facebook  youtube  line

รักลูก The Expert Talk EP 90 : รู้อารมณ์ลูกก็รับมือได้ ทุกสถานการณ์ ทุกอารมณ์

 

รักลูก The Expert Talk Ep.90 : รู้อารมณ์ลูก ก็รับมือได้ทุกสถานการณ์ ทุกอารมณ์

 

จากข้อมูลของกรมสุขภาพจิต ระบุว่า วัยรุ่นไทยอายุ 10-19 ปี ประมาณ 1 ใน 7 คน และเด็กไทยอายุ 5-9 ปี ประมาณ 1 ใน 14 คน มีความผิดปกติทางจิตประสาทและอารมณ์ และจากผลการสำรวจภาวะสุขภาพนักเรียนทั่วโลกในประเทศไทยเมื่อปี 2564 พบว่า 17.6 %ของวัยรุ่นอายุ 13-17 ปี มีความคิดที่จะฆ่าตัวตาย ซึ่งการฆ่าตัวตายคือสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 3 ของวัยรุ่นไทย

 

สาเหตุส่วนหนึ่งของการเป็นโรคซึมเศร้าจนนำไปสู่การฆ่าตัวตายนั้นคือการมีปัญหาพัฒนาการด้านอารมณ์ ซึ่งเป็นปัจจัยที่พ่อแม่สามารถรับมือได้ตั้งแต่เด็ก แต่ละเลยและไม่รู้วิธีการ

 

ฟังวิธีการรับมือกับอารมณ์ลูกจาก The Expert ศ.นพ.วีรศักดิ์ ชลไชยะ หัวหน้าสาขาพัฒนาการและการเจริญเติบโต ภาควิชากุมารเวชศาสตร์

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

รักลูก The Expert Talk EP 91 : สอนลูกรับมืออารมณ์ก่อนเป็นโรคซึมเศร้า

 

รักลูก The Expert Talk Ep.91 : สอนลูกรับมืออารมณ์ก่อนเป็นโรคซึมเศร้า

 

ถ้าอยากฝึกลูกควบคุมอารมณ์ พ่อแม่ต้องฝึกก่อน เพราะการเรียนรู้การจัดการอารมณ์ที่ดีที่สุดคือจากพ่อแม่ และอย่าให้ลูกต้องสุขตลอดเวลา เด็กเรียนรู้จากอารมณ์ลบและความทุกข์ได้ โดยมีพ่อแม่อยู่เคียงข้าง

 

ฟังวิธีการฝึกให้ลูกรับมือกับอารมณ์ของตัวเอง โดย The Expert ศ.นพ.วีรศักดิ์ ชลไชยะ หัวหน้าสาขาพัฒนาการและการเจริญเติบโต ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

วิธีการรับมือจัดการกับอารมณ์

ถ้าอยากจะฝึกลูกต้องฝึกที่พ่อแม่หรือว่าคนเลี้ยงก่อน เพราะว่าหลายครั้งการที่เด็กแสดงอารมณ์อย่างไรก็ขึ้นอยู่กับคนที่อยู่รอบตัว แต่ละบ้านก็แตกต่างกัน บางวัฒนธรรมหรือบางคนก็อาจจะรู้สึกว่าเราไม่ได้อยากพูด หรือบอกแสดงความรู้สึกอารมณ์อะไรออกมา แต่จริงๆ แล้วการจะรับมือกับอารมณ์ของลูกผมอยากให้พ่อแม่มองอย่างนี้ว่า ทุกคนมักจะชอบอารมณ์ลูกในด้านบวก ดีใจ ยิ้ม น่ารัก เราอยากให้ลูกเราอารมณ์ดีตลอดเวลา ซึ่งในความเป็นจริงมันไม่มีทาง อยากให้มองว่าลูกสามารถเรียนรู้จากอารมณ์เชิงลบได้ อารมณ์เชิงลบถ้าเรียนรู้ได้ดี มันทําให้เขาพัฒนาตัวเองแล้วทําให้เขาสามารถจัดการกับอารมณ์เชิงลบไม่ว่าจะเป็นโกรธ เสียใจ ผิดหวังอะไรต่างๆ ได้ เมื่อเขาโตขึ้น

สิ่งสําคัญเลยก่อนที่คุณพ่อคุณแม่จะเข้าไปช่วยเขา พ่อแม่ต้องคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้ก่อน หลายครั้งก็คือเราต้องสูดหายใจเข้าลึกๆ เลย เพราะว่าบางครั้งพอเราคุมอารมณ์เราไม่ได้ มันจะยิ่งทําให้เราใส่อารมณ์เราเข้าไปกับลูกมากขึ้น เลยทําให้อารมณ์เชิงลบของเขามันเกิดนานขึ้น ลองนึกภาพอารมณ์เชิงลบเหมือนไฟ คําพูดหรืออะไรต่าง ๆ น้ําเสียงของเราเข้าไป มันจะเหมือนเรากําลังโยนน้ํามันเข้าไป หรือเราโยนพวกฟืน พวกกระดาษเข้าไป ให้มันยิ่งเผาไหม้มากขึ้น ไฟเวลามันเกิดขึ้นมันต้องดับได้

ดังนั้นเราควรจะต้องเริ่มฝึกตั้งแต่ไฟมันเริ่มน้อยๆ ลูกหงุดหงิดอะไรนิดหน่อย จริงๆ ต้องเริ่มรู้แล้วนะครับว่าเป็นยังไง แต่ก่อนที่จะมาถึงอารมณ์เชิงลบ ถ้าคุณพ่อคุณแม่หลายท่านพอทราบแล้วรู้natureลูกเราอย่างที่เมื่อกี้กล่าว เรื่องของพื้นอารมณ์ เช่น เป็นเด็กที่แบบอะไรนิดนึงก็ไม่ได้ ถ้าเราป้องกันได้ก็จะดี ยกตัวอย่างเช่น สมมติวันนี้เราไปเที่ยวกัน เรารู้เลยว่าไปเที่ยวที่นี่ มันจะต้องมีตัวกระตุ้นตรงนี้ ถ้าสมมติว่าลูกเดินผ่านตรงนี้ ลูกจะต้องอยากได้แน่นอน อย่างนี้ครับเราต้องรู้เขารู้เรา ดังนั้นวันนี้ก่อนออกจากบ้านเราต้องเตรียมการเลยครับ ลูกวันนี้เราจะออกไปข้างนอกไปซื้อของ แล้วก็เราจะแวะไปตรงนี้ๆ ไปถึงนี่เราจะทําอะไรบ้าง เสร็จแล้วเรากินอาหารเสร็จกลับบ้าน วันนี้เราไม่แวะซื้อของเล่นนะ ก็เป็นการป้องกันตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อจะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดอารมณ์เชิงลบแบบนั้น

สะท้อนอารมณ์ลูก ช่วยลดอารมณ์เชิงลบ

แต่ถ้าเมื่ออารมณ์เกิดขึ้นแล้ว สิ่งสําคัญก็คือคุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องนอกจากตั้งสติเแล้ว เราจําเป็นที่จะต้องพูดบอกอารมณ์ลูกหรือว่าสะท้อนอารมณ์ อันนี้เป็นคีย์เวิร์ดสําคัญ ซึ่งจากประสบการณ์ที่ทํางานผมคิดว่าพ่อแม่จํานวนมาก อาจจะไม่ค่อยพูดบอกอารมณ์อย่างนี้กับลูก การพูดบอกอารมณ์ของลูก เช่น ลูกกําลังเสียใจ ลูกโกรธ ลูกหงุดหงิด แต่สิ่งสําคัญคือพ่อแม่ต้องพูดบอกอารมณ์เขาด้วยน้ําเสียงที่ค่อนข้างกลางๆ เพราะลูกสามารถจะจับอารมณ์ความรู้สึกของพ่อแม่ได้หมดมันจะยิ่งทําให้อารมณ์เค้าเกิดขึ้นมากขึ้นได้

การที่เราพูดบอกอารมณ์ของลูกออกมาหรือการสะท้อนอารมณ์ของลูก ไม่ได้แปลว่าจะทําให้อารมณ์ของลูกสงบลงทันที ต้องดูลักษณะนิสัยลูกเราด้วยนะครับ การที่เราพูดอย่างนี้วัตถุประสงค์เพื่อทําให้เด็กรับรู้ได้ว่า พ่อแม่หรือคนเลี้ยงเข้าใจว่าตอนนี้เขารู้สึกอย่างไร ดังนั้นเราก็แค่พูดบอกและสะท้อนอารมณ์ออกมา แต่คุณพ่อคุณแม่บางท่านก็เล่าให้ผมฟังว่า บางทีพอบอกไปลูกยิ่งหงุดหงิดร้องกว่าเดิม แสดงว่าเขาอาจจะไม่ชอบสไตล์แบบนี้ก็ได้ก็แล้วแต่บ้าน บางครั้งเราก็อาจจะพูดให้น้อยลงหรือรอจังหวะและแค่บอกเขานะครับว่า ลูกกําลังโกรธ หงุดหงิดเดี๋ยวลูกอยู่ตรงนี้ก่อน พออารมณ์ดีเราค่อยคุยกันนะ

แต่สิ่งสําคัญที่ผมอยากจะเน้นนะครับว่าเมื่อไหร่ก็ตามลูกมีพฤติกรรมที่เรียกว่าก้าวร้าวโดยแสดงอารมณ์ออกมามากขึ้นแล้วทําร้ายตัวเอง ทำร้ายคนอื่นหรือทำลายข้าวของ จําเป็นที่จะต้องช่วยให้เขาสงบให้ได้ไว ถ้าลูกยังเล็กให้จับมือแล้วพูดว่าลูกกัดแม่ไม่ได้ น้ําเสียงนิ่ง ชัดเจน หรือหากกำลังดิ้นโวยวายละวาด บางบ้านถึงขั้นเอาผ้าห่มมาพันตัวลูก คือทําอย่างไรก็ได้ให้เขาสงบ แม้จะดิ้นไปดิ้นมา แต่สุดท้ายถ้าเขารู้ว่าพ่อแม่เอาจริง เขาจะค่อยๆสงบเอง ซึ่งก็ไม่ง่ายสำหรับคุณพ่อคุณแม่นะครับ แต่ว่าต้องฝึกเขาเพราะว่าไม่อย่างนั้นถ้าเขาไม่เคยถูกควบคุมแบบนี้จากภายนอกเขาจะไม่สามารถควบคุมตัวเองจากภายในได้ อย่างที่กล่าวไปใน epก่อนหน้านี้

ดังนั้นเวลาเขาโกรธโมโหเขาอาจจะไปทําร้ายเพื่อนหรือไปกัดเพื่อน ถ้าอารมณ์รุนแรงถึงขั้นก้าวร้าวจําเป็นที่จะต้องช่วยให้เขาสงบแล้วพอลูกสงบเสร็จ เราถึงค่อยอธิบายหรือสอน บ้านเราส่วนใหญ่ที่ผมเจอคุณพ่อคุณแม่มักจะชอบสอนหรืออธิบายเยอะมากเลย แต่เวลาที่อารมณ์ไม่พร้อม สมองส่วนอารมณ์ตอนนั้นมันกําลังทํางานเยอะอยู่ สมองส่วนเหตุผลจะยังไม่มา ดังนั้นต้องรอให้สมองส่วนอารมณ์ทํางานได้ดีแล้วก็คุมได้ก่อน แล้วสมองส่วนเหตุผลเขาจะเปิดใจรับฟัง ตอนนั้นคุณพ่อคุณแม่สอนอะไรเขาก็จะเริ่มฟังมากขึ้น

ช่วยลูกออกแบบวิธีจัดการอารมณ์

พออารมณ์สงบจริงๆ บางคนอาจจะไม่อยากพูดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาเพราะว่าบางคนรู้สึกว่าเหมือนเป็นการกระตุ้นต่อไป แต่ผมคิดว่าเราสามารถที่จะเรียนรู้จากสิ่งนี้ได้นะครับก็คือพอเขาอารมณ์ดีจริงๆ เช่น ผ่านการเล่นอะไรไปค่อยค่อยคุยกัน เช่น เมื่อกี้ลูกโกรธมากเลย ที่ไม่ได้ซื้อของเล่นอย่างที่บอก งั้นครั้งหน้าถ้าลูกโกรธเราทํายังไงกันดีนะ อันนี้ก็เป็นอีกวิธีขั้นตอนต่อๆไปในการที่จะฝึกหรือสอนให้ลูก เรียนรู้ว่าเวลาโกรธ เขาจะรับมือจัดการกับอารมณ์โกรธยังไงบ้าง เช่น คุณพ่อคุณแม่อาจจะสาธิตว่าถ้าแม่โกรธเรามาเล่นเกมกันดีกว่า ถ้าเวลาพ่อแม่โกรธพ่อแม่ทํายังไงกันบ้าง เช่น นับ1 ถึง 10 แม้ลูกจะยังไม่หายโกรธ เราก็ชมระหว่างทางที่เขากําลังคุมอารมณ์อยู่ หลายครั้งบางทีลูกร้องโวยวายแต่ว่าเริ่มสงบลงก็ชมได้

