facebook  youtube  line

สุขภาพครรภ์

แม่ผ่าคลอดต้องรู้ให้ลึก สารอาหารสำคัญสำหรับเด็กผ่าคลอดช่วยลูกสมองไว

แม่ผ่าคลอด, การผ่าคลอด, เด็กผ่าคลอด, สฟิงโกไมอีลิน, B. lactis, นมผง, นมผงสำหรับเด็ก, นมผงสูตรไหนดี, นมสำหรับเด็กผ่าคลอด, เด็กคลอดธรรมชาติ, นมแม่, นม, S-26, เอส 26, นมเอส 26, นมผงเด็กผ่าคลอด, นมเด็กผ่าคลอด, ให้ลูกกินนมอะไร, สารอาหารสำคัญในนมแม่, นมแม่ดีที่สุด, กิจกรรมเสริมพัฒนาการเด็ก 

แม่ผ่าคลอดต้องรู้ให้ลึก สารอาหารสำคัญสำหรับเด็กผ่าคลอดช่วยลูกสมองไว

การผ่าคลอดนั้นเด็กจะถูกนำตัวออกมาผ่านหน้าท้องของคุณแม่ ทำให้เสียโอกาสที่จะได้รับจุลินทรีย์สุขภาพผ่านทางช่องคลอดของคุณแม่ ส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการระบบภูมิต้านทานตั้งต้นที่แตกต่างจากเด็กที่คลอดธรรมชาติ จึงมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ และเจ็บป่วยได้ง่ายกว่า นอกจากนี้ยังพบว่าเด็กผ่าคลอดมีความเสี่ยงด้านพัฒนาการทางสมองอีกด้วย ดังนั้นคุณแม่ผ่าคลอดควรเตรียมความพร้อมของลูก เพื่อให้ลูกมีพัฒนาการทางสมองและภูมิต้านทานที่ดี

สมองและการเรียนรู้ของเด็กผ่าคลอด

มีการศึกษาของ Deoni S.C. et al. เกี่ยวกับพัฒนาการทางสมองของเด็กผ่าคลอด พบว่าสมองของเด็กผ่าคลอด ที่อายุ 2 สัปดาห์ มีการเชื่อมโยงการทำงานของสมองแตกต่างจากเด็กที่คลอดธรรมชาติ และพัฒนาการทางสมองส่วนคอร์ปัส คาโลซัม (Corpus Callosum) ซึ่งเชื่อมโยงการทำงานระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวาของเด็กอายุตั้งแต่อายุ 3 เดือนจนถึง 3 ปี มีการสร้างเยื่อหุ้มไมอีลินในสมองที่แตกต่างกัน

นมแม่ ภูมิคุ้มกันแรกเกิดสร้างลูกสมองไวและเสริมภูมิคุ้มกันให้เด็กผ่าคลอดแข็งแรง

 

 แม่ผ่าคลอด, การผ่าคลอด, เด็กผ่าคลอด, สฟิงโกไมอีลิน, B. lactis, นมผง, นมผงสำหรับเด็ก, นมผงสูตรไหนดี, นมสำหรับเด็กผ่าคลอด, เด็กคลอดธรรมชาติ, นมแม่, นม, S-26, เอส 26, นมเอส 26, นมผงเด็กผ่าคลอด, นมเด็กผ่าคลอด, ให้ลูกกินนมอะไร, สารอาหารสำคัญในนมแม่, นมแม่ดีที่สุด, กิจกรรมเสริมพัฒนาการเด็ก

นมแม่คืออาหารที่ดีที่สุดสำหรับเด็กทารก เปรียบเหมือนภูมิคุ้มกันที่แม่สร้างให้ลูกตั้งแต่แรกเกิด เพราะในนมแม่มีสารอาหารที่มีประโยชน์มากกว่า 200 ชนิด สารอาหารหลัก เช่น โปรตีน น้ำตาล ไขมัน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน แร่ธาตุ ต่าง ๆ  ยิ่งให้ลูกกินนมแม่ตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 เดือน หรือยาวนานที่สุด ยิ่งช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางร่างกาย สมอง และภูมิคุ้มกันให้ลูกแข็งแรง ซึ่งนมแม่สามารถป้องกันและลดความรุนแรงของโรคติดเชื้อในเด็กได้หลายโรค อาทิ โรคมือเท้าปาก โรคปอดอักเสบ โรค RSV เป็นต้น  

สฟิงโกไมอีลินและ B. lactis เป็นอีก 2 สารอาหารสำคัญในนมแม่ที่มีบทบาทในการพัฒนาสมองและเสริมภูมิคุ้มกันให้ลูก

โดยสฟิงโกไมอีลิน ไขมันกลุ่มฟอสโฟไลปิดมีความสำคัญในการสร้างปลอกไมอีลิน ซึ่งเจ้าปลอกไมอีลินนี้เป็นส่วนที่ห่อหุ้มเส้นใยประสาท ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งสัญญาณประสาท ทำให้สมองส่งสัญญาณประสาทได้เร็วแบบก้าวกระโดด และทำให้สมองมีการประมวลผลอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

