facebook  youtube  line

7 นิสัยเลี้ยงลูก ที่พ่อแม่ควรเพิ่ม เพื่อให้ลูกเก่ง น่ารัก และเป็นคนดีได้

การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก-ทักษะพ่อแม่-พ่อแม่มีอยู่จริง

เพียงเริ่มจากตัวเอง ทำ 7 สิ่งนี้ ลูกก็จะค่อย ๆ กลายเป็นเด็กเก่ง น่ารัก และประพฤติตัวดีทั้งนิสัยและจิตใจได้แล้วค่ะ 

7 นิสัยเลี้ยงลูก ที่พ่อแม่ควรเพิ่ม เพื่อให้ลูกเก่ง น่ารัก และเป็นคนดีได้

การจะเลี้ยงลูกให้เป็นคนเก่ง น่ารัก ประพฤติตัวดีทั้งนิสัยและจิตใจ ไม่ง่ายเลยใช่ไหมคะ เพราะการเลี้ยงเด็กหนึ่งคนไม่มีสูตรสำเร็จในการสอน เด็กต่างก็มีลักษณะเป็นตัวของตัวเอง ที่พ่อแม่ต้องเติบโตไปกับลูกในทุก ๆ วัน เพื่อที่จะสอนลูกได้ตามสถานการณ์

แต่รู้ไหมคะ ว่านิสัยของพ่อแม่บางอย่าง ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สอนลูกได้ดี หากยังไม่มีนิสัยเหล่านี้ แนะนำให้เพิ่มเลยค่ะ เพียงเริ่มจากตัวเอง ทำ 7 สิ่งนี้ ลองนำไปปรับปรุง ปรับใช้ให้เหมาะกับลูกได้นะคะ

 

  1. เพิ่มการสอนลูกให้มากขึ้น

อย่าขี้เกียจพูด แล้วทำทุกอย่างให้ลูก หรือ ตัดจบปัญหาไปแบบไว ๆ แล้วลูกไม่ได้เรียนรู้อะไร คุณพ่อคุณแม่ต้องสอนลูกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากลูกทำผิดพลาด ให้พูดคุยถึงปัญหา บอกวิธีแสดงออกที่ถูกต้องให้ลูกรู้ เพราะเป้าหมายของการอบรมเลี้ยงดูลูก คือการสอนให้ลูกรู้จักการปฏิบัติตัวดี และมีพฤติกรรมที่เหมาะสม ควรเลิกลงโทษลูกด้วยการตี หรือการดุด่า เพราะไม่ได้ช่วยทำให้ลูกได้เรียนรู้ หรือถ้าหากทำโทษแล้ว ต้องพูดคุย อธิบายว่าทำไมถึงทำโทษลูก ให้กอดลูก ให้ลูกรู้ว่าเรารักเสมอ

  1. เพิ่มการมองโลกในแง่บวก

การมองโลกในมุมบวก เปลี่ยนสถานการณ์ได้จริง ๆ เช่น การอดทนคอยบอกคอยสอนลูกบ่อย ๆ คุณพ่อคุณแม่อย่ามองว่ามีแต่เหนื่อย แต่ให้มองว่าลูกจะได้เรียนรู้อะไรบ้าง หรือ เมื่อเกิดเหตุการณ์ลูกทำตัวไม่น่ารัก ให้คิดว่าลูกไม่ได้จงใจทำผิด ไม่ตัดสินลูก แต่ให้ถามไถ่สิ่งที่เกิดขึ้นว่าเพราะอะไร ทำไมเกิดเรื่องนี้ ให้ลูกได้อธิบายให้มากที่สุด และพ่อแม่ต้องรับฟังอย่างตั้งใจ เพื่อหวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้นในมุมมองบวกที่เราคิดไว้

  1. เพิ่มเหตุผลให้มากขึ้น

ไม่ว่าเรื่องอะไรที่พ่อแม่ทำ ต้องมีเหตุผลเสมอ เช่น เมื่อลูกทำของหกเลอะเทอะ ต้องบอกให้ลูกเก็บเอง หากลูกไม่ทำให้บอกเขาว่าคนอื่นที่เดินมา หรือลูกเอง ก็อาจจะลื่นหกล้มเจ็บตัวได้ ทุก ๆ เรื่อง ควรบอกเหตุผลด้วยน้ำเสียง และท่าทีที่เรียบ แต่หนักแน่น การเพิ่มเหตุผลอย่างใจเย็น จะช่วยให้ลูกมีความรับผิดชอบในสิ่งที่ได้รับมอบหมายได้มากขึ้น และควรทำอย่างสม่ำเสมอ

  1. เพิ่มความยืดหยุ่นในตัวเอง

กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในครอบครัว หรือสิ่งที่ตั้งใจไว้ว่าจะทำให้ได้ ให้คุณพ่อคุณแม่ลองปรับลดลงหน่อย เพื่อให้ลูกเข้าใจและปฏิบัติตามได้ง่ายขึ้น หรือลองพูดคุยกับลูกเรื่องกฎในบ้าน ว่ามีข้อไหนที่ลูกคิดว่าทำไม่ได้ หรือ กดดันจนไม่ชอบเลย เราควรปรับลดลงแค่ไหน ให้ถามความเห็นลูก เพราะการที่พ่อแม่มีความยืดหยุ่น จะทำให้ลูกมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น ไม่ติดกรอบเกินไปด้วย

  1. เพิ่มการชมให้มากขึ้น

เวลาทุกทำผิดพลาด ก็สอนไปบ่นไป แต่พอลูกทำดีกลับไม่ชม เพราะกลัวลูกเหลิง แบบนี้ส่งผลไม่ดีต่อจิตใจลูกได้นะคะ ลูกทำตัวน่ารัก รู้จักแบ่งปัน หรือมีความพยายามทำบางเรื่องจนสำเร็จ อย่าลืมให้กำลังใจลูกนะคะ แม้เพียงคำชมเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือการโอบกอด เพื่อให้ลูกรับรู้ว่า คุณพ่อคุณแม่รักลูกเสมอ แค่นี้ก็จะเป็นพลังที่จะช่วยให้ลูกมีกำลังใจที่จะทำดีต่อไปเรื่อย ๆ แล้วค่ะ

  1. เพิ่มการขอโทษ

คุณพ่อคุณแม่หลายคน เคยทำผิด หรือ ทำให้ลูกเสียใจโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่บางครั้งก็เลือกปล่อยผ่านไป และนิ่งเฉย เพราะคิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่ ทำไมต้องขอโทษลูก แต่ต่อจากนี้ควรเพิ่มการขอโทษลูกให้มากขึ้นเมื่อทำผิดนะคะ เพราะอยากสอนลูกให้รู้จักคำว่าขอโทษ ในเวลาที่ลูกทำผิด การทำเป็นตัวอย่าง จะเป็นการสอนเขาได้ดีที่สุดค่ะ

7. เพิ่มการเป็นตัวอย่างที่ดี 

คุณพ่อคุณแม่ควรทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดี ให้ลูกได้เห็นเสมอ ๆ เวลาที่คุณพูดกับผู้อื่น ก็ควรใช้คำพูดและกริยาท่าทางที่สุขุมเยือกเย็น ไม่แสดงอารมณ์โกรธ หรือก้าวร้าวกับผู้อื่นต่อหน้าลูก ควรมีคำพูดที่แสดงมารยาทที่ดี เช่น ขอโทษค่ะ ขอบคุณครับ และการแสดงน้ำใจกับคนอื่น ๆ ให้ลูกได้เห็นอยู่เสมอ ๆ 

 

ทั้ง 7 ข้อนี้ เป็นเพียงแค่ตัวอย่างที่อยากให้เพิ่มนะคะ แต่มีนิสัยดี ๆ อีกมากมายที่พ่อแม่สามารถทำเองได้ เพิ่มได้ ด้วยตัวเอง หากลองเปลี่ยนตัวเองให้ไปในทางที่ดีขึ้น เราจะได้เห็นพัฒนาการบางอย่างของลูกที่ดีขึ้นตามไปด้วย ลองปรับใช้ดูนะคะ


 

7 วิธีเลี้ยงลูกสไตล์คนญี่ปุ่น ดูสบาย ๆ แต่เด็กมีความรับผิดชอบสูงลิ่ว

การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก-การเรียนรู้

เคยเห็นเด็กๆ ญี่ปุ่นไหมคะ ทำไมเขาช่างน่ารัก ไม่ชอบโวยวาย พูดดีเกินวัย กล้าพูด แถมมีมารยาทดีอีกด้วย อีกทั้งหนังสือเลี้ยงลูกของญี่ปุ่นก็ยังได้รับความนิยมมากๆ เราเลยจะมาบอกถึงวิธีการเลี้ยงลูกของคนญี่ปุ่นกัน ว่าคุณพ่อคุณแม่ชาวญี่ปุ่นเลี้ยงลูกแบบเข้าใจธรรมชาติของเด็กอย่างไรบ้างค่ะ

 
7 วิธีเลี้ยงลูกสไตล์คนญี่ปุ่น ดูสบายๆ แต่เด็กมีความรับผิดชอบสูงลิ่ว

1.ชวนลูกคุยและรับฟังลูกเสมอ

การชวนลูกคุยเป็นประจำก็จะได้รับฟังปัญหาของลูกด้วย ไม่มองปัญหาของลูกเป็นเรื่องของเด็กๆ ควรฟังและใช้เหตุผลสอนลูก และแนะนำสิ่งที่ดีกว่าให้ลูก จะได้ร่วมแก้ไขปัญหาเพื่อนำไปสู่พฤติกรรมที่ดีของลูกค่ะ

2.ฝึกให้ลูกตรงต่อเวลา

ชาวญี่ปุ่นขึ้นชื่อในเรื่องการตรงต่อเวลามากๆ ซึ่งถูกฝึกมาตั้งเเต่เด็กๆ เช่น ฝึกลูกตื่นและนอนให้ตรงเวลาแม้กระทั่งวันหยุด ให้ความสำคัญกับอาหารเช้าและทานให้เป็นเวลา เมื่อครบเวลาเเล้วลูกจะต้องเก็บจานอาหารในทันที การฝึกแบบนี้อาจะต้องใช้เวลาแต่เด็กจะสามารถปรับตัวได้เองค่ะ

3.ส่งเสริมจุดแข็งของลูก

สนับสนุนอย่างเต็มที่ พ่อเเม่ชาวญี่ปุ่นเชื่อเสมอว่าลูกจะต้องมีสิ่งพิเศษในตัวเอง เลยชอบพาลูกไปทำกิจกรรมและมองหาสิ่งที่ลูกถนัด เช่น เล่นกีฬา วาดภาพ ทำอาหาร เป็นต้น อะไรที่ลูกชอบจะต้องส่งเสริมให้ลูกทำสิ่งนั้นๆ อย่างสุดความสามารถ

4.ไม่ปกป้องลูก

เมื่อลูกทำผิด หากลูกทำผิดไป พ่อกับชาวญี่ปุ่นจะเข้าไปสอนลูกทันทีไม่ปล่อยเรื่องราวผ่านไปให้ลูกชะล่าใจ และเเนะนำสิ่งที่ถูกให้กับลูกโดยไม่มองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะถือว่าพฤติกรรมเล็กๆ ในวันนี้อาจเป็นเรื่องใหญ่ในวันหน้าค่ะ

5.สอนลูกให้พูดขอโทษเเละขอบคุณ

คนไทยส่วนใหญ่มักจะสอนให้เด็กพูดว่า ขอ ซึ่งชาวญี่ปุ่นมักปลูกฝังให้เด็กๆ พูดขอบคุณเเละขอโทษตั้งแต่เด็กจนเป็นนิสัย เเต่ไม่ใช่เพียงคำพูดเท่านั้น เพราะถือว่าเด็กๆ ต้องพูดออกมาจากความรู้สึกให้ผู้ฟังสัมผัสได้ด้วย

6.สอนให้เห็นแก่ส่วนรวม

ต้องไม่เห็นแก่ตัว การฝึกให้ลูกมีจิตสาธารณะเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับชาวญี่ปุ่น ต้องทิ้งขยะให้ลงถังและต้องแยกชนิดของขยะให้ถูกต้อง ต้องมีน้ำใจช่วยเหลือคนที่กำลังลำบาก ต้องเห็นใจผู้อื่น ความรับผิดชอบต่อสังคมชาวญี่ปุ่นจะพูดคำว่า 'ต้อง' ทำเสมอ

7.แสดงความรักต่อลูก

พ่อเเม่ชาวญี่ปุ่นไม่ลังเลเลยที่จะเเสดงออกว่ารักลูก ทั้งการกอด สัมผัส เเละบอกรัก สิ่งเหล่านี้ทำให้เด็กเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มั่นใจในอนาคต

 

นอกจากนั้นพ่อเเม่ชาวญี่ปุ่นก็มักจะชื่นชมลูกบ่อยๆ เพราะเป็นอีกทางหนึ่งในการพัฒนานิสัยที่ดีของเด็กค่ะ

7 เทคนิคเห็นผลชัวร์! สอนลูกตอนเด็กให้ไม่เป็นเด็กแสบ ดื้อ ซน โตไปไม่ก้าวร้าว

1868 2
 

7 เทคนิคเห็นผลชัวร์! สอนลูกตอนเด็กให้ไม่เป็นเด็กแสบ ดื้อ ซน โตไปไม่ก้าวร้าว

มีคำกล่าวที่ว่า "Action speak lounger than words พ่อแม่ควรเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก เพราะการเห็นแบบอย่างที่ดีจะทำให้ลูกสามารถจดจำการทำดีได้มากกว่าการใช้เพียงคำพูด" ฉะนั้นมาสอนลูกให้เป็นเด็กจิตใจดี โตไปจะได้ไม่ก้าวร้าวกันค่ะ