แต่ต้องบอกว่าเด็กเล็กอายุ3-5ปี บางทีเรายิ่งพูดเหมือนบางคนจะเหมือนเติมเชื้อไฟ ลูกบางคนจะรู้สึกเหมือนว่าเกือบจะได้แล้ว แปลว่าพ่อแม่กําลังมาง้อแล้ว เราต้องเล่นใหญ่อีกนิดนึง ดังนั้นพ่อแม่ต้องรับรู้นะครับว่าบางทีไฟมันไม่ได้ดับสนิทแบบนี้ บางทีพอดับปุ๊บเราพูดไปนิดนึงเหมือนเราจะไปช่วยนะครับ เพราะเด็กบางคนขึ้นแล้วค้างนานลงไม่เป็น พอเราไปช่วยปรากฏร้องขึ้นมาอีกเหมือนเดิม เราก็ใช้หลักการเหมือนเดิมคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้ก่อนแล้วค่อยไปจัดการที่ลูก

ปัจจุบันมีหนังสือนิทานเยอะมากเลย เด็กๆโดยเฉพาะวัยที่เขาเริ่มฟังนิทานเยอะๆ เราสามารถจะเอาหนังสือนิทานเหล่านี้มาสอนเขาได้เลย สามารถพูดแล้วก็คุยกัน เพราะว่าในหนังสือนิทานบางทีจะมีวิธีพูดบอก เช่น เวลาโกรธเราทําอะไรได้บ้าง เช่น เป่าลูกโป่งแล้วปล่อยให้มันลอยไป เปลี่ยนเรื่องไปวาดรูประบายสี ปั้นดินน้ํามัน ปั้นแป้งโดว์

เป็นแบบอย่างจัดการอารมณ์

1.พ่อแม่ต้องพัฒนาสติหรือบางคนเรียกว่าเจริญสติของตัวเอง ทุกคนมีเวลา 24ชั่วโมงเท่ากันแต่เราให้คุณค่ากับสิ่งต่างๆไม่เท่ากัน บางทีแค่เราอยู่เฉยๆไม่ดูโซเชียลไม่อะไร หายใจเข้าออกลึกๆก็ได้ คือแต่ละคนอาจจะมีวิธีการอยู่กับตัวเองแตกต่างกันให้ตัวเองมีช่วงเวลาสงบ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามเรารู้จักตัวเองได้ดีพอทําให้เรารู้เท่าทันอารมณ์ตัวเองได้ไว แล้วพอเรารู้เท่าทันอารมณ์ตัวเองได้ไว เวลาลูกเกิดอารมณ์อะไรที่ไม่โอเค เราก็เข้าไปจัดการหรือรับมือได้อย่างมีสติมากขึ้นนะครับ

2.เป็นแบบอย่างที่ดี หลายครั้งเลยครับเด็กเลียนแบบคุณพ่อคุณแม่ บางคนพ่อแม่ก็เป็นสไตล์ขี้งอนไม่ต้องแปลกใจเลยครับ ดังนั้นมันก็คงหลีกเลี่ยงกันได้ยาก เพราะว่าลูกไม้ก็หล่นใต้ต้นอยู่แล้ว ดังนั้นอะไรก็ตามที่คิดว่าไม่ดีก็ไม่ต้องทำให้ลูกเห็น พ่อแม่เองก็สามารถบอกอารมณ์ตัวเองกับลูกได้นะครับ เช่น ตอนที่น้องอารมณ์ไม่ดีแบบนี้แม่ก็อารมณ์ไม่ดีเหมือนกัน แม่เนี่ยขนาดตัวแม่เองเป็นผู้ใหญ่บางทีแม่ยังคุมอารมณ์ยากเลย เพราะฉะนั้นสําหรับน้องเนี่ยแม่คิดว่ายิ่งยากขึ้นเนาะ งั้นเดี๋ยวเรามาช่วยกันดีกว่าว่าเราทํายังไงกันดี

การที่คุณพ่อคุณแม่บอกอารมณ์ของตัวเองกับลูกก็จะทําให้เหมือนเราเป็นตัวอย่างด้วยนะครับว่าเราทํายังไง ดังนั้นเนี่ยเวลาเราอารมณ์ หงุดหงิด ไม่พอใจอะไรต่าง ๆ นอกจากเรามีสติเรารับมือกับอารมณ์ได้ดีคุณพ่อคุณแม่ต้องทําให้เห็นนะครับว่าเราจะต้องทําอย่างไรได้บ้าง ที่จะไม่แสดงออกทางอารมณ์ที่รุนแรงให้ลูกเห็น

3.ไม่ลงโทษลูกด้วยความรุนแรง หลายครั้งความรุนแรงที่เกิดขึ้นเนี่ยมันไม่ได้เกิดจากการตีอย่างเดียวหรือทําร้ายลูกอย่างเดียวแต่ว่ามันเกิดจากคําพูดยิ่งเราโกรธคําพูดเรา บางทีมันเชือดเฉือนยิ่งทําร้ายมาก บางทีบาดแผลกายหายแล้วแต่บาดแผลทางใจมันยังคงอยู่ตลอดไป ซึ่งหลายๆ ท่านก็คงไม่ได้อยากเห็นลูกเรา จําเราได้ในด้านไม่ดี ซึ่งตรงนี้มันไม่ได้แปลว่าเราจะต้องเป็นนางฟ้าตลอดเวลาสําหรับลูก แต่ว่าอย่างน้อยเราควรจะมีโมเมนต์ที่ดี มากกว่าโมเมนต์ที่ไม่ดี มันไม่มีทางเป็นไปได้ที่เราจะมีโมเมนต์ที่ดีทั้งหมด แต่อย่างน้อยมีโมเมนต์ที่ดีกับมากกว่าไม่ดี อย่างน้อยมันก็เป็นต้นทุนที่จะทําให้ลูกรับรู้ได้ว่า เวลาเขาไม่พอใจ หงุดหงิด โมโหต่อไปเขาจะมาหาใครได้บ้าง ดังนั้นความสัมพันธ์อันดีระหว่างพ่อแม่กับลูก เป็นเกราะป้องกันเลยสําหรับการเกิดปัญหาทางด้านอารมณ์ต่อไปในอนาคต

พ่อแม่จัดการอารมณ์ได้ดีเกราะป้องกันเมื่อลูกเป็นวัยรุ่น

โดยธรรมชาติวัยรุ่นต้องการค้นหาอัตลักษณ์ของตัวเองว่าจะพัฒนาเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่แบบไหน ดังนั้นเป็นธรรมชาติที่เขาจะต้องไปหาเพื่อนติดเพื่อนมากกว่าติดพ่อแม่ ดังนั้นเขาจะค่อยๆ เรียนรู้ไปว่าเพื่อนคนนี้เป็นยังไง คนนี้นิสัยเป็นยังไง ถ้าเรายิ่งสนิทกับลูกมากตั้งแต่ตอนเล็กๆ มีอะไรเขาก็จะกล้ามาเล่าให้เราฟัง ซึ่งอันนี้เป็นจังหวะที่ดี แม้กระทั่งขับรถรถติด แล้วลูกเล่าเรื่องเพื่อน เราก็ฟัง เป็นยังไงบ้างล่ะลูก แล้วลูกคิดว่ายังไง จริงๆ การworkกับลูกวัยรุ่นเนี่ยง่ายมากเลยฟังให้เยอะแล้วตัดสินให้น้อย พยายามอย่าไปตัดสินคือควรจะต้องเข้าไปอยู่ในโลกของลูกด้วย เทรนด์อะไรใหม่ๆ เราก็ฟังกับเขาไปด้วยจะทําให้ลูกเปิดใจมากขึ้น

เมื่อเกิดอารมณ์เชิงลบอย่ามองว่าเป็นศัตรูของลูก คนเราทุกคนลองนึกภาพของตัวเรากว่าคนเราจะเติบโตมาถึงขั้นนี้เราต้องเจอทั้งอารมณ์เชิงบวกเชิงลบ การที่เรารับมือกับอารมณ์เชิงลบได้ดีเราได้ทําให้ลูกเรียนรู้ในชีวิตจริงนะ เพราะชีวิตจริงเราต้องเจอกับสิ่งที่ผิดหวัง เสียใจ ไม่ได้ดั่งใจ หงุดหงิด อะไรต่างๆ ยิ่งถ้าลูกเรียนรู้รับรู้อารมณ์ตัวเองได้ไว แล้วเรียนรู้ที่จะจัดการกับอารมณ์ได้อย่างดี มันจะยิ่งทําให้เขาเนี่ยสามารถค่อยๆ เติบโตมากขึ้น มีภูมิต้านทานทางด้านทางจิตใจหรืออารมณ์ มันต้องผ่านการฝึกฝนโดยเขาแค่อาศัยพ่อแม่ ผู้เลี้ยงดูที่เปรียบเสมือนเขาเรียกเป็นนั่งร้าย เป็นโครงสร้างที่คอยค้ําจุนพยุง เพื่อไม่ให้โครงสร้างนั้นมันหล่นลงมา

ไม่จําเป็นที่เวลาลูกเผชิญกับความไม่โอเค ไม่พอใจแล้วเราต้องเข้าไปช่วยจัดการทุกอย่างเพราะสุดท้ายแล้วลูกก็สามารถเรียนรู้จัดการด้วยตัวเองได้ระดับหนึ่ง แล้วเราควรจะต้องชื่นชมยินดีกับเขาด้วย เราเองมีหน้าที่รับฟังและอาจจะช่วยเติมในจุดที่คิดว่าน่าจะเป็นไปได้เพื่อทําให้ลูกเรียนรู้ที่จะคิดถึงวิธีต่างๆ มากขึ้น ดังนั้นเนี่ยครับเราเป็นแค่นั่งร้านแต่สุดท้ายลูกจะภูมิใจนะครับ สิ่งสําคัญคือลูกจะภูมิใจว่า ฉันเองก็สามารถรับมือกับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้ แล้วเด็กที่มีภูมิต้านทานแบบนี้ผมคิดว่า เขาจะห่างไกลจากพวกโรคหรือภาวะที่มีปัญหาทางด้านอารมณ์ เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล

เช็กเบื้องต้นลูกมีปัญหาด้านอารมณ์ คีย์หลักๆ คือถ้าลูกเบื่อไม่อยากทําอะไรที่เคยอยากทําเหมือนเดิม เช่น ลูกชอบวาดรูป เล่นกีฬา แต่จู่ๆ ไม่อยากเล่น เบื่อ แสดงว่าลูกอาจจะถึงขั้นที่ อาจจะมีความผิดปกติทางด้านอารมณ์ หรือลูกมีอารมณ์เศร้า ซึ่งแบบนี้พ่อแม่ต้องพอจะรู้แนวโน้มว่าลูกมีลักษณะพื้นฐานเป็นอย่างไร ถ้าเมื่อไรก็ตามลูกแบบเก็บตัว อยากอยู่คนเดียว เศร้าหรือถ้าอารมณ์เศร้าอาจจะสังเกตยาก แต่เขาจะมาด้วยอารมณ์หงุดหงิด อะไรนิดหน่อยก็ขึ้นง่าย ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ก็ควรจะรีบพาไปปรึกษาคุณหมอ

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

รักลูก The Expert Talk EP.09: เลี้ยงลูกเชิงบวก ตอน "พ่อแม่มีอยู่จริง สร้างฐานที่มั่นทางใจของลูก"

คลี่คลายปัญหาความสัมพันธ์ในบ้าน ด้วยการสร้าง Family Attachment เพราะฐานที่มั่นทางใจที่แข็งแรง จะสามารถสู้อุปสรรค ให้ล้มแล้วลุกได้ สร้าง Family Attachment กับ ผศ. ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร อาจารย์ประจำสถาบันแห่งชาติ เพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล

Family Attachment คืออะไร

เรื่องของความผูกพันในครอบครัว ถ้าถามว่ามันคืออะไร คือ ฐานที่มั่นทางใจ ถ้าเราบอกว่าฐานที่มั่นทางใจเหมือนคนเราต้องมีฐานทัพ ทัพเราแข็งแค่ไหน ฐานก็ต้องแข็งกว่า คนเราก็ออกไปต่อสู้โจมตีข้างนอก ก็ต้องมีอู่ข้าวอู่น้ำ แต่ถ้าเราฐานที่มั่นทางใจที่ดีเราก็จะมีอู่ข้าวอู่น้ำทางใจ เราออกไปข้างนอกไปสู้รบปรบมือกับใครกลับมาเราก็ยังมีที่ๆ ให้เราคอยพักพิง มีที่ๆ ค่อยทำให้จิตใจเราคลายกังวล ก็ไปสู้รบปรบมือได้ใหม่ อันนี้ในแง่ของการสู้รบปรบมือ

แต่ถ้าเราไม่ต้องไปสู้รบปรบมือกับใครคุณค่าของพวกเรา เราจะออกไปพิชิตอะไรสักอย่าง แล้วพิชิตให้ใคร ลองนึกถึงว่าถ้าเราประสบความสำเร็จแล้วมีคนมายินดีกับเราด้วย ฐานที่มั่นทางใจคอยสนับสนุนเรา พอเราสำเร็จก็ยินดีกับเรามันน่าจะมีความสุข แต่ถ้าเกิดเราทำอะไรสำเร็จแล้วดีใจคนเดียว เหงานะแค่คิดก็เหงา

ถึงเราจะประสบความสำเร็จมากแต่ไม่มีทัพหลังคอย Support เพราะฉะนั้นเรื่องของความผูกพันในครอบครัวคือฐานที่มั่นทางใจของมนุษย์คนหนึ่ง ที่เรามีปัญหาอะไรมีคนอยู่ข้างๆ เราประสบความสำเร็จอะไรมีคนดีใจกับเรา เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องของอาหารใจที่เราต้องการ ทางร่างกายก็ต้องการข้าวต้องการน้ำ ถ้าเป็นอาหารใจจิตใจเราจะแข็งแกร่ง จิตใจเราจะมั่นคงเราสามารถสู้อุปสรรคได้ ล้มได้ลุกได้ ฐานที่มั่นทางใจสำคัญมาก

สร้างฐานที่มั่นทางใจ

ถ้าถามว่าความรักอย่างเดียวพอไหม เรื่องของความรักเป็นเรื่องของความรู้สึก ความรู้สึกจะมีอาการของมันมีการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตามอารมณ์ แต่ความมั่นคงทางจิตใจมันเกี่ยวข้องกับเรื่องของความผูกพัน รักอย่างเดียวพอไหม เรื่องของความรักเป็นเรื่องของความรู้สึก เป็นเรื่องของความรู้สึกที่ดี ที่ทำให้เราหลงใหลทำให้เรารู้สึกอยากเข้าไปเรียนรู้หรืออยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

แต่ความรักมันจะแปลกพอเราได้ลิ้มรสมันแล้วก็จะทำให้ความรู้สึกของเราเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ถ้ารักอย่างมั่นคงรักและให้มันพัฒนาต้องอาศัยการฝึกฝนด้วย เราจะรักอย่างไรให้พัฒนาทั้งแม่ทั้งลูกทั้งพ่อคือพัฒนาทั้งครอบครัว เพราะฉะนั้นถามว่ารักอย่างเดียวพอไหม ไม่พอ รักแล้วเราต้องรู้วิธีที่จะรักษาความรัก รวมไปถึงให้ทุกคนให้คุณค่าและให้ความสำคัญกับความรักของครอบครัวถ้าเราพาไปจนถึงจุดนี้ได้อะไรเราก็ผ่านไปได้

รักลูก ตามใจลูก คือการสร้างฐานที่มั่นทางใจ?

เวลาที่เราเห็นพ่อแม่ตามใจลูกครูหม่อมจะไม่ได้มองเห็นว่าพ่อแม่ตามใจลูก แต่ครูหม่อมกำลังเห็นพ่อแม่ตามใจตัวเอง เวลาที่คุณพ่อคุณแม่จำเป็นต้องฝืนใจตัวเองเพื่อที่จะสอนลูกไปในทางที่ถูกที่ควร แน่นอนพ่อแม่ไม่อยากเสียอารมณ์ไปกับลูกไม่อยากจะทะเลาะกัน

เพราะฉะนั้นการตามใจเป็นอะไรที่ง่ายที่สุด แล้วตัวของคุณพ่อคุณแม่เองมีความคาดหวังกับลูกก็จริง แต่ที่เราไม่รู้เท่าทันก็คือเราค่อนข้างคาดหวังกับตัวเองว่าเราจะหาทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ให้กับลูกให้ได้โดยที่เราไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้นทำอย่างไรละให้รู้สึกว่าเราสมหวังแล้วในการคาดหวังตัวเองโดยที่เราไม่รู้ตัวว่าเราต้องหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูก กดดันตัวเอง กดดันมากๆ ไม่รู้ทำอย่างไร เพราะฉะนั้นการที่เราตามใจลูก มันเหมือนทำให้การคาดหวังของตัวเองมันสำเร็จได้ง่าย

เราจะเห็นได้ว่าคุณพ่อคุณแม่จะมีตั้งแต่ไม่ให้พอลูกง้อมากๆ ก็ให้ด้วยการตัดความรำคาญ อารมณ์ดีให้ อารมณ์เสียไม่ให้ การที่เราอารมณ์เสียแล้วต้องพูดจาดีๆ กับลูกเราก็ไม่ต้องตามใจตัวเอง ตามใจอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ฉะนั้นเวลาที่ครูหม่อมเห็นคุณพ่อคุณแม่ตามใจลูก คุณพ่อคุณแม่เหวี่ยงลูก สิ่งที่ครูหม่อมเห็นไม่ใช่คุณพ่อคุณแม่ตามใจลูกครูหม่อมกำลังเห็นคุณพ่อคุณแม่ตามใจตัวเองอยู่

เพราะฉะนั้นการตามใจตัวเองเป็นเรื่องของคนเดียว ถ้าเราพูดถึงความสัมพันธ์ในครอบครัว ความสัมพันธ์ในที่ทำงาน ความสัมพันธ์ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งมันต้องเป็นเรื่องของกันและกัน เราต้องทะเลาะกับตัวเองให้เสร็จแล้วเราจะไม่ทะเลาะกับคนอื่น

Family Attachment เริ่มสร้างตั้งแต่เมื่อไหร่

เริ่มได้เลย เมื่อไหร่ที่เราจะเริ่มที่จะเป็นครอบครัว เราต้องเริ่มสร้างได้เลยเรื่องของครอบครัวเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ การที่เราเริ่มเป็นแฟนกันศึกษากันและกันเริ่มแล้วนะที่เราต้องค่อยๆ ปรับตัวเป็นแค่หนึ่งเดียวไม่ได้ เมื่อไหร่ที่เราเริ่มรู้สึกว่าฉันอยู่ของฉันเองได้ไม่ต้องตามใจเธอไม่ต้องมีเธอก็ได้ อย่าเพิ่งมีครอบครัวยังไม่พร้อม การมีครอบครัวก็คือเราต้องมีกันและกัน

คำถามที่ครูหม่อมมักจะถามลูกศิษย์ เวลาที่เราจะแต่งงานเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราพร้อม ทุกคนก็จะตอบว่าเมื่อมันถึงเวลา นี่คือคำตอบเมื่อมันถึงเวลา เวลานั้นคือเวลาอะไร ครูหม่อมก็จะถามต่อ เขาก็จะตอบ ก็น่าจะเรียนจบ ก็น่าจะทำงานได้ มีบ้านมีรถ ครูหม่อมจะบอกเลยว่าถ้าอย่างนั้นยังไม่ใช่ ยังไม่พร้อมถ้าเกิดมันยังไม่ชัด สิ่งที่ครูหม่อมจะถามคือพร้อมร่วมทุกข์ร่วมสุขหรือยัง เมื่อไหร่ที่คิดว่าตัวเองพร้อมร่วมทุกข์ร่วมสุขกับคู่เราได้

Family หรือครอบครัวจะเกิด ครอบครัวไม่ได้อยู่ที่บ้านครอบครัวไม่ได้อยู่ที่รถ ครอบครัวอยู่ที่เรา คนบางคนอาจไม่รู้ตัว แต่ครูหม่อมเจอคนหลายคนมากที่ถามว่าแต่งงานรู้ได้อย่างไรว่าพร้อม เขาก็ตอบว่ารอคนนี้เรียนจบ รอเขาได้งานก็เท่ากับพร้อม ครูหม่อมถามต่อว่ายังทะเลาะกันอยู่ไหม เขาตอบว่าคู่เราไม่เคยทะเลาะกันเลย ครูหม่อมก็จะทดไว้ในใจ แล้วค่อยๆ ตั้งคำถามขึ้นมาว่าแล้วถ้าเกิดเขาไม่มีงานจะแต่งงานกันไหม เขาก็ตอบว่าไม่แต่ง แล้วถ้าแต่งงานไปแล้วเขาตกงานจะทำอย่างไรจะหย่าหรือ

เพราะฉะนั้นพร้อมร่วมทุกข์ร่วมสุขกับใครได้เมื่อไหร่ Family Attachment จะเกิดขึ้น ไม่ใช่ร่วมทุกข์แล้วไม่มีทางสุข หรือไม่ใช่ร่วมสุขอย่างเดียวพอทุกข์แยกกัน คำตอบแรกคือเริ่มที่ตัวเราสองคน

อันที่สองที่อยากให้ฝึกๆ กันไปก็คือเมื่อไหร่ที่เราเริ่มมีใจอีกคนมาอยู่ในตัวเรา ทำอะไรก็ต้องคิดถึงเขาทำอะไรจะพูดอะไร แน่นอนพวกเราอยู่ตัวคนเดียวอยากพูดอะไรอยากนอนท่าไหนอยากทำอะไรทำได้ แต่ถ้าพอเรามีอีกคนเข้ามาจะต้องมีการฝึกตัวเองอะไรที่เราเคยทำบางอย่างเราอาจจะได้ทำมากขึ้นก็ได้ แต่บางอย่างเราอาจจะได้ทำน้อยลงก็ได้ ถ้าเราฝึกฝืนได้เราก็อาจจะมีความสุขกับคนนี้ได้ มีลูกเรื่องง่ายไหม มันขัดเกลาตัวเองมาทีละระดับ

ครูหม่อมกำลังจะบอกว่า Family Attachment มีขั้นมีตอนของมัน เมื่อกี้เราร่วมทุกข์ร่วมสุขกันได้ละ อันที่สองคือเราเริ่มขัดเกลาตัวเองได้แล้วยอมรับความไม่น่ารักของกันและกันได้บ้างแล้ว อันนี้ครูหม่อมเรียกตามพัฒนาการด้านตัวตนด้วย แล้วก็เรียกตามคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ มักจะเรียก ขั้นแรกเป็นขั้นที่แม่มีอยู่จริงสำหรับเด็กๆ ถ้าเราถามว่า Family Attachment กับลูกเราควรสร้างเมื่อไหร่ คือลูกเกิดมาเมื่อไหร่พยายามทำตัวเองให้เป็นคุณพ่อคุณแม่ที่มีอยู่จริง เรากำลังพูดถึงความสัมพันธ์ที่พอเราเริ่มเป็นครอบครัวสามีภรรยา ภรรยาคุณก็ต้องมีอยู่จริง ภรรยาก็ต้องมีสามีที่มีอยู่จริง

พ่อแม่มีอยู่จริง

คำว่า มีอยู่จริงหมายความว่าอะไร มีอยู่จริงหมายความว่า มีอยู่แม้ไม่เห็นด้วยสายตา แม้ว่ามือสัมผัสไม่ได้แต่มีอยู่ นั้นแปลว่าไม่เห็นภรรยาอยู่ในสายตาแต่มีภรรยาอยู่ ความเกรงใจเกิดขึ้น ไม่มีสามีมาด้วยแต่สามีก็ยังอยู่กับเราการวางตัวพฤติกรรมของเราจะเป็นไปตามนั้น ไม่มีคำว่าแอบทำ ไม่มีคำว่าโกหก แต่อย่างไรก็ตามคำว่ามันมีอยู่จริง ยังเกี่ยวข้องกับถ้าเรารู้สึกว่าสามีเรามีอยู่จริงมันไม่ได้อยู่ที่ว่าแต่งงานแล้วเท่ากับสามีมีอยู่จริง หรือแต่งงานเท่ากับภรรยามีอยู่จริง มันอยู่ที่ภรรยาเราหรือสามีเราทำตัวอย่างไรด้วยให้มีอยู่จริง