มีการศึกษาพบว่าแขนงประสาทนำออกที่มีปลอกไมอีลินห่อหุ้มจะส่งสัญญาณประสาทได้เร็วกว่าที่ไม่มีถึงกว่า 100 เท่า ซึ่งกระบวนการสร้างปลอกไมอีลินในสมองของลูกนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่อยู่ในครรภ์และยังคงมีการพัฒนาต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ จนคลอดและเติบโตขึ้นตามวัย

ขณะที่ B. lactis จุลินทรีย์สุขภาพบิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (Bifidobacterium lactis หรือ B. lactis) คือจุลินทรีย์สุขภาพที่พบมากในนมแม่ และลำไส้ของเด็กที่คลอดธรรมชาติ ซึ่งบี แล็กทิส จะช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ลดการติดเชื้อ ลดการอักเสบ ช่วยเรื่องระบบย่อยอาหาร บรรเทาอาการท้องผูก ช่วยปรับสมดุลในลำไส้ได้ดี ป้องกันอาการท้องเสียเฉียบพลันในทารก และอาการลำไส้แปรปรวนได้ด้วย

กิจกรรมกระตุ้นพัฒนาการสมองของเด็กทารก

 แม่ผ่าคลอด, การผ่าคลอด, เด็กผ่าคลอด, สฟิงโกไมอีลิน, B. lactis, นมผง, นมผงสำหรับเด็ก, นมผงสูตรไหนดี, นมสำหรับเด็กผ่าคลอด, เด็กคลอดธรรมชาติ, นมแม่, นม, S-26, เอส 26, นมเอส 26, นมผงเด็กผ่าคลอด, นมเด็กผ่าคลอด, ให้ลูกกินนมอะไร, สารอาหารสำคัญในนมแม่, นมแม่ดีที่สุด, กิจกรรมเสริมพัฒนาการเด็ก

การจะเสริมสร้างพัฒนาการสมองให้เด็กผ่าคลอด นอกจากกินนมแม่แล้วคุณแม่จะต้องกระตุ้นการทำงานของสมองให้ลูกด้วยกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งในบ้านและนอกบ้านตามวัยของลูกด้วย เช่น เล่นปูไต่ จ๊ะเอ๋ เล่นตบมือ ร้องเพลงให้ลูกฟัง พาลูกออกไปเดินเล่นดูต้นไม้ดอกไม้ เล่นต่อบล็อกต่อจิ๊กซอว์ เล่านิทานให้ลูกฟัง เล่นบ่อทราย ฯลฯ

และในระหว่างที่พ่อแม่เล่นกับลูก หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ นั้น ควรพูดคุย สบตา ยิ้ม กอด กับลูกด้วย เพราะการมีปฏิสัมพันธ์ที่ดี จะส่งผลให้สมองลูกน้อยมีพัฒนาดีอย่างรอบด้านไปด้วยค่ะ

ดังนั้นแล้วคุณแม่ควรให้ลูก ๆ ทานนมแม่ เพราะนมแม่ดีที่สุด และเป็นแหล่งของสารอาหารที่สำคัญหลากหลายชนิด เช่นสารอาหารสร้างสมองไวอย่างสฟิงโกไมอีลินและจุลินทรีย์สุขภาพบีแล็กทิสที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้เด็กผ่าคลอด จะช่วยให้ลูกสมองไวเรียนรู้ได้เร็ว และมีภูมิคุ้มกันดี ลดโอกาสเจ็บป่วยบ่อยได้ด้วยค่ะ

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สร้างสมองไวให้เด็กผ่าคลอด พร้อมเสริมภูมิคุ้มกัน | S-Mom Club

การผ่าคลอด, เด็กผ่าคลอด, แม่ผ่าคลอด

  • Hits: 19910

ทำไมแม่ท้องถึงมีกลิ่นตัวแรง จะรับมือกลิ่นตัวแม่ท้องอย่างไร

5717 1

ทำไมแม่ท้องถึงมีกลิ่นตัวแรง จะรับมือกลิ่นตัวแม่ท้องอย่างไร

กลิ่นตัวตอนท้องเป็นเรื่องปกติค่ะ อาจเกิดขึ้นกับแม่ท้องบางคน หรือบางคนอาจจะไม่มีเลย สำหรับคนที่มีกลิ่นตัวนอกจากสร้างความรำคาญแล้วยังทำให้เสียความมั่นใจอีกด้วย แต่ไม่ใช่เรื่องน่ากังวลอะไร แม่ท้องสามารถรับมือได้ค่ะ

กลิ่นตัวแม่ท้องเกิดจากอะไร ทำไมแม่ท้องถึงมีกลิ่นตัวแรง

สาเหตุที่ทำให้ร่างกายแม่ท้องมีกลิ่นตัว เกิดจากต่อมเหงื่อสร้างเหงื่อออกมา เมื่อเกิดการสะสมและสัมผัสกับแบคทีเรีย จึงเกิดการย่อยสลายร่วมกับมีการเจริญเติบโตของแบคทีเรียเป็นเหตุให้เกิดกลิ่นตัว โดยเฉพาะบริเวณรักแร้ ข้อพับ ขาหนีบและหลัง

สำหรับแม่ท้องบางคน กลิ่นตัวเกิดจาก 3 สาเหตุต่อไปนี้

 