1. สอนให้ลูกช่วยเหลือตนเอง การที่ลูกสามารถช่วยเหลือตนเองได้ จะลดการพึ่งพาคนอื่น ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ทำให้ลูกเกิดความมั่นใจในตัวเอง ลดความกังวล และพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้ดี

2. สอนลูกให้ช่วยงานบ้าน เริ่มได้ตั้งแต่ลูก 2 ขวบเลย ฝึกลูกให้ช่วยงานบ้านขั้นพื้นฐาน เช่น เก็บของเล่นหลังเล่นเสร็จแล้ว นำเสื้อผ้าที่สวมแล้วไปใส่ตะกร้า นับเป็นจุดเริ่มต้นของการเอาใจเขาใส่ใจเรา

 

3. ฝึกระเบียบวินัย เพื่อให้ลูกหัดควบคุมตนเองและยับยั้งชั่งใจต่อสิ่งยั่วยุต่างๆ สามารถทำได้ตั้งแต่ 3 ขวบ เช่น การตื่นนอนและเข้านอนให้เป็นเวลา รับประทานอาหารเป็นเวลา

 

4. พาลูกออกไปพบผู้คนที่หลากหลาย ทำให้ลูกเห็นว่าในโลกนี้มีคนที่แตกต่าง ทั้งสีผิว เชื้อชาติ ภาษา และความคิด ซึ่งสิ่งที่แตกต่างเหล่านี้ไม่ได้แปลว่าผิดเสมอไป พร้อมสอนให้ลูกมีน้ำใจและเข้าใจคนที่แตกต่างจากตัวเอง

 

5. สอนเรื่องอารมณ์ต่าง ๆ เมื่อลูกแสดงอารมณ์ออกมา เช่น เมื่อร้องไห้ที่ไม่ได้ของเล่น อาจบอกลูกว่า แม่รู้ว่าลูกกำลังเสียใจที่ไม่ได้ของเล่น หรือเมื่อลูกโกรธที่ถูกแย่งขนม ต้องบอกว่าลูกกำลังโกรธใช่ไหม แต่แม่อยากให้ลูกหายใจลึก ๆ ใจเย็น ๆ การสอนเช่นนี้จะช่วยทำให้ลูกเรียนรู้ที่จะจัดการกับอารมณ์ของตนเมื่อโตขึ้น และไม่นำอารมณ์ของตนเองมาเป็นข้ออ้างในการทำร้ายคนอื่น

 

6. สร้างแรงบันดาลใจด้วยเรื่องเล่า สำหรับเด็กเล็กโลกของเขายังไม่กว้างใหญ่มากนัก การเล่านิทานให้เขาฟังจะช่วยทำให้เขาเข้าใจการช่วยเหลือกันในสังคมได้ดีขึ้น และยังทำให้ลูกได้ฝึกคิดสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำด้วยตนเอง โดยมีพ่อแม่เป็นผู้ชี้นำแนวทางที่เหมาะสมให้

 

7. สอนลูกให้รู้จักแก้ปัญหา บ่อยครั้งที่ลูกทำผิดพลาด พ่อแม่ควรให้อภัยลูก แล้วชวนลูกแก้ไขปัญหาหลังจากที่เกิดข้อผิดพลาด  เช่น ลูกวิ่งแล้วทำน้ำหก พ่อแม่ควรฝึกให้ลูกรับผิดชอบในสิ่งที่ทำ คือ เช็ดน้ำและเก็บแก้วให้เป็นที่ หลังจากนั้นชวนให้ลูกคิดว่าครั้งหน้าสามารถระวังอย่างไรให้ไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก เป็นต้น

 

ข้อมูลจาก : พญ. ถิรพร ตั้งจิตพร จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น

7 เหตุผลที่ควรสอนลูกว่ายน้ำ ที่ลูกจะได้มากกว่าความสนุกและออกกำลัง

 ว่ายน้ำ, สอนลูกว่ายน้ำ, ประโยชน์ว่ายน้ำ, น้ำ, เด็กจมน้ำ, ลูกหกล้ม, ลูกมี​แผลถลอก, ​แผลถลอก, ล้มหัวฟาด, ลูกมีแผล, แผลหกล้ม, พ่อที่ดี, แม่ที่ดี, การเป็นแม่คน, การเป็นพ่อคน, คำพูดให้ลูกชื่นใจ, คำพูดที่ควรพูดกับลูก, คำพูดให้กำลังใจ, nexventure2018, รู้ก่อนลุย, แอดเวนเจอร์, กิจกรรมแอดเวนเจอร์สำหรับเด็ก, วันหยุด, ปิดเทอม, กิจกรรมยาม, โรงเรียน, บ้าน, ได้รู้จักเพื่อนใหม่, มีสังคมใหม่, กล้าแสดงออก, กิจกรรมครอบครัว, เข้าคอร์สเตะฟุตบอล, เรียนเปียโน, ทำอาหาร, สนับสนุนส่งเสริมลูกให้มีทักษะเพิ่มขึ้น, กิจกรรมเสริมทักษะให้ลูก, ลูกเป็นคนขี้อาย, กิจกรรมที่ส่งเสริมความกล้าแสดงออก, ลูกตีกอล์ฟ, ฝึกสมาธิ, ความมั่นใจในตัวเอง, กิจกรรมกลางแจ้ง, กิจกรรมเหมาะกับบุคลิกเฉพาะตัวของลูก, บุคลิกของลูก, พฤติกรรมและการแสดงอารมณ์, ลูกจะมีทักษะที่ขาดไป, อย่าไปบังคับ, ลูกไม่ชอบดนตรี, พาไปทำกิจกรรมดนตรี, ว่ายน้ำวาดรูป, พ่อแม่ขี้กลัว

คุณแม่ทราบไหมคะว่า เด็กเสียชีวิตจากการจมน้ำเป็นอันดับ 1 ในทุกๆ ปีค่ะดังนั้นเราควรสอนให้ลูกว่ายน้ำจึงเป็นเรื่องที่พ่อแม่ต้องให้ความสำคัญค่ะ เรามาดูกันว่า นอกจาการว่ายน้ำเพื่อเอาตัวรอดจากการจมน้ำแล้ว การว่ายน้ำยังให้ประโยชน์อะไรกับลูกเราได้อีก

  1. ได้ใช้กล้ามเนื้อทุกส่วน

ว่ายน้ำเป็นการออกกำลังกายที่เหมาะกับเด็กๆมาก ทั้งสนุก เย็นสบาย และได้ใช้ร่างกายทุกส่วน ทำให้ร่างกายเติบโตพัฒนาได้ดีมากค่ะ

  1. ช่วยให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง

ในระหว่างว่ายน้ำ หัวใจจะบีบและคลายตัวอย่างสม่ำเสมอ ทำให้เลือดไปหล่อเลี้ยงหัวใจได้ดี จะช่วยให้หัวใจเด็กๆ แข็งแรงขึ้นค่ะ

  1. ทำให้ผ่อนคลาย

ส่วนใหญ่แล้วสระน้ำสำหรับเด็กจะเป็นน้ำอุ่นการออกกำลังอย่างนุ่มนวลในน้ำอุ่นจะส่งผลให้ลูกทานอาหารและนอนหลับได้ดีในวันว่ายน้ำค่ะ

  1. ลดอาการโรคหอบหืด

การว่ายน้ำช่วยลดการหายใจหอบได้ดีกว่าการออกกำลังกายอย่างอื่น และน้ำอุ่นในสระว่ายน้ำก็ยังช่วยลดการระคายเคืองในปอดด้วยค่ะ

  1. ได้เรียนรู้เรื่องความตั้งใจ

การพาลูกว่ายน้ำตั้งแต่เล็กๆ จะช่วยสร้างการสัมผัสลึกซึ้งระหว่างลูกกับคุณพ่อคุณแม่ได้ดี โตมาลูกจะชอบการว่ายน้ำ และจะได้เรียนรู้ความอดทน ความตั้งใจ มีสมาธิ ในทุกครั้งที่ว่ายน้ำค่ะ

  1. ลูกมีความมั่นใจและมีอิสระ

สระน้ำทำให้ลูกเรียนรู้ถึงความอิสระในการว่ายไปเรื่อยๆ และเมื่อไหร่ที่ลูกว่ายน้ำได้ด้วยตนเองลูกจะมีความมั่นใจมากขึ้นค่ะ

  1. ลูกปลอดภัยจากการจมน้ำ

ลูกจะได้เรียนรู้เรื่องการฝึกลอยตัวในน้ำอันตรายจากน้ำ การใช้ชูชีพ การลอยตัวเมื่อใส่ชูชีพ และอีกมากมาย ถ้าหากลูกเรียนรู้การเอาตัวรอดเรื่องนี้ไปได้พ่อกับแม่ก็จะเบาใจลงได้ค่ะ

รู้แล้วนะคะว่าว่ายน้ำประโยชน์แน่นมากขนาดนี้ แล้วจะรอช้าทำไมคะ พาลูกไปซื้อชุดว่ายน้ำให้ครบเซ็ตแล้วไปลงสระกันเลยค่ะ

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก







 

8 กิจกรรมช่วงปิดเทอม เสริมสร้างพัฒนาการให้ลูกฉลาดสมวัย

เด็ก- พัฒนาการ-กระตุ้นพัฒนาการ- กิจกรรม- กิจกรรมสำหรับเด็ก- กิจกรรมช่วงปิดเทอม- ปิดเทอม- เกมเสริมพัฒนาการ- ปิดเทอมพาลูกทำอะไรดี- ที่เที่ยวปิดเทอม- กิจกรรมอยู่บ้านช่วงปิดเทอม- ลูกปิดเทอม- กิจกรรมปิดเทอม-กิจกรรมสร้างสรรค์ปิดเทอม- โรงเรียนปิดเทอม 

ช่วงปิดเทอม อยากชวนคุณพ่อคุณแม่มาสร้างสรรค์กิจกรรมให้ลูกน้อย ที่ทำง่ายๆ ภายในบ้านกับครอบครัวกันค่ะ เพื่อเสริมพัฒนาการด้านต่างๆ ให้ลูก ในรูปแบบเกม กิจกรรม สามารถทำได้ในเวลาว่าง มาชวนลูกพัฒนาความรู้ไปพร้อมกันกับกิจกรรมสำหรับเด็ก ช่วงปิดเทอมนี้กันค่ะ

8 กิจกรรมเสริมพัฒนาการด้านต่าง ๆ ช่วงปิดเทอม
  1. ชั่วโมงศิลปะ คุณพ่อคุณแม่เตรียมซื้อสีน้ำ สีเทียน สีไม้ พู่กัน กระดาษ และอื่นๆ ที่จะให้ลูกสร้างงานศิลปะได้เลยค่ะ เพราะกิจกรรมดีๆ ช่วงปิดเทอมคือการให้ลูกสร้างงานศิลปะด้วยตัวเอง เช่น วาดรูปธรรมชาติรอบบ้านที่เห็น ออกไปวาดรูปในสวนหมูบ้าน วาดรูปครอบครัว เป็นต้นค่ะ บางครั้งภาพที่ลูกวาดออกมา อาจกำลังบอกตัวตนและนิสัยของเขาด้วยนะคะ  
  2. ผู้ช่วยทำอาหาร เข้าครัว วันหยุดสุดสัปดาห์ เวลาที่คุณแม่ไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาเก็ต ชวนลูกไปด้วยสิคะ ลองถามว่าเย็นนี้เรากินอะไรกันดี ให้เขาลองเลือกของ ผัก ช่วยหยิบเนื้อหมู เนื้อไก่ เสร็จแล้ว กลับมาบ้านเข้าครัวเริ่มทำอาหารกันค่ะ ขอมอบตำแหน่ง ผู้ช่วยให้ลูกดูนะคะ ลูกจะเป็นผู้ช่วยที่ดีมากๆ สิ่งที่ให้ลูกทำก็เช่น ล้างผัก เด็ดผัก เจียวไข่ ช่วยหยิบของ เขาจะรู้สึกสนุกและมีความสุขที่ได้ทำอาหาร ลูกจะกินอาหารที่ตนเองทำจนหมดจาน จนคุณแม่อดแปลกใจไม่ได้เลยล่ะคะ         
  3. เกมต่อจิ๊กซอว์ เริ่มจากการซื้อจิ๊กซอว์ตามวัยของลูกมาให้เล่นสัก 2-3 แบบค่ะ จากง่ายๆ ก่อนแล้วค่อยเพิ่มความยากขึ้น เพื่อให้ลูกได้มีกิจกรรมทำที่บ้าน อาจจะช่วยลูกต่อบ้างเพื่อเป็นกิจกรรมครอบครัว หากลูกต่อเสร็จชมลูกให้เยอะๆ เพราะลูกจะได้ภูมิใจ การต่อจิ๊กซอว์ช่วยให้ลูกมี EF และพัฒนาการที่ดีมากด้วยนะคะ  
  4. เล่นบทบาทสมมติ ข้อนี้เด็ก ๆ มักจะชอบเล่นตามวัยของเขาอยู่แล้ว ครอบครัวควรเปิดโอกาสให้เด็กได้เล่นกับเพื่อนในวัยเดียวกัน หรือชวนเพื่อนในละแวกบ้านมาเล่นกับลูกที่บ้าน อย่าปล่อยให้ลูกอยู่กับมือถือมากไปนะคะ       
  5. ร้องเล่นเต้นรำ นึกถึงการเรียนในชั้นอนุบาลที่คุณครูจะเปิดเพลงให้เด็กๆ เต้นตาม ในท่าง่ายๆ เพลงก็มักเป็นเพลงสดใส สอนในเรื่องต่างๆ รอบตัว รวมถึงสอนให้มีความรับผิดชอบ รู้จักหน้าที่ของตนเอง แล้วก็เต้นประกอบเพลงด้วยท่าต่างๆ ซึ่งเราเชื่อว่ากิจกรรมนี้จะเป็นประโยชน์มากต่อเด็กค่ะ       
  6. เล่นกีฬา มีกีฬามากมายที่เด็กๆ เล่นได้ จะตีแบด ว่ายน้ำ ฟุตบอล ที่เด็กๆ รอให้พ่อแม่พาพวกเขาไปใช้พลังงานที่มีในตัวอย่างล้นเหลือให้หมด การเล่นกีฬายังปลูกฝังนิสัยที่ดีให้กับเด็กๆ ได้อีกมากมาย เช่น รู้จักอดทนรอ มีน้ำใจ เป็นต้น       
  7. เล่นทำความสะอาดบ้าน การมอบหมายงานเช่น ถูบ้าน กวาดบ้าน รดน้ำต้นไม้ เช็ดฝุ่น ล้างจาน ตากผ้า เก็บผ้า ให้กับเด็กๆ อาจไม่ใช่งานที่เหนื่อยจนเกินไปนัก เชื่อเถอะค่ะว่านอกจากการตั้งใจเรียนแล้ว งานเหล่านี้เด็กๆ ก็ทำได้ แถมยังช่วยแบ่งเบาภาระพ่อแม่ได้อีกด้วย  
  8. ไปทำกิจกรรมอาสา หากวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ มาถึง นอกจากพาไปเที่ยวแล้ว ลองหาที่พาลูกไปทำกิจกรรมเหล่านี้นะคะ เช่น บริจาคของเล่น บริจาคเสื้อผ้า หรือเลี้ยงอาหารกลางวันเด็กตามสถานสงเคราะห์ต่าง ๆ เพื่อที่เขาจะได้เป็นเด็กมองโลกให้กว้างขึ้น มีน้ำใจ สอนลูกเป็นผู้ให้ รู้จักแบ่งปันของให้แก่ผู้อื่นค่ะ