เพราะฉะนั้นก็กลับมาที่ตัวเราพอเราเริ่มแต่งงานกันแล้วตัวเราเองก็ต้องเป็นภรรยาที่มีอยู่จริง ภรรยาหรือสามีที่มีอยู่จริงคือสามารถตอบสนองความต้องการพื้นฐานทางจิตใจของคู่เราได้

คำว่าความต้องการพื้นฐานทางจิตใจร่างกายเรารู้เรื่องของอาหาร ยารักษาโรค การนอนหลับพักผ่อน แต่ทางจิตใจมันคือความรัก ความปลอดภัยทางอารมณ์ ถ้าเกิดเรานอกใจกันสามีเรามีอยู่จริงไหมหรือเป็นของคนอื่นด้วย หรือในยามที่เราต้องการความช่วยเหลือสามีเราอยู่ไหมถ้าเกิดสามีเราอยู่เราก็จะรู้สึกว่าสามีเรามีอยู่จริง

เมื่อไหร่ที่เรารู้สึกมั่นคงในความรัก มั่นคงว่าสามีเรามีอยู่จริงเราไปไหนทำอะไรก็ได้สบายใจ สามีเราก็เช่นกันถ้าเราเป็นภรรยาที่มีอยู่จริงคอย Support ทางจิตใจ กลับมาถึงหิวไหม เหนื่อยไหม หรือกลับมาถึง ไปไหนมา จริงหรือเปล่า เพราะฉะนั้นตรงนี้ก็ฝึกไปเลยแม้ว่าเราจะรู้สึกว่ากลับมาบ้านแล้วฉันก็ทำงานบ้านเหนื่อยนะแต่กลับมาเขาต้องมาเอาใจฉันสิ ไม่ใช่นะต้องเอาใจซึ่งกันและกันเป็นเรื่องของกันและกัน

มาที่การเลี้ยงลูก วิธีเดียวกัน ก็คือถ้าเป็นลูกเรื่องของคำว่า “มีอยู่จริง” หมายความว่าตอบสนองความต้องการพื้นฐานได้ต่อเนื่องไม่ใช่ทำแค่วันนี้พรุ่งนี้ไม่ทำ ต้องทำจนถูกฝังไปเลยว่าถ้าอยากได้อันนี้เรียกหาพ่ออยากได้อันนี้เรียกหาแม่ นี่คือเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่หากว่าเราเจอที่บอกว่าลูกฉลาดพออยากได้อันนี้แล้วต้องเรียกหาใคร ใช่เลยค่ะลูกเราฉลาด แต่ที่มากไปกว่านั้นคือเขามีพ่อมีแม่หรือใครก็ตามที่มีอยู่จริง

ครูหม่อมจะยกตัวอย่างเช่นที่บ้านคุณแม่ของครูซึ่งเป็นทั้งคุณยายคุณย่าด้วยสำหรับหลานๆ จะเป็นคนเดียวในบ้านเลยที่ทำกับข้าวแจกทุกคนในครอบครัว ครอบครัวครูเป็นครอบครัวใหญ่ เวลาที่หลานหิวเขาไม่ได้วิ่งหาพ่อแม่เขาเพราะย่าเขามีอยู่จริงวิ่งไปหาย่าได้กิน แล้วฉลาดแม้กระทั่งหยิบอะไรผิดไปหาย่าดีกว่า เช่น สมมุติเราบอกว่าทอดไข่ดาวให้กินง่ายๆ ถ้าเราหยิบไข่ก่อนกระทะ เขาจะไม่เอาหาย่าดีกว่า ทำไมละ ถ้าเป็นย่าย่าจะตั้งกระทะร้อนก่อน

นั่นคือความหมายที่ครูหม่อมบอกว่าความสม่ำเสมอที่เค้าเห็น พ่อแม่ก็ต้องทำแบบนี้ปฏิบัติกับลูกแบบนี้ เคยทำอะไรให้ได้ลูกจะเกิดภาพจำว่าเราทำแบบนี้ให้มันก็จะเป็นความผูกพัน หรือความสัมพันธ์ที่เราเรียกว่า Attachment

ที่ครูหม่อมบอก ฐานที่มั่นทางใจ เวลาที่เราอยากกินข้าวแล้วเรามีย่าความมั่นคงทางจิตใจเกิด แต่ถ้าเกิดเราหิวข้าวแล้วมองไปใครจะทำให้ ทำเองก็อาจจะทำได้แต่จะเหงาหน่อย เพราะฉะนั้นเรื่องของการตอบสนองความต้องการพื้นฐานทางจิตใจเป็นฐานรากของเรื่องความผูกพันทำอย่างไรก็ได้ให้ตัวเองมีอยู่จริงให้กับคนที่อยู่ข้างๆ เราหันมาเมื่อไหร่ไม่ว่าเรื่องใดเรื่องหนึ่งคนที่อยู่ข้างๆ เราจะต้องรู้ให้ได้ว่ามีเราอยู่ไม่สามารถช่วยเหลือได้แต่ช่วยปลอบใจได้หรือเราอาจจะทำอะไรที่เขาชินว่าต้องเป็นเรามันก็เป็นการสร้างฐานที่มั่นทางใจให้

วิธีการสร้างพ่อแม่มีอยู่จริง

1.ตอบสนองความต้องการพื้นฐานทางจิตใจ

ถ้าเป็นเด็กเล็กแบเบาะเลยก็คือร้องไห้ก็ไปหา หิวก็ต้องเจอ เหงาก็ต้องมากลัวกังวลอะไรก็คืออยู่ตรงนั้น สำหรับเด็กเล็กเลยหรือตัวพวกเราเองสิ่งหนึ่งที่ทำได้ง่ายเลยคือเรื่องของสัมผัส สายตาท่าทาง สัมผัส น้ำเสียง เป็นอวัจนภาษาซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องของสมอง

เราอาจจะเคยได้ยิน ซ้ายภาษา ขวาอารมณ์ เป็นเรื่องของการรับข้อมูลถ้าเราใช้ภาษาพูดสิ่งที่เขาจะถูกประมวลคือสมองซีกซ้ายจะเริ่มประมวลเราพูดอะไรหมายความว่าอะไร แต่ก่อนซีกซ้ายจะไปประมวลว่ากำลังพูดอะไร แปลว่าอะไร น้ำเสียงของเรา ท่าทางของเราถูกแปลโดยเร็วจากซีกขวาก่อนแล้ว

เพราะฉะนั้นถ้าเราพูดว่า อะไรนะคะ อะไร คือซีกขวาจะเร็วมากในการรับอารมณ์เข้าไป เด็กเล็กสัมผัสเหมือนกันแต่ถ้าสัมผัสนั้นมาพร้อมความอบอุ่น สัมผัสอบอุ่นคิดว่าไม่ต้องต้องอธิบายเยอะคุณพ่อคุณแม่น่าจะรู้ สัมผัสที่นุ่มนวล อบอุ่น อ่อนโยน แม้ว่าไม่พูดอะไรก็ไปถึงกอดกันก็พอ

เพราะฉะนั้นในเรื่องของน้ำเสียง ท่าทาง สัมผัส สายตาต้องไปพร้อมคำพูดที่ดีๆ ด้วยเวลาที่เราเดินมาหาลูก โอ๋ลูกปลอบลูกใช้ท่าทางน้ำเสียงสัมผัสที่นุ่มนวลอ่อนโยนก็จะฝังตรึงตาเอาไว้กับลูก ต่อให้คุณพ่อคุณแม่ประชุมลูกแค่งอแงหรือต้องการความสนใจเราแค่เอื้อมมือไปสัมผัสเดิมๆ ตบเบาๆ ก็สื่อสารกับลูกได้แล้วแม้ไม่ต้องพูดเรียกว่าขั้นเบสิก ขั้น

2.การร่วมทุกข์ร่วมสุข

ต่อมาพอลูกเราโตสัก 2-3 ขวบ พอลูกเราเริ่มโตขึ้นเราไม่ได้พาเขาไปวางตรงไหนเขาก็อยู่ตรงนั้นเวลาที่ลูกเดินได้เวลาที่ลูกพูดได้ สังเกตได้ว่าเวลาลูกพูดอะไรกับเดินไปไหนมักสวนทางกับเราตรงนี้คุณพ่อคุณแม่ต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเขา เขาเดินไปเจอปัญหาอะไร หรือมีปัญหาอะไรที่เกิดความคับข้องใจ

อยากให้คุณพ่อคุณแม่อย่าปล่อย ห้ามเด็ดขาด ไม่ปล่อยให้ลูกอยู่กับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งคนเดียวนานๆ อยากให้เข้าไปร่วมทุกข์ร่วมสุขกับลูกด้วย อย่างเช่นถ้าลูกเล่นเกมมือถือ สนุก อยู่คนเดียวได้ แต่อยู่นานไปกำลังอยู่ด้วยความสุขกับมือถือนานแปลว่าเขากำลังสร้างความสัมพันธ์ตัวเองกับมือถือเขาก็จะไม่ติดพ่อแม่ก็จะติดมือถือ

ฉะนั้นพยายามเข้าไปร่วมสุขกับเขาด้วยเล่นมือถือเมื่อไหร่ เห็นเขาสนุกนานเกินไปพาตัวเองเขาไปมีความสุขกับลูกอย่าให้ลูกมีความสุขอยู่คนเดียวนานไป ถ้าลูกมีอารมณ์ที่ Negative เชิงลบ เสียใจ โกรธ โมโห กังวล อย่าให้เขาอยู่กับอารมณ์นั้นนานเข้าไปอยู่กับเขาด้วยไปร่วมสุขร่วมทุกข์กับเขา ความมั่นคงทางจิตใจหรือฐานที่มั่นทางใจจะเกิด สุดท้ายเป็นผู้ประคองก็คือคุณพ่อคุณแม่จำเป็นต้องประคองอารมณ์ตัวเอง

เคล็ดลับสำหรับพ่อแม่มีเวลาน้อย

ในหนึ่งวันเรามี 24 ชั่วโมง เราทำงานกี่ชั่วโมง 8-10 ชั่วโมง มีเวลากับลูกได้กี่ชั่วโมง กลับมาที่เคล็ดลับของเราอยากเป็นพ่อแม่ที่มีอยู่จริงจะมีเวลาเท่าไหร่ก็ตามขอให้เวลานั้นเป็นเวลาที่ลูกมองหาเจอ เช่น เราจะมีเวลากับลูก 5-10 นาทีก็ได้แต่มันต้องเกิดขึ้นสม่ำเสมอทุกๆ วันจนลูกรู้ว่าช่วงเวลานี้ 10 นาที ฉันต้องได้พ่อมาเป็นของฉัน ฉันต้องได้แม่มาเป็นของฉัน

หากทำได้เราก็เป็นฐานที่มั่นทางใจให้กับลูกได้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ลูกถามแล้วเราก็บอกว่าทำงานอยู่ไม่ได้เลยแม้แต่นาทีเดียวลูกก็จะไม่มีฐานที่มั่นทางใจ ก็จะเกิดลูกเผื่อฟลุคขึ้นมาก็คือจะคอยกวนเราอยู่อย่างนี้ เผื่อฟลุคพ่อแม่ตัดความรำคาญแล้วก็มาเล่นกับเรา หรือแม้แต่แม่หยุดดุเราแล้วได้รับความสนใจจากพ่อแม่ก็เอา นี่ก็เป็นเรื่องเศร้าเป็นฐานที่มั่นทางใจแบบเศร้าๆ แต่ถ้าเราบอกว่าเรามีเวลาและเราใช้การสื่อสาร เราให้เขารอแบบมีเป้าหมายแปลว่าเขารอได้ แม้จะรอไม่ได้แต่อย่างน้อยมีที่ยึดเหนี่ยวว่าเดี๋ยวได้เจอ

วิธีการก็คือเราอาจจะนัดกับลูกไปเลยทุกก่อนนอนอาจจะไม่ใช่เป็นเวลาที่กำหนด 2-3 ทุ่ม ก่อนนอนจะเป็นพ่อหรือแม่ที่พาหนูเข้านอนแล้วจะมีเวลาคุณภาพด้วยกัน บ้านครูหม่อมจะมีข้าวเย็นเป็นเวลาคุณภาพ คือทุกคนจะไปเรียน ไปทำงาน ไปไหน ทุกคนก็ไปพอถึงเวลา 18.30 น. ทุกคนพร้อมเพียงกันที่โต๊ะอาหาร มันทำให้เราติดจนโตขึ้นมา เวลาเพื่อชวนกินข้าวข้างนอกครูหม่อมจะนัดหลัง 2 ทุ่ม เจอกัน คือต้องกินข้าวกับที่บ้านก่อนใจไม่ได้จริงๆ เพราะมันชิน มันต้องอยู่ที่ฐานนี้