1. แม่ท้องจะมีน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้น บางคนอยู่ในเกณฑ์อ้วนถึงอ้วนมาก ทำให้มีชั้นไขมันที่หนาขึ้น ส่งผลให้ร่างกายระบายความร้อนได้ไม่ดี จึงต้องเพิ่มการระบายความร้อนออกมาทางเหงื่อ

2. ร่างกายมีกระบวนการเมตาบอลิซึมเพิ่มขึ้น 10-20% โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 3 และในคนที่ตั้งครรภ์แฝด ทำให้ร่างกายเกิดความร้อนมากขึ้น จำเป็นต้องระบายความร้อนออกมาทางเหงื่อมากขึ้นด้วย

3. การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนที่มากขึ้นในระหว่างการตั้งครรภ์ ทำให้เกิดการสร้างต่อมเหงื่อและต่อมไขมันมากขึ้นในร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า ทำให้มีเหงื่อและสิวเพิ่มมากขึ้น

 

5717 2

5 วิธีระงับกลิ่นกายแม่ท้อง

1. อาบน้ำลดกลิ่นตัว วันไหนที่อากาศร้อนเหงื่อออกเยอะ การอาบน้ำบ่อยจะช่วยขจัดคราบไคลและกลิ่นตัวได้

2. เลือกเสื้อผ้าที่สบายตัว ไม่คับแน่นจนเกินไป เพราะจะทำให้เกิดความอับชื้นและมีกลิ่นตัวได้

3. งดอาหารที่มีกลิ่น เช่น เครื่องเทศ หัวหอม สะตอ ทุเรียน เป็นต้น

4. ดูแลสุขอนามัยส่วนตัว หลังปัสสาวะหรืออุจจาระเสร็จควรล้างอวัยวะเพศให้สะอาด ใช้กระดาษชำระซับให้แห้งจากด้านหน้าไปด้านหลัง สามารถใช้โรลออนหรือสารส้มดับกลิ่นกายได้

5. ทาแป้งเพื่อลดความอับชื้นบนร่างกาย และควรเลือกแป้งที่ปราศจาก Asbestos เช่นแป้งข้าวเจ้าที่ทำจากแป้งข้าวธรรมชาติปราศจากทัลคัม ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้และไม่เป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ

 

วิธีเลือกแป้งสำหรับแม่ท้อง

1. เลือกแป้งที่มีส่วนผสมหลักมาจากพืชธรรมชาติ เช่น แป้งข้าวเจ้าเพราะย่อยสลายได้ และมีคุณสมบัติป้องกันความเปียกชื้น ช่วยให้รู้สึกสบายตัว

2. ต้องเป็นแป้งเนื้อเนียนละเอียด ป้องกันความเปียกชื้นได้ดี

3. ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม หรือสารที่ก่อให้เกิดความระคายเคือง

4. สะอาด ปลอดภัย ปราศจากทัลคัมและ Asbestos

5. ต้องผ่านการทดสอบว่าไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ (Hypoallergenic)

 

5711 4

ขอบคุณข้อมูลจาก www.reiscare.com

ตรวจสอบข้อมูลโดย แพทย์หญิงมุกรวี ดาราฉาย สูตินรีแพทย์ โรงพยาบาลวชิรพยาบาล

 

(สนับสนุนสุขภาพแม่ท้องโดยผลิตภัณฑ์ไร้ซแคร์)

รีวิวแป้งเด็กไร้ซแคร์, กลิ่นตัวคนท้อง

  • Hits: 3827

10 ยาต้องห้ามที่แม่ท้องต้องระวัง เผลอใช้ไปอันตรายกับลูกในท้อง

ยาที่คนท้องห้ามกิน-คนท้องห้ามกินยาอะไร-ยาที่คนท้องห้ามใช้-ยาที่ไม่ควรใช้ระหว่างตั้งครรภ์-แม่ตั้งครรภ์กับการใช้ยา-ยาอันตรายกับทารกในครรภ์-ยาอันตรายสำหรับคนท้อง

10 ยาต้องห้ามที่แม่ท้องต้องระวัง เผลอใช้ไปอันตรายกับลูกในท้อง

มียาอะไรบ้างที่แม่ท้องห้ามใช้เด็ดขาดในช่วงตั้งครรภ์รวมไปถึงช่วงให้นมลูก เพราะใช้แบบไม่รู้ตัวเมื่อไหร่ ลูกในท้องเสี่ยงอันตรายทันทีพอเริ่มตั้งท้อง ยาอะไรที่ก่อนท้องเคยใช้ได้ก็อย่าเผลอหยิบมาใช้สุ่มสี่สุ่มห้าเลยนะคะ เพราะยาทุกชนิดที่แม่ท้องใช้สามารถส่งต่อเข้าสู่รกผ่านกระแสเลือดของเจ้าตัวเล็กที่อยู่ในท้องได้ ดังนั้นยาที่แม่ๆ มักใช้กันบ่อยๆ แต่เป็นยาต้องห้ามที่พอตั้งท้องแล้วห้ามใช้เด็ดขาดมีอะไรบ้าง มาอ่านและเซฟเก็บไว้เลยค่ะ