 

8 คำพูดต้องห้าม ที่ลูกไม่อยากได้ยินจากปากคนเป็นพ่อแม่

การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก 

คำพูดต้องห้าม ที่ลูกไม่อยากได้ยินจากปากคนเป็นพ่อแม่

เด็ก ๆ ที่อยู่ในช่วงของวัยเรียนรู้ มักจะเป็นคนช่างสังเกตและจดจำรายละเอียด โดยเฉพาะคำพูดของผู้ใหญ่ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องระมัดระวังคำพูดเป็นอย่างยิ่ง ไปดูคำที่ไม่ควรพูดเหล่านี้กันค่ะ

8 คำพูดที่ไม่ควรพูดกับลูก คำพูดที่ปิดกั้นพัฒนาการเด็ก
  1. ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง คำพูดนี้ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ไม่ชอบกันทั้งนั้นใช่ไหมคะ ฟังแล้วรู้สึกเสียความมั่นใจ ไม่ว่าคุณพ่อคุณแม่จะโมโหหรือโกรธสักแค่ไหน ก็ไม่ควรเผลอพูดคำนี้ออกมาเด็ดขาด เพราะนั้นจะทำให้เด็กไม่กล้าจะลองทำสิ่งใหม่ๆ พัฒนาการเด็กก็จะย้ำอยู่กับที่ และอาจจะไม่กล้าแสดงออกอีกต่อไป ดังนั้นควรใช้คำพูดในเชิงบวกเข้าไว้ ค่อย ๆ สอน ค่อย ๆ แนะนำและให้กำลังใจจะเป็นผลดีกว่านะคะ
  1. หุบปากแล้วอยู่เงียบ ๆ เด็กที่อยู่ในวัยที่กำลังหัดพูด มักจะชอบพูดไปตามประสาหรือพูดอยู่ตลอดเวลา หากเด็กพูดคำที่ไม่เหมาะสม คุณพ่อคุณแม่ก็ควรพูดหรือสอนกับลูกดีๆ อย่าแสดงอาการแสดงรำคาญเวลาที่ลูกถามหรือสงสัย เพราะเด็กจะไม่กล้าถาม ไม่กล้าแสดงออก และรู้สึกเก็บกด และพัฒนาการเด็กจะช้าลง ไม่มีความสุขทั้งในการเรียนและเล่นกับเพื่อน ๆ 
  1. ต้องมีความเป็นลูกผู้ชาย คำว่าต้องมีความเป็นลูกผู้ชายนั้น ไม่ควรพูดกับลูกนะคะ เพราะจะเป็นการปิดกั้นพัฒนาการเด็ก ลูกของคุณอาจจะสับสนว่า การเป็นลูกผู้ชายนั้นต้องทำอย่างไรบ้าง เด็กอาจจะรู้สึกสับสนและลังเลในสิ่งที่จะทำ และไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นถูกหรือไม่ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรแสดงความเป็นผู้นำให้ลูกได้เห็นเป็นตัวอย่างที่ถูกต้อง
  1. ทำแบบนี้เดี๋ยวไม่รักนะ เพราะว่าคำพูดเหล่านี้จะไปกระทบความรู้สึกเบื้องลึกในจิตใจลูก อย่าคิดว่าเป็นแค่คำพูดธรรมดาเอง ไม่มีอะไร ลูกคงรู้อยู่แล้วว่าพ่อแม่รัก แต่ในความเป็นจริง คำพูดเหล่านี้เป็นตัวบั่นทอนความรู้สึกของลูกมากที่สุด
  1. ทำไมน่ารำคาญอย่างนี้ คำพูดนี้ก็เช่นเดียวกันกับคำพูดว่าไม่รักแล้ว เพราะจะบั่นทอนความรู้สึกเชื่อมั่น อาจจะทำให้เขารู้สึกไม่แน่ใจว่าตกลงพ่อแม่ยังรักเขาหรือเปล่า ซึ่งความมั่นคงทางจิตใจของเด็กเป็นสิ่งสำคัญ และเป็นพื้นฐานของการเรียนรู้ การรู้จักแบ่งปัน การรู้จักตัวเองและคนอื่น
  1. ทำไมไม่ได้เหมือนลูกคนอื่นๆ การเปรียบเทียบลูกกับพี่ๆน้องๆ หรือเด็กคนอื่นๆ จะทำให้เด็กสูญเสียความมั่นใจ ขาดความเชื่อมั่น ไม่ควรพูดจาเปรียบเทียบลูก ถึงแม้จะทำไปโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่เด็กอาจจะเก็บไปคิดน้อยใจ ติดค้างอยู่ในใจได้
  1. อย่าทำแบบนี้เดี๋ยวตำรวจจับ การขู่ด้วยการหลอก เช่น หลอกผี หรือเอาตำรวจมาขู่ การขู่เป็นการใช้คำพูดเพื่อสื่อออกมาว่า เมื่อทำแบบนี้แล้วจะเกิดผลอะไรตามมาบ้าง ซึ่งภาษาที่พ่อแม่สื่อสารกับลูกเป็นสิ่งสำคัญในการลำดับความคิดของเด็ก การบอกเหตุและผลที่สอดคล้องกัน ทำให้เด็กมีพัฒนาการทางด้านภาษาที่ดีกว่า และพัฒนาการทางสมองและการเรียนรู้ก็จะดีตามไปด้วย แต่การขู่ด้วยเรื่องไม่เป็นเหตุผลก็จะทำให้เด็กขาดการเรียนรู้แบบเป็นเหตุเป็นผล และเมื่อโตขึ้นก็อาจจะยิ่งไม่เชื่อฟัง เพราะรู้ว่าไม่ใช่เรื่องจริง
  1. ล้อเลียนเรื่องน่าอาย หรือ ปมด้อย การนำปมน้อยมาล้อเลียน หรือเรื่องน่าอายของลูกๆ มาเล่า มาล้อให้คนอื่นฟัง พ่อแม่อาจจะไม่ได้คิดอะไร แต่ทราบไหมคะว่า อาจทำให้เกิดความเจ็บปวด เสียใจ เป็นปมที่ฝังอยู่ในใจลูกไปตลอดได้ค่ะ

และยังมีอีกหลายคำพูดนะคะ ที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรนำมาพูดให้ลูกได้ยิน เพราะนอกจากจะไม่เกิดผลดีกับเด็กแล้ว อาจส่งผลกับพัฒนาการของลูกด้วยค่ะ

8 วิธีสอนลูกให้เป็นเด็กน่ารัก ไม่เป็นภาระต่อสังคม

มารยาท- มารยาทสังคม-การเลี้ยงลูก-การเลี้ยงลูกให้น่ารัก     
 
ลูกเราไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน คุณพ่อคุณแม่น่าจะคุ้นหูกับประโยคนี้กันมาบ้าง ถ้าไม่อยากให้เจ้าตัวเล็กของเรามีพฤติกรรมไม่น่ารัก พ่อแม่ควรเตรียมการก่อนพาลูกน้อยออกจากบ้านค่ะ

8 วิธีสอนลูกให้เป็นเด็กน่ารัก ไม่เป็นภาระต่อสังคม​

หลาย ๆ ครั้งที่เราต้องออกไปใช้บริการในพื้นที่สาธารณะ เราก็อาจพบเจอทั้งคนแซงคิว ไม่รักษามารยาท หรือพูดจาเสียงดังโวยวาย ถ้าไม่อยากให้เจ้าตัวเล็กของเรามีพฤติกรรมไม่น่ารัก พ่อแม่ควรเตรียมการก่อนพาลูกน้อยออกจากบ้าน ด้วย 8 วิธีสอนลูกให้เป็นเด็กน่ารัก ไม่เป็นภาระต่อสังคม​มาฝากกันค่ะ 

  1. วางแผนสักนิดก่อนการเดินทาง จำไว้เสมอว่าเด็กเล็กยังต้องการการดูแล ดังนั้นก่อนจะออกนอกบ้านควรวางแผนการเดินทางให้เหมาะสม อบรมมารยาททางสังคมและตั้งข้อตกลงกับเด็ก ๆ ให้เรียบร้อย เช่น สอนให้ลูกรู้จักเข้าแถวไม่แซงคิว ไม่ทิ้งขยะเกลื่อนกลาด หรือไม่ส่งเสียงดังรบกวนผู้อื่นเมื่อต้องออกเดินทางไปในที่สาธารณะ

  2. มอบภารกิจพิชิตความซน วิธีการนี้จะเป็นการฝึกให้ลูกนิ่งมากขึ้น เพราะเขาจะรู้สึกว่ามีเป้าหมายและหน้าที่ความรับผิดชอบจากภารกิจที่พ่อแม่ได้มอบให้ เช่น การมอบหมายให้ช่วยถือของขณะที่พ่อแม่ไปซื้อของใช้

  3. ของเล่นชิ้นโปรดอย่าให้ห่างกาย หากต้องพาเด็ก ๆ ออกไปนอกบ้าน ควรมีของเล่นชิ้นโปรดติดมือไปด้วย แต่ควรเป็นของเล่นที่ไม่รบกวนผู้อื่น เช่น ตุ๊กตาที่มีเสียงดัง หรือหนังสือภาพเสียงเพลง เป็นต้น

  4. มีแผนสำรองเอาไว้ การเดินทางควรเตรียมความพร้อมล่วงหน้า เช่น หากลูกเกิดงอแงหรือหิวขึ้นมากลางทาง จำเป็นจะต้องมีนมหรืออาหารรองท้องเอาไว้ก่อน เพื่อจะได้ไม่เป็นผลกระทบต่อการเดินทางได้

  5. หัดควบคุมสติอารมณ์ให้เป็น เป็นธรรมดาถ้าหากเด็ก ๆ เกิดงอแงจนทำให้อารมณ์เสีย แต่ถ้าหากคุณพ่อคุณแม่ยิ่งอารมณ์ขุ่นมัว ก็จะยิ่งทำให้การเดินทางหมดความสนุก พาลทำให้ลูกยิ่งงอแงมากขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นพ่อแม่ควรรู้จักควบคุมสติอารมณ์และพยายามเข้าใจธรรมชาติของลูก เพื่อรับมือกับอารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น

  6. เข้าใจธรรมชาติของเด็ก คนแต่ละคนมีนิสัยไม่เหมือนกัน เด็ก ๆ ก็เช่นกันค่ะ เด็กบางคนอาจอารมณ์ดียิ้มง่าย แต่บางคนกลับชอบเก็บตัวไม่ชอบเข้าสังคมเจอผู้คน ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือพ่อแม่ต้องเข้าใจธรรมชาติของเด็กเพื่อที่จะได้ทำความเข้าใจและและรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้

  7. เลือกสถานที่ที่เหมาะสม หลายครอบครัวมีพฤติกรรมการเที่ยวเปลี่ยนไปเมื่อมีลูก เพราะคุณพ่อคุณแม่ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมเมื่อเวลาพาลูกออกไปนอกบ้าน ควรเลือกสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับครอบครัว

  8. การดูแลเรื่องมารยาทเป็นสิ่งสำคัญ การสอนให้เขาเรียนรู้และมีมารยาททางสังคม ซึ่งพื้นฐานเหล่านี้จะช่วยปลูกฝังให้เขามีมารยาทที่ดีต่อไปในอนาคต เรื่องง่าย ๆ ที่คุณพ่อคุณแม่จะสอนเด็ก ๆ ได้ เช่น รู้จักเข้าแถวและอดทนรอ การไม่ส่งเสียงดังหรือร้องไห้เอาแต่ใจเมื่อออกไปนอกบ้าน การรู้จักมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ผู้อื่น เป็นต้น