แต่สิ่งหนึ่งที่มากไปกว่านั้นก็คือว่าเรารู้เลยเวลาที่เราไปโรงเรียน หรือไปทำงานไปเจออะไรก็ตาม ไม่เป็นไรครูหม่อมจะรอให้ 18.30 น. เราจะเล่าให้ที่บ้านฟังคือมีฐานที่มั่นทางใจ

การที่เด็กคนหนึ่งกำลังอยู่ในความทุกข์หรือความรู้สึกในเชิงลบแต่สามารถเก็บแล้วรู้ว่าจะสามารถไประบายได้เมื่อไหร่ นี่คือทักษะอารมณ์ เหมือนกับว่าฐานที่มั่นทางใจจะทำให้คนเราเกิดความมั่นคงทางอารมณ์ ไม่เก็บกด ไม่ก้าวร้าว มีทางออก พอถึงช่วงวัยรุ่นถ้าเราสร้างฐานที่มั่นที่แข็งแรง เหมือนที่ครูหม่อมเคยบอกว่าทักษะ EF มันคือ 6 ปีแรก ถ้าเขายึดฐานที่มั่นนี้ไว้แล้วเขาโตไปไปเจออะไรเขาก็จะกลับมาฐานที่มั่นของเราได้เป็นฐานที่มั่นที่มีคุณภาพ

แล้วการสร้าง Family Attachment ไม่มีคำว่าไม่ทัน ครูหม่อมให้กำลังใจและคอนเฟิร์มด้วย สิ่งที่จะมีคือเราต้องฝืนตัวเองมากขึ้นเท่านั้นเอง แต่แพทเทิร์นเหมือนเดิมคือไปเป็นคุณพ่อคุณแม่ที่มีอยู่จริง แล้วเมื่อไหร่ที่เราทำฐานที่มั่นนี้ที่มีอยู่จริงขึ้นมาแล้วความผูกพันมันจะถูกรีเซทใหม่จากที่ไม่ไว้ใจก็กลายเป็นไว้ใจ แล้วเมื่อไหร่ที่คนเราสามารถไว้ใจใครได้มันไม่ใช่แค่คนนั้นที่มีอยู่จริงมันคือตัวเราที่เรารู้สึกว่าเราสำคัญ เรามีอยู่จริงเราถึงมีคนที่เรารู้สึกมั่นคงปลอดภัยไว้ใจได้

ท้ายที่สุดเลยที่เรานั่งคุยกันตรงนี้มันคือการมองย้อนกลับมา แน่นอนเราอยากให้ลูกเรามีฐานที่มั่นทางใจแต่วันนี้เราสร้างฐานของเราอย่างไร ถ้าลูกมองหันหลังกลับมาที่ฐานเป็นความไม่ไว้ใจเป็นความระแวงความไม่มั่นคงปลอดภัยเป็นสิ่งที่พ่อแม่บ่น เป็นสิ่งที่พ่อแม่คอยต่อว่าตำหนิ สั่ง ตัดสิน ตีตรา ฐานนี้ไม่น่ากลับ กลับไปเจอระเบิด ไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า

แต่ถ้ารู้ว่ากลับมาที่ฐานนี้แล้วมีกินมีใช้ ไปร่อแร่อยู่ข้างนอกแต่กลับมาจะได้สมานแผลใจ เดี๋ยวจะได้มีคนมาปลอบใจถ้าคุณพ่อคุณแม่ปลอบใจลูกได้ ถ้าคุณพ่อคุณแม่อยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับลูกได้อย่างไรลูกก็กลับมา หากว่าเลยไปแล้วแสดงว่าฐานเราไม่เหลืออะไร

เพราะฉะนั้นเราค่อยๆ ระดมกำลังใจอีกทีหนึ่งอาจจะต้องใช้เวลาเพราะว่าลูกเขาอาจจะตีตราเราไปแล้วว่าฐานนี้มันไม่มี แต่ถ้าเราค่อยทำให้เห็นว่าฐานนี้มี กำลังสนับสนุนเยอะอย่างไรเขาก็ต้องกลับมานี่คือธรรมชาติของมนุษย์อยู่แล้วเราจะไม่ไปที่แห้งแล้ง

ขอทิ้งท้ายคำนี้เลย เราจะไม่ไปที่แห้งแล้ง คำว่า Family Attachment ฐานที่มั่นทางใจฐานที่มั่นที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าเราจะเหือดแห้งมาจากข้างนอก ถูกข้าศึกโจมตีมาอย่างไรลูกก็จะอยากจะกลับมาฐานที่มั่นทางใจ

 

พบกับ รายการ รักลูก The Expert Talk ทุกวันพฤหัสบดีที่ 1 2 และ 3 ของเดือน

ติดตามฟังได้ที่รายการรักลูก The Expert Talk 

Apple Podcast:  https://apple.co/3m15ytB

Spotify:  https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube:  https://bit.ly/3cxn31u

www.rakluke.com/community-of-the-experts.html

 

รักลูก The Expert Talk EP.100 : สร้างสมดุลฮอร์โมนให้ลูก ก่อนลูกแก่เกินวัยและเติบโตช้า

 

รักลูก The Expert Talk Ep.100 : สร้างสมดุลฮอร์โมนให้ลูกก่อนลูกแก่เกินวัยและเติบโตช้าเกินไป 

 

“ทำไมลูกมีประจำเดือนเร็ว ส่วนสูงต่ำกว่าเกณฑ์ กินก็เยอะทำไมไม่อ้วน ลูกดูไม่ค่อยแข็งแรง อ่อนเพลียง่าย” รู้ไหมว่าอาการเหล่านี้เป็นผลลัพธ์จากการทำงานของฮอร์โมนที่ไม่สมดุล แล้วจะทำให้ฮอร์โมนทำงานสมดุลได้อย่างไร เพื่อให้ลูกเติบโตอย่างสมวัย

ฟัง The Exeprt พญ.นวลผ่อง เหรียญมณี
กุมารเวชศาสตร์ โรคต่อมไร้ท่อและเมตาบอลิซึม โรงพยาบาลพญาไท 2

รู้จักฮอร์โมนไทรอยด์

มีฮอร์โมนที่สําคัญกับการเจริญเติบโตของเด็กมีสามตัว ได้แก่ 1.ฮอร์โมนเพศ 2.ฮอร์โมนไทรอยด์ 3.โกรทฮอร์โมน สำหรับEPนี้ทำความรู้จักกับฮอร์โมนไทรอยด์ เป็นฮอร์โมนที่มีบทบาทสําคัญกับการเจริญเติบโตของเด็ก ได้แก่ 1.การพัฒนาทางด้านสมองของเด็ก 2. การพัฒนาทางด้านร่างกาย 3.ระบบการเผาผลาญก็เกี่ยวข้องนะคะ ฮอร์โมนตัวนี้ทําให้การเผาผลาญของร่างกายเป็นไปด้วยดี แต่ก็มีโรคหรืออาการที่เกิดจากไทรอยด์ เช่น ไทรอยด์เป็นพิษเด็กจะมีอาการตาบวม ตาโปน คอโต บางทีมาด้วยปัญหาเรื่องสมาธิสั้นไฮเปอร์แอคทีฟ และอีกอย่างคือกินเยอะแต่น้ำหนักไม่ขึ้น กินแล้วผอมเหมือนที่เขาบอกว่ามีไทรอยด์อ้วนกับไทรอยด์ผอม หรืออาจจะมีอาการท้องเสีย เหนื่อยง่าย นอนหลับไม่สนิท เช็กลิสต์เบื้องต้นที่พ่อแม่อาจจะนำไปเช็กได้แก่ นอนน้อย นอนไม่หลับหลับไม่สนิท สมาธิสั้น เหนื่อยง่าย ใจสั่น กินจุแต่น้้ำหนักไม่ขึ้น ถ้าสังเกตว่าลูกมีอาการเหล่านี้ สามารถพามาพบคุณหมอเพื่อเช็กเรื่องไทรอยด์เป็นพิษ

สำหรับเรื่องฮอร์โมนจะต้องมีความสมดุล ถ้าเยอะก็ไทรอยด์เป็นพิษ แต่ถ้าน้อยไปก็เป็นกลุ่มของไทรอยด์ต่ำ อาการก็จะตรงกันข้ามคือ กินเยอะแต่อ้วน เนือยๆไม่active ท้องผูก นอนเยอะ ดูอ้วนๆ ฉุๆ แต่ว่าทั้งสองกลุ่ม พ่อแม่จะสังเกตเห็นชัดว่าทําไมลูกเราคอโตจังหรือที่เขาเรียกว่าคอพอก อาการแบบนี้ก็จะเจอได้ทั้งสองกลุ่ม ซึ่งต่อมไทรอยด์จะเป็นต่อมที่อยู่ใต้ผิวหนังนี้บริเวณคอเป็นลักษณะรูปผีเสื้อ พอมีความผิดปกติมันก็จะบวมโตขึ้นมา ซึ่งถ้ารุนแรงมากอาจจะดูโตแบบทั้งคอแต่ถ้าไม่มาก พอเงยคอขึ้นมาก็จะสังเกตเห็นได้

ไทรอยด์เป็นพิษ

การรักษาไทรอยด์เป็นพิษจะใช้ยาเป็นหลัก ทั้งการกลืนแร่รังสีและผ่าตัด สำหรับการกลืนแร่รังสีจะเริ่มใช้ได้ตั้งแต่เด็กที่อายุมากกว่า10ปีขึ้นไป ส่วนการผ่าตัดอาจจะต้องดูเป็นกรณี เพราะจะมีภาวะแทรกซ้อนจากการผ่าตัด ส่วนการรักษากลุ่มของไทรอยด์ต่ำ มีวิธีรักษาแบบเดียวคือให้ยากินฮอร์โมนไทรอยด์เสริม เด็กบางคนอาจจะกินแต่ช่วงระยะสั้น แต่บางคนก็ต้องกินยาไปตลอดชีวิต ซึ่งมักจะเป็นกลุ่มที่ร่างกายสร้างต่อมไทรอยด์ไม่ได้และเป็นมาตั้งแต่กําเนิด

สาเหตุที่ต่อมไทรอยด์มีความผิดปกติเกิดจากการภูมิต้านทานของร่างกายเข้าไปทําลายทำให้สร้างฮอร์โมนไทรอยด์ออกมาไม่ได้ อย่างที่เราคุ้นเคยกับคําว่าภูมิต้านทาน ทําร้ายเซลล์ของร่างกาย สำหรับการป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นคือต้องทำให้ฮอร์โมนสมดุล ร่างกายมีความสมดุล พักผ่อนดี ออกกําลังกายดี กินอาหารครบถ้วน และให้หลากหลายร่างกายอยู่ในภาวะสมดุล และถึงแม้ว่าเด็กคนนั้นจะมีความเสี่ยงอยู่ที่จะเป็นโรคไทรอยด์ แต่ความเสี่ยงอาจจะไม่ได้ส่งผลกระทบกับเด็กมาก ถ้าสามารถรักษาภาวะสมดุลได้

ภาวะการขาดฮอร์โมนไทรอยด์ตั้งแต่กําเนิดเป็นเรื่องที่สําคัญมาก ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายคัดกรองทารกแรกเกิดทุกคนว่ามีการขาดฮอร์โมนตัวนี้ไหม ดังนั้นจะเห็นว่าหลังคลอด 2วันแรกเด็กจะโดนเจาะส้นเท้าเพื่อตรวจระดับไทรอยด์ฮอร์โมน เพราะถ้าขาดและเสริมฮอร์โมนให้ได้ภายใน2สัปดาห์แรก สมองเด็กก็ได้รับ ฮอร์โมนไทรอยด์พัฒนาไปได้ปกติ

รู้จักฮอร์โมนเพศ

ฮอร์โมนเพศทำหน้าที่แบ่งแยกเพศหญิงเพศชาย ฮอร์โมนเอสโตรเจนทําให้เกิดลักษณะเพศหญิง ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนทําให้เกิดลักษณะของเพศชาย ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นคือ ฮอร์โมนมาเร็วมาเยอะก่อนเวลาที่ควรจะเป็นทําให้เกิดภาวะที่เรียกว่าเป็นหนุ่มสาวก่อนวัย ในช่วงแรกจะเห็นว่าเด็กโตดีโตเร็วสูงกว่าเพื่อน แต่ปรากฎคือกระดูกโตไปมากแล้วอีกไม่นานกระดูกปิด ทําให้ตอนหลังความสูงหยุดก่อนเพื่อน กลายเป็นตัวเตี้ยกว่าเพื่อนและเตี้ยกว่าที่ควรจะเป็นตามพันธุกรรม และพอเราโตเร็วเป็นสาวเร็วแต่ใจเรายังเป็นเด็กก็กระทบต่อสภาพแวดล้อมทางสังคมและจิตใจของเด็ก ในแง่ของเรื่องอารมณ์อาจจะมีอารมณ์หงุดหงิดเพราะยังควบคุม อารมณ์ได้ไม่ดีนัก คือร่างกายมันไม่ไปกับพัฒนาการทางด้านอารมณ์ และเสี่ยงต่อการถูกการละเมิดทางเพศ เพราะยังป้องกันตัวเองไม่ได้

สาเหตุเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย

หลังช่วงโควิดที่ผ่านมามีความชัดเจนขึ้นว่าเด็กเป็นสาวเร็วขึ้นเกิดจากความสมดุลนั่นเองค่ะ คือการที่มีฮอร์โมนเร็วมีจาก 2ปัจจัย 1.เด็กสมบูรณ์มากไป คือมีภาวะอ้วน และ2.ฮอร์โมนไม่สมดุล และส่วนน้อยคือต้องระวังเรื่องโรคที่มีเนื้องอกที่ต่อมไร้สมองมากระตุ้นทําให้เกิดฮอร์โมนเพศหญิงชายเร็วขึ้น ส่วนการรักษา เริ่มต้นก็จะต้อง MRIสมองเพื่อดูว่ามีเนื้องอกที่ต่อมใต้สมองไหม ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับขนาดและชนิดของเนื้องอกซึ่งก็รักษาไปตามนั้น และเรื่องการมีภาวะอ้วนหรือฮอร์โมนไม่สมดุลก็ต้องปรับเปลี่ยนนิสัยลูกและพ่อแม่ผู้ปกครอง โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน การออกกำลังกาย และหากคุณหมอประเมินแล้วว่าความสูงสุดท้ายได้น้อยก็มียาควบคุมฮอร์โมนไว้ก่อน ลดฮอร์โมนลงให้สมกับวัย เพื่อให้กระดูกก็จะไม่แก่เร็วไม่ปิดเร็ว ทําให้ความสูงสุดท้ายไปได้ดีขึ้นตามศักยภาพของเด็ก

ซึ่งการดูความสูงน้ําหนักตั้งแต่เด็กมีประโยชน์มาก หมั่นสังเกตน้ำหนักและส่วนสูงของลูก วิธีสังเกตคือ สำหรับเด็กผู้หญิงส่วนสูงจะขึ้นเร็วมากประมาณช่วงอายุ 10ปี และเด็กผู้ชายอายุ 13ปี แต่หากก่อนหน้านี้สูงเร็วมากก็อาจจะต้องคอยสังเกต สมมติว่าลูกอายุ 5ปี เขาควรจะสูงที่ 120ซม. แต่ก็สูงขึ้นมาทันที อาจจะสูงทีละ 5-10ซม. เพราะโดยปกติเด็กจะสูงขึ้นประมาณ 4-6ซม.ต่อปี แต่พอมีฮอร์โมนเพศอัตราส่วนสูงจะขึ้นเป็น 10ซม.ต่อปี พ่อแม่ก็ต้องคอยสังเกตและอาจจะพามาพบคุณหมอ ซึ่งฮอร์โมนเพศของเด็กผู้หญิงจะมาช่วงอายุ 10ปี เด็กผู้ชายจะมาตอนอายุ 13ปี

ฉะนั้นถ้าคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกอยู่ในวัย10-13ปี อาจจะกลับมาดูกราฟของเราได้ว่ากำลังสูงเกินไปหรือเปล่าหรือเตี้ยเกินไป ซึ่งภาวะหนุ่มสาวก่อนวัย เนี่ยเขาตัดเกณฑ์กันที่อายุ 8ปี ถ้าโตเร็วฮอร์โมนจะมาเร็วในช่วง 7-8ปี กราฟพุ่ง หรือเด็กผู้ชายจะตัดเกณฑ์กันที่อายุ9ปี แต่ถ้าอายุ 8-9ปี แล้วทำไมดูโตเร็ว หน้ามัน เริ่มมีสิวก็ต้องเริ่มเอ๊ะ ว่าฮอร์โมนเพศมาเร็วหรือเปล่า

เมื่อมาที่โรงพยาบาลหมอจะตรวจร่างกาย เด็กผู้หญิงดูว่าหน้าอกนั้นเป็นจากเต้านมหรือว่าเป็นแค่ไขมันอ้วน หน้ามันมีสิวไหม มีขนฮอร์โมนขึ้นไหม โดยเฉพาะรักแร้กับหัวหน่าว หรือการเอกซเรย์อายุกระดูก ถ้ากลุ่มที่มีฮอร์โมนอายุกระดูกก็จะเร็วกว่าอายุจริงไปเกิน1-2ปี และสุดท้ายก็คอนเฟิร์ม โดยการวัดฮอร์โมนจากเลือด

สอบถามเพิ่มเติม โปรแกรมตรวจภาวะเด็กเติบโตช้าโปรแกรมตรวจคัดกรองโรคอ้วนในเด็ก 02-617-2444 ต่อ 3219, 3220 รพ. พญาไท 2

แนะนำทีมกุมารแพทย์เฉพาะทางด้านต่อไร้ท่อและเมตาบอลิซึม รพ. พญาไท 2

พญ. นวลผ่อง เหรียญมณี นพ.ไพรัช ไชยะกุล พญ. ณัฐกานต์ นำศรีสกุลรัตน์

FB @Phyathai2Hospital
Line: @Phyathai 2 , @parenting_school

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

รักลูก The Expert Talk EP.102 (Rerun) : ชวนพ่อแม่ “รู้” และ “เท่าทัน” สื่อ

 

รักลูก The Expert Talk Ep.102 : ชวนพ่อแม่ "รู้" และ "เท่าทัน" สื่อ

 

รับมือเมื่อลูกเข้าสู่โลกดิจิตอล พ่อแม่ต้องรู้เท่าทันอย่างไร

 

ฟัง The Expert อาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ

นักวิชาการด้านสื่อ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล

 

เพื่อให้เรารู้เทคนิค วิธีการที่จะรับมือกับทั้งสื่อ จอ และ Content หลากหลายรูปแบบ เพื่อให้ใช้สื่ออย่างรู้เท่าทัน

  

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

รักลูก The Expert Talk EP.103 (Rerun) : ภัยร้าย RSV

 รักลูก The Expert Talk Ep.103 : ภัยร้าย RSV

 

RSV ไม่ใช่แค่โรคหวัดแต่อาการรุนแรงมากกว่า เด็กรับเชื้อได้ง่ายกระทบระบบทางเดินหายใจ

มารู้จักและรับมือเจ้าเชื้อไวรัส RSV รับมือก่อนอาการรุนแรง

 

ฟัง The Expert รศ.นพ.พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์

รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรม

 

RSV สาเหตุเกิดจากอะไร

RSV เกิดจากเชื้อ ไวรัส RSV Respiratory Syncytial Virus เหมือนการติดเชื้อไวรัสที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจทั่วไป RSV มักจะเกิดการติดเชื้อในเด็ก และความรุนแรงตั้งแต่เป็นหวัดเล็กน้อย ไปจนถึงรุนแรง เช่น มีอาการลามไปที่แขนงถุงลมของปอดแล้วลงไปถึงเนื้อปอด ซึ่งก็จะทำให้เกิดอาการหอบ เวลาที่เราเห็นเด็กเป็นหวัดแล้วมีอาการไอมาก หายใจมีเสียงหวีดๆ

พ่อแม่จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็น RSV หรือโรคหอบ

จริงๆ แล้วบอกได้ยาก สำหรับเด็กอายุน้อยกว่า 1ปี เพราะในครั้งแรกอาจจะเกิดจาก RSV แต่ถ้าเป็นหอบจะมีอาการซ้ำๆ หลายครั้ง ครั้งแรก RSV กระตุ้นให้เกิดอาการ ครั้งต่อไปบริเวณของหลอดลมที่เคยติดเชื้อมาแล้ว ก็อาจจะมีความไวมากเป็นพิเศษ แต่ถ้าเจอเชื้ออื่นๆ หรือมีอาการอื่น เช่น มีฝุ่นละอองกระตุ้นให้เกิดมีอาการภูมิแพ้ ก็อาจจะทำให้เกิดอาการหอบได้

ช่วงอายุที่เป็นมากที่สุดและอาการรุนแรง

อายุน้อยกว่า 1ปี อาการจะค่อยๆรุนแรง แต่อย่างไรก็ตามอาการรุนแรงก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งจากจำนวนตัวเชื้อที่ติด ร่างกายเด็กไม่ค่อยแข็งแรง สุขภาพไม่ดี การดูแลของพ่อแม่ช่วงที่เป็นโรคดูแลได้ไม่ค่อยดี ก็อาจจะทำให้เกิดความรุนแรงของโรคได้ ซึ่ง RSV เป็นโรคติดต่อระบบทางเดินหายใจ การป้องกันเรื่องที่ดีที่สุดและมีความสำคัญ

ปัจจัยเสี่ยงทำให้เกิด RSV

1.เด็กอายุน้อยกว่า 1ปี มีโอกาสเป็นมากขึ้น

2.เด็กที่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง เป็นโรคเรื้อรัง

3.เด็กที่มีภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำเช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคหัวใจ โรคปอดที่มีแผลในปอด ก็มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย เพราะช่วงที่มีการระบาดเชื้อก็ล่องลอยในอากาศ ทำให้ติดเชื้อได้

สังเกตอาการ RSV

ดูอายุของเด็กน้อยกว่า 1 ปี อยู่ในช่วงระบาด มีอาการที่หลอดลมฝอย หลอดลมมีอาการตีบ อักเสบ เนื้อปอดอักเสบก็มีอาการ RSVได้เยอะ ซึ่งก็ดูจากอาการ หากติดไม่รุนแรงจะไม่แยกจากการติดเชื้ออาการอื่นๆ เพราะการดูแลรักษาเหมือนกัน

อาการรุนแรงของRSV

การติดเชื้อไวรัสทุกชนิด ทิศทางการดำเนินของโรคใกล้เคียงกัน เวลาที่มีความรุนแรงนอกจากระบบทางเดินหายใจแล้ว

หากรุนแรงมากขึ้นจะเลือกที่ไปขึ้นส่วนบน อาการแทรกซ้อน เช่น จากที่เป็นหวัดแถวๆ ลำคอ มีน้ำมูกในลำคอ อาจจะทำให้เกิดไซนัส อักเสบ หูอักเสบ สูงไปอีกอาจจะไปถึงสมองอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ

ลงส่วนล่างหรือไปที่แขนงปอดและเนื้อปอด ถ้าลงมาแล้วถึงหัวใจก็อาจจะเป็นหัวใจอักเสบ เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ลักษณะการติดเชื้อไวรัสจะมีทิศทางคล้ายๆ กัน

วิธีการรักษาRSV

รักษาตามอาการ เพราะเซื้อไวรัสส่วนใหญ่ไม่มียารักษายกเว้นไวรัสบางชนิด รักษาตามอาการคือ มีน้ำมูก เด็กเล็กจะไม่ให้ยาลดน้ำมูก ล้างจมูก หากเป็นมากๆ แล้วเป็นเด็กโตก็อาจจะให้ยาลดน้ำมูก

ได้รับน้ำเพียงพอ การได้รับน้ำเพียงพอจะช่วยลดอาการไข้ ทำให้เสลดไม่เหนียวและขับเสมหะได้ด้วย เช็ดตัวบ่อย ดูแลตามอาการ ถ้ามีอาการหอบหืด เช่น แขนงหลอดลมมีอาการตีบ หมออาจะให้ยาขยายหลอดลมช่วย หรือถ้าปอดอักเสบก็จะรักษาปอดอักเสบด้วย เป็นการรักษาตามอาการ

เกิดเป็นโรคระยะยาว

เด็กที่เป็น RSV มีโอกาสเป็นโรคระยะยาว หากลงไปที่แขนงหลอดลมฝอยหรือว่าลงไปที่เนื้อปอด หายได้แต่ไม่สนิทจะมีรอยแผลที่ปอด เมื่อมีการกระตุ้น เช่น ติดเชื้อครั้งถัดไปหรือว่าอากาศเปลี่ยน มีฝุ่นกระตุ้นทำให้เกิดความไวมากขึ้น เป็นตัวหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการหอบหืด

เพราะบางทีการหายไม่สมบูรณ์ ผนังทางเดินหายใจอาจจะมีแผล เมื่อมีเชื้อโรคก็เกาะง่ายขึ้น โอกาสติดเชื้อง่ายขึ้น มีโอกาสหายขาดเมื่อโตขึ้น แข็งแรงขึ้น ไม่ติดเชื้อซ้ำร่างกายก็จะเยียวยาตัวเอง

ค่ารักษาพยาบาลหากต้องนอนรพ.