10 ยาต้องห้าม ที่แม่ท้องห้ามใช้

1. ยาแก้ปวดอักเสบ ลดไข้ ยาแก้ปวด

เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) หรือ แอสไพริน (Aspirin) ที่กินกันเป็นประจำเมื่อมีอาการปวดอักเสบ หรือใช้ลดไข้ แต่สำหรับแม่ท้องนั้นเป็นยาที่ต้องห้าม ควรเปลี่ยนไปใช้ยาที่ปลอดภัยกับทารกแทนค่ะ เพราะยาอาจทำให้เสี่ยงกับการแท้ง เลือดออกขณะตั้งครรภ์ หรือคลอดก่อนกำหนดได 1. ยาแก้ปวดอักเสบ ลดไข้ ยาแก้ปวด เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) หรือ แอสไพริน (Aspirin) ที่กินกันเป็นประจำเมื่อมีอาการปวดอักเสบ หรือใช้ลดไข้ แต่สำหรับแม่ท้องนั้นเป็นยาที่ต้องห้าม ควรเปลี่ยนไปใช้ยาที่ปลอดภัยกับทารกแทนค่ะ เพราะยาอาจทำให้เสี่ยงกับการแท้ง เลือดออกขณะตั้งครรภ์ หรือคลอดก่อนกำหนดได้

2. ยารักษาสิวกลุ่มกรดวิตามินเอ

สำหรับคุณแม่ที่เคยใช้ ยารักษาสิวกลุ่มกรดวิตามิน เอ Isotretinoin ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของกรดวิตามิน เอ ที่อยู่ในรูปแบบยากิน ตอนก่อนตั้งครรภ์ เมื่อตั้งครรภ์แล้วห้ามใช้ยานี้ เพราะมีผลกับลูกในท้องค่อนข้างรุนแรง ส่งผลให้ลูกในท้องอาจจะพิการแต่กำเนิดได้ ส่วนยาทายังอาจพอใช้ได้แต่ก็ควรปรึกษาคุณหมอก่อนใช้ทุกครั้งค่ะ

3. ยาปฏิชีวนะ

ยาปฏิชีวนะหรือยาแก้อักเสบก็มีด้วยกันหลายกลุ่ม หลายชนิด โดยทั่วไปที่ใช้บ่อย ๆ คือ ยากลุ่มเพนิซิลิน (Penicillins) นั้น ค่อนข้างมีความปลอดภัยกับแม่ท้อง แต่ยาปฏิชีวนะที่ต้องระวังคือยาปฏิชีวนะกลุ่มเตตร้าซัยคลิน (Tetracycline) ซึ่งส่งผลต่อการสร้างกระดูกและฟันของลูก ทำให้ลูกมีฟันสีเหลืองหรือสีน้ำตาลได้ หรือทำให้กระดูกและสมองของลูกผิดปกติได้

4. ยารักษาเบาหวาน

การรักษาเบาหวานด้วยยากินขณะตั้งท้องอาจปรับขนาดยาลำบาก ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (hypoglycemia) และยังส่งผ่านรกได้ทำให้ทารกแรกคลอดเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำด้วย ถ้าเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์จึงนิยมใช้ยาฉีดอินซูลินซึ่งปลอดภัยกว่า

5. ยาสเตอรอยด์

ที่เป็นยากินหรือยาฉีดนั้น หากจำเป็นต้องใช้ขณะตั้งครรภ์ ควรต้องให้คุณหมอเป็นคนสั่ง เพราะจัดอยู่ในยาที่เป็นอันตรายอาจทำให้ทารกเกิดภาวะปากแหว่ง เพดานโหว่ได้ แต่สำหรับยาสเตอรอยด์แบบใช้ภายนอกสามารถใช้ได้หากใช้ในแบบอ่อนและใช้ในช่วงเวลาสั้น ๆ

6. ยารักษาโรคความดันโลหิต

ยารักษาความดันโลหิตบางชนิด เช่น รีเซอร์พีน (Reserpine) ส่งผลต่อทารกทำให้เกิดความผิดปกติได้ ดังนั้นหากคุณแม่ที่รักษาโรคความดันโลหิตอยู่ แล้ววางแผนตั้งท้องควรปรึกษา และแจ้งคุณหมอก่อน เพื่อปรับไปใช้ยาที่มีความปลอดภัย

7. ยารักษามะเร็ง

การรักษามะเร็งทำได้หลายวิธี แต่การใช้ยาเคมีบำบัดสำหรับแม่ท้องที่เป็นมะเร็งอาจส่งผลกระทบไปถึงลูกในครรภ์ได้ เพราะยาอาจจะไปหยุดการเจริญเติบโตของเซลล์ได้ ดังนั้นคุณหมอจึงหลีกเลี่ยงการใช้ยาในช่วงตั้งครรภ์อ่อน ๆ แต่อาจจะรักษาด้วยวิธีอื่นแทน

8. ยากันชัก

สำหรับแม่ท้องที่รักษาอาการชักอยู่ การกินยากันชักจำเป็นต้องอยู่ในความควบคุมของคุณหมออย่างเคร่งครัด เพราะยากันชักอาจส่งผลให้ทารกที่คลอดออกมาพิการแต่กำเนิดได้ แต่ก็ไม่ควรหยุดยา คุณหมอจึงมักให้ใช้ยากันชักขนาดต่ำที่สุดที่สามารถควบคุมอาการได้ และให้ยากันชักเพียงชนิดเดียวเท่านั้นในช่วงตั้งครรภ์