อยากให้ลูกน่ารัก ต้องเริ่มจากพ่อแม่ที่เป็นคนสอนเขานะคะ.. เด็กน่ารัก ใคร ๆ ก็อยากชื่นชม ชื่นชอบค่ะ หากเป็นลูกของเราแล้ว ยิ่งทำให้คนเป็นพ่อแม่ภูมิใจมากที่สุด

8 วิธีเลี้ยงลูกง่าย ๆ ฝึกให้ลูกค้นพบตัวเองและมีเป้าหมายของชีวิต

การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก 

รากฐานสำคัญในการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและประสบความสำเร็จของลูก พ่อแม่คือคนสำคัญที่จะสอน และอยู่เคียงข้างความสำเร็จของลูกนะคะ

มาช่วยกันสอนเจ้าตัวน้อย ด้วย 8 วิธีเลี้ยงลูกง่ายๆ ดังนี้

8 วิธีเลี้ยงลูกง่ายๆ  ฝึกให้ลูกค้นพบตัวเองและมีเป้าหมายของชีวิต
  1. ให้โอกาส

วัยเด็ก วัยสำคัญที่สุดในช่วงชีวิตมนุษย์ ที่ควรได้รับ “โอกาส” จากผู้ใหญ่ที่ควรทำหน้าที่ “ให้โอกาส” กับเด็กให้มากที่สุด พ่อแม่ควรทำหน้าที่คอยสังเกตและสนับสนุนในสิ่งที่ลูกถนัดและทำได้ดี จะทำให้ลูกเกิดความมั่นใจ และมีความพยายามที่จะทำสิ่งที่ตัวเองชอบและทำได้ดี 

อย่าพยายามคิดและตัดสินใจแทนลูก แต่เปลี่ยนมาสร้างบทบาทการฟังลูกให้มาก ฟังอย่างตั้งใจ เพื่อจะได้รู้ว่าลูกคิดอย่างไร ลูกอยากทำอะไร โดยพ่อแม่ทำหน้าที่เป็นโค้ชหรือผู้แนะนำ เพื่อส่งเสริมให้ลูกได้รู้จักตัวเอง มีความถนัดอะไร ชอบอะไร ทำอะไรได้ดี และควรปรับปรุงจุดอ่อนของตัวเองอย่างไร

  1. ให้อิสระ

พ่อแม่ควรให้อิสระแก่ลูกในการคิดอ่านหรือทำสิ่งใดไม่ควรเป็นผู้บงการชีวิตลูกว่าจะให้ลูกทำอะไร หรือฝากความหวังไว้กับลูกมากจนเกินไป บางคนให้ลูกสานฝันของตัวพ่อแม่เองที่ไม่สามารถทำได้สำเร็จ

โดยไม่คำนึงว่าลูกจะชอบหรือถนัดในด้านนั้นหรือไม่ พ่อแม่ที่ปรารถนาให้ลูกรู้จักตัวเองจึงควรเปิดโอกาสให้ลูกได้สามารถตัดสินใจในการเลือกสิ่งต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง โดยพ่อแม่มีหน้าที่คอยชี้แนะอยู่ห่างๆ

3.ให้ลูกเห็นตัวเอง

คนเป็นพ่อแม่สามารถทำหน้าที่เป็นกระจกเงาสะท้อนให้ลูกได้เห็นตนเองในมุมต่างๆ ทั้งจุดอ่อน จุดแข็ง จุดดี จุดด้อย ฯลฯ การสะท้อนภาพด้วยวัยและประสบการณ์ของลูกอาจทำให้เขามองเห็นภาพของตัวเองได้หลากหลาย เหมาะสม หรือบิดเบี้ยวผิดจากความเป็นจริง หรือฟังจากคนรอบข้างมาอย่างผิดๆ 

พ่อแม่ต้องปรับความเข้าใจของลูกที่มีต่อตัวเองให้ถูกต้องเป็นจริงให้มากที่สุด นั่นหมายความว่าพ่อแม่ต้องมองลูกด้วยสายตาความเป็นจริง มิใช่อคติหรือลำเอียง การสอนและเตือนสติเป็นสิ่งจำเป็น พ่อแม่คือผู้ที่เห็นลูกอย่างใกล้ชิดที่สุด และสามารถเข้าใจความเป็นตัวตนของเขามากที่สุด 

  1. ให้ความเคารพ

เมื่อลูกของเราค้นหาและค้นพบว่าตัวเองถนัดอะไร ชอบอะไร ซึ่งไม่ว่าสิ่งนั้นจะตรงใจพ่อแม่หรือไม่ก็ตาม ต้องเข้าใจ ยอมรับและเคารพในตัวลูกด้วย 

ที่สำคัญควรสร้างทัศนคติว่าพ่อแม่ลูกสามารถคุยกันได้ มีความเคารพในความเป็นมนุษย์ซึ่งกันและกัน


  1. ให้ประสบการณ์

ช่วงวัยเด็กเล็กเป็นวัยที่สำคัญมาก เป็นวัยช่างซักช่างถาม ต้องเปิดโอกาสให้ลูกเป็นเจ้าหนูทำไม และพ่อแม่ก็อย่าขี้เกียจตอบ พยายามตอบให้ได้มากที่สุด และคำตอบก็ควรจะเป็นลักษณะถามลูกว่าแล้วลูกคิดอย่างไร รู้สึกอย่างไร เป็นคำถามปลายเปิด เพื่อช่วยกระตุ้นให้เด็ก ๆ ได้คิดต่อ บางคำถามสามารถมีหลายคำตอบได้ ก็ชวนให้ลูกคิดตาม 

เมื่อลูกโตขึ้นก็ขยับความสนใจให้ลูกเรียนรู้สิ่งรอบตัวมากขึ้น ซับซ้อนตามวัย ยิ่งถ้าเป็นการให้เขาเรียนรู้สิ่งที่เขาสนใจ สิ่งที่เขาชอบ ก็จะเป็นการสร้างแรงบันดาลใจที่ดีต่อไปในอนาคต 

  1. ให้พัฒนาตัวเอง

เด็กควรได้รับการพัฒนาทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา และสังคมเริ่มที่การถูกเลี้ยงดู และได้รับการพัฒนาอย่างเหมาะสม ซึ่งหมายความว่าถ้าเด็กได้รับโอกาสที่ดีและเหมาะสม ก็จะนำไปสู่การพัฒนาตัวเองได้ด้วย 

  1. ให้ลงมือทำ

การเปิดโอกาสให้ลูกลองผิดลองถูก คือ ขั้นของการพัฒนาตัวเองที่เขาต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่เปิดโอกาสอย่างเดียว การเปิดโอกาสต้องปล่อยให้ลูกได้ลงมือทำด้วย เพราะการได้ลงมือทำคือการได้เรียนรู้ ได้ลองค้นหาด้วยตัวเอง ทำให้ได้มีโอกาสคิด วิเคราะห์ และประเมินได้ว่าเราถนัดอะไร 

  1. ให้แก้ไขเมื่อผิดพลาด

เด็กทำผิดพลาดแล้ว พ่อแม่ทำอย่างไร เปิดโอกาสให้เขาได้แก้ไขข้อผิดพลาดหรือไม่ รวมถึงการเข้าใจธรรมชาติของเด็กที่พ่อแม่ควรรู้ว่าลูกของเราเป็นเด็กอย่างไร ยิ่งว่าเหมือนยิ่งยุหรือไม่ หรือพื้นฐานเอาแต่ใจตัวเองหรือไม่ ถ้าพ่อแม่เข้าใจธรรมชาติของเด็ก การจัดการหรือการให้โอกาสเขา จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับเขาด้วย



การรู้จักตัวเองไม่ใช่ปลูกฝังเพียงแค่ที่บ้าน แต่ต้องได้รับการส่งเสริมและฝึกฝนจากโรงเรียนด้วย เพราะเมื่อเด็กเข้าสู่ระบบการศึกษา จำเป็นอย่างยิ่งที่โรงเรียนต้องออกแบบการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้เด็กรู้จักตัวเอง มิใช่ผลิตให้เด็กออกมาเหมือนๆกัน และสุดท้ายก็ไม่รู้ว่าตัวเองเรียนหนังสือไปทำไม ถนัดอะไร เรียนจบจะไปทำอะไร?


ในบรรดาความรู้ทั้งหลายในโลกกว้าง การรู้จักตัวเองเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

เพราะจะเป็นพื้นฐานไปสู่การเรียนรู้เรื่องอื่น ๆ ในโลกกว้างต่อไป..



ขอบคุณข้อมูลจาก : mgronline และ ดร.สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน

8 วิธีเลี้ยงลูกชายให้เป็นสุภาพบุรุษ แบบน้องนาย ณภัทร

การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก-นาย ณภัทร เสียงสมบุญ- หมู พิมพ์ผกา เสียงสมบุญ- วิธีการเลี้ยงลูกชายให้เป็นสุภาพบุรุษ- สุภาพบุรุษ-เลี้ยงลูกให้เป็นคนดี

หลายๆ คนสงสัยกันว่าทำไมนาย ณภัทร เสียงสมบุญ ถึงนิสัยดี โตขึ้นมาเป็นเด็กน่ารัก แถมยังกลายเป็นหนุ่มในฝัน ของสาวๆ กว่าค่อนประเทศอีกด้วย เราเลยมีเคล็ดลับการเลี้ยงลูกของซิงเกิ้ลมัมคนเก่งแม่หมู พิมพ์ผกา เสียงสมบุญ กับวิธีการเลี้ยงลูกชายให้เป็นสุภาพบุรุษมาฝากกันค่ะ

  1. เริ่มจากความคิด ถ้าเราคิดว่าลูกขาดความรัก ลูกจะเป็นอย่างที่เราคิด แต่ถ้าเราคิดว่าลูกเป็นคนดี เป็นสุภาพบุรุษ เขาก็จะโตมาเป็นผู้ชายเพอร์เฟ็กต์อย่างที่เราต้องการ
  1. ให้เวลากับลูก ต้องคุยกัน ต้องกอดกัน คุยกันได้ทุกเรื่อง ไม่วางท่าว่าเป็นแม่เขา แต่เราเป็นเหมือนเพื่อนกัน

  2. ไม่เป็นแม่ที่จู้จี้จุกจิก

  3. ไม่พูดถึงพ่อในแง่ไม่ดี

  4. เปลี่ยนนิสัยตัวเอง พยายามเล่าให้ลูกฟังทุกครั้งว่าวันนี้แม่ทำอะไรมาบ้าง เพราะหวังว่าวันหนึ่งเขาจะเล่าเรื่องของเขาให้ฟังเหมือนกัน

  5. สอนลูกด้วยธรรมะ แต่ไม่บังคับลูกให้สวดมนต์หรือปฏิบัติธรรม เพราะถ้าบังคับเขาจะเกลียด แต่พอเราทำให้เขาดูเป็นตัวอย่างไปเรื่อยๆ เขาก็อยากทำตามเราไปเอง

  6. สอนเรื่องศีล 5 หมั่นถามลูกเรื่องการใช้ชีวิตว่าผิดศีลหรือไม่

  7. สอนแผนที่ชีวิต กฎไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

  • ทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลง บนโลกนี้ไม่มีอะไรอยู่กับเราตลอดไป
  • ความทุกข์ เป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องเจออยู่แล้ว ทุกปัญหามีเอาไว้ให้แก้ไข
  • การไม่มีตัวตน ทุกๆ อย่าง สุดท้ายวันหนึ่งก็เอาไปไม่ได้อยู่ดี

ทั้งหมดที่แม่หมูสอนและทำให้ลูกชายดูมาตั้งแต่เด็กๆ คุณพ่อคุณแม่ลองทำและสอนลูกได้นะคะ ทุกวันนี้น้องนาย ณภัทร ก็เป็นสุภาพบุรุษ จิตใจดีตามที่แม่หมูต้องการแล้วค่ะ แถมยังเป็นขวัญใจแฟนๆ ทั่วประเทศอีกด้วย

 

ข้อมูลจาก : goodlifeupdate ภาพ : IG naphat_nine

8 สัญญาณที่บ่งบอกว่า ตารางชีวิตของลูกกำลังแน่นเกินไป

4328 1

8 สัญญาณที่บ่งบอกว่า ตารางชีวิตของลูกกำลังแน่นเกินไป

วัยเด็กเป็นวัยที่กำลังสนใจการเรียนรู้ สนใจสิ่งรอบตัว ไม่แปลกที่คุณพ่อคุณแม่จะไม่ค่อยเห็นลูกอยู่นิ่ง ๆ กับที่ เดี๋ยวทำนู่น! ทำนี่! ทำนั่น! อยู่ตลอดเวลา แทบจะไม่มีเวลาพัก แต่ก็ใช่ว่าจะดีเสมอไปนะคะ นั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าตารางชีวิตของลูกคุณแน่นเกินไป เห็นแบบนี้แล้ว รักลูกอดเป็นห่วงสุขภาพของเด็ก ๆ ไม่ได้ จึงรีบหาวิธีมาให้คุณพ่อคุณแม่ได้เช็กกันดูว่าลูกของเราเริ่มมีลักษณะแบบนี้จริงหรือเปล่า ว่าแต่มีอะไรบ้างนะ เรามาดูพร้อม ๆ กันเลยดีกว่า

 

เช็กสิ! ตารางชีวิตของลูกเราแน่นเกินไปหรือเปล่า?