โดยทั่วไปเมื่อมีอาการน้อยๆ ดูแลที่บ้านได้ ไม่มีอาการแทรกซ้อน สามารถดูแลที่บ้านได้ แต่เมื่อลูกป่วย การจะออกไปทำงานนอกบ้านก็จะห่วงลูก และเด็กเวลามีไข้การกินยาก็ไม่ค่อยลด ยิ่งช่วงแรกๆ ของการเกิดไข้ ต้องใช้การเช็ดตัวช่วย พอตัวแห้ง ไข้ก็กลับมาอีก

เวลาที่เด็กเป็นไข้ กินยาแล้ว เช็ดตัวแล้ว ทำไมไข้ไม่ลง เพราะได้น้ำไม่เพียงพอ เพราะเวลาที่ลูกไม่สบายก็จะกินอาหารและดื่มน้ำน้อยลง จะเห็นว่าเวลาอยู่บ้านไข้ไม่ลง แต่พอไปรพ.คืนเดียวไข้ลงเลย เพราะการขาดน้ำทำให้ไข้ไม่ลง แต่ถ้าอยูบ้านแล้วกินน้ำมากพอ ก็จะช่วยให้ไข้ลง แต่เวลาที่ป่วยก็ไม่อยากกินอะไร ทำให้เป็นภาระกับพ่อแม่ เป็นมากขึ้นก็ต้องนอนรพ. ใช้เวลาไม่เกินสัปดาห์อาการก็จะหายดี

การป้องกัน RSV

ถ้ารู้แล้วว่าเป็นโรคระบบทางเดินหายใจ คือไม่สัมผัสใกล้ชิดกับคนที่ป่วย สำหรับผู้ใหญ่เวลาติดไวรัส อาการไม่ค่อยรุนแรงเพราะเราป่วยกันมาเยอะแล้ว

1.ลดการสัมผัส การพาลูกไปที่อากาศปิด ไปเดินห้าง ดูหนัง คนเยอะ ก็มีความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อ

2.ดูแลร่างกายให้แข็งแรง กินอาหารให้ครบถ้วน อาหารตามวัย มีนมเป็นอาหารเสริม ออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ

3.ดูแลสุขอนามัย ล้างมือเป็นประจำ

4.ใส่หน้ากากอนามัย สำหรับเด็กที่อายุมากกว่า 2ปี เพราะตั้งแต่ใส่หน้าการเจ็บป่วยจากเชื้อไวรัสลดลง

  

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

รักลูก The Expert Talk EP.104 (Rerun) : เลี้ยงลูกแบบหมอเดว “ไม่สำลักความรัก จนเป็นเหยื่อถูกล่อลวง”

 

รักลูก The Expert Talk Ep.104 : เลี้ยงลูกแบบหมอเดว ไม่สำลักความรักจนเป็นเหยื่อถูกล่อลวง

รักมากไปทำร้ายลูก? รักจนสำลักความรัก ประคบประหงมจนไม่ให้ลูกทำอะไร ทุกอย่างล้วนตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรัก แต่มากไปก็ทำลายลูก

 The Expert รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและวัยรุ่น ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม

เลี้ยงประคบประหงม เด็กป่วยได้ง่าย (Munchausen Syndrome by Proxy)

เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่จะต้องเลี้ยงดูและดูแลสุขภาพแต่มีประเภทที่เยอะเกินไป มีเคสที่ลูกตกเตียงซึ่งอยู่กับพี่เลี้ยงตกตอนเที่ยงแต่พอตกเย็นก็พาลูกมาที่รพ. ให้หมอเช็กอย่างละเอียดเพราะว่ามีลูกคนเดียวและแม่ก็อ่านมาแล้วว่าเลือดที่ซึมออกมาจากในสมองมันจะไม่มีอาการ แต่อยากให้หมอรับรอง100% ว่าลูกไม่มีปัญหา หมอถามว่าเกิดอะไรขึ้น ความจริงคือเด็กตกเบาะเลี้ยงเด็กซึ่งกลิ้งแล้วหัวกระแทกพื้นไม่ปาร์เก้ลูกตกใจ ร้องไห้ เสร็จแล้วก็เล่นปกติ แต่ว่าแม่ไม่ไว้ใจ และอยากให้ทำMRI ซึ่งการทำกับเด็ก 9เดือนไม่ได้ง่าย แต่ด้วยความที่มีลูกคนเดียวและไม่พลาดไม่ได้เลยขอให้แม่ยืนยันซึ่งไแพงแค่ไหนก็ยอมจ่าย

การทำMRIเด็กต้องนิ่งมากซึ่งทางเดียวที่จะทำคือเพื่อให้เด็กหลับ แล้วฉีดสีเข้าไปในเส้นเลือดว่ามีปัญหาเกิดขึ้นตรงไหนใช้เวลาเป็นชั่วโมงก็อาจจะต้องดมยา พอแม่ได้ยินก็บอกหมอว่าเต็มที่ไม่อั้นแต่คนเจ็บตัวคือลูก ลักษณะแบบนี้คือ Munchausen Syndrome by Proxy เครียดมากและวิตกกังวลมาก อาจจะมาจากการเห็นคนในบ้านป่วยจากประสบการณ์เดิม จึงตรวจหาความเสี่ยงของลูกทุกอย่างเพื่อไม่ให้มีความเสี่ยงซึ่งเป็นการดูแลสุขภาพที่เยอะเกินไป

อีกเคสคือย่าเป็นมะเร็งไตแล้วเสียชีวิต แม่ต้องการทำRenal scan (การตรวจสแกนไต) ซึ่งทำไม่ได้ถ้าไม่มีข้อบ่งชี้แม่ก็ไปเอาน้ำแดงมาผสมในปัสสาวะ แล้วให้หมอตรวจคือสำหรับหมอตรวจไม่ยากว่าเป็นน้ำแดงหรือเลือด แบบนี้คือทำให้เกิดเครียด วิตกกังวล ย้ำคิดย้ำทำ เครียดแล้วมาลงที่ลูก ผลที่เกิดกับลูกคือเกิดความหวาดระแวงไปกับแม่ ลูกซึมซับความหวาดระแวงจากแม่นี่คือในแง่ของสุขภาพ ลูกกังวล เครียดมาก

เลี้ยงแบบเร่งรัด เด็กต่อต้าน (Overstimulation)

ตอนนี้มีปัญหาเยอะเพราะด้วยระบบแพ้คัดออก เรียนทุกวัน ตื่นตั้งแต่ตีห้าเลิกเรียนก็กวดวิชาแล้วก็ติวกลับมาทำการบ้าน นอนตี1 ตื่นตี5วนไปแบบนี้ทั้งสัปดาห์ พอเสาร์อาทิตย์ก็กวดวิชาเช้าบ่าย หมอเคยเจอเคสรร.สาธิตชื่อดังพอลูกสอบเสร็จพ่อก็ให้ไปเรียนกวดวิชาที่ลงเรียนไว้ ลูกก็โมโหว่าทำไมไม่ถามว่าลูกอยากเรียนไหม เขาอาจจะอยากเล่นไวโอลิน อยากไปเที่ยว พ่อบอกว่าก็อยากจะเป็นหมอ ตอนที่มาหาหมอคือแม่ร้องไห้ พ่อความดันขึ้นเพราะว่าหวังดีแต่ทำไมเป็นแบบนี้

หมอก็ถามว่านี้เป็นเป้าของใครพ่อบอกว่าเป็นของลูก แล้วพอเราลงกวดวิชาเต็มที่แล้วแต่ลูกไม่ได้เป็นหมอจะเสียใจไหมพ่อบอกว่าไม่เสียใจเพราะว่าไม่ใช่เป้าของพ่อ เป็นเป้าของลูกและพ่อก็บอกว่าการที่พ่อจะทำให้ลูกคนหนึ่งมันผิดด้วยหรือ ซึ่งพอคุยไปพ่อก็บอกว่าผมไม่ได้อยากให้ลูกเป็นหมอเขาจะทำอาชีพอะไรก็ได้ที่รักและชอบและขอให้เป็นคนดี หมอก็บอกว่าพูดดีมากให้กลับไปบอกลูก ซึ่งหลังจากนั้นความดันในบ้านก็ลดลงมากเพราะที่ผ่านมาทะเลาะกันตลอด

ตอนนี้พ่อแม่ส่วนใหญ่วางเป้าให้ลูกเรียบร้อยเลยแล้วลูกก็มีหน้าที่เดินตามเป้าและบอกตัวเองว่าการที่พ่อแม่ทำให้ลูกมันผิดด้วยเหรอ ไม่ผิดแต่เป็นเป้าของพ่อแม่หรือของลูก แล้วการที่ส่งสัญญาณว่าไม่ได้อยากให้เป็นแบบนั้นแบบนี้ ได้บอกตรงๆหรือยัง ซึ่งถ้าทำแบบนี้ได้ก็จะไม่เจอกับการเรียนแบบOverstimulationเร่งรัดบังคับจันทร์ถึงจันทร์ แต่จะได้ใจถึงใจ

เลี้ยงแบบสำลักความรัก (Over Indulgence/Spoiled Child)

มีบ้านไหนที่ลูกทำงานบ้านบ้าง นี่เป็นการร่วมทุกข์ร่วมสุขในบ้านเรามีเด็กเยอะที่ไม่ปัดกวาด ถูบ้านล้างจาน พ่อแม่สปอยทุกอย่างจนทัศนคติของลูกเปลี่ยนว่า งานบ้านไม่ใช่หน้าที่เขาไม่จำเป็นต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขในบ้าน ความรักไม่เกิดบนการร่วมทุกข์ร่วมสุข มีแต่สุขอย่างเดียว เด็กจะกลายเป็นคนที่ไม่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นเพื่อนมนุษย์

เวลาจะรักใครก็รักแบบฉาบฉวย พ่อแม่ไม่รู้ตัวว่ากำลังพัฒนาลูกไปเป็นแบบนั้นไม่สามารถรักแบบร่วมทุกข์ร่วมสุข ปรนเปรอให้ทุกอย่าง นี่คือการสปอยล์ รักเยอะ ผิดหวังไม่ได้ เจอกับความผิดหวังก็เบรคเลย ไปไกล่เกลี่ยก็ลงเอยด้วยการใช้ความรุนแรง พ่อแม่ต้องรักแบบร่วมทุกข์ร่วมสุขไม่ใช่มีแต่ความสุข ปรนเปรอแต่ความสุขเจอความยากลำบากไม่ได้ ต้องเจอความยากลำบากร่วมกันง่ายๆ คือ ปัดกวาด ถูกบ้าน ซักผ้า ล้างจาน

เลี้ยงขาดพื้นที่ส่วนตัว เด็กเกิดความเครียด (Parenting Enmeshment)

หมอเคยเจอบ้านที่ไม่ดูทีวีจนอายุ 18ปีจะใช้เครื่องมือสื่อสารไม่ได้ เมื่อเข้าบ้านห้ามใช้ใช้ได้อย่างอิสระเมื่ออายุ 18ปีขึ้นไป ลูกมีห้องส่วนตัวแต่ปิดไม่ได้เพราะว่าพ่อสามารถ เข้าไปดูได้ทุกเมื่อสามารถไปดูแชทส่วนตัวได้ มีเคสที่แม่ลูกชายอายุ 14ปี ยังอาบน้ำกับแม่ขาดพื้นที่ส่วนตัวมาก ถ้าบ้านไหนทำอยู่ให้กลับมาตั้งหลักใหม่

ลูกไม่ใช่ทรัพย์สมบัติของพ่อแม่ที่อยากทำอะไรก็ได้เป็นความเข้าใจผิดการให้เกียรติและเคารพศักดิ์ศรีของลูกจึงมีนัยยะแม้ลูกโตมาถึงชั้นประถมไม่ต้องรอถึงมัธยม การที่พ่อไม่จับที่สงวนของลูกเลย เคารพในพื้นที่ส่วนตัว ลูกจะเกิดการเรียนรู้เลยว่าขนาดคนเป็นพ่อยังเคารพพื้นที่ส่วนตัว แล้วคนอื่นที่เป็นคนนอกจะมารุกล้ำได้อย่างไร ถ้าไม่สอนด้วยวิธีนี้จะสอนด้วยการท่องจำหรือ