9. ยาขับปัสสาวะ

ยาขับปัสสาวะ หรือยาขับน้ำ ซึ่งช่วยในการขับน้ำส่วนเกินออกจากร่างกายและยังช่วยลดระดับความดันโลหิต แต่ถือเป็นยาอันตราย ต้องห้ามหากกำลังตั้งท้อง

10. ยาต้านการแข็งตัวของเลือด

ในช่วงตั้งท้องไตรมาสแรก คุณแม่ไม่ควรใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดบางชนิด เช่น เฟนินไดโอน (Phenindione), อินดานิดิโอน (Indanidione) และคูมาริน (Coumarin) เพราะอาจทำให้ลูกพิการ นอกจากนี้ยังอาจทำให้เด็กในครรภ์หรือเด็กแรกคลอดมีเลือดออกในระหว่างการคลอดได้อีกด้วย

 

นอกจากรายชื่อยาข้างต้นแล้ว ยังมียาอีกหลายกลุ่ม หลายตัวยาที่จัดอยู่ในประเภทที่มีความเสี่ยงกับลูกน้อยในท้อง หรือยาบางชนิดก็อาจจะสามารถกินได้เมื่อมีอายุครรภ์ที่เหมาะสม ดังนั้นแม่ท้องก่อนกินยาใด ๆ ก็ตามควรปรึกษาเภสัชกร หรือคุณหมอก่อนทุกครั้งค่ะ เพื่อความปลอดภัย และพัฒนาการร่างกายที่สมบูรณ์ของลูก

Welcome to the best online casino experience – Tangiers Casino! You'll be spoilt for choice with everything from slots, blackjack, roulette, and more. Join a global game community of millions with daily offers, promotions, and more.

สุขภาพคนท้อง, แม่ตั้งครรภ์, ยาที่แม่ท้องห้ามใช้, ยาอันตรายระหว่างตั้งครรภ์

  • Hits: 146254

PM 2.5 ฝุ่นร้ายอันตรายถึงลูกในท้อง เสี่ยงพิการ-ตาย ตั้งแต่แรกคลอด

แม่ท้องกับฝุ่น PM2.5, อันตรายของฝุ่น PM2.5, อันตรายของฝุ่น PM2.5 กับทารก
  

มีงานวิจัยยืนยัน PM 2.5 ส่งผลกระทบต่อแม่ท้องและทารกในครรภ์ ถึงขั้นพิการแต่กำเนิด หรืออาจเสียชีวิตตั้งแต่แรกคลอด

PM 2.5 ฝุ่นร้ายอันตรายถึงลูกในท้อง เสี่ยงพิการ-ตาย ตั้งแต่แรกคลอด

นักวิจัยเผยมลพิษทางอากาศสามารถผ่านจาก 'แม่' สู่ 'ทารกในครรภ์' มลพิษทางอากาศของประเทศไทยมีอยู่หลายรูปแบบค่ะ ทั้งมลพิษจากท่อไอเสียของรถยนต์ โรงงานอุตสาหกรรม หรือเกิดจากการเผาไหม้ขยะมูลฝอยค่ะ และที่สำคัญคือฝุ่น PM 2.5 ที่สร้างความอันตรายให้กับแม่ตั้งครรภ์มากที่สุดค่ะ 

วารสาร Nature Communications ตีพิมพ์งานวิจัยที่ระบุว่า ทีมวิจัยตรวจสอบพบอนุภาคขนาดเล็กอย่างคาร์บอนสีดำอยู่ภายในรกจำนวนมหาศาลต่อทุกๆ ลูกบาศก์เมตรในเนื้อเยื่อของตัวอย่างรกทุกชิ้นที่นำมาตรวจวิเคราะห์ โดยอธิบายว่าอนุภาคดังกล่าวที่เกิดจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงสามารถผ่านเข้าไปสู่ทารกในครรภ์ได้ด้วยการแทรกซึมผ่านลมหายใจของมารดา

ทั้งนี้ งานวิจัยชิ้นนี้เลือกกลุ่มตัวอย่างเป็นกลุ่มผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์และไม่เคยสูบบุหรี่ ภายในเมือง Hasselt ประเทศเบลเยียมซึ่งเป็นเมืองที่มีระดับมลพิษต่ำกว่าข้อกำหนดของสหภาพยุโรป แต่สูงกว่าข้อกำหนดขององค์การอนามัยโลก โดยนักวิจัยเลือกใช้เทคนิคเลเซอร์เพื่อตรวจจับอนุภาคคาร์บอนสีดำ ก่อนจะพบว่าจำนวนของอนุภาคที่กีดขวางอยู่ในรกสัมพันธ์กับระดับมลพิษทางอากาศที่มารดาได้รับ

รศ.รพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล อายุรศาสตร์โรคระบบการหายใจ คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล แสดงผลการศึกษาผลกระทบของฝุ่น PM 2.5 กับแม่ท้องว่าหากต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีฝุ่น PM2.5 สูง นอกจากจะเสี่ยงต่อทารกที่คลอดมาน้ำหนักตัวน้อยและเจ็บป่วยง่ายแล้ว ยังเสี่ยงต่อความพิการแรกคลอด โดยเฉพาะกลุ่มโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