1.ในแต่ละวันคุณแทบไม่เคยเห็นลูกอยู่เฉย ๆ โดยไม่ทำอะไรเลย คุณเห็นแต่ภาพที่ลูกของคุณมีนัดมากมาย กำลังเดินทางย้ายจากที่นี่ไปที่นั่นให้ทันเวลา ทำการบ้าน ซ้อมดนตรี วนไปวนมาอยู่ตลอดเวลา ไม่ค่อยมีช่วงเวลาได้ผ่อนคลาย

2.ลูกของคุณดูคล้ายคนแก่ไปนะ ไม่ได้หมายถึงผมขาวหรือหลังโก่งนะคะ แต่หมายถึงลูกของคุณเริ่มมีอารมณ์หงุดหงิด เหน็ดเหนื่อย บ่นปวดหัว เมื่อยตัวอยู่ตลอดเวลา หรือนอนไม่หลับเป็นประจำ

3.ลูกของคุณเริ่มไม่สนุกกับสิ่งที่ตัวเองเคยชอบ กิจกรรมก็เหมือนกับไอศกรีม ตรงที่แม้เราจะชอบแค่ไหน แต่ถ้ามันมากเกินไปก็ทำให้เราแย่ได้ค่ะ

4.ผลการเรียนของลูกลดลง หากกิจกรรมนอกห้องเรียนมีมากเกินไป ก็อาจรบกวนเวลาและพลังงานที่จะใช้ในการทบทวนบทเรียนได้ แน่นอนว่าจะทำให้สมองล้าและเรียนรู้ได้ไม่เต็มที่

5.ลูกของคุณดูหงุดหงิดและกังวลง่าย เมื่อลูกเข้าไปทำกิจกรรมใด ๆ ก็เพิ่มโอกาสที่ลูกอาจทำไม่ได้ดีเท่ามาตรฐานของตัวเองหรือคุณพ่อคุณแม่ ดังนั้นอาจส่งผลต่ออารมณ์ของเด็กได้ค่ะ

6.ความสัมพันธ์กับเพื่อนเริ่มมีปัญหา ทั้งที่เมื่อก่อนลูกคุณอาจจะตัวติดกันกับเพื่อน แต่เดี๋ยวนี้ลูกคุณดูห่างเหินกับเพื่อนมากขึ้น ซึ่งอาจเกิดจากการทำกิจกรรมจนแทบไม่เหลือเวลาให้เพื่อน

7.ลูกแทบไม่ได้ร่วมโต๊ะอาหาร หลายๆครอบครัว เวลาบนโต๊ะอาหารเป็นสิ่งที่สำคัญมากเรื่องหนึ่ง หากลูกของคุณหายไปจากโต๊ะอาหารเพราะต้องซ้อมเปียโน หรือทำการบ้าน นั่นอาจแปลว่าตารางของเขาแน่นเกินไป

8.ลูกกลายเป็นคนที่คิดอะไรเองไม่เป็น ลูกจะรอรับคำสั่งจากผู้ใหญ่อย่างเดียวว่าให้ทำอะไรต่อไป เนื่องจากเคยชินกับชีวิตที่มีแผนชัดเจน ข้อนี้เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก เพราะมันแปลว่าลูกของคุณต้องการเวลาที่ไม่เป็นแบบแผนมากกว่าเดิมแล้วค่ะ

 

คุณพ่อคุณแม่เช็กแล้วมีข้อไหนตรงกับอาการหรือลักษณะของลูกเราตอนนี้บ้างคะ หากพบว่ามีหลายข้อ นั่นแปลว่าตารางชีวิตของลูกเราแน่นเกินไปแล้วนะ ต้องรีบจัดลำดับกิจกรรมให้ลูกใหม่ ให้ลูกได้มีเวลาพักผ่อนบ้าง และที่สำคัญต้องดูกำลังความสามารถของลูกเป็นหลักด้วยนะคะ

 

9 คำพูดดี ๆ ที่ลูกอยากได้ยินจากแม่

แม่, แม่และลูก, ความรักของแม่, การเลี้ยงลูก, คำพูดของแม่, วันแม่, 12สิงหาคม 

ใกล้วันแม่แล้วค่ะ การแสดงความรักของแต่ละครอบครัวก็มีความแตกต่างกันไป หลาย ๆ ครอบครัวโอบกอดสัมผัสกันเป็นปกติ หลายครอบครัวนิ่ง ๆ ไม่พูดแต่ใช้ความรู้สึกสื่อถึงกัน แต่สำหรับเด็กแล้ว การได้รับการแสดงออกถึงความรักความเข้าใจจากแม่เป็นสิ่งสำคัญที่จะสร้างความแนบแน่น และความมั่นคง ความเชื่อมั่นให้กับเด็ก ๆ ดังนั้นพูดกันออกมาเถอะค่ะ คำพูดดี ๆ ที่ลูกเขาอยากได้ยิน ลองมาดูกันว่ามีคำพูดอะไรกันบ้าง

 

9 คำพูดดี ๆ ที่ลูกอยากได้ยินจากแม่

1.แม่ “รัก” ลูกมากนะ        

แน่นอนว่าลูกคือดวงใจของพ่อแม่ แต่การที่ละเลยคำพูดง่าย ๆ และมีค่าขนาดนี้มันก็เป็นสิ่งผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่พอควร เพราะคนหลายคนไม่มีโอกาสที่จะบอกรักลูกในวินาทีสุดท้ายเลยด้วยซ้ำ ในทางกลับกันไม่ว่าจะเป็นลูก หรือ พ่อแม่ รวมไปถึงคนทุกคน ก็ควรให้ความสำคัญกับความรักและคำพูดไปพร้อมๆ กัน ก่อนที่พ่อแม่จะไม่มีลูกให้บอกรัก หรือลูกบอกรักในวันที่สายเกินไป        

ทั้งนี้ อย่ามัวแต่แสดงความรัก และเชื่อว่าลูกรู้อยู่แล้วว่าพ่อแม่รักลูกมากแค่ไหน เพราะบางเวลาคำพูดก็สำคัญไม่แพ้การกระทำเช่นกัน ดังนั้นบอกรักลูกบ้าง เขาจะได้รู้ว่าจริงๆแล้ว พ่อแม่รักลูกมากแค่ไหน        

2.แม่ “ภูมิใจ” ในตัวลูก    

มันอาจมีบางอย่างที่ลูกทำให้พ่อแม่รู้สึกภูมิใจมากป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงความเป็นสุภาพบุรษ มีน้ำใจ หรือแสดงความสามารถพิเศษให้เห็นอยู่เสมอ พ่อแม่ทุกคนควรลองนึกดูดี ๆ ว่า จุดเด่นของลูกคืออะไร แล้วสิ่งใดที่ทำให้พ่อแม่ภูมิใจในตัวเขา ก็ใช้ช่วงเวลาดี ๆ บอกให้ลูกได้รับรู้บ้างว่า “แม่ภูมิใจในตัวลูกมากน้อยแค่ไหน” เพราะคำพูดเพียงไม่กี่คำนี้มันจะเปลี่ยนเป็นพลังและกำลังใจให้ลูกได้อย่างมหัศจรรย์ทีเดียว        

3.แม่ “สนับสนุน” ลูกเสมอ      

แม่ทุกคนควรตระหนักอยู่เสมอว่า “ลูกไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ลูก” เพราะฉะนั้นอย่าเอาลูกไปเปรียบเทียบกับตัวเองสมัยเด็ก ๆ บางอย่างที่แม่ชอบ ลูกอาจไม่ชอบ มุมมองที่ต่างกัน ถ้าไม่เข้าใจกันก็ทำให้มีปัญหากันได้ และถ้าหากเด็กบางคนถูกบังคับมาก ๆ ก็จะรู้สึกว่าเขาไม่มีความเป็นส่วนตัว ไร้อิสระ ท้อแท้ และไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ขณะที่บางคนโตมาในครอบครัวนักกฎหมาย แต่ต้องการเป็นนักเขียน หรือบางคนมีความต้องการใช้ชีวิตอย่างที่อยากเป็น        

ไม่ว่าเขาจะเลือกเป็นอย่างไร หากสิ่งที่เขาตัดสินใจนั้นเป็นสิ่งที่ดี พ่อแม่ก็ควรสนับสนุนพวกเขา เพียงแค่บอกว่า "พ่อกับแม่ยังคงเข้าใจและสนับสนุนลูกทุกเมื่อ ถ้าสิ่งนั้นมันเป็นสิ่งที่ดีและลูกต้องการ"        

4.แม่ “เชื่อมั่น” ในตัวลูกเสมอ     

ช่วงระยะเวลาหนึ่งโดยเฉพาะเมื่อลูกเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น ความเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ อย่างอาจเข้ามาจนพ่อแม่ตั้งตัวไม่ติด ลูกอาจสูญเสียความมั่นใจในการตัดสินใจหรือลงมือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หากใครเคยเจอปัญหาลูกอยู่ในช่วงสับสนแบบนี้        

ลองถามตัวเองดูว่า เคยสละเวลาบอกลูกบ้างหรือไม่ว่า “พ่อกับแม่เชื่อมั่นในตัวลูกมากน้อยแค่ไหน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พ่อและแม่ก็จะอยู่ข้างลูกเสมอ”

5.แม่ “ขอโทษ”        

บางครั้งการขอโทษมันอาจจะเป็นสิ่งที่ยากที่สุดที่จะพูด แล้วยิ่งคนส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญกับความเป็นพ่อและแม่ค่อนข้างสูง  ดังนั้น หากพ่อแม่ทำผิดก็จะคิดกันแต่เพียงว่า พ่อแม่ไม่ควรที่จะขอโทษลูก ยิ่งคนเป็นพ่อด้วยแล้ว อาจจะยากขึ้นไปอีกที่จะกล่าวคำว่า “ขอโทษ” กับลูก        

อย่างไรก็ดี คำขอโทษจากพ่อแม่นั้น ลูก ๆ เองก็ควรมีเหตุผลและรู้จักบาปบุญคุณโทษด้วย เพราะลูกไม่มีสิทธิ์ที่จะขึ้นเสียงหรืออกคำสั่งกับพ่อแม่ไม่ว่าจะประการใดก็ตาม        

ทั้งนี้ การที่พ่อแม่กล่าวคำขอโทษกับลูกเมื่อทำผิดพลาดนั้นไม่ได้หมายความว่า ลูกจะดูถูกความเป็นพ่อเป็นแม่ ในทางกลับกันการที่พ่อแม่ยอมรับและกล้าขอโทษนั้น มันยังทำให้ทุกคนเรียนรู้ที่จะเคารพตัวเองเพราะกล้าที่จะยอมรับในสิ่งที่ทำลงไป อีกทั้งยังเคารพความรู้สึกของผู้อื่นด้วย        


แม่, แม่และลูก, ความรักของแม่, การเลี้ยงลูก, คำพูดของแม่, วันแม่, 12สิงหาคม

6.ลูกเป็น “เด็กดี” ของแม่        

แม่ทุกคนควรทำความเข้าใจธรรมชาติของเด็กก่อนว่า เด็กทุกคนอยากได้รับคำชมเชยและได้ยินคำยืนยันจากพ่อแม่อีกสักครั้งว่า เขาเป็นลูกที่ดีพอหรือไม่ ดังนั้นหากลูกเป็นเด็กดี มีน้ำใจ น่ารักกับทุกคน แม่ก็ควรชมเชยลูกบ้างว่า "ลูกเป็นเด็กดีของพ่อและแม่มากเพราะการที่เขาได้ยินคำพูดเหล่านี้ มันจะทำให้ลูกเห็นคุณค่าในตัวเองมากขึ้นและเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวอีกด้วย        

7.แม่ “ยอมรับ” ในสิ่งที่ลูกเป็น        

เมื่อลูกเริ่มโตขึ้นมากเท่าไหร่ เขายิ่งต้องการการยอมรับจากแม่มากขึ้นเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้วลูกมักจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้พ่อแม่ยอมรับในตัวเขา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการตัดสินใจในความรักวัยเด็ก หรือการกระทำต่างๆ ที่ลูกอาจมีพฤติกรรมเบี่ยงเบน แม้พ่อแม่จะอยู่คอยดูอยู่ห่างๆ        

และการที่ลูกรู้ว่าพ่อแม่ยอมรับในสิ่งที่ลูกเป็น และเลือกแล้วนั้น แสดงให้เห็นว่าพ่อแม่ไม่ได้ละเลยแต่อย่างใด อีกทั้งยังคงรักและเข้าใจอยู่เสมอด้วย เพียงแค่พ่อแม่บอกกับลูกว่า “พ่อแม่เข้าใจและยอมรับลูกเสมอ ไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไรก็ตาม”        

8.แม่ “ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”...นะลูก        

บางครั้งพ่อแม่อาจจะพูดอะไรบางอย่างที่ลูกฟังแล้วรู้สึกเสียใจกับคำพูดเหล่านั้น ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้ว พ่อแม่อาจพูดไปโดยที่ไม่ได้คิดว่าลูกจะเสียใจกับสิ่งที่พูดออกไป        

ดังนั้น หากพ่อแม่ทราบว่าลูกเสียใจกับสิ่งที่ๆได้พูดออกไป ก็ควรอธิบายให้เขาเข้าใจว่า หมายความว่าอย่างไรกันแน่ อย่าให้ลูกเข้าใจผิดๆ แต่ทางที่ดีก็ควรพูดจาให้ชัดเจนตั้งแต่แรกจะดีกว่า        

