีบรรยากาศการทะเลาะกัน อิจฉากันของลูก ๆ คุณพ่อคุณแม่อย่าเพิ่งหนักใจไป เพราะเป็นธรรมชาติของเด็ก ๆ ถ้าคุณพ่อคุณแม่จัดการกับการทะเลาะของลูกได้อย่างถูกต้อง ลูกจะได้ใช้เรื่องนี้เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ที่จะรักและดูแลซึ่งกันและกัน รวมทั้งคนอื่น ๆ ด้วย ซึ่งเรามีข้อแนะนำมาฝากค่ะ

วิธีแก้ปัญหาพี่น้องตีกัน

1.ให้ความใส่ใจและใช้เวลากับลูกเฉพาะคน (คุณกับลูก) ทุกคนเท่าเทียมกันในทุก ๆ วัน วิธีนี้จะทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองก็เป็นคนพิเศษสำหรับพ่อและแม่

2.อย่าเอาลูกมาเปรียบเทียบกัน ไม่ว่าเรื่องใดๆ และไม่เปรียบเทียบลูกกับเด็กอื่นๆในลักษณะที่ทำให้ลูกรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่า

3.สนับสนุนให้ลูกแต่ละคนสนใจในกิจกรรมที่แตกต่างกันไป กิจกรรมที่ต่างกันช่วยลดความรู้สึกอิจฉาในหัวใจน้อย ๆ ของลูกลงได้

4.พยายามให้ลูก ๆ รับผิดชอบและทำงานร่วมกัน เช่น ช่วยกันเก็บของเล่นเข้าที่ หรือร่วมกันจัดโต๊ะอาหาร พ่อแม่ต้องทำให้เห็นว่าการช่วยเหลือกันจะทำให้งานสำเร็จ

5.ใจเย็นเข้าไว้ พยายามแก้ไขข้อขัดแย้งระหว่างลูก ๆ คลี่คลายสถานการณ์ แยกแยะเหตุผลให้ลูกเข้าใจ และไม่ใช้มาตรการว่า "เป็นพี่ต้องเสียสละ" ลูกจะเรียนรู้ได้จากสิ่งที่คุณสอนและบอกเขาค่ะ

5 อาหารที่เด็กต้องระวัง! เสี่ยงท้องเสีย

 การเลี้ยงลูก- หน้าร้อน- อาหารที่ต้องระวังช่วงหน้าร้อน- อาหารเป็นพิษ- ป้องกันอาหารเป็นพิษ- เชื้อโรค- โรคติดต่อทางอาหาร- โรคอาหารเป็นพิษ- อาการของโรค

เรื่องอาหารเป็นสิ่งที่พ่อแม่ต้องดูแลเป็นพิเศษ มาเรียนรู้ 5 อาหารที่ควรระวัง เพื่อป้องกันและดูแลครอบครัวจากโรคอาหารเป็นพิษกันค่ะ 

5 อาหารที่เด็กต้องระวัง! 
  1. อาหารประเภทกะทิ เมนูอาหาร ขนมที่มีส่วนผสมของกะทิ บูดเสียง่าย  
  2. อาหารที่มีแมลงวันตอม มีเชื้อโรคที่ส่งผลเสียต่อร่างกายลูกได้  
  3. อาหารค้างคืน ก่อนกินต้องอุ่นร้อนก่อน ถ้าที่ดีควรกินอาหารปรุงสุกใหม่ดีกว่า  
  4. น้ำดื่ม และน้ำแข็ง หากไม่สะอาดเสี่ยงท้องเสีย  
  5. อาหารทะเล หากปรุงอาหารไม่สุก ไม่สะอาด จะมีเชื้อโรค ทำให้ท้องเสียได้
 
 
การป้องกันและดูแลคนครอบครัวจากโรคอาหารเป็นพิษ

ง่ายที่สุดเลยคือการรับประทานอาหารที่ปรุงสุก ถูกสุขลักษณะ สดใหม่ ไม่ควรทานอาหารที่เก็บไว้นาน หรืออาหารค้างคืนที่ไม่ได้อุ่น ส่วนการดูแลอาการเบื้องต้นเมื่อเกิดอาหารเป็นพิษ โดยปกติส่วนใหญ่การรักษาอาหารเป็นพิษ เราจะรักษาตามอาการ ถ้ามีคลื่นไส้อาเจียนเราก็จะให้ยาแก้คลื่นไส้อาเจียน ถ้าหากว่าถ่ายท้องเราด้วยจะต้องให้น้ำเกลือทดแทน

5 เคล็ดลับพาลูกเล็กเข้านอน

4156

 

เทคนิคปราบเซียนจัดการปัญหาลูกวัย 1-3 ปีไม่นอนกลางวัน หลับยากหลับเย็น หรือห่วงเล่นไม่ยอมนอน ให้กลายเป็นเรื่องง่าย

 

1. จัดเวลานอนกลางวันของลูกอย่าให้ใกล้ช่วงเวลาเย็นมากนัก เพราะจะทำให้ลูกไม่ยอมเข้านอนในเวลากลางคืน

2. พาลูกเข้านอนให้เป็นเวลาทุกวัน เพื่อให้ลูกเกิดความเคยชิน ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การเข้านอนควรเป็นเวลาประมาณ 19.30 – 20.30 น.

3. อย่าพาลูกเข้านอนทันทีหลังจากที่เพิ่งเล่นสนุก ควรพาลูกนั่งพักหรือทำกิจกรรมอย่างอื่นเพื่อให้ลูกสงบลงก่อน

4. สร้างบรรยากาศและพาลูกทำกิจกรรมที่ผ่อนคลายก่อนนอน เช่น การอาบน้ำอุ่นๆ ให้ลูก ปิดไฟในห้องนอน เล่านิทาน หรือเปิดเพลงเบาๆ เพื่อเป็นการช่วยขับกล่อมให้ลูกรู้สึกเพลิดเพลิน จะช่วยให้ลูกหลับง่ายขึ้น

5. ก่อนที่ลูกจะนอนหลับ ควรพาลูกไปเข้าห้องน้ำหรือเปลี่ยนผ้าอ้อมให้เรียบร้อยก่อน เพื่อลดการตื่นนอนกลางดึก

แต่หากยังไม่ถึงเวลานอน แต่เจ้าตัวเล็กแสดงอาการเริ่มง่วง เช่น ขยี้ตาหรือกะพริบตาถี่ๆ คุณแม่ก็ควรรีบพาลูกเข้านอนทันที อย่ามัวรอจนถึงเวลานอนของเขา ไม่อย่างนั้นลิงน้อยจะตาสว่างหายง่วงเสียก่อนค่ะ