มีการศึกษาชิ้นสำคัญ เผยแพร่ในวารสารของสมาคมหัวใจแห่งอเมริกา ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2023 คณะผู้วิจัยได้นำเสนอข้อมูลที่รวบรวมมาจาก 30 จังหวัดในประเทศจีน ระหว่างปี 2557-2560 ซึ่งมีเด็กทารกที่คลอดในช่วงเวลานั้นจำนวน 1,434,998 คน พบเกิดโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด 7,335 คน จึงได้ทำการเปรียบเทียบปริมาณ PM2.5 ที่แม่ของทารกดังกล่าวได้รับเข้าไปในช่วงที่อุ้มท้อง ระหว่างกลุ่มที่ทารกปกติกับกลุ่มที่ทารกมีโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด พบว่าค่าเฉลี่ย PM2.5 ที่แม่กลุ่มนี้ได้รับเฉลี่ยในหนึ่งปีคือ 56.51 (อยู่ในช่วงตั้งแต่ 10.95 - 182.13) ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งถือว่าสูงมากที่เดียว
 
โดยทุก ๆ 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรที่ปริมาณฝุ่นสูงขึ้น จะพบโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดเพิ่มขึ้น 2% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเภทผนังกั้นห้องหัวใจมีรูรั่ว คำนวณเป็นความเสี่ยงได้ 1.04 เท่า สำหรับผลร้ายของฝุ่นต่อหัวใจทารกนี้จะพบมากขึ้น ถ้าแม่ได้รับฝุ่นเข้าไปมากตั้งแต่ช่วงก่อนการปฏิสนธิ นอกจากนี้แม่ที่มีอายุน้อยกว่า 35 ปี และแม่ที่มีฐานะยากจน จะพบความเสี่ยงนี้ได้มากขึ้น
 

 
 
 
ล่าสุดนักวิทยาศาสตร์ชาวจีนพบความเชื่อมโยงของ PM 2.5 กับภาวะตายคลอด (Stillbirth) หรือภาวะแทรกซ้อนที่ทำให้ทารกในครรภ์เสียชีวิต ภาวะทารกตายคลอด (stillbirth) หมายถึงภาวะที่ทารกคลอดออกมาแล้วไม่มีอาการแสดงของการมีชีวิต เช่น ไม่มีการหายใจ ไม่มีการเต้นของหัวใจ ไม่มีการเคลื่อนไหว รวมถึงทารกที่คลอดออกมาแล้วตายทันทีด้วย

ในเดือนพฤศจิกายน 2565 มีการตีพิมพ์งานวิจัยผ่านเว็บไซต์ Nature Communications เรื่องมลพิษทางอากาศมีความเชื่อมโยงกับภาวะตายคลอด การวิจัยดังกล่าวได้เก็บรวบรวมข้อมูลตั้งแต่ปี 2541-2559 (ค.ศ.1998 - ค.ศ.2016) จากประเทศรายได้ต่ำและปานกลางครอบคลุม 137 ประเทศทั่วโลก โดย 54 ประเทศในเอเชีย แอฟริกา และลาตินอเมริกา เป็นพื้นที่ที่มีการตายคลอดสูงถึง 98% และเป็นกลุ่มประเทศที่แม่ท้องมีการสัมผัส PM2.5 สูงกว่าระดับ WHO กำหนด

WHO กำหนดระดับการสัมผัส PM 2.5 ที่ไม่อันตรายคือค่าที่ไม่เกิน 5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ในปี 2558 มีสถิติการตายคลอดสูงถึง 2.09 ล้านคน โดยแม่ท้องประมาณ 950,000 คน มีภาวะตายคลอดจากการสัมผัส PM 2.5 เกินระดับ 5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

Tao Xue นักวิทยาศาสตร์จาก Peking University ประเทศจีนผู้ศึกษาความเชื่อมโยงนี้ระบุว่า การสัมผัส PM 2.5 ของแม่ท้องอาจทำให้อนุภาคของมลพิษทำให้เกิดความเสียหายต่อตัวอ่อนที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ซึ่งเป็นอันตรายต่อรกซึ่งทำหน้าที่แลกเปลี่ยนสารอาหารและออกซิเจนจากแม่สู่ลูกTao Xue ให้ความเห็นว่า นโยบายอากาศสะอาดที่จีนและบางประเทศประกาศใช้สามารถป้องกันการตายคลอดได้ นอกจากนี้ การสวมหน้ากากอนามัย การติดตั้งเครื่องฟอกอากาศ การหลีกเลี่ยงการออกไปนอกบ้านขณะที่ค่า PM 2.5 สูง ๆ ก็ช่วยปกป้องแม่ท้องจากฝุ่น PM 2.5 ได้ เช่นกัน

 

ข้อปฏิบัติเมื่อค่า PM2.5 ในขณะนั้น (ค่ารายชั่วโมง) ขึ้นสูงเกินเกณฑ์ 


1. สูงกว่า 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร กลุ่มเสี่ยง (เด็ก คนท้อง ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคปอด-หัวใจ-ไต-สมองเรื้อรัง) งดทำกิจกรรมกลางแจ้ง คนทั่วไปลดและปรับเวลาทำกิจกรรมกลางแจ้ง โดยใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา

2. สูงกว่า 100 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ทุกคนต้องงดทำกิจกรรมกลางแจ้ง ยกเว้นคนที่ต้องทำหน้าที่บริการสาธารณะ ให้ใส่หน้ากาก N95 ตลอดเวลา

3. สูงกว่า 150 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ทุกคนควรอยู่ในตัวอาคารซึ่งติดตั้งระบบระบายและฟอกอากาศที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ยกเว้นคนที่ต้องทำหน้าที่บริการสาธารณะ ให้ใส่หน้ากาก N95 ตลอดเวลา และจำกัดช่วงเวลาปฏิบัติงานไม่ให้เกินครั้งละ 60 นาที

แม่ท้องควรทำอย่างไรเพื่อเลี่ยงฝุ่น PM 2.5 ที่อันตรายต่อทารกในครรภ์

  1. ให้อยู่ภายในอาคารบ้านเรือน หากไม่จำเป็นอย่าออกนอกบ้าน 

  2. ปิดประตูหน้าต่าง ป้องกันฝุ่นเข้า หากปิดไม่ได้ให้ใช้ผ้าชุบน้ำทำเป็นม่านปิดแทน

  3. หากต้องออกนอกบ้าน ให้ใส่หน้ากากที่สามารถกรองฝุ่น PM 2.5 

  4. ให้ดื่มน้ำมาก ๆ  ในช่วงที่มีปัญหาฝุ่นขนาดเล็ก

  5. ผู้หญิงตั้งครรภ์ จะต้องดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสอากาศที่มีฝุ่นละออง

อันตรายจากมลพิษทางอากาศ กระทบทั้งคุณแม่และทารกในครรภ์ค่ะ ดังนั้นคุณแม่ต้องดูแลตัวเองเป็นพิเศษ หลีกเลี่ยงการออกนอกบ้านถ้าไม่จำเป็น หรือถ้าต้องออกไปจริงๆ ควรส่วมใส่หน้ากากอนามัยที่ป้องกันได้จริงนะคะ เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณแม่เอง และเจ้าตัวน้อยในครรภ์นะคะ

ที่มา: 

กระทรวงสาธารณสุข

https://www.theguardian.com/environment/2019/sep/17/air-pollution-particles-found-on-foetal-side-of-placentas-study 

https://edition.cnn.com/2019/03/05/health/100-most-polluted-cities-2018-intl/index.html

https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=pfbid0LmHYaREiSZwrwrtq23Lne9aBycWCXEUiC3GfyKDWgrmSPs7irEPaB2FmrzZ7DMdwl&id=100002870789106

https://www.ahajournals.org/doi/epub/10.1161/CIRCULATIONAHA.122.061245?fbclid=IwAR1Wcgi1eY_63WPzLgNj5rc-OB2uVqu0a41hc6XVXUcrACmQqlu98Zco8Z4

 

พัฒนาการทารกในครรภ์, ฝุ่นPM2.5, ภาวะรกเกาะต่ำ

  • Hits: 3940

รีวิว ไบโอ-ออยล์ เนเชอรัล ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่แม่ท้องวางใจ

ไบโอ-ออยล์ เนเชอรัล-ไบโอ-ออยล์-รีวิวไบโอออยล์-รีวิว Bio-Oil-ไบโอออยล์-Bio-Oil-สกินแคร์แม่ท้อง-ครีมทาผิวแม่ท้อง-โลชั่นแม่ท้อง-ครีมแม่ท้อง-ออยล์บำรุงผิว-ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวแม่ท้อง

ไบโอ-ออยล์ สกินแคร์ที่แม่ท้องไว้วางใจใช้แล้วไม่แพ้ เพราะมีสารสกัดจากธรรมชาติ ผ่านการทดสอบจากผู้เชี่ยวชาญ บอบบางต่อผิวแพ้ง่าย 

รีวิว ไบโอ-ออยล์ เนเชอรัล ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่แม่ท้องวางใจ

 

ก่อนอื่นต้องบอกว่า ฝนเป็นคุณแม่ตั้งครรภ์ท้องแรกในวัย 33 ปี พอรู้ว่า ตัวเองมีเบบี้ ตั้งแต่เดือนแรก ตื่นเต้น ดีใจ พร้อมกับพูดกับตัวเองในใจ ….  "นี่เราจะอุ้มท้อง พุงโต ๆ แบบคุณแม่ในละครจริง ๆ แล้วหรอนี่"

ไบโอ-ออยล์ เนเชอรัล-ไบโอ-ออยล์-รีวิวไบโอออยล์-รีวิว Bio-Oil-ไบโอออยล์-Bio-Oil-สกินแคร์แม่ท้อง-ครีมทาผิวแม่ท้อง-โลชั่นแม่ท้อง-ครีมแม่ท้อง-ออยล์บำรุงผิว-ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวแม่ท้อง

สิ่งที่คิดเรื่องแรกเลย สุขภาพ กับ ความสวย ฉบับคุณแม่ 2022 เพราะ ตัวฝนเองเป็นคนสนุกกับการแต่งตัวและออกกำลังกาย ฝนเลยตั้งปฏิญาณกับตัวเองว่าอยากเป็นคุณแม่ที่มีสุขภาพดี ดูดีไม่โทรม ไม่ยับ ไม่เยิน ดูดีทั้งภายนอกและภายใน