9.ลูกคือ “คนสำคัญ” ของแม่นะ        

จริง ๆ แล้ว ข้อนี้อาจเป็นคำที่สำคัญอันดับแรก ๆ เสียด้วยซ้ำ เมื่อในความเป็นจริงแล้ว ลูก คือคนสำคัญและคนพิเศษสำหรับแม่  แต่จะมีสักกี่ครั้งที่แม่ได้บอกให้ลูกรับรู้จากปากของแม่เองบ้าง เชื่อเถอะว่าหากได้พูดให้ลูกรู้ สิ่งที่จะได้กลับมานั้นมันย่อมมีค่ามหาศาลมากกว่าเป็นไหนๆ เพราะนั่นคือสายใยความรักระหว่างแม่ และลูก        

 

ทั้งนี้ แม่ทุกคนควรกอดลูกบ้างโดยเฉพาะเมื่อลูกเริ่มโตขึ้น อย่าให้วัยที่เปลี่ยนไปมาทำให้ระยะห่างแม่ ลูกห่างกันจนรู้สึกว่าการกอดนั้นเป็นเรื่องแปลก ดังนั้นการกอดลูกแน่น ๆ และบอกว่าเขาสำคัญมากแค่ไหน แม้จะใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที แต่มันจะเป็นความทรงจำที่คนเป็นแม่ และลูกจะไม่มีวันลืมได้เลย        

อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้อาจดูเหมือนเป็นประโยคธรรมดา จนหลายคนมองข้ามมันไป แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีใครปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ได้เลย แม้การกระทำจะสำคัญมาก เพียงใด แต่คำพูดก็ไม่ได้สำคัญน้อยไปกว่า อย่าลืมว่าในขณะที่พ่อแม่ต้องการได้ยินลูกบอกรัก เขาก็อยากได้ยินจากคุณเช่นกัน

 

 

COVID-19 ระบาด! ต้องดูแลลูกอย่างไรในยุค New Normal

5068 

ช่วงของการระบาดโรค COVID-19 มีคำถามเกิดขึ้นมากมายค่ะ เราจะเลี้ยงลูกอย่างไร ต้องปรับตัวอะไรบ้าง? ทั้งเรื่องสุขภาพ จิตใจ และปัญหาอื่น ๆ ที่เข้ามากระทบ เช่น การเรียนออนไลน์ เป็นต้น

ทางรักลูกได้นำข้อมูลโรงพยาบาลพระราม 9 ได้แพร่ภาพสดพูดคุยกับคุณหมอด้านต่าง ๆ ในหัวข้อ COVID-19 โรคระบาดใหญ่ใกล้ตัวเด็ก จะดูแลลูกน้อยอย่างไรในยุค New Normal มาฝากค่ะ

 

รศ.พญ.รวีรัตน์ สิชฌรังษี กุมารแพทย์โรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน ได้มาให้ความรู้เรื่อง COVID-19 กับภูมิแพ้ อาการใกล้เคียงกันมาก แต่มีข้อแตกต่าง และวิธีป้องกัน ดังนี้

อาการ COVID-19

1.มีไข้ และ ไม่มีไข้

2.ติดเชื้อทางเดินหายใจ ไอ น้ำมูก คัดจมูก

3.หายใจหอบเหนื่อย

4.คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย

อาการ ภูมิแพ้

1.ผู้ป่วยจะจาม และคัดจมูก เมื่อสัมผัสกับสิ่งที่ทำให้แพ้

 

วิธีป้องกัน COVID-19

1.ล้างมือด้วยสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจล วิธีการถูแอลกอฮอล์เจลที่ถูกต้อง คือต้องถูให้เจลแห้งสนิทจะได้ประสิทธิภาพที่สุด

2.ห่างกัน 1-2 เมตร

3.ใส่หน้ากากอนามัย

4.ไม่พาตัวเองไปพื้นที่เสี่ยง ระวังการใกล้ชิดบุคคลที่มีความเสี่ยง หรือผู้ที่ติดเชื้อแล้ว

 

ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้มีความเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไปหรือไม่ ?

ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ไม่ได้มีความเสี่ยงโรค COVID-19 มากกว่าคนทั่วไป และถ้าหากผู้ป่วยภูมิแพ้ติดเชื้อ COVID-19 จะป่วยรุนแรงมากกว่าคนทั่วไป อันนี้ก็ไม่จริงค่ะ ทั้งความเสี่ยงในการติดและเมื่อติดแล้วจะมีอาการป่วยเท่ากับคนทั่วไป

 

ทางด้าน คุณอลิสา รัญเสวะ ศูนย์กุมารเวชกรรม ผู้เชี่ยวชาญจิตวิทยาคลินิก ได้มาให้คำแนะนำเรื่อง COVID-19 กับสภาพจิตใจเด็ก ๆ ในการอยู่บ้าน เรียนออนไลน์ พ่อแม่ต้องรับมืออย่างไรบ้าง

วิธีปรับตัวเด็กให้พร้อมกับช่วงของการระบาด COVID-19

1.ปรับตารางชีวิตของลูกใหม่ ถึงจะต้องเรียนอยู่บ้านก็ต้องให้เด็ก ๆ ตื่นเช้าปกติเหมือนไปโรงเรียน ไม่ตื่นสาย อาจจะทำใด้เด็กขี้เกียจได้

2.การเรียนออนไลน์

ระยะสั้น - สังเกตลูกว่าโฟกัสเรื่องการเรียนไหม เข้าใจบทเรียนหรือไม่

ระยะยาว - สังเกตว่าการเรียนออนไลน์ระยะยาวจะกระทบการเรียนหรือไม่ ความรู้ของลูกเท่าชั้นเรียนของลูกไหม ?

3.มอบหน้าที่ให้ลูกช่วยงานบ้านง่าย ๆ 

4.ใช้เวลาร่วมกันกับลูกให้มากยิ่งขึ้น เช่น กิจกรรม นิทาน เวลานอน เป็นต้น

5.ไม่กดดันลูกในเรื่องการเรียน พ่อแม่ต้องเป็นคุณครูสอนให้ลูกเข้าใจในเนื้อหาการเรียนในช่วงเรียนออนไลน์

 

อ้างอิง

Facebook Page : Praram 9 hospital

วันที่แพร่ภาพสด : 9 มกราคม 2564

หัวข้อเรื่อง : COVID-19 โรคระบาดใหญ่ใกล้ตัวเด็ก จะดูแลลูกน้อยอย่างไรในยุค New Normal

 

 

รักลูก Community of The Experts

รศ.พญ.รวีรัตน์ สิชฌรังษี กุมารแพทย์โรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน

คุณอลิสา รัญเสวะ ศูนย์กุมารเวชกรรม ผู้เชี่ยวชาญจิตวิทยาคลินิก

โรงพยาบาลพระรามเก้า

EF คืออะไรทำไมถึงสำคัญกับลูกมากกว่า EQ และ IQ

EF, Executive Functions, IQ, EQ, RLG, Rakluke, Rakluke Group, สถาบันอาร์แอลจี, รักลูก เลิร์นนิ่ง กรุ๊ป 

EF ทักษะการคิดเพื่อชีวิตที่สำเร็จ

EF (Executive Functions) เป็นกระบวนการทางความคิด (Mental process) ในสมองส่วนหน้า ที่เกี่ยวข้องกับการคิด ความรู้สึก และการกระทำ เช่น การยั้งใจคิดไตร่ตรอง การควบคุมอารมณ์ การยืดหยุ่นทางความคิด การตั้งเป้าหมาย วางแผน ความมุ่งมั่น การจดจำและเรียกใช้ข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ การจัดลำดับความสำคัญของเรื่องต่างๆ และการทำสิ่งต่างๆ อย่างเป็นขั้นเป็นตอนจนบรรลุความสำเร็จ ซึ่งเป็นทักษะที่มนุษย์เราทุกคนต้องใช้ มีความสำคัญยิ่งต่อทั้งความสำเร็จในการเรียน การทำงาน รวมทั้งการมีชีวิตครอบครัว ทักษะ EF นี้นักวิชาการระดับโลกชี้แล้วว่า สำคัญกว่า IQ

ทั้งนี้ มีงานวิจัยชัดเจนว่า ช่วงวัย 3-6 ปีนี้ เป็นช่วงเวลาทองของชีวิตในการพัฒนาทักษะ EF ให้กับเด็ก เพราะสมองจะมีการพัฒนาทักษะ EF ได้ดีที่สุดในช่วงเวลานี้ พ้นจากช่วงเวลานี้ไปถึงวัยเรียน วัยรุ่น หรือวัยผู้ใหญ่ตอนต้น แม้จะยังพัฒนาได้ แต่ก็จะไม่ได้ดีเท่ากับช่วงปฐมวัย

Executive Functions (EF) ประกอบด้วยทักษะ 9 ด้าน ประกอบด้วย

1.Working memory ความจำที่นำมาใช้งาน ความสามารถในการเก็บข้อมูล ประมวล และดึงข้อมูลที่เก็บในคลังสมองของเราออกมาใช้ตามสถานการณ์ที่ต้องการ

2.Inhibitory Control การยั้งคิด และควบคุมแรงปรารถนาของตนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม จนสามารถหยุดยั้งพฤติกรรมได้ในกาลเทศะที่สมควร เด็กที่ขาดความยับยั้งชั่งใจ ก็เหมือน “รถที่ขาดเบรก”

3.Shift หรือ Cognitive Flexibility การยืดหยุ่นความคิด สามารถปรับเปลี่ยนความคิดให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปยืดหยุ่นพลิกแพลงเป็น เห็นทางออกใหม่ๆ และคิดนอกกรอบ”ได้

4.Focus / Attention การใส่ใจจดจ่อมุ่งความสนใจอยู่กับสิ่งที่ทำอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาหนึ่งๆ โดยไม่วอกแวก

5.Emotional Control การควบคุมอารมณ์ ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม จัดการกับความเครียดความเหงาได้ มีอารมณ์มั่นคง และแสดงออกแบบที่ไม่รบกวนผู้อื่น

6.Planning and Organizing การวางแผนและการจัดระบบดำเนินการเริ่มตั้งแต่การตั้งเป้าหมาย การเห็นภาพรวม จัดลำดับความสำคัญ จัดระบบโครงสร้าง จนถึงการแตกเป้าหมายให้เป็นขั้นตอน

7.Self -Monitoring การรู้จักประเมินตนเอง รวมถึงการตรวจสอบการงานเพื่อหาจุดบกพร่อง และรู้ตัวว่ากำลังทำอะไร ได้ผลอย่างไร

8.Initiating การริเริ่มและลงมือทำงานตามที่คิดเมื่อคิดแล้วก็ลงมือทำ ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง

9.Goal-Directed Persistence ความพากเพียรมุ่งสู่เป้าหมาย เมื่อตั้งใจและลงมือทำแล้ว มีความมุ่งมั่นบากบั่น ไม่ว่าจะมีอุปสรรคใดๆก็พร้อมฝ่าฟันจนถึงความสำเร็จ

 

สถาบันอาร์แอลจี (รักลูก เลิร์นนิ่ง กรุ๊ป) ในฐานะ Content Experts ผู้เชี่ยวชาญเนื้อหาวิชาการ และเป็นผู้นำในการพัฒนากระบวนการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ที่เกี่ยวข้องกับเด็ก สตรี ครอบครัว ผู้สูงวัย ชุมชนและสังคม ได้ทำการจัดการความรู้เรื่อง “Executive Functions (EF)-ทักษะการคิดเพื่อชีวิตที่สำเร็จ” อันเป็นความรู้ที่วงการพัฒนาการเด็กในต่างประเทศกำลังให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ซึ่งในประเทศไทยมี รศ.ดร.นวลจันทร์ จุฑาภักดีกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยาและคณะจากศูนย์วิจัยประสาทวิทยาศาสตร์ สถาบันชีววิทยาศาสตร์โมเลกุล มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นผู้ศึกษาวิจัยและรวบรวมงานวิจัยจากต่างประเทศ และสถาบันอาร์แอลจีได้จัดการความรู้และพัฒนาให้ความรู้ EF เป็นที่เข้าใจง่าย โดยมุ่งหวังให้พ่อแม่และบุคลากรทางการศึกษา โดยเฉพาะปฐมวัยศึกษาสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาเด็กได้อย่างเป็นรูปธรรม ด้วยมุ่งมั่นว่า EF จะเป็นองค์ความรู้หนึ่งที่จะร่วมส่งเสริมการปฏิรูปการศึกษาของไทยที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้

Face the fears เปลี่ยนหนูน้อยขี้กลัวให้เป็นคน 'กล้า'

การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก- ความกลัว- เด็กขี้กลัว-เด็กกับความกลัว- แก้ปัญหาเด็กขี้กลัว 

Face the fears! เปลี่ยนหนูน้อยขี้กลัวให้เป็นคน 'กล้า'  เด็กทุกคนล้วนมีความกลัว เพราะเมื่อเขาเติบโตขึ้น เขาต้องพบเจอกับสิ่งแปลกใหม่ที่ไม่คุ้นเคยมากมาย การไปโรงเรียน และการอยู่ห่างจากพ่อแม่ครั้งแรก หากปล่อยให้เด็กรู้สึกเครียดและวิตกกังวลกับความกลัวเหล่านี้บ่อย ๆ อาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการด้านต่าง ๆ ได้ บทบาทของพ่อแม่อย่างเรา มาช่วยกันเปลี่ยนหนูน้อย 'ขี้กลัว' ให้เป็น 'คนกล้า' กันเถอะ!