การที่พ่อแม่ทำให้ดูเป็นตัวอย่างซึ่งจะเป็นสิ่งที่ติดตัวลูกเมื่อโตขึ้น อยากให้ลูกเป็นแบบนั้นไหน อยากให้ลูกเป็นคนเคารพพื้นที่ส่วนตัวก็ต้องทำแบบนั้นกับลูกเช่นเดียวกัน ศรัทธาและสัจจะของลูกมีความหมาย วันนี้เราไม่มั่นใจลูกเลยก็ไม่สามารถเลี้ยงลูกได้ซึ่งศรัทธาเกิดขึ้นจากพลังบวก เช่นเดียวกันเด็กที่โตมาในครอบครัวที่เข้มงวด ก็จะขาดความมั่นใจไม่เหลือเลย ขาดภาวะผู้นำไม่มีsense of propority การเคารพพื้นที่ส่วนตัวไม่มีถูกล่อลวงโดยไม่รู้ตัวและเป็นเหยื่อโดยไม่รู้ตัว

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

รักลูก The Expert Talk EP.105 (Rerun) : เปลี่ยน "วัยทอง" เป็นช่วงเวลาทองของชีวิต

 

รักลูก The Expert Talk Ep.105 (Rerun) : เปลี่ยน "วัยทอง" เป็นช่วงเวลาทองของชีวิต

เด็กจะเติบโตมาเป็นคนอย่างไร ก็อยู่ที่ช่วงเวลานี้ จุดเปลี่ยนสำคัญที่พ่อแม่ต้องเข้าใจพัฒนาการ รู้วิธีรับมือและพลิกเป็นโอกาสที่จะส่งเสริมพัฒนาทักษะลูก เพื่อให้เป็นช่วงเริ่มต้นของชีวิตที่ดีของลูก

ฟังมุมมองการรับมือวัยทองแต่ละช่วงวัยจาก The Exeprt ครูก้า กรองทอง บุญประคอง

ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กปฐมวัย และผู้ก่อตั้งโรงเรียนจิตต์เมตต์

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

รักลูก The Expert Talk EP.106 (Rerun) : พ่อแม่ที่มีอยู่จริง ทางออก Toxic Stress

 

รักลูก The Expert Talk Ep.106 (Rerun) : เป็นพ่อแม่ที่มีอยู่จริง ทางออก Toxic Stress

ท่ามกลางสถานการณ์ที่ตึงเครียดทุกด้าน รับมือ แก้ไข ด้วยการเป็นพ่อแม่ที่มีอยู่จริง

เมื่อลูกเครียดพ่อแม่ต้องรู้ เพื่อรับมือและคลี่คลายความเครียดเป็นพิษ Toxic Stress ก่อนเกิดสถานการณ์ความเครียดที่ไม่คาดคิด

 

ฟังวิธีการจาก The Expert ผศ. ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร

อาจารย์ประจำสถาบันแห่งชาติ เพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

รักลูก The Expert Talk EP.107 : คุยกับ อจ.ธาม ชวนเปลี่ยน Indoor Gen เป็น Outdoor Gen

 

รักลูก The Expert Talk Ep.107 : เปลี่ยน Indoor Gen เป็น Outdoor Gen

ป่วยง่าย ติดจอ ขี้หงุดหงิดและกระทบการเรียนรู้ ผลกระทบจาก Indoor Generation รุ่นในร่ม ทางรอดของเด็กยุคดิจิตอลด้วยการพาลูกออกไป Outdoor

 

ฟังวิธีจาก The Expert อาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ

นักวิชาการด้านสื่อ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

รักลูก The Expert Talk EP.110 (Rerun) : รักลูกเชิงบวก “สร้าง Self ให้ลูก ปลูกฝังตัวตนที่แข็งแกร่ง"

รักลูก The Expert Talk Ep.110 :  รักลูกเชิงบวก "สร้าง Self ให้ลูก ปลูกฝังตัวตนที่แข็งแกร่ง" 

เลี้ยงลูกให้ได้ดี ลูกต้องมี “SELF” เพราะตัวตนที่แข็งแกร่ง จะทำให้ลูกเติบโตและอยู่ในสังคมได้อย่างปลอดภัย มั่นคงและอยู่รอด

 

ชวนสร้าง SELF กับครูหม่อม ผศ. ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร

อาจารย์ประจำสถาบันแห่งชาติ เพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล

 

  

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

รักลูก The Expert Talk EP.111 : ฟินแลนด์โมเดล เราทำได้

 

รักลูก The Expert Talk Ep.111 :  ฟินแลนด์โมเดล เราทำได้

บ้านฟินแลนด์ไม่มีของเล่นเยอะแยะ เพราะกิจกรรมรอบตัวเด็ก สามารถเรียนรู้ได้ ส่วนปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เกิดฟินแลนด์โมเดลได้คือ “พ่อแม่ ผู้ปกครอง” อยากเข้าใกล้การเรียนรู้แบบฟินแลนด์โมเดล ทำได้อย่างไร ฟังครูจุ๊ย กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิคณะก้าวหน้า

  

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

รักลูก The Expert Talk EP.112 : “5 ทักษะสำคัญลูกรอดทุกการเปลี่ยนแปลง”

 

รักลูก The Expert Talk Ep.112 :  5 ทักษะสำคัญ ลูกรอดทุกการเปลี่ยนแปลง

ทักษะที่จะทำให้เด็กอยู่รอดและอยู่ดีในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลง “5 ทักษะและ 1 คุณลักษณะ” ที่สำคัญ ครูจุ๊ยคอนเฟิร์มว่ามีแล้วรอด และพ่อแม่สามารถช่วยกระตุ้นให้เด็กเกิดขึ้นได้ไม่ยาก ฟังครูจุ๊ย กุลธิดา รุ่งเรืองเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิคณะก้าวหน้า

  

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

รักลูก The Expert Talk EP.114 (Rerun) : ติดจอ ต้นตอทำลูกซึมเศร้า

 

รักลูก The Expert Talk Ep.114 (Rerun) :  ติดจอ ต้นตอทำลูกซึมเศร้า

ผลวิจัยพบว่าเด็กอายุตั้งแต่ 6 -18 เดือน ถ้าอยู่กับหน้าจอทีวี จะทำให้มีปัญหาพฤติกรรมก้าวร้าวเพิ่มขึ้น มีปัญหาทางด้านปฏิกิริยาทางด้านอารมณ์เพิ่มขึ้น

หมายความว่าเวลาหงุดหงิด ไม่พอใจ ก็จะวีนเหวี่ยง ใช้อารมณ์ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้เป็นต้นเหตุของโรคซึมเศร้า

 

พ่อแม่รับมือและรู้เท่าทันก่อนเป็นซึมเศร้า

ฟัง The Expert ศ.นพ.วีรศักดิ์ ชลไชยะ

หัวหน้าสาขาพัฒนาการและการเจริญเติบโต ภาควิชากุมารเวชศาสตร์

  

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

รักลูก The Expert Talk EP.118 : Dysfunctional Family ครอบครัวบกพร่องหน้าที่ เลี้ยงลูกแบบขาดๆ เกินๆ

 

รักลูก The Expert Talk Ep.118 : Family Out จอ Gen กับอาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ ตอนที่ 1 Dysfunctional Family ครอบครัวบกพร่องหน้าที่ เลี้ยงลูกแบบขาด ๆ เกิน ๆ

เลี้ยงลูกแบบไหนให้รอด? พ่อแม่ต้องทำอย่างไร

“Dysfunctional Family” ครอบครัวบกพร่องหน้าที่ เลี้ยงลูกแบบขาดๆ เกินๆ

Dysfunctional Family คืออะไร ? เลี้ยงลูกแบบไหนเลี้ยงแบบขาดๆ เกินๆ ?

 

ชวนฟัง รักลูก Podcast กับอาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ

 

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่https://linktr.ee/rakluke  

รักลูก The Expert Talk EP.119 : เด็ก 6 แบบจากครอบครัว Dysfunctional Family

 

รักลูก The Expert Talk Ep.119 : Family Out จอ Gen กับอาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ ตอนที่ 2 เด็ก 6 แบบจากครอบครัว Dysfunctional Family

 

เลี้ยงลูกแบบใด ได้ลูกแบบนั้น

ฟังอาจารย์ธามพูดถึงเด็ก 6 แบบที่เกิดจากบ้านที่ Dysfunctional Family ลูกจะมีบุคลิคลักษณะแบบใดบ้าง? 

 

ชวนฟัง รักลูก Podcast กับอาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ

 

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่https://linktr.ee/rakluke  

รักลูก The Expert Talk EP.121 : How to be Functional Family เป็นพ่อแม่ไม่บกพร่องหน้าที่

 

รักลูก The Expert Talk Ep.121 : Family Out จอ Gen กับอาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ ตอนนี้ 3 How to be Functional Family เป็นพ่อแม่ไม่บกพร่องหน้าที่

 

AI แย่งงานคน มหาวิทยาลัยยกเลิกการสอนวิชา… เพราะโลกเปลี่ยนทุกวัน เราไม่สามารถคาดเดาถึงการเปลี่ยนแปลงนั้นได้ การเตรียมลูกให้พร้อมสำหรับอนาคตจึงเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญ

ฟัง The Expert อาจารย์ พญ.ลลิต ลีลาทิพย์กุล กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์วัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บอกวิธีการเตรียมลูกให้พร้อมสำหรับอนาคตในทุกด้าน

พ่อแม่ต้องทำอย่างไรเพื่อให้ลูกสมองไวพร้อมได้ตั้งแต่วันนี้

 

รายการรักลูก The Expert Talk อาจารย์ พญ.ลลิต ลีลาทิพย์กุล

 

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่https://linktr.ee/rakluke  

รักลูก The Expert Talk EP.123 : “รู้เท่าทันสื่อ Digital Literacy”

 

รักลูก The Expert Talk Ep.123 : Family Out จอ Gen กับอาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ ตอนที่ 4 รู้เท่าทันสื่อ Digital Literacy

 

จากงานวิจัยพบว่า เด็กใช้สื่อหน้าจอดิจิทัลมากขึ้น โดยใช้ในช่วงอายุที่น้อยลง แต่ใช้งานมากขึ้นทั้งในเชิงปริมาณต่อวัน ต่อครั้งการใช้งานและความถี่

และไม่ได้พบเฉพาะปัญหาสุขภาพและพฤติกรรมเท่านั้น แต่พบว่าเด็กถูกล่อลวงหรือว่าไปเจอ Cybercrime อาชญากรรมทางไซเบอร์ พ่อแม่จะรับมือกับปัญหานี้ได้อย่างไร?

 

ฟังอาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ 

 

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่https://linktr.ee/rakluke 

รักลูก The Expert Talk EP.124 : “พ่อแม่ขาดทักษะการใช้สื่อ กระทบสมองลูก”

 

รักลูก The Expert Talk Ep.124 : Family Out จอ Gen กับอาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ ตอนที่ 5 พ่อแม่ขาดทักษะการใช้สื่อกระทบสมองลูก

 

งานวิจัยพบว่าเด็กที่ใช้สื่อเย็นเซลล์สมองจะเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ได้มากกว่า

ขณะที่สื่อร้อนการเชื่อมต่อของเซลล์ที่ชั้นเปลือกสมองจะทําได้น้อย กระทบกับพัฒนาการของสมอง โดยเฉพาะทักษะสมอง EF

 

ไม่อยากให้ลูกติดจอ พ่อแม่ทำได้

ฟัง อาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริบอกแนวทางการฝึกทักษะให้พ่อแม่มี Digital Literacy เพื่อรับมือและรู้เท่าทันก่อนสื่อหน้าจอจะทำลายสมองลูก

 

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่https://linktr.ee/rakluke 

รักลูก The Expert Talk EP.125 : Cybercrime คืออะไร? รู้ไว้ก่อนลูกถูกลวง

 

รักลูก The Expert Talk Ep.125 : Family Out จอ Gen กับอาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ ตอนที่ 6 Cybercrime คืออะไร? รู้ไว้ก่อนลูกถูกลวง

เมื่อพ่อแม่ให้โทรศัพท์ แท็บแล็ตหรือสร้างแอคเคาท์บนโซเชียลมีเดียให้ลูก เราอาจจะคิดว่าอินเทอร์เน็ตมันเป็นโลกของข้อมูลความรู้

แต่ถ้าลองคิดในมุมกลับกัน เมื่อให้ลูกเข้าถึงโลกทั้งใบ โลกทั้งใบก็เข้าถึงลูกของเราได้เหมือนกัน…การเกิดอาชญากรรมออนไลน์จึงเกิดขึ้นได้ง่าย

 

รู้กลลวงของเหล่ามิจฉาชีพบนโลกออนไลน์เพื่อรับมืออย่างเท่าทัน ฟัง อาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ

 

ติดตามรักลูก Podcast ได้ที่https://linktr.ee/rakluke