พอเราอยากดูดี รักสนุกกับการแต่งตัว ดังนั้นเรื่องหนึ่งที่กังวลใจมาก คือ ผิวแตกลายค่ะ

คิดในใจ ถ้าแขน ขา หน้าอก หรือท้องแตกลาย หลังคลอด คงต้องลาวงการเสื้อครอป เอวลอย สปอร์ตบรา หรือ ชุดว่ายน้ำสวย ๆ แน่เลยยยยย แค่คิด ก็อยากจะตะโกนออกมาว่ายอมไม่ได้ !!!!!! 555+

ไบโอ-ออยล์ เนเชอรัล-ไบโอ-ออยล์-รีวิวไบโอออยล์-รีวิว Bio-Oil-ไบโอออยล์-Bio-Oil-สกินแคร์แม่ท้อง-ครีมทาผิวแม่ท้อง-โลชั่นแม่ท้อง-ครีมแม่ท้อง-ออยล์บำรุงผิว-ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวแม่ท้อง

จึงเกิดภารกิจค้นหาครีม หรือ ออยล์ มาชโลมผิวค่ะ และแล้วก็เจอน้อง Bio - oil ขวดเหลืองส้ม ฝาขาว ละมุนใจ สะอาดตา และที่สำคัญคือ ส่วนผสมเขา มีสารสกัดจากธรรมชาติ ผ่านการทดสอบจากผู้เชี่ยวชาญ บอบบางต่อผิวแพ้ง่าย รู้สึกวางใจได้เลยค่ะว่าใช้แล้วไม่แพ้

ไบโอ-ออยล์ เนเชอรัล มีส่วนผสมของ PurCellin Oil ซึ่งเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะที่ช่วยให้ออยล์ซึมซาบสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ทิ้งความมัน ทั้งยังช่วยให้ผิวนุ่มชุ่มชื้นอีกด้วย เหมาะกับอากาศเมืองไทยและผิวคนไทยเป็นที่สุด

ไบโอ-ออยล์ เนเชอรัล-ไบโอ-ออยล์-รีวิวไบโอออยล์-รีวิว Bio-Oil-ไบโอออยล์-Bio-Oil-สกินแคร์แม่ท้อง-ครีมทาผิวแม่ท้อง-โลชั่นแม่ท้อง-ครีมแม่ท้อง-ออยล์บำรุงผิว-ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวแม่ท้อง

ตัวฝนเอง เริ่มทาตั้งแต่ตอนอายุครรภ์ 10 สัปดาห์ จนตอนนี้ 31 สัปดาห์แล้ว ผิวท้องยังเนียน ไม่มีรอยแตกลายเลยสักนิด ถูกอกถูกใจ คุณแม่ตั้งครรภ์มือใหม่แบบฝนมากกกกกก  ที่สำคัญ ที่ฝนเลือก ทาไบโอออยล์เป็นประจำ เพราะสามารถทาทุกส่วนของร่างกาย ตั้งแต่ หน้าอก ต้นแขน ต้นขา ผิวหน้า และหน้าท้อง ได้ ทาเป็นประจำ หลังอาบน้ำวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น

ไบโอ-ออยล์ เนเชอรัล-ไบโอ-ออยล์-รีวิวไบโอออยล์-รีวิว Bio-Oil-ไบโอออยล์-Bio-Oil-สกินแคร์แม่ท้อง-ครีมทาผิวแม่ท้อง-โลชั่นแม่ท้อง-ครีมแม่ท้อง-ออยล์บำรุงผิว-ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวแม่ท้อง

นอกจากลดโอกาสการเกิดผิวแตกลายในระหว่างตั้งครรภ์แล้ว ยังสามารถฟื้นฟูบำรุงผิวจากรอยแผลเป็น สีผิวไม่สม่ำเสมอ ผิวขาดน้ำ ได้ด้วย

ไบโอ-ออยล์ เนเชอรัล-ไบโอ-ออยล์-รีวิวไบโอออยล์-รีวิว Bio-Oil-ไบโอออยล์-Bio-Oil-สกินแคร์แม่ท้อง-ครีมทาผิวแม่ท้อง-โลชั่นแม่ท้อง-ครีมแม่ท้อง-ออยล์บำรุงผิว-ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวแม่ท้อง

ขวดเดียวสุดคุ้ม ใช้ง่าย ราคาน่ารัก ปลอดภัยและเห็นผลลัพธ์ที่กล้าบอกต่อจริง ๆ ค่ะ

ไบโอ-ออยล์ เนเชอรัล-ไบโอ-ออยล์-รีวิวไบโอออยล์-รีวิว Bio-Oil-ไบโอออยล์-Bio-Oil-สกินแคร์แม่ท้อง-ครีมทาผิวแม่ท้อง-โลชั่นแม่ท้อง-ครีมแม่ท้อง-ออยล์บำรุงผิว-ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวแม่ท้อง

คุณแม่ที่สนใจ ผลิตภัณฑ์ ไบโอ-ออยล์ เนเชอรัล ข้อมูลเพิ่มเติมหรือสั่งซื้อได้ที่ https://www.facebook.com/BioOilThailandOfficial

Bio Oil, สกินแคร์แม่ท้อง

  • Hits: 3600