ความกลัวของเด็กแต่ละวัย  
  • เด็กทารก จะกลัวสิ่งของทุกอย่างหรือสิ่งแวดล้อมที่แปลกไปจากเดิม เช่น แสงไฟในห้องนอนที่จ้ากว่าปกติ เสียงเพลงดังๆ หรือหน้าตาของคนแปลกหน้า เป็นต้น
  • วัย 1-3 ปี เด็กวัยนี้จะเริ่มกลัวกับความมืดแล้ว จึงไม่ควรทิ้งให้เขาอยู่ในห้องที่มืดมิดเพียงคนเดียว สิ่งที่ทำให้เด็กกลัวอีกอย่างหนึ่ง คือ กิจกรรมแปลกใหม่ที่เขาไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต เช่น ว่ายน้ำ หรือขี่จักรยาน ทุกอย่างสามารถทำให้เขา กลัวขึ้นมาได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรจะเฝ้ามองและดูแลเขาให้ มากขึ้นหน่อยในระยะเริ่มต้นที่เขากำลังลองหัดกิจกรรมใหม่ๆ
  • วัย 3-5 ปี เด็กวัยนี้เริ่มคิดฝัน มีจินตนาการเป็นของตัวเองแล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งที่ทำให้เขากลัวได้มากที่สุดในตอนนี้ คือ สิ่งที่เขาคิดว่ามีอยู่จริง ๆ ในโลกใบนี้ อย่างผีสาง เทวดาใจร้าย งูกินคน เจ้าตัวต่าง ๆ ในจินตนาการเหล่านี้จะเป็นตัว ประหลาดที่ทำให้เด็กวัยนี้กลัวจนขนหัวลุกได้ง่าย ๆ
  • วัย 6-12 ปี ความกลัวของเด็กวัยนี้จะค่อยๆพัฒนาจากสิ่งเพ้อฝันเป็นเรื่องจริง ๆ ที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นไฟไหม้บ้าน เจ้าหมาตัวโปรดตาย สอบตก กลัวถูกพ่อแม่เอาไปทิ้ง ฯลฯ เพราะฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงไม่ควรพูดขู่ในเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ให้ลูกตกใจกลัว
4 วิธีเปลี่ยนหนูน้อยขี้กลัวให้เป็นคน 'กล้า' 
  1. อธิบายให้ลูกเข้าใจและรู้จักว่าความกลัว เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้

คุณพ่อคุณแม่สามารถสอนให้ลูกสังเกตตัวเองเมื่อรู้สึกกลัว เช่น เมื่อเรากลัว หัวใจของเราจะเต้นเร็วขึ้น หายใจเข้าออกถี่ขึ้น และบางครั้งเราอาจจะมีอาการมือสั่นได้ การอธิบายให้ลูกรู้จักอาการที่เกิดขึ้นจากความกลัวเป็นตัวช่วยสำคัญที่นอกจะทำให้เขารับมือกับความกลัวที่เกิดขึ้นแล้ว ยังเป็นการเปิดโอกาสให้เขาได้เรียนรู้และเข้าใจกับความกลัวมากขึ้น

โดยคุณพ่อคุณแม่สามารถบอกลูกได้ว่าการที่หนูกลัวสิ่งนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้นะ บางครั้งคุณพ่อคุณแม่ก็กลัวสิ่งเหล่านี้เช่นกัน และยกตัวอย่างว่าเมื่อคุณพ่อคุณแม่รู้สึกกลัวแล้วมีวิธีจัดการกับความรู้สึกนั้นอย่างไร

  1. เปิดโอกาสให้ลูกได้พูดถึงสิ่งที่ตัวเองกลัว

การเปิดโอกาสให้ลูกได้ระบายความกลัวของตัวเองออกมาก็สามารถทำได้เช่นกันค่ะ คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องกังวลว่าจะยิ่งทำให้ลูกกลัว หรือยิ่งวิตกกังวลเมื่อพูดมันออกมา แต่การให้เด็กได้ระบายหรือแสดงออก จะทำให้ลูกเข้าใจความรู้สึกของตัวเองมากขึ้น

ซึ่งคุณพ่อคุณแม่อาจให้ความช่วยเหลือด้วยการใช้คำถาม  เช่น ทำไมหนูถึงกลัวสิ่งนั้นเหรอคะ แล้วกอดหรือปลอบลูกด้วยความเข้าใจ และบอกให้ลูกมั่นใจว่าไม่ว่าจะอย่างไรพ่อแม่จะคอยช่วยเหลือหนูอยู่ตรงนี้เอง การทำแบบนี้จะทำให้เด็กรู้สึกปลอดภัย อบอุ่น และมั่นใจว่าคุณพ่อคุณแม่จะอยู่กับเขาและเอาชนะความกลัวไปด้วยกัน

  1. อย่าต่อว่า เมื่อลูกกลัวในเรื่องไร้สาระ

เมื่อลูกแสดงออกถึงความหวาดกลัว คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรแสดงอาการโมโห หงุดหงิด หรือต่อว่าความกลัวของลูกเป็นเรื่องไร้สาระ  การพูดลักษณะแบบนี้จะทำให้เด็กรู้สึกว่าความกลัวเป็นเรื่องผิดในสายตาคุณพ่อคุณแม่ อาจทำให้ลูกเลือกที่จะเก็บเรื่องต่างๆ ไว้ในใจ ไม่กล้าบอก และไม่แสดงออกต่อหน้าคุณพ่อคุณแม่อีก

  1. ช่วยลูกให้เผชิญความกลัวทีละเล็กทีละน้อย

แน่นอนว่าเราอาจจะช่วยให้ลูกหลีกหนีจากความกลัวไปตลอดไม่ได้ ดังนั้นการค่อยๆ ให้ลูกได้ลองเผชิญหน้ากับความกลัวของตัวเองก็เป็นอีกวิธีที่ดีไม่น้อย โดยจะต้องเริ่มจากการเจออย่างผิวเผิน เช่น หากลูกกลัวการลงสระว่ายน้ำ อาจเริ่มจากการให้ลูกค่อยๆ เดินเล่นในสระน้ำตื้นที่ยืนได้ด้วยตัวเองก่อน

สิ่งสำคัญคือคุณพ่อคุณแม่ต้องระวังที่จะไม่นำสิ่งที่ลูกกลัวมาขู่ซ้ำ ๆ เช่น “ถ้าไม่ไปอาบน้ำหมาจะมากัดนะ” หรือ “ไม่ยอมกินข้าวจะจับไปฉีดยา” เพราะนอกจากไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ถูกต้องแล้ว ยังทำให้ระดับความกังวลของลูกเพิ่มขึ้นไปอีก 

วัยเด็กเป็นวัยที่ไวต่อความรู้สึก ไม่ว่าจะเป็นความสุข ความทุกข์ หรือความกลัว การช่วยให้เด็กรู้สึกผ่อนคลาย สบายใจ และปลอดภัย เป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรมอบให้แก่ลูกเพื่อบรรเทาความกลัวต่าง ๆ ให้ลดลง เพราะเมื่อเด็กมีที่พึ่งทางจิตใจ เขาก็จะมีสภาพจิตใจที่มั่นคงตามไปด้วย ไม่ว่าจะเจอความกลัวรูปแบบใดก็จะสามารถผ่านมันไปได้ด้วยดี แต่ทั้งนี้ควรค่อยเป็นค่อยไป ไม่บังคับและกดดันเด็ก และเมื่อเวลาผ่านไปลูกจะรับมือกับความกลัวได้ดีขึ้นเองค่ะ

 

ที่มา : 

  1. รศ.พญ.ทิพวรรณ  หรรษคุณาชัย กุมารแพทย์ด้านพัฒนาการเด็ก 
  2. developingminds
  3. kidspot

Friend Zone! 7 วิธี ทำให้แม่เป็นเพื่อนสนิทกับลูก คุยกันได้ทุกเรื่องตอนโต

การเลี้ยงลูก-พัฒนาการ-สอนลูก-แม่และลูก

เพื่อนกันคุยกันได้ทุกเรื่อง จะดีแค่ไหนถ้าเราเองก็ได้เป็นเพื่อนของลูก แม่ที่เป็นเหมือนเพื่อนของลูก มักจะได้ใกล้ชิดลูกมาก ลูกจะเล่าทุกปัญหาให้ฟังอย่างไว้ใจ นั่นคือความฝันของแม่หลาย ๆ คนเลย แต่จะทำอย่างไรให้ลูกเห็นเราเป็นเพื่อนคนหนึ่ง มาลองทำตามนี้เลยค่ะ

7 วิธี ทำให้พ่อแม่เป็นเพื่อนกับลูกได้
  1. ให้ลูกเลือกเพื่อนที่จะคบเอง

แม่เจ้ากี้เจ้าการ ไม่มีทางได้เป็นเพื่อนของลูกแน่ อยากเป็นเพื่อนลูกจะต้องไม่วิจารณ์เพื่อนของลูก ว่าดีหรือไม่ดีอย่างไร เพราะเป็นการสร้างอคติต่อลูก เรื่องเพื่อนของลูกให้ลูกเป็นคนตัดสินใจเอง ปล่อยให้ลูกเรียนรู้เอง เพราะตัวพ่อแม่เองก็เคยผ่านจุดที่เจอเพื่อทำให้ผิดหวัง เพื่อนไม่ดี หรือเจอเพื่อนที่ดี ลูกก็ควรได้สิทธิ์ที่จะเลือกเพื่อนของลูกเองตั้งแต่เข้าโรงเรียน แม่แค่ต้องเฝ้ามองอยู่ห่างๆ คอยแนะนำในเวลาที่เหมาะสม เมื่อลูกขอ หรือมีท่าทีอยากให้ช่วยแล้วเราจะเป็นเพื่อนของลูกได้โดยธรรมชาติเอง

  1. พูดคุยเรื่องเพื่อนของลูกได้

ไม่เลือกเพื่อนให้ลูกคบ แต่พูดคุยได้เรื่องของเพื่อนลูกได้ ตั้งแต่ลูกเล็กๆ ควรสร้างความไว้ใจเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ไว้ เช่น ลูกของเพื่อนที่ชื่อบีเป็นคนอย่างไร น่ารักไหม ลูกชอบเพื่อนคนไหนบ้าง และไม่ชอบเพื่อนเพราะอะไร ถ้าพ่อแม่พูดคุยเสมอ ลูกก็จะเล่าเรื่องราวต่าง ๆ เป็นปกติ และเมื่อเขาเติบโตขึ้น เขาก็ยังไว้ใจที่จะเล่าให้แม่ฟังเหมือนเดิม

  1. เป็นเพื่อนกับเพื่อนของลูก

ไปส่งลูกที่โรงเรียนตอนเช้าๆ ก็ให้ทักทาย พูดคุยกับเพื่อนของลูกด้วย หรือทำขนมไปฝากเพื่อนของลูกด้วยเลย เพื่อสร้างมิตรภาพอันดี หากมีอะไรจะได้ถามเพื่อนของลูกได้ เพราะถ้าหากแม่ทีท่าทางไม่สนใจเพื่อนของลูก อาจทำให้ลูกรู้สึกไม่ดีได้

  1. เล่นสนุกกับลูกได้ทุกรุปแบบ

การเป็นแม่ถือตัวแน่นอนว่าทำให้ลูกรู้สึกไม่ดีหรือช่องว่างระหว่างวัย อาจเป็นอุปสรรคในการเป็นเพื่อนลูกได้ ฉะนั้นให้เล่นกับลูกตั้งแต่เด็กๆ เลย อยู่บ้านก็เล่นด้วยกัน เล่นตลก เล่นซ่อนหา เล่นแสดงละครเลียนแบบ เอาให้หลุดโลกไม่สนวัยกันไปเลย เพราะการเล่นทำให้ได้ใกล้ชิดกับลูก รู้ว่าเขาชอบอะไร ไม่ชอบอะไร

  1. รับฟังลูกอย่างตั้งใจ

อย่าคิดว่าเด็กไม่รู้เรื่อง เพราะลูกรู้ว่าพ่อแม่ฟังเขาอยู่ไหม ไม่ว่าลูกอยากจะเล่าอะไร พูดรู้เรื่องหรือไม่รู้เรื่องบ้าง เมื่อลูกจะเล่า แม่ต้องฟัง จ้องตาลูกให้รู้ว่ารับฟังทุกเรื่อง เป็นการสร้างความไว้ใจ เมื่อลูกโตขึ้นเขาก้อยากที่จะเล่าให้พ่อแม่ฟังเสมอเพราะเขารู้ว่าพ่อแม่จะรับฟังไม่ว่าเรื่องอะไร

  1. ห้ามใส่อารมณ์กับลูก

ไม่ว่าลูกจะกรี๊ดเสียงเลเวลไหน จะร้องไห้แค่ไหน ดื้อแค่ไหน แม่ต้องรักษาระดับเสียงเท่าเดิม และสีหน้าแบบเดิมไว้ หากทำโทษเพราะลูกทำผิด หลังจากทำโทษแล้ว ให้กอด ให้อุ้มลูก แล้วบอกว่าเขาผิดอย่างไร เพื่อให้เขาเข้าใจในเหตุผลที่เราทำ อย่าปล่อยให้ลูกสงสัยในตัวเรา จนกลายเป็นอคติ จะเป็นเพื่อนกันต้องจริงใจต่อกัน

  1. สร้างภูมิต้านทานชีวิตให้ลูก

มอบความรักให้ลูก แสดงออกต่อลูกในทุกโอกาส เช่น ให้ของขวัญในวันเกิด วันปีใหม่ เมื่อลูกได้รางวัลที่โรงเรียน หรือได้รับคำชมจากครู เป็นต้น พร้อมกอดและบอกรักเสมอ ทุกเรื่องที่ลูกมีความสุขต้องยินดี แต่ไม่ใช่การอวยลูก เพราะเพื่อนกันต้องยินดีเมื่อเห็นเพื่อนมีความสุข แม้จะเล็กน้อยแต่ก็นับเป็นเรื่องสำคัญทุกอย่าง

 

ถ้าคุณแม่อยากเป็นเพื่อนกับลูก ก็ต้องเริ่มเป็นมาตั้งแต่เด็กๆ ทำให้ลูกรักเรา เชื่อใจเรา และมองว่าเราเป็นเพื่อนของลูกอีกคนหนึ่งทำไม่อยากเลยนะคะ เมื่อลูกเติบโตขึ้นปัญหาต่าง ๆ ก็จะลดน้อยลง เพราะใน Friend Zone ของลูกจะมีพ่อแม่ของเขาอยู่ในนั้นอันดับต้น ๆ อยู่เสมอ

How to ปรับพฤติกรรมหนูน้อยจอมอาละวาด (Temper Tantrums)

 การเลี้ยงลูก- สอนลูก- เลี้ยงลูก- ลูกดื้อ- ป้องกันลูกดื้อ- สาเหตุลูกดื้อ- ลูกร้องอาละวาด-อาการร้องอาละวาด-Temper Tantrums-ปรับพฤติกรรมลูก-พฤติกรรมก้าวร้าว-ก้าวร้าว

การจัดการพฤติกรรม tantrums หงุดหงิด กรี๊ด โวยวายและเหวี่ยงวีนนั้น ถ้าจะให้ได้ผลก็คือ ต้องเริ่มจากการปรับเปลี่ยนกระบวนความคิดของคุณพ่อคุณแม่ เพราะเมื่อความคิดเปลี่ยนแล้ว วิธีการตอบสนองของเราก็จะเปลี่ยนไปด้วย และถ้าให้ตรงประเด็นกว่านั้นก็คือ คุณพ่อคุณแม่ต้องบอกให้ได้ว่า เวลาลูกกรีดร้องขึ้นมา คุณพ่อคุณแม่รีบเข้าไปหาเพราะอะไร?

 

แบบทดสอบที่ 1 จงบอกความคิดแรกเมื่อได้ยินเสียงลูกกรีดร้องโวยวายไร้สาเหตุ

_ เฮ้อ...อีกแล้ว

_ เบื่อเหลือเกินมันอะไรกันเนี่ย

_ ไม่รู้จะเอายังไงแล้ว นี่ก็ไม่เอานั่นก็โวยวาย

_ ทำไมต้องเป็นชั้นอีกแล้ว ทำไมไม่เป็นตอนอยู่กับคนอื่นนะ

_ มันต้องมีอะไรผิดแน่ๆ ทำไมถึงร้องได้ตลอดเวลา

_ อยากจะย้ายบ้านไปอยู่ที่อื่นจริงๆ

_ เป็นอย่างนี้ตลอดเวลาเลยไหมเนี่ย เมื่อวานก็เป็น เมื่อเช้าก็เป็น นี่ก็เป็นอีก

_ รับมือจะไม่ไหวแล้ว

_ คนอื่นจะคิดว่ายังไงเนี่ย

_ รู้งี้ไม่อยู่บ้านก็ดี

_อื่นๆ

 

แบบทดสอบที่ 2 จงบอกอารมณ์ของตนเอง ตอนที่ได้ยินเสียงร้องโวยวาย

_ เศร้า

_ อารมณ์เสีย

_ หงุดหงิด

_ เบื่อ

_ ลนลาน

_ ทนไม่ไหว

_ โกรธ

_ ตื่นตระหนกตกใจ

_ โอเค

_ สงสัย

_อื่นๆ

 

แบบทดสอบที่ 3 จงบอกว่าร่างกายตอบสนองตอนที่ได้ยินเสียงร้องโวยวายอย่างไร

_ รู้สึกว่าเกร็งไปทั่วตัว

_ เริ่มกลั้นหายใจ

_ หัวใจเต้นแรง

_ ขบกรามไม่รู้ตัว

_ กัดฟัน กัดริมฝีปากไม่รู้ตัว

_ ถอนหายใจ

_ ตาเบิกกว้าง

_ มือเปียก เท้าเปียกใจสั่น

_อื่นๆ

 

จากการตอบแบบสอบถามจะทำให้คุณพ่อคุณแม่เริ่มเข้าใจตัวเองมากขึ้น ว่าเพราะเหตุใดร่างกายจึงตอบสนองจนทำให้ตัวเองต้องรีบเข้าไปหาลูกทันทีที่ลูกแสดงอาการ tantrums แน่นอนว่า เด็กทุกคนสามารถรู้ได้และใช้มันให้เป็นประโยชน์ อย่างที่บอกว่า การที่เด็กร้องโวยวายนั้นเป็นวิธีการที่จะทำให้เด็กได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการอย่างเร็วที่สุด จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไมวิธีการนั้นจึงถูกนำกลับมาใช้ในทุกครั้ง เพราะมันได้ผลนั่นเองค่ะ

ดังนั้น วิธีการ 6 ขั้นตอนที่จะแบ่งปันกันต่อไปนี้ น่าจะเป็นขั้นตอนที่คุณพ่อคุณแม่สามารถปรับใช้ได้ (อย่างที่เกริ่นไปข้างต้นแล้วว่า การปราบ trantrums นั้นไม่ใช่การปราบพฤติกรรมลูก แต่เป็นการปรับพฤติกรรมของคุณพ่อคุณแม่) เมื่อลูกแสดงอาการ tantrums ค่ะ

 

1. เช็กก่อนว่าเรารู้สึกอย่างไรอยู่ การนำสติกลับมาอยู่กับตัวเองอย่างสมบูรณ์ส่งผลโดยตรงต่อพฤติกรรมของเรา ลองคิดดูสิคะ ถ้าเรารู้หรือคิดได้ว่า การที่ลูกกรี๊ดโวยวายนั้นเป็นเพราะเค้าต้องการจะสื่อสารอะไรบางอย่าง เราก็จะไม่เลือกที่จะตะโกนด่าว่าลูกให้หยุด หรือเงื้อมมือตีลูกแน่ ๆ

2. อยู่นิ่ง ๆ ใจเย็น ๆ อย่าเพิ่งเอาอารมณ์เราไปเล่มตามเกมลูก หายใจเข้า-หายใจออก

3. ค่อย ๆ อธิบาย เดินไปหาแล้วบอกลูกว่า ลูกร้องไห้ได้ แต่ก็ต้องบอกได้ว่าลูกร้องไห้ทำไม ถ้าบอกไม่ได้ คุณพ่อคุณแม่อาจเลือกถามเป็นคำถามหรือลองเดาว่า เพราะเหตุนี้ใช่หรือไม่อย่างไรก่อน

4. ให้ทางเลือกลูกในการอธิบาย ในกรณีที่ลูกอธิบายได้ไม่ดี หรือคุณแม่ฟังไม่เข้าใจ หรือคิดว่าเหตุผลที่ลูกร้องไห้นั้นช่างไม่สมเหตุสมผลเลย เช่น น้องอาจได้ขนมในขณะที่ตัวเขาไม่ได้ หรือแม่ซื้อของให้น้องแต่ไม่ซื้อให้เขา ก็เป็นหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่ในการอธิบายว่าเพราะเหตุใดถึงทำเช่นนั้น เปิดโอกาสตัวเองในการอธิบายเพื่อไม่ให้ลูกเข้าใจผิด รวมถึงให้โอกาสลูกในการพูดถึงอารมณ์หรือความรู้สึกที่เกิดขึ้น เช่น รู้สึกแย่ รู้สึกเสียใจ รู้สึกโกรธ

5. เข้าอกเข้าใจลูก เมื่ออธิบายจบแล้ว ถ้าลูกยังคงร้องไห้อยู่ คุณแม่อาจแนะนำทางเลือกอื่น เช่น พาลูกไปดูของอย่างอื่น ชวนลูกไปทำกิจกรรมอย่างอื่น พร้อมกับบอกด้วยว่า ลูกสามารถบอกอารมณ์และความคิดของลูกได้โดยที่ไม่ต้องกรี๊ดหรือโวยวาย และนั่นทำให้แม่เข้าใจได้ดีกว่าการที่ลูกร้องโวยวายเสียอีก

6. ยืนหยัดอย่างมั่นคง รวมถึงทุก ๆ คนในครอบครัวควรทำแบบเดียวกัน การปรับพฤติกรรมจะไม่ได้ผลเลยถ้าแต่ละคนในครอบครัวเลือกที่จะตอบสนองต่อความต้องการของเด็กต่างกัน เด็กมักจะเลือกที่จะแสดงอาการไม่พอใจไปจนเกรี้ยวกราดใส่คนที่ตนเองคิดว่า สามารถให้ของหรือให้ในสิ่งที่ตนเองต้องการเป็นลำดับแรกเสมอ ดังนั้น เรื่องการปรับทัศนคติในตรงกันจึงควรเป็นเรื่องพื้นฐานของครอบครัวค่ะ

 

เด็ก ๆ ที่เคยแสดงอาการ tantrums มาก่อนมักจะคิดว่า วิธีการนี้จะได้ผล ดังนั้นแม้คุณพ่อคุณแม่จะทำทั้ง 6 ขั้นตอนมาระยะเวลาหนึ่งมักจะสังเกตเห็นว่า อาการโวยวายแบบเดิมจะกลับมาบ้าง ขอให้คุณพ่อคุณแม่อย่าตกใจและคิดว่าวิธีการนี้ไม่ได้ผล บางครั้งเด็กจะต้องการทดสอบว่า เมื่อเค้าเคยทำพฤติกรรมเหล่านี้แล้วเคยได้ในบางครั้งนั้น จะทำให้เขาได้สิ่งที่ต้องการในตอนนี้อีกหรือไม่ จะอย่างไรก็ตามถ้าคุณพ่อคุณแม่ไม่หันหลังกลับไปตามใจอีก พฤติกรรม trantrums จะค่อยๆหมด จนหายไปเองแน่นอนค่ะ

 

ผศ.ดร. ปรียาสิริ วิฑูรชาติ ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาฟื้นฟูสำหรับเด็กพิเศษ รองผู้อำนวยการศูนย์นโยบายและการจัดการสุขภาพ อาจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี

Mom's Issue EP 17 : Tiktok Brain เลี้ยงลูกด้วยคลิปสั้น ทำลายสมอง

 

Tiktok Brain ผลกระทบจากการดูคลิปสั้น ส่งผลกระทบกับสมองและการเรียนรู้ของเด็กอย่างไรบ้าง แม่ดอยและป้าปอยชวน อจ.ธาม เชื้อสถาปนศิริ มาพูดคุยถึงผลกระทบ พร้อม How To การเลือกคลิป ที่ดูแล้วเป็นมิตรกับการเรียนรู้และสมอง

 

Apple Podcast:https://apple.co/3m15ytB

Spotify:https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube:https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast#รักลูกTheExpertTalk#Moms_Issues

Mom's Issue EP 19 : "รับมืออย่างไรในวันที่ลูกเจอความรุนแรง"

 

วันที่ลูกถูกรังแก ใจแม่อยากให้ลูกไปลุยซะเหลือเกิน แต่ความรุนแรงไม่ได้แก้ไขด้วยความรุนแรง แม่ดอยและป้าปอยมาชวนคุยหลักคิด หลักการและ How to ที่จะช่วยเตือนทั้งพ่อแม่และไกด์แนวทางให้ลูกไปด้วยกัน 

 

ชวนฟัง Mom’s Issues รับมือในวันที่ลูกถูกเพื่อนแกล้ง

 

Apple Podcast:https://apple.co/3m15ytB

Spotify:https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube:https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast#รักลูกTheExpertTalk#Moms_Issues

ดูเรื่องราวของ Instagram โดยไม่ระบุชื่อ ส่องสตอรี่ไอจี

Mom's Issue EP 21 (Rerun) : "รับมืออย่างไรในวันที่ลูกเจอความรุนแรง"

 

วันที่ลูกถูกรังแก ใจแม่อยากให้ลูกไปลุยซะเหลือเกิน แต่ความรุนแรงไม่ได้แก้ไขด้วยความรุนแรง แม่ดอยและป้าปอยมาชวนคุยหลักคิด หลักการและ How to ที่จะช่วยเตือนทั้งพ่อแม่และไกด์แนวทางให้ลูกไปด้วยกัน

ชวนฟัง Mom’s Issues รับมือในวันที่ลูกถูกเพื่อนแกล้ง

 

Apple Podcast:https://apple.co/3m15ytB

Spotify:https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube:https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast#รักลูกTheExpertTalk#Moms_Issues

Mom's Issue EP 22 (Rerun) : เลี้ยงลูกด้วยคลิปสั้น กระทบความจำ ทำลายการเรียนรู้

 

Tiktok Brain ผลกระทบจากการดูคลิปสั้น ส่งผลกระทบกับสมองและการเรียนรู้ของเด็กอย่างไรบ้าง

แม่ดอยและป้าปอยชวนอจ.ธาม เชื้อสถาปนศิริ มาพูดคุยถึงผลกระทบ พร้อม How To การเลือกคลิป ที่ดูแล้วเป็นมิตรกับการเรียนรู้และสมอง

 

Apple Podcast: https://apple.co/3m15ytB

Spotify: https://spoti.fi/3cvAVcX

Youtube: https://bit.ly/3cxn31u

 

#รักลูกPodcast

#รักลูกTheExpertTalk

#Moms_